มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2561 (ครั้งที่ 61)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.00 น..
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
4. การปรับปรุงกลไกราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว LPG
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบในช่วงเดือนมิถุนายน 2561 มีทิศทางปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการประชุมร่วมของกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC
ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตอย่างน้อย 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซาอุดิอาระเบียประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบและปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การคาดการณ์ปริมาณน้ำมันดิบในช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดลดลง เนื่องจากเวเนซูเอล่าส่งออกน้ำมันดิบลดลงจากปัญหาภายในประเทศ อิหร่านถูกมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ ปัญหาการเมืองในลิเบีย เป็นต้น ทั้งนี้ ราคาน้ำมันตลาดโลกคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับเดือนที่ผ่านมา (2) ราคาก๊าซ LPG มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาก๊าซ LPG (ราคา CP (Contract Price) เดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 562.5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มีปัจจัยมาจากบิวเทน (C4) ปรับตัวเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาก๊าซ LPG นอกจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกแล้ว ยังมีผลการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือและทิศทางของสงครามทางการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศจีน (3) โครงสร้างราคาน้ำมันและค่าการตลาดในประเทศ ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมันทุกชนิดอยู่ที่ 1.95 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 1.64 และ 1.75 บาทต่อลิตร สำหรับค่าการตลาดเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 2.02 บาทต่อลิตร (4) ราคา LNG Asian Spot เดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 10.39 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 1.707 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู หรือคิดเป็นร้อยละ 16 จากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นและความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเชียยังอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะประเทศจีนที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2561 ในขณะที่ราคา LNG ภูมิภาคยุโรป (NBP) อยู่ที่ 7.218 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู ปรับตัวลดลง 0.154 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู และราคา Henny Hub ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.942 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.112 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู ส่วนปัจจัยที่กดดันราคา LNG มาจากโครงการ LNG ขนาดใหญ่ของประเทศออสเตรเลีย 2 โครงการ และโครงการของไนจีเรียซึ่งจะเริ่มดำเนินการหลังจากปิดซ่อมบำรุงแล้วเสร็จ (5) ราคาถ่านหินในช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าแต่ยังคงมีความต้องการใช้มากจากประเทศจีน ออสเตรเลีย และไทย (6) สถานการณ์ไฟฟ้า
ในประเทศ ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน 2561 ความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (Peak) ของประเทศอยู่ที่ 34,317 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2561 ซึ่งคาดว่าจะเป็นความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (Peak) ของประเทศในปี 2561
มติของที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ สรุปสาระสำคัญ การดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558 – 2579 (Oil Plan 2015) ไตรมาสที่ 2 ปี 2561 สรุปความก้าวหน้าการดำเนินงานได้ดังนี้ 1) มาตรการบริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม ประกอบด้วย (1) ในส่วนของ NGV ได้จัดตั้งศูนย์พักรถขนส่งสินค้าพร้อมสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ (NGV Terminal Hub) โดยเปิดให้บริการแล้ว 1 สถานี คือที่ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่จังหวัดขอนแก่น 2 สถานี และเปิดสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเฉพาะตามแนวท่อก๊าซ 1 สถานี (สยามเบสท์ จังหวัดชลบุรี) ก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างทดสอบระบบความปลอดภัย 1 สถานี (จังหวัดปทุมธานี) (2) การลดชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการยกเลิกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 และส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เพื่อเตรียมความพร้อมของผู้บริโภค (3) การกำหนดมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงในภูมิภาคอาเซียน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ (สรป.) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ส่งข้อคิดเห็นที่สำนักงานเลขาธิการอาเซียนได้รับจากประเทศเมียนมาให้ ธพ. พร้อมกับเสนอแนะว่าควรนำเรื่องการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงอาเซียน ย้ายจากเดิมที่อยู่ภายใต้การพิจารณาของ Regional Energy Policy and Planning Sub-sector Network (REPP-SSN) ไปไว้ภายใต้การพิจารณาของ Energy Efficiency and Conservation (EE&C) ซึ่ง สรป. อยู่ระหว่างการสอบถามเหตุผลสำหรับข้อเสนอแนะดังกล่าว
2) มาตรการสนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วย การพัฒนาระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปไปยังภาคเหนือ ดำเนินการโดยบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) ได้ดำเนินการก่อสร้างคลังน้ำมัน 2 แห่งแล้ว คือที่จังหวัดพิจิตรและจังหวัดลำปาง มีความคืบหน้าร้อยละ 63.38 และ 20.09 ตามลำดับ ส่วนระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดำเนินการโดยบริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) อยู่ระหว่างจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) มีความก้าวหน้าร้อยละ 55.20 และสำหรับการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ โดยเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2561 ธพ. ได้ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อดำเนินโครงการศึกษาการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทย แต่ไม่มีผู้ยื่นข้อเสนอที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามขอบเขตและรายละเอียดของงาน (TOR) ที่กำหนด และได้ยกเลิกการจ้างที่ปรึกษาโดยให้มีการทบทวน TOR อีกครั้ง และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ได้มีการประชุมเพื่อทบทวน TOR แล้ว
มติของที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ สรุปสาระสำคัญ 1. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้พิจารณาแนวนโยบาย “โรงไฟฟ้า-ประชารัฐ” สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมและเพียงพอในการรองรับวัตถุประสงค์ของแนวนโยบาย “โรงไฟฟ้า-ประชารัฐ” ต่อมากรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้จัดทำอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ โดยนำความเห็นของหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณา โดยมีหลักการดังนี้ (1) อัตรารับซื้อไฟฟ้าต้องเป็นธรรมและเพียงพอที่จะทำให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน และทำให้บริษัทชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชน มีรายได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในพื้นที่ใกล้เคียง (2) สร้างรายได้ในส่วนของการจัดหาเชื้อเพลิงอย่างมั่นคง เพื่อให้เกิดการสร้างงาน เพิ่มรายได้ของชุมชน และ (3) สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 (AEDP2015) ที่มีเป้าหมายจะผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้ได้ร้อยละ 20 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2560 กบง. ได้มีมติเห็นชอบอัตราการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ในส่วนของชีวมวล) ตามข้อเสนอของ พพ.
2. เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กพช. และ กบง. เพื่อสอบถามการกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ของโครงการโรงฟ้าประชารัฐฯ เนื่องจากสำนักงาน กกพ.
อยู่ระหว่างจัดทำระเบียบหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากของโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐฯ แต่มติ กพช. และ มติ กบง. มิได้ระบุวัน SCOD ไว้ สนพ. จึงได้ประสานเรื่องดังกล่าวไปยัง พพ. ซึ่งเมื่อวันที่
13 มิถุนายน 2561 พพ. ได้มีหนังสือชี้แจงว่า อัตรารับซื้อไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐฯ ที่ กบง. เห็นชอบวันที่ 7 มิถุนายน 2560 เป็นอัตราที่คำนวณสำหรับการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ภายในเดือนมกราคม 2563 และ สนพ. ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวไปยัง สำนักงาน กกพ. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2561 ซึ่งสำนักงาน กกพ. ได้มีหนังสือ
ถึง สนพ. เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 แจ้งว่า บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้แจ้งกำหนดการ SCOD ของโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐฯ ดังนี้ (1) โรงไฟฟ้าประชารัฐในพื้นที่อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ขอ SCOD ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 และ (2) โรงไฟฟ้าประชารัฐในพื้นที่อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี ขอ SCOD ในเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ ได้ชี้แจงว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 ให้จัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือบริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ จำนวน 3 บริษัท เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐฯ ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเชิญชวนวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ร่วมลงทุนเพื่อจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ
มติของที่ประชุม 1. เห็นชอบกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล ตามที่บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เสนอ ดังนี้
1.1 โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐฯ ในพื้นที่อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3.00 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้าเข้าระบบจำหน่ายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2.85 เมกะวัตต์ กำหนดวัน SCOD ภายในเดือนธันวาคม 2563
