นโยบายและแผน (182)
Children categories
คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ”จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2550 (ประกาศ ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2550)เพื่อใช้เป็นกลไกสำคัญที่จะส่งผลให้การดำเนินงานได้บรรลุตามความมุ่งหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและในปี 2552 ได้มีการแก้ไขคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552 (ประกาศ ณ วันที่ 27 กันยายน 2552)“คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” ประกอบด้วย
1. นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ
3. กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านพลังงาน หรือด้านอื่นที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินเก้าคน
และมีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ”
มีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้
1. กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การป้องกันและการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย การกักเก็บและการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2. กำหนดนโยบาย แนวทาง หลักเกณฑ์ และกลไกการดำเนินงานร่วมกับนานาชาติเกี่ยวกับการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
3. เสนอแนะการแก้ไขเพิ่มเติมหรือปรับปรุงกฎหมายที่จำเป็นหรือเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยผูกพันและต้องปฏิบัติตามความตกลงที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาและพิธีสาร หรือการดำเนินการต่างๆ ที่ควรกระทำเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนหลักการและวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาหรือพิธีสาร ทั้งนี้ โดยให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
4. กำหนดแนวทางและท่าทีในการเจรจาเกี่ยวกับอนุสัญญาและพิธีสารโดยต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และผลประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
5. กำกับการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางหลักเกณฑ์ และกลไกการดำเนินงาน ที่กำหนดตามระเบียบนี้
6. พิจารณาและสนับสนุนให้มีการจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยงานของรัฐในการดำเนินงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเหมาะสม
7. กำหนดมาตรการเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและประสานงานระหว่างหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
8. พิจารณาเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
9. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อปฏิบัติการตามระเบียบนี้หรือตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
10. ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบนี้ หรือกฎหมายอื่น หรือตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย
จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2552 โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสังคม นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมด้วยที่ประชุมเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ ดังนี้
1. คณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านวิชาการ และด้านการเจรจา มีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน คณะกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเลขานุการ เจ้าหน้าที่สำนักงานนโยบายและแผนฯ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะข้อคิดเห็นทางวิชาการในการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์การป้องกันและการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย รวมถึงเสนอแนะแนวทาง หลักเกณฑ์ กลไกการดำเนินงานร่วมกับนานาชาติ และมาตรการที่จำเป็นหรือเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยผูกพันและต้องปฏิบัติตามความตกลงที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาและพิธีสาร ตลอดจนแนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือ ข้อมูลทางวิชาการ และปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย
2. คณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการประสานท่าทีไทยในการเจรจา มีอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ และเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานร่วม ผู้แทนจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นอนุกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเลขานุการ เจ้าหน้าที่กองกิจการเพื่อการพัฒนา กรมองค์การระหว่างประเทศ และเจ้าหน้าที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ ในการประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสัมคม เพื่อพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสำหรับประกอบการพิจารณากำหนดเป็นท่าทีไทยในการเจรจา ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) และพิธีสารเกียวโต รวมทั้งกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งทวิภาคีและพหุภาคี ตลอดจนเสนอข้อมูล ความเห็น ข้อเสนอแนะ ปัญหา/อุปสรรค ในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายฯ และจัดตั้งคณะทำงานในด้านต่าง ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสมและจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายนได้เห็นชอบในหลักการของการจัดตั้งผู้ประสานงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Convention Officer : CCCO) โดยมีหลักการดังนี้
1) จัดตั้ง CCCO ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 30 หน่วยงานประกอบด้วยหน่วยงานระดับกระทรวง 19 หน่วยงาน (ทุกกระทรวง) และหน่วยงานที่มิใช่กระทรวง 11 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรุงเทพมหานคร
2) CCCO ของแต่ละหน่วยงานจะประกอบด้วย
2.1) หัวหน้า CCCO เป็นข้าราชการประจำ ในกรณีของกระทรวงได้แก่ รองปลัดกระทรวงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมอบหมายในกรณีของหน่วยงานที่ไม่ใช่กระทรวง ได้แก่รองหัวหน้าหน่วยงานหรือที่ปรึกษาที่หัวหน้าหน่วยงานมอบหมาย
2.2) ผู้ช่วย CCCO อย่างน้อย 1 คนโดยในจำนวนนั้นต้องเป็นข้าราชการประจำผู้ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษขึ้นไปอย่างน้อย 1 คน ซึ่งต้องทำหน้าที่เต็มเวลาอนึ่ง มติที่ประชุมผู้ประสานงาน CCCO เมื่อ10 กุมภาพันธ์ 2553 ให้ผู้ช่วย CCCO เป็นพนักงานของหน่วยงานรัฐในสังกัดระดับเทียบเท่าเพิ่ม เติมด้วย
3) การแต่งตั้ง CCCO ให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงในกรณีของกระทรวงหรือหัวหน้าหน่วยงานในกรณีไม่ใช่กระทรวงเป็นผู้เสนอชื่อให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ เนื่องจาก CCCO มีอำนาจหน้าที่และบทบาทสำคัญต่อการสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยภายใต้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฯ
4) ให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงในกรณีของกระทรวงหรือหัวหน้าหน่วยงานในกรณีไม่ใช่กระทรวงเป็นผู้พิจารณากำหนดตามความเหมาะสม
5) อำนาจ หน้าที่ และบทบาทของ CCCO
5.1) ประสาน งานเกี่ยวกับการเสนอเรื่องและการเสนอความเห็นของหน่วยงานต่างๆต่อคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
5.2) ประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานของส่วนราชการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
5.3) ประสานงานเกี่ยวกับวาระการประชุม และมติของคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
5.4) ประสานงานและติดตามให้หน่วยงานในสังกัดจัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
5.5) ประสานงาน ผลักดันและส่งเสริมให้หน่วยงานในสังกัดมีแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
5.6) ประสานงานเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ ในภารกิจของคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
ข้อมูล: สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมhttp://www.onep.go.th/รัฐบาลไทยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2550
ระหว่างปี พ.ศ. 2547 – 2550 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้เสนอเรื่องการจัดตั้งองค์กรรองรับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้มีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2549 ให้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและสำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2550 (ประกาศ ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2550)เป็นกลไกสำคัญที่จะส่งผลให้การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้บรรลุตามความมุ่งหมาย และในปี 2552 ได้มีการแก้ไขคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552(ประกาศ ณ วันที่ 27 กันยายน 2552)
ข้อมูล: สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมhttp://www.onep.go.th/
Cancun Agreement
