มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2558 (ครั้งที่ 4)
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.00 น.
1. รายงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนเมษายน 2558
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนพฤษภาคม 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนเมษายน 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2558 มีมติเห็นชอบในการมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานฯ สามารถพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุน น้ำมันฯ หรืออัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 เมษายน 2558 โดยกำหนดช่วงที่สามารถพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ หรืออัตรา เงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ ดังนี้ (1) น้ำมันเบนซิน อยู่ในช่วง 5.65 ถึง 7.65 บาทต่อลิตร (2) น้ำมัน แก๊สโซฮอล 95 อยู่ในช่วง -0.05 ถึง 1.95 บาทต่อลิตร (3) น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 อยู่ในช่วง -0.55 ถึง 1.45 บาทต่อลิตร (4) น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 อยู่ในช่วง -2.40 ถึง -0.40 บาทต่อลิตร (5) น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ในช่วง -8.23 ถึง -6.23 บาทต่อลิตร และ (6) น้ำมันดีเซล อยู่ในช่วง -0.55 ถึง 1.45 บาทต่อลิตร
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 30 เมษายน 2558 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 17 เมษายน 2558 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.20 4.16 และ 3.90 มาอยู่ที่ระดับ 63.30 82.30 และ 77.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2558 อยู่ที่ 0.8363 0.9597 0.9219 0.9460 และ 0.9836 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม
ดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบจากประธานฯ ให้มีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมัน แก๊สโซฮอล ยกเว้น น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ลง 0.50 บาทต่อลิตร และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ น้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2558 เป็นต้นไป ผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 1.3363 1.4597 1.4219 1.4460 และ 1.3836 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงประมาณ 1,071 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 1,093 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 22 ล้านบาทต่อเดือนดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบจากประธานฯ ให้มีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมัน แก๊สโซฮอล ยกเว้น น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ลง 0.50 บาทต่อลิตร และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ น้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2558 เป็นต้นไป ผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 1.3363 1.4597 1.4219 1.4460 และ 1.3836 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงประมาณ 1,071 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 1,093 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 22 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนพฤษภาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยก ก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน โดยราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และนำเข้า อยู่ที่ 498 CP-20 และ CP+85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ และบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อยู่ที่ 13.90 บาทต่อกิโลกรัม
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ทบทวนต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2558 แล้ว สรุปว่ามีแหล่งที่ต้นทุนเปลี่ยนแปลงหนึ่งแหล่ง คือ ต้นทุนจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ส่วนต้นทุนจากอีก 3 แหล่งคงที่ จึงได้มีข้อเสนอ ดังนี้ (1) ต้นทุนจากโรงแยกฯ ลดลง 1 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จาก 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เป็น 497 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (2) คงต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก อ้างอิงราคาตลาดโลกอยู่ที่ CP-20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (3) คงต้นทุนก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ CP + 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (4) คงต้นทุนบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อยู่ที่ 13.90 บาทต่อกิโลกรัม
3. ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนพฤษภาคม 2558 อยู่ที่ 469 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มจากเดือนเมษายน 2558 จำนวน 5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนเมษายน 2558 อยู่ที่ 32.6577 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนมีนาคม 2558 จำนวน 0.1221 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.0943 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.2145 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 16.1202 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น เพื่อให้โครงสร้างราคาสะท้อนกับต้นทุนก๊าซ LPG ที่ลดลง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.5344 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.10 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้กองทุนน้ำมันจะมีรายรับอยู่ที่ประมาณ 197 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
1.1 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 497 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