1.2 โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐฯ ในพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 3.00 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้าเข้าระบบจำหน่ายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2.85 เมกะวัตต์ กำหนดวัน SCOD ภายในเดือนธันวาคม 2563
1.3 โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐฯ ในพื้นที่อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.90 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้าเข้าระบบจำหน่ายของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 6.30 เมกะวัตต์ มีกำหนด วัน SCOD ภายในเดือนกรกฎาคม 2564
2. มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องรับซื้อไม้ในพื้นที่เพื่อใช้ เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเป็นลำดับแรก และเชื้อเพลิงชีวมวลที่จะนำมาใช้ต้องเป็นเศษไม้จากวัสดุเหลือทิ้ง ไม่เป็นไม้หวงห้ามและไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลายป่า รวมทั้งกำกับดูแลการดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้า ประชารัฐฯ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 อย่างเคร่งครัด
เรื่องที่ 4 การปรับปรุงกลไกราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. สถานภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 มีฐานะสุทธิ 30,242 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 30,143 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG 99 ล้านบาท โดยบัญชีก๊าซ LPG ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมันฯ#1) มีรายรับ 34.77 ล้านบาทต่อวัน และในส่วนการจำหน่ายภาคเชื้อเพลิง (กองทุนน้ำมันฯ #2) มีรายจ่าย 47.93 ล้านบาทต่อวัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 13.15 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งคาดว่าสามารถใช้เงินในการรักษาเสถียรภาพราคาก๊าซ LPG ได้อีกประมาณ 7 วัน
2. สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ประกอบด้วย (1) ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 562.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (2) ราคาก๊าซ LPG Cargo เฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 542.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 1.15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ค่าใช้จ่ายนำเข้า (X) เฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 47.7334 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3.6182 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 32.6354 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากเดือนก่อน 0.4905 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาก๊าซ LPG นำเข้า (LPG Cargo + X) เฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2561 อยู่ที่ 19.1683 บาทต่อกิโลกรัม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.0351 บาทต่อกิโลกรัม จากสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภค กบง. ได้มีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกโดยการชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ #2 ให้ราคาจำหน่ายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ขนาด 15 กิโลกรัม อยู่ที่ 363 บาท สำหรับในเดือนมิถุนายน 2561 ปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 520,526 ตัน ความต้องการใช้ภายในประเทศลดลงอยู่ที่ประมาณ 541,516 ตัน เนื่องจากความต้องการใช้ในภาคปิโตรเคมีลดลง ปริมาณก๊าซ LPG ส่วนที่ขาดประมาณ 20,990 ตัน จะชดเชยด้วยการนำเข้า โดยการนำเข้าเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ประมาณ 71,000 ตัน การส่งออกจากปริมาณการผลิตภายในประเทศประมาณ 58,900 ตัน
3. แนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของก๊าซ LPG ที่ใกล้ติดลบ โดยปัจจุบันสภาพคล่องยังติดลบวันละประมาณ 13.15 ล้านบาท สามารถใช้เงินในการรักษาเสถียรภาพราคาได้อีกประมาณ 7 วัน ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอแนวทางดำเนินการดังนี้ (1) กรณีให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบได้ เห็นควรให้บัญชีก๊าซ LPG ติดลบได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท และมอบหมายให้สถาบันบริการกองทุนพลังงาน (สบพน.) จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG รายงานให้ กบง. ทราบทุกเดือน (2) ปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ตามต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น โดย ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2561 กองทุนน้ำมันฯ ยังคงชดเชยอยู่ที่ 4.2866 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 21.87 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม หากสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ใกล้เคียงศูนย์ จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ปรับเพิ่มอยู่ที่ 23.46 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 387 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2561 คาดว่าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยได้มีการคาดการณ์ว่าราคาขายปลีกก๊าซ LPG จะอยู่ในช่วง 396 – 417 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ที่ระดับราคา LPG Cargo ในช่วง 600 – 700 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (3) ลดกรอบราคาสำหรับกำกับการแข่งขัน โดยกลุ่มโรงแยกก๊าซฯ มีกรอบการแข่งขันอยู่ที่ 