COP 16 (29 November-10 December, 2010) การประชุมครั้งที่ 16 หรือ COP 16 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม ค.ศ.2010 ที่เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก โดยในการประชุมนี้ข้อตกลงแคนคูน (Cancun Agreement) เริ่มมีความชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลังปี ค.ศ. 2012 โดยมีรายละเอียดของการประชุม ดังต่อไปนี้
กำหนดเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสกระตุ้นประเทศกำลังพัฒนาให้เข้าร่วมโครงการ NAMAs เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการลดก๊าซเรือนกระจกจากระดับที่ปล่อยปกติภายในปี ค.ศ. 2020 โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินและการดำเนินการจากประเทศที่พัฒนาแล้วและ Green Environmental Fund การยกระดับการรายงานผลการลดและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทุกๆ 2 ปี พร้อมทั้งความรับผิดชอบในการจัดทำการ ตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบ (Measurable, Reportable and Verifiable: MRV) ที่เป็นมาตรฐานสากลกระตุ้นให้ประเทศกำลังพัฒนาได้จัดทำยุทธศาสตร์หรือแผนการพัฒนาสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low carbon society) ในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนให้ใช้ปี ค.ศ. 1990 เป็นปีฐาน สำหรับพันธกรณีช่วงที่ 2 ของพิธีสารเกียวโตขยายเวลาทำงานออกไปอีก 1 ปี เพื่อเจรจาให้ได้ agree outcome รวมถึงรายละเอียดของการดำเนินงานและเสนอผลต่อที่ประชุมใน COP-17
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
AWG-KP
AWG-KP
จากการทบทวน AWG-KP ครั้งล่าสุด และจากการศึกษาแนวโน้มการเจรจาที่อาจจะมีผลต่อการดำเนินงาน CDM ภายหลังปี ค.ศ. 2012 ได้มีการอภิปรายหาข้อตกลงร่วมกัน เช่น ความโปร่ใสและความเป็นกลางของ CDM EB แผนการให้เงินกู้เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ CDM ในประเทศที่มีโครงการได้รับการขึ้นทะเบียนน้อยกว่า 10 โครงการ การพิจารณาโครงการ CCS เป็นโครงการ CDM และการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
- การเรียกร้องให้ CDM EB ที่ผ่านมาปรับปรุงกฎระเบียบการพิสูจน์ Additionality ให้ง่ายขึ้นสำหรับโครงการขนาดเล็ก เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียนซึ่งมีกำลังการผลิตน้อยกว่า 5 MW และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานซึ่งสามารถลดการใช้พลังงานได้ไม่เกิน 20 GWh/yr และสำรวจทางเลือกอื่นๆ ในการพิสูจน์และประเมิน Additionallyการเห็นชอบให้ประเทศต่างๆ ผู้พัฒนาโครงการหรือองค์กรระหว่างประเทศโดยผ่านทาง DNA ของประเทศเจ้าบ้านสามารถยื่นข้อเสนอสำหรับการใช้ Standardized baselines กับ methodology แบบใหม่หรือที่ยังคงมีอยู่เพื่อให้ EB พิจารณาการมีมติเห็นชอบให้โครงการ CCS สามารถดำเนินเป็นโครงการ CDM ได้จากการศึกษาของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) (พฤศจิกายน พ.ศ. 2553) ได้มีการสรุปการศึกษาจากมติการประชุมของ COP 15พบว่าแนวทางของมาตรการใหม่จากระบอบระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มที่จะมีผลต่อรูปแบบการดำเนินงานของ CDM จะเป็นไปในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า กลไกที่ยืดหยุ่น (Flexible Mechanism) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรูปแบบที่มีอยู่เดิมที่ถูกนำเสนอโดยกลุ่มประเทศในภาคผนวกที่ I เพื่อใช้หลัง ค.ศ. 2012 ซึ่งจะมีผลต่อแนวทางการดำเนินโครงการ CDM ดังนี้
- Sectoral CDM เป็นการดำเนินการของสาขาการผลิตใดๆ ร่วมกันดำเนินโครงการ CDM ที่มีการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกันทั้งสาขา (ปริมาณ CERs ที่ได้รับการรับรองก็จะเป็นของทั้งสาขาและมีการจัดสรรให้แก่ผู้ผลิตในสาขานั้นทุกรายที่เข้าร่วมโครงการ) ทั้งนี้จะต้องมีการกำหนดเส้นฐานอ้างอิงระดับสาขา (Sectoral Baseline) Sectoral Crediting Mechanism เป็นการดำเนินการของสาขาการผลิตใดๆ ที่ร่วมกันดำเนินโครงการ CDM ทั้งนี้จะต้องมีการกำหนดเส้นฐานอ้างอิงระดับสาขาร่วมกัน และมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับสาขาร่วมกัน แต่หากโครงการ CDM ไม่สามารถดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ก็จะไม่สามารถขายปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ (sectoral credits)
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
MRV (Measurable, Reportable and Verifiable)
