มติ กอ (46)
กอ. ครั้งที่ 16 - วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2542
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 16)
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2542 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4. คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
5. โครงการจัดซื้ออาคารถาวรเพื่อจัดทำโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน ของ สพช.
6. โครงการศึกษาเรื่องการกำหนดโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดตั้ง ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
8. แผนปฏิบัติการโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบ หรือก่อสร้าง ปี 2542
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของ สพช. บก. และ พพ. ตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2541 ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 468,528,810.36 บาท และมีงบประมาณคงเหลือเป็นเงินทั้งสิ้น 2,516,742,993.00 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานของแผนงานภาคบังคับ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ระหว่างปี 2538-2541 ดังนี้
1.1 อาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
1) อาคารควบคุมได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (บพท.1) เพื่อทำการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น จำนวนทั้งสิ้น 970 ราย และได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว 836 ราย เป็นอาคารเอกชน 606 ราย และเป็นอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ 230 ราย เป็นเงิน 242,570,425 บาท
2) อาคารควบคุมส่งรายงานการตรวจสอบฯ ให้ พพ. จำนวน 524 ราย โดย พพ. ได้ให้ความเห็นชอบกับรายงานตรวจสอบฯ แล้ว จำนวน 309 ราย พบว่าอาคารเหล่านั้นมีการใช้พลังงานไฟฟ้า 1,611.45 ล้านหน่วยต่อปี มีศักยภาพที่จะอนุรักษ์พลังงานได้ 183.43 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่จะประหยัดได้ปีละ 466.07 ล้านบาท โดยจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1,707.97 ล้านบาท
1.2 โรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน
โรงงานควบคุมได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (บพท.1) เพื่อทำการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น จำนวนทั้งสิ้น 191 ราย และได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว 81 ราย เป็นโรงงานเอกชน 79 ราย และเป็นโรงงานส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ 2 ราย เป็นเงิน 8.1 ล้านบาท
1.3 โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2541 (ครั้งที่ 16) มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้างปี 2542 ตามที่ พพ. เสนอ
2. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้มีมติเกี่ยวกับโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 โดยเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 และอนุมัติให้ พพ. ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามแผนดังกล่าวฯ ในปีที่ 1 และอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนฯ ปีที่ 1 ในวงเงิน 592,920,000 บาท และให้ พพ. ปรับแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ 2 ตามผลการประเมินโครงการฯ ของ สพช. และเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการในระยะที่ 2 ปีที่ 2 ต่อไป
คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2542 ไปแล้วรวมเป็นเงิน 27,365,850 บาท เพียง ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2541 โดยแยกเป็น
1) ค่าใช้จ่ายเพื่อว่าจ้างตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน จำนวน 135 แห่ง เป็นเงินรวม 13,252,500 บาท
2) ค่าใช้จ่ายเพื่อว่าจ้างบริหารงานการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน จำนวน 200 แห่ง เป็นเงินรวม 9,315,000 บาท
3) ค่าบริหารและประสานงานโครงการ เป็นเงินรวม 4,798,350 บาท
3. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ
คณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ จำนวนทั้งสิ้น 63 โครงการ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,323 ล้านบาท โดยแยกเป็น
โครงการที่ได้รับการอนุมัติในปีงบประมาณ | ||||||||
โครงการ | 2538-2540 | 2541 | 2542 | รวม | ||||
ราย | ล้านบาท | ราย | ล้านบาท | ราย | ล้านบาท | ราย | ล้านบาท | |
พลังงานหมุนเวียนฯ | 5 | 146.123819 | 3 | 380.3705 | - | - | 8 | 526.494319 |
ส่งเสริมธุรกิจฯ | 2 | 8.63876 | 3 | 332.88 | 1 | 80.00 | 6 | 421.51876 |
ศึกษาวิจัยฯ | 16 | 72.298352 | 23 | 213.568479 | 10 | 89.195473 | 49 | 375.062304 |
รวม | 23 | 227.060931 | 29 | 926.818979 | 11 | 169.195473 | 63 | 1323.075383 |
มีโครงการที่ได้ดำเนินงานเสร็จสมบูรณ์ตามแผนงานแล้ว จำนวน 12 โครงการ ดังนี้
1) โครงการส่งเสริมแก๊สชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 1: ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ในวงเงิน 22,401,439 บาท
2) โครงการส่งเสริมแก๊สชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย ในวงเงิน 10,653,200 บาท
3) โครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ ในวงเงิน 10,637,400 บาท
4) โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทย ในวงเงิน 4,774,000 บาท
5) โครงการวิจัยประยุกต์ประกอบการออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน ในวงเงิน 2,555,000 บาท
6) โครงการศึกษาลักษณะการใช้ไฟฟ้า ในวงเงิน 27,700,000 บาท
7) โครงการสาธิตวิธีการอนุรักษ์พลังงานในอาคารห้องสมุด ในวงเงิน 100,000 บาท
8) โครงการทดสอบอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ระบบ STAC ในวงเงิน 300,000 บาท
9) โครงการวิจัยและพัฒนาโปรแกรมเพื่อช่วยในการออกแบบอาคารประหยัดพลังงานจากข้อมูลที่ใช้ประเมินค่า OTTV และ RTTV ตามพรบ.เพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 4,252,000 บาท
10) โครงการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน ในวงเงิน 2,983,300 บาท
11) โครงการจัดทำแผนโครงการสวนพลังงาน (Energy Park) ในวงเงิน 300,000 บาท
12) โครงการจัดสรรทรัพยากรเครือข่ายสารสนเทศด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ในวงเงิน 81,000 บาท
สพช. ได้ดำเนินการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้ทำการประเมินผลโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว โดยครอบคลุมถึงความสามารถในการประหยัดพลังงาน ความเหมาะสมของเทคโนโลยี และเงินลงทุน ณ ปัจจุบันนี้มีโครงการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนไว้กับ สพช. ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาให้การสนับสนุนอีก จำนวน 16 โครงการ คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 7,985 ล้านบาท
4. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน
4.1 โครงการพัฒนาบุคลากร มีโครงการได้รับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ แล้ว จำนวน 6 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 349.3 ล้านบาท เพียง ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2541 ดังนี้
หน่วย:ล้านบาท
โครงการ | 2539 | 2540 | 2541 | รวม |
1) การพัฒนาหลักสูตรและ | 9.78 | 44.29 | 161.35 | 215.42 |
คู่มือการฝึกอบรมด้านอนุรักษ์พลังงาน | ||||
2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ | 5.50 | 20.14 | 11.17 | 36.81 |
3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและ | 9.34 | 6.27 | 1.93 | 17.54 |
ดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | ||||
4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษา | 25.22 | 4.54 | 41.22 | 70.98 |
ระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศ | ||||
5) การให้ทุนวิจัยและพัฒนาแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | - | 1.14 | 4.97 | 6.12 |
6) อื่นๆ | - | 2.22 | 0.20 | 3.42 |
รวม | 49.84 | 78.6 | 220.85 | 349.3 |
4.2 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มีโครงการได้รับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ แล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 655.56 ล้านบาท เพียง ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2541 ดังนี้
โครงการประชาสัมพันธ์ | 2538 | 2539 | 2540 | 2541 | รวม | |||
รายการ | จำนวนเงิน | รายการ | จำนวนเงิน | รายการ | จำนวนเงิน | รายการ | จำนวนเงิน | |
สำหรับประชาชนทั่วไป โดย สพช. |
10 | 210.14 | 11 | 49.68 | 53 | 190.6 | 74 | 450.42 |
สำหรับโรงงานควบคุม อาคารควบคุม อาคารของรัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดย พพ. | - | 40.59 | 18 | 75.65 | 21 | 88.9 | 39 | 205.14 |
รวม | 10 | 250.73 | 29 | 125.33 | 74 | 279.5 | 113 | 655.56 |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ การประชุมครั้งที่ 3/2539 (ครั้งที่ 10) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2539 ได้มีมติให้ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยในการยกเว้นหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุดได้ตามที่เห็นสมควร และแจ้งให้คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไปนั้น คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนและคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้พิจารณาวินิจฉัยในการยกเว้นหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ ไปแล้ว จำนวน 3 โครงการ ดังนี้
1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 9/2541 (ครั้งที่ 49) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2541 ได้อนุมัติให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาในการตรวจสอบการดำเนินงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ในอาคารควบคุมและโรงงานควบคุม โดยเบิกจ่ายจากเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โครงการบริหารงานตามกฎหมาย สำหรับปีงบประมาณ 2541 โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ตามที่ พพ. เสนอมา
2) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้พิจารณาตามหนังสือเวียนขอความเห็นชอบคณะอนุกรรมการฯ ด่วนที่สุด ที่ นร 0905/ว 1530 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2541ได้อนุมัติให้สำนักงาน คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาของ สพช. เรื่องโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยเบิกจ่ายจากเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โครงการบริหารงานตามกฎหมายสำหรับปีงบประมาณ 2542 โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ตามที่ สพช. เสนอมา
3) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 9/2541 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2541 ได้มีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาในโครงการศึกษาแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนา โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ ตามที่ สพช. เสนอมา
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึง คำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 3/2541 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2541 กำหนดให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) เป็นประธานอนุกรรมการ และผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานเป็นอนุกรรมการและเลขานุการฯ ซึ่งเลขานุการฯ ได้แจ้งให้อนุกรรมการและเลขานุการฯ ทราบถึงคำสั่งดังกล่าวแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 โครงการจัดซื้ออาคารถาวรเพื่อจัดทำโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน ของ สพช.
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้มีมติอนุมัติงบประมาณให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้ออาคารถาวรของ สพช. ภายในวงเงิน 450 ล้านบาท สพช. ได้ดำเนินการจัดซื้ออาคารถาวรดังกล่าวแล้ว โดยปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งการดำเนินการจัดซื้ออยู่ระหว่างการตกลงราคาที่จะซื้อขายอาคารกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอ เอฟ ซี ที ไฟแนนซ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นอาคารที่ออกแบบและก่อสร้างเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานโดยแท้จริง เหมาะสมเป็นที่ทำงานและสาธิตเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารสำนักงาน
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอ เอฟ ซี ที ฯ ถูกกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าควบคุมกิจการ โดยอยู่ระหว่างการควบรวมเป็นสถาบันการเงินเดียวกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) (KTT) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อื่นๆ และสหธนาคารฯ โดยมีการเสนอที่จะซื้อขายในราคาเบื้องต้น 270 ล้านบาท ซึ่งราคาดังกล่าวได้รวมค่าธรรมเนียมการโอน และค่าภาษีต่างๆ ไว้ทั้งหมดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติราคาขายขั้นสุดท้ายจากคณะกรรมการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้แจ้งแนวทางดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอ เอฟ ซี ที ฯ ทราบแล้ว และขอให้ สพช. ติดต่อขอทราบราคาที่แน่นอนไปยังบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอ เอฟ ซี ที ฯ ต่อไป ซึ่งผู้ถือหุ้นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอ เอฟ ซี ที ฯ ได้ประชุมเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2542 ให้โอนควบรวมกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ KTT โดยจะโอนทรัพย์สินทั้งหมดของ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอ เอฟ ซี ที ฯ ไปเป็นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ KTT ภายในสิ้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2542 และ สพช. จะได้รับผลสรุปที่ชัดเจนในต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 นี้
สพช. มีความเห็นว่าอาคารของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอ เอฟ ซี ที ฯ มีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นสำนักงานของ สพช. พร้อมทั้งเป็นที่สาธิตการออกแบบและเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารสำนักงาน และควรนำพื้นที่ชั้นล่างไว้ใช้เป็นศูนย์สาธิตการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับโครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานที่เสนอโดยสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ดำเนินการโครงการดังกล่าวแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อแผนงานอนุรักษ์พลังงานโดยรวม และประหยัดงบประมาณของกองทุนฯ ได้อีกส่วนหนึ่งด้วย โดย สพช. จะใช้อาคารดังกล่าวเพื่อดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
2.1 เพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานถาวรของ สพช. และใช้ในการสาธิตเทคโนโลยีและวิธีการอนุรักษ์พลังงานสำหรับผู้ใช้อาคารสำนักงานทั่วไป
2.2 เพื่อใช้เป็นศูนย์สาธิตการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ กรุงเทพมหานคร โดยมีสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ดำเนินโครงการฯ เพื่อทำหน้าที่รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์พลังงานและนำไปปฏิบัติให้เกิดผลในการอนุรักษ์พลังงาน
2.3 เพื่อใช้เป็นศูนย์ประชาสัมพันธ์โครงการรวมพลังหารสอง ของ สพช. ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับโครงการ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
2.4 เพื่อเป็นสถานที่ทำกิจกรรมของกลุ่มเยาวชนภายใต้โครงการขบวนการหาร 2 ที่ได้ทำกิจกรรมรณรงค์ให้เพื่อนเยาวชนหันมาประหยัดพลังงานแล้วตั้งแต่ปี 2541
2.5 เพื่อใช้เป็นศูนย์การศึกษา ฝึกอบรม และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน สำหรับ สพช. และหน่วยงานอื่นๆ ที่ประสงค์จะใช้สถานที่
2.6 เพื่อใช้เป็นศูนย์ข้อมูลที่ใช้ในการค้นคว้า วิจัย การศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนา และส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและวางแผนพลังงาน
สพช. จึงได้จัดประชุมร่วมกันระหว่างคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 52) และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันอังคารที่ 26 มกราคม 2542 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว แล้วมีมติเห็นชอบให้ สพช. จัดซื้ออาคารถาวรเพื่อใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 25 แห่ง พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำเงินส่วนที่เหลือจากการซื้ออาคาร ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอาคารดังกล่าวเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ด้วย ในวงเงิน 350 ล้านบาท และเห็นชอบให้สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ จากแผนงานภาคความร่วมมือ มาใช้พื้นที่ของอาคารเพื่อจัดตั้งศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานด้วย
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานสนับสนุน ประจำปีงบประมาณ 2542 ให้ สพช. เพื่อดำเนินการจัดซื้ออาคารถาวรเพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน และเป็นอาคารสาธิตเทคโนโลยีพลังงาน รวมถึงดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้และการอนุรักษ์พลังงาน ภายในวงเงิน 350 ล้านบาท (สามร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อใช้อาคารดังกล่าวตามวัตถุประสงค์ ดังนี้
1.1 เพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานถาวรของ สพช. และใช้ในการสาธิตเทคโนโลยีและวิธีการอนุรักษ์พลังงานสำหรับผู้ใช้อาคารสำนักงานทั่วไป
1.2 เพื่อใช้เป็นศูนย์สาธิตการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ กรุงเทพมหานคร โดยมีสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมเป็นผู้เพื่อดำเนินโครงการฯ ตามที่ได้รับอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ และทำหน้าที่รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์พลังงานและนำไปปฏิบัติให้เกิดผลในการอนุรักษ์พลังงาน
1.3 เพื่อใช้เป็นศูนย์ประชาสัมพันธ์โครงการรวมพลังหารสอง ของ สพช. ที่ได้รับการอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
1.4 เพื่อเป็นสถานที่ทำกิจกรรมของกลุ่มเยาวชนภายใต้โครงการขบวนการหาร 2 ที่ได้ทำกิจกรรมรณรงค์ให้เพื่อนเยาวชนหันมาประหยัดพลังงานตั้งแต่ปี 2541
1.5 เพื่อใช้เป็นศูนย์การศึกษา ฝึกอบรม และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน
1.6 เพื่อใช้เป็นศูนย์ข้อมูลที่ใช้ในการค้นคว้า วิจัย การศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนา และ ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและวางแผนพลังงาน
2. อนุมัติให้ สพช. นำเงินส่วนที่เหลือจากการซื้ออาคารในข้อ 1 ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอาคารดังกล่าว เพื่อให้อาคารสามารถใช้ประโยชน์ในการดำเนินกิจกรรมของโครงการเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้ตามวัตถุประสงค์ในข้อ 1.1-1.6
เรื่องที่ 6 โครงการศึกษาเรื่องการกำหนดโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดตั้ง ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้เป็นกรอบในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในสาขาที่สำคัญ 4 สาขา ประกอบด้วยสาขาโทรคมนาคม สาขาขนส่ง สาขาประปา และสาขาพลังงาน ซึ่งแผนแม่บทสาขาพลังงานดังกล่าวได้กำหนดกรอบในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้า โดยส่งเสริมให้มีการแข่งขันในกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า กำหนดให้ กฟผ. แปลงสภาพโรงไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่จัดตั้งเป็นบริษัท จำกัด และลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ในบริษัทผลิตไฟฟ้าลง เพื่อให้พ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจภายในปี 2544 จะได้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในกิจการผลิตไฟฟ้า โดยผู้ผลิตไฟฟ้าจะซื้อขายไฟฟ้าผ่านตลาดซึ่งจะมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Wholesale Power Pool) ในปี 2546 และจะมีการจัดตั้งบริษัทระบบส่งไฟฟ้าแรงดันสูง (Transmission Company) และจัดตั้งหน่วยงานควบคุมระบบอิสระ (Independent System Operator) เพื่อทำหน้าที่สั่งการผลิตไฟฟ้า ซึ่งทั้งสองบริษัทจะต้องไม่มีโรงไฟฟ้าเป็นของตัวเอง เพื่อทำหน้าที่อย่างอิสระ โดยมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ (Independent Regulator) เป็นผู้กำกับดูแลบริษัทระบบส่งไฟฟ้า เพื่อให้มีการบริการระบบส่งไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและในราคาที่เป็นธรรม
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2542 ได้พิจารณาโครงการศึกษาเรื่องการกำหนดโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ที่เสนอขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สพช. จะทำการศึกษาโครงการดังกล่าว โดยการจ้างผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านต่างๆ ประกอบด้วย การจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า การให้คำปรึกษาในกิจกรรมของหน่วยต่างๆ ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า เช่น การผลิต ระบบส่ง ระบบจำหน่าย และการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะการวางกฎเกณฑ์และนโยบายเพื่อเพิ่มการแข่งขัน และการกำกับดูแลการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ การปรับโครงสร้างและแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การให้คำปรึกษาด้านการเงินแก่หน่วยงานรัฐบาลในการทำการแปรรูป และรวมถึงประสบการณ์ในการขายหุ้นให้แก่พันธมิตรร่วมทุนด้วย โดย สพช. จะทำการคัดเลือกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ซึ่งข้อ 75 และข้อ 76 กำหนดให้ส่วนราชการจ้างที่ปรึกษาไทยเป็นหลัก แต่เนื่องจากงานในลักษณะนี้ที่ปรึกษาในประเทศไทย อาจจะยังมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านการกำหนดโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าไม่เพียงพอ สพช. จึงขอดำเนินการจ้างที่ปรึกษาดังกล่าว โดยขอยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
สพช. จะทำการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป พร้อมทั้งจัดสัมมนาและทำประชาพิจารณ์ผลการศึกษาการกำหนดรูปแบบโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้า การกำหนดรายละเอียด เป็นระยะๆ ทั้งในเรื่องกฎเกณฑ์ กติกา เพื่อให้สามารถนำไปสู่การแข่งขันในกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อให้เป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน รายงานผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์เมื่อแล้วเสร็จ สพช. จะนำเสนอขออนุมัติจากรัฐบาลให้มีผลในทางปฏิบัติ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นอาจจะนำเสนอขออนุมัติจากรัฐบาลในบางเรื่องตามความเหมาะสมของสถานการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าด้วย
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนาให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาเรื่องการกำหนดโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ในวงเงิน 113,793,560 บาท (หนึ่งร้อยสิบสามล้านเจ็ดแสนเก้าหมื่นสามพันห้าร้อยหกสิบบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ สพช. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาในโครงการศึกษาเรื่องการกำหนดโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการประชุม ครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ระหว่างปี 2541-2546 ในวงเงินงบประมาณ 10,905.6 ล้านบาท และได้อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายตามแผนฯ (ในส่วนของโรงงานควบคุมปี 2541 ในวงเงิน 11.1 ล้านบาท โดยให้ พพ. ปรับแผนค่าใช้จ่ายเพื่อเสนอขออนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายเป็นรายปี
จากผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ในปี 2541 ของ พพ. นั้น พพ. ได้พิจารณาเห็นชอบและอนุมัติค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นให้กับโรงงานควบคุมไปแล้ว จำนวน 49 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 4.9 ล้านบาท ดังนั้นในปีงบประมาณ 2542 พพ. ได้ดำเนินการปรับแผนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในปีงบประมาณ 2542 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง โดยการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่จะใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุม เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 267.5 ล้านบาท เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2541 ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบในแผนปฏิบัติการฯ ตามที่ พพ. เสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ประจำปี 2542 ในวงเงินทั้งสิ้น 267.5 ล้านบาท ตามมติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
เรื่องที่ 8 แผนปฏิบัติการโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบ หรือก่อสร้าง ปี 2542
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในรูปของเงินช่วยเหลือให้เปล่า ในการปรับปรุงและสมทบเพื่อปรับปรุงอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง และคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2541 ได้มีมติมอบอำนาจให้คณะกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับสามารถอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และพิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ของคณะเกษตรศาสตร์ โดยตามแบบเดิมระบบไฟฟ้าแสงสว่างได้ถูกออกแบบให้ใช้โคมไฟและบัลลาสต์ขดลวดแบบธรรมดาที่ใช้ในอาคารทั่วไป มีค่ากำลังไฟฟ้าส่องสว่าง 12.98 วัตต์/ตารางเมตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ตามที่กฎกระทรวงกำหนดไว้ (16 วัตต์/ตารางเมตร) จึงมีความประสงค์ที่จะทำการปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่าง โดยเปลี่ยนจากโคมไฟธรรมดาเดิม จำนวน 1,639 โคม ไปเป็นโคมไฟที่ติดตั้งแผ่นเคลือบสารสะท้อนแสง และเปลี่ยนจากบัลลาสต์ขดลวดธรรมดามาเป็นบัลลาสต์ Low Watt Loss โดยใช้เงินลงทุนในการปรับปรุงทั้งหมดเป็นเงิน 2,060,629 บาท แต่เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นมีเงินงบประมาณเดิมอยู่แล้วจำนวน 740,898.50 บาท มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่างของอาคารเรียนหลังใหม่ของคณะเกษตรศาสตร์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เป็นเงิน 1,319,730 บาท ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2541 ได้พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบสนับสนุนเงินกองทุนฯ เป็นกรณีพิเศษให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับลงทุนปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่างตามแบบที่ปรับปรุงใหม่ของอาคารคณะเกษตรศาสตร์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในวงเงิน 1,319,730 โดยให้ใช้เงินจากโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรค่าใช้จ่ายไว้แล้วในแผนงานอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปี 2542 เป็นเงิน 378 ล้านบาท
2. เห็นชอบให้ พพ. จัดทำแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบหรือก่อสร้าง ปี 2542 ในวงเงินงบประมาณ 180 ล้านบาท โดยให้ใช้เงินจากโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรค่าใช้จ่ายไว้แล้วในแผนงานอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปี 2542 เป็นเงิน 378 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปี 2542 โดยใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ภายในวงเงิน 180 ล้านบาท
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบหรือก่อสร้าง ให้กับมหาวิทยาลัยขอนแก่น สำหรับเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในการลงทุนปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่างตามแบบที่ปรับปรุงใหม่ของอาคารคณะเกษตรศาสตร์ ในวงเงิน 1,319,730 บาท (หนึ่งล้านสามแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยสามสิบบาทถ้วน)
3. อนุมัติให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับมีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง สำหรับเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าแก่อาคารที่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่มีโครงการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมและมีความประสงค์จะปรับปรุงแบบและลงทุนตามแบบที่ปรับปรุงใหม่ในกรณีเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2540 ได้มีมติ
1. อนุมัติให้ผู้ที่ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้ในราชอาณาจักร ไม่มีหน้าที่ต้องเสียเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามความในมาตรา 35 และมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และให้กองทุนฯ จ่ายเงินคืนแก่ผู้ค้าน้ำมัน ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันจ่ายเกินอันเนื่องจากการคำนวณผิดพลาด ในกรณีเติมสาร additive และในกรณีเงินที่ผู้ค้าน้ำมันส่งเข้ากองทุนฯ ในส่วนของน้ำมันคุณภาพไม่เป็นไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากไม่มีสิทธิเรียกเก็บตามกฎหมาย
2. ให้กระทรวงการคลังแก้ไขระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยมอบอำนาจให้แก่กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตเป็นผู้พิจารณาตรวจสอบรับรองความถูกต้องของเอกสารของการจ่ายคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนฯ และให้เบิกจ่ายจากกองทุนฯ ได้โดยตรง
3. อนุมัติจ่ายคืนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้บริษัทสยามสหบริการ จำกัด (มหาชน) ตามที่บริษัทฯ ได้ส่งเข้ากองทุนฯ ตามมาตรา 35 และมาตรา 36 โดยให้มีผลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 เป็นต้นมา
กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค 0526.9/2519 ลงวันที่ 28 กันยายน 2541 เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วย การเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 9 กำหนดว่า "เงินกองทุนนี้ให้จ่ายได้ตามวัตถุประสงค์ เพื่อกิจการตามนัยมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติ ตามมติคณะกรรมการกองทุน..." ซึ่งการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อคืนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันที่ผ่านมา กรมบัญชีกลางได้เบิกจ่ายตามมติคณะกรรมการกองทุนฯ ดังนั้นในการนี้หากคณะกรรมการกองทุนฯ มีมติมอบอำนาจให้กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต เป็นผู้พิจารณาตรวจสอบรับรองความถูกต้องของเอกสารการจ่ายคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนฯ โดยให้กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต เป็นผู้เบิกเงินจากกรมบัญชีกลางเพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้ค้าน้ำมันโดยตรง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2541 เป็นต้นไปนั้น กรมบัญชีกลางก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขระเบียบดังกล่าว
สพช. ได้แจ้งเรื่องการมอบอำนาจดังกล่าวให้กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตทราบ ตามลำดับ และเพื่อให้การเบิกจ่ายเงินคืนให้กับผู้ค้าน้ำมันดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว สพช. ได้ให้กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตพิจารณาถึงความจำเป็นที่จะต้องมีเงินเพื่อทดรองจ่ายสำหรับการดำเนินการดังกล่าว พร้อมทั้งประมาณการวงเงินที่คาดว่าจะต้องมีไว้เพื่อทดรองจ่าย แล้วแจ้งให้ สพช. ทราบ กรมศุลกากรได้แจ้งความประสงค์ในการขอเบิกเงินจากกองทุนฯ เพื่อนำไปทดรองจ่ายคืนแก่ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว ในวงเงิน 8,000,000 บาท (แปดล้านบาทถ้วน) และกรมสรรพสามิตได้แจ้งความประสงค์ในการขอเบิกเงินจากกองทุนฯ เพื่อนำไปทดรองจ่ายคืนแก่ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ในวงเงิน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน)
มติประชุม
1. มอบอำนาจให้กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตเป็นผู้พิจารณาตรวจสอบรับรองความถูกต้องของเอกสารการจ่ายคืนเงินที่ส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศที่ไม่ได้ใช้ในราชอาณาจักร นำส่งไว้เกินหรือไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยให้กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต เป็นผู้เบิกเงินจากกรมบัญชีกลาง เพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงฯ โดยตรง
2. อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้แก่ กรมศุลกากร เพื่อทดรองจ่ายคืนให้ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ในวงเงิน 8,000,000 บาท ตามที่กรมศุลกากรเสนอมา
3. อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้แก่ กรมสรรพสามิต เพื่อทดรองจ่ายคืนให้ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ในวงเงิน 5,000,000 บาท ตามที่กรมสรรพสามิตเสนอมา
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการประชุมครั้งที่2/2540 (ครั้งที่12)เมื่อวันจันทร์ ที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้เห็นชอบแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากรปี 2541-2543 ในวงเงิน 1,144.8 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการสอน แบบเรียน คู่มือ และเครื่องมือที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมการทํางานและห้องปฏิบัติการปีงบประมาณ 2541-2543 ในวงเงิน 624 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกิจกรรมการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษา ในวงเงิน 189 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน สำหรับโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษา ดังนี้
การประชุม | โครงการ | หน่วยงาน | จำนวนเงิน (บาท) |
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2541 |
โครงการร่วมในการผลิตบัณฑิตศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม |
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ระยะเวลาโครงการ 5 ปี 2541 - 35,940,000 2542 - 38,320,000 2543 - 25,720,000 (2544 - 24,190,000) (2545 - 21,570,000) |
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2541 (ครั้งที่ 17) มื่อวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2541 |
โครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ จำนวน 4 มหาวิทยาลัย โดยแต่ละมหาวิทยาลัยมีงบประมาณไม่เกิน 5 ล้านบาท |
มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ |
2,030,000 2,600,000 850,000 2,729,000 |
คณะกรรมการกองทุนฯในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 |
ส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ จำนวน 3 มหาวิทยาลัย โดยแต่ละมหาวิทยาลัยมีงบประมาณเกิน 5 ล้านบาท |
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย |
5,960,000 12,000,000 5,566,000 |
รวมงบประมาณ 2541-2543 | 131,745,000 |
สภาคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 8 สถาบัน คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในวงเงิน 233,242,000 บาท เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานด้านสนับสนุนในการประชุมครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่5) เมื่อวันอังคารที่ 26 มกราคม 2542 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้ปรับลดวงเงินลง เนื่องจากงบประมาณโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษา ปี 2541-2543 ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรไว้ในวงเงิน 189 ล้านบาท นั้น ได้อนุมัติไปแล้วเป็นเงิน 131,745,000 บาท ซึ่งหากรวมงบประมาณที่ได้อนุมัติให้โครงการร่วมในการผลิตบัณฑิตศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ปี 2544-2545 จะทำให้วงเงินงบประมาณตามแผนได้อนุมัติไปจนเต็มจำนวน จึงทำให้ไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะให้การสนับสนุนโครงการฯ ที่เสนอโดยสภาคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะอนุกรรมการฯ กำกับดูแลแผนงานสนับสนุน จึงมีมติเห็นชอบให้ขยายวงเงินแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2542-2543 โครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษา โดยให้ปรับลดวงเงินลง 103,229,000 บาท คงเหลือวงเงินที่ให้ขยายเพิ่ม 130,013,000 บาท เพื่อให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ สพช. ขยายวงเงินแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2542-2543 โครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาเพิ่ม ในวงเงิน 130,013,000 บาท (หนึ่งร้อยสามสิบล้านหนึ่งหมื่นสามพันบาทถ้วน) เพื่อให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษา
กอ. ครั้งที่ 15 - วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15)
วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมกรรมาธิการหมายเลข 215-216
ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 2
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน
3. รายงานการต่อสัญญาโครงการ การบูรณาการกระบวนการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม (โครงการรุ่งอรุณ)
4. ขออนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2542 ของ สพช. บก. และ พพ. เพื่อบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
5. แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2542
6. ขออนุมัติโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษา (วิศวกรรมศาสตร์)
7. ขอความเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2
8. ขออนุมัติให้ พพ. ปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) จากระยะเวลา 2 ปี (2540-2541) เป็นระยะเวลา 3 ปี (2541-2543)
9. ขออนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจอนุมัติเงินจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
10. ค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ
11. โครงการสวนพลังงานแสงอาทิตย์
12. โครงการศึกษาแนวทางการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
13. โครงการบ้านสาธิตประหยัดพลังงานแบบยั่งยืน เพื่อเป็นต้นแบบการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมของภูมิภาค
14. โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
15. ขออนุมัติให้คณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจอนุมัติการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และมีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท
16. ขอยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 85 และข้อ 88 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
17. ขออนุมัติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการติดตามประเมินผลโครงการ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปืยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินประจำปี สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2538 และ 2539 ซึ่งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว พร้อมทั้งรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2541 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาประดิพัทธ์ 14,462,621,510.23 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของ สพช. บก. และ พพ. ตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 452,303,30548 บาท และมีงบประมาณที่ผูกพันเป็นเงินทั้งสิ้น 1,869,194,466.52 บาท
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานของแผนงานภาคบังคับ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับระหว่างปี 2538-2541 ดังนี้
1.1 อาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
- อาคารควบคุมได้แจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงานแก่ พพ. แล้วจำนวน 914 ราย คิดเป็นจำนวนบุคลากร 1,473 คน โดย พพ. ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแก่อาคารควบคุมไปแล้ว615 ราย จำนวน 967 คน
- อาคารควบคุมได้ส่งข้อมูลการใช้พลังงาน (บพอ.1) ให้แก่ พพ. (ทุก 6 เดือน) โดยในเดือนแรกของปี 2541 (มกราคม-มิถุนายน) มีผู้ส่งข้อมูลแล้ว 357 ราย
- อาคารควบคุมได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (บพท.1) เพื่อทำการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น จำนวนทั้งสิ้น 868 ราย และได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว 746 ราย เป็นอาคารเอกชน 519 ราย และเป็นอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ 227 ราย เป็นเงิน 233,570,425 บาท
- อาคารควบคุมส่งรายงานการตรวจสอบฯ ให้ พพ. จำนวน 471 ราย โดย พพ. ได้ให้ความเห็นชอบกับรายงานตรวจสอบฯ แล้ว จำนวน 225 ราย พบว่าอาคารเหล่านั้นมีการใช้พลังงานไฟฟ้า 1,177 ล้านหน่วยต่อปี มีศักยภาพที่จะอนุรักษ์พลังงานได้ 165 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่จะประหยัดได้ปีละ 412 ล้านบาท โดยจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1,367 ล้านบาท
- พพ.ได้อนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียนที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมไปแล้วรวมทั้งสิ้น 71 ราย ประกอบด้วย
- ที่ปรึกษาประเภท ก ซึ่งสามารถดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น จัดทำรายงานและดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 16 ราย
- ที่ปรึกษาประเภท ข. ซึ่งสามารถดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นและโดยละเอียด จัดทำรายงานและจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 55 ราย
1.2 โรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน
- โรงงานควบคุมได้แจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงานแก่ พพ. แล้ว จำนวน 234 ราย คิดเป็นจำนวนบุคลากร 476 คน โดย พพ. ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแก่โรงงานควบคุมไปแล้ว 143 ราย จำนวน 284 คน
- โรงงานควบคุมได้ส่งข้อมูลการใช้พลังงาน (บพร.1) ให้แก่ พพ. (ทุก 6 เดือน) โดย6 เดือนแรกของปี 2541 (มกราคม-มิถุนายน) มีผู้ส่งข้อมูลแล้ว 103 ราย
1.3. โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง
อยู่ในระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับการพิจารณาการให้การสนับสนุนในโครงการดังกล่าว
2. ผลการดำเนินงานของโครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
2.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ได้มีมติอนุมัติโครงการที่เกี่ยวกับอาคารของรัฐ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,214,950,219 บาท
2.2 คณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการใต้แผนงานภาคความร่วมมือ จำนวนทั้งสิ้น 52 โครงการ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,155 ล้านบาท และมีโครงการที่ได้ดำเนินงานเสร็จสมบูรณ์ตามแผนงานแล้ว จำนวน 10 โครงการ
2.3. คณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานสนับสนุนโครงการพัฒนาบุคลากร และโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงิน 1,047,010,000 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2540 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรุ่งอรุณ โดยใช้เงินโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2540 - 2542 ในวงเงิน 302,681,438 บาท และได้อนุมัติให้ สพช. ทำการประเมินผลโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณในแต่ละปีและรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติให้ดำเนินงานในปีต่อไป โดย สพช. ได้ดำเนินการว่าจ้างมูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย (มสท.) เป็นที่ปรึกษาในการดำเนินงานโครงการระยะเวลา 3 ปี ในวงเงิน 299,160,713 บาท เริ่มดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นไป
การดำเนินโครงการรุ่งอรุณในปีที่ 1 มีความก้าวหน้าพอสมควร แต่เนื่องจากมีปัญหาอุปสรรคที่เกี่ยวกับโรงเรียน ครู และนักเรียน จึงทำให้งานที่ส่งมอบไม่ครบถ้วนตามที่ได้กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 42) เมื่อวันศุกร์ที่ 23 มกราคม 2541 ได้มีมติอนุมัติให้ สพช. ดำเนินการว่าจ้าง บริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด เพื่อติดตามวิเคราะห์และประเมินผลโครงการรุ่งอรุณ โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 13 เดือน ในวงเงิน 3,976,940 บาท ซึ่งจากรายงานการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลโครงการรุ่งอรุณ สรุปได้ว่าโครงการหลักที่สำคัญได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพพอสมควรตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 6/2541 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2541 ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ สพช. ดำเนินการต่อสัญญาว่าจ้าง มสท. เป็นที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงาน โครงการรุ่งอรุณในปีที่ 2 ระยะเวลาดำเนินงาน 12 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2541 โดยให้ปฎิบัติตามเงื่อนไขและข้อสังเกต ของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่ง มสท.ได้มีหนังสือที่ รุ่งอรุณ 7/311/2541 ลงวันที่ 17 กันยายน 2541 ได้ส่งข้อเสนอโครงการรุ่งอรุณที่ปรับปรุงแล้ว และผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยกระทรวงศึกษาธิการ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 เมื่อวันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2541 และ สพช. ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการด้านเทคนิค ด้านการเงิน และด้านบุคลากร ตามที่ มสท. ได้นำเสนอแล้ว และมีความเห็นว่าข้อเสนอของ มสท. เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ระยะที่ 2 และ ระยะที่ 3 ครบถ้วนแล้ว ในวงเงิน 255,501,715 บาท โดยค่าใช้จ่ายของโครงการฯ รวมตลอดระยะเวลา 3 ปี มีวงเงินลดลงจากเดิม 6,852,454 บาท
สพช. ได้ต่อสัญญาในการดำเนินการโครงการรุ่งอรุณ ในระยะที่ 2 ในวงเงิน 121,361,265 บาท ระยะเวลา 11 เดือน เริ่มดำเนินงาน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม ครั้งที่ 4/2537 เมื่อวันพุธที่ 3 สิงหาคม 2537 มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2537-2542 ซึ่งมีวงเงินรวม 19,286 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ สำหรับ สพช. บก. และ พพ. และเพื่อให้ สพช. บก. และ พพ. สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2542 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2542 เพื่อใช้ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำงบประมาณรายจ่ายฯ ของทั้งสามหน่วยงานเข้าพิจารณาในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2542 ของทั้ง 3 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 865,377,766 บาท โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมายปี 2542
หน่วย : บาท
สพช. | บก. | พพ. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 3,064,560 | 467,040 | 16,905,600 | 20,437,200 |
2. ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 11,476,466 | 172,000 | 21,607,040 | 33,255,506 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 936,000 | - | 4,965,360 | 5,901,360 |
4. ค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง | 451,086,300 | 66,400 | 33,031,000 | 484,183,700 |
5. รายจ่ายอื่น (ค่าจ้างที่ปรึกษา) | 109,000,000 | - | 212,600,000 | 321,600,000 |
รวม | 575,563,326 | 705,440 | 289,109,000 | 865,377,766 |
เลขานุการฯ ได้ชี้แจงถึงความจำเป็นในการขอรับงบประมาณสำหรับการซื้อสถานที่ทำงานของ สพช. เนื่องจากในปัจจุบัน สพช. มีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้นอย่างมาก สถานที่เดิมที่ใช้อยู่ในทำเนียบรัฐบาล ไม่เพียงพอ จึงได้เช่าที่เอกชนเพื่อเป็นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม ต่อมา สพช. ได้รับหนังสือจาก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แจ้งให้ทราบว่า สถานที่ที่ สพช. ใช้อยู่ในทำเนียบรัฐบาลจะถูกรื้อทิ้ง จึงให้ สพช. จัดหาสถานที่ทำงานใหม่ ดังนั้นเพื่อความสะดวกและประหยัดในการทำงาน สพช. จึงใคร่ขอซื้อสถานที่ทำงานให้เจ้าหน้าที่ของ สพช. ที่ทำงานเกี่ยวกับกองทุนฯ ในสถานที่เดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันทุกกองของ สพช. มีส่วนในการดำเนินงานของกองทุนฯ แต่ต้องทำงานแยกกันเนื่องจากข้อจำกัดด้านสถานที่
เลขานุการฯ ยืนยันที่จะใช้จ่ายเงินในส่วนนี้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยคาดว่าจะใช้เงินต่ำกว่าที่ขอวงเงินไว้ โดยสถานที่ทำงานของ สพช. จะใช้เป็นศูนย์เผยแพร่ความรู้และฝึกอบรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานด้วย โดยจะทำงานร่วมกับสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว
มติที่ประชุม
งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
1) อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2542 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สพช. ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ในวงเงิน 575,563,326 บาท (ห้าร้อยเจ็ดสิบห้าล้านห้าแสนหกหมื่นสามพันสามร้อยยี่สิบหกบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
งบประมาณค่าใช้จ่ายของ บก.
2) อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2542 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ บก. ในการบริหารงาน ตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ในวงเงิน 705,440 บาท (เจ็ดแสนห้าพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องถัวจ่ายระหว่างหมวด ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณาอนุมัติ
งบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
3) อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2542 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ พพ. ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ในวงเงิน 289,109,000 บาท (สองร้อยแปดสิบเก้าล้านหนึ่งแสนเก้าพันบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารแนบที่ 4.1.3 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
4) อนุมัติให้ สพช. บก. และ พพ. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2542 เพื่อการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2541
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2541 ที่ได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการตามแผนงานฯ เป็นจำนวนเงิน 190,600,000 บาท
และอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมโครงการประชาสัมพันธ์ "ใช้เบนซินให้ถูกชนิด ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ" อีก 20,000,000 บาท คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้อนุมัติโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2541 ไปแล้ว 9 ช่วง รวม 53 กิจกรรม และการประชาสัมพันธ์ "ใช้เบนซินให้ถูกชนิด ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ" อีก 6 กิจกรรม รวมเป็นเงิน 210,155,125.74 บาท จากเงินที่ได้รับอนุมัติทั้งสิ้น 210,600,000 บาท
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 10/2541 (ครั้งที่ 50) เมื่อวันอังคารที่ 29 กันยายน 2541 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการและงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบของปีงบประมาณ 2542 ในวงเงิน 186,000,000 บาท
โดยมีกิจกรรมที่จะทำการประชาสัมพันธ์ตามโครงการฯ ปีงบประมาณ 2542 ดังนี้
1. สาธารณชนทั่วไป
1) การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เป็นจำนวนเงิน 80,000,000 บาท
2) ประกวดประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท ระหว่างจังหวัด ช่วงที่ 2
3) สถานีวิทยุ "คลื่นพลังงาน" เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
4) 1 วัน กับการอนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
5) นาฏศิลป์หาร 2 เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
6) การบริหารกิจกรรม Car pool เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
7) เบิกฟ้าเวียงพิงค์สู่โลกประหยัดพลังงาน เป็นจำนวนเงิน 1,500,000 บาท
2. เยาวชน
1) การแสดงสำหรับเยาวชน ปีที่ 3 เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
2) ค่ายเยาวชนอนุรักษ์พลังงาน ปีที่ 3 เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
3) นิทรรศการเปิดโลกพลังงาน ปีที่ 3 เป็นจำนวนเงิน 3,500,000 บาท
4) ประกวดโรงเรียนรวมพลังหาร 2 เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
5) ประกวดยอวาทีอนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
6) ศูนย์นิทัศน์พลังงานเพื่ออนาคต เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
7) เสื้อนักเรียน และรองเท้าแตะเพื่อเยาวชนหาร 2 เป็นจำนวนเงิน 3,000,000 บาท
8) ชมรมขบวนการหาร 2 เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท
3. องค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน
องค์กรรวมพลังหาร 2 เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท
4. สื่อมวลชน
ศูนย์ประชาสัมพันธ์ "รวมพลังหาร 2" ปีที่ 2 เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท
5. ที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการฯเป็นจำนวนเงิน 6,000,000 บาท
6. ที่ปรึกษาเพื่อติดตามวิเคราะห์และประเมินผลโครงการฯ เป็นจำนวนเงิน 7,000,000 บาท
7. อื่นๆ ที่ยังไม่ได้ระบุ เป็นจำนวนเงิน 10,000,000 บาท
รวม 186,000,000บาท
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบของปีงบประมาณ 2542 และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2542 ในวงเงิน 186,000,000 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านบาท)
2. อนุมัติให้ สพช. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติโครงการประชาสัมพันธ์ โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน หรือคณะกรรมการ กองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนลงนามในสัญญา
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนได้เสนอขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษา จำนวน 11 มหาวิทยาลัย รวมเป็นเงิน 168,986,448 บาท คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 14/2540 (ครั้งที่ 39) เมื่อวันอังคารที่ 2 ธันวาคม 2540 ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษา เพื่อทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองรายละเอียดข้อเสนอโครงการที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติ คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2541 (ครั้งที่ 47) เมื่อวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2541 ได้พิจารณาโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน จากรายละเอียดข้อเสนอโครงการที่ผ่านการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญฯ แล้วและได้มีมติดังนี้
1) อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ โดยใช้เงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากรปีงบประมาณ 2541-2543 จำนวน 4 มหาวิทยาลัย โดยแต่ละมหาวิทยาลัยมีงบประมาณไม่เกิน 5 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 8,209,000 บาท สรุปได้ดังนี้
- มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวนเงิน 2,030,000 บาท
- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำนวนเงิน 2,600,000 บาท
- สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จำนวนเงิน 850,000 บาท
- มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จำนวนเงิน 2,729,000 บาท
- รวม 8,209,000 บาท
2) เห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ โดยใช้เงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2541-2543 ในกิจกรรมการส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษา จำนวน 3 มหาวิทยาลัย โดยแต่ละมหาวิทยาลัยมีงบประมาณเกิน 5 ล้านบาทรวมเป็นเงิน 23,620,000 บาท สรุปได้ดังนี้
มหาวิทยาลัย/ สถาบัน |
โครงการ | วัตถุประสงค์ | งบประมาณ (บาท) |
1.เกษตรศาสตร์ 1.1) วิศวกรรมเครื่องกล/เคมี/ไฟฟ้า |
หลักสูตรการอนุรักษ์พลังงานในอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม (5 ปี) |
เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การวัดพลังงานเพื่อให้นิสิตได้มีประสบการณ์ในการจัดการและการอนุรักษ์พลังงานในอาคารและระบบโรงงานอุตสาหกรรม |
5,760,000 |
1.2) วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม |
หลักสูตรวิชาวิศวกรรมนิเวศวิทยา |
เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์และจัดทำสื่อประกอบการเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ |
200,000 |
รวม | 5,960,000 | ||
2. เชียงใหม่ วิศวกรรมศาสตร์ |
เปิดหลักสูตรวิศวกรรมมหาบัณฑิตสาขาวิศวกรรมพลังงาน (5 ปี) |
เพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตรวิศวกรรมพลังงาน |
12,000,000 |
3. เทคโนโลยีแห่งเอเซีย คณะสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรและการพัฒนา |
โครงการพัฒนาการสอนและเพิ่มประสิทธิภาพ การศึกษาในวิชาการจัดการพลังงานในอาคาร (2 ปี) |
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาตำราการจัดการพลังงานสำหรับอาคาร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาอุปกรณ์การทดลอง ประกอบการสอนทางด้านแสงสว่าง การถ่ายความร้อนผ่านผนัง และหลังคาอาคาร พลภาพของความร้อนและการปรับอากาศ การควบคุมอุณหภูมิของกระแสไฟฟ้า ภาวะความสบายเชิงอุณหภาพ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประกอบการสอนเกี่ยวกับการจัดการพลังงานในอาคาร |
5,660,000 |
รวม | 23,620,000 |
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ สำหรับมหาวิทยาลัยที่ขอรับการสนับสนุนรายละเกิน 5 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2542 ให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ในวงเงิน 5,960,000 บาท (ห้าล้านเก้าแสนหกหมื่นบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2542 ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ในวงเงิน 12,000,000 บาท (สิบสองล้านบาทถ้วน)
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2542-2543 ให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการเรียนการสอนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ในวงเงิน 5,660,000 บาท (ห้าล้านหกแสนหกหมื่นบาทถ้วน)
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2538 (ครั้งที่ 6) ได้อนุมัติแผนปฏิบัติการและเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อดำเนินการโครงการอาคารของรัฐ จำนวน 415 แห่ง ในวงเงิน 1,602 ล้านบาท และที่ผ่านมา พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงในช่วงปี 2539-2540 แล้วเสร็จ จำนวน 274 แห่ง ส่วนที่เหลืออีก 140 แห่ง อยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในเดือนธันวาคม 2541 และ พพ. ได้ติดตามประเมินผลการอนุรักษ์พลังงานหลังจากใช้งานไปแล้ว 1 ปี จำนวน 149 แห่ง สรุปผลการประเมินได้ว่า สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 19.94 ล้านหน่วยต่อปี หรือ 39.90 ล้านบาทต่อปี โดยใช้เงินลงทุนดำเนินการประมาณ 270 ล้านบาท และมีระยะเวลาคืนทุน 6.7 ปี เมื่อทำการปรับปรุงครบถ้วน 415 แห่ง ในปีงบประมาณ 2541 จะสามารถประหยัดไฟฟ้าได้ 88.76 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 177.52 ล้านบาทต่อปี และสามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าได้ประมาณ 33 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยชะลอการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 1,485 ล้านบาท
ดังนั้น เพื่อให้การอนุรักษ์พลังงานในอาคารของส่วนราชการเป็นไปอย่างต่อเนื่องและขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับอาคารของส่วนราชการ พพ. จึงได้จัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2541 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2541 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ พพ. เสนอ ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. กลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการ
- ส่วนราชการอื่น ๆ 85 แห่ง
- โรงพยาบาล 373 แห่ง
- สถานศึกษา 342 แห่ง
รวม 800 แห่ง
2. แผนดำเนินการ
แผนดำเนินการการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการอาคารของรัฐ มีดังนี้
หน่วย : แห่ง
แผนดำเนินการ | จำนวนอาคารที่ดำเนินการ | |||||
ปีที่ 1 | ปีที่ 2 | ปีที่ 3 | ปีที่ 4 | ปีที่ 5 | รวม | |
1. ตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน | 200 | 250 | 250 | 100 | - | 800 |
2. การดำเนินการปรับปรุงฯ | 160 | 160 | 160 | 160 | 160 | 800 |
3.ปรับปรุงแบบอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง | 10 | 10 | 10 | 10 | 10 | 50 |
4. การติดตามประเมินผล | - | - | 400 | - | 400 | 800 |
3. งบประมาณค่าใช้จ่าย
พพ. ได้จัดทำงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ในระหว่าง ปี พ.ศ. 2542 - 2546 รวมเป็นเงิน 2,936 ล้านบาท ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
กิจกรรม | งบประมาณค่าใช้จ่าย | |||||
ปีที่ 1 | ปีที่ 2 | ปีที่ 3 | ปีที่ 4 | ปีที่ 5 | รวม | |
ก. อาคารที่ใช้งานอยู่แล้ว 1. ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ |
25.900 | 32.450 | 35.050 | 18.100 | 10.300 | 121.800 |
2. ค่าออกแบบการปรับปรุงการอนุรักษ์พลังงาน | 20.900 | 26.125 | 26.125 | 10.450 | - | 83.600 |
3. ค่าดำเนินการปรับปรุงฯ | 483.200 | 483.200 | 483.200 | 483.200 | 483.200 | 2,416.000 |
4. ค่าควบคุมงานติดตั้งฯ | 7.920 | 7.920 | 7.920 | 7.920 | 7.920 | 39.600 |
ข. อาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง | ||||||
5. ค่าปรับปรุงแบบ | 5.000 | 5.000 | 5.000 | 5.000 | 5.000 | 25.000 |
6. ค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อปรับปรุงอาคาร | 50.000 | 50.000 | 50.000 | 50.000 | 50.000 | 250.000 |
รวมทั้งสิ้น | 592.920 | 604.695 | 607.295 | 574.670 | 556.420 | 2,936.000 |
4. ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
คาดว่าการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารส่วนราชการ จำนวน 800 แห่ง จะได้รับประโยชน์ ดังนี้
1) จะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 138 ล้านหน่วยต่อปี หรือคิดเป็นเงินประมาณ 346 ล้านบาทต่อปี (คิดจากการดำเนินการปรับปรุง ร้อยละ 80 ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด) สำหรับอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบและก่อสร้าง คาดว่าจะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณร้อยละ 20 ของการใช้ไฟฟ้าในอาคารนั้น
2) ลดความต้องการพลังไฟฟ้าในช่วงมีความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดได้ประมาณ 52 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยชลอการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าของสาขาไฟฟ้าได้ประมาณ 2,340 ล้านบาท
3) เพิ่มคุณภาพระดับแสงสว่างในที่ทำงานให้ได้ตามมาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4) เป็นการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่วิธีการ และผลดำเนินการด้านการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับภาคเอกชนต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ตามรายละเอียดที่ปรากฎในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 1 ชื่อแฟ้ม "Plan2"
2. อนุมัติให้ พพ. ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของส่วนราชการ ตามแแผนปฏิบัติการโครงการฯ ระยะที่ 2 ปีที่ 1 และอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการฯ ระยะที่ 2 ปีที่ 1 ในวงเงิน 592,920,000 บาท (ห้าร้อยเก้าสิบสองล้านเก้าแสนสองหมื่นบาทถ้วน) โดยใช้เงินคงเหลือจากการดำเนินการตามแผนปฏิบิตการโครงการฯ ระยะที่ 1 จำนวน 387,049,781 บาท (สามร้อยแปดสิบเจ็ดล้านสี่หมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดบาทถ้วน) และใช้เงินจากแผนงานภาคบังคับ ปี 2535-2542 ในส่วนที่ พพ. ยังไม่มีข้อผูกพันการใช้จ่ายเงิน ในวงเงิน 205,870,219 บาท (สองร้อยห้าล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นสองร้อยสิบเก้าบาทถ้วน)
3. ให้ พพ. ปรับแผนปฏิบัติการโครงการฯ ระยะที่ 2 ตามผลการประเมินโครงการฯ ของ สพช. และเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการในระยะที่ 2 ปีที่ 2 ต่อไป
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2541 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ พพ. ปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) จากระยะเวลา 2 ปี (2540-2541) เป็นระยะเวลา 3 ปี (2541-2543) ในวงเงินงบประมาณ 6,323.3 ล้านบาท และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานตามแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ระยะเวลา 3 ปี (2541-2543) ตามรายละเอียดปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 1 ชื่อแฟ้ม "Modify-Plan" ในวงเงิน งบประมาณ 6,323.3 ล้านบาท (หกพันสามร้อยยี่สิบสามล้านสามแสนบาทถ้วน)
2. เห็นชอบในหลักการให้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับและคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ โดยยุบรวมเป็นคณะอนุกรรมการเดียว และเสนอให้ประธานกรรมการกองทุนฯ พิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้งต่อไป
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2541 (ครั้งที่ 13) เพื่อวันพุธที่ 25 มีนาคม 2541 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในการปรับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และประธานกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้ลงนามในคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ 2/2541 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2541 ซึ่งเป็นผลให้องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ชุดเดิมเป็นอันสิ้นผล และมีผลให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานไม่สามารถอนุมัติค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น และค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานได้
เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของประธานอนุกรรมการฯ และให้การปฏิบัติงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2541 (ครั้งที่ 1) เมื่อวันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2541 ได้เห็นชอบให้ประธานอนุกรรมการฯ มอบอำนาจให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจอนุมัติค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ไม่เกิน 500,000 บาท/ราย และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจอนุมัติค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมโดยตรงโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้แจ้งคณะอนุกรรมการฯ เพื่อทราบด้วย ตามมติคณะอนุกรรมการกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
เรื่องที่ 10 ค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ในการประชุมครั้งที่ 1/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2541 ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศจะมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เครื่องปรับอากาศเป็นอย่างมาก และในปัจจุบันงบประมาณสำหรับค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศจะรวมอยู่ในหมวดค่าใช้สอย ตอบแทนและวัสดุ มักจะถูกตัดงบประมาณรายจ่ายอยู่เสมอ ดังนั้นเพื่อเพิ่มความสำคัญของค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ที่ประชุมจึงเห็นควรให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศที่แต่ละหน่วยงานของรัฐเสนอมา โดยให้หน่วยงานแต่ละแห่งแยกรายการค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศออกมาเป็นรายการหนึ่งต่างหาก พร้อมทั้งระบุด้วยว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นเป็นรายการห้ามโอนย้าย และที่ประชุมได้มอบหมายให้ พพ. จัดทำรายละเอียดข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ เสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ สพช. นำเสนอแนวทางการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของส่วนราชการและงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ต่อคณะรัฐมนตรี โดยขอมติคณะรัฐมนตรีให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศที่แต่ละหน่วยงานของรัฐเสนอมา และให้หน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งแยกรายการค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศออกเป็นรายการหนึ่งต่างหาก พร้อมทั้งระบุด้วยว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นเป็นรายการห้ามโอนย้าย
เรื่องที่ 11 โครงการสวนพลังงานแสงอาทิตย์
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) ได้จัดทำแผนโดยละเอียดโครงการสวนพลังงานแสงอาทิตย์ เสนอขอการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีค่าใช้จ่ายที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 80,000,000 บาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีกิจกรรมที่จะดำเนินการตามเป้าหมายของโครงการ ดังนี้
1) การสาธิต : เป็นการสาธิตอุปกรณ์ด้านพลังงานแสงอาทิตย์อย่างถาวรเกี่ยวกับระบบเครื่องทำน้ำร้อน เครื่องอบแห้ง เครื่องปรับอากาศ และระบบเซลล์แสงอาทิตย์ในสภาพการใช้งานจริง เพื่อให้ประชาชน นิสิต นักศึกษา หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งรัฐและเอกชนได้เข้าใจ คุ้นเคยและมั่นใจในระบบพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมที่จะตัดสินใจ เพื่อนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันเช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่น
2) การทดสอบมาตรฐาน : เป็นแหล่งทดสอบมาตรฐานและการใช้งานของระบบเครื่องทำน้ำร้อน ระบบเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อวิเคราะห์และนำไปสู่การพัฒนาด้านเทคนิคหรือการประหยัดต้นทุนการทดสอบ เพื่อออกหนังสือรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์เกิดความมั่นใจต่อการใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์
3) การฝึกอบรม : เป็นการฝึกอบรมของโครงการสวนพลังงาน เพื่อทำการเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ ทำให้ทราบถึงประโยชน์และการใช้งานระบบทางด้านพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นการสร้างพื้นฐานความรู้ทางด้านพลังงานแสงอาทิตย์แก่เยาวชน และประชากรของประเทศไทย และเป็นการเตรียมบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจต่อการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์
4) การซ่อมบำรุง : การซ่อมบำรุงจะช่วยแก้ปัญหาด้านเทคนิคจากการทำงานของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เกินความสามารถในการซ่อมบำรุงของประชาชนและช่างเทคนิคในหมู่บ้าน
5) การส่งเสริมธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ : เป็นการส่งเสริมการขยายการตลาด ด้วยการร่วมมือกับบริษัทและโรงงานผู้ผลิตต่างๆ เพื่อจำหน่ายอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ ให้กับลูกค้าได้ตามวัตถุประสงค์และสามารถหารายได้ในการดำเนินกิจกรรมของสวนพลังงานให้สามารถเลี้ยงตนเองได้
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้มหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสวนพลังงานแสงอาทิตย์ ตามรายละเอียดแผนงานของโครงการที่ปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 2 ชื่อแฟ้ม "EnergyPark" ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) และให้ มน. ปรับแผนการดำเนินโครงการฯ โดยนำอาคารศูนย์ธุรกิจสวนพลังงานมาดำเนินการในระยะที่ 1 ด้วย
2. ให้ มน. แสดงเอกสารที่อ้างอิงถึงความพร้อมของเอกชน ในการที่จะเข้ามาร่วมลงทุนในสวนพลังงานฯ เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อพิจารณาก่อนอนุมัติเบิกจ่ายเงินงวดที่ 1
3. ให้ สพช. ติดตามประเมินผลโครงการฯ ในแต่ละปี และเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือเพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการฯ ในปีถัดไป
เรื่องที่ 12 โครงการศึกษาแนวทางการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
เลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 55) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 ได้เสนอแนวทางการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซินและการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และกรมทะเบียนการค้า (กค.) รับไปพิจารณาปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม ในเรื่องการกำหนดค่าสูงสุดของปริมาณออกซิเจนเนตที่ผสมในน้ำมันเบนซิน การกำหนดปริมาณสารเบนซีน และสารอะโรมาติกแบบยืดหยุ่นได้ การเพิ่มค่าซีเทนในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และการปรับค่าความถ่วงจำเพาะของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้แคบกว่าเดิม โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 อนุมัติตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในเรื่องดังกล่าว
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 7/2541 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2541 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการศึกษาผลกระทบของการใช้สารเติมแต่งประเภทชะล้างทำความสะอาดหัวฉีดในน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ ซึ่งเสนอโดย กค. โดยจะทำการศึกษาว่าน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำก่อให้เกิดสิ่งสกปรกอุดตันที่หัวฉีด หรือเกิดการสึกกร่อนมากน้อยเพียงใดและการลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันดีเซลซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเป็นตัวหล่อลื่นของเนื้อน้ำมัน ทำให้มีความจำเป็นต้องมีการเติม Lubricity Additive เพื่อช่วยป้องกันการสึกหรอของปั๊ม (Rotary pump) หรือไม่ โดยมีวิธีการศึกษา ดังนี้
1. ศึกษาคุณสมบัติน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยศึกษาน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถัน 0.25 % โดยน้ำหนัก และ 0.05 % โดยน้ำหนัก จากโรงกลั่น 6 โรง ในประเทศ เป็นจำนวน 12 ตัวอย่าง เพื่อเลือกตัวอย่างน้ำมันที่น่าจะก่อให้เกิดปัญหามากที่สุดชนิดละ 1 ตัวอย่าง เป็นตัวแทนในการทำการทดสอบ
2. ศึกษาคุณสมบัติของตัวอย่าง Detergent Additive 5 ตัวอย่าง และ Lubricity Additive 5 ตัวอย่าง เลือกตัวอย่าง Detergent Additive และ Lubricity additive มาอย่างละ 1 ตัวอย่าง เพื่อใช้เป็นตัวแทนทดสอบ
3. ทดสอบผลการใช้สารเติมแต่งประเภท Detergent Additive และ Lubricity Additive ในน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ โดยติดตั้งหัวฉีดใหม่กับรถยนต์ดีเซลขนาดเล็ก 15 คัน และขนาดใหญ่ 15 คัน ทำการทดสอบโดยวิ่งใช้งานปกติ 25,000 กิโลเมตร เพื่อวัดอัตราการไหลของหัวฉีดตาม ISO 4010 วัดควันดำ วัดสารมลพิษวิเคราะห์ชนิดของสิ่งสกปรก การตรวจสอบความเสียหายต่อ rotary pump โดยเครื่อง HFRR และวิเคราะห์มลพิษจากไอเสียรถยนต์
4. ประเมินผลการทดสอบ เพื่อความจำเป็นในสารเติมแต่งประเภท Detergent Additive และ Lubricity Additive ในน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2541 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2541 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการศึกษาแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ตามที่ สพช. ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อจะดำเนินการจ้างผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านให้ทำการศึกษาการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยมีเป้าหมายของโครงการฯ ดังนี้
1. เพื่อทบทวนมาตรฐานของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่ในปัจจุบันของประเทศไทย
2. เพื่อทบทวนสภาพปัญหามลพิษทางอากาศของกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน ตลอดจนมาตรการที่ดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหามลพิษที่ใช้อยู่ พร้อมทั้งประมาณการแนวโน้มของคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานครในอนาคต
3. ตรวจสอบสถานะภาพการกลั่นน้ำมันของโรงกลั่น และแผนการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน
4. เพื่อทบทวนการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์
5. ศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเครื่องยนต์จากการใช้น้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ (0.05 %) ที่ประกาศใช้ในปี 2542 พร้อมทั้งประเมินผลกระทบต่อผู้ใช้รถยนต์ อุตสาหกรรมน้ำมันและอุตสาหกรรมรถยนต์
ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอโครงการฯ ทั้งสองโครงการแล้วมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้กรมทะเบียนการค้า เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาผลกระทบของการใช้สารเติมแต่งประเภทชะล้างทำความสะอาดหัวฉีดในน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำเบื้องต้น ตามรายละเอียดแผนการดำเนินโครงการที่ปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 2 ชื่อแฟ้ม "Sulpher" ในวงเงิน 22,394,900 บาท (ยี่สิบสองล้านสามแสนเก้าหมื่นสี่พันเก้าร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ตามรายละเอียดแผนการดำเนินโครงการปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 2 ชื่อแฟ้ม "Fuel-Change ในวงเงิน 24,500,000 บาท (ยี่สิบสี่ล้านห้าแสนบาทถ้วน)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานเสนอโครงการบ้านสาธิตประหยัดพลังงานแบบยั่งยืน เพื่อเป็นต้นแบบการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมของภูมิภาค เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือโครงการศึกษาวิจัย และพัฒนา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2541 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2541 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการบ้านสาธิตประหยัดพลังงานแบบยั่งยืน เพื่อเป็นต้นแบบการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมของภูมิภาค และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการบ้านสาธิตประหยัดพลังงานนี้สามารถแบ่งขั้นตอนการทำงานได้เป็น 5 ขั้นตอนหลัก ดังต่อไปนี้
1. การศึกษาแนวทางในการประหยัดพลังงานในอาคาร : ขบวนการวิจัยเริ่มจากการศึกษาแนวทางในการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน 2 หลัง ซึ่งประกอบด้วยบ้านที่มีแนวความคิดในการออกแบบก่อสร้างที่แตกต่างกัน ดังนี้
- บ้านหลังที่ 1 เป็นการออกแบบในแนวคิดของการประยุกต์ใช้ระบบธรรมชาติอย่างเต็มที่ โดยมีสภาพอากาศภายในอาคารอยู่ในเขตสบายเกือบตลอดเวลา (Passive Building) โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบปรับอากาศ อีกทั้งยังช่วยให้โดยรอบบ้านมีสภาพอากาศที่ดีขึ้นด้วย คาดว่าบ้านหลังนี้จะเป็นบ้านพักอาศัยที่มีราคาค่าก่อสร้างต่ำและมีการใช้พลังงานน้อยมาก อีกทั้งยังเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยในชนบทที่ยังมีสภาพแวดล้อมที่ดี
- บ้านหลังที่ 2 เป็นแนวคิดเชิงประยุกต์ในการใช้ระบบธรรมชาติผสมผสานระบบเครื่องกลในบ้าน เพื่อให้คุณภาพชีวิตสภาพอากาศภายในบ้านอยู่ในเขตสบายอย่างสมบูรณ์ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็นรูปแบบของบ้านพักอาศัยที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยในเขตเมือง
2. การออกแบบบ้านสาธิต : หลังจากที่ได้ทำการศึกษาหาแนวทางในการออกแบบและก่อสร้างบ้านประหยัดพลังงาน แล้วจึงเริ่มทำการออกแบบบ้านสาธิตทั้ง 2 หลังโดยใช้แนวทางที่ได้ศึกษา ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการออกแบบและการปรับปรุงการออกแบบ ประมาณ 3 เดือน
3. การก่อสร้างบ้านสาธิต : จะมีการเตรียมพื้นที่ก่อสร้างเพื่อให้สามารถทำการก่อสร้างได้โดยสะดวกและรวดเร็ว หลังจากที่ได้ออกแบบบ้านสาธิตเสร็จแล้วจึงเริ่มทำการก่อสร้างบ้านสาธิตทั้ง 2 หลัง โดยจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ประมาณ 6 เดือน
4. การทดลองภายในบ้านสาธิต การเก็บข้อมูล และประเมินผล : เมื่อได้ทำการก่อสร้างบ้านสาธิตประหยัดพลังงานทั้ง 2 หลังเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มทำการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมและตรวจวัดข้อมูลต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้านทั้ง 2 หลัง จากนั้นจึงเริ่มทำการเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น อุณหภูมิอากาศภายในบ้าน ณ จุดต่างๆ ความชื้นสัมพัทธ์ ความเร็วลม การใช้พลังงานในส่วนต่างๆ ของอาคารและอื่นๆ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบ จากนั้นจึงนำข้อสรุปไปใช้ในการเผยแพร่ต่อไป
5. การเผยแพร่ข้อมูลและการสาธิตให้บุคคลทั่วไป : เมื่อได้ข้อมูลที่ได้มีความเรียบร้อยสมบูรณ์แล้วจึงทำการจัดทำเอกสารและสื่อเพื่อการเผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชนผู้สนใจ โดยมีมาตรการในการเผยแพร่ดังต่อไปนี้
- การเปิดบ้านสาธิตทั้ง 2 หลัง ให้ประชาชนผู้สนใจเข้าชมและมีการจัดนิทรรศการภายในบ้านสาธิตพร้อมทั้งจัดบุคคลากรประจำเพื่อให้ความรู้แก่ผู้สนใจ โดยจะทำการจัดนิทรรศการภายในบ้านสาธิตทั้ง 2 หลังเป็นเวลาประมาณ 6 เดือน
- จัดทำแผ่นพับเพื่อใช้แจกจ่ายให้ประชาชนผู้สนใจ รวม 100,000 ชุด และจัดทำหนังสือคู่มือ 1,000 เล่ม
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนา ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการบ้านสาธิตประหยัดพลังงานแบบยั่งยืน เพื่อเป็นต้นแบบการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมของภูมิภาค ตามรายละเอียดแผนการดำเนินโครงการที่ปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 2 ชื่อแฟ้ม "DEDP-House" ภายในวงเงิน 28,460,572.86 บาท (ยี่สิบแปดล้านสี่แสนหกหมื่นห้าร้อยเจ็ดสิบสองบาทแปดสิบหกสตางค์)
เรื่องที่ 14 โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
เลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อดำเนินการตามโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ในวงเงิน 90,000,000 บาท (เก้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าครุภัณฑ์ ที่ประกอบด้วย เครื่อง Large Area Multi-Chamber Plasma Enhanced Chemical Vapor Deposition (PECVD) System และเครื่อง Sputtering System
สวทช. ได้มีหนังสือที่ วว. 5201/2459 ลงวันที่ 21 กันยายน 2541 เพื่อแจ้งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบว่า เนื่องจากการที่ค่าเงินบาทลอยตัว จึงส่งผลให้ราคาของเครื่องจักรที่ สวทช. ต้องนำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้นเกินกว่าจำนวนเงินที่ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และ สวทช. ไม่สามารถจัดสรรงบประมาณมาสมทบได้ แต่เพื่อให้การวิจัยและพัฒนาด้านเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง สวทช. จึงขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อปรับแผนของโครงการฯ ดังนี้
หัวข้อ | แผนงานเดิม | หลังการปรับแผนงาน |
วัตถุประสงค์ | วิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น | ไม่เปลี่ยนแปลง |
ชนิดของเซลล์แสงอาทิตย์ | แบบอะมอร์ฟัสซิลิกอน ชนิด Tandem Cell ที่มีประสิทธิภาพ 10 % | ไม่เปลี่ยนแปลง |
ชนิดของเครื่องมือที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ | เครื่อง PECVD System และเครื่อง Sputtering System ซึ่งสามารถผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ ในขนาด 30-40 ตารางซม. | เครื่องแบบผสมระหว่าง PECVD System กับ Sputtering System ซึ่งสามารถผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ ในขนาด 30-40 ตารางซม. |
จำนวน Chamber ที่ใช้สำหรับเคลือบฟิล์ม |
Ag 2 chamber |
Ag 1 chamber |
ราคาของเครื่องมือที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ | 2,643,000 US$ หรือ คิดเป็น 118,935,000 บาท ที่อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาทต่อ 1 US$ | 1,890,700 US$ หรือ คิดเป็น 85,081,500 บาท ที่อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาทต่อ 1 US$ (ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 5 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการขนส่งและติดตั้งเครื่องจักร) |
กำลังการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ | 75 กิโลวัตต์ต่อปี | 15 กิโลวัตต์ต่อปี |
การวิจัยและประกอบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ | 1) วิจัยและพัฒนาในเรื่องโครงสร้าง และวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานร้อนชื้น ดำเนินการโดย สวทช. 2) การประกอบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ดำเนินการว่าจ้างบริษัทภายนอก |
1) วิจัยและพัฒนาในเรื่องโครงสร้างและวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานร้อนชื้น ดำเนินการโดย สวทช. 2) การประกอบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ดำเนินการโดย สวทช. |
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สวทช. ปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะสมกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้นตามที่ สวทช. เสนอ ดังนี้
1. เปลี่ยนชนิดของเครื่องมือที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเครื่องแบบผสมระหว่าง PECVD System กับ Sputtering System
2. เปลี่ยนจำนวน Chamber ที่ใช้สำหรับเคลือบฟิล์ม เป็นดังนี้
- Ag 1 chamber
- ITO 1 chamber
- ZnO 1 chamber
- n-chamber 1 chamber
- p-chamber 1 chamber
- chamber 1 chamber
- mc-chamber 1 chamber
- 1 load lock
- 1 isolatetion and transfer Zone
3. ปรับราคาของเครื่องมือที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงิน 1,890,700 US$ หรือคิดเป็นเงิน 85,081,500 บาท ที่อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาทต่อ 1 US$ และเป็นค่าใช้จ่ายในการขนส่งและติดตั้งเครื่องจักรประมาณ 5 ล้านบาท
4. เปลี่ยนกำลังการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ เป็น 15 กิโลวัตต์ต่อปี
5. เปลี่ยนผู้รับผิดชอบในการดำเนินการวิจัยและประกอบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ เป็น สวทช.
เลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารกองทุนฯ คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2539 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2539 ที่ประชุมได้มีมติมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ เป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานที่แตกต่างไปจากรายละเอียดโครงการภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติไว้แล้วในเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังนี้
1) การเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาในการดำเนินงาน
2) การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายงวดการจ่ายเงิน
3) การเปลี่ยนแปลงพื้นที่การดำเนินงานของโครงการ
4) การเปลี่ยนแปลงบุคคล นิติบุคคล หรือองค์กร ที่ร่วมดำเนินการงานโครงการ
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะต้องไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้คณะอนุกรรมการฯ รายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงานของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ หรือคณะอนุกรรมการฯ บางครั้งเกิดปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงาน เจ้าของโครงการฯ จำเป็นต้องปรับแผนการดำเนินโครงการฯ ซึ่งการปรับแผนงานของโครงการในแต่ละครั้งจะต้องขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงตามลำดับขั้นตอน โดยการเสนอคณะอนุกรรมการฯ และหรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน เจ้าของโครงการฯ จึงจะดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้น เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานกองทุนฯ คณะอนุกรรมการฯ เห็นควรที่จะเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจอนุมัติการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และมีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
2. อนุมัติให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด ที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าในปีงบประมาณ 2541 กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมาย จากคณะกรรมการกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าว่าจ้างที่ปรึกษาในการตรวจสอบการดำเนินงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ของอาคารควบคุม จำนวน 1,000 ราย และโรงงานควบคุม จำนวน 600 ราย ในวงเงิน 126,200,000 บาท
การดำเนินการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานตามกฎหมายของอาคารควบคุมและโรงงานควบคุม ให้มีประสิทธิภาพจะต้องว่าจ้างที่ปรึกษาตรวจสอบ (Accredited Consultants, ACs) ที่มีมาตรฐานในระดับสากล และควรจ้างที่ปรึกษาตรวจสอบหลายราย เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการทำงาน และ พพ. สามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานได้ ดังนั้น พพ. จึงแบ่งการจ้างที่ปรึกษาตรวจสอบสำหรับอาคารควบคุม เป็น 5 รายๆ ละ 200 อาคาร และสำหรับโรงงานควบคุม เป็น 3 รายๆ ละ 200 โรงงาน และเนื่องจากเป็นการดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาระดับสากล จะต้องมีการประกาศเชิญชวนไปต่างประเทศ ดังนั้น การดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาทีละรายจะต้องทำถึง 8 ครั้ง ซึ่งไม่เป็นผลดี ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณและใช้เวลามาก พพ. จึงเลือกวิธีการคัดเลือกครั้งเดียวให้ได้ที่ปรึกษาหลายรายโดยดำเนินการตามขั้นตอน ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 เกี่ยวกับการจ้าง ที่ปรึกษาโดยวิธีการคัดเลือก โดยเริ่มด้วยการตรวจสอบคุณสมบัติของที่ปรึกษาเบื้องต้น (Prequalification, PQ) ส่ง Term of Reference ให้จัดทำข้อเสนอ พิจารณาข้อเสนอทางเทคนิค เปิดซองราคาของผู้ที่ข้อเสนอดีที่สุดตามลำดับ ตามจำนวนที่ปรึกษาที่ต้องการแล้วต่อรองราคาให้เป็นราคาเดียวกัน โดยถือเอาราคาต่ำสุดเป็นเกณฑ์และอยู่ในวงเงินงบประมาณ
การดำเนินการดังกล่าวจะมีข้อที่แตกต่างจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ข้อ 85 และข้อ 88 ที่กำหนดให้พิจารณาคัดเลือกรายที่มีข้อเสนอทางด้านเทคนิคดีที่สุดเพียงรายเดียว แล้วเจรจาต่อรองให้ได้ราคาที่เหมาะสม เพื่อให้การดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาตรวจสอบในกรณีที่เป็นการว่าจ้างในระดับสากล และต้องการว่าจ้างจากหลายรายในคราวเดียวกัน เพื่อประหยัดงบประมาณของทางราชการและระยะเวลาการดำเนินงาน พพ. จึงขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ ในข้อ 85 และข้อ 88 และเนื่องจากจะมีการว่าจ้างในลักษณะนี้ต่อไปในแต่ละปี พพ. จึงขออนุมัติในหลักการสำหรับการว่าจ้างในลักษณะดังกล่าวต่อไปด้วย
ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 กำหนดว่า "หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในเรื่องการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายเงิน และการพัสดุ ที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบทางราชการได้ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" ซึ่งหากคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบตามที่ พพ. เสนอ พพ. จะต้องนำเสนอกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาในการตรวจสอบการดำเนินงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ในอาคารควบคุมและโรงงานควบคุม โดยใช้จ่ายเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโครงการบริหารงานตามกฎหมาย โดยสามารถยกเว้นการปฏิบัติเกี่ยวกับการว่าจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีการคัดเลือกตามนัย ข้อ 85 และ ข้อ 88 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ตามที่ พพ. เสนอมา และให้ พพ. นำเสนอกระทรวงการคลังเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
เลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ได้เริ่มดำเนินงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2538 เป็นต้นมา ซึ่งบัดนี้ความก้าวหน้าของแต่ละโครงการมีปริมาณที่มากพอสมควรแล้ว และคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2541 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2541 ที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทำการประเมินผลการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ในแต่ละแผนงานให้ชัดเจนว่าแต่ละโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้วมีการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพเพียงไร เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของแผนงานที่จัดทำไว้หรือไม่ โดยควรจะเปิดให้หน่วยงานอิสระหรือเป็นกลางทำการประเมินผล
ดังนั้นเพื่อแบ่งเบาภาระของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการกลั่นกรองงานเกี่ยวกับการประเมินผลแต่ละโครงการ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการติดตามประเมินผลโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีกรรมการในคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ และให้ สพช. พิจารณารายละเอียดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เสนอต่อประธานคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้งต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อกำกับดูแลการติดตามประเมินผลโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีกรรมการท่านใดท่านหนึ่งในคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ และ ให้ สพช. พิจารณารายละเอียดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เสนอต่อประธานคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้งต่อไป
- รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุน
- รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ
- รายงานการต่อสัญญาโครงการ
- ขออนุมัติรายจ่าย
- แผนปฏิบัติการ
- การอนุรักษ์พลังงาน
- ขอความเห็นชอบ
- โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม
- แผนอนุรักษ์พลังงาน
- เครื่องปรับอากาศ
- พลังงานแสงอาทิตย์
- โครงการศึกษา
- โครงการบ้านสาธิต
- โครงการวิจัยและพัฒนา
- คณะอนุกรรมการ
- ขอยกเว้นการปฏิบัติ
- กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
กอ. ครั้งที่ 17 - วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2542
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 17)
วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2542 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. หนังสือเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ
3. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน
4. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน
5. โครงการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ
8. โครงการระบบสูบน้ำด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับน้ำใช้ในหมู่บ้านขององค์การบริหารส่วนตำบล
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับกรมบัญชีกลางได้ส่งงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประจำปี สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2541 ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบแล้วพร้อมทั้งรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2542 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,682,267,561.57 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของ สพช. บก. และ พพ. ตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2542 ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 2,720,841,085.06 บาท
ผู้แทนจากกรมบัญชีกลาง (บก.) ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า สำหรับงบดุลของเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนั้น ยังมีบัญชีเงินรับรอการตรวจสอบค้างอยู่ในงบดุล ซึ่งบัญชีดังกล่าวเป็นเงินที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรได้จัดเก็บจากผู้ค้าน้ำมัน และนำฝากเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนแล้ว แต่ไม่มีเอกสารการนำเงินเข้าบัญชีส่งให้ บก. เพื่อประกอบการบันทึกบัญชี โดยมียอดเงินรับรอการตรวจสอบค้างมาตั้งแต่ปี 2536 ซึ่ง บก. ได้ประสานกับทั้ง 2 หน่วยงานให้ดำเนินการส่งเอกสารการจัดเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันให้ บก. แต่ทั้ง 2 หน่วยงาน ไม่สามารถจัดส่งให้ได้ บก. จึงไม่สามารถบันทึกบัญชีรายรับรอการตรวจสอบเป็นรายได้ของกองทุน เมื่อ สตง. ได้ตรวจสอบบัญชีของกองทุนแล้วมีข้อสังเกตว่าบัญชีเงินรับรอการตรวจสอบค้างอยู่เป็นจำนวนมากควรดำเนินการหาข้อยุติ บก. จึงขออนุมัติตัดยอดจากบัญชีเงินรับรอการตรวจสอบที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรจัดเก็บจากผู้ค้าน้ำมันแล้วไม่สามารถส่งเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีให้ บก. ได้ ภายในระยะเวลา 3 ปี เป็นรายได้ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานต่อไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประจำปี สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2541 และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2542
2. อนุมัติให้ บก. ตัดยอดจากบัญชีเงินรับรอการตรวจสอบที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรจัดเก็บจากผู้ค้าน้ำมัน แล้วไม่สามารถส่งเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีให้ บก. ได้ หลังจากระยะเวลา 3 ปี เป็นรายได้ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้
เรื่องที่ 2 หนังสือเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ากรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ วว 0406/6188 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2542 แจ้งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 3) ได้พิจารณาแก้ไขปัญหาในเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นของอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ที่ พพ. ได้ดำเนินการระหว่างปีงบประมาณ 2540-2541 จำนวนทั้งสิ้น 347 ราย แต่ไม่สามารถทำหนังสือยืนยันจากเจ้าของอาคารควบคุมได้ทันในปีงบประมาณ 2541 จึงส่งผลทำให้ไม่เกิดข้อผูกพันที่ พพ. จะนำมาเบิกจ่ายเงินในปีงบประมาณถัดไปได้ โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทำหนังสือเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือที่ นร 0905/ว 1321 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2542 เวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะกรรมการกองทุนพิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
1. ให้ผู้ขอรับการสนับสนุนที่เป็นเอกชนใช้หนังสือยืนยันตามแบบที่ พพ. กำหนด แทนการจัดทำสัญญาตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรรเงินช่วยเหลือหรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 16 สำหรับการขอรับการสนับสนุน เฉพาะในส่วนที่ได้ดำเนินการมาแล้ว และในการดำเนินการครั้งต่อไป
2. เห็นชอบกับการจ่ายเงินค่าตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น สำหรับอาคารควบคุมจำนวน 118 ราย ในวงเงิน 21,031,626 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านสามหมื่นหนึ่งพันหกร้อยยี่สิบหกบาทถ้วน) ซึ่ง พพ. ได้จ่ายเงินไปแล้วโดยใช้เงินตามปีงบประมาณซึ่งได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว
3. ให้ พพ. จ่ายเงินสนับสนุนการวิตรวจเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น สำหรับอาคารควบคุมที่ยังค้างจ่าย จำนวน 229 ราย ในวงเงินประมาณ 80,691,306 บาท (แปดสิบล้านหกแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันสามร้อยหกบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายเงินจากวงเงินของปีงบประมาณ 2542 ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ทั้งนี้โดยใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย และให้ พพ. นำเงิน ซึ่งเบิกจากกรมบัญชีกลางในปีงบประมาณ 2540-2541 (จำนวน 229 ราย) มาแล้วส่งคืนกองทุนฯ ต่อไป
4. ในกรณีที่มีการตรวจสอบแล้วพบในภายหลังว่ามีเจ้าของอาคารควบคุมบางรายทำหนังสือยืนยันขอรับการสนับสนุนการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นกับ พพ. ไม่ทันในปีที่ได้รับอนุมัติไปแล้วในปีงบประมาณ 2540 - 2541 ให้ พพ. เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้แก่เจ้าของอาคารควบคุมจากวงเงินของปีงบประมาณ 2542 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้วโดยใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. แผนงานภาคบังคับ
1.1 โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
1) โครงการอาคารควบคุม
กิจกรรม | แผนการดำเนินงาน | ผลการดำเนินงาน | ||
ปี 2540-2543 | ปี 2540-2542 | |||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
การตรวจสอบฯ เบื้องต้น | 1,225 | 409.65 | 925 | 294.08 |
การจัดทำเป้าหมายและแผนฯ | 1,234 | 977.9 | 76 | 24.67 |
การสนับสนุนการลงทุนฯ | 864 | 5,004 | - | - |
รวม | 6,391.55 | 318.75 |
เมื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการครบถ้วน พพ. คาดว่าจะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 1,881 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 4,702 ล้านบาทต่อปี และจะสามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าลงได้ประมาณ 650 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยชะลอการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 39,000 ล้านบาท
2) โครงการโรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน
กิจกรรม | แผนการดำเนินงาน | ผลการดำเนินงาน | ||
ปี 2541-2546 | ปี 2541-2542 | |||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
การตรวจสอบฯ เบื้องต้น | 3,626 | 362.6 | 311 | 31.1 |
การจัดทำเป้าหมายและแผนฯ | 3,176 | 1,588 | - | - |
การสนับสนุนการลงทุนฯ | 1,791 | 8,955 | - | - |
รวม | 10,905.62 | 31.1 |
เมื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการครบถ้วน พพ. คาดว่าจะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 3,832 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 7,664 ล้านบาทต่อปี และจะสามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าลงได้ประมาณ 547 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยชะลอการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 24,615 ล้านบาท
1.2 โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง
กิจกรรม | แผนการดำเนินงาน | ผลการดำเนินงาน | ||
ปี 2542 | ปี 2542 | |||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
การปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ | 20 | 40 | - | - |
การลงทุนตามแบบที่ปรับปรุง | 20 | 140 | 1 | 1.3 |
รวม | 180 | 1.3 |
เมื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการครบถ้วน พพ. คาดว่าจะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 14 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 35 ล้านบาทต่อปี
1.3 โครงการอาคารของรัฐ
ระยะที่ 1
กิจกรรม | แผนการดำเนินงาน | ผลการดำเนินงาน | ||
ปี 2538-2541 | ปี 2538-2541 | |||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
ตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน | 415 | 29.05 | 415 | 51.64 |
การดำเนินการปรับปรุง | 415 | 1,245 | 415 | 1,110.87 |
อาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง | 40 | 212 | - | - |
ค่าใช้จ่ายการบริหารโครงการ | - | 91.08 | 415 | 16.51 |
การติดตามประเมินผล | 415 | 6.225 | 415 | 1.05 |
การควบคุมงานติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน | 415 | 18.647 | 415 | 34.88 |
รวม | 1,602 | 1,214.95 |
เมื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการครบถ้วน พพ. คาดว่าจะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 159 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 273.5 ล้านบาทต่อปี และจะสามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าลงได้ประมาณ 60 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยชะลอการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 1,800 ล้านบาท
ระยะที่ 2
กิจกรรม | แผนการดำเนินงาน | ผลการดำเนินงาน | ||
ปี 2542-2545 | ปี 2542 | |||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
ตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน | 800 | 83.6 | 200 | 19.665 |
การดำเนินการปรับปรุง | 800 | 2,416 | - | - |
อาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง | 10 | 275 | - | - |
ค่าใช้จ่ายการบริหารโครงการ | - | 115.4 | 200 | 14.113 |
การติดตามประเมินผล | 800 | 6.4 | - | - |
การควบคุมงานติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน | - | 39.6 | - | - |
รวม | 2,936 | 33.778 |
เมื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการครบถ้วน พพ. คาดว่าจะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 138 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 346 ล้านบาทต่อปี และจะลดความต้องการพลังไฟฟ้าลงได้ประมาณ 52 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยชะลอการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 2,340 ล้านบาท
2. แผนงานภาคความร่วมมือ
มีโครงการได้รับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ แล้ว 73 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,413 ล้านบาท ประกอบด้วย
โครงการ | แผนการดำเนินงาน | ผลการดำเนินงาน | |
ระหว่างปี 2538-2542 | ระหว่างปี 2538-2542 | ||
ล้านบาท | โครงการ | ล้านบาท | |
2.1 โครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท | 1,311 | 8 | 526 |
2.2 โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน | 860 | 11 | 389 |
2.3 โครงการศึกษา วิจัย และพัฒนา | 610 | 54 | 498 |
รวม | 2,781 | 73 | 1,413 |
โครงการพลังงานหมุนเวียนฯ และโครงการส่งเสริมธุรกิจฯ ที่ได้รับจัดสรรเงินให้ดำเนินการ รวม 19 โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 915 ล้านบาท นั้น เมื่อโครงการดำเนินงานไปจนครบอายุการใช้งานของอุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีแล้ว ในการใช้งานตั้งแต่ 5 ปี 15 ปี และ 25 ปี ประมาณความสามารถในการประหยัดพลังงานได้ 2,319 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น ลดการก่อมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม สามารถนำผลพลอยได้ไปทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ก่อให้เกิดการจ้างงาน และได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน ในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการนำไปใช้
ปัจจุบัน มีโครงการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนไว้กับ สพช. และอยู่ระหว่างการพิจารณาให้การสนับสนุนอีก จำนวน 15 โครงการ คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 8,026 ล้านบาท
โครงการที่ได้ดำเนินการจนเห็นผลแล้วและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี มีผู้ประกอบการที่ประสงค์จะขอเข้าร่วมโครงการอีกหลายราย คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้อนุมัติให้ขยายโครงการฯ เป็นระยะที่ 2 แล้ว 3 โครงการ คือ
โครงการส่งเสริมแก๊สชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 1: ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและใหญ่
โครงการส่งเสริมก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 : เกษตรกรย่อย (คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ ระยะที่ 2 แล้ว)
โครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ
สำหรับปี 2542 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือขอยกเลิกโครงการจัดการด้านการใช้พลังงานไฟฟ้า (Load Management) ระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็น ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว ทั้งนี้เนื่องจาก กทม. ไม่สามารถจัดสรรงบประมาณมาสมทบการก่อสร้างอาคารดังกล่าว
3. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน
3.1 โครงการพัฒนาบุคลากร
มีโครงการได้รับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ แล้ว 6 โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 329.6 ล้านบาท
หน่วย:ล้านบาท
โครงการ | แผนดำเนินงาน ปี 2538-2541 |
ผลการดำเนินงาน ปี 2538-2541 |
1) การพัฒนาหลักสูตรและคู่มือการฝึกอบรม | 442.60 | 213.38 |
2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ | 233.30 | 40.50 |
3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 50.00 | 15.92 |
4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศ | 142.15 | 51.65 |
5) การให้ทุนวิจัยและพัฒนาแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 9.00 | 5.73 |
6) อื่นๆ | 54.35 | 2.42 |
รวม | 931.40 | 329.60 |
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
มีโครงการได้รับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ แล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 655.56 ล้านบาท ดังนี้
โครงการประชาสัมพันธ์ | แผนที่ได้รับการอนุมัติระหว่างปี 2538-2542 | ผลการดำเนินงานระหว่างปี 2538-2542 | |
โครงการ | ล้านบาท | ||
สำหรับประชาชนทั่วไป (โดย สพช.) | 661.5 | 116 | 591.4 |
สำหรับโรงงานควบคุม อาคารควบคุม อาคารของรัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้อง (โดย พพ.) | 387.9 | 49 | 193.2 |
รวม | 1,049.4 | 165 | 784.6 |
สำหรับปี 2542 พพ. ยังไม่มีการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ เนื่องจากอยู่ระหว่างการประเมินผลงานประชาสัมพันธ์ที่ผ่านมาว่าได้รับประสิทธิผลเพียงไรก่อนที่จะจัดทำแผนประชาสัมพันธ์ในระยะต่อไป และจากการประเมินผลการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปรากฏว่ามีผู้รับทราบข่าวสารจากโครงการฯ ถึง 78% มีการนำความรู้ความเข้าใจที่ได้รับไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงได้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2542 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน กำหนดให้ ศ.ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธานอนุกรรมการฯ และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นเลขานุการฯ ซึ่งเลขานุการฯ ได้แจ้งให้อนุกรรมการฯ ทราบถึงคำสั่งดังกล่าวแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 โครงการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นมาตรการหนึ่งในแผนงานอนุรักษ์พลังงานที่จะจูงใจให้ประชาชนทั่วไปใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง โดยกำหนดเป็นมาตรฐานบังคับภายใต้กฎหมายของสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) หรือกำหนดเป็นมาตรฐานเครื่องจักร อุปกรณ์และวัสดุ ภายใต้ พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นมาตรฐานไม่บังคับ และ/หรืออาจพิจารณาใช้กฎหมายของสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคบังคับให้มีการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จ้าง ERM-Siam Co.,ltd ให้ทำการศึกษาเพื่อเสนอแนะนโยบายกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการติดฉลากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า 6 ประเภท คือ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ บาลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์ โดย ERM-Siam ได้เสนอผลการศึกษาในเบื้องต้นต่อ สพช. แล้ว ซึ่งขณะนี้ สพช. กำลังปรึกษาหารือกับสภาอุตสาหกรรมเกี่ยวกับวิธีการและขั้นตอนในการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ พร้อมทั้งสำรวจความพร้อมและความร่วมมือของกลุ่มผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอุปกรณ์มาตรฐานต่างๆ ทั้ง 6 ประเภทดังกล่าวด้วย โดยคาดว่าการศึกษาจะเสร็จสมบูรณ์ประมาณเดือนสิงหาคม 2542
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ยุบรวมเป็นคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) เป็นประธานอนุกรรมการฯ ซึ่งเป็นผลให้องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ เป็นอันสิ้นสุดมีผลให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ไม่สามารถพิจาณาอนุมัติการใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนของการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน อาคารควบคุมงาน ค่าติดตามประเมินผล และค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการครั้งละไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยไม่ต้องนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาได้
เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของประธานอนุกรรมการฯ และให้การปฏิบัติงานโครงการอาคารของรัฐเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 1)เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2542 ได้มีมติเห็นชอบให้ พพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจพิจารณาอนุมัติการใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโครงการอาคารของรัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ในวงเงินโครงการละไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยไม่ต้องนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจพิจารณาอนุมัติการใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโครงการอาคารของรัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนของการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน ค่าควบคุม ค่าติดตามประเมินผล และค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการในวงเงินโครงการละไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยไม่ต้องนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบเป็นคราวๆ ตามมติคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรรฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2539 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในรูปของเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมดสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงาน และคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้มีมติมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับสามารถอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และพิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
กองทัพอากาศเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 505 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 846,165 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมาย และแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2542 ได้มีมติเห็นชอบวงเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับกองทัพอากาศ เป็นเงิน 16,544,977 บาท (สิบหกล้านห้าแสนสี่หมื่นสี่พันเก้าร้อยเจ็ดสิบเจ็ดบาทถ้วน) และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กองทัพอากาศ ในวงเงิน 16,544,977 บาท (สิบหกล้านห้าแสนสี่หมื่นสี่พันเก้าร้อยเจ็ดสิบเจ็ดบาทถ้วน)
เรื่องที่ 8 โครงการระบบสูบน้ำด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับน้ำใช้ในหมู่บ้านขององค์การบริหารส่วนตำบล
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าศูนย์วิจัยและฝึกอบรมพลังงานแสงอาทิตย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) ได้เสนอโครงการระบบสูบน้ำด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับน้ำใช้ในหมู่บ้านขององค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 6/2542 (ครั้งที่ 31) เมื่อวันพุธที่ 23 มิถุนายน 2542 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้วมีมติให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มน. จะดำเนินโครงการติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ในชนบท และเพื่อให้ระบบสูบน้ำฯ ในโครงการฯ สามารถใช้งานได้อย่างยั่งยืน มน. จะร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่มีความประสงค์ที่จะดำเนินโครงการฯ ติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่ อบต. ที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 200 ระบบ โดยจะติดตั้งระบบสูบน้ำฯ โดยมีกิจกรรมที่จะดำเนินการตามเป้าหมายของโครงการดังนี้
มน. จะดำเนินการโดยจัดสัมมนา อบต. ทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ตลอดจนรายละเอียดของโครงการฯ เงื่อนไข หลักเกณฑ์ในการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ พร้อมทั้งเชิญชวนและรับสมัคร อบต. ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนร่วมติดตั้งระบบสูบน้ำฯ ในโครงการฯ จากนั้น มน. จะฝึกอบรมผู้นำชุมชน ประธาน อบต. และช่างเทคนิคในท้องถิ่น ของ อบต. ที่สมัครเข้าร่วมในโครงการฯ ให้มีความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องการใช้งานระบบสูบน้ำฯ
หลังจากติดตั้งระบบฯ เรียบร้อยแล้ว มน. จะฝึกอบรมช่างเทคนิคของหมู่บ้านนั้น เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในระบบสูบน้ำฯ วิธีการติดตั้งและการใช้งานทั้งนี้เพื่อให้สามารถดูแล บำรุงรักษาและซ่อมแซมระบบสูบน้ำฯ ให้สามารถใช้งานได้อย่างยั่งยืน และ มน. จะทำการประเมินผลของการทำงานระบบสูบน้ำฯ และประเมินผลความพอใจผู้ใช้ระบบ ตลอดจนติดตามการบริการหลังการขายของบริษัทเอกชนที่ร่วมในโครงการฯ
สำหรับแนวทางในการคัดเลือกบริษัทเอกชนเพื่อติดตั้งระบบสูบน้ำฯ ของแต่ละชุมชน มน. จะขึ้นทะเบียนบริษัทผู้ประกอบการทางด้านพลังงานที่มีประสบการณ์การบริการที่เกี่ยวกับระบบสูบน้ำด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ และให้ อบต. เป็นผู้ตัดสินใจเลือกบริษัทเอกชนดังกล่าวเอง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการระบบสูบน้ำด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับใช้ในหมู่บ้านขององค์การบริหารส่วนตำบล ตามที่ มน. ได้เสนอมา โดยให้ มน. ดำเนินโครงการติดตั้งระบบสูบน้ำด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 50 ระบบ ก่อน แล้วทำการประเมินผลสำเร็จของโครงการฯ พร้อมทั้งปรับปรุงแผนการดำเนินการและแผนการใช้จ่ายเงินสำหรับ 150 ระบบ ที่เหลือ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในระยะต่อไป
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงานให้ มน. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการระบบสูบน้ำด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับน้ำใช้ในหมู่บ้านขององค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 50 ระบบ ในวงเงิน 20,454,400 บาท (ยี่สิบล้านสี่แสนห้าหมื่นสีพันสี่ร้อยบาทถ้วน) ประกอบด้วย
2.1 เงินอุดหนุนให้ มน. ในการบริหารโครงการฯ ในวงเงิน 1,904,400 บาท (หนึ่งล้านเก้าแสนสี่พันสี่ร้อยบาทถ้วน)
2.2 เงินอุดหนุนให้กับผู้ร่วมโครงการ (อบต.) ผ่าน มน. ในวงเงิน 18,550,000 บาท (สิบแปดล้านห้าแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ากรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการจัดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ไม่มีระบบจำหน่ายไฟฟ้าเข้าถึง และฐานปฏิบัติการกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336 และ 337 เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 6/2542 (ครั้งที่ 31) เมื่อวันพุธที่ 23 มิถุนายน 2542 ได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้วมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
เพื่อเป็นการสนองตามพระราชดำริฯ เกี่ยวกับการส่งเสริมคุณภาพการศึกษา พพ. จึงได้ทำการสำรวจโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ที่ไม่มีระบบจำหน่ายไฟฟ้าเข้าถึง หรือมีปัญหาด้านพลังงานไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่มั่นคง และพบว่ามีอยู่ 38 โรงเรียน ที่ส่วนใหญ่ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องยนต์ดีเซลหรือแก๊สโซลีนสำหรับไฟฟ้าแสงสว่าง และอุปกรณ์การเรียนการสอนตลอดจนบ้านพักครู ซึ่งการใช้เครื่องยนต์ดังกล่าวก่อให้เกิดเสียงรบกวน และมลภาวะภายในบริเวณโรงเรียน ดังนั้นเพื่อแก้ไขหรือลดปัญหาดังกล่าว พพ. จึงเห็นควรจะติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ สำหรับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ไม่มีระบบจำหน่ายไฟฟ้าเข้าถึง จำนวน 38 โรงเรียน มีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้
ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ จำนวน 38 โรงเรียน ซึ่งแต่ละระบบประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ขนาด 3,000 วัตต์ เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสสลับพร้อมระบบควบคุมฯ แบตเตอรี่ อาคารควบคุมระบบและชุดหลอดไฟฟ้าแสงสว่างชนิดกระแสสลับ ตลอดจนการปรับปรุงภาระไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเพื่อการประหยัดพลังงาน
ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อแสงสว่างภายในบ้านพักครู จำนวน 111 หลัง ซึ่งแต่ละระบบประกอบด้วย แผงเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 75 วัตต์ อุปกรณ์ควบคุมการประจุแบตเตอรี่และชุดหลอดไฟฟ้าแสงสว่างชนิดกระแสตรง
สำหรับฐานการปฏิบัติการกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336 และ 337 เป็นหน่วยปฏิบัติการของกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน โดยแต่ละกองร้อยฯ มีฐานปฏิบัติการอยู่ 5 แห่ง ปฏิบัติภารกิจปกป้องอธิปไตยของชาติตามแนวชายแดนที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นป่า เขา และถิ่นทุรกันดาร การคมนาคมยากลำบาก โดยใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน นอกจากนั้นในการปฏิบัติงานมีความจำเป็นต้องใช้วิทยุสื่อสารเพื่อติดต่อประสานงานระหว่างฐานฯ และกองร้อยฯ กับฐานฯ โดยอาศัยแหล่งพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ โดยยังไม่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับใช้ประจุแบตเตอรี่ เมื่อพลังงานไฟฟ้าที่สะสมอยู่ในแบตเตอรี่หมด ตชด. ต้องนำกลับไปประจุฯ ณ กองร้อยต้นสังกัด ทำให้เกิดความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่งแบตเตอรี่ และขาดเสถียรภาพในการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีเร่งด่วน และจำเป็นที่ต้องขอรับการสนับสนุนด้านกำลังพลจากฐานฯ ข้างเคียงหรือหน่วยเหนือ ขณะมีการสู้รบกับฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังเกิดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีระหว่างทางและกับระเบิดขณะขนย้ายแบตเตอรี่กลับไปประจุฯ ใหม่อีกด้วย พพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อความมั่นคงของประเทศ และความมีเสถียรภาพของแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้า ตลอดจนการแก้สภาพของปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว จึงเห็นควรดำเนินการจัดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับฐานปฏิบัติการกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336 และ 337 จำนวน 10 ฐานฯ แต่ละระบบประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 225 วัตต์ อุปกรณ์ควบคุมการประจุแบตเตอรี่ แบตเตอรี่และชุดหลอดไฟฟ้าแสงสว่างชนิดกระแสตรง สำหรับวิทยุสื่อสารเป็นของเดิมที่มีใช้อยู่แล้วในแต่ละฐานฯ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรม การผลิตในชนบท ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาเรื่องการกำหนดโครงการจัดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สำหรับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ไม่มีระบบจำหน่ายไฟฟ้าเข้าถึง และฐานปฏิบัติการกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336 และ 337 ในวงเงิน 70,000,000 บาท (เจ็ดสิบล้านบาทถ้วน)
2. ให้ พพ. ปรับแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการฯ ให้เป็นไปตามผลการสำรวจออกแบบระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะสมกับความต้องการใช้งานจริงของแต่ละแห่ง ก่อนการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ งวดที่ 2
กอ. ครั้งที่ 14 - วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2541
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 14)
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2541 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเชียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1. โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทน และปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 เกษตรกรรายย่อย ระยะที่ 2
2. โครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน
3. โครงการวิจัยภาระไฟฟ้า
4. โครงการทำแผนที่ไบโอก๊าซในฟาร์มสุกรและโคนมทั่วประเทศ
5. โครงการผลิตบัณฑิตศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
6. การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นของอาคารกองทัพอากาศ
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2541 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2541 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทน และปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 เกษตรกรรายย่อย ระยะที่ 2 แล้ว ที่ประชุมเห็นว่าค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการดังกล่าวมีหลายรายการที่รายละเอียดไม่ชัดเจน ที่ประชุมจึงมีมติให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรับปรุงค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ให้ชัดเจน และให้สอบถามความเห็นจากสำนักงบประมาณในการจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ด้วย และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
กรมส่งเสริมการเกษตรได้สอบถามเจ้าหน้าที่ของสำนักงบประมาณในเรื่องการจัดทำงบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ในกรณีที่เป็นเงินนอกงบประมาณแล้ว และได้รับคำแนะนำว่าในกรณีที่หน่วยงานจะขอรับเงินช่วยเหลือให้เปล่าหรือเงินอุดหนุนจากกองทุนใด การจัดทำงบประมาณรายจ่ายของโครงการจะขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้การสนับสนุนตามที่เจ้าของแหล่งเงินทุนนั้นกำหนด กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้พิจารณาเพิ่มเติมรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ และปรับค่าใช้จ่ายในส่วนค่าบริหารโครงการฯ บางรายการ จากวงเงินเดิม 38,037,000 บาท คงเหลือ 34,756,400 บาท ทำให้จำนวนเงินรวมที่ขอรับการสนับสนุนลดลงจาก 58,761,000 บาท คงเหลือเพียง 55,480,000 บาท คิดเป็นจำนวนเงินที่ลดลง 3,281,000 บาท ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ สรุปค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงได้ดังนี้
หน่วย: บาท
หมวดค่าใช้จ่าย | เดิม | ปรับใหม่ | เปลี่ยนแปลง |
เงินอุดหนุนในส่วนค่าบริหารโครงการฯ | |||
- หมวดค่าจ้าง | 7,056,000 | 7,464,000 | +408,000 |
- หมวดค่าตอบแทน | 1,410,000 | 1,200,000 | -210,000 |
- หมวดค่าใช้สอย | 20,340,000 | 18,540,000 | -1,800,000 |
- หมวดค่าวัสดุ | 7,520,000 | 6,200,000 | -1,320,000 |
- หมวดค่าครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง | 1,711,000 | 1,352,000 | -359,000 |
รวม | 38,037,000 | 34,756,000 | -3,281,000 |
งบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ประกอบด้วย
1. เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ 55,480,000 บาท ประกอบด้วย
- ในส่วนเจ้าของโครงการ เป็นจำนวน 34,756,000 บาท
- ในส่วนผู้ร่วมโครงการ เป็นจำนวน 20,724,000 บาท (45% ของค่าก่อสร้างระบบฯ)
2. เงินที่ผู้ร่วมโครงการลงทุนเอง 25,329,400 บาท (55% ของค่าก่อสร้างระบบฯ)
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท ให้กรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 เกษตรกรรายย่อย ระยะที่ 2 ในวงเงิน 55,480,000 บาท (ห้าสิบห้าล้านสี่แสนแปดหมื่นบาทถ้วน) ตามรายละเอียดแผนงานโครงการที่ปรากฎในสื่อแนบเป็นแผนบันทึกข้อมูลชุดที่ 1 ชื่อแฟ้ม "BIOGAS"
2. เห็นชอบให้ สพช. ประเมินผลการดำเนินการตามโครงการฯ ที่กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ก่อนอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
เรื่องที่ 2โครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้เสนอโครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาความร่วมมือโครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 7/2540 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2540 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้วมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
โครงการนี้เป็นการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานเพื่อให้ความรู้แก่ เยาวชน ครู และองค์กรเอกชนด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ให้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกิจกรรมที่จะดำเนินการตามโครงการ 3 กิจกรรม ดังนี้
1. การจัดตั้งศูนย์สาธิตในส่วนกลางและภูมิภาค
โครงการส่วนนี้เป็นการจัดตั้งศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานในพื้นที่เป้าหมาย4 แห่ง คือ ในเขตกรุงเทพมหานคร ภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง โดยดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้แก่ เยาวชน ครู และองค์กรเอกชนด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ในรูปของการจัดนิทรรศการและหรือการฝึกอบรมให้กับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ โดยจะมีการประชาสัมพันธ์ เพื่อกระจายข่าวและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับศูนย์สาธิตที่จะจัดตั้งขึ้น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมาย และผู้มีความสนใจทั่วไปได้เข้าชมนิทรรศการเป็นหมู่คณะตามความพร้อม โดยผู้เข้าชมนิทรรศการจะได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
2. ค่ายฝึกอบรมถาวรด้านวิทยาศาสตร์และพลังงาน
โครงการส่วนนี้เป็นการจัดตั้งศูนย์สาธิตถาวรบนพื้นที่ขนาดไม่น้อยกว่า 30 ไร่ ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี หรือเพชรบุรี โดยจะมีการแสดงและสาธิตพัฒนาการของเทคโนโลยีต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่เยาวชน ครู พระและนักบวช สื่อมวลชน พัฒนากร องค์กรพัฒนาเอกชน ตัวแทนภาคเอกชน ผู้นำเยาวชน รวมทั้งการพัฒนาค่ายเป็นศูนย์เผยแพร่เทคโนโลยีพลังงานต่อไป
3. การเผยแพร่การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเคลื่อนที่
เป็นการสาธิตเปรียบเทียบเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานเพื่อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันและลดการสูญเสียพลังงานในกิจกรรมการใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน และการผลิตในส่วนที่เกี่ยวข้อง เนื้อหาครอบคลุมสาระเดียวกับการติดตั้งและดำเนินงานของศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน โดยจัดให้มีการเยี่ยมชม การสาธิต และฝึกอบรมกลุ่มเป้าหมาย โดยเน้นเนื้อหาหลักของการสาธิตเคลื่อนที่ ได้แก่ แนวทางการประหยัดค่าใช้จ่าย ด้วยกิจกรรมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและมีประสิทธิภาพ ทั้งในครัวเรือน สำนักงาน อุตสาหกรรม และสถานที่สาธารณะ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและความพยายามของรัฐในการแก้ไขภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการมีส่วนร่วมและบทบาทของทุกคนที่จะช่วยในการแก้ไขสถานการณ์
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน ในวงเงิน 73,226,500 บาท (เจ็ดสิบสามล้านสองแสนสองหมื่นหกพันห้าร้อยบาทถ้วน) ตามรายละเอียดแผนงานของโครงการที่ปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 2 ชื่อแฟ้ม "DEMO-1" และชุดที่ 3 ชื่อแฟ้ม "DEMO-2"
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ สมาคมฯ จะต้องเสนอแผนงานและเอกสารเพิ่มเติม พร้อมทั้งปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
2.1 แสดงแผนการใช้จ่ายเงินในแต่ละงวดที่จะขอเบิกจ่ายจากกองทุนฯ ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง โดยจำนวนเงินที่ขอเบิกแต่ละงวด จะต้องสอดคล้องกับกิจกรรมของงวดที่ขอเบิกนั้น รวมถึงระบุวิธีการจ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนฯ ให้กับศูนย์แต่ละศูนย์ และแสดงวิธีปฏิบัติในการควบคุมการใช้จ่ายทั้งในส่วนของสมาคมฯ และส่วนของศูนย์
2.2 โครงการสามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา
2.3 กำหนดรายละเอียดการรายงานความก้าวหน้าแต่ละครั้ง ที่สมาคมฯ จะเสนอกองทุนฯ เพื่อขอเบิกค่าใช้จ่ายในแต่ละงวด โดยสมาคมฯ เป็นผู้สรุปรายงานความสำเร็จของทุกๆ ศูนย์
2.4 ระยะเวลาคน-เดือนของบุคลากรในโครงการฯ แต่ละคน เมื่อรวมเวลาการทำงานจากทุกศูนย์แล้ว จะต้องไม่เกินกว่า 12 คน-เดือน/ปี และคำนึงถึงระยะเวลาที่ต้องปฏิบัติงานรับจ้างอื่น นอกเหนือจากงานของโครงการฯ ด้วย
2.5 กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรประจำโครงการฯ ในแต่ละกิจกรรมให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในงานใด
2.6 กำหนดพื้นที่เป้าหมายที่จะจัดตั้งศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน: กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะต้องเป็นพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครที่ประชาชนสามารถเดินทางเข้าชมได้โดยสะดวกเท่านั้น
2.7 กำหนดพื้นที่จัดตั้งโครงการค่ายฝึกอบรมถาวรด้านวิทยาศาสตร์และพลังงาน และแสดงแผนงานละเอียดของการดำเนินการอบรมให้แก่กลุ่มเป้าหมายและผู้เข้าชมนิทรรศการ
2.8 จัดทำแผนการประเมินผลของโครงการฯ พร้อมทั้งวิธีการประเมินผล และระบุข้อมูลที่จะจัดเก็บเพื่อใช้ในการประเมินผลโครงการฯ ทั้งทางด้านวิชาการ และด้านเศรษฐศาสตร์
เรื่องที่ 3 โครงการวิจัยภาระไฟฟ้า
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เนื่องจากธนาคารโลก (World Bank) ได้อนุมัติให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กู้เงินจำนวน 145,000,000 US$ เพื่อใช้ในการดำเนินการตามแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าในเขตบริการของ กฟน. ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 8 โดยมีเงื่อนไขให้ กฟน. ต้องดำเนินการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (Demand Side Management : DSM) ด้วย ซึ่งประกอบด้วยโครงการต่างๆ 4 โครงการ ดังนี้
1. โครงการติดตั้งระบบควบคุมภาระไฟฟ้า (Load Control System)
2. โครงการจัดตั้งบริษัทบริการไฟฟ้า (Energy Service Company)
3. โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบอุปกรณ์เครื่องใช้ (Appliance Testing Laboratory)
4. โครงการวิจัยภาระไฟฟ้า (Load Research Program) ซึ่ง Global Environment Facility (GEF) จะให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าในการว่าจ้างที่ปรึกษาทางเทคนิค ในวงเงินไม่เกิน 1,000,000 US$
กฟน. ไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขของธนาคารโลก แต่เนื่องจากเห็นว่าข้อมูลที่ได้รับจากโครงการวิจัยภาระไฟฟ้าสามารถนำไปใช้เป็นองค์ประกอบในการกำหนดมาตรการเพื่อการอนุรักษ์พลังงานได้ กฟน. จึงได้เสนอโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัย และพัฒนา ซึ่งฝ่ายฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 5/2540 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2540 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนแก่โครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
กฟน. จะทำการศึกษาโดยคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้ไฟฟ้า ประมาณ 1,225 ราย โดยกระจายตัวอย่างให้ได้ครบทุกประเภทและครบทุกพื้นที่ของ กฟน. โดยจะติดตั้ง Module สำหรับบันทึกค่ากิโลวัตต์กับจุดรับไฟของผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อบันทึกรูปแบบภาระไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้า เครื่องวัดจะส่งข้อมูลผ่าน Media Carrier เช่น คลื่นวิทยุ ไปยังศูนย์ข้อมูล และศูนย์ปฏิบัติการโครงการฯ ซึ่งจะทำการเก็บข้อมูล ประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์ผลข้อมูลและจัดทำรายงานสำหรับการวิจัยภาระไฟฟ้าตามหลักวิชาการ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และจะติดตั้งเครื่องวัดฯ ชนิด AMR เพิ่มขึ้นอีกปีละ 0.2 % ของผู้ใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี เครื่องวัดฯ ชนิด AMR จะถูกติดตั้งเป็นเวลา 1-2 ปี หลังจากนั้น กฟน. จะถอดเครื่องวัดฯ เพื่อทำการติดตั้งกับตัวอย่างผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหม่ต่อไป สำหรับการประมวลผลและวิเคราะห์ผลข้อมูล กฟน. จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกๆ 1-2 ปี
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัย และพัฒนา ให้การไฟฟ้านครหลวง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า ในวงเงินค่าใช้จ่ายส่วนที่เป็นเงินตราสกุลบาท 21,868,200 บาท และค่าใช้จ่ายส่วนที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศ 272,220 US$ ตามรายละเอียดแผนการดำเนินโครงการ ที่ปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 4 ชื่อแฟ้ม "Load-Research"
2. ให้ กฟน. ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในส่วนที่เป็นเงินตราต่างประเทศจำนวน 272,220 US$ ในลักษณะของแบบเหมารวมราคาเป็นเงินบาท โดยใช้ค่าเงินบาท ณ วันที่ลงนามในสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ที่ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ซึ่งประกอบด้วย เครื่องบันทึกค่ากิโลวัตต์ชนิด AMR อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบ ระบบเช่าอุปกรณ์สื่อสารและเครือข่าย
เรื่องที่ 4 โครงการทำแผนที่ไบโอก๊าซในฟาร์มสุกรและโคนมทั่วประเทศ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าหน่วยบริการก๊าซชีวภาพ สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่(มช.) ได้เสนอโครงการทำแผนที่ไบโอก๊าซในฟาร์มสุกรและโคนมทั่วประเทศ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2540 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนแก่โครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มช. จะจัดทำฐานข้อมูลเพื่อแสดงศักยภาพในการผลิตก๊าซชีวภาพและความต้องการระบบก๊าซชีวภาพและการบำบัดน้ำเสียของฟาร์มต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนสนับสนุนให้เกิดการผลิต การใช้พลังงานหมุนเวียนของประเทศ มช. จะเก็บข้อมูลโดยการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากองค์กรต่างๆ ประมาณ 40,000 แห่ง เช่น กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมการเกษตร (จากเกษตรจังหวัด) สมาคมผู้บำรุงพันธ์หรือสมาคมผู้เลี้ยงสุกรและโคนมในจังหวัดต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลของฟาร์มในส่วนต่างๆ เช่น ชนิดและปริมาณสัตว์ ปริมาณการใช้น้ำ/น้ำเสียต่อวัน การใช้พลังงานทุกรูปแบบ ประมาณการชีวภาพที่จะผลิตได้ พื้นที่ว่างในฟาร์ม และอื่นๆ ซึ่งข้อมูลที่ได้จะนำมาเก็บไว้ในรูปแบบของโปรแกรมประยุกต์ในระบบปฏิบัติการ Windows 95 ซึ่งสามารถนำข้อมูลมาใช้ได้โดยสะดวก สามารถบ่งบอกถึงฟาร์มที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพได้ในเบื้องต้น ใช้เป็นฐานข้อมูลในการสนับสนุนโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ต่อไปได้ง่ายขึ้น เนื่องจากสามารถมองเห็นศักยภาพความต้องการพลังงานของฟาร์ม ตลอดจนพื้นที่รองรับระบบก๊าซชีวภาพ และการบำบัดน้ำเสีย
มติที่ประชุม
อนุมัติให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทำแผนที่ไบโอก๊าซในฟาร์มสุกรและโคนมทั่วประเทศ ตามรายละเอียดแผนการดำเนินโครงการที่ปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่5 ชื่อแฟ้ม "BIOGAS-MAP" ในวงเงิน 6,338,440 บาท (หกล้านสามแสนสามหมื่นแปดพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน)
เรื่องที่ 5 โครงการผลิตบัณฑิตศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากรปี 2541 - 2543 ในวงเงิน 1,144.8 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาหลักสูตร สื่อการสอน แบบเรียน คู่มือและเครื่องมือที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมและทำงานและห้องปฏิบัติการในวงเงิน 624.6 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงานในระดับอุดมศึกษาในวงเงิน 189 ล้านบาท
ทบวงมหาวิทยาลัยได้ริเริ่มโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและการวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อมนี้ขึ้นเมื่อกลางปี 2539 โดยมีความประสงค์ที่จะพัฒนาขีดความสามารถในเชิงวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยให้มีมาตรฐานทัดเทียมนานาชาติ โดยได้ประกาศเชิญชวนให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศให้ส่งข้อเสนอโครงการมายังทบวงมหาวิทยาลัย โดยได้รับข้อเสนอโครงการจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจำนวน 52 โครงการ และได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการฯ ซึ่งมี ศ.ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธานคณะกรรมการ โดยในรอบแรกมี 16 มหาวิทยาลัยที่ผ่านการคัดเลือก และในรอบสุดท้ายมี 5 มหาวิทยาลัยที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ แต่เนื่องจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้รัฐไม่สามารถจัดสรรงบประมาณในปี 2541 ให้กับส่วนของทบวงมหาวิทยาลัยในวงเงิน 164,725,000 บาท ทบวงมหาวิทยาลัยจึงได้เสนอโครงการนี้เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานสนับสนุน ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 14/2540 (ครั้งที่ 39) เมื่อวันอังคารที่ 2 ธันวาคม 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว มีมติเห็นชอบในการสนับสนุนโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
โครงการผลิตบัณฑิตศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่าง 5 มหาวิทยาลัย ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระยะเวลาการดำเนินการ 5 ปี โดยจะร่วมมือกันจัดตั้งโครงการผลิตบัณฑิตศึกษาร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยในด้านเทคโนโลยีพลังงานและเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความเป็นอิสระอยู่ภายใต้สภาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันใหม่นี้จะกำหนดอัตราเงินเดือนและเงื่อนไขการจ้างบุคลากรที่โปร่งใสและสามารถดึงดูดผู้มีความสามารถสูงมาร่วมงานได้ โดยมีการดำเนินกิจกรรมตามโครงการดังนี้
1. การเรียนการสอน
สถาบันการศึกษาร่วมที่จะตั้งขึ้นใหม่นี้ จะรับผิดชอบเกี่ยวกับการเรียน การสอนนักศึกษาในโครงการ เป็นระยะเวลา 1 เทอม ส่วนอีก 3 เทอมที่เหลือ นักศึกษาจะกระจายไปยังสถาบันผู้เข้าร่วมโครงการเพื่อทำการวิจัยและทำวิทยานิพนธ์ในสาขาต่างๆ โดยปริญญาโทจะประกอบด้วย 4 เทอม ใช้ระยะเวลา 2 ปี ส่วนปริญญาเอกจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี ซึ่งสถาบันการศึกษาร่วมที่ตั้งขึ้นใหม่จะคุมวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาประมาณครึ่งหนึ่งของเป้าหมาย ส่วนสถาบันผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมดจะมีหน้าที่รับผิดชอบหลักในการการคุมวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ เมื่อสิ้นสุดโครงการคาดว่าจะมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท 200 คน และระดับปริญญาเอก 50 คน
2. ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการในสาขาต่างๆ
โครงการฯ มีแผนที่จะพัฒนาขีดความสามารถของงานวิจัยในห้องปฏิบัติการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ (Centre of Excellence) โดยห้องปฏิบัติการนี้จะกระจายอยู่ตามสถาบันผู้ร่วมโครงการตามความเชี่ยวชาญของแต่ละสถาบัน ในสาขาต่างๆ
3. ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
3.1 ความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม
สถาบันผู้เข้าร่วมโครงการจะมีการทำวิจัยร่วมกับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ผลการวิจัยของนักศึกษาสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุดในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม โดยภาคอุตสาหกรรมจะร่วมให้การสนับสนุนเงินทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัย
3.2 ความร่วมมือกับต่างประเทศ
3.2.1 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเมลเบอร์น และมหาวิทยาลัยนิวเซ้าท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย
3.2.2 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ทำการวิจัยด้านการเผาไหม้และควบคุมการแพร่กระจายกับประเทศฝรั่งเศส และได้รับการสนับสนุนด้านห้องปฏิบัติการเผาใหม้จากสหภาพยุโรป (EU)
3.3.3 สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีข้อตกลงความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนนักศึกษา นักวิจัย ข้อมูลและเอกสารวิชาการ การวิจัยร่วมกันกับมหาวิทยาลัยโตเกียว และร่วมมือในโครงการวิจัยกับ International Atomic Energy Agency (IAEA) ประเทศออสเตรีย
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่เสนอโดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในวงเงิน 159,765,000 บาท ในระยะเวลา 5 ปี ดังรายละเอียดในเอกสารแนบ 4.8.1 ของระเบียบวาระการประชุม ครั้งที่1/2541 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันพุธที่ 25 มีนาคม 2541 และรายละเอียดเพิ่มเติม เอกสารแนบ 3.5.1
2. ให้มีผู้แทนจาก สพช. ในคณะกรรมการอำนวยการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อทำหน้าที่กำกับและดูแลโครงการฯ รวมถึงวางนโยบายที่สำคัญต่างๆ เกี่ยวกับ โครงการฯ
3. ให้ สพช. ทำการประเมินผลโครงการเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณในแต่ละปี และรายงานผลต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินงานในปีงบประมาณต่อไป
เรื่องที่ 6 การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นของอาคารกองทัพอากาศ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรรฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2539 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในรูปของเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมดสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงาน และคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุม ครั้งที่1/2539 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันพุธที่ 24 มกราคม 2539 ได้มีมติมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับสามารถอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่มีวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท และพิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
กองทัพอากาศซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ มีอาคารจำนวน 434 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 745,758.40 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่าย ในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น เป็นเงิน 9,250,000 บาท ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับได้พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบให้สนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นของอาคารกองทัพอากาศ เป็นเงิน 9,250,000 บาท และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ ให้กองทัพอากาศเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นของอาคารกองทัพอากาศ ในวงเงิน 9,250,000 บาท (เก้าล้านสองแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
กอ. ครั้งที่ 18 - วันอังคารที่ 21 กันยายน 2542
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18)
วันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. การประเมินผลโครงการอาคารของรัฐ
5. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543
6. โครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน
7. ปรับแผนโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์ป่า
9. อาคารของรัฐที่เป็นอาคารควบคุม : ภายใต้สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย และกระทรวงศึกษาธิการ
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบ เกี่ยวกับรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2542 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,812,139,167.84 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของ สพช. บก. และ พพ. ตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2542 ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 3,424,225,578.57 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และรายงานการเบิกจ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2542
เรื่องที่ 2 การประเมินผลโครงการอาคารของรัฐ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จ้างบริษัท Ramboll Hannenmann Holland A/S ดำเนินการประเมินผลโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 1 ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โดย สพช. ได้นำผลจากการศึกษาดังกล่าวจัดสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามโครงการฯ และ สพช. ได้นำข้อเสนอแนะจากการศึกษาและการสัมมนา เสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกตเพื่อให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ปรับแผนโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ดังนี้
1. โครงการอาคารของรัฐมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ซึ่งจากการประเมินผลพบว่าหากเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออก ถูกนำกลับมาใช้งานอีกเพียงร้อยละ 37 (ภายใต้สมมติฐานที่ว่าเครื่องปรับอากาศใหม่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสู่งกว่าเครื่องเก่าร้อยละ 37) การลงทุนในการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศทั้งหมด จะไม่ได้ผลในการอนุรักษ์พลังงานเลย ฉนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการที่ได้ผลจริงในการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดทิ้งแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
2. การทำลายเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดทิ้ง จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม โดยอาจให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันราชมงคลเป็นผู้รับดำเนินการ โดยมีการเปรียบเทียบจำนวนเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดออกและที่ถูกส่งมาทำลาย เพื่อติดตามการดำเนินงานของโครงการว่าเครื่องปรับอากาศทั้งหมดที่ถูกถอดออกได้รับการทำลายหรือไม่
3. หาก พพ. ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนที่จะป้องกันไม่ให้เจ้าของอาคารนำเครื่องปรับอากาศเก่ากลับมาใช้ใหม่ อนุกรรมการฯ เห็นควรให้ชะลอโครงการระยะที่ 2 ออกไปก่อน
4. การวัดความสำเร็จของโครงการจะต้องวัดที่ปริมาณพลังงานที่ลดลงได้ ไม่ใช่จำนวนอาคารที่เข้าร่วมโครงการ หรือจำนวนอุปกรณ์ที่เปลี่ยนให้ หรือจำนวนเงินลงทุน
5. จะต้องผลักดันให้เจ้าของอาคารมีส่วนร่วมมากขึ้น โดย
- 5.1 สนับสนุนให้เจ้าของอาคารที่พร้อมที่จะทำการปรับปรุงการใช้พลังงานของตัวเองได้ดำเนินการเอง โดยการสนับสนุนด้านการเงินจากกองทุนฯ
5.2 ทำการฝึกอบรม ปลูกจิตสำนึก และวิธีการใช้พลังงานในอาคาร เนื่องจากผู้ใช้อาคารจะเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
1. จะต้องมีการเพิ่มจำนวน IA ให้มากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานเข้ามาแข่งขันด้านราคาและคุณภาพการให้บริการต่อ พพ. และในสัญญาที่ พพ. ทำกับ IA จะต้องระบุว่า "ห้ามมิให้จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ" และ พพ. จะต้องเป็นผู้ตรวจสอบว่า IA "จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ " หรือไม่
2. สพช. จะต้องเร่งรัดให้สำนักงบประมาณสนับสนุนให้หน่วยงานมีงบประมาณสำหรับบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ และสนับสนุนให้เปลี่ยนเครื่องปรับอากาศให้มีประสิทธิภาพสูง
3. เร่งดำเนินการประกาศมาตรฐานบังคับสำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และสนับสนุนมาตรการติดฉลากและประชาสัมพันธ์ให้เกิดตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง เพื่อในอนาคตเจ้าของอาคารที่ได้รับการปรับปรุงอุปกรณ์แล้ว แต่อุปกรณ์ชำรุดเสียหายใช้การไม่ได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงได้
4. ให้นำผลการศึกษาโครงการนำร่องบริษัทจัดการด้านพลังงาน (ESCO) ที่ดำเนินการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เพื่อประเมินถึงความเป็นไปได้ในการนำ ESCO มาดำเนินการในโครงการอาคารของรัฐต่อไป
สพช. ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดที่ นร 0905/1477 ลงวันที่ 16 กันยายน 2542 ถึงอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เพื่อแจ้งให้ทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน นำข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการฯ ไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ต่อไป
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2537 (ครั้งที่ 47) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2537 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการ ในปีงบประมาณ 2537-2542 ซึ่งมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 19,286 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นเก้าพันสองร้อยแปดสิบหกล้านบาทถ้วน) โดยแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2537-2542 ประกอบด้วย 3 แผนงานรอง และ 10 โครงการหลัก และเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของคณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อกำกับดูแลแผนงานแต่ละแผนงาน พร้อมทั้งกำหนดให้มี 2 หน่วยงานหลัก รับผิดชอบในการดำเนินงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.)
การดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ เป็นเงินทั้งสิ้น 6,237 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้ใช้จ่ายจากกองทุนฯ ดังกล่าวนั้น ในส่วนงานที่ดำเนินการแล้วและสามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานได้อย่างชัดเจน คือ โครงการอาคารของรัฐ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว 573 อาคาร และโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ที่ได้ใช้จ่ายเงินสำหรับสองส่วนข้างต้นไปแล้ว รวม 3,729 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน และสามารถทดแทนพลังงานสิ้นเปลืองได้ คิดเป็นเงินประมาณ 525 ล้านบาท/ปี และคิดเป็นมูลค่าชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ 2,115 ล้านบาท
เนื่องจากแผนอนุรักษ์พลังงานที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2542 นี้ สพช. จึงได้ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ระยะที่ 2 ปี 2543-2547 และได้เสนอคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ของคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว เลขานุการฯ จึงใคร่นำแผนอนุรักษ์พลังงานฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาตามรายละเอียดปรากฏในระเบียบวาระการประชุม โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
แผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ระยะที่ 2 ส่วนใหญ่แล้วยังเป็นไปตามแผนฯ เดิม แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงในประเด็นใหญ่ มี 5 หัวข้อ ดังนี้
1) การปรับเปลี่ยนโครงการอาคารและโรงงานทั่วไป จากแผนงานภาคบังคับ ให้ไปบรรจุอยู่ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ
2) ปรับเปลี่ยนโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ พร้อมทั้งงบประมาณในการดำเนินการจากแผนงานสนับสนุนไปไว้ภายใต้แผนงานภาคบังคับ
3) การเพิ่ม "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เป็นอีกโครงการหนึ่งภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ โดยใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
4) ดำเนินโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง จนถึงเดือนมีนาคม 2543 เท่านั้น และให้การสนับสนุนเฉพาะอาคารของรัฐที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเท่านั้น แล้วให้มีการประเมินผลโครงการเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการพิจารณาให้ดำเนินการในช่วงต่อไป
5) ไม่จำกัดขอบเขตงานโครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบทไว้ที่ กิจการขนาดเล็กที่ใช้พลังไฟฟ้าต่ำกว่า 300 kW และมีสถานที่ตั้งนอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาล
แผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ประกอบด้วย 3 แผนงานรอง และ 12 โครงการหลัก ดังนี้
แผนอนุรักษ์พลังงาน
(ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547)
แผนงานภาคบังคับ | แผนงานภาคความร่วมมือ | แผนงานสนับสนุน |
โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง โครงการอาคารของรัฐ โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ |
โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน โครงการศึกษา วิจัย พัฒนา โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน |
โครงการพัฒนาบุคลากร โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ โครงการบริหารงานตามกฎหมาย |
กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | สำนักงานคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ |
สำนักงานคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ |
ประมาณการความต้องการงบประมาณเพื่อจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543-2547 จำแนกตามแผนงานรองและโครงการหลัก ได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท |
||||||
ปีงบประมาณ | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | รวม |
แผนงานภาคบังคับ | 3,727.84 | 3,764.84 | 4,199.34 | 2,883.34 | 2,445.94 | 17,021.30 |
1. โครงการอาคารของรัฐ | 584.84 | 592.54 | 595.74 | 569.44 | 557.24 | 2,899.80 |
2. โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน | 2,907.50 | 3,081.80 | 3,513.10 | 2,223.40 | 1,798.20 | 13,524.00 |
3. โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบหรือก่อสร้าง | 145.00 | - | - | - | - | 145.00 |
4. โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ | 90.50 | 90.50 | 90.50 | 90.50 | 90.50 | 452.50 |
แผนงานภาคความร่วมมือ | 691.00 | 1,075.00 | 1,201.00 | 1,481.00 | 1,974.00 | 6,422.00 |
5. โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน | 310.00 | 368.00 | 309.00 | 279.00 | 259.00 | 1,525.00 |
6. โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน | - | 110.00 | 294.00 | 552.00 | 1,104.00 | 2,060.00 |
7. โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน | 216.00 | 123.00 | 149.00 | 146.00 | 107.00 | 741.00 |
8. โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา | 165.00 | 217.00 | 192.00 | 247.00 | 247.00 | 1,068.00 |
9. โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน | - | 257.00 | 257.00 | 257.00 | 257.00 | 1,028.00 |
แผนงานสนับสนุน | 1,062.92 | 1,163.19 | 1,155.82 | 1,136.67 | 1,148.71 | 5,667.31 |
10. โครงการพัฒนาบุคลากร | 316.00 | 343.00 | 343.00 | 343.00 | 343.00 | 1,688.00 |
- พพ. | 57.00 | 133.00 | 120.00 | 72.00 | 58.00 | 440.00 |
- หน่วยงานอื่นๆ | 259.00 | 210.00 | 223.00 | 271.00 | 285.00 | 1,248.00 |
11. โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ | 150.00 | 150.00 | 150.00 | 150.00 | 150.00 | 750.00 |
12. การบริหารงานตามกฎหมาย | 596.92 | 670.19 | 662.82 | 643.67 | 655.71 | 3,229.31 |
- สพช. | 112.05 | 100.00 | 105.95 | 113.50 | 120.65 | 552.15 |
- พพ. | 484.12 | 569.27 | 555.89 | 529.19 | 534.08 | 2,672.55 |
- บก. | 0.75 | 0.92 | 0.98 | 0.98 | 0.98 | 4.61 |
รวม | 5,481.76 | 6,003.03 | 6,556.16 | 5,501.01 | 5,568.65 | 29,110.61 |
มติที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรคและการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2537-2542 และการศึกษาเชิงนโยบายเพื่อใช้ในการกำหนดแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทางการดำเนินงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ ในส่วนที่ 2- ส่วนที่ 5 ของเอกสารแนบ 4.1.1
2. เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ในส่วนที่ 6-ส่วนที่ 7 ของเอกสารแนบ 4.1.1 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อ กพช. พิจารณา
3. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อ กพช. พิจารณามอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 ตามวงเงินในข้อ 2.4 (รายละเอียดตามที่ปรากฏในส่วนที่ 8 ของเอกสารแนบ 4.1.1) ซึ่งมีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สพช. พพ. และ บก. ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543-2547 เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ เพื่อปฏิบัติภาระกิจดังกล่าวข้างต้น สพช. พพ. และ บก. จึงได้จัดทำข้อเสนอ งบประมาณ เพื่อเป็นค่าบริหารงานสำหรับปีงบประมาณ 2543 ต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณากลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2542 (ครั้งที่ 60) เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2542 ที่ประชุมได้พิจารณางบประมาณเพื่อเป็นค่าบริหารงานสำหรับปีงบประมาณ 2543 ของ สพช. พพ. และ บก. แล้วมีมติเห็นชอบให้ สพช. และ พพ. พิจารณาปรับงบประมาณรายจ่ายปี 2543 ในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าครุภัณฑ์ ค่าจ้างชั่วคราว และค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุบางรายการ ซึ่ง สพช. และ พพ. ได้ดำเนินการปรับงบประมาณตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว คงเป็นงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น จำนวน 596,912,024 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
หน่วย : บาท
สพช. | พพ. | บก. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 2,933,520 | 21,044,400 | 467,040 | 24,444,960 |
2. ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 8,089,480 | 24,846,892 | 160,000 | 33,096,372 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 4,920,000 | 5,238,792 | - | 10,158,792 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง | 105,000 | 20,136,900 | 120,000 | 20,361,900 |
5. รายจ่ายอื่น (ค่าจ้างที่ปรึกษา) | 96,000,000 | 412,850,000 | - | 508,850,000 |
รวม | 112,048,000 | 484,116,984 | 747,040 | 596,912,024 |
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอนำงบประมาณรายจ่ายของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. พพ. และ บก. ในปีงบประมาณ 2543 ดังนี้
1. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ สพช. ในวงเงิน 112,048,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบสองล้านสี่หมื่นแปดพันบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ พพ. ในวงเงิน 484,116,984 บาท (สี่ร้อยแปดสิบสี่ล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหกพันเก้าร้อยแปดสิบสี่บาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ บก.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก.ในวงเงิน 747,040 บาท (เจ็ดแสนสี่หมื่นเจ็ดพันสี่สิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ สพช. พพ. และ บก. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2543 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542
เรื่องที่ 5 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการ และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2542 ในวงเงิน 186,000,000 บาท และในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการ และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 88,900,000 บาท
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้อนุมัติให้ สพช. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2542 ไปแล้ว จำนวน 35 กิจกรรม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 131,620,114.63 บาท และกำลังดำเนินการจัดจ้างในช่วงที่ 3 อีก 15 กิจกรรม และได้อนุมัติให้ พพ. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2541 เป็นจำนวน 21 กิจกรรม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 77,447,207 บาท
คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 ได้พิจารณาผลการประเมินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานทั้งในส่วนที่ สพช. และ พพ. รับผิดชอบ โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกตเพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินการในปีต่อไป โดยให้ตั้งดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการ ให้เปรียบเทียบประสิทธิผลของการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อให้เข้าใจถึงทัศนคติและพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มเพื่อประโยชน์ในการวางกลยุทธ์ ในการสื่อสารให้ได้ผลที่สุด และให้ประชาสัมพันธ์ไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มในการประหยัดพลังงานได้มากด้วย
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 59) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543-2547 และเห็นชอบงบประมาณฯ ปี 2543 โดยให้เพิ่มจำนวนเงินสำหรับกิจกรรมการผลิตและการซื้อสื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่สามารถเข้าถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ และสามารถสร้างการรับรู้ต่อการสื่อสารของโครงการฯ ได้ดี และเห็นชอบแผนปฏิบัติโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2543-2547 และเห็นชอบงบประมาณฯ ปี 2543 โดยให้ พพ. เน้นการประชาสัมพันธ์โดยตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้สื่อที่เหมาะสมในแต่ละกิจกรรม
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาแผนงานประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. และ พพ. รับผิดชอบ สำหรับปีงบประมาณ 2543 ดังนี้
โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543
สพช. จะนำเรื่อง "บ้านประหยัดพลังงาน" มาเป็นประเด็นหลักในการประชาสัมพันธ์ในปี 2543 เนื่องจากวิธีประหยัดพลังงานที่ประชาชนสามารถทำเองได้ภายในบ้านมักจะเป็นข้อมูลที่มีผู้สนใจอยู่เสมอ อีกทั้งสามารถกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจัง และด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจึงทำให้เนื้อหาของการประชาสัมพันธ์มุ่งเน้นวิธีง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้เองที่บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมากนัก เช่น การวางเครื่องเรือนให้ไม่บังลมและแสงธรรมชาติ การปลูกพืชบังแดด เป็นต้น ซึ่งวิธีการที่จะเสนอต่อประชาชนทั่วไปจะเป็นวิธีที่ได้ผลแน่นอนในการประหยัดการใช้พลังงานและทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทั้งนี้ข้อมูลส่วนหนึ่งที่นำมาใช้จะได้จากผลการวิจัย ทดลอง และสัมมนา จากโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ และโครงการพัฒนาบุคลากร โดยนำมาเผยแพร่ต่อในวงกว้างผ่านกิจกรรมที่เหมาะสม และ สพช. ได้กำหนดกิจกรรมที่จะดำเนินการในปี 2543 จำนวน 18 กิจกรรม โดยใช้งบประมาณในการดำเนินการ 150 ล้านบาท
โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543
โดยการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและผลการประเมิน ดังนั้นในปีงบประมาณ 2543 พพ. จึงมุ่งที่จะเข้าให้ถึงกลุ่มอาคารควบคุมและโรงงานควบคุมรวมทั้งกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง ด้วยการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งการประชาสัมพันธ์ไปสู่กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ ในลักษณะของการสื่อสารตรงสู่กลุ่มเป้าหมาย จะทำให้เกิดการสูญเปล่าน้อยที่สุด และใช้การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อเป็นช่องทางสนับสนุน สำหรับประเด็นหลักที่ พพ. ยังต้องประชาสัมพันธ์ออกไปได้แก่การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ พรบ.ฯ บทบาทหน้าที่ของ พพ. และประโยชน์ที่จะได้รับจากกองทุนฯ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายยังไม่มีการรับรู้ที่ดีเพียงพอ นอกจากนั้นยังควรตอบสนองความต้องการด้านข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลด้านเทคนิค วิธีการอนุรักษ์พลังงาน ตลอดจนประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อจูงใจให้เกิดการปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน โดยผ่านวิธีการและกิจกรรมที่เหมาะสม โดย พพ. ได้กำหนดกิจกรรมที่จะดำเนินการในปี 2543 จำนวน 15 กิจกรรม โดยใช้งบประมาณในการดำเนินการ 90.5 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543 และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่าย ในวงเงิน 150,000,000 บาท ตามที่ สพช. เสนอมา โดยให้นำข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ไปปรับใช้กับการดำเนินงาน
2. เห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543 และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่าย ในวงเงิน 90,500,000 บาท ตามที่ พพ. เสนอมา โดยให้นำข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ไปปรับใช้กับการดำเนินงาน
3. เห็นชอบให้ สพช. และ พพ. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ โดยให้ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แล้วให้ สพช. เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน และให้ พพ. เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท
เรื่องที่ 6 โครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้มีหนังสือที่ นร 6805/133/42 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2542 เพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการการสนับสนุนผู้ปฏิบัติการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน ในวงเงิน 77,724,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการสร้างนักวิจัยในภาคอุตสาหกรรม โดยให้มหาวิทยาลัยในโครงการได้พัฒนางานวิจัยทางด้านพลังงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม และให้ทุนนักศึกษาได้เข้าไปทำวิจัยในภาคอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาหรือคิดค้นกระบวนการใหม่ๆ ในภาคอุตสาหกรรม โดยจะเน้นโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) โดยข้อเสนอโครงการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 โครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม ในสาขาพลังงาน (Research Associate Support : Energy Program) โดยมีฝ่ายสนับสนุนการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม (ฝ่าย 5) สกว. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ในวงเงิน 27,804,000 บาท ระยะเวลา 2 ปี
ส่วนที่ 2 โครงการทักษวิศวกรรมเคมี โดยมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี (มจธ.) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ในวงเงิน 49,920,000 บาท ระยะเวลา 2 ปี
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ครั้งที่ 5/2542 (ครั้งที่ 57) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2542 และครั้งที่ 6/2542 (ครั้งที่ 58) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2542 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมพิจารณาโครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน คือ ศ.ดร. วิวัฒน์ ตันฑะพานิชกุล รศ.ดร. กุลธร ศิลปบรรเลง และผู้อำนวยการบริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญได้ร่วมประชุมเพื่อพิจารณาโครงการฯ แล้วเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542 และได้เสนอผลการพิจารณาให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 59) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการให้ทุนอุดหนุนการวิจัย ให้ สกว. และ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน โดยให้ สกว. และ มจธ.จะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายลงตามข้อสังเกตของอนุกรรมการฯ ซึ่ง สกว. และ มจธ. ได้ดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว โดยได้ปรับลดงบประมาณลงรวม 4,126,500 บาท เลขานุการฯ จึงใคร่นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการให้ทุนอุดหนุนการวิจัย ให้ สกว. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน ในวงเงิน 23,677,500 บาท (ยี่สิบสามล้านหกแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการให้ทุนอุดหนุนการวิจัย ให้ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทักษวิศวกรรมเคมี ในวงเงิน 49,920,000 บาท (สี่สิบเก้าล้านเก้าแสนสองหมื่นบาทถ้วน)
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการให้ทุนอุดหนุนการวิจัย ให้ สพช. ทำการประเมินผลโครงการฯ ของ มจธ. และรายงานผลเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานปีที่ 2 เพื่อพิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนอีก 3 ปี ต่อไป ตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมฯ ครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี (มจธ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาด สำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในวงเงิน 21,977,281 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดพันสองร้อยแปดสิบเอ็ดบาทถ้วน)
มจธ. ได้มีหนังสือที่ ทม. 5308/110 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2541 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายการในข้อเสนอโครงการฯ จากเดิม เพื่อความเหมาะสมของระบบจากการที่ มจธ. ได้ดำเนินการศึกษา ออกแบบ และเลือกระบบที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สำหรับโครงการฯ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2541 (ครั้งที่ 21) เมื่อวันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2541 มีมติเห็นชอบให้ มจธ. เปลี่ยนแปลงแผนการดำเนินการฯ ได้ ตามที่ มจธ. เสนอ
มจธ. ได้มีหนังสือที่ ทม.5301/2047 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2542 เพื่อชี้แจงให้ สพช. ทราบถึงปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินงานของโครงการฯ ไม่เป็นไปตามแผนการดำเนินโครงการฯ เช่น ค่าวัสดุ การก่อสร้างโรงเรือนและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง การขนส่งวัสดุอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายในการขนส่ง การสร้างระบบประจุแบตเตอรี่และค่าใช้จ่ายในการสร้างระบบฯ เป็นต้น จากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการดำเนินงาน และวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว ดังนั้นเพื่อให้โครงการฯ ดำเนินการได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย มจธ. จึงได้ขอปรับแผนการดำเนินโครงการฯ และค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของการดำเนินโครงการฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2542 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
1. อนุมัติให้ มจธ. ปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์ป่า โดยให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานของโครงการฯ จาก 18 เดือนเป็น 28 เดือน และเลื่อนการส่งรายงานความก้าวหน้าครั้งที่ 2 และการขอเบิกเงินงวดที่ 3 วงเงิน 1,247,370 บาท ไปเป็นเดือนสิงหาคม 2542 และให้รายงานความก้าวหน้าฉบับสมบูรณ์และขอเบิกเงินงวดสุดท้าย วงเงิน 2,966,272 บาท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543
2. อนุมัติให้ มจธ. ถัวจ่ายค่าใช้จ่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายในหมวดเดียวกัน ได้ตามที่ มจธ. เสนอมา
3. เห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์ป่า ในวงเงิน 2,966,272 บาท (สองล้านเก้าแสนหกหมื่นหกพันสองร้อยเจ็ดสิบสองบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในโอกาสต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์ป่า ในวงเงิน 2,966,272 บาท (สองล้านเก้าแสนหกหมื่นหกพันสองร้อยเจ็ดสิบสองบาทถ้วน)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการขอเงินจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุนฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ แก่โรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมของเอกชนและโรงงานควบคุมของส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ ในการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. เงินช่วยเหลือให้เปล่าในการจัดทำการศึกษาการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงาน เบื้องต้น ไม่เกิน 100,000 บาท/ราย
2. เงินอุดหนุนจำนวนร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในการจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงาน แต่ไม่เกิน500,000 บาท/ราย
3. เงินอุดหนุนภาระดอกเบี้ยจากการลงทุนในแต่ละมาตรการ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ที่มีผลตอบแทนการลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9 เพื่อให้มีผลตอบแทนทางการเงินสูงขึ้นจนเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำสุด สำหรับลูกค้ารายย่อยของธนาคารกรุงไทย เฉลี่ยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา + 2 % แต่ทั้งนี้เงินอุดหนุนจะไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินลงทุน และไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อมาตรการ
สำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ กองทุนฯ จะให้การสนับสนุนในรูปของเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมดในการจัดทำการศึกษา การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมา พพ. จะจ่ายเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายค่าตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น และการจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงาน เพียงครั้งเดียวทั้งหมดหลังจากที่ได้เห็นชอบรายงานฯ ซึ่งผลจากการดำเนินการดังกล่าว ปรากฏว่าบริษัทที่ปรึกษาฯ หลายรายที่ได้รับการว่าจ้างจากโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม แจ้งให้ พพ ทราบว่า บริษัทฯ ต้องออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการไปก่อน และถ้าบริษัทฯ รับงานจำนวนมากรายด้วยแล้วก็จะรวมเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ประกอบกับการขาดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน ทำให้บริษัทฯ ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ ทั้งนี้เพราะเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ล่าช้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการฯ ซึ่งจ่ายเงินค่าว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาโดยใช้เงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ทั้งหมด
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว พพ. ได้เสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 5/2542 (ครั้งที่ 5) เมื่อวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2542 และในการประชุมครั้งที่ 6/2542 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันพุธที่ 8 กันยายน 2542 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
1. ให้ พพ. สามารถปรับจำนวนงวดและสัดส่วนการจ่ายเงินสนับสนุนได้ตามที่ พพ. เห็นสมควร โดยในขั้นแรกให้ พพ. แบ่งจ่ายเงินเป็น 2 งวด ตามสัดส่วนความก้าวหน้าและค่าใช้จ่ายของงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ดังนี้
1.1 การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น
งวดแรก จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อส่งรายงานการ ตรวจสอบฯ เบื้องต้นให้ พพ. แล้ว
งวดที่สอง จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อรายงานการ ตรวจสอบฯ เบื้องต้น ได้รับความเห็นชอบจาก พพ. แล้ว
1.2 การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
งวดแรก จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อส่งรายงานการ ตรวจสอบฯ โดยละเอียดให้ พพ.แล้ว
งวดที่สอง จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และรายงานการตรวจสอบฯ โดยละเอียดได้รับความเห็นชอบจาก พพ. แล้ว
2. ให้ พพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการก่อน ดังนั้นเลขานุการฯ จึงใคร่เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. สามารถปรับจำนวนงวดและสัดส่วนการจ่ายเงินสนับสนุนค่าตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น และการจัดทำเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่โรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุม โดยในขั้นแรกให้ พพ. แบ่งจ่ายเงินเป็น 2 งวด ตามสัดส่วนความก้าวหน้าและค่าใช้จ่ายของงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ดังนี้
(1) การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น
งวดแรก จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมส่งรายงานการตรวจสอบฯ เบื้องต้นให้ พพ. แล้ว
งวดที่สอง จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมรายงานการตรวจสอบฯ เบื้องต้น ให้ พพ. และ พพ. ได้เห็นชอบในคุณภาพของผลงานแล้ว
(2) การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
งวดแรก จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมส่งรายงานการตรวจสอบฯ โดยละเอียดให้ พพ. แล้ว
งวดที่สอง จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และรายงานการตรวจสอบฯ โดยละเอียด ของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมนั้นได้รับความเห็นชอบจาก พพ. แล้ว
2. เมื่อสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2543 ให้ ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ พพ. และกรมบัญชีกลาง พิจารณาความเหมาะสมในขั้นตอนวิธีการจ่ายเงินสนับสนุนฯ ตามข้อ 1 และเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อกำหนดวิธีการจ่ายเงินสนับสนุนฯ ในช่วงต่อไป
เรื่องที่ 9 อาคารของรัฐที่เป็นอาคารควบคุม : ภายใต้สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย และกระทรวงศึกษาธิการ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 ที่ประชุมได้พิจารณาผลการประเมินผลโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 1 แล้ว ได้มีข้อสังเกตเพื่อปรับปรุงการทำงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ว่าควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องการปรับปรุงการใช้พลังงานของตนสามารถขอรับการสนับสนุนมายังกองทุนฯ ผ่านคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับได้ ซึ่งแนวทางการดำเนินการดังกล่าว ได้ถูกบรรจุไว้ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ที่ได้เสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาแล้ว
ทบวงมหาวิทยาลัย ได้มีหนังสือที่ ทม 0201(4)/13920 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2542 ถึงประธานอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อขอให้พิจารณาโครงการปรับปรุงอาคารภายใต้การดูแลของทบวงมหาวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้มีผลโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กระทรวงศึกษาธิการได้มีหนังสือที่ ศธ 0219/8704 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2542 ถึงประธานอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อขอให้พิจารณาโครงการปรับปรุงอาคารภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการโดยเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 6/2542 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันพุธที่ 8 กันยายน ที่ประชุมได้พิจารณาได้พิจารณาโครงการฯ ของทบวงมหาวิทยาลัย และของกระทรวงศึกษาธิการ แล้ว ที่ประชุมมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ ทบวงฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการนำร่องสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการฯ ในสังกัดของทบวงฯ โดยให้ ทบวงฯ เป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการโดยตรง (Implementing Agency "IA") เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 891,000,000 บาท (แปดร้อยเก้าสิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ กระทรวงฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเร่งด่วนสำหรับอาคารควบคุมส่วนราชการภายใต้กระทรวงฯ โดยให้กระทรวงฯ ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการโดยตรง (Implementing Agency "IA") ในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 401,850,000 บาท (สี่ร้อยหนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ ทบวงมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการนำร่องสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการฯ ในสังกัดของทบวงฯ โดยให้ ทบวงฯ เป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการโดยตรง (Implementing Agency "IA") เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 891,000,000 บาท (แปดร้อยเก้าสิบเอ็ดล้านบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเร่งด่วนสำหรับอาคารควบคุมส่วนราชการภายใต้กระทรวงฯ โดยให้กระทรวงฯ ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการโดยตรง (Implementing Agency "IA") ในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 401,850,000 บาท (สี่ร้อยหนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
3. ให้ ทบวงมหาวิทยาลัย และ กระทรวงศึกษาธิการ เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างดำเนินการตามโครงการให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท
กอ. ครั้งที่ 19 - วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2543
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 19)
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. การปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547)
3. โครงการอาคารของรัฐที่เป็นอาคารควบคุม : ภายใต้สังกัดกองทัพบก กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม
4. การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานให้แก่อาคารควบคุม ใต้สังกัดสภากาชาดไทย
5. โครงการสาธิตการเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ
6. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
7. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
8. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำมันราคาสูง
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการ และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 150,000,000 บาท โดยได้กำหนดให้เรื่อง "บ้านประหยัดพลังงาน" เป็นประเด็นหลักในการรณรงค์
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้อนุมัติให้ สพช. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543 ไปแล้ว จำนวน 5 กิจกรรม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 21,844,676.69 บาท และกำลังดำเนินการจัดจ้างในช่วงที่ 3 และ 4 รวม 14 กิจกรรม ในวงเงิน 70.8 ล้านบาท ทั้งนี้ สพช. ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในประเทศ และได้เร่งนำ "โครงการประชาสัมพันธ์รณรงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ออกเทนของเบนซินที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์" มาเป็นประเด็นรณรงค์ในช่วงต้นปี โดยได้เริ่มให้ข้อมูลเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง และสำหรับกิจกรรมหลักที่จะสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกระแสและความเชื่อมั่นจะเริ่มดำเนินการพร้อมกันในวันที่ 1 เมษายน 2543
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบในมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งในส่วนของมาตรการด้านอื่นๆ นั้น กพช. ได้เห็นควรให้ สพช. ทบทวนมาตรการด้านอนุรักษ์พลังงาน โดยให้เร่งดำเนินการในโครงการที่ได้ผลเป็นรูปธรรมในเวลาอันรวดเร็ว และให้เสนอมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติมหากเห็นสมควร
เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ผ่านมา ดังนี้
1. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันอย่างประหยัด ปีงบประมาณ 2540
เป็นโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในช่วงแรกเป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมัน ระบบการกำหนดราคาแบบลอยตัว และเน้นย้ำให้ประชาชนใช้น้ำมันอย่างประหยัดเนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้านำเข้า การประหยัดน้ำมันจึงสามารถช่วยประเทศลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศได้
2. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2541
สพช. ได้จัดทำภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุด "ชีวิตคู่ของคุณประหยัด" เพื่อแนะนำวิธีประหยัดน้ำมันในชีวิตประจำวันให้กับประชาชนทั่วไป โดยเผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ พร้อมกับการนำสารคดีสั้นทางวิทยุ ชุด "รอบรู้เรื่องน้ำมัน" มาเผยแพร่ซ้ำ และเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ทางสิ่งพิมพ์ เพื่อแนะนำวิธีประหยัดน้ำมันเพิ่มเติม และต่อมาได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนแปลงการใช้เบนซินคุณภาพสูงเกินความจำเป็น "ใช้เบนซินให้ถูกชนิด ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ" ร่วมกับกรมทะเบียนการค้า โดยใช้งบประมาณในการประชาสัมพันธ์รวมทั้งสิ้น 30 ล้านบาท
จากการสำรวจเพื่อประเมินผลพบว่าการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจเรื่องค่าออกเทนในครั้งนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งจะเห็นได้จากการที่สัดส่วนการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ลดลงประมาณร้อยละ 6 ต่อเดือน เนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันที่ยังคงขายน้ำมันที่มีค่าออกเทน 97 และ 92 ในขณะที่เนื้อหาของการรณรงค์ได้กล่าวถึงน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 จึงทำให้ประชาชนสับสนในเรื่องค่าออกเทน ประกอบกับยังคงมีความเข้าใจว่าน้ำมันไร้สารตะกั่วคือน้ำมันเบนซินซูเปอร์เท่านั้น จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนเป็นไปอย่างไม่เด่นชัด
3. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2542
ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ใช้น้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลจากการสำรวจพบว่ากลุ่มเป้าหมายมีการรับรู้และมีความเข้าใจมากขึ้น แต่เนื่องจากการรณรงค์อยู่ในวงจำกัด ประกอบกับยังไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นได้เพียงพอว่าในการเปลี่ยนมาใช้เบนซินออกเทน 91 จะไม่ทำให้เครื่องยนต์ชำรุด เสียหาย ดังนั้นผลที่ได้จากการรณรงค์ในครั้งนี้จึงยังไม่ได้ตามวัตถุประสงค์
4. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543
ในช่วงที่เกิดวิกฤติการณ์ราคาน้ำมันในช่วงปลายปี 2542 สพช. ได้นำประเด็นเรื่องเกี่ยวกับการประหยัดน้ำมันมาสอดแทรกไว้ในทุกกิจกรรม โดยเฉพาะประเด็นการเลือกเติมน้ำมันตามค่าออกเทนที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้ทันทีและสามารถลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ทันที จึงให้ความสำคัญในการสื่อสารให้ประชาชนเติมน้ำมันตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ ซึ่งหากหันกลับมาเติมน้ำมันที่มีค่าออกเทน 91 สำหรับรถที่เติมได้ จะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นโดยผ่านผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งการรณรงค์นี้ได้ดำเนินการผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทุกสื่อ ได้แก่ บทความประชาสัมพันธ์ในหนังสือพิมพ์ การเปิดประเด็นทางรายการวิทยุ รายการสนทนาทางโทรทัศน์ และการแจกเอกสารเผยแพร่บนทางด่วน เป็นต้น
เพื่อให้สอดคล้องกับมติของ กพช. ในมาตรการเพื่อส่งเสริมการประหยัดน้ำมันสำหรับประชาชนทั่วไปเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาแผนงานประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ สำหรับปีงบประมาณ 2543 เพิ่มเติม โดยมีรายละเอียดของโครงการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม ดังนี้
การประชาสัมพันธ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำมันของ สพช. ในช่วงที่ผ่านมามักจะเร่งดำเนินการในช่วงที่น้ำมันมีราคาแพง และเป็นช่วงที่ผู้บริโภคและสื่อมวลชนเกิดความตระหนัก ดังนั้น สพช. จึงเห็นควรให้พิจารณาดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องเพื่อรณรงค์ให้มีการใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสม รวมถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมัน และวิธีการประหยัดน้ำมัน โดยอาศัยสถานการณ์ที่ประชาชนยังคงเปิดรับข่าวสารข้อมูลในเรื่องที่เกี่ยวกับการประหยัดน้ำมันอยู่ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างถาวรในการบริโภคน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่งบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ไม่เพียงพอ ซึ่งหากนำมาจัดสรรให้กับการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการประหยัดน้ำมันภายใต้วงเงินที่ได้รับอนุมัติเดิม ก็อาจทำให้แผนประชาสัมพันธ์ ปี 2543 ได้ผลไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงใคร่ของบประมาณเพิ่มเติมอีก 30 ล้านบาท โดยมีกิจกรรมต่างๆ ที่จะทำการประชาสัมพันธ์ ดังนี้
กิจกรรมการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ | 25 ล้านบาท |
กิจกรรมรณรงค์ | 5 ล้านบาท |
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น | 30 ล้านบาท |
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่หมาะสมและการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 30,000,000 บาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แล้วให้นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 10 ล้านบาท
เรื่องที่ 2 การปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้ให้ความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เสนอ ซึ่งในส่วนของโครงการอาคารของรัฐนั้น กำหนดให้ พพ. ต้องนำข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน มาพิจารณาดำเนินการปรับแผนของโครงการฯ ระยะที่ 2 ในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) ต้องมีมาตรการที่ได้ผลจริงในการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดทิ้งแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
2) จะต้องมีการเพิ่มจำนวนตัวแทนดำเนินการ (Implementing Agency "IA") ให้มากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานเข้ามาแข่งขันด้านราคาและคุณภาพการให้บริการต่อ พพ. และในสัญญาที่ พพ. ทำกับ IA จะต้องระบุว่า "ห้ามมิให้จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ" และ พพ. จะต้องเป็นผู้ตรวจสอบว่า IA "จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ" หรือไม่ โดยการเพิ่ม IA ให้ศึกษาแนวทางวิธีการเพิ่มที่ปรึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อม จากกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
เลขานุการฯ ได้นำข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ แจ้งให้ พพ. เพื่อรับทราบและดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ แล้ว และ พพ. ได้เสนอแนวทางปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547) ดังนี้
1. มาตรการป้องกันการนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกกลับมาใช้อีก
1) ติดสติ๊กเกอร์ที่เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออก โดยมีข้อความ "เครื่องปรับอากาศนี้ เสื่อมสภาพ สมควรทำลาย ตามระเบียบพัสดุ"
2) ทำบันทึกข้อตกลงการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานโครงการอาคารของรัฐระหว่าง พพ. กับผู้รับผิดชอบอาคารนั้นๆ โดยผู้รับผิดชอบอาคารของรัฐ จะต้องลงนามรับรองก่อนที่บริษัทผู้รับเหมาจะเข้าไปดำเนินการปรับปรุงฯ ว่าจะนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถอดออกแล้วไปทำลายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และยินดีให้ความร่วมมือในการประสานงานต่างๆ เพื่อให้โครงการอาคารของรัฐสำเร็จไปด้วยดี
3) พพ. จะว่าจ้างมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา ศึกษาวิธีการดำเนินการทำลายหรือจัดการเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภายในปี 2543
4) ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการห้ามมิให้หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการอาคารของรัฐ ที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้ พพ. ดำเนินการนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกไปทำลายให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และต้องแจ้งผลการทำลายให้คณะกรรมการกองทุนฯ และผู้เข้าร่วมโครงการทราบ ด้วย
5) ระหว่างรอผลการศึกษาวิธีการทำลายหรือจัดการเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พพ. จะเพิ่มข้อความในบันทึกข้อตกลง เพื่อให้เจ้าของอาคารยินยอมให้แยกคอมเพรสเซอร์ออกจากชุด Condensing Unit และเก็บไว้เพื่อรอการทำลาย หรือดำเนินการตามผลการศึกษาต่อไป
2. การว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (Implementing Agency "IA") ในช่วงปีงบประมาณ 2539-2541 พพ. ได้ว่าจ้าง IA เพื่อบริหารโครงการฯจำนวน 2 ราย คือ สถานจัดการและอนุรักษ์พลังงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ 2542 พพ. ได้ว่าจ้าง IA เพื่อบริหารโครงการฯ เพิ่มอีก 1 ราย คือ สถานจัดการและอนุรักษ์พลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีงบประมาณ 2543 จะดำเนินการว่าจ้างศูนย์วิจัยและฝึกอบรมพลังงานแสงอาทิตย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็น IA เพื่อบริหารโครงการฯ เพิ่มอีก 1 ราย และในโอกาสต่อไปถ้าหน่วยงานใดมีความพร้อมที่จะเป็น IA ตามเงื่อนไขที่ พพ. กำหนดแล้ว เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น พพ. ก็จะว่าจ้างหน่วยงานเหล่านั้นเป็น IA เพื่อบริหารโครงการอาคารของรัฐเพิ่มขึ้น
3. การห้าม IA ว่าจ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ
1) ในขั้นแรก พพ. ได้แจ้งเรื่องไปยัง IA แต่ละแห่งให้รับทราบ โดยจะต้องไม่ว่าจ้างผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ และ พพ. จะว่าจ้างที่ปรึกษาทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานของ IA ว่ามีการจ้างผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันหรือไม่
2) สำหรับการว่าจ้างผู้รับเหมาทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นนั้น พพ. จะแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ IA แต่ละแห่งพิจารณาดำเนินการ ซึ่งอาจทำโดยการประมูลเพื่อแข่งขันราคาหรือวิธีอื่นๆ ตามที่เห็นสมควร ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในระหว่างผู้รับเหมากันมากยิ่งขึ้นและขณะเดียวกันจะให้ที่ปรึกษาซึ่ง พพ. ว่าจ้างที่ปรึกษาตรวจสอบการดำเนินงานของ IA ในการว่าจ้างผู้รับเหมาด้วย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า แนวทางปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ในแต่ละมาตรการที่ พพ. เสนอมาดังกล่าวนั้น ยังไม่ได้เป็นไปตามที่คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2542 ได้ให้ข้อสังเกตไว้ ซึ่งมาตรการที่ พพ. เสนอนั้นยังไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้เห็นผลการประหยัดพลังงานตามเป้าหมายของกองทุนฯ เพราะยังขาดกลไกการควบคุมให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเข้มงวดจริงจัง ตลอดจนไม่มีเงื่อนไขหรือบทปรับใดๆ ที่สะท้อนถึงการลงโทษหากละเลยการปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้กระทำไว้ รวมถึงไม่มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนว่า พพ. จะเริ่มต้นและเสร็จสิ้นการดำเนินการในแต่ละเรื่องนั้นเมื่อไร ซึ่งแม้ว่าแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 ได้ดำเนินการล่วงเลยมามากกว่า 6 เดือนแล้ว พพ. ก็มิได้เร่งดำเนินการตามที่ได้แจ้งมายังกองทุนฯ ซึ่งหาก พพ. ไม่ปรับปรุงแก้ไขวิธีการติดตามควบคุม ก็จะส่งผลให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เกิดผลไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้การดำเนินการโครงการอาคารของรัฐบรรลุผลตามเป้าหมาย เลขานุการฯ มีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้
1) การศึกษาวิธีการดำเนินการทำลายหรือจัดการเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พพ. จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2543
2) กำหนดวิธีการตรวจสอบและบทลงโทษ IA ที่ดำเนินการ "จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ" เช่น การยกเลิกสัญญาจ้าง IA
3) ควรให้เอกชนเข้ามาแข่งขันเป็น IA เพื่อ พพ. จะได้รับบริการที่มีคุณภาพสูงขึ้นและราคาถูกลง
4) ในการจัดซื้อจัดจ้างของ IA จะต้องประกาศให้บุคคลทั่วไปที่สนใจทราบอย่างกว้างขวาง เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการประมูลงาน ให้ได้วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงขึ้นและราคาถูกลง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ดังนี้
1.1 มาตรการป้องกันการนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกกลับมาใช้อีก
(1) ติดสติ๊กเกอร์ที่เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออก โดยมีข้อความ "เครื่องปรับอากาศนี้ เสื่อมสภาพ สมควรทำลาย ตามระเบียบพัสดุ"
(2) ทำบันทึกข้อตกลงการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานโครงการอาคารของรัฐระหว่าง พพ. กับผู้รับผิดชอบอาคารของรัฐ โดยผู้รับผิดชอบจะต้องลงนามรับรองก่อนที่บริษัทผู้รับเหมาจะเข้าไปดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารว่าจะนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถอดออกแล้วไปทำลายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และยินดีให้ความร่วมมือในการประสานงานต่างๆ เพื่อให้โครงการอาคารของรัฐสำเร็จไปด้วยดี และให้เพิ่มข้อความในบันทึกข้อตกลง เพื่อให้เจ้าของอาคารยินยอมให้แยกคอมเพรสเซอร์ออกจากชุด Condensing Unit และเก็บไว้เพื่อรอการทำลายโดยไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องตามหลักวิชาการต่อไป
(3) ให้ พพ. เร่งจัดทำรายละเอียดของข้อมูลที่ชัดเจนถึงผลกระทบต่อโครงการฯ หากมีการนำเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้ใหม่ และเร่งจ้างมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา เพื่อดำเนินการศึกษาวิธีการทำลายหรือจัดการเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และให้ทราบผลภายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543 แล้วรายงานผลต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงกาารอาคารของรัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศ ห้ามนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้แยกตัวคอมเพรสเซอร์ออกจากชุดระบายความร้อน และเก็บไว้เพื่อรอการทำลายหรือจัดการตามแนวทางที่ได้รับจากผลการศึกษาของ พพ. ต่อไป
1.2 ให้ พพ. สามารถจ้างหน่วยงานอื่นที่พร้อมจะเป็นตัวแทนดำเนินการ (Implemeting Agency "IA") เพื่อบริหารโครงการอาคารของรัฐ ตามเงื่อนไขที่ พพ. กำหนด
1.3 การห้าม IA ว่าจ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ
(1) ให้ พพ. แจ้งเรื่องไปยัง IA แต่ละแห่งให้รับทราบว่า IA จะต้องไม่ว่าจ้างผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ
(2) ให้ พพ. แจ้งให้ IA แต่ละแห่งพิจารณาดำเนินการว่าจ้างผู้รับเหมาโดยการประมูลเพื่อแข่งขันราคาหรือวิธีอื่นๆ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในระหว่างผู้รับเหมากันมากยิ่งขึ้น
(3) ให้ พพ. เร่งว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานของ IA
2. อนุมัติให้ พพ. ดำเนินโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้รับหนังสือจากส่วนราชการต่างๆ จำนวน 3 แห่ง คือ กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้พิจารณาแผนงานอนุรักษ์พลังงานในโครงการปรับปรุงอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของส่วนราชการแต่ละแห่งนั้น โดยเร่งด่วนหรือเป็นกรณีพิเศษ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 7) ครั้งที่ 8/2542 (ครั้งที่ 8) และครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 9) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้ส่วนราชการทั้ง 3 แห่ง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของแต่ละส่วนราชการ และให้แต่ละส่วนราชการเป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (Implementing Agency "IA") โดยตรง เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล และให้แต่ละส่วนราชการเสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างดำเนินการตามโครงการให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีเกิน 10 ล้านบาท โดยเห็นชอบวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ของแต่ละส่วนราชการ ดังนี้
1) เห็นชอบให้การสนับสนุนให้กองทัพบก ในวงเงิน 596,850,000 บาท
2) เห็นชอบให้การสนับสนุนกระทรวงมหาดไทย ในวงเงิน 366,000,000 บาท
3) เห็นชอบให้การสนับสนุนกระทรวงคมนาคม ในวงเงิน 482,400,000 บาท
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 10) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2543 เห็นว่าในขณะนี้มีอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวง ทบวง และหน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนมาก ที่ได้เห็นความสำคัญและต้องการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของอาคารในสังกัดเพื่อต้องการลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของคณะกรรมการกองทุนฯ และเพื่อให้การปฏิบัติงานของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ที่ประชุมจึงได้มีมติให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีพิเศษ (fast track) เพื่อใช้ในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (Implementing Agency "IA") บริหารงานในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน และว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน และโดยไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา เมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป สำหรับเงินสนับสนุนการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานนั้น ให้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเป็นรายๆ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้กองทัพบกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของกองทัพบก โดยให้กองทัพบกเป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ(IA) โดยตรง เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 596,850,000 บาท (ห้าร้อยเก้าสิบหกล้านแปดแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) โดยตรง เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 366,000,000 บาท (สามร้อยหกสิบหกล้านบาทถ้วน)
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้กระทรวงคมนาคมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของกระทรวงคมนาคม โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) โดยตรง เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 482,400,000 บาท (สี่ร้อยแปดสิบสองล้านสี่แสนบาทถ้วน)
4. ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีพิเศษ (fast track) เพื่อใช้ในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) บริหารงานในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน และว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน และโดยไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป สำหรับเงินสนับสนุนการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานนั้นให้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเป็นรายๆ ไป
5. ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนนั้น เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างดำเนินการตามโครงการให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีเกิน 10 ล้านบาท
6. ให้ พพ. แจ้งให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนนั้น ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกกลับมาใช้อีก ตลอดจนการห้าม IA ว่าจ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการด้วย และ พพ. จะต้องมีบทบาทและหน้าที่ในการเข้าไปติดตามและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีการนำแนวทางดังกล่าวไปบังคับใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเข้มงวดจริงจัง
เรื่องที่ 4 การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานให้แก่อาคารควบคุม ใต้สังกัดสภากาชาดไทย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น ให้แก่อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้สังกัดของสภากาชาดไทย 3 ราย คือ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่เมื่อ พพ. ได้ตรวจสอบรายละเอียดในภายหลังปรากฏว่า "สภากาชาดไทยเป็นองค์กรการกุศล" จัดตั้งโดยกฎหมายมีฐานะเป็นนิติบุคคลในรูปแบบของสมาคม ไม่มีสถานภาพเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ทำให้สิทธิที่จะได้รับเงินสนับสนุนสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย เท่านั้น แต่เนื่องจากสภากาชาดไทยมีแนวทางการดำเนินงานที่ไม่แสวงหาผลกำไร และมีผลการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวมเป็นหลัก พพ. จึงเห็นควรพิจารณาให้การสนับสนุนเงินช่วยเหลือการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานแก่อาคารควบคุมภายใต้สังกัดสภากาชาดไทยเป็นกรณีพิเศษ โดยช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมดเช่นเดียวกับหน่วยงานที่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ และ พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับพิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันพุธที่ 27 ตุลาคม 2542 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้อาคารควบคุมภายใต้สังกัดสภากาชาดไทย ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมด สำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ทั้งนี้ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดสำหรับให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
2. อนุมัติให้คณะอนุกรรมกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมด สำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีลักษณะการดำเนินการหรือวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกับสภากาชาดไทย เป็นกรณีๆ ไป ทั้งนี้ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดสำหรับให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้อาคารควบคุมภายใต้สังกัดสภากาชาดไทย เป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมด ทั้งนี้ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดสำหรับให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
2. เห็นชอบมติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 ที่ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ พพ. ไปแล้ว เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นให้แก่อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้สังกัดของสภากาชาดไทย เป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่า จำนวน 3 ราย คือ อาคารสภากาชาดไทย ในวงเงิน 190,000 บาท (หนึ่งแสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) อาคารโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ในวงเงิน 290,000 บาท (สองแสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) และอาคารโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในวงเงิน 2,520,615 บาท (สองล้านห้าแสนสองหมื่นหกร้อยสิบห้าบาทถ้วน)
3. อนุมัติให้คณะอนุกรรมกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมดสำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีลักษณะการดำเนินการหรือวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกับสภากาชาดไทย เป็นกรณีๆ ไป ทั้งนี้ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดสำหรับให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
เรื่องที่ 5 โครงการสาธิตการเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ได้เสนอโครงการสาธิตการเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2543 ได้พิจารณาโครงการฯนี้แล้ว มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
มช. จะดำเนินโครงการสาธิตการเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ โดยการซื้อเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะชนิดน้อยศพต่อวันที่เป็นเทคโนโลยีของประเทศสหรัฐอเมริกา มาติดตั้งที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จังหวัดนนทบุรี เพื่อศึกษาวิจัย และพัฒนาออกแบบ ทั้งแบบจำนวนศพต่อวันมากและแบบจำนวนศพต่อวันน้อย ให้ได้เตาเผาศพประสิทธิภาพสูงที่ประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ และเหมาะสมกับประเทศไทย และหลังจากได้แบบมาตรฐานของเตาเผาศพต้นแบบเรียบร้อยแล้ว มช. จะประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น แผ่นพับ วิทยุ และจัดสัมมนาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไปทราบต่อไป โดยในช่วงที่ดำเนินการศึกษานั้น มช. จะต้องศึกษารูปแบบและชนิดของเตาฯ เป็นดังนี้
ภายในระยะเวลา 6 เดือน มช. จะมีผลการศึกษาและแบบเตาเผาศพที่ประหยัดพลังงานและลดมลภาวะแบบจำนวนศพน้อยเบื้องต้น ซึ่งแบบเตาฯ จะต้องเป็นแบบที่ใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศให้มากที่สุด ใช้และบำรุงรักษาได้ง่าย มีระบบการควบคุมที่ไม่ยุ่งยาก และราคาไม่แพง
แบบเตาเผาศพแบบสมบูรณ์ ทั้งกรณีจำนวนศพน้อยและจำนวนศพมาก ก็ให้อยู่ในเกณฑ์เดียวกับเตาฯ เบื้องต้น และ มช. จะต้องรวบรวมข้อมูลการใช้พลังงานและการปล่อยมลภาวะจากเตาเผาศพที่จะนำมาใช้ในโครงการฯ ตลอดจนศึกษาถึงพื้นฐานของการถ่ายเทความร้อน การเผาไหม้ การควบคุมการเผาไหม้ การเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม ความเหมาะสมในการปฏิบัติงาน รวมถึงการศึกษาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ และจัดทำชุดทดสอบในห้องปฏิบัติการ เพื่อศึกษาระบบการเผาไหม้ หาปัจจัยและคุณลักษณะที่เหมาะสมของเตาเผาศพ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการออกแบบเตาเผาศพประหยัดพลังงาน
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสาธิตเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ ในวงเงิน 10,975,500 บาท (สิบล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน)
เรื่องที่ 6 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบ เกี่ยวกับงบการเงินที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2540 งบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2542 ที่กรมบัญชีกลางส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,181,600,614.62 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของ สพช. บก. และ พพ. ตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 3,003,313,030.10 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับ งบการเงินที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2540 งบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2542 และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543
เรื่องที่ 7 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงความก้าวหน้าของแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน และคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุน โครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2542 จนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 สามารถสรุปได้ ดังนี้
1. แผนงานภาคบังคับ
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ รวมเป็นเงินที่อนุมัติแล้วทั้งสิ้น 170.95 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.1 โครงการอาคารของรัฐ คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 28.52 ล้านบาท โดยแยกเป็น
1) ค่าบริหารการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน จำนวน 200 แห่ง เป็นเงินรวม 9.19 ล้านบาท
2) ค่าบริหารการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน จำนวน 160 แห่ง เป็นเงินรวม 7.36 ล้านบาท
3) ค่าการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน จำนวน 125 แห่ง เป็นเงินรวม 11.97 ล้านบาท
1.2 โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 137.22 ล้านบาท โดยแยกเป็น
1) อาคารควบคุม คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 28.52 ล้านบาท โดยแยกเป็น ค่าการตรวจสอบฯ เบื้องต้นจำนวน 92 แห่ง เป็นเงิน 22.61 ล้านบาท และค่าการจัดทำเป้าหมายและแผนฯ จำนวน 70 แห่ง เป็นเงิน 99.11 ล้านบาท
2) โรงงานควบคุม คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 15.5 ล้านบาท ซึ่งเป็น ค่าการตรวจสอบฯ เบื้องต้น จำนวน 155 แห่ง เป็นเงิน 15.5 ล้านบาท
1.3 โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 2.87 ล้านบาท โดยแยกเป็น ค่าการปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ จำนวน 3 แห่ง เป็นเงิน 0.23 ล้านบาท และค่าการลงทุนตามแบบที่ปรับปรุง จำนวน 3 แห่ง เป็นเงิน 2.64 ล้านบาท
1.4 โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 2.34 ล้านบาท
2. แผนงานภาคความร่วมมือ
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้มีการประชุมแล้ว 2 ครั้ง และได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อดำเนินโครงการต่างๆ ในวงเงินรวม 19.54 ล้านบาท ประกอบด้วย
1) โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2 โครงการ เป็นเงินรวม 6.76 ล้านบาท
2) โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา จำนวน 2 โครงการ เป็นเงินรวม 12.78 ล้านบาท
3. แผนงานสนับสนุน
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้มีการประชุมแล้ว 4 ครั้ง และได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 153.98 ล้านบาท ประกอบด้วย
3.1 โครงการพัฒนาบุคลากร คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการ เป็นเงิน 132.14 ล้านบาท โดยแยกเป็น
1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการสอน แบบเรียน คู่มือ และเครื่องมือที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมและทำงาน และห้องปฏิบัติการ เป็นเงิน 99.47 ล้านบาท
2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ (สำหรับหน่วยงานต่างๆ) เป็นเงิน 7.79 ล้านบาท
3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นต่างประเทศ เป็นเงิน 1.67 ล้านบาท
4) การให้ทุนอุดหนุนวิจัย เป็นเงิน 23.21 ล้านบาท
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการ เป็นเงิน 21.84 ล้านบาท โดยแยกเป็น
1) ค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการฯ เป็นเงิน 6.15 ล้านบาท
2) ค่าจ้างการผลิต ชุด นิทรรศการกองทุนฯ เป็นเงิน 0.64 ล้านบาท
3) ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 ปีที่ 3 เป็นเงิน 7.59 ล้านบาท
4) ผลิตภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อ โทรทัศน์ สื่อวิทยุ และผลิตอาร์ตเวิร์ก เป็นเงิน 3.46 ล้านบาท
5) กิจกรรมพิเศษภายใต้แผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ออกเทนของเบนซินที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ เป็นเงิน 3.64 ล้านบาท
4. คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
4.1 การคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2543 ได้พิจารณาข้อเสนอด้านวิชาการของบริษัทที่ได้ยื่นข้อเสนอที่จะมาบริหารงานประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยมี 2 บริษัทที่มีระดับคะแนนที่ใกล้เคียงกัน คือ บริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด และ บริษัท ยูนิเวอร์แซลแอนด์อินโนเวทีฟ คอนซัลติ้ง จำกัด ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบว่าข้อเสนอทางด้านเทคนิคของ บริษัท ยูนิเวอร์แซลแอนด์อินโนเวทีฟ คอนซัลติ้ง มีคะแนนสูงกว่าบริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด และให้ สพช. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาฯ ตามขั้นตอนต่อไปของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และสพช. ได้ดำเนินการเปิดซองราคาของบริษัท ยูนิเวอร์แซลแอนด์อินโนเวทีฟ คอนซัลติ้ง จำกัด แล้ว ปรากฏว่าราคาที่บริษัทเสนอมานั้นสูงกว่างบประมาณที่ สพช. ตั้งไว้มาก และเมื่อเจรจาต่อรองได้ราคาที่เหมาะสม บริษัทฯ ก็ได้เปลี่ยนแปลงบุคลากรและจำนวนวันทำงานลดลงจากข้อเสนอเดิม ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก หลังจากการเจรจาต่อรอง 3 ครั้ง ไม่สามารถต่อรองได้ สพช. จึงได้ยกเลิกการเจรจากับบริษัท ยูนิเวอร์เซลแอนด์อินโนเวทีฟ คอนซัลติ้ง จำกัด แล้วดำเนินการเปิดซองราคาของบริษัทบริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด ซึ่งมีคะแนนสูงลำดับถัดไป และได้ระดับราคาที่เหมาะสมแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการลงนามในสัญญา
4.2 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ
ตามคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 1/2542 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน สั่ง ณ วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2542 ได้แต่งตั้ง รศ.ดร.ศลักษณ์ ทรรพนันทน์ เป็นอนุกรรมการนั้น ต่อมา รศ.ดร.ศลักษณ์ ได้ขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ ซึ่งประธานกรรมการกองทุนฯ ได้มีบัญชาอนุมัติแล้ว คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ จึงเสนอ ศ.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร เป็นอนุกรรมการ แทน ซึ่งประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ลงนามในคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 1/2543 เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน สั่ง ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 แล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำมันราคาสูง
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในช่วงเดือนมกราคม-เดือนมีนาคม 2543 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ได้มีการประชุมเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์น้ำมันที่มีราคาสูงขึ้น 2 ครั้ง คือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 72) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 และในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 โดยเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ในช่วงเดือนตุลาคม 2542 - กุมภาพันธ์ 2543 ให้ กพช. เพื่อทราบ โดยสรุปได้ดังนี้
1. แผนงานภาคบังคับ
ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) โดยการดำเนินการในส่วนอาคารของรัฐนั้น พพ. ได้ใช้จ่ายเงินไปในส่วนของค่าบริหารการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานฯ 200 แห่ง และค่าตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานฯ 125 แห่ง และค่าบริหารการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานฯ 160 แห่ง โดยได้ใช้เงินจากกองทุนฯ ไปทั้งสิ้น 29 ล้านบาท ซึ่งหากมีการดำเนินการตามแผนฯ คาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสิ้นเปลืองได้ประมาณ 70 ล้านบาท/ปี และสามารถชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้คิดเป็นมูลค่า 468 ล้านบาท ส่วนในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พพ. ได้ใช้เงินจากกองทุนฯ ไปทั้งสิ้น 137 ล้านบาท ในค่าการตรวจสอบการใช้พลังงาน 155 โรงงาน และ 92 อาคาร และการจัดทำแผนฯ 70 อาคาร
2. แผนงานภาคความร่วมมือ
ในความรับผิดชอบของ สพช. ได้มีการดำเนินงานดังนี้
2.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารทั่วไป (ที่ไม่ได้เป็นโรงงานและอาคารควบคุม) ที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้อนุมัติเงินเพื่อดำเนินโครงการนำร่องแล้ว รวม 30 ล้านบาท โดยให้การสนับสนุนแก่ 3 หน่วยงาน คือ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2542 เพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ช่วยลดต้นทุนการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรม
2.2 การส่งเสริมให้มีการใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง สพช. ได้จัดประชุมหน่วยงานที่มีประสบการณ์เพื่อส่งเสริมการใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูงทดแทนเตาอั้งโล่ คือ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กรมป่าไม้ มหาวิทยาลัยต่างๆ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน ธนาคารโลก สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อร่วมกันพิจารณาถึงปัญหาอุปสรรคของการส่งเสริมการใช้เตาฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้เห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเป็นแกนนำในการนำเตาฯ จำนวน 2,400 ลูก ไปสาธิตใช้งานเพื่อเป็นตัวกระตุ้นตลาดและสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ผลิตเตาฯ และนำผลการศึกษามาวิเคราะห์แนวทางเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมกันสร้างเครือข่ายเพื่อส่งเสริมให้เกิดผลอย่างจริงจังต่อไป
2.3 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำและการติดฉลากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า สพช. ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภทเสร็จแล้ว ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพคฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษาพบว่าการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานจะสามารถลดความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึง 700 เมกะวัตต์ หรือ 3,500 ล้านหน่วย ซึ่ง สพช. จะได้นำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาเสนอต่อ กพช. เพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบายต่อไป
2.4 การส่งเสริมการใช้เตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้เตาเผาศพของประเทศไทย โดยผลการศึกษาจะได้ต้นแบบเตาฯ ที่ใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศให้มากที่สุด ใช้และบำรุงรักษาได้ง่าย มีระบบการควบคุมที่ไม่ยุ่งยาก และราคาไม่แพง เพื่อเป็นต้นแบบในการสร้างเพื่อใช้งานจริงในประเทศต่อไป
2.5 การอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง มีโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วดังนี้
(1) ศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จัดการฝึกอบรมอาจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลจากทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ให้ทันแก่เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และเน้นให้ตระหนักถึงความสำคัญในการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้ถูกต้องตามคุณลักษณะของรถยนต์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและลดมลภาวะ
(2) สพช. ได้จัดประชุมกับหลายหน่วยงานที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในสาขาขนส่ง ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะมีการร่วมกันดำเนินการ คือศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทยจะเร่งขยายผลโครงการฯ ให้สามารถให้บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ได้มากขึ้น กรมควบคุมมลพิษอบรมในเรื่องการปรับแต่งเครื่องยนต์และจะมอบใบประกาศให้กับอู่ที่ผ่านการอบรมแล้ว สมาคมสร้างสรรค์ไทยจะทำการรณรงค์ให้แก่บริษัทและห้างร้านขนาดใหญ่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ทราบถึงวิธีการขับรถและการดูแลเครื่องยนต์
(3) ปตท. จะดำเนินการขยายปริมาณงานปรับแต่งเครื่องยนต์ตามสถานที่บริการ ซึ่งเดิม ปตท. ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2542 ประมาณ 2,000 คัน จะเพิ่มเป็น 4,500 คัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ประมาณร้อยละ 5-10 ของปริมาณการใช้เดิม
(4) สพช. ได้ประสานงานกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้มีการจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรมการใช้รถอย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดพลังงาน ให้แก่พนักงานขับรถทั่วราชอาณาจักร และจัดหน่วยเคลื่อนที่ออกไปจัดอบรมให้แก่นักศึกษาในสถาบันศึกษาต่างๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
(5) การส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด สพช. ได้ประสานงานกับกรมควบคุมมลพิษและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในการจัดให้มีการใช้รถโดยสารไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid buses) โดย ขสมก. จะนำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเอาเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ออก แล้วปรับปรุงให้ใช้พลังงานไฟฟ้าจากระบบแบตเตอรี่แทน ซึ่งจะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงได้ร้อยละ 49
(6) ปตท. และ สพช. ได้มีการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการประสานงานกับ ขสมก. เพื่อร่วมกันจัดทำข้อเสนอโครงการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ต่อไป
2.6 การส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน สพช. ได้คัดเลือกผู้ที่มีประสบการณ์ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเตรียมการเชิญชวนและคัดเลือกข้อเสนอของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงที่จะขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เพื่อชดเชยส่วนต่างจากราคารับซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเปิดรับข้อเสนอโครงการฯ ได้ประมาณเดือนกันยายน 2543 และจะทราบผลการคัดเลือกภายในเดือนมกราคม 2544
(2) สนับสนุนการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้เห็นชอบให้ กฟผ. จัดทำแผนโดยละเอียดเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ในการติดตั้งระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมขนาด 2.25 เมกะวัตต์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าเสริมระบบไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้าลงได้ 900,000 ลิตร/ปี
(3) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้เห็นชอบให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ร่วมกับ กปร. และมูลนิธิชัยพัฒนา ในการออกแบบและติดตั้งเพื่อสาธิตกังหันลมสูบน้ำเพื่อสาธิตการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในกิจกรรมด้านเกษตรกรรม ตามรูปแบบการสาธิตการเกษตรแบบผสมผสานแนว "ทฤษฎีใหม่" อันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในพื้นที่โครงการแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน สถานีทดลองข้าวจังหวัดราชบุรี ที่สถานีพืชสวนจังหวัดเพชรบุรี โดยกังหันลมสูบน้ำแต่ละระบบสามารถสูบน้ำได้เฉลี่ยวันละ 15-20 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
3. แผนงานสนับสนุน
3.1 โครงการพัฒนาบุคลากร
การพัฒนาหลักสูตรและผลิตสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับพลังงานและผลกระทบของการใช้พลังงานที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้ "โครงการรุ่งอรุณ" ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการร่วมมือกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และ สพช. โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในการมองปรากฏการณ์ของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในลักษณะขององค์รวม และให้มีทัศนะและพฤติกรรมที่เข้าไปใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการสอดแทรกลงไปในทุกวิชาที่มีการเรียนการสอนให้นักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยม โครงการนี้จะสิ้นสุดในปี 2543 นี้ ซึ่งจะสามารถสร้างโรงเรียนต้นแบบได้ 600 แห่ง เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับการเรียนการสอนด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ 40,000 แห่ง ต่อไป
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนของ สพช.