1.2 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
1.3 กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
1.4 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 13.90 บาทต่อกิโลกรัมโดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วน ระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.6287 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน
ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2558 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการปฏิรูปเร็ว (Quick Win) ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน สปช. เรื่อง โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซล่าร์รูฟอย่างเสรี โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (1) โครงการส่งเสริมฯ หมายถึง การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์จากการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านและอาคาร โดยกำหนดให้นำไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปใช้ในบ้านหรืออาคารก่อน แล้วส่งไฟฟ้าที่เหลือไปขายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ (2) เป้าหมาย ในช่วง พ.ศ. 2558 – 2563 จะมีโซล่าร์รูฟขนาด ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ อย่างน้อย 100,000 ชุด และในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีอย่างน้อย 1,000,000 ชุด รวมทั้ง 5,000 เมกะวัตต์ สำหรับอาคารขนาดกลางและใหญ่ (3) ให้กระทรวงพลังงาน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาออกระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ให้การเข้าร่วมโครงการส่งเสริมฯ เป็นไปอย่างสะดวก (4) ให้บรรจุโครงการส่งเสริมฯ ไว้ในแผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาว (PDP 2558 - 2579) และ (5) ให้มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนในด้านภาษีนำเข้าและภาษีเงินได้ ซึ่ง สปช. จะได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และคณะรัฐมนตรี ต่อไป
2. เมื่อวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2558 และวันอังคารที่ 7 เมษายน 2558 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดประชุมหารือ เรื่อง โครงการส่งเสริมฯ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงาน กกพ. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ (1) เห็นด้วยกับข้อเสนอโครงการส่งเสริมฯ โดยที่ประชุมเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (2) การกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการส่งเสริมฯ จะต้องเป็นภาระค่าไฟฟ้าต่อประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าให้น้อยที่สุด และ (3) ควรมีการกำหนดพื้นที่ในการดำเนินโครงการ (Pilot Project) เพื่อพิจารณาถึง ผลดี/ผลเสีย โดยพื้นที่ทดลองจะต้องอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของ กฟน. และ กฟภ. หน่วยงานละ 1 พื้นที่
3. ปัจจุบัน สำนักงาน กกพ. อยู่ระหว่างการดำเนินการโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar PV Rooftop) ในรูปแบบ FiT ซึ่งจะรับสมัครถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ดังนั้น เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้สนใจ ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอกรอบและหลักการในการดำเนินโครงการส่งเสริมฯ ในระยะแรก ดังนี้ (1) กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นดำเนินโครงการส่งเสริมฯ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป (2) กำหนดกรอบเป้าหมายโครงการนำร่องในพื้นที่ในความรับผิดชอบของ กฟน. และ กฟภ. ครอบคลุมการติดตั้งบนหลังคาบ้านอยู่อาศัยขนาดชุดละไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ และบนอาคารชุดละไม่เกิน 500 กิโลวัตต์ ภายในปี 2558 (3) มุ่งเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (4) การกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าต้องเป็นภาระค่าไฟฟ้าต่อประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าให้น้อยที่สุด (5) ระบบมิเตอร์ควรเป็นแบบมิเตอร์สุทธิ โดยควรเสนอกระทรวงการคลังให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะปริมาณไฟฟ้าที่มีการขายสุทธิเท่านั้น (6) ให้ กฟภ. และ กฟน. คัดเลือกโครงการนำร่อง พร้อมทั้งให้ สนพ. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประเมินผลโครงการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาขยายการปฏิบัติไปทั่วประเทศต่อไป และ (7) เห็นควร มอบให้ กบง. พิจารณาโครงการส่งเสริมฯ ในรายละเอียดต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซล่าร์รูฟอย่างเสรี โดยเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ให้น้อยที่สุด โดยราคารับซื้อไฟฟ้าจะต้องไม่ก่อภาระต่อประชาชน
2. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซล่าร์รูฟอย่างเสรี โดยให้ดำเนินการในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินโครงการ และให้ กฟภ. และ กฟน. คัดเลือกพื้นที่ในการดำเนินโครงการ Pilot Project พร้อมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย พพ. สนพ. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประเมินผลโครงการ หากได้ผลดีสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดก็ขอให้พิจารณาแนวทางขยายผลการปฏิบัติไปทั่วทุกภูมิภาค ของประเทศ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ Solar เสรี ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ทราบเป็นระยะต่อไป
3. เห็นควรให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) ขนาดไม่เกิน 1,000 kWp สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง. 4) ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ได้อย่างเสรียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการติดตั้ง ในสถานการศึกษา โรงพยาบาล และสถานที่อื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นปริมาณมาก