MRV ย่อมาจาก Measurable, Reportable and Verifiable หมายถึงการวัดผลได้ การรายงานผล และการตรวจสอบพิสูจน์ผลได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่กำหนดค่า (Parameter) ที่จำเป็นในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ที่จะต้องใช้เป็นแนวทางในการวัดและพิสูจน์ผล ซึ่งได้ปรากฎในย่อหน้าย่อยที่ (i), (ii) ของย่อหน้า 1(b) ในแผนปฏิบัติการบาหลี (Bali action plan)การลดก๊าซเรือนกระจกตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ (Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMAs) ในกรณีการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ (Internationally supported mitigation actions) ต้องมีการตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบอย่างน้อยภายในประเทศ (MRV domestically) และควรจะต้องมีการตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบตามแนวทางระหว่างประเทศที่จะพัฒนาขึ้นภายใต้อนุสัญญาฯ และในกรณีการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนภายในประเทศ (Domestically supported mitigation actions) ต้องมีการตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบอย่างน้อยภายในประเทศ (MRV domestically) ตามแนวทางที่จะพัฒนาขึ้นภายใต้อนุสัญญาฯ
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
Sectoral Approach: SA
Sectoral Approach: SAตั้งแต่อนุสัญญาฯ ถูกรับรองขึ้นและประกาศพิธีสารเกียวโต มาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมุ่งเน้นการจัดการในรูปแบบ Country-specific Quantitative Approach คือการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แต่ละประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศจะไปกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละสาขาการผลิตเอง ในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งถูกจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภาคการผลิตใดที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้ สามารถนำเอา Carbon Credit ไปซื้อขายในตลาดการค้าคาร์บอนได้แต่แนวคิดหนึ่งของการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกใหม่หลังหมดพันธกรณีแรกของพิธีสารเกียวโต โดยมีแนวคิดการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการพิจารณาแยกตามรายสาขาการผลิตหรือบริการต่างๆ ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าสาขาทั่วไป เช่นสาขาโรงงานเหล็ก โรงงานปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน หรืออุตสาหกรรมด้านพลังงาน เป็นต้น โดยใน COP 16 นั้น ไม่ได้มีวาระและการเจรจาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการในส่วนนี้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นที่ปรึกษาจะสรุปรายละเอียดตามการเจรจาล่าสุดของ AWG-LCA 10 ดังนี้
แนวทาง Cooperative Sectoral และข้อปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงตามรายสาขาควร (should) สอดคล้องกับข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องและหลักการที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาฯ [โดยเฉพาะหลักการรับผิดชอบร่วมกันแต่แตกต่างกัน] [และอาจจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศภาคีที่จะสำรวจแนวทาง (Measures) และข้อปฎิบัติ (Actions) เหล่านี้ต่อไป] [ที่ซึ่งการจำกัดการปล่อยก๊าซฯ และการลดการปล่อยก๊าซฯ ที่ไม่ได้ถูกควบคุมภายใต้พิธีสารมอนทรีออล อันเนื่องมาจากเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับการบิน (Aviation) และเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับการขนส่งโดยเรือ (Marine Bunker Fuels) ควร (should) ได้รับการดำเนินการต่อไปผ่านทาง International Civil Aviation Organization สำหรับการบิน และ the International Maritime Organization สำหรับภาคการขนส่งโดยเรือ [โดยคำนึงถึงหลักการและข้อกำหนดที่ระบุไว้ในอนุสัญญาฯ] [ในอัตราการลดที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในระดับโลก ที่ระบุไว้ในหัวข้อวิสัยทัศน์ระยะยาวร่วมกัน ที่กล่าวไว้ในข้างต้นของร่างเอกสารการเจรจาฉบับนี้] ประเทศภาคีต้อง (shall) สืบสานแนวทางรายสาขา และข้อปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงตามรายสาขา เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามที่ระบุไว้ในมาตราที่ 4.1 (c) ของอนุสัญญาฯในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาขาการผลิตภาคเกษตรกรรมดังที่ระบุไว้ในเอกสาร FCCC/AWG-LCA/2010/6 โดยสาระสำคัญที่ระบุไว้ในเอกสารที่กล่าวถึงคือ การดำเนินการตามแนวทาง Cooperative Sectoral และข้อปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงตามรายสาขาในภาคเกษตรกรรม ควรพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการเกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ความเชื่อมโยงระหว่างการปรับตัวและการลด กับความจำเป็นในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงทางอาหารจาการใช้แนวทางและข้อปฎิบัติเหล่านั้น โดยทุกประเทศภาคีได้ตัดสินใจบนหลักการความรับผิดชอบร่วมกันแต่แตกต่างกัน ที่ควร (should) ร่วมมือกันในด้านการค้นคว้าวิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี, วิธีปฎิบัติ (Practices) และกระบวนการ (Process) ที่ควบคุม ลด และป้องกันการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การเพิ่มประสิทธิภาพและการเพิ่มผลผลิตในภาคเกษตรกรรมตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ซึ่งสามารถสนับสนุนการปรับตัวต่อความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นการสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารด้วยเช่นกันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสาขาการผลิตเป็นกรอบแนวคิดมากกว่าแนวทางนโยบายใดแนวทางนโยบายหนึ่ง ตั้งแต่อนุสัญญาฯ ถูกจัดตั้งขึ้น และประกาศใช้พิธีสารเกียวโต แนวทางนโยบายบรรเทาภาวะโลกร้อนมุ่งเป้าไปที่แนวทางองค์รวมของแต่ละประเทศ (comprehensive approach) ทางอนุสัญญาฯ ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แต่ละประเทศ แล้วรัฐบาลประเทศเหล่านั้นกระจายความรับผิดชอบไปให้แต่ละสาขาการผลิตภายในประเทศตัวเอง กรณีนี้มีชื่อเรียกคือ Country-specific Quantitative Approach ซึ่งก็ถือเป็น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสาขาการผลิตรูปแบบหนึ่ง (รศ. ดร. นิรมล สุธรรมกิจ, 2553) แนวทางที่น่าสนใจอีกแนวทางหนึ่งคือ Transnational Quantitative Sectoral Approach เป็นความร่วมมือกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับนานาชาติ โดยการกำหนดระดับการปล่อยของแต่ละสาขาการผลิต คุณประโยชน์หลักๆ ของแนวทางฯ ในแต่ละสาขาการผลิตแบบนี้คือผู้ประกอบการในประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ได้ถูกผูกมัดตามพิธีสารเกียวโตก็สามารถมีส่วนร่วมได้การเจรจาสามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากแต่ละผู้เจรจาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประกอบการในสาขาเดียวกันช่วยลดปัญหาช่องว่างของการแข่งขันอันเกิดจากนโยบายสิ่งแวดล้อมที่ไม่สมมาตรระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา อันจะนำไปสู่การรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage)อย่างไรก็ดี คุณสมบัติของสาขาการผลิตที่เหมาะสมกับนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรูปแบบนี้ควรจะต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลและมีศักยภาพที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMAs
Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMAs เป็นแนวคิดหนึ่งของการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกใหม่หลังหมดพันธกรณีแรก (วาระแรก) ของพิธีสารเกียวโต โดยจะเน้นตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคาดว่าจะอาศัยหลักการเดิม คือ ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วจะรับผิดชอบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน แต่ด้วยความรับผิดชอบที่แตกต่างกันตามศักยภาพ รวมทั้งการดำเนินการในมาตรการ NAMAs จะต้องเป็นไปโดยสมัครใจผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศพัฒนาแล้ว ในปัจจุบัน แนวคิด NAMAs นี้ยังถือว่าอยู่ในระหว่างการตกลงแนวทางการดำเนินงานร่วมกันอยู่ และยังไม่มีแนวทางที่เป็นมติเอกฉันท์ใดๆ โดยสามารถสรุปรายละเอียดหลักตามการเจรจาล่าสุดของ AWG-LCA 13 ดังแสดงใน (Draft decision -/CP16) ดังนี้ตกลงว่า (agree) ประเทศกำลังพัฒนาจะดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก (NAMAs) ในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้รับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี การเงิน และการเสริมสร้างศักยภาพเพื่อให้บรรลุการลดก๊าซเรือนกระจกลงจากการปล่อยตามปกติ ภายในปี ค.ศ. 2020รับทราบ (take note) ว่าการลดก๊าซเรือนกระจกที่จะดำเนินการโดยประเทศกำลังพัฒนา ตามที่ได้สื่อสาร และระบุในเอกสาร FCCC/AWGLCA/2010/INF.Yเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 4 วรรค 3 ของอนุสัญญาฯ ประเทศพัฒนาแล้วต้องให้การสนับสนุนทางการเงิน เทคโนโลยี และเสริมศักยภาพต่อประเทศกำลังพัฒนา สำหรับการเตรียมการและดำเนินการ NAMAs รวมทั้งยกระดับด้านการรายงานผลให้จัดตั้งระบบลงทะเบียน (Registry) เพื่อบันทึกกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกที่ต้องการขอรับการสนับสนุนระหว่างประเทศ และช่วยจัดคู่การสนับสนุนทางการเงิน เทคโนโลยี และการเสริมศักยภาพ ต่อกจิกรรมลดก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว และให้สำนักเลขาธิการฯเป็นผู้บันทึกข้อมูลกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกและการสนับสนุน ลงในส่วนของการลงทะเบียนต่อไปเรียกร้อง (Request) ให้เลขาธิการฯ ทำการบันทึกและปรับปรุงข้อมูลที่ได้จากประเทศสมาชิกในระบบลงทะเบียน ดังนี้