(1) การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สพช. ยังคงประชาสัมพันธ์และรณรงค์อย่างต่อเนื่องภายใต้ "โครงการรวมพลังหาร 2" โดยเฉพาะประเด็นที่มีความสำคัญ เพื่อย้ำแนวคิดและให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้พลังงานของประชาชนในที่สุด ส่วนในปี 2543 ประเด็นหลักที่รณรงค์ได้แก่ "บ้านประหยัดพลังงาน" เพื่อให้มีการนำแนวคิดและวิธีการไปประยุกต์ใช้กับบ้านอยู่อาศัยและการจะสร้างบ้านใหม่ให้คำนึงถึงเรื่องการประหยัดพลังงานแต่ในภาวะที่อยู่สบาย
(2) โครงการประชาสัมพันธ์วิธีการประหยัดน้ำมัน สพช. ได้มุ่งเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำมัน และการเลือกใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ ปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันได้มีการปรับเปลี่ยนป้ายแสดงค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินที่ตู้จ่ายโดยแสดงค่าออกเทนขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด คือ ออกเทน 91 และ ออกเทน 95 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 และโรงกลั่นน้ำมันได้ปรับลดค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินจาก 97 RON มาเป็น 95 RON โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา ซึ่งรถยนต์ทั่วไปจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ 80 สตางค์/ลิตร เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนและเพื่อให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจในการเลือกใช้น้ำมันตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ สพช. ได้วางแผนประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้รถยนต์เป็นพาหนะ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถที่เครื่องยนต์เหมาะสมกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 แต่ยังคงใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 โดยการประชาสัมพันธ์จะดำเนินการผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ใช้รถเกิดความเชื่อมั่นและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 สื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ จะเริ่มออกสู่สายตาประชาชนในวันที่ 1 เมษายน ศกนี้ ซึ่งผลจากการประชาสัมพันธ์จะก่อให้เกิดกระแสความนิยมในการเติมน้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับเครื่องยนต์และประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเป็นรูปธรรม
(3) โครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car pool) สพช. ได้เร่งรณรงค์โครงการฯ ไปทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวม 37 องค์กร มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 1,575 คน หลังจากนี้จะจัดให้มีการสัมมนากลุ่มย่อยกับนักวิชาการ ผู้นำความคิด และผู้เกี่ยวข้องด้านการจราจร เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน รวมถึงอภิปรายความเป็นไปได้ในการขยายผลหรือแนวทางการทำวิจัยเพิ่มเติม
จากการประชุม กพช. ครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อต้นทุนการผลิตเป็นรายสาขา และ กพช. ได้พิจารณาอนุมัติในหลักการเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นตามที่แต่ละหน่วยงานได้นำเสนอ โดยมีมาตรการของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ กพช. ได้เห็นชอบในหลักการให้หน่วยงานจัดทำแผนและเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ดังนี้
1. การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
(1) โครงการสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ระยะเวลาโครงการ 5 ปี ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 150 ล้านบาท ลักษณะโครงการฯ โดยย่อคือการขยายผลเทคนิค Value Engineering ที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทำโครงการฯ นำร่องไปแล้ว โดยครั้งนี้จะจัดทำปีละ 1,000 โรงงาน
(2) โครงการลดต้นทุนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมและสนับสนุนการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ระยะเวลาโครงการ 5 ปี ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 360 ล้านบาท เป็นการนำเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานมาปรับเปลี่ยนใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานไม่ถึง 1 เมกกะวัตต์ ซึ่งเป็นการนำโครงการฯ ที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนกรมส่งเสริมฯ ทำโครงการนำร่องไปแล้วมาขยายผล โดยครั้งนี้จะจัดทำปีละ 2,750 โรงงาน
(3) โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ 50 ล้านบาท เป็นค่าประชาสัมพันธ์เผยแพร่การประหยัดพลังงานในโรงงานทั้งในรูปเอกสารและผ่านสื่อต่างๆ ให้กับโรงงานฯ จำนวน 50,000 โรงงาน และขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ 50 ล้านบาท เพื่อจัดสัมมนาผู้ประกอบการ ปีละ 5,000 โรงงานหรือ 10,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี
2. การตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพหม้อไอน้ำที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุน ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำนวน 500 ราย รวมเป็นเงิน 12 ล้านบาท
3. โครงการประหยัดพลังงานโดยการใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เหลือจากการผลิต โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในรูปเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อให้โรงงานติดตั้งอุปกรณ์นำความร้อนที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ด้านพลังงาน ทั้งในโรงงานหรือแจกจ่ายให้โรงงานข้างเคียง เช่น ในโรงงานหลอมเหล็ก โรงงานปูนซิเมนต์ ฯลฯ และขอสนับสนุนเงินลงทุนจากกองทุนฯ ในการติดตั้งเตาเผากากอุตสาหกรรมให้โรงงานเตาเผากากอุตสาหกรรม
4. โครงการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ (CFC-Chiller) เพื่อการประหยัดพลังงานและลดปริมาณโอโซน เป็นโครงการที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเปลี่ยน CFC-Chiller ที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 10 ปี จำนวน 440 เครื่อง โดยกรมโรงงานฯ จะจัดเก็บเงินร้อยละ 90 ของส่วนต่างของค่ากระแสไฟที่ลดลงเนื่องจากเครื่องปรับอากาศใหม่ใช้กระแสไฟน้อยกว่าเดิม เพื่อนำส่งกลับสู่กองทุนหมุนเวียนของโครงการฯ
5. มาตรการปรับเปลี่ยนการใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมัน
(1) สนับสนุนให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมสามารถใช้ก๊าซธรรมชาติให้มากขึ้นจากร้อยละ 19 เป็นร้อยละ 27 ของปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม โดยขอให้กองทุนฯ ช่วยเหลือเงินลงทุนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติในโรงงานอุตสาหกรรม และขอให้ยกเว้น/อุดหนุนค่าลดหย่อนอากรนำเข้าของอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นการจูงใจผู้ประกอบการ
(2) โครงการนำร่องการดัดแปลงเปลี่ยนเครื่องยนต์เพื่อทดสอบการใช้ก๊าซ NGV ให้กับรถยนต์ของ ขสมก. จำนวน 291 คัน โดยจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินช่วยเหลือ 270 ล้านบาท และจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำให้กับ ปตท. เพื่อเป็นค่าดัดแปลงเปลี่ยนเครื่องยนต์รถเก็บขยะของ กทม. จำนวน 400 คัน เป็นเงิน 160 ล้านบาท
(3) โครงการจัดตั้งสถานีขายก๊าซ NGV ตามแนวท่อก๊าซของ ปตท. จำนวน 6 สถานี โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ 180 ล้านบาท
6. มาตรการประหยัดพลังงานในการรณรงค์ให้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง (Tune-Up) ที่ ปตท. จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีก 15 ล้านบาท เพื่อขยายผลจากที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน ปตท. ไว้แล้ว โดยจะเพิ่มจำนวนสถานีบริการให้ได้ 60 แห่ง ภายใน 3 ปี
นอกจากนั้น กพช. ได้มีมติให้ สพช. พิจารณาเร่งรัดการนำเงินกองทุนฯ มาจัดสรรใช้จ่ายในแต่ละมาตรการตามแผนอนุรักษ์พลังงานที่เห็นผลด้านอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจังและชัดเจน โดยเร่งดำเนินการให้เร็วขึ้นและจบลงโดยเห็นผลเร็วที่สุด นอกจากนั้นขอให้พิจารณามาตรการอื่นที่ไม่ได้บรรจุไว้ในแผนฯ แต่สามารถดำเนินการและเห็นผลเร็วที่สุดได้ และพิจารณามาตรการที่มีอยู่ในแผนฯ แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติอย่างจริงจังหรือเมื่อปฏิบัติแล้วก็อาจไม่เกิดผลตามที่คาดหวังก็ควรตัดออกจากแผนฯ ด้วย ซึ่ง สพช. ได้รับมติจากที่ประชุมเพื่อเร่งปรับกลยุทธ์การปฏิบัติตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้เห็นผลอย่างจริงจังโดยเร็ว และจะประสานกับกระทรวงอุตสาหกรรมในเรื่องการจัดทำข้อเสนอขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กอ. ครั้งที่ 13 - วันพุธที่ 25 มีนาคม 2541
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2541 (ครั้งที่ 13)
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2541 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. คำสั่งแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานผลการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับโครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน
4. ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2541
5. ขออนุมัติโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนแปลงการใช้น้ำมันเบนซินคุณภาพสูงเกินความจำเป็น "ใช้เบนซินให้ถูกชนิดช่วยเศรษฐกิจของประเทศ"
6. โครงการแปรรูปมูลฝอยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
7. โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 เกษตรกรรายย่อย ระยะที่ 2
8. แนวทางในการให้การสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
9. การขอคืนเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ใช้ในการผลิตของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน)
10. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 คำสั่งแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 368/2540 เรื่องมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2540 กำหนดให้รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) เป็นประธานคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานด้วย
เรื่องที่ 2 รายงานผลการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2540 ซึ่งกรมบัญชีกลางได้จัดทำส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพร้อมทั้งรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2541 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาประดิพันธ์ 14,039,741,384.87 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2540 ของ สพช. บก. และ พพ. ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานฯ ไปแล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 441,134,585.23 บาท
มติที่ประชุม
รับทราบผลการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดำเนินการตามข้อสังเกตของที่ประชุม
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานของแผนงานภาคบังคับ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ระหว่างปี 2538-2540 มีดังนี้
1.1 อาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
- อาคารควบคุมได้แจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงานแก่ พพ. แล้วจำนวน 811 ราย จากจำนวนทั้งสิ้น 1,071 ราย คิดเป็นจำนวนบุคลากร 1,291 คน
- อาคารควบคุมได้ส่งข้อมูลการใช้พลังงานให้แก่ พพ. ทุก 6 เดือน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2539 (มกราคม-มิถุนายน) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 529 ราย สำหรับในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2539 (กรกฎาคม-ธันวาคม) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 336 ราย สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2540 (มกราคม-มิถุนายน) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 324 ราย
- อาคารควบคุมได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น จำนวนทั้งสิ้น 559 ราย และได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว 436 ราย เป็นเงิน 109,553,453 บาท
- พพ.ได้อนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียนที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมไปแล้วรวมทั้งสิ้น 77 ราย
1.2 โรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน
- โรงงานควบคุมได้แจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงานแก่ พพ. แล้วจำนวน 92 ราย จากจำนวนทั้งสิ้น 184 ราย คิดเป็นบุคลากร 175 คน
- พพ. ได้อนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียนที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมไปแล้วรวมทั้งสิ้น 11 ราย
1.3 โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง อยู่ในระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับการพิจารณาการให้การสนับสนุนในโครงการดังกล่าว
2. ผลการดำเนินงานของโครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
2.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ได้มีมติอนุมัติโครงการที่เกี่ยวกับอาคารของรัฐรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 712,535,277 บาท
2.2 คณะอนุกรรมการฯและคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือจำนวน 33 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 756,210,632 บาท
2.3 คณะอนุกรรมการและคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานสนับสนุนโครงการพัฒนาบุคลากร และโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงิน 1,011,290,324.1 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และมีมติให้คณะอนุกรรมการฯ ที่กำกับดูแลในแต่ละแผนงานรับไปดำเนินการตามข้อสังเกตของที่ประชุม
1. ความเป็นมา
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้มีมติเห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2541-2543 โดยให้มีการปรับปรุงแผนฯ ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ในปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 190,600,000 บาท และเห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 5 ล้านบาท ซึ่ง สพช. ได้นำแผนปฏิบัติการที่ได้รับการอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ มาดำเนินการ โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 7 ช่วง
สพช. ได้ดำเนินการปรับแผนการประชาสัมพันธ์เพื่อให้สอดคล้องกับข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ และให้เข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยตัดกิจกรรมบางกิจกรรมตามแผนงานเดิมและเพิ่มกิจกรรมใหม่ภายใต้ชื่อ "ไทยช่วยไทย ร่วมใจประหยัดพลังงาน" อีกทั้งได้เพิ่มเติมกิจกรรมพิเศษเพื่อให้การประชาสัมพันธ์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีกิจกรรมที่มีการปรับเปลี่ยน ดังนี้
แผนงานเดิมที่ตัดออก | งบประมาณ (บาท) |
1.ประกวดประพันธ์เพลงและร้องเพลง | 4,500,000 |
2.รองเท้าแตะและเสื้อนักเรียนเพื่อเยาวชนหาร 2 | 4,000,000 |
3.สารคดีทางวิทยุ | 5,000,000 |
4.สารคดีทางโทรทัศน์ | 5,000,000 |
5.สนับสนุนรายการวิทยุเรื่อง "น้ำมัน" | 2,000,000 |
6.การผลิตและเผยแพร่คอลัมน์ชุด "รอบรู้เรื่องน้ำมัน" | 4,000,000 |
7.ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ 2 เรื่อง | 10,000,000 |
8.ผลิตสื่อประชาสัมพันธ์และซื้อสื่อเพื่อเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ | 5,000,000 |
9.อื่นๆ และเงินที่ได้จากการต่อรองราคาลงของกิจกรรม ในช่วงที่ 1-3 | 5,342,334.20 |
รวม | 44,842,334.20 |
แผนงานใหม่ | งบประมาณ (บาท) |
1.ผลิตภาพยนตร์ "ไทยช่วยไทย ร่วมใจประหยัดพลังงาน" เรื่อง "บรรพบุรุษ" | 2,500,000 |
2.ผลิตภาพยนตร์ "ไทยช่วยไทย ร่วมใจประหยัดพลังงาน" เรื่อง บริจาค" | 3,000,000 |
3.ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง "บรรพบุรุษ" | 5,000,000 |
4.ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง "บริจาค" | 5,000,000 |
5.ผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์สำหรับเยาวชน "เพื่อนแก้ว" | 1,000,000 |
6.ซื้อเนื้อที่หนังสือพิมพ์เพื่อจัดทำคอลัมน์สารคดีพลังงาน | 850,000 |
7.ประชาสัมพันธ์รณรงค์กิจกรรมพิเศษวัน "ไทยช่วยไทย ร่วมใจประหยัดพลังงาน" | 5,000,000 |
8.ผลิตและเผยแพร่สารคดีทางโทรทัศน์ชุด "คุยกันให้ชัดเรื่องประหยัดพลังงาน" | 2,480,000 |
9.ผลิตและเผยแพร่สารคดีทางโทรทัศน์ชุด "พลังเกษตร...พลังหาร 2" | 1,000,000 |
10.ผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นทางโทรทัศน์ชุด "คิดก่อนใช้" | 3,000,000 |
11.ที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ | 3,836,000 |
12.จัดการประกวดการออกแบบเครื่องแต่งกายเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน | 1,500,000 |
13.ออกแบบจัดทำรูปเล่มเอกสารเผยแพร่เรื่องพลังงาน สิ่งแวดล้อมและการบริโภค | 198,000 |
14.อื่นๆ เพื่อดำเนินการต่อไป | 10,478,334.20 |
รวม | 44,842,334.20 |
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สพช. ปรับแผนการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2541 ตามที่เสนอ โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2541 รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเติมสารเติมแต่งที่ไม่จำเป็น ที่กำหนดให้มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเบนซิน เพื่อลดค่าใช้จ่ายจากการเติมสารเติมแต่ง การผลิตน้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงกว่ามาตรฐาน และการใช้น้ำมันอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
สพช. ร่วมกับกรมทะเบียนการค้า ได้เริ่มดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนแปลงการใช้น้ำมันเบนซินคุณภาพสูงเกินความจำเป็นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2541 โดยได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ในวงเงิน 10 ล้านบาท แต่เนื่องจากการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และความร่วมมือในการปฏิบัติในทันทีจากประชาชนทั้งประเทศ จำเป็นต้องใช้การประชาสัมพันธ์จากสื่อทุกสื่อ และมีการขยายผลที่มีประสิทธิภาพ จึงใคร่ขอรับการสนับสนุน งบประมาณเพิ่มเติมจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานอีก 20 ล้านบาท
โดยมีกิจกรรมที่จะทำการประชาสัมพันธ์ตามโครงการฯ ดังนี้
ช่วงที่ 1 (กุมภาพันธ์-เมษายน 2541) ให้ประชาชนทราบข้อเท็จจริงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการเลือกใช้น้ำมันเบนซิน
- จัดทำภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์จำนวน 1 เรื่อง มีความยาวไม่ต่ำกว่า 45 วินาที โดยเน้นข้อเท็จจริงในการใช้น้ำมันเบนซินชนิดที่ถูกต้อง
- วางแผน ประสานงาน จัดซื้อสื่อโทรทัศน์ เพื่อเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาออกอากาศในเดือนเมษายนเป็นเวลา 1 เดือน
- จัดทำภาพยนตร์สารคดีหลังข่าวทางโทรทัศน์จำนวน 10 ตอนมีความยาวตอนละไม่ต่ำกว่า 5 นาที เพื่อครอบคลุมข้อเท็จจริงและขัอมูลที่ถูกต้องเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เบนซินให้ถูกประเภท เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง
- จัดทำชิ้นงาน วางแผน ประสานงานจัดซื้อสื่อเผยแพร่ทางสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสารเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด
- จัดทำวางแผน ประสานงานสารคดีวิทยุผ่านเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ 10 ตอน เผยแพร่อย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 1 เดือน
- จัดหาประสานงานเพื่อเชิญตัวแทนของ สพช.หรือผู้ที่ สพช. เห็นสมควรไปร่วมสัมภาษณ์หรือสนทนาผ่านสื่อต่างๆ เช่น ออกรายการทางโทรทัศน์หรือให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุ
ช่วงที่ 2 (พฤษภาคม-มิถุนายน) เป็นการตอกย้ำ และกระตุ้นเตือนให้ลงไปสู่ภาคปฏิบัติ
- จัดทำสติกเกอร์ "ใช้เบนซินให้ถูกชนิด ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ"
- จัดทำโปสเตอร์ แผ่นพับ ให้ความรู้แก่ประชาชนว่ารถยนต์รุ่นไหน ยี่ห้ออะไร มีความต้องการออกเทนเท่าไหร่ และควรเลือกใช้น้ำมันเบนซินประเภทใด
- ขอความร่วมมือจากบริษัทค้าน้ำมันผ่านสถานีบริการต่างๆ กระจาย การเผยแพร่สื่อ สติกเกอร์ โปสเตอร์ แผ่นพับ ทั่วประเทศ
- ประสานงานกับสื่อมวลชนหนังสือพิมพ์เพื่อลงบทสัมภาษณ์หรือบทความพิเศษ เพื่อตอกย้ำน้ำหนักของข่าวสารให้หนักแน่นยิ่งขึ้น อาทิ บทความ สารคดี และการขยายผลรูปแบบต่างๆ
มติที่ประชุม
อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ในปีงบประมาณ 2541 เพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนแปลงการใช้น้ำมันเบนซินคุณภาพสูงเกินความจำเป็น "ใช้เบนซินให้ถูกชนิด ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ" ในวงเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แล้วทำสัญญากับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกได้เลย โดยไม่ต้องนำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อน
เรื่องที่ 6 โครงการแปรรูปมูลฝอยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มูลนิธิชัยพัฒนาได้เสนอโครงการแปรรูปมูลฝอยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือโครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันพฤหัสที่ 5 กุมภาพันธ์ 2541 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้วมีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
โครงการนี้เป็นการสาธิตกระบวนการจัดการมูลฝอย โดยจะแสดงการกำจัดและการแปรรูปมูลฝอยโดยใช้เทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน รวมถึงการผสมผสานเทคโนโลยีให้เกิดกระบวนการจัดการแปรรูปมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดโดยเฉพาะผลที่ได้ในรูปพลังงาน โครงการจะตั้งอยู่บริเวณโรงปุ๋ยหมักเก่ารามอินทราบนพื้นที่ประมาณ 29 ไร่ ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งโครงการฯ จะเตรียมพื้นที่สำหรับรับมูลฝอยและการคัดแยกมูลฝอย โดยมีเครื่องแยกวัสดุและแม่เหล็กแยกโลหะ และจะถูกคัดแยกโดยอาศัยแรงงานคนอีกครั้งหนึ่ง จะได้มูลฝอยรีไซเคิล มูลฝอยอินทรีย์และมูลฝอยเชื้อเพลิง มูลฝอยที่ผ่านการคัดแยกจะเข้าสู่กระบวนการกำจัดในแต่ละกระบวนการ โดยมูลฝอยอินทรีย์จะนำเข้าสู่กระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน ส่วนมูลฝอยเชื้อเพลิงที่ประกอบด้วยเศษกระดาษและพลาสติกผสม จัดเป็นมูลฝอยที่มีค่าความร้อนสูง ก็จะถูกส่งไปสู่กระบวนการเผาโดยผ่านแผงตะกรับ ผลที่ได้จากการเผาไหม้ในช่องเผาแรกนี้ จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ อากาศเสียและเถ้า ควันและอากาศเสียจากการเผาในช่องเผาแรก จะเข้าเคลื่อนตัวเข้าสู่ช่องเผาที่สอง เพื่อการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง อากาศเสียที่เกิดขึ้นจะผ่านการลดอุณหภูมิโดยเครื่องถ่ายเทความร้อน ทำให้อากาศเสียมีอุณหภูมิลดลงได้ตามต้องการ และเคลื่อนตัวเข้าสู่ห้องรวบรวมอากาศเสีย เพื่อกำจัดมลสารก่อนจะระบายออกจากปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศภายนอก ส่วนของเถ้าจะถูกส่งออกเพื่อนำไปฝังกลบ
นอกจากนั้นโครงการฯ ยังสาธิตการฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล โดยการนำมูลฝอยมาเทกองในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ แล้วใช้เครื่องจักรกลเกลี่ยและบดอัดให้ยุบตัวลง แล้วใช้ดินกลบทับและบดให้แน่นอีกครั้ง หลังจากนั้นนำมูลฝอยมาเกลี่ยและบดอัดเป็นชั้นๆ สลับด้วยชั้นดินกลบ เพื่อป้องกันปัญหาในด้านกลิ่น แมลง และน้ำฝนชะล้าง และเหตุรำคาญอื่นๆ กระบวนการฝังกลบมีมาตรการในการป้องกันหรือควบคุมผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น การปูแผ่นพลาสติก กันซึม (Liner) เพื่อกันน้ำชะล้างมูลฝอยซึมลงสู่ชั้นใต้ดิน รวมทั้งกันน้ำใต้ดินซึมเข้าสู่พื้นที่ฝังกลบ การควบคุมก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้น เป็นต้น
โครงการฯ จัดเตรียมพื้นที่รับซื้อวัสดุรีไซเคิล เพื่อนำไปรวมกับวัสดุรีไซเคิลที่สามารถคัดแยกได้จากโครงการ และจะส่งขายต่อไปยังผู้รับซื้อรายใหญ่ ซึ่งจัดเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของโครงการ และการบำบัดน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการภายในโครงการประมาณวันละ 100 ลูกบาศก์เมตร จะถูกสูบเข้าสูระบบบำบัดน้ำเสียแบบเครื่องกรองไร้อากาศและตะกอนเร่ง เพื่อบำบัดให้มีคุณภาพดีก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ หรือนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น ใช้ในระบบหล่อเย็นเตาเผา ระบบย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน ใช้รดน้ำต้นไม้ภายในพื้นที่โครงการ หรือใช้ในห้องสุขภัณฑ์ต่างๆ
ประโยชน์ที่มีต่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมมีดังนี้
- 1. ประโยชน์ที่มีต่อการอนุรักษ์พลังงาน
- การแปรรูปมูลฝอย 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 18,250 ตัน/ปี ด้วยกระบวนการนำวัสดุ ได้แก่ พลาสติก กระดาษ เหล็กและแก้ว กลับมาใช้ใหม่ (Recycle) สามารถประหยัดพลังงานเทียบเท่าปริมาณน้ำมันดิบ ประมาณ 20,934 ตัน คิดมูลค่าการประหยัดพลังงานได้เป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 102,238,150 บาท และสามารถผลิตก๊าซชีวภาพ ประมาณ 1,100,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งสามารถนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 2.5 ล้านหน่วย/ปี คิดมูลค่าเป็นเงินได้ทั้งสิ้นประมาณ 25,760,000 บาท
- 2. ประโยชน์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
- สามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ สำหรับภาคเกษตรกรรม ประมาณ 5,580 ตันต่อปี
- สามารถลดปัญหาน้ำเสียจากมูลฝอย กลิ่น ก๊าซมีเทนจากมูลฝอยและการแพร่เชื้อโรค ซึ่งเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางอ้อมได้อีกด้วย
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้มูลนิธิชัยพัฒนาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแปรรูปมูลฝอยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในวงเงิน 189,420,000 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบเก้าล้านสี่แสนสองหมื่นบาทถ้วน) ตามรายละเอียดแผนงานของโครงการที่ปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 1 ชื่อแฟ้ม "WABIO"
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ มูลนิธิชัยพัฒนา จะต้องเสนอแผนงานและเอกสารเพิ่มเติม ดังนี้
2.1 แผนการประชาสัมพันธ์ทั้งก่อนและหลังการก่อสร้างโครงการฯ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ได้ทราบถึงกิจกรรมต่างๆ และผลที่ได้รับหลังจากการดำเนินโครงการฯ แล้ว
2.2 แผนการประเมินค่าทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อได้ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นตามแผนงานแล้ว เพื่อใช้เป็นแบบอย่างในการประเมินความคุ้มทุนสำหรับโครงการที่มีลักษณะใกล้เคียงกันแต่ดำเนินงานในพื้นที่อื่น
2.3 หนังสือจากกรุงเทพมหานครในการยินยอมให้ใช้พื้นที่เพื่อดำเนินโครงการฯ และยินยอมให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมโครงการฯ ได้ทั้งก่อนและหลังการก่อสร้าง
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันพุธที่ 24 มกราคม 2539 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อดำเนินการตามโครงการส่งเสริมก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2: เกษตรกรรายย่อย โดยอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ในวงเงิน 6,609,400 บาท และอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้การสนับสนุนแก่เกษตรกรผู้ร่วมโครงการ ปริมาตรรวมของบ่อก๊าซชีวภาพ 5,000 ลูกบาศก์เมตร ในวงเงิน 4,043,800 บาท โดยกองทุนฯ จะจ่ายเงินอุดหนุนให้เกษตรกร ในอัตรา 9,500 บาท ต่อการลงทุนสร้างระบบผลิตก๊าซชีวภาพขนาด 12 ลูกบาศก์เมตร ในปีแรก และในอัตรา 9,875 บาท ต่อการลงทุนสร้างระบบผลิตก๊าซชีวภาพขนาด 12 ลูกบาศก์เมตร ในปีที่สอง
การดำเนินโครงการฯ ในระยะแรกมีเจ้าของฟาร์มซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อยประสงค์ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เป็นจำนวนมาก กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้ข้อปรับวิธีจ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้แก่เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ตามอัตรามาตรฐาน ขนาดบ่อ ราคาก่อสร้างและเงินอุดหนุนเกษตรกรฯ ภายในวงเงิน 4,043,800 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนปริมาตรรวมของบ่อก๊าซชีวภาพ การดำเนินโครงการฯ ในระยะเวลา 2 ปี มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เกินกว่าเป้าหมายเดิม คือ เพิ่มจาก 5,000 ม3 เป็น 6,028 ม3 ภายในวงเงินเท่าเดิม โดยสามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้ 610,267 ม3 ทดแทน LPG ได้ 131,221 กก. ทดแทนไม้ฟืนได้ 762,878 กก. และจากการประเมินผลโครงการฯ เบื้องต้น ปรากฏว่าระบบดังกล่าวได้รับความพอใจทั้งในด้านผลตอบแทนจากการลงทุนและความสะดวกในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยประสงค์เข้าร่วมโครงการเกินเป้าหมายที่ได้วางไว้เป็นจำนวนมาก กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้เสนอแผนของโครงการฯ ระยะที่ 2 ขนาดไม่เกิน 100 ม3 ให้ได้ปริมาตรรวมไม่ต่ำกว่า 22,000 ม3 ภายในระยะเวลา 4 ปี 6 เดือน ในวงเงิน 60,671,000 บาท
เลขานุการฯ ได้เสนอโครงการฯ ต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2541 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบในการให้การสนับสนุนโครงการ แต่ได้มีข้อสังเกตุให้กรมส่งเสริมการเกษตรพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร โครงการฯ หมวดค่าตอบแทน ค่าใช้สอยและค่าวัสดุและค่าครุภัณฑ์บางรายการที่ไม่จำเป็นลง ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินการปรับปรุงตามมติของคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอโครงการฯ ต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรับรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 เกษตรกรรายย่อย ระยะที่ 2 โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรึกษากับสำนักงบประมาณเพื่อขอความเห็นในการจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายของโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
เลขานุการฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า จากการที่สภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในช่วงของการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง เอกชนซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานหรืออาคารจึงได้ชะลอการลงทุนและการดำเนินงานในการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน จึงเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานที่วางไว้ จึงได้เสนอแนวทางในการใช้เงินจากเงินกองทุนฯ เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้เอกชนที่ประสงค์จะลงทุนทางด้านการอนุรักษ์พลังงานกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยดำเนินการควบคู่ไปกับแนวทางการให้เงินอุดหนุนจากกองทุนฯ ที่ได้ดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงานอยู่ก่อนแล้ว โดยให้ผู้ที่สนใจที่จะลงทุน เลือกแนวทางการรับการสนับสนุนอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ จะขอรับการสนับสนุนเป็นเงินอุดหนุนหรือเงินทุนหมุนเวียนก็ได้ โดยการให้การสนับสนุนตามวิธีการให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำ แต่จะต้องไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการให้การสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากแนวทางเดิม และหากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากแนวทางเดิม ผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับภาระในค่าใช้จ่ายนั้นเอง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า เห็นควรเร่งรัดให้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน และเนื่องจากสภาพวิกฤตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเห็นสมควรที่จะนำเงินกองทุนฯ มาใช้ในลักษณะเงินทุนหมุนเวียนให้กับโครงการต่างๆ ของภาคเอกชนกู้โดยไม่มีดอกเบี้ย และให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นผู้บริหารเงินทุนหมุนเวียน โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้
1) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ประธานคณะอนุกรรมการ
2) ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม อนุกรรมการ
3) รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม อนุกรรมการ
4) เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ อนุกรรมการ
5) อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน อนุกรรมการ
6) ผู้แทนกรมบัญชีกลาง อนุกรรมการ
7) ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด อนุกรรมการ
8) ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่าผลิตแห่งประเทศไทย อนุกรรมการ
9) ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม อนุกรรมการ
10)-12) ผู้ทรงคุณวุฒิ อนุกรรมการ
13) ผู้อำนวยการสำนักกำกับและอนุรักษ์พลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
14) ผู้อำนวยการส่วนกำกับการอนุรักษ์พลังงาน อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการของแนวทาง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้การสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำร่างระเบียบหลักเกณฑ์ฯ เสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ลงนาม เพื่อประกาศใช้เป็นระเบียบต่อไป
2. เห็นชอบในหลักการให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ แทนการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเงินทุนหมุนเวียนฯ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรึกษาหารือกับผู้แทนกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เกี่ยวกับการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ และเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในโอกาสต่อไป
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือถึงกรมสรรพสามิตขอให้พิจารณาอนุมัติให้คืนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 1,410,003.92 บาท และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 3,290,009.14 บาท สำหรับน้ำมันเตาที่ผลิตได้ และนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในขบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ในช่วงเดือนมิถุนายน 2538 ถึงเดือนกันยายน 2539 ซึ่งกรมสรรพสามิตได้อนุมัติให้ยกเว้นภาษี และคืนเงินภาษีให้แก่บริษัทฯ ในส่วนที่ชำระไว้แล้ว จำนวนเงิน 26,915,152.31 บาท ตามประกาศกรมสรรพสามิตเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอยกเว้นภาษีน้ำมันเตาและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ผลิตได้และนำไปใช้ในกระบวนการผลิตภายในโรงงานอุตสาหกรรม ลงวันที่ 1 มกราคม 2535
กรมสรรพสามิต ได้มีหนังสือถึง สพช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ของคณะกรรมการฯ ที่ดูแลกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณาคำขอคืนเงินของบริษัทฯ ที่ถูกเก็บเข้ากองทุนทั้งสอง
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การคืนเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนฯ ที่จะเป็นผู้พิจารณา โดยฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า ตาม พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 กำหนดให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ซึ่งน้ำมันเตาที่ใช้ในขบวนการผลิตในโรงงานของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมิกัลไทย จำกัด (มหาชน) เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในราชอาณาจักร ดังนั้นจึงต้องมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ซึ่ง พรบ.ฯ ไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการพิจารณายกเว้นหรือผ่อนผันการส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าข่ายให้ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
มติที่ประชุม
ไม่ยกเว้นหรือผ่อนผันการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากน้ำมันเตาที่ใช้ในขบวนการผลิตในโรงงานของบริษัทฯ เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในราชอาณาจักร บริษัทฯ จึงต้องมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
เรื่องที่ 10 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ
เลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2537 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2537 ได้มีมติเห็นชอบในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 4 ชุด เพื่อกลั่นกรองงานก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุด สามารถอนุมัติเงินได้ในวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท/ราย คณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวมีดังนี้
1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีหน้าที่กลั่นกรองงานเกี่ยวกับแผนงานภาคบังคับ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ยกเว้นโครงการอาคารของรัฐ โดยมีอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เป็นประธาน และ พพ. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
2) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ มีหน้าที่กลั่นกรองงานเกี่ยวกับโครงการอาคารของรัฐ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เป็นประธาน และ พพ. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
3) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ มีหน้าที่กลั่นกรองงานเกี่ยวกับแผนงานภาคความร่วมมือ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมี ดร.จรวย บุญยุบล เป็นประธาน และ สพช. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
4) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน มีหน้าที่กลั่นกรองงานเกี่ยวกับแผนงานสนับสนุน ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นประธาน และ สพช. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
ประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ (นายจรวย บุญยุบล) ได้มีหนังสือที่ กก.0042/2541 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2541 ขอลาออกจากคณะอนุกรรมการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไป
เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการแผนงานภาคความร่วมมือ สามารถดำเนินงานต่อไป ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ เป็นดังนี้
1. | เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | ประธานอนุกรรมการ |
2. | ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการ |
3. | ผู้แทนกรมบัญชีกลาง | อนุกรรมการ |
4. | ผู้แทนศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
5. | ผู้อำนวยการสำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
6. | นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
7. | นายกฤษณพงษ์ กีรติกร | อนุกรรมการ |
8. | ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | อนุกรรมการและเลขานุการ |
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้มีผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นอนุกรรมการฯ ด้วย
- คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุน
- การใช้จ่ายเงินกองทุน
- การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน
- ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงาน
- โครงการประชาสัมพันธ์
- การอนุรักษ์พลังงาน
- น้ำมัน
- น้ำมันเบนซิน
- โครงการแปรรูปมูลฝอย
- โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ
- การสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย
- การขอคืนเงินส่งเข้ากองทุน
- การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการ
กอ. ครั้งที่ 20 - วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2543
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 20)
วันจันทน์ที่ 7 สิงหาคม 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
2. แผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544
3. โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน
4. โครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า
5. โครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1
6. การขอรับการสนับสนุนโครงการระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้างของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
7. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
8. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
9. รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
10. รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
11. การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2543
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) แทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ สพช. บก. และ พพ. ในปีงบประมาณ 2543 - 2547 เป็นวงเงินรวม 3,229.31 ล้านบาท
ดังนั้นเพื่อให้ สพช. บก. และ พพ. สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2544 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2544 ในโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 702,679,418 บาท ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนได้พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2544 ของทั้ง 3 หน่วยงาน โดยให้สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมายปี 2544
หน่วย : บาท
สพช. | บก. | พพ. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 3,542,400 | 467,040 | 23,859,600 | 27,869,040 |
2. ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ | 10,643,320 | 179,280 | 30,647,488 | 41,470,088 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 4,360,000 | - | 5,372,440 | 9,732,440 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง | 3,125,000 | - | 15,496,850 | 18,621,850 |
5. รายจ่ายอื่น | 121,735,000 | - | 483,251,000 | 604,986,000 |
รวม | 143,405,720 | 646,320 | 558,627,378 | 702,679,418 |
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอนำงบประมาณรายจ่ายของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. บก. และ พพ. ในปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
1. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
1) อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 143,405,720 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบสามล้านสี่แสนห้าพันเจ็ดร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2) ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3) ก่อนการใช้จ่ายเงินหมวดรายจ่ายอื่น เพื่อจ้างที่ปรึกษาอื่นๆ ที่ สพช. ได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษา ตามที่ สพช. ขออนุมัติวงเงินไว้ 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) นั้น ให้ สพช. เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติเป็นรายการๆ ไป
4) ให้ สพช. และ พพ. ร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางบริหารงานด้านบัญชี การเงิน พัสดุและงบประมาณของกองทุนฯ โดยใช้ผลการประเมินด้านการบริหารงานกองทุนฯ ที่คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานกำลังดำเนินงานอยู่ มาพิจารณาด้วย และให้ สพช. เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในโอกาสต่อต่อไป
5) ให้ สพช. ทำหนังสือชี้แจงต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถึงเหตุผลและความจำเป็นในการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านบัญชี การเงิน พัสดุและงบประมาณของกองทุนฯ
2. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
1) อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 558,627,378 บาท (ห้าร้อยห้าสิบแปดล้านหกแสนสองหมื่นเจ็ดพันสามร้อยเจ็ดสิบแปดบาทถ้วน)
2) ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3) ให้ พพ. และ สพช. ร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางบริหารงานด้านบัญชี การเงิน พัสดุและงบประมาณของกองทุนฯ โดยใช้ผลการประเมินด้านการบริหารงานกองทุนฯ ที่คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานกำลังดำเนินงานอยู่ มาพิจารณาด้วย และให้ สพช. เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในโอกาสต่อต่อไป
3. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ บก.
อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ บก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 646,320 บาท (หกแสนสี่หมื่นหกพันสามร้อยยี่สิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ สพช. บก.และ พพ. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2544 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543
เรื่องที่ 2 แผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ปี 2543-2547 ส่วนของโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2544 ในวงเงิน 343 ล้านบาท และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาการปรับแผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544 โดยให้เพิ่มงบประมาณ จากเดิม 343 ล้านบาท เป็น 481 ล้านบาท โดยงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเป็นการโอนงบประมาณที่ใช้ไม่ทันในปี 2543 มาใช้ในปี 2544 และเป็นงบที่สนับสนุนกิจกรรมเพิ่มเติมตามความต้องการของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมการศึกษานอกโรงเรียน และ สพช. เป็นต้น
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาแผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
กิจกรรม | งบประมาณเดิม (ล้านบาท) | งบประมาณใหม่ (ล้านบาท) | องค์กรที่สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ |
1. การพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน แบบเรียน คู่มือและเครื่องมือที่ใช้ประกอบการทำงาน | 190 | 313 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ |
2. การฝึกอบรมบุคลาการระยะสั้นในประเทศ | 63 | 63 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่ไม่มุ่งค้ากำไร |
3. การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 5 | 5 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ |
4. การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ และสถาบันการศึกษา | ||
-ในประเทศ -ต่างประเทศ |
50 | 50 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่ไม่มุ่งค้ากำไร |
5. การให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 30 | 40 | สถาบันการศึกษา รัฐ/เอกชน |
6. อื่นๆ | 5 | 5 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ |
รวม | 343 | 481 |
มติที่ประชุม
อนุมัติแผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544 เพื่อให้ สพช. ใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้การสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 481 ล้านบาท (สี่ร้อยแปดสิบเอ็ดล้านบาท)
เรื่องที่ 3 โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เสนอโดยสำนักวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และมีมติให้ กฟผ. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้มีความชัดเจนในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) กฟผ. ควรดำเนินโครงการฯ ทีละส่วน โดยเริ่มโครงการแม่ฮ่องสอน 2 ที่มีขนาด 500 kW ก่อน ในระยะที่ 1 เพื่อดูผลการทำงานในสภาพจริง และตรวจสอบสมมติฐานต่างๆ เปรียบเทียบกับผล ที่คาดว่าจะได้รับ เสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาก่อนอนุมัติให้ดำเนินโครงการฯ ต่อไป
2) ให้มีการตรวจวัดความเข้มรังสีแสงอาทิตย์ ณ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ควบคู่ไปกับการดำเนินงานระยะที่ 1
3) ข้อมูลรังสีแสงอาทิตย์ของแม่ฮ่องสอนที่ กฟผ. นำมาใช้อ้างอิงนั้น เป็นข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยังไม่ได้มีการสอบเทียบกับข้อมูลที่วัดทางภาพพื้นดิน และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่อง Critical Input ดังนั้น กฟผ. จึงควรเผื่อค่าความไม่แน่นอนของข้อมูลไว้ด้วยประมาณ 7%
4) ปรับปรุงวิธีเสนอการคำนวณผลวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ในข้อเสนอโครงการฯ ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยให้ผู้เชี่ยวชาญผู้วิเคราะห์โครงการฯ ให้ความเห็นอีกครั้ง
5) เปรียบเทียบการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้ากับเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะความคุ้มค่าของเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์กับเทคโนโลยีอื่นๆ
6) แสดงรายละเอียดของส่วนประกอบของระบบผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ และควรเขียนแสดงเป็น Block diagram และอธิบายถึงหน้าที่และขั้นตอนที่ใช้งานในระบบฯ ด้วย
7) เพิ่มแผนงานการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่โครงการฯ ก่อนเริ่มต้นทำงาน เพื่อป้องกันปัญหาการไม่ยอมรับโครงการฯ ที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
8) เมื่อ กฟผ. ดำเนินการตามข้อ 1)-7)ได้ครบถ้วนแล้ว กฟผ. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ของอนุกรรมการฯ ด้วยอีก 6 ข้อ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานงานกับ กฟผ. เพื่อปรับแผนงานตามมติของคณะอนุกรรมการฯ และ กฟผ. ได้มีหนังสือที่ กฟผ.B3403/32940 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2543 เพื่อแจ้งผลการพิจารณาปรับแผนฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1) กฟผ. ได้ปรับแผนงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40)
2) กฟผ. ได้ปรับปรุงวิธีคำนวณค่าผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ โดยปรึกษากับ ผศ.ดร.ศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ และสรุปว่าค่าผลตอบแทนจากโครงการฯ จะเป็นดังนี้
กรณีที่ | พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ (kWh/kWp/Yr) |
EIRR | IRR |
1 | 1,300 | 6.83% | 5.13% |
2 | 1,400 | 7.58% | 6.01% |
3 | 1,500 | 8.30% | 6.85% |
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วเห็นว่า กฟผ. ได้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ได้มีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุน กฟผ. ดำเนินโครงการในลักษณะสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในวงเงิน 753,068,006 บาท (เจ็ดร้อยห้าสิบสามล้านหกหมื่นแปดพันหกบาทถ้วน)
2. กฟผ. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ให้ กฟผ. เริ่มโครงการแม่ฮ่องสอน 2 ที่มีขนาด 500 kW ก่อน ในระยะที่ 1
2) ให้ กฟผ. รายงานผลการทำงานในสภาพจริง ข้อมูลรังสีแสงอาทิตย์ของแม่ฮ่องสอนที่วัดได้จริงในช่วงการดำเนินงานระยะที่ 1 โดยเปรียบเทียบกับผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ทั้งทางด้านเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ เพื่อเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาก่อนอนุมัติให้ดำเนินโครงการฯ ต่อไป
3) ให้ กฟผ. ศึกษาแนวทางหรือโอกาสที่จะใช้วัสดุอุปกรณ์ภายในประเทศในโครงการฯ ระยะที่ 2 และหากข้อเสนอดังกล่าวจำเป็นต้องให้ผู้ประกอบการในประเทศต้องมีการพัฒนาในด้านใด กฟผ. ควรจะมีการเตรียมแผนฯ ไว้ให้ล่วงหน้าด้วย
4) ให้ กฟผ. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้มีความชัดเจนในเรื่องแผนการดำเนินงานตามที่ได้แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ทั้งในเรื่องขั้นตอน ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
3. หาก กฟผ. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว กฟผ. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) ด้วย
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ กฟผ. เสนอมา โดยให้เริ่มโครงการแม่ฮ่องสอน 2 ที่มีขนาด 500 kW ก่อน ในระยะที่ 1 และให้ กฟผ. จำแนกค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่ 1 ให้ชัดเจน และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. ให้ กฟผ. รายงานผลการทำงานในสภาพจริง ข้อมูลรังสีแสงอาทิตย์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ได้วัดจริงในช่วงการดำเนินงานระยะที่ 1 โดยเปรียบเทียบกับผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ทั้งด้านเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ เพื่อเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาก่อนอนุมัติให้ดำเนินโครงการฯ ระยะต่อไป
เรื่องที่ 4 โครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า ที่เสนอโดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และมีมติให้ กฟน. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้มีความชัดเจนในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) เนื่องจากโครงการนี้มีผลตอบแทนด้านการเงินต่ำมาก กฟน. ควรทำการเปรียบเทียบการคำนวณผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์และการเงินของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในแต่ละกลุ่ม ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์ Capacitor ตามแนวทางที่ กฟน. เสนอมา กับการติดตั้งที่อุปกรณ์ไฟฟ้าหลัก เช่น มอเตอร์ ซึ่งคาดได้ว่าการติดตั้งที่อุปกรณ์ไฟฟ้าหลักจะให้ผลตอบแทนแก่ผู้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น
2) กฟน. ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนร่วมกับกองทุนฯ และผู้ใช้ไฟฟ้าด้วย
3) กฟน. ควรกำหนดเป้าหมายจำนวน Capacitor ที่จะดำเนินการติดตั้งในแต่ละช่วงเวลาของการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการสรรหาผู้ใช้ไฟฟ้าเข้าร่วมในโครงการฯ ให้ได้ครบตามเป้าหมายของโครงการฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
4) พิจารณากำหนดแนวทางในการติดตั้งอุปกรณ์ Capacitor โดยให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ สามารถตัดสินใจในการซื้ออุปกรณ์ฯ ได้เองในราคาที่ยุติธรรมและได้รับอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ตลอดจนทำให้เกิดการแข่งขันตามกลไกการตลาดที่เป็นกลาง
5) ระบุแผนการประเมินผลให้ชัดเจน ข้อมูลที่จะจัดเก็บ วิธีการจัดเก็บ วิธีการประเมินผล และระบุให้ชัดเจนถึงขอบเขตความรับผิดชอบในการประเมินผลระหว่าง กฟน. และบริษัทที่ปรึกษาฯ พร้อมทั้งกำหนดดัชนีชี้วัดที่จะใช้ในการประเมินผลความสำเร็จของโครงการฯ ด้วย
6) เมื่อ กฟน. ดำเนินการตามข้อ 1)-5) ได้ครบถ้วนแล้ว กฟน. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ของคณะอนุกรรมการฯ ด้วยอีก 6 ข้อ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานงานกับ กฟน. เพื่อปรับแผนตามมติของคณะอนุกรรมการฯ และ กฟน. ได้มีหนังสือที่ มท 5226/2.256/43 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2543 เพื่อแจ้งการปรับแผนดังกล่าวแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2543 ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า กฟน. ดำเนินการปรับปรุงในประเด็นหลักครบถ้วนแล้ว จึงเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ แต่เนื่องจาก กฟน. มีประสบการณ์สูงและชำนาญการในเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่แล้ว ที่ประชุมจึงเห็นควรตัดวงเงินที่ กฟน. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ออก จำนวน 10 ล้านบาท โดยที่ประชุมได้มีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดำเนินโครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า ภายในวงเงิน 150,286,000 บาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านสองแสนแปดหมื่นหกพันบาทถ้วน)
2. กฟน. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ให้ตัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ออก
2) ปรับปรุงรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับวงเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
3) เพิ่มเติมรายละเอียด วิธีการ ขั้นตอนการสนับสนุนเงินกู้แก่ผู้ร่วมโครงการของ กฟน. โดยระบุให้ชัดเจนถึงเงื่อนไขในการให้กู้ เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติ ระยะเวลาการผ่อนชำระเงิน และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
3. หาก กฟน. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว กฟน. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) ด้วย
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ ต่อไป
กฟน. ได้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดย กฟน. จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 149,087,000 บาท ประกอบด้วย
รายการ | เดิม (บาท) | ใหม่ (บาท) |
1. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุน | 160,286,000 | 149,087,000 |
1.1 ค่าบริหารโครงการ | 11,920,000 | 721,000 |
- ค่าที่ปรึกษา |
10,000,000 |
- |
1.2 ค่าติดตั้ง Capacitor | 148,366,000 | 148,366,000 |
2. การไฟฟ้านครหลวง | 126,549,000 | 126,549,000 |
ค่าบริหาร -ค่าบริหารโครงการ |
75,120,000 |
75,120,000 |
3. ผู้ใช้ไฟฟ้า (ค่าติดตั้ง Capacitor) | 327,495,000 | 327,495,000 |
รวม | 614,330,000 | 603,131,000 |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า ภายในวงเงิน 149,087,000 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าล้านแปดหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน)
2. ให้ กฟน. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ให้ตัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ออก
2) ปรับปรุงรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับวงเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
3) เพิ่มเติมรายละเอียด วิธีการ ขั้นตอนการสนับสนุนเงินกู้แก่ผู้ร่วมโครงการของ กฟน. โดยระบุให้ชัดเจนถึงเงื่อนไขในการให้กู้ เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติ ระยะเวลาการผ่อนชำระเงิน และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
3. หาก กฟน. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว กฟน. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) ด้วย
เรื่องที่ 5 โครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 แล้ว เห็นชอบในหลักการและมีมติให้ นายกุมโชค ใบแย้ม ดร.เทียนไชย จงพีร์เพียร และ รศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ เป็นที่ปรึกษาร่วมวิเคราะห์โครงการฯ โดยให้ สพช. ทำแผนโดยละเอียดของโครงการฯ ก่อนให้ที่ปรึกษาวิเคราะห์
สพช. ได้จัดทำแผนของโครงการโดยละเอียดของโครงการฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยได้ปรับลดวงเงินที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ลงจาก 180 ล้านบาท คงเหลือเพียง 135 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากได้ลดจำนวนวันทำงานของที่ปรึกษาต่างประเทศในด้าน Market Rules ที่มีค่าจ้างสูงนั้นลง และเพิ่มบุคลากรของไทยให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ด้วย เพื่อเป็นการเรียนรู้งานและถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้มากขึ้น โดยมีผลการวิเคราะห์โครงการฯ ของที่ปรึกษาฯ และฝ่ายเลขานุการฯ สรุปคะแนนรวมอยู่ในเกณฑ์สูง และการพิจารณาด้านความเสี่ยงทั้งในด้านเทคโนโลยี การดำเนินการ และองค์กรการบริหาร อยู่ในเกณฑ์ระดับต่ำ และฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 41) ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 ที่เสนอโดย สพช. ในวงเงิน 135,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านบาทถ้วน)
2. เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาในโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
3. สพช. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) เพิ่มเติมรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาแต่ละรายการ
2) ไม่ควรกำหนดคุณสมบัติเฉพาะของที่ปรึกษาว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานในกิจการไฟฟ้าของประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญรายอื่นมีสิทธิในการยื่นข้อเสนอด้วย
3) เพิ่มเติมเกณฑ์ในการพิจารณาประเมินข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาแต่ละราย
4) เพิ่มเติมแนวทางในการประสานการดำเนินงานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อให้การไฟฟ้าทั้ง 3 ฝ่ายได้รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินการศึกษา ทั้ง 3 รายการดังกล่าว
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 ในวงเงิน 135,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ สพช. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาในโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เนื่องจากประธานมีภารกิจเร่งด่วนจึงทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมต่อไปได้ ประธานจึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ ) ทำหน้าที่เป็นประธานฯ ในการประชุมแทน
เรื่องที่ 6 การขอรับการสนับสนุนโครงการระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้างของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 8/2542 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2542 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ในระหว่างการออกแบบและก่อสร้าง ให้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ในวงเงิน 861,451 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้างและลงทุนการอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ สำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ มก. ทราบเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2543
มก. ได้มีหนังสือที่ ทม 0410/01861 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 เพื่อแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนกับ พพ. พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลว่าในระหว่างที่รอการพิจารณาการอนุมัติเงินสนับสนุนโครงการฯ นั้น มก. ไม่มีสถานที่เรียนเพียงพอและมีความจำเป็นต้องใช้อาคารดังกล่าวเพื่อการเรียนการสอนให้ทันกับช่วงเปิดภาคการศึกษา มก. จึงได้นำเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยฯ ทดรองจ่ายไปในการปรับปรุงแบบฯ และลงทุนตามแบบฯ ก่อนที่คณะอนุกรรมการฯ จะอนุมัติให้เงินสนับสนุน โดย มก. คิดว่าหากได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว ก็จะนำเงินดังกล่าวส่งคืนให้กับมหาวิทยาลัยฯ
ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบไว้แล้วในการประชุม ครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ในส่วนของโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ในระหว่างการออกแบบและก่อสร้าง และหลักเกณฑ์ที่จะให้การสนับสนุน ดังนี้
1) เงินช่วยเหลือให้เปล่าในการปรับปรุงแบบ แต่ทั้งนี้ไม่เกินรายละ 2,000,000 บาท โดยจ่ายเมื่อได้มีการปรับปรุงแบบฯ เสร็จแล้วและมีคุณภาพเป็นที่พอใจของ พพ.
2) เงินอุดหนุนในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นตามแบบฯ ที่ปรับปรุงจากแบบเดิม โดยมีหลักเกณฑ์ในการให้การสนับสนุน โดยแบ่งการจ่ายเงินสนับสนุนการลงทุนเป็น 3 งวด คือ
งวดที่ 1 จ่ายเมื่อมีการนำส่งเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือวัสดุ 30% ของเงินอุดหนุนฯ
งวดที่ 2 จ่ายเมื่อมีการติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือวัสดุ 40% ของเงินอุดหนุนฯ
งวดที่ 3 จ่ายเมื่อพ้นระยะทดลองการใช้งานฯ แล้ว 30% ของเงินอุดหนุนฯ
การที่ มก. ดำเนินการไปก่อนที่จะได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นการดำเนินการผิดขั้นตอนและส่งผลให้เกิดปัญหาเบิกจ่ายเงินสนับสนุนแต่ละงวดที่กำหนดในหลักเกณฑ์ของกองทุนฯ ด้วย เพราะ พพ. ไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบก่อนเบิกจ่ายเงินเป็นงวดๆ ได้ตามขั้นตอนปกติ พพ. จึงได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 11) เพื่อพิจารณา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วได้มีมติ ดังนี้
1. อนุมัติให้ มก. ดำเนินการลงทุนและติดตั้งอุปกรณ์ก่อนได้รับการพิจารณาอนุมัติ
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 ให้แก่ มก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้างและลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ สำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์ ในวงเงิน 861,451 บาท (แปดแสนหกหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) ตามที่ มก. ได้ดำเนินการลงทุนฯ และติดตั้งอุปกรณ์ไปแล้วก่อนได้รับการอนุมัติโครงการฯ
3. ให้ พพ. จ่ายเงินสนับสนุนดังกล่าว ให้แก่ มก. งวดเดียว เมื่อ พพ. ได้ตรวจสอบภายหลังระยะเวลาทดลองการใช้งานของอุปกรณ์แล้วได้ผลการอนุรักษ์พลังงานตามข้อเสนอโครงการฯ
มติที่ประชุม
1. รับทราบที่ มก. ได้ดำเนินการปรับปรุงแบบก่อสร้างสำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และลงทุนการอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ก่อนได้รับการพิจารณาอนุมัติสนับสนุนโครงการฯ จากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
2. เห็นชอบให้ พพ. เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 ให้ มก. ในวงเงิน 861,451 บาท (แปดแสนหกหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้างและลงทุนอนุรักษ์พลังงาน ตามแบบฯ สำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์
3. เห็นชอบให้ พพ. จ่ายเงินสนับสนุนฯ ตามข้อ 2 ให้ มก. ในงวดเดียว หลังจากที่ พพ. ได้เห็นชอบในรายงานผลตรวจสอบการใช้งานของอุปกรณ์ที่ มก. ได้ลงทุนติดตั้งตามแบบดังกล่าวแล้ว
4. ให้ พพ. กำหนดมาตรการหรือเงื่อนไข เพื่อป้องกันมิให้มีการดำเนินการโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ดำเนินการไปก่อนที่จะได้รับการอนุมัติ
เรื่องที่ 7 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2543 ว่ามียอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 14,347,638,202.16 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุน โครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2542 จนถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2543
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 9 รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้คัดเลือกให้ บริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด เป็นผู้ดำเนินการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริษัทฯ ได้จัดทำ TOR เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดจ้างหน่วยงานหรือองค์กรเอกชนที่เป็นอิสระหรือเป็นกลางให้เป็นผู้ทำการประเมินผลโครงการย่อยของแต่ละโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวมประมาณ 33,400,000 บาท (สามสิบสามล้านสี่แสนบาทถ้วน) โดยคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2543 ได้เห็นชอบและมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการสรรหา ผู้ประเมินฯ ตามระเบียบราชการต่อไป
จากนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ศ.อัมมาร สยามวาลา ได้มีหนังสือที่ DS/2000/20 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2543 เพื่อขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ เนื่องจากมีภารกิจมาก ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในคณะอนุกรรมการฯ ได้เต็มที่ ซึ่งประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้รับทราบและมอบหมายให้ สพช. พิจารณาสรรหาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มาเป็นอนุกรรมการฯ แทนด้วย โดยขณะนี้ สพช. กำลังสรรหาผู้ที่เหมาะสมและเมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว จะได้นำเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง และจะรายงานที่ประชุมเพื่อทราบต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 10 รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จ้าง AEA Technology plc ผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักร ให้มาดำเนินการศึกษาและวางแผน กำหนดรูปแบบวิธีการประกาศเชิญชวนและหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอที่เหมาะสมของ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ สำหรับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยคาดว่าจะออกประกาศเชิญชวนได้ภายในเดือนกันยายน 2543 โดยให้ผู้สนใจลงทุนยื่นข้อเสนอภายใน 3 เดือน และจะประกาศผลการคัดเลือกเสร็จสิ้นได้ภายในเดือนมีนาคม 2544
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 38) เมื่อวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องการจัดทำประกาศเกี่ยวกับโครงการฯ โดยมีข้อความที่ชัดเจนในเรื่องสิทธิของการเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเมื่อ สพช. ออกประกาศเชิญชวนแล้ว ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ที่ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟกับการไฟฟ้าฯ ไว้ก่อนหน้าวันที่ออกประกาศฉบับนี้ ไม่มีสิทธิในการเข้าร่วมโครงการฯ ครั้งนี้ นอกเสียจากว่าจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิม และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้ สพช. ออกประกาศเชิญชวนและคัดเลือกข้อเสนอภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และให้ สพช. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบด้วย
2. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อเสนอร่างประกาศเชิญชวนและจัดทำแนวทางและหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอของผู้สนใจลงทุน รวมถึงดำเนินการคัดเลือกข้อเสนอดังกล่าวเพื่อเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยคณะทำงานประกอบด้วย ผู้แทนกองการไฟฟ้า และผู้แทนกองอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน จาก สพช. ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ผู้แทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3 ท่าน โดยให้ สพช. จัดทำคำสั่งแต่งตั้งและเสนอประธานคณะอนุกรรมการฯ เป็นผู้ลงนามในคำสั่ง และเสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
ประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้ลงนามในคำสั่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ที่ 1/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และ สพช. ได้เสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบแล้ว และ สพช. ได้จัดทำประกาศเชิญชวนและคัดเลือกข้อเสนอภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบแล้ว และได้แจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 11 การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2543
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามมติของ กพช. ในมาตรการประหยัดน้ำมันดังกล่าว ในส่วนที่ได้มีการดำเนินงานไปแล้วดังนี้
1. การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME
1.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้อนุมัติเงินให้การสนับสนุน 3 หน่วยงาน ไปดำเนินโครงการนำร่องเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง ได้แก่
(1) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ใช้เทคนิค Value Engineering เป็นมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งสภาฯ จะทำโครงการนำร่องก่อน 35 โรงงาน คาดว่าโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนธันวาคม 2543
(2) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) จะใช้วิธีเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพพลังงาน โดย พพ. จะดำเนินโครงการนำร่องก่อน จำนวน 20 โรงงาน ด้วยการสนับสนุนจะให้เงินช่วยเหลือเท่ากับ 30% ของราคามาตรฐานของ วัสดุ อุปกรณ์ที่โรงงานต้องการคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนมิถุนายน 2544
(3) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ซึ่งจะดำเนินงานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในลักษณะการตรวจสอบการใช้พลังงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในโรงงาน โดยมีเป้าหมายจะทำโครงการนำร่องไว้ 100 ราย คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนสิงหาคม 2544
1.2 กสอ. ได้มีหนังสือที่ อก 0615/1265 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามมติ กพช. จำนวน 3 โครงการ เป็นวงเงินรวม 258,447,440 บาท (สองร้อยห้าสิบแปดล้านสี่แสนสี่หมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน) ประกอบด้วย
(1) โครงการลดต้นทุนอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อม และสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SME- ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) ขอรับการสนับสนุน 66,000,000 บาท (หกสิบหกล้านบาทถ้วน)
(2) โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหาร การจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขอรับการสนับสนุน 141,269,440 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ดล้านสองแสนหกหมื่นเก้าพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน)
(3) โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขอรับการสนับสนุน 51,178,000 บาท (ห้าสิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นแปดพันบาทถ้วน)
1.3 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้มีหนังสือที่ อก 0143/4761 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามมติ กพช. จำนวน 2 โครงการ เป็นวงเงินรวม 460,000,000 บาท (สี่ร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน) ประกอบด้วย
(1) โครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม ขอรับการสนับสนุน 300,000,000 ล้านบาท (สามร้อยล้านบาทถ้วน)
(2) โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อนำพลังงานที่เหลือทิ้งมาใช้ประโยชน์ในโรงงานอุตสาหกรรม ขอรับการสนับสนุน 160,000,000 ล้านบาท (หนึ่งร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน)
เมื่อ สพช. ได้รับข้อเสนอทั้ง 5 โครงการ จากทั้ง 2 หน่วยงานในสังกัดของกระทรวง อุตสาหกรรมแล้ว สพช. ได้เร่งดำเนินการพิจารณานำข้อเสนอโครงการเบื้องต้นเข้าสู่การพิจารณาของ คณะผู้เชี่ยวชาญกลั่นกรองโครงการแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 แต่เนื่องจากคณะผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถพิจารณาได้ทัน จึงได้เลื่อนการพิจารณาเป็นการประชุมครั้งต่อไปประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 แต่ที่ประชุมได้ให้ความเห็นไว้ในเบื้องต้น ดังนี้
(1) โครงการลดต้นทุนอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อม และสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SME- ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) และโครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อนำพลังงานที่เหลือทิ้งมาใช้ประโยชน์ในโรงงานอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เสนอเข้ามามีความซ้ำซ้อนกันและมีลักษณะเดียวกับ โครงการลดต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ที่ กสอ. ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และกำลังเริ่มดำเนินงานอยู่ ดังนั้นเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการทำงานและอาจก่อให้เกิดความสับสนต่อผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ สพช. จึงได้แจ้งให้ ผู้รับผิดชอบโครงการของทั้งสองหน่วยงานให้มีการประสานงานและร่วมกันพิจารณาในแนวทางดำเนินงานให้ชัดเจนก่อน แล้วจัดทำข้อเสนอมายัง สพช. ใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานได้มีการประชุมร่วมกันแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
(2) สพช. จะได้นำข้อเสนอโครงการเบื้องต้นของทั้งสองหน่วยงานเข้าสู่การพิจารณาของคณะผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง ในการประชุมประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 และ สพช. จะได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯพิจารณา ตามขั้นตอนต่อไป
สพช. ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานสนับสนุนโครงการภายใต้สังกัดกระทรวง อุตสาหกรรมตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นดังกล่าว เสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบไว้ชั้นหนึ่งแล้ว
2. โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดพลังงาน
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดพลังงานไปแล้ว จะสามารถเริ่มโครงการได้ประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะตั้งศูนย์บริการตามสถานที่ราชการเพื่อให้บริการ Tune-up แก่รถยนต์ของส่วนราชการ รวมทั้งตั้งศูนย์บริการ Tune-up ให้แก่ประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก คาดว่าจะสามารถ Tune-up แก่รถยนต์ได้ประมาณ 17,000 คัน ในระยะเวลา 6 เดือน โดยใช้งบประมาณ 7,518,600 บาท
ปตท. ได้ยื่นข้อเสนอโครงการระยะที่ 2 ซึ่งจะสามารถขยายการให้บริการ Tune-up ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด คาดว่าจะสามารถ Tune-up รถยนต์ได้ประมาณ 49,000 คัน ในระยะเวลา 3 ปี โดยใช้งบประมาณ 24,323,000 บาท
3. โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด
กรมควบคุมมลพิษ ได้มีหนังสือด่วน ที่ วว 0303/4684 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามมติ กพช. ในโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทางไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยกรมควบคุมมลพิษ จะร่วมกับและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเป็นระบบรถไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Buses) ซึ่ง สพช. จะได้เร่งพิจารณาแผนเบื้องต้นของโครงการฯ และนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 3/2537 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ลงวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2537 และคำสั่งที่ 1/2541 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ลงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2541โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 2 คณะ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการ สพช. ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 อันเป็นผลให้พ้นจากตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ แต่เนื่องจาก นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องนโยบายและแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นอย่างดี สพช. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน จึงได้มีหนังสือถึงรองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อขอเสนอให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือและคณะอนุกรรมการ กำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพิ่มเติม
ประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ลงนามในคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 2/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือเพิ่มเติม และคำสั่งที่ 3/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพิ่มเติม โดยให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะดังกล่าว เพิ่มเติม
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และเห็นชอบในคำสั่งแต่งดังกล่าว
ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานร่วมกับ World Bank ในการให้การสนับสนุนด้านการเงินและผู้เชี่ยวชาญ โดยการคัดเลือกบริษัท ESCO จำนวน 4 ราย เพื่อเข้าร่วมโครงการนำร่องฯ โดยสนับสนุนด้านการเงินในการพัฒนาโครงการซึ่งรวมถึงการทำการตลาดหาลูกค้า การจัดทำการวิเคราะห์การใช้พลังงานและแผนการลงทุน (Investment Grade Audits, IGA) โดยได้เงินช่วยเหลือจาก WB/GEF เป็นเงินทั้งสิ้น 600,000 เหรียญสหรัฐ (บริษัท ESCO ได้รับเงินช่วยเหลือนี้ รายละ 150,000 เหรียญสหรัฐ) ซึ่ง กฝผ. ได้คัดเลือกบริษัท ESCO 4 ราย และโรงงานที่เข้าร่วมโครงการอีก 4 ราย แล้ว ดังนี้
ลูกค้า | ประเภทกิจการ | บริษัท ESCO |
1. Betagro Group | Food Processing | E&EI |
2. GSS/ArrayTechnology Public Co., Ltd. | Electronics Manufacturing | Honeywell |
3. Bangkok Produce Merchandising Public Co., Ltd (a division of CP Group) |
Food Processing | EEI |
4. Kimberly-Clark Thailand (KCT) | Paper Products | EMC-EPS |
การจัดทำรายงาน IGA ของทั้ง 4 ราย ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อปลายปี 2542 และ กฟผ. ได้นำเสนอแผนการลงทุนและการเป็นตัวแทนบริหารงานโครงการนำร่องฯ เพื่อขอการสนับสนุนจากกองทุนฯ ผ่านคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุม ครั้งที่ 6/2542 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2542 ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้คณะทำงานเพื่อพิจารณาการจัดทำหลักเกณฑ์การให้เงินทุนหมุนเวียนในแผนงานภาคบังคับ นำโครงการนำร่องของ กฟผ. ไปศึกษารายละเอียด ซึ่งคณะทำงานฯ ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการนำร่องของ กฟผ. แล้วจึงนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2542 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการดังนี้
1) แนวทางการดำเนินโครงการนำร่องฯ ต้องสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
2) ให้ พพ. และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดของ IGA ที่ กฟผ. ว่าจ้าง ESCO ดำเนินการพร้อมรายละเอียดแนวทางการดำเนินงานการลงทุนในมาตรการอนุรักษ์พลังงาน ภาระความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายของโครงการนำร่องฯ เป็นต้น
3) หากการดำเนินงานโครงการนำร่องฯ ขัดกับหลักเกณฑ์หรือระเบียบกองทุนฯ ก็ให้มีการศึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอมติยกเว้นจากคณะกรรมการกองทุนฯ
สำหรับการจัดทำข้อเสนอโครงการนำร่องฯ กฟผ เป็นผู้จัดทำซึ่งประกอบด้วย ด้านเทคนิค ด้านบริหารจัดการ ด้านการเงิน โดยในด้านการเงินนั้นควรให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามามีบทบาท ทั้งนี้ กฟผ. จะต้องทำรายละเอียดเปรียบเทียบการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ระหว่างรูปแบบปัจจุบัน กับรูปแบบที่นำเสนอในโครงการนำร่องฯ เพื่อเป็นข้อมูลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาข้อดี ข้อเสีย ของโครงการต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กอ. ครั้งที่ 21 - วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2543
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 21)
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
1. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
2. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
5. ขออนุมัติโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
8. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
9. รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายภิรมย์ศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายเกรียงกร เพชรบุตร) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จึงทำให้พ้นจากการเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับด้วย ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ สามารถดำเนินงานต่อไป คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันพุธที่ 2 สิงหาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบให้รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติอนุมัติงบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์ให้ สพช. ดำเนินการในหัวข้อเรื่อง บ้านประหยัดพลังงาน ในปี 2543 ในวงเงิน 150 ล้านบาท และคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 19) ได้อนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสมและการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเงิน 30 ล้านบาท รวมงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติในปีงบประมาณ 2543 ทั้งสิ้น 180 ล้านบาท
สพช. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543 ไปแล้ว 44 กิจกรรม รวมเป็นจำนวนเงิน 179,998,968.63 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ 1,031.37 บาท นอกจากนี้ สพช. ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นแกนหลักในการรณรงค์ "22 กันยา จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน" หรือวัน Car Free Day พร้อมกับประเทศในยุโรป โดยถือเป็นกิจกรรมเร่งด่วนเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันประหยัดน้ำมันในการเดินทางด้วยการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ได้มีมติให้มีการรณรงค์ด้านการประหยัดน้ำมันอย่างต่อเนื่อง และเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง เพื่อกำหนดแผนการรณรงค์ฯ กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนฯ ประสานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานผลการปฏิบัติงานต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอรายงานการประเมินผลโดยละเอียดต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2543 เพื่อพิจารณา ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่าโครงการรวมพลังหาร 2 ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการประชาสัมพันธ์ในระดับที่ดี และเห็นควรให้ สพช. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ในปี 2544 ต่อไป
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ซึ่งมีประเด็นหลักคือ การรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง แล้ว มีมติเห็นชอบในหลักการ โดยมีข้อสังเกตให้ดำเนินกิจกรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงตามสภาพของสังคมไทยในพื้นที่ต่างๆ และขอให้สานต่อการประชาสัมพันธ์ในประเด็นที่ได้เคยรณรงค์เอาไว้แล้วเพื่อเป็นการตอกย้ำ และกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
สพช. ได้จัดทำแผนการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปี 2544 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา สรุปได้ดังนี้
สพช. เห็นควรให้ใช้แนวคิด "ปีรณรงค์จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน" ในปีงบประมาณ 2544 เพื่อเป็นการขยายผลสำเร็จของการรณรงค์วัน Car Free Day เมื่อวันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2543 โดยมีรายละเอียดของแผนงานภายใต้แนวคิดหลัก คือ ปีรณรงค์จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
1) ทำการรณรงค์และเผยแพร่ความรู้เรื่องการประหยัดน้ำมันด้วยวิธีการต่างๆ ตลอดทั้งปี โดยจะมีการเน้นวิธีการประหยัดน้ำมันหลักในทุก 2 เดือน ผ่านการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ และกิจกรรมรณรงค์
2) กำหนดทุกวันที่ 22 ของทุกเดือน เป็นวัน Car Free Day
3) กิจกรรมเสริมอื่นๆ ได้แก่ สารคดีโทรทัศน์เรื่องการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง การพัฒนา Web pages อนุรักษ์พลังงาน กิจกรรมพิเศษ การปรับปรุงและพัฒนานิทรรศการเปิดโลกพลังงานและศูนย์นิทัศน์พลังงานเพื่ออนาคต ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 และชมรมขบวนการหาร 2
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
2. อนุมัติงบประมาณในวงเงิน 150 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรม ตามแผนปฏิบัติการ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอมา
3. เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 10 ล้านบาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2540 ได้มีมติอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ (ระยะที่ 2) ตลอดระยะเวลาโครงการฯ 5 ปี ในวงเงินรวม 101,322,980 บาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอผลการดำเนินการตามโครงการฯ เมื่อดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
สพช. ได้จ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อประเมินผลการดำเนินงาน ที่ผ่านมาของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ฯ ซึ่งจากร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ มจธ. ได้ประเมินประสิทธิภาพของระบบก๊าซชีวภาพของฟาร์มขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ ฟาร์มไทย-เดนมาร์ค และเอส.พี.เอ็ม ฟาร์ม ซึ่งทั้ง 2 ฟาร์ม มีขนาดระบบ 2,000 ลบ.ม. สรุปได้ดังนี้
1) ก๊าซชีวภาพที่ได้มีปริมาณ 700-900 ลบ.ม./วัน ซึ่งมีค่าน้อยกว่าที่คาดไว้คือ 1,000 ลบ.ม./วัน เนื่องจากการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของฟาร์ม จึงทำให้ปริมาณน้ำเสียที่ไหลเข้าระบบมีน้อยเกินไป สำหรับก๊าซที่ผลิตได้ในฟาร์มไทย-เดนมาร์ค ได้นำไปใช้เป็นพลังงานความร้อนในการกกลูกหมูทั้งหมด ส่วนก๊าซที่ผลิตได้ใน เอส.พี.เอ็ม ฟาร์ม ได้นำไปใช้เพียงครึ่งหนึ่งเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม ส่วนที่เหลือต้องปล่อยทิ้ง เพราะเป็นฟาร์มหมูขุนจึงไม่ต้องการใช้ความร้อนในการกกลูกหมู
2) จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุน พบว่า ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบของฟาร์มทั้ง 6 แห่งที่เข้าร่วมโครงการมีราคาเฉลี่ย 3,500-4,500 บาท/ลบ.ม.ของระบบ สูงกว่าราคาค่าก่อสร้าง ที่ มช. ประเมินไว้ ที่ 2,400 บาท/ลบ.ม โดยเป็นผลจากค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีที่ดำเนินการก่อสร้างระบบฯ ดังกล่าว
3) มจธ. ได้ประเมินระบบก๊าซชีวภาพโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 6 ฟาร์ม พบว่า ฟาร์ม ทั้ง 6 แห่ง เห็นว่าโครงการมีประโยชน์ควรทำการส่งเสริมต่อไป โดย มจธ. ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะให้ สพช. สนับสนุนให้มีการวิจัย พัฒนารูปแบบ และองค์ประกอบของระบบก๊าซชีวภาพที่ใช้ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนการศึกษาระบบผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมจากของเสียชนิดอื่นด้วย
มช. ได้ดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 มาครบ 2 ปีแล้ว ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ถึง 46,000 ลบ.ม. ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 6,000 ลบ.ม. และทำให้เงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ไม่พอเพียง มช. จึงได้มีหนังสือที่ ทม 0619/9586 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2543 เพื่อขอรับเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 6,768,000 บาท ทั้งนี้ มช. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ มช. ขยายเป้าหมายจาก 40,000 ลบ.ม. เป็น 46,000 ลบ.ม. และเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนในส่วนผู้ร่วมโครงการฯ (เพิ่มเติม) ในวงเงิน 6,768,000 บาท (หกล้านเจ็ดแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ มช. ขยายเป้าหมายการดำเนินโครงการฯ จากเดิม 40,000 ลบ.ม. เป็น 46,000 ลบ.ม. และอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ (ระยะที่ 2) ในส่วนผู้ร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 6,768,000 บาท (หกล้านเจ็ดแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ตลอดระยะเวลาโครงการฯ 4.5 ปี ในวงเงิน 55,480,000 บาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการฯ แต่ละปี และเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา ก่อนเบิกจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ในปีถัดไป
สพช. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ที่ผ่านมา ซึ่งจากร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ มจธ. ได้ประเมินประสิทธิภาพของระบบฯ โดยการสำรวจภาคสนามในฟาร์ม 12 แห่ง และใช้แบบสอบถามทางไปรษณีย์และถามตรง จำนวน 130 ราย แล้วนำมาสรุปผลได้ดังนี้
1) มจธ. ได้ตรวจวัดปริมาณก๊าซที่เกิดขึ้นในบ่อก๊าซชีวภาพของเกษตรกร 12 ราย พบว่า ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีปริมาณ 30%-250% ของปริมาณก๊าซที่ กสก. กำหนดในระบบฯ แต่ละขนาด โดยค่าที่แตกต่างดังกล่าวเป็นผลจากการดูแลระบบของเกษตรกรในการป้อนมูลสัตว์สู่ระบบและการรักษาสภาพบ่อหมัก
2) ผลจากการสำรวจข้อมูลจากเกษตรกรจำนวน 130 ราย พบว่า เกษตรกรจะใช้ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม 116 ราย ใช้ทดแทนถ่านหุงต้ม 38 ราย และใช้ทดแทนไฟฟ้า 21 ราย
3) การวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุนในฟาร์มที่สำรวจทั้ง 12 แห่ง พบว่า บ่อก๊าซชีวภาพขนาดเล็ก (ขนาด 12 ขนาด 16 และ 30 ลบ.ม.) จะมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมาก คือ ในกรณีที่ไม่มีเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ระดับ 2-7% และหลังจากที่มีเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วทำให้ FIRR อยู่ที่ระดับ 7-28%
สำหรับบ่อขนาดใหญ่ (ขนาด 50 และ 100 ลบ.ม.) จะไม่มีความคุ้มค่าในการลงทุนเลยแม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยเป็นผลจากการที่ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้มีปริมาณมาก แต่เกษตรกรเจ้าของบ่อไม่สามารถนำก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และประกอบกับราคาค่าก่อสร้างจริงของบ่อก๊าซชีวภาพ ในระยะที่ 1 มีราคาสูงกว่าที่ กสก. ประเมินมาก ซึ่ง กสก. ได้ปรับราคากลางของระบบขนาดใหญ่ให้ถูกต้องแล้วในโครงการฯ ระยะที่ 2
4) มจธ. ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะให้ สพช. สนับสนุนให้มีการวิจัย พัฒนาชนิดรูปแบบ และองค์ประกอบของระบบก๊าซชีวภาพให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และควรสนับสนุนให้มีการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ก๊าซชีวภาพอย่างแพร่หลายด้วย เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถนำก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด
กสก. ได้ดำเนินโครงการฯ ครบ 2 ปีแล้ว ปรากฏว่ามีเกษตรกรที่แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 939 ราย คิดเป็นปริมาตรรวม 38,216 ลบ.ม. ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 11,966 ลบ.ม. และทำให้เงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ไม่พอเพียง กสก. จึงได้ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ เพิ่มเติมอีกใน วงเงิน 8,821,300 บาท โดย กสก. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ กสก. ขยายเป้าหมายตามที่เสนอมา และเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนโครงการฯ ในส่วนผู้ร่วมโครงการ (เพิ่มเติม) ในวงเงิน 8,821,300 บาท (แปดล้านแปดแสนสองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กสก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนสนับสนุนผู้ร่วมโครงการ เพิ่มเติม ในวงเงิน 8,821,300 บาท (แปดล้านแปดแสนสองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ กสก. ปรับแผนการดำเนินโครงการฯ ในการโอนเปลี่ยนแปลงรายการค่าใช้จ่ายและการปรับเพิ่ม/ลดกิจกรรมในโครงการฯ บางรายการลง ตามที่ กสก. เสนอ
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วท.) ได้เสนอโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในประชุม ครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้มอเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในขบวนการผลิตไม่ว่าจะในภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีการใช้พลังงานจากมอเตอร์ถึงมากกว่า 70% ภาคเกษตรกรรม แม้กระทั่งในภาคที่อยู่อาศัยก็มีการใช้มอเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ วิทยุเทป เป็นต้น
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)ได้เสนอร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพขั้นต่ำของเครื่องใช้ไฟฟ้าและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 77) แล้ว โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่จะต้องมีการกำหนดบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าวด้วย ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะเป็นหน่วยงานที่รับไปดำเนินการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อบังคับใช้ต่อไป
เพื่อตอบสนองความต้องการห้องปฏิบัติการทดสอบมอเตอร์ที่สามารถตรวจวัดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน ได้เทียบเท่ากับห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศ และเพื่อรองรับโครงการที่จะส่งเสริมให้มีการใช้มอเตอร์ประสิทธิภาพสูงในประเทศไทยของหน่วยงานต่างๆ วท. จึงได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขึ้นในประเทศไทย โดยจะเลือกใช้มาตรฐานวิธีการทดสอบของ IEEE 112-Method B ของสถาบัน IEEE (The Institute of Electrical and Electronic Engineering, Inc) ซึ่งเป็นวิธีที่มีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ซึ่งห้องปฏิบัติการฯ ที่จัดตั้งขึ้นนี้จะมีมาตรฐานการตรวจวัดการควบคุมที่ระดับมาตรฐานสากล ในเบื้องต้นสามารถทดสอบหาค่าประสิทธิภาพของมอเตอร์ตั้งแต่ขนาด 1 แรงม้า ถึง 10 แรงม้า โดยมีความสามารถในทดสอบมอเตอร์ได้ไม่น้อยกว่า 630 เครื่องต่อปี ต่อจากนั้นจะขยายขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการฯ ให้สามารถทดสอบมอเตอร์ได้ถึงขนาด 30 แรงม้า ในระยะต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้ วท. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 99,500,000 บาท (เก้าสิบเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน)
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ วท. จะต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) กำหนดแผนการปรับปรุงห้องปฏิบัติการให้ได้รับการรับรองตาม ISO Guide 25 เพื่อยกระดับห้องปฏิบัติการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล ซึ่งจะสามารถรองรับการเทียบเคียงกับต่างประเทศได้ในอนาคต
2) เพิ่มเติมแนวทางการร่วมมือกับห้องปฏิบัติการและนักวิชาการอื่นทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ
3) เพิ่มเติมแผนการประเมินผลโครงการฯ โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผลงานเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ชัดเจน
4) ปรับลดค่าใช้จ่ายบางรายการในหมวดค่าใช้สอยและสาธารณูปโภคลง เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าอุปกรณ์และวัสดุสำนักงาน
5) ปรับลดค่าฝึกอบรมลง เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญที่ทางโครงการจ้างไว้ให้การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว
6) ระบุแนวทางในการคิดอัตราค่าบริการทดสอบมอเตอร์ ที่จะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการ แต่ละครั้งให้ชัดเจน
3. หาก วท. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว วท. จะต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44 ) ด้วย
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ในปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 145 ล้านบาท ทั้งนี้ โดยให้ พพ. ดำเนินการรับข้อเสนอการขอรับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2543 นั้น
การดำเนินงานที่ผ่านมา มีอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2543 จำนวน 23 ราย โดยมีผู้เสนอรายละเอียดข้อเสนอโครงการทางด้านเทคนิคและด้านการเงิน ให้ พพ. พิจารณา จำนวน 8 ราย ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติวงเงินสนับสนุนไปแล้ว จำนวน 5 ราย ในวงเงิน 6,446,277 บาท ส่วนที่เหลืออีก 3 ราย พพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้การสนับสนุนฯ ในวงเงิน 4,164,718 บาท แต่ พพ. ไม่สามารถนำเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติวงเงินได้ทันในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งมีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้
1) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้มีหนังสือที่ มท 5311.1/061 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนปรับปรุงระบบแสงสว่างตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 370,965.90 บาท สำหรับอาคารสำนักงานกลางหลังใหม่ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ เพื่อใช้เป็นอาคารเอนกประสงค์ 24 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารควบคุม พพ. ได้พิจารณาและวิเคราะห์รายละเอียดเอกสารประกอบการขอรับการสนับสนุนฯ โดยใช้ราคากลางและคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่ใช้ในการดำเนินงานของโครงการอาคารของรัฐ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2543 เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาให้วงเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีผลการวิเคราะห์ฯ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดจึงเห็นควรให้การสนับสนุนเงินลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 296,420 บาท
2) โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้มีหนังสือที่ กห 0447/03087 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้าง ในวงเงิน 966,000 บาท ค่าควบคุมการติดตั้ง ในวงเงิน 200,000 บาท และลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ในวงเงิน 23,336,272 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 24,502,272 บาท สำหรับอาคารตรวจและรักษาโรคเอนกประสงค์ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุม พพ. ได้วิเคราะห์รายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ แล้วเห็นว่ามีเพียงมาตรการการใช้มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ที่ควรได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เนื่องจากมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้นกว่าแบบเดิม และมีผลตอบแทนการลงทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์เกินกว่าร้อยละ 9 จึงเห็นควรให้การสนับสนุนเงินในการปรับปรุง แบบก่อสร้างฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ของมาตรการดังกล่าว ในวงเงิน 984,454 บาท
3) โรงพยาบาลอุดรธานี ได้มีหนังสือที่ อด 0033.1/11126 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้าง ในวงเงิน 973,700 บาท และลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 8,709,900.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,683,600.50 บาท สำหรับอาคารผู้ป่วยนอกหลังใหม่ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งอยู่ในข่ายอาคารควบคุม พพ. ได้วิเคราะห์รายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ ตามหลักเกณฑ์ฯ แล้ว และเห็นสมควรให้การสนับสนุนแก่โรงพยาบาลอุดรธานีในการปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ และลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เพียง 3 มาตรการ ในวงเงิน 2,883,844 บาท
พพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติโอนเงินค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการนี้ ในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งยังคงเหลืออยู่ 138,553,723 บาท ให้ พพ. นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนฯ ให้อาคารควบคุมทั้ง 3 แห่ง ดังกล่าว คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลอุดรธานี รวมเป็นเงิน 4,164,718 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า หากอาคารควบคุมใดได้ลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานในมาตรการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ก่อนได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วให้ยกเลิกการสนับสนุนการลงทุนสำหรับมาตรการนั้นให้แก่อาคารดังกล่าว
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วเห็นว่า เพื่อให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 จำนวน 4,164,718 บาท (สี่ล้านหนึ่งแสนหกหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยสิบแปดบาทถ้วน) เพื่อใช้เป็นเงินสนับสนุนในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในปีงบประมาณ 2544
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการ ในปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
2.1 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในวงเงิน 296,420 บาท (สองแสนเก้าหมื่นหกพันสี่ร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2.2 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในวงเงินทั้งสิ้น 984,454 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นสี่พันสี่ร้อยห้าสิบสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังนี้
(1) การปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ ในวงเงิน 62,114 บาท ประกอบด้วย
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและดำเนินการอื่นๆ เป็นเงิน 45,425 บาท
การปรับปรุงแบบก่อสร้าง เป็นเงิน 16,689 บาท
(2) การลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ โดยการเปลี่ยนใช้มอเตอร์ ประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 922,340 บาท
2.3 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับโรงพยาบาลอุดรธานี ในวงเงินทั้งสิ้น 2,883,844 บาท (สองล้านแปดแสนแปดหมื่นสามพันแปดร้อยสี่สิบสี่บาทถ้วน) สำหรับเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้
(1) การปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ ในวงเงิน 146,645 บาท ประกอบด้วย
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและดำเนินการอื่นๆ เป็นเงิน 114,600 บาท
การปรับปรุงแบบก่อสร้าง เป็นเงิน 32,045 บาท
(2) การลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 2,737,199 บาท โดยจำแนกเป็นรายมาตรการ ดังนี้
การเปลี่ยนใช้โคมสะท้อนแสง ในวงเงิน 1,072,289 บาท
การเปลี่ยนใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ ในวงเงิน 1,058,292 บาท
การเปลี่ยนใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 606,618 บาท
3. หากหน่วยงานที่ขอรับการสนับสนุนฯ ตามข้อ 2 ได้ดำเนินการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในมาตรการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติวงเงิน หน่วยงานนั้นๆ จะไม่ได้รับเงินสนับสนุนฯ ในมาตรการที่ได้ลงทุนไปก่อนแล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2541และรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,491,790,196.69 บาท
มติที่ประชุม
รับทราบงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2541 และรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543
เรื่องที่ 8 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุน โครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2542 จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2543 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,238.96 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 9 รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้ดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆ ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำการประเมินผลการดำเนินงานโครงการฯ ทั้งทางด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงให้เสนอทางเลือกอื่นในการดำเนินโครงการฯ เพื่อนำไปใช้พัฒนาปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป
สพช. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี (มจธ.) เป็นที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน โดยใช้เงินกองทุนฯ โครงการบริหารงานตาม พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2542 ในวงเงิน 7,485,000 บาท (เจ็ดล้านสี่แสนแปดหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยกำหนดระยะเวลาการดำเนินงาน 10 เดือน นับจากเดือนตุลาคม 2542 ซึ่งสถาบันวิจัยพลังงานฯ ได้นำเสนอร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ ให้ สพช. แล้ว
สพช. ได้เสนอการประเมินผลโครงการฯ ให้คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2543 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการฯ ในระยะต่อไป เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินโครงการฯ ในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ที่ปรึกษาตรวจสอบ (Accredited Consultants : AC) จะต้องเป็นผู้ไม่มีผลประโยชน์ร่วมกับที่ปรึกษาด้านพลังงาน (Registered Consultants : RC)
2) กำหนด Rating RC/AC และทำการทดสอบ RC/AC ทุกราย เป็นประจำทุกปี หาก RC/AC รายใดมีคุณภาพไม่ผ่านเกณฑ์ก็ให้มีการถอดถอน RC/AC รายนั้น
3) สร้างระบบสุ่มตรวจ แทนที่จะตรวจซ้ำงานที่ AC ทำแล้ว เพื่อความรวดเร็วในการตรวจงานและจ่ายเงินให้กับ RC
4) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การขอขึ้นทะเบียน RC โดยไม่ควรที่จะคำนึงเฉพาะชื่อของวิชาหรือสาขาที่สำเร็จการศึกษา แต่ควรที่จะระบุเป็นเนื้อหาของแต่ละวิชาที่จะต้องสำเร็จการศึกษา และเปิดโอกาสให้มีการจดทะเบียนได้ทั้งปี
5) ปรับปรุงกฎกระทรวงให้โรงงานและอาคารที่ทำ Prelim Audit แล้วไม่ต้องทำซ้ำในรอบสอง ให้ทำ Detail Audit เพียงอย่างเดียว
สพช. ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ พพ. ทราบแล้ว และหาก พพ. จัดทำแผนปรับปรุงการดำเนินงานโครงการฯ และแจ้งให้ สพช. ทราบแล้ว สพช. จะนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
กอ. ครั้งที่ 22 - วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22)
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2544 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3. รายงานผลการสัมมนาเพื่อปรับนโยบายและมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน
5. แผนประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544
6. ขอความเห็นชอบร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
7. ขออนุมัติโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน
8. โครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Pilot Project) ในโรงงานควบคุมโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
9. ปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
10. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจัง โดยตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว เนื่องจากขณะนี้ประเทศเรานำเข้าน้ำมันปีละประมาณ 300,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศ ดังนั้นหากเราปล่อยให้มีการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพก็จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 - 31 มีนาคม 2544 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2544 เป็นเงินจำนวน 13,540,137,667.76 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
1. แผนงานภาคบังคับ เป็นแผนงานที่เกี่ยวกับโรงงานและอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงงานและอาคารควบคุมตามพระราชกฤษฎีกา รับผิดชอบโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) โดยในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,194.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% และ 11 % ของแผนงานแต่ละปีที่กำหนดไว้ ซึ่งปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินการล่าช้าไม่เป็นไปตามเป้าหมายมีหลายประการด้วยกัน ส่วนหนึ่งเกิดจาก กฎกระทรวง ระเบียบ ขั้นตอนการปฏิบัติ และวิธีการสนับสนุนเงินลงทุนจากกองทุนฯ รวมถึงโรงงานและอาคารควบคุมขาดบุคลากรที่จะดูแลรับผิดชอบการอนุรักษ์พลังงานโดยตรง ซึ่ง พพ. ได้ว่าจ้าง สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ศึกษาแนวทางในการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสนับสนุนจากกองทุนฯ คาดว่าการศึกษานี้จะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2544 ซึ่งจะได้นำผลการศึกษามากำหนดเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา แล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. แผนงานภาคความร่วมมือ ประกอบด้วยโครงการย่อ 5 โครงการ คือ (1) โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน (2) โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ (3) โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน (4) โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา (5) โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน มี สพช. เป็นผู้รับผิดชอบ โดยในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 688.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 81 % และ 12 % ของแผนงานแต่ละปีที่กำหนดไว้ สำหรับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ที่ยังไม่มีการใช้จ่ายเงินนั้น เนื่องจากการออกประกาศเชิญชวนฯ และคัดเลือกล่าช้ากว่ากำหนดไว้เดิม ซึ่งเรื่องดังกล่าว สพช. จะนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในเรื่องที่ 4.2 สำหรับโครงการโรงงานอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งานที่ยังมิได้ดำเนินการเท่าที่ควรนั้นเนื่องจากต้องรอผลการประเมินโครงการนำร่อง 4 โครงการที่ได้รับการสนับสนุนไปแล้วจากกองทุนฯ หากทราบผลการประเมินชัดเจนแล้ว สพช. จะเร่งดำเนินการในรายละเอียดต่อไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการฯ ที่อยู่ในขั้นตอนขอความเห็นชอบในแผนเบื้องต้นและเมื่อจัดทำเป็นแผนโดยละเอียดแล้วก็สามารถให้การสนับสนุนต่อไป จึงคาดว่าการดำเนินงานในส่วนนี้จะบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
3. แผนงานสนับสนุน ประกอบด้วย 3 โครงการย่อ คือ (1) โครงการพัฒนาบุคลากร ในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 265.01 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59 % และ 12 % ของแผนงานที่กำหนดไว้ โดยมีโครงการที่ดำเนินการเสร็จแล้วหลายโครงการ เช่น โครงการรุ่งอรุณ เป็นต้น สำหรับปัญหาที่ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้นเกิดจาก เจ้าของอาคาร/โรงงาน ขาดแรงจูงใจในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงาน บุคลากรด้านพลังงานไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน (2) โครงการประชาสัมพันธ์ ในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 266.38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 100 % และ 57 % ของแผนงานที่กำหนดไว้ (3) โครงการบริหารตามกฎหมาย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. พพ. และกรมบัญชีกลาง ให้เป็นไปตาม พรบ.ฯ
โดยในส่วนงานโครงการอาคารของรัฐภายใต้แผนงานภาคบังคับและโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในช่วงปี 2543-2544 ที่ได้ใช้จ่ายเงินไป 1,162.93 ล้านบาท คาดว่าจะลดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลงได้ คิดเป็นเงินประมาณ 118.7 ล้านบาท/ปี และชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ คิดเป็นมูลค่า 974.25 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นจำนวนเงินได้ เช่น การสร้างเสริมประสบการณ์และให้ความรู้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมและชำนาญการทางเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น การปลูกจิตสำนึกให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
สพช. ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเพื่อกำหนดเป้าหมายของงานในช่วง 5 ปีข้างหน้าให้ชัดเจน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาร่วมดำเนินการ เพื่อให้การนำแผนอนุรักษ์พลังงานไปสู่การปฏิบัติที่เห็นผลได้เร็วขึ้น และลดขั้นตอนในการปฏิบัติ ซึ่ง สพช. เห็นควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสนับสนุนจากกองทุน โดยแบ่งงานออกเป็นกลุ่มๆ ตามสาขาพลังงาน เช่น กลุ่มขนส่ง กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มอนุรักษ์พลังงาน กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ กลุ่มพลังงานชีวภาพ เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีคณะทำงานกำกับดูแลให้การดำเนินงานของกลุ่มนั้นๆ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ จัดทำโปรแกรมการดำเนินงานในกลุ่มของตนเอง ทั้งในเรื่องการเผยแพร่เทคโนโลยี การศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาบุคลากร และการประชาสัมพันธ์ แล้วเสนอคณะอนุกรรมการเพียงชุดเดียว หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งแนวทางในการดำเนินงานในรูปนี้ สพช. จักได้พิจารณาความเหมาะสมและเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
1. ให้ พพ. เร่งรัดให้ผู้รับผิดชอบอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังมิได้ดำเนินการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้แล้วเสร็จ แต่ได้มีการอนุมัติเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปแล้วนั้น ให้มีการดำเนินงานตามแผนอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้นำมาเป็นมาตรการในการพิจารณาจ่ายโบนัสแก่ส่วนราชการต่อไป
2. ให้ พพ. เร่งดำเนินการติดตามประเมินผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานไปแล้วประมาณ 733 อาคาร ว่าผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่อย่างไร และควรที่จะต้องกำหนดมาตรการอนุรักษ์พลังงานเสริมหรือมีคำสั่งบังคับหรือไม่ เพื่อให้การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อจะได้นำมากำหนดเป็นมาตรการในการพิจารณาจ่ายโบนัสแก่ส่วนราชการต่อไป
3. การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ส่วนอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตาม พรบ.ฯ นั้น พพ. ควรที่จะต้องเร่งรัดให้ดำเนินการเป็นตัวอย่างแก่เอกชน โดย พพ. ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานของแต่ละส่วนราชการที่เป็นอาคารควบคุมให้ชัดเจนว่าจะต้องดำเนินการจัดทำมาตรการอนุรักษ์พลังงานในกิจกรรมใดบ้าง จะดำเนินการให้แล้วเสร็จเมื่อใด แล้วนำเสนอต่อรัฐมนตรีที่รับผิดชอบส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้นๆ เพื่อที่จะกำหนดเป็นนโยบายแล้วสั่งการให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ดำเนินการต่อไป
4. ให้ พพ. เร่งประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อกำหนดแนวทางในการจัดสรรเงินงบประมาณให้เพียงพอกับค่าก่อสร้างอาคารใหม่ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้ออกแบบตามมาตรฐานที่กฏกระทรวงกำหนด สำหรับอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่จะต้องออกแบบก่อสร้างใหม่นั้น จะต้องออกแบบให้ได้ตามมาตรฐานที่กฎกระทรวงกำหนด
5. ให้พิจารณานำอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้ามาบังคับใช้กับอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยไม่อนุญาตให้โอนงบประมาณค่าใช้จ่ายหมวดอื่นๆ มาใช้เป็นค่าไฟฟ้า
6. ให้ พพ. เร่งจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งานให้ชัดเจน โดยให้มีแนวทาง ขั้นตอนและวิธีการแก้ไขดำเนินการในแต่ละประเด็นปัญหา แล้วให้ พพ. รายงานต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
เรื่องที่ 3 รายงานผลการสัมมนาเพื่อปรับนโยบายและมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ได้เห็นชอบกรอบวิสัยทัศน์และทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) จึงได้มีคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 5/2543 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2543 แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการจัดทำแผนพัฒนาพลังงานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9" เพื่อจัดทำแผนพัฒนาพลังงานให้สอดคล้องกับกรอบวิสัยทัศน์และทิศทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 โดยคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์ประเด็นปัญหาการพัฒนาพลังงานในช่วงที่ผ่านมา ประเมินสถานการณ์พลังงาน ประมาณการความต้องการใช้พลังงานของประเทศในอนาคต และปรับปรุงแผนพัฒนาพลังงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นประธานอนุกรรมการ
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2544 สพช. ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงาน ทดแทน ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวม 15 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมายและนโยบายการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนของประเทศไทยในช่วง ปี 2545-2549 โดยสรุปได้ว่าจะมุ่งดำเนินการใน 4 ภาคเศรษฐกิจของประเทศ คือ (1) ภาคอุตสาหกรรม (2) ภาคคมนาคมขนส่ง (3) ภาคพาณิชยกรรม และ (4) ภาคที่อยู่อาศัย โดยที่ประชุมได้พิจารณากำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ไว้ ดังนี้
(1) การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
เป้าหมายที่จะลดปริมาณการใช้พลังงาน ในช่วงแผนฯ 9 | ||
ภาคคมนาคมขนส่ง | 5.7% | 1,563 ktoe |
ภาคอุตสาหกรรม | 4% | 940 ktoe |
ภาคธุรกิจและการพาณิชย์ | 1.9% | 50 ktoe |
ภาคบ้านอยู่อาศัย | 0.8% | 110 ktoe |
(2) การพัฒนาและกระจายแหล่งพลังงานภายในประเทศ
เป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ในช่วงแผนฯ 9 | |
ผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์หรือน้ำเสียโรงงาน แทน LPG 24.8 Mkg/yr | 29.5 ktoe/Yr |
นำชีวมวลมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตความร้อน/ไฟฟ้า | 395 ktoe/Yr |
ให้มีการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ 17 MW | 7.4 ktoe/Yr |
ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบเทคโนโลยีความร้อน แทน LPG 4.92 Mkg/yr | 3.3 ktoe/Yr |
ให้มีการนำพลังงานลมมาผลิตกระแสไฟฟ้า 4.7 MW | 0.56 ktoe/Yr |
เป้าหมายที่กำหนดไว้ดังกล่าว จะสามารถประหยัดพลังงานในช่วงปี 2545-2549 ได้ประมาณ 3,500 MW หรือ 2,200 ktoe/Yr หรือ โดยเฉลี่ย 3.44% ของการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ และเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียน ประมาณ 330 MW หรือ 435 ktoe/Yr
นอกจากนั้นคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 ที่ผ่านมา ได้พิจารณา มาตรการอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2544 ตามที่ สพช. เสนอ แล้ว และที่ประชุมเห็นว่า สพช. ควรเสนอมาตรการใหม่ๆ หรือมาตรการที่เข้มข้นให้ กพช. พิจารณาใหม่ ซึ่งควรเป็นมาตรการที่ได้รับการการยอมรับและความร่วมมือจากประชาชนทั้งประเทศ โดยได้เสนอแนะให้ สพช. จัดการประชุมเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นให้กว้างขวาง ทั้งจากทางด้านหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เมื่อมีการพิจารณาเห็นชอบให้ประกาศใช้มาตรการต่างๆ ที่นำเสนอแล้วนั้นๆ จะได้รับการสนับสนุนร่วมมือที่ดีจากประชาชน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้มอบหมายให้ สพช. จัดสัมมนารวบรวมความคิดเพื่อจะแก้ไขปัญหาอุปสรรค ซึ่งจะนำไปสู่การปรับนโยบายและมาตรการในการประหยัดพลังงาน ตลอดจนเสริมบทบาทให้ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีส่วนร่วมกันผลักดันเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
สพช. จึงได้นำเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานในช่วง ปี 2545-2549 ที่คณะทำงานฯ ได้มีผลสรุปไว้มาร่วมใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดประชุมกลุ่มพลังงานในสาขาต่างๆ 10 กลุ่มย่อย ประกอบด้วย (1) กลุ่มประชาสัมพันธ์ (2) กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม (3) กลุ่มพลังงานจากก๊าซชีวภาพ (4) กลุ่มพลังงานจากชีวมวล (5) กลุ่มการส่งเสริมเทคโนโลยีการนำกลับมาใช้ใหม่ (6) กลุ่มการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานใน SME (7) กลุ่มส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในบ้าน (8) กลุ่มส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง (9) กลุ่มการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร (10) กลุ่มการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารควบคุม โดยได้ระดมความคิดจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขาต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อนำไปปรับทิศทางเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และ สพช. ได้นำประเด็นที่มีสาระสำคัญจากการสัมมนาจาก 10 กลุ่มย่อย ไปจัดการประชุมสัมมนาเรื่อง "พลังงานกับการกอบกู้เศรษฐกิจ" เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2544 โดยได้มีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายองค์กร ประมาณ 520 ท่าน มาร่วมสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อทบทวนยุทธศาสตร์ จัดลำดับความสำคัญในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานในสาขาต่างๆ ทั้ง 10 สาขา และจัดทำแผนรวมที่จะผลักดันให้การทำงานในเรื่องอนุรักษ์พลังงานซึ่งมีการดำเนินการโดยหลายหน่วยงานสามารถที่จะดำเนินต่อไปอย่างสอดคล้องกัน และให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่มากพอที่จะมีส่วนช่วยลดการพึ่งพาและนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ โดยมีผลสรุปตามที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระการประชุม 3.3.1
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการสัมมนา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 0905 /2148 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2543 เพื่อเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการทุนฯ ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 4) ในการพิจารณาอนุมัติโครงการเร่งด่วน 2 โครงการ คือ (1) โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ในวงเงิน 753,068,006 บาท และ (2) โครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน ที่สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ในวงเงิน 72,664,500 บาท
กรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2543 รวม 15 ท่าน และมีกรรมการกองทุนฯ 4 ท่าน ที่ไม่ได้แจ้งผลการพิจารณา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ สรุปผลการพิจารณาได้ว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ให้การสนับสนุนทั้ง 2 โครงการดังกล่าว และฝ่ายเลขนุการฯ ได้แจ้งมติผลการพิจารณาให้เจ้าของโครงการฯ ทราบแล้ว
มติที่ประชุม
รับรองมติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการเวียนขอความเห็นชอบ ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 4) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปภาพรวมโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 แผนประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการและอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 150,000,000 บาท โดยมีประเด็นหลักการรณรงค์ในหัวข้อเรื่องการประหยัดพลังงานในการคมนาคมขนส่ง ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา สพช. ได้ดำเนินการจัดจ้างกิจกรรมโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544 ไปแล้ว 1 กิจกรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมเสริมสร้างภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์โครงการของกองทุนฯ เป็นจำนวนเงิน 7,648,670.30 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ 142,351,329.70 บาท
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ได้เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินมาตรการด้านการอนุรักษ์พลังงานให้เกิดเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง ซึ่ง สพช. ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2544 และมีความเห็นว่าควรปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และให้ได้ผลด้านการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการประหยัดพลังงานที่สามารถวัดผลได้
สพช. ได้ปรับปรุงแผนประชาสัมพันธ์ปีงบประมาณ 2544 แล้ว และได้นำเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนในการประชุมครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2544 ที่เห็นชอบในแผนปฏิบัติการดังกล่าว และ ให้ สพช. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งสามารถสรุปประเด็นหลักของแผนฯ ได้ดังนี้
สพช. ได้ปรับเปลี่ยนแผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ด้วยการเสนอแนะแนวทางในการใช้พลังงานอย่างประหยัดแก่ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมในการประหยัดพลังงาน ในชีวิตประจำวันได้อย่างกว้างขวาง โดยเน้นให้เกิดผลหลัก 3 ประการ ได้แก่
1. สร้างกระแสเพื่อรวมพลังคนไทยทั้งชาติ ลดการใช้พลังงานที่เกินความจำเป็นอย่างเร่งด่วน และวัดผลได้
2. เพิ่มจำนวนประชาชนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมให้ครอบคุมครัวเรือนทั่วประเทศ
3. ก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันจนติดเป็นนิสัย โดยการแข่งขันการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเป็นส่วนในการสร้างความภาคภูมิใจ และกระตุ้นให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างยั่งยืน
โดยมีชุดกิจกรรมที่จะดำเนินการสื่อสาร หลัก 2 ชุดกิจกรรมคือ (1) ชุดกิจกรรมด้านการรณรงค์แข่งขันประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นกิจกรรม เลิก 3 แช่ คือ เลิกเสียบปลั้กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดแช่เมื่อไม่ใช้งาน เลิกเปิดไฟฟ้าแสงสว่างแช่เมื่อไม่ใช้งาน และเลิกติดเครื่องยนต์แช่ระหว่างรอ (2) ชุดกิจกรรมด้านการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล โดยมุ่งเน้นกิจกรรม จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน และ Car Free Day เป็นต้น
สพช. จะใช้ยุทธวิธีสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในเชิงรุก โดยการจัดกิจกรรมแข่งขันประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า ให้ครอบคุมประชาชนทั่วประเทศ ด้วยการสร้างความภาคภูมิใจและรางวัลแก่ชุมชนที่เข้าร่วมแข่งขันเป็นแรงจูงใจ โดยให้คนที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ส่ง จดหมายถึง สพช. เพื่อบอกว่าเขาได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานด้วยวิธีการใดบ้าง จากนั้น สพช. ก็จะส่งหนังสือเกี่ยวกับวิธีการอนุรักษ์พลังงานกลับไปให้พร้อมกับสัญญาลักษณ์ที่แสดงถึงการเข้าร่วมโครงการประหัยดพลังงาน เช่น โบ หรือธง เพื่อที่จะได้นำไปประดับที่หน้าบ้านหรือที่รถ เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาหรือเพื่อนบ้านได้สังเกตุเห็น จะทำให้เขาสนใจสอบถามถึงที่มาของสัญญาลักษณ์ เพื่อที่จะได้ร่วมกันอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มต่อไป ขณะเดียวกันก็จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกระแส และถ่ายทอดข้อมูลผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของกลุ่มต่างๆ ว่าใคร่ทำอะไรและประหยัดพลังงานได้เท่าไร เพื่อเป็นการกระตุ้นประชาชนให้ร่วมดำเนินการ
มติที่ประชุม
ให้ สพช. ดำเนินการปรับปรุงแผนการประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544 ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 ขอความเห็นชอบร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers: SPP) เมื่อเดือนมีนาคม 2535 นั้นปัจจุบันได้มี SPP ที่ได้ทำสัญญาและได้ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. แล้วประมาณ 20 ราย ซึ่งคิดเป็นกำลังผลิตทั้งหมดประมาณ 200 MW ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินสูง แต่ก็ยังมี SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินต่ำ แต่มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อจูงใจให้ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าที่มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สนใจเข้ามาร่วมผลิตและขายไฟฟ้าให้มากขึ้น ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 สพช. จึงได้เสนอให้มี "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยจะใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ด้วยการเชิญชวนให้ SPP เสนอราคาค่าไฟฟ้าในส่วนที่เพิ่มจากราคารับซื้อของ กฟผ. โดย สพช. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาถึงอัตราที่เหมาะสมที่จะให้การสนับนุนแก่ SPP ปรากฏว่าอัตราสูงสุดต่อหน่วยการผลิตอยู่ที่ 36 สตางค์ต่อหน่วย โดยกองทุนฯ จะเปิดโอกาสให้ SPP ที่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เสนอข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงินต่อ สพช. จากนั้นก็จะประเมินข้อเสนอทั้งทางด้านเทคนิคและการเงิน แล้วนำผลของทั้งสองส่วนมารวมกัน จัดลำดับตามระดับคะแนนที่ได้รับ เพื่อคัดเลือกจัดสรรการสนับสนุน ข้อเสนอที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาจะถูกนำมาจัดเรียงลำดับตามอัตราค่าไฟฟ้าที่เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จากอัตราต่ำสุดไปหาสูงสุด แต่ไม่เกิน 35 สตางค์ และพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้การสนับสนุนแก่ผู้ที่เสนอในอัตราต่ำสุดลำดับแรกก่อน แล้วจึงพิจารณาสนับสนุนรายถัดไปจนครบเป้าหมายของโครงการฯ ภายในวงเงิน 2,060 ล้านบาท
โดยในการให้การสนับสนุนแก่ SPP กองทุนจะจ่ายเงินผ่าน กฟผ. เพื่อให้ กฟผ. นำไปจ่ายให้แก่ SPP ตามปริมาณของไฟฟ้าที่ผลิตได้ตามอัตราที่ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนเพียงระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ SPP จ่ายไฟฟ้าให้กับระบบของ กฟผ. หาก SPP รายใดไม่สามารถสร้างหรือปรับปรุงโรงไฟฟ้าตามที่เสนอไว้ได้ กองทุนฯ มีสิทธิที่จะยกเลิกสัญญาได้ โดยจะไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาในประเด็น ดังนี้
1. เห็นชอบในร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และกฎเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ รวมถึงเกณฑ์การพิจารณาสำหรับประเมินข้อเสนอโครงการตามที่ สพช. เสนอ
2. เห็นชอบให้คณะทำงานฯ ดำเนินการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอผลการคัดเลือกดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และกฎเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ รวมถึงเกณฑ์การพิจารณาสำหรับประเมินข้อเสนอโครงการตามที่ สพช. เสนอ
2. เห็นชอบให้คณะทำงานฯ ดำเนินการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอผลการคัดเลือกดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ได้เสนอโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 48) เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 และมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
ปัจจุบัน ห้องทดสอบของสถาบันฯ ที่ให้บริการทดสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทตู้เย็น สามารถทดสอบได้ครั้งละ 2 ตู้ แต่จากการรณรงค์ให้มีการใช้ตู้เย็นประสิทธิภาพสูง (ตู้เย็นเบอร์ 5) ตลาดจึงมีความต้องการสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นของสถาบันฯ มีผู้มาใช้บริการจำนวนมากขึ้น แต่ห้องทดสอบฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถรองรับได้ทันต่อความต้องการใช้ของตลาด และไม่สามารถทดสอบตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่และตู้เย็นแบบ 2 ประตูได้ด้วย
เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดของตู้เย็น สถาบันฯ จึงได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นที่สามารถรองรับการทดสอบตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่และตู้เย็น 2 ประตูได้ และสามารถทดสอบตู้เย็นได้เพิ่มขึ้น 2-4 ตู้ต่อครั้ง รวมถึงสามารถทดสอบเพื่อตรวจวัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการทดสอบในด้านความปลอดภัยได้ตามมาตรฐาน ISO 7371-1985 และสามารถรับรองเป็นห้องปฎิบัติการทดสอบได้ตามมาตรฐาน ISO/IEC Guide 25 ซึ่งจะเป็นห้องทดสอบกลางให้กับภาครัฐและเอกชน โดยจะใช้อาคารของสถาบันฯ ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เป็นที่ให้บริการ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน ในวงเงิน 16,050,000 บาท โดยมีเงื่อนไขให้ สถาบันฯ จะต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) กำหนดแผนการดำเนินการและแนวทางในการปรับปรุงห้องปฏิบัติการให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO Guide 25 เพื่อยกระดับห้องปฏิบัติการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล
2) ระบุแนวทางที่จะร่วมมือกับห้องปฎิบัติการและนักวิชาการอื่นทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ
3) เพิ่มเติมแผนการประเมินผลโครงการฯ โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผลงานเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน
4) เพิ่มเติมรายละเอียดของการคำนวณผลตอบแทนทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน
5) ระบุแนวทางในการคิดอัตราค่าบริการทดสอบตู้เย็นที่จะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการในแต่ละครั้งให้ชัดเจน โดยไม่ต้องนำเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ มารวมคิดเป็นต้นทุนค่าบริการ
6) แสดงรายละเอียดของการประชาสัมพันธ์ สัมมนา และแผนการตลาดของโครงการฯ ให้ชัดเจน
7) กำหนดมาตรฐานที่ห้องปฎิบัติการทดสอบตู้เย็นที่จะสร้างขึ้นว่าจะสามารถทดสอบในมาตรฐานสากลใดได้บ้าง เช่น มาตรฐาน JIS ของประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
8) เพิ่มเติมรายละเอียดของวิธีการจัดซื้ออุปกรณ์ในโครงการว่าทำโดยวิธีการใดและมีกำหนดเวลาในการดำเนินงานอย่างไร
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2541 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Pilot Project) โดยในระยะแรกได้รับความช่วยเหลือจาก Global Environmental Facility (GEF) จำนวน 600,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อคัดเลือกบริษัทจัดการพลังงาน 4 ราย ให้เป็นผู้ทำรายงานการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น (Preliminary Energy Audit) และรายงานการตรวจสอบวิเคราะห์ความเหมาะสมในการลงทุน (Investment Grade Audit) ให้แก่โรงงานที่มีความพร้อมดำเนินการ 4 โรงงานฯ โดย กฟผ. จะจัดหาเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยจากแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาดำเนินการลงทุนอนุรักษ์พลังงานให้แก่บริษัทและโรงงานฯ ที่เข้าร่วมโครงการฯ
กฟผ. คัดเลือกบริษัทจัดฯ และโรงงานฯ ทั้ง 4 ราย โดยเลือกบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และมีผลงานด้านการจัดการพลังงานเป็นที่ยอมรับ และคัดเลือกโรงงานฯ ที่มีความพร้อมทางด้านการเงินและต้องการจะปรับปรุงการใช้พลังงานในโรงงานของตนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพียงรายเดียวที่พร้อมจะลงทุน คือ บริษัทจัดการพลังงาน เอ็กซ์เซลเล้นท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (EEI) และมีโรงงานที่พร้อมจะลงทุนเพียงรายเดียว คือ บจม. กรุงเทพโปรดิวซ์ เมอร์เชนไดซิ่ง จำกัด มหาชน (BKP) ส่วนรายอื่นๆ ยังไม่สามารถดำเนินการลงทุนได้ เพราะไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ได้
กฟผ. ได้เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการนำร่องบริษัทจัดการด้านพลังงานในโรงงานควบคุม ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาในข้อรายละเอียดในความเป็นไปได้ของการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และ พพ. ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการฯ ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบครั้งหนึ่งแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย และการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว จึงเห็นชอบในรายละเอียดและเงื่อนไขในโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน ที่ กฟผ. จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แต่เนื่องจาก พพ. มิได้ตั้งงบประมาณสำหรับโครงการนี้ไว้ ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ปีงบประมาณ 2544 หมวดกิจกรรมการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 70,467,533 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม โดยจะเป็นเงินสนับสนุนภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 61,850,533 บาท และค่าใช้จ่ายสำหรับตัวแทนดำเนินการ 8,617,000 บาท
ในการพิจารณาดังกล่าว ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมโดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า ในการลงทุนดังกล่าวกองทุนฯ ควรได้รับผลตอบแทนคืนบ้างบางส่วนเพื่อจะได้นำไปสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการรายอื่นต่อไป และเห็นว่า กฟผ. ควรเป็นผู้รับประกันความสำเร็จของโครงการนี้ หากผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กฟผ. ก็ควรคืนเงินค่าจ้างเป็นตัวแทนดำเนินการ จำนวน 8.617 ล้านบาท คืนให้กองทุนฯ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นดังกล่าวแล้ว เห็นว่าโครงการนี้ เป็นโครงการนำร่องที่ต้องการศึกษาและเรียนรู้ผลที่ได้รับจากการดำเนินโครงการบริษัทจัดการพลังงานในระยะต่อไป และ กฟผ. ก็เป็นตัวแทนดำเนินงานแทน พพ. จึงไม่สมควรให้ กฟผ. เป็นผู้รับประกันความสำเร็จของโครงการและชดใช้ค่าใช้จ่ายค่าจ้างเป็นตัวแทนดำเนินการคืนให้กองทุนฯหากผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม โดยมีบริษัทเอ็กซ์เซลเลนท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทจัดการพลังงาน และ บริษัทกรุงเทพโปรดิวซ์ เมอร์เชนไดซิ่ง จำกัด มหาชน เป็นโรงงานที่ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยมี กฟผ. เป็นตัวแทนดำเนินการ แทน พพ.
2. อนุมัติให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ปีงบประมาณ 2544 หมวดกิจกรรมการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 70,467,533 บาท (เจ็ดสิบล้านสี่แสนหกหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) เพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม ดังต่อไปนี้
(1) เป็นเงินสนับสนุนภาระดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งหมด สำหรับ 5 มาตรการ ในวงเงินไม่เกิน 61,850,533 บาท (หกสิบเอ็ดล้านแปดแสนห้าหมื่นห้าร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขว่า กองทุนฯ จะหยุดให้การสนับสนุนเมื่อตรวจสอบว่า ผลการประหยัดที่เกิดขึ้นจริงทุกๆ 6 เดือน ของช่วงระยะเวลาผ่อนชำระหนี้เงินกู้ (72 เดือน) ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของผลประหยัดที่ประมาณการไว้
(2) เป็นเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารจัดการให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์และแผนงาน ตลอดจนติดตามและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ในวงเงิน 8,617,000 บาท (แปดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน)
3. เห็นชอบให้ พพ. ไม่ต้องนำเงื่อนไขการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ที่ใช้เกณฑ์ EIRR และ FIRR ตามแผนงานภาคบังคับ มาใช้ในการพิจารณาเพื่ออนุมัติเงินสนับสนุนในโครงการนี้ เนื่องจากเป็นโครงการนำร่องที่ภาครัฐต้องการศึกษาถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการฯ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมบริษัทจัดการพลังงานในประเทศไทยต่อไป
เรื่องที่ 9 ปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นค่าใช้จ่ายโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ในวงเงิน 90,000,000 บาท
สวทช. ได้ดำเนินงานตามแผนงานฯ โดยได้ออกแบบและจัดซื้อเครื่องครุภัณฑ์หลักของโครงการฯ แล้วบางส่วน เช่น เครื่อง PECVD/Sputtering เพื่อพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่อง I-V Tester สำหรับวัดคุณสมบัติของฟิล์มและเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่อง Laminator สำหรับเคลือบเซลล์ฯ เป็นต้น และได้ติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือ เสร็จเรียบร้อยเมื่อเดือนธันวาคม 2543 ที่โรงงานต้นแบบของอุทยานวิทยาศาสตร์ รังสิต จ.ปทุมธานี โดยเจ้าหน้าที่ของ สวทช. ได้รับการฝึกอบรมการประกอบ ติดตั้ง และใช้งานเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ แล้ว โดยในการจัดซื้อเครื่อง PECVD/PVD นั้น สวทช. ได้ประมาณอัตราแลกเปลี่ยนในการจัดซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศไว้ที่อัตรา 45 บาท ต่อ 1 US$ ซึ่งเมื่อ สวทช. ได้จัดซื้อและนำเครื่องจักรเข้ามาจริง อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในช่วง 36-38 บาทต่อ 1 US$ ซึ่งต่ำกว่าอัตราที่ สวทช. ได้ประมาณการไว้ จึงทำให้สถานะการเงินของโครงการฯ มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 9,999,518.31 บาท
ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ มีผลให้การจัดสรรงบประมาณจากรัฐไม่เป็นไปตามที่ได้คาดหมายไว้ ส่งผลกระทบถึงงบประมาณการจัดซื้อครุภัณฑ์/อุปกรณ์ของโครงการฯ ที่ สวทช. วางแผนฯ ไว้ว่าจะนำเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาสมทบค่าใช้จ่ายนั้น ไม่เป็นไปตามแผนฯ สวทช. จึงยังขาดงบประมาณอยู่รวม 10,723,185 บาท ด้วยเหตุดังกล่าว สวทช. จึงมีความจำเป็นต้องขอเปลี่ยนแปลงแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนฯ โดยจะขอนำเงินที่คงเหลืออยู่ 9,999,518.31 บาท เพื่อนำไปใช้ถัวจ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์สำคัญของโครงการฯ สำหรับงบประมาณส่วนที่ขาดอยู่นั้น สวทช. จะได้พยายามสรรหามาสมทบต่อไป ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ได้เห็นชอบในเรื่องดังกล่าวแล้วและให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สวทช. ปรับแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น โดยนำเงินที่คงเหลืออยู่จากการจัดซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศของโครงการฯ จำนวน 9,999,518.31 บาท (เก้าล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันห้าร้อยสิบแปดบาทสามสิบเอ็ดสตางค์) ไปใช้ถัวจ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์สำคัญของโครงการฯ ได้ ตามที่ สวทช. ขอมา
เรื่องที่ 10 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 3/2541 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2541 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) เป็นประธานคณะอนุกรรมการดังกล่าว
พพ. ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ วว 0406/6216 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 แจ้งต่อ สพช. ว่า เนื่องจาก นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ ประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ 2535 พพ. จึงขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม | ประธานอนุกรรมการ |
2. | ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม | รองประธานอนุกรรมการ |
3. | รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (ที่มีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ.) |
อนุกรรมการ |
4. | เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | อนุกรรมการ |
5. | ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
6. | ผู้แทนกรมบัญชีกลาง | อนุกรรมการ |
7. | ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด | อนุกรรมการ |
8. | ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
9. | ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม | อนุกรรมการ |
10. | นายพรายพล คุ้มทรัพย์ | อนุกรรมการ |
11. | นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ | อนุกรรมการ |
12. | นายอัครวิทย์ ขันแก้ว | อนุกรรมการ |
13. | นายสวