มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 25/2556 (ครั้งที่ 159)
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การมอบอำนาจให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานดำเนินการ แทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการดำเนินคดีทางปกครอง
3. การปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จากเดิมที่อัตรา 1.70 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1.30 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาปิดตลาดของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 105.44, 116.27 และ 124.69 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวลดลง 3.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.86 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากการประชุมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 5 กรกฎาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 5 สิงหาคม 2556 อยู่ที่ 31.4535 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.1892 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 31.2643 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ผู้ค้าได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น 3 ครั้ง ในวันที่ 10, 13 และ 17 กรกฎาคม 2556 และปรับลดลง 3 ครั้ง ในวันที่ 25, 26 กรกฎาคม 2556 และวันที่ 1 สิงหาคม 2556 ดังนี้
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 18,306 ล้านบาท หนี้สินรวม 12,051 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 6,254 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ในระดับสูง และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20, E85 และน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากราคาเอทานอลอ้างอิงเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2.93 บาทต่อลิตร จากเดิม 26.24 บาทต่อลิตร เป็น 29.17 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 กับ E85 และน้ำมันดีเซลลง 0.40, 0.60 และ 0.40 บาทต่อลิตรตามลำดับ ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.46 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.84 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.57 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 22.79 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 78.36 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 55.57 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ น้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ กับพวกรวม 4 คน ได้ยื่นฟ้อง กบง. ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ 1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 2 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ที่ 3 ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ที่ 4 คณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ 5 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่ 6 คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ 7 คณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ ที่ 8) ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1143/2555 และศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งเรียกให้ทำคำให้การ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2556 พร้อมด้วยพยานหลักฐาน 1 ชุด และจัดทำคำให้การและสำเนาพยานหลักฐานที่มีการรับรองสำเนาถูกต้อง อีก 1 ชุด รวม 2 ชุด ยื่นต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้รับคำสั่งเรียกให้ทำคำให้การวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ครบกำหนดยื่นคำให้การในวันที่ 8 สิงหาคม 2556
2. ข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับ กบง. ในข้อหาที่ 1 กล่าวหาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 7 ร่วมกันกำหนดราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่แพงเกินจริงและเอื้อประโยชน์ต่อเอกชน ทำให้การกำหนดราคาเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้หยุดขึ้นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซธรรมชาติทั้งก๊าซ LPG และ NGV อันเนื่องมาจากการจ่ายเงินกองทุนชดเชยเพื่ออุดหนุนกลุ่มปิโตรเคมีและอุตสาหกรรม การผูกขาดการขายก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา และการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าการตลาด ค่าขนส่ง การกำหนดอัตราราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีกอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กบง. ดังนั้น การกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจึงเป็นการกระทำทางปกครองอย่างหนึ่ง เมื่อผู้ฟ้องคดีอ้างว่า การกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้หยุดการกระทำการดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
3. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ กบง. ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบคำให้การ แต่เนื่องจากเอกสารหลักฐานดังกล่าวมีปริมาณมาก ทำให้ไม่สามารถยื่นคำให้การได้ทันตามกำหนด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 สนพ. ได้มีหนังสือถึงตุลาการศาลปกครอง (นายวุฒิชัย แสงสำราญ) เพื่อขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การต่อศาลปกครองไปอีก 30 วัน นับแต่วันครบกำหนดเดิม รวมทั้งได้มีความเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินคดีปกครองเกิดประโยชน์ต่อทางราชการ เห็นควรมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองแทน กบง. ทั้งนี้ การแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการแก้ต่างคดีกรณีมีการฟ้องร้องในอนาคต ซึ่งเป็นกรณีเร่งด่วนและไม่อาจเรียกประชุม กบง. เพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการให้ดำเนินการแก้ต่างคดีได้ทัน ซึ่งอาจเกิดผลเสียหายในการต่อสู้คดี เห็นควรมอบหมายให้ประธาน กบง. มีอำนาจทำการแทน กบง. ตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2554 เรื่อง “การกำหนดหลักเกณฑ์และปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินคดีปกครอง ในศาลปกครองกรณีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฟ้องในคดีปกครอง” โดยมอบอำนาจในการดำเนินคดีปกครองในนาม กบง. ต่อศาลปกครอง ให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีกรณีที่ กบง. เป็นผู้ฟ้องคดีหรือถูกฟ้องคดีปกครองทุกศาลและทุกชั้นศาลปกครองจนกว่าคดี จะถึงที่สุด และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดได้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิหรือไม่ก็ตาม เช่น การยอมรับตามที่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิหรือ ใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด หรือในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตลอดจนให้มีอำนาจในการมอบอำนาจช่วงให้นิติกรไปดำเนินการใดๆ แทน
มติของที่ประชุม
1. เห็นควรให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีกรณีที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้ฟ้องคดีหรือถูกฟ้องคดีปกครองทุกศาลและทุกชั้นศาลปกครองจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ได้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิหรือไม่ก็ตาม เช่น การยอมรับตามที่คู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์ ต่อศาลปกครองสูงสุด หรือในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตลอดจนให้มีอำนาจในการมอบอำนาจช่วงให้นิติกร ไปดำเนินการใดๆ แทน
2. มอบหมายให้ประธาน กบง. มีอำนาจแทน กบง. ในการลงนามในใบมอบอำนาจและเอกสาร ที่เกี่ยวข้องเพื่อแต่งตั้งให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีปกครอง ในนาม กบง. ทุกคดี
เรื่อง การปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายของภาคเอกชนจากปัจจุบันร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รับไปดำเนินการออกประกาศ ธพ. เพื่อปรับเพิ่มอัตราสำรอง โดยให้มีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน และกรณีมีผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนด ให้ขอผ่อนผันเป็นรายไป ต่อมาเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงกลั่นน้ำมันของ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องหยุดการผลิตไม่น้อยกว่า 3 เดือน ทั้งนี้ ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2555 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ในฐานะประธานฯ กบง. ได้มีความเห็นว่า เห็นควรให้เลื่อนการออกประกาศดังกล่าวออกไปก่อน
2. ธพ. ได้หารือกับผู้ค้าน้ำมันฯ เกี่ยวกับการปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงจากร้อยละ 5 เป็น ร้อยละ 6 และแนวทางการจัดตั้งการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) จำนวน 3 ครั้ง โดยมีผลสรุปว่า ผู้ค้าน้ำมันฯ เห็นด้วยกับการปรับอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นและได้เตรียมความพร้อมในระดับหนึ่งแล้ว แต่เสนอให้บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เพื่อเผื่อเวลาสำหรับการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงมาเก็บเพิ่มขึ้นหลังจากกฎกระทรวงคลังน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 ของกระทรวงพลังงาน มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2556 ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวได้ผ่อนคลายข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขื่อนเก็บกักน้ำมัน ทำให้ผู้ค้าน้ำมันฯ บางรายจะมีพื้นที่ถังสำหรับเก็บน้ำมันเพิ่มขึ้นและเพียงพอจะรับฝากน้ำมันเชื้อเพลิง ของผู้ค้าน้ำมันฯ รายอื่นได้ด้วย รวมทั้งการเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงได้กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันฯ สามารถเก็บน้ำมันอีกชนิดแทนได้ (เลือกเก็บน้ำมันดิบแทนน้ำมันสำเร็จรูปหรือเก็บน้ำมันสำเร็จรูปแทนน้ำมันดิบ) ในอัตรา 1 : 1 เฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 แต่ในส่วนของร้อยละ 5 เดิม สามารถเก็บน้ำมันแทนกันได้ แต่ต้องใช้สูตรการกลั่นเป็นตัวคำนวณปริมาณน้ำมันที่จะต้องเก็บแทนกัน และผู้ค้าน้ำมันฯ ได้เห็นด้วยกับการจัดตั้ง SPR ที่จะเชื่อมโยงกับโครงการจัดตั้งสะพานเศรษฐกิจพลังงาน (Energy Land Bridge) และโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันทั่วประเทศและคลังน้ำมันชายแดน เพื่อเพิ่มความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งมีความเห็นว่าเมื่อจัดตั้ง SPR ได้แล้ว ควรปรับลดอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของภาคเอกชนลงบางส่วน
3. เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 ธพ. ได้ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง “กำหนดชนิด และอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณปริมาณสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556” สำหรับการปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายของภาคเอกชนจากเดิมร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 โดยได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2556 ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่กำหนดให้ การประกาศกำหนดชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองและประกาศเปลี่ยนแปลงการกำหนดชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองซึ่งได้ประกาศไว้แล้วให้สูงขึ้น ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กำหนดไว้ในประกาศนั้น แต่ต้องไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