NAMAs ที่กำลังหาการสนับสนุนการสนับสนุนจากประเทศกำลังพัฒนาที่มีให้แก่การดำเนินงานด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกการสนับสนุนที่มีให้แก่ NAMAs กรณีการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ (Internationally supported mitigation actions) ให้มีการตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบอย่างน้อยภายในประเทศ (MRV domestically) และควรจะต้องมีการตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบตามแนวทางระหว่างประเทศที่จะพัฒนาขึ้นภายใต้อนุสัญญาฯ กรณีการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนภายในประเทศ (Domestically supported mitigation actions) ให้มีการตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบอย่างน้อยภายในประเทศ (MRV Domestically) ตามแนวทางที่จะพัฒนาขึ้นภายใต้อนุสัญญาฯ ให้จัดตั้ง Work Program เพื่อพัฒนา Modalities and Guidelines ต่างๆ ได้แก่การช่วยเหลือด้านการสนับสนุนต่อ NAMAs ผ่านระบบ Registry MRV ของกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุน และการสนับสนุนที่ให้รายงานราย 2 ปี ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา Domestic Verification ของ Domestic NAMAs กระบวนการ International Consultation and Analysis เนื่องจากคำว่า NAMAs เป็นคำที่ถกเถียงกันมากในแง่ของความหมายและการใช้เพื่อแสดงความหมายในเวทีเจรจาโลก ที่ปรึกษาจะขออ้างอิงความหมายและการจำแนกประเภทของ NAMAs ทั้งจากการทบทวนเอกสารของ UNFCCC และตามการศึกษาของ Zhakata (2009) และ สกว. (พ.ศ. 2553) ที่ได้จัดแบ่ง NAMAs ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. Domestically supported mitigation actions หรือการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนภายในประเทศ
2. Internationally supported mitigation actions หรือการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนระหว่างประเทศ
3. NAMA Crediting Mechanism หรือการลดก๊าซเรือนกระจกที่แต่ละประเทศสามารถนำเอาคาร์บอนเครดิตที่ได้รับจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
จากการทบทวนมาตรการ NAMAs ตามเอกสารเจรจาที่มีอยู่ในการประชุมล่าสุด พบว่า ถึงแม้ว่าแนวทางการดำเนินการของ NAMAs ยังไม่ชัดเจน เนื่องจาก ยังไม่มีการตกลงกันอย่างแน่ชัดในที่ประชุมของ AWG-LCA โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับแนวทาง Crediting Mechanism แต่มาตรการนี้ก็อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงอย่างจริงจังเพื่อให้เป็นมาตรการที่สามารถช่วยประเทศกำลังพัฒนาและกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขของ Domestically supported mitigation actions และ Internationally supported mitigation actions เพื่อให้ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันทั้งเพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการได้รับการสนับสนุนการพัฒนาทางเทคโนโลยีควบคู่กันต่อไปในอนาคต
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
AWG-LCA
ภายหลังปี ค.ศ. 2012 ที่พิธีสารเกียวโตสิ้นสุดพันธกรณีแรก ประเทศไทยอาจจะถูกจัดกลุ่มใหม่ หรืออาจได้รับข้อกำหนดเพื่อรับผิดชอบในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยนโยบายว่าด้วยความร่วมมือระยะยาวภายใต้อนุสัญญาฯ ภายหลังปี ค.ศ. 2012 ที่มีแนวโน้มว่าจะมีผลกระทบกับภาคพลังงานของประเทศไทย
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
Bali Action Plan
COP 13(3-15 December, 2008) การประชุมครั้งที่ 13 หรือ COP 13 ถูกจัดขึ้นในวันที่ 3-15 ธันวาคม ค.ศ. 2008 ที่เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยในการประชุมครั้งนี้ประเทศภาคีสมาชิกได้ร่วมกันร่าง Bali Road Map ซึ่งเป็นมติให้จัดทำกระบวนการที่จะเร่งรัดให้สามารถดำเนินการภายใต้อนุสัญญาฯ อย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานของ common but differentiated responsibilities and respective capabilities และเรียกร้องให้แต่ละประเทศกำลังพัฒนามีการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยวิธีการที่เหมาะสม (National Appropriate Mitigation Actions - NAMAs) และสมัครใจ โดยกิจกรรมเหล่านั้นจะต้องสนับสนุนต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ รวมถึงส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่งเสริมศักยภาพของคนในประเทศ และ สามารถตรวจวัด รายงาน และตรวจสอบได้