0.67 บาทต่อกิโลกรัม (20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) ซึ่งที่ผ่านมาระดับราคาก๊าซ LPG นำเข้าไม่เคยอยู่ในกรอบระดับการแข่งขัน ดังนั้น เห็นควรลดกรอบการแข่งขันลงเป็นอยู่ที่ 0.03 บาทต่อกิโลกรัม (1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) ซึ่งจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 130 ล้านบาท ทั้งนี้ หากราคานำเข้าก๊าซ LPG มีราคาใกล้เคียงกับโรงแยกก๊าซฯ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรมีการพิจารณาลดกรอบราคาสำหรับติดตามการแข่งขันที่เหมาะสมอีกครั้ง (4) ปรับค่าขนส่งจากซาอุดิอาระเบียถึงกรุงเทพฯ ปรับเป็น สิงคโปร์ถึงกรุงเทพฯ เพื่อปรับระบบการอ้างอิงราคาก๊าซ LPG ให้เหมือนกับระบบน้ำมันเชื้อเพลิง และ (5) การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ส่งออก จากเดิมเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 กพช. ได้มีมติเห็นชอบการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับการส่งออกก๊าซ LPG ทั้งที่ผลิตในประเทศหรือก๊าซ LPG นำเข้า ในอัตราคงที่ (Fixed Rate) ที่ 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือ 0.70 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อส่งเสริมให้มีการจำหน่ายก๊าซ LPG ภายในประเทศเป็นลำดับแรก แต่จากรายงานข้อมูลจากกรมธุรกิจพลังงานพบว่ายังมีก๊าซที่ผลิตในประเทศส่งออกประมาณเดือนละ 34,000 ตัน ดังนั้น เห็นควรเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ส่งออกให้สูงขึ้น เพื่อให้โรงแยกก๊าซฯ และโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงขายก๊าซ LPG ในลำดับแรกก่อน
4. จากข้อมูลการส่งออกก๊าซ LPG ซึ่งอยู่ระดับสูงใกล้เคียงกับการนำเข้า โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2561 ปริมาณการส่งออกอยู่ที่ 24,000 – 43,388 ตันต่อเดือน ในขณะที่มีการนำเข้า 39,624 – 91,227 ตันต่อเดือน ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าควรให้ผู้ผลิตก๊าซ LPG ในประเทศจำหน่ายก๊าซ LPG ให้ประชาชนในประเทศมากกว่าส่งออก โดยมีแนวทางแก้ไขปัญหา คือ (1) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ส่งออกให้สูงขึ้น และ (2) กรมธุรกิจพลังงานห้ามโรงแยกก๊าซฯ ส่งออกก๊าซ LPG นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีผู้ค้า ก๊าซ LPG จดทะเบียนเป็นผู้ค้ามาตรา 7 จำนวน 22 ราย โดยมี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) เพียง 2 บริษัทนำเข้าก๊าซ LPG ซึ่งมีผู้ค้าก๊าซ LPG รายอื่นต้องการนำเข้าก๊าซ LPG แต่ยังคงติดปัญหาในการนำเข้า เช่น ไม่มีท่าเรือและคลัง ระบบการจ่าย/ชดเชย/ขอคืน ภาษีและกองทุน คลังเขาบ่อยามีเงื่อนไขมาก เป็นต้น ดังนั้น เพื่อให้มีการแข่งขันในส่วนการนำเข้ามากขึ้น ควรให้ ปตท. กำหนดกติกาให้ผู้ค้าก๊าซ LPG รายอื่นสามารถเข้ามาใช้บริการคลังนำเข้าก๊าซ LPG ของ ปตท. ที่เขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี บนหลักการที่ผู้ค้าก๊าซ LPG ทุกรายมีสิทธิใช้อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกันและให้มีการเจรจาอัตราค่าบริการเป็นเชิงพาณิชย์ โดยกติกาการใช้คลังจะเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบด้วย
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของก๊าซ LPG ดังนี้ (1) การใช้กองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคาก๊าซ LPG โดยในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG ติดลบได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท และมอบหมายให้สถาบันบริการกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) จัดทำรายงานรายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG เพื่อรายงาน กบง. ทราบทุกเดือน และ (2) เสนอให้ปรับลดกรอบราคาสำหรับกำกับการแข่งขันของก๊าซ LPG ในกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติ จาก 0.67 บาทต่อกิโลกรัม (20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) เป็น 0.03 บาทต่อกิโลกรัม (1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสียของแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อเสนอ กบง. ในการประชุมครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG และสถานการณ์การผลิต การจัดหา การใช้ และการส่งออกก๊าซ LPG
2. เห็นชอบการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาก๊าซ LPG โดยให้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG ติดลบได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) จัดทำรายงานรายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชี ก๊าซ LPG เพื่อรายงานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ทราบทุกเดือน
3. เห็นชอบให้ลดกรอบราคาสำหรับกำกับการแข่งขันของก๊าซ LPG ในกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติ จาก 0.67 บาทต่อกิโลกรัม (20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) เป็น 0.03 บาทต่อกิโลกรัม (1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป
4. ขอความร่วมมือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) งดการส่งออกก๊าซ LPG ที่ผลิตจากกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติในเชิงพาณิชย์ ยกเว้นในกรณีที่มีความจำเป็นด้านเทคนิค และให้รายงานการส่งออกต่อกรมธุรกิจพลังงานทุกสัปดาห์
5. มอบหมายกรมธุรกิจพลังงานและสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำการวิเคราะห์แนวทางนโยบายในประเด็นการส่งออกและการปรับเปลี่ยนค่าใช้จ่ายในการนำเข้าก๊าซ LPG