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
Clean Development Mechanism (CDM)
ตามมาตราที่ 12 ของพิธีสารเกียวโตได้กำหนดกลไกการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เรียกว่า CDM ขึ้น ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยประเทศในภาคผนวกที่ I ของอนุสัญญาฯในการบรรลุถึงเป้าหมายการกำจัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามพันธกรณีของต้น และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศนอกภาคผนวกที่ I โดยมีรายละเอียดโดยคร่าว ดังต่อไปนี้
CDM มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือภาคีที่ไม่รวมอยู่ในภาคผนวกที่ I ให้สามารถบรรลุถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable development) และให้มีส่วนสนับสนุนวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาฯและเพื่อช่วยเหลือประเทศภาคีในกลุ่มภาคผนวกที่ I ให้สามารถปฏิบัติพันธกรณีเกี่ยวกับการจำกัดและการลดการปล่อยตามปริมาณที่กำหนด ได้อย่างสอดคล้องภายใต้ CDM ภาคีที่ไม่รวมอยู่ในภาคผนวกที่ I จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินกิจกรรมโครงการ (project activities) อันเป็นผลจากการลดการปล่อยก๊าซที่ได้ผ่านการรับรองแล้ว (certified emission reductions) ภาคีที่มีชื่อรวมอยู่ในภาคผนวกที่ I อาจนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซซึ่งผ่านการรับรองแล้วที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมโครงการดังกล่าวไปใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับส่วนหนึ่งของพันธกรณีในการจำกัดและการลดการปล่อยตามปริมาณที่กำหนด ภายใต้มาตราที่ 3 ตามการพิจารณาของที่ประชุมภาคีในฐานะที่เป็นการประชุมของภาคีตามพิธีสารนี้ได้รูปแบบและแนวปฏิบัติของ CDM จะถูกกำหนดโดยมติที่ประชุมรัฐภาคีในฐานะที่เป็นการประชุมของภาคีตามพิธีสารนี้ และโดยให้คณะกรรมการบริหาร (Executive Board) ของ CDM เป็นผู้กำกับดูแลการลดการปล่อยก๊าซที่เป็นผลจากการดำเนินกิจกรรมของแต่ละโครงการต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานปฏิบัติงาน (Designated Operational Entities) ที่ประชุมภาคีในฐานะที่เป็นการประชุมของภาคีตามพิธีสารนี้ ได้มอบหมายบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมโดยสมัครใจ ตามที่แต่ละภาคีที่เกี่ยวข้องเห็นชอบผลประโยชน์ในระยะยาวที่แท้จริงและที่สามารถวัดได้ ที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโครงการลดการปล่อยก๊าซที่จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดการสนับสนุนภายใต้กลไก CDM
CDM ต้องช่วยหลือในการจัดหาเงินทุนในการดำเนินกิจกรรมโครงการที่ผ่านการรับรองแล้วตามความจำเป็นในการประชุมสมัยแรกของประเทศภาคีตามพิธีสารนี้ ต้องจัดทำรูปแบบและวิธีการปฏิบัติงานอย่างละเอียดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เกิด ความโปร่งใส (transparency) ประสิทธิภาพ (efficiency) และความรับผิดชอบ (accountability) โดยให้มีการตรวจสอบอย่างอิสระ (independent audition) และการตรวจทานความถูกต้อง (verification) ของกิจกรรมโครงการที่ประชุมภาคีตามพิธีสารนี้ ต้องทำให้แน่ใจว่าเงินส่วนแบ่ง (share) ที่ได้มาจากการดำเนินกิจกรรมโครงการที่ผ่านการรับรองแล้ว ถูกนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางด้านบริหาร และนำไปช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาที่จะได้รับผลกระทบในเชิงลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง (costs of adaptation)การเข้าไปมีส่วนร่วมภายใต้กลไก CDM รวมถึงกิจกรรมที่กล่าวในข้อที่ 3 และการเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดหาเพื่อให้ได้มาซึ่งการลดการปล่อยก๊าซซึ่งผ่านการรับรองแล้ว อาจเกี่ยวข้องกับองค์กรเอกชน และ/หรือองค์กรของรัฐ จะต้องขึ้นอยู่กับแนวปฏิบัติตามที่คณะกรรมการบริหารของ CDM จัดทำขึ้นการลดการปล่อยก๊าซซึ่งผ่านการรับรองแล้ว ที่ได้มาในระหว่างปี ค.ศ. 2000 จนถึงจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาดำเนินการตามพันธกรณีช่วงแรก (ปี ค.ศ. 2008) สามารถนำไปใช้เพื่อช่วยในการบรรลุตามพันธกรณีในช่วงพันธกรณีแรกได้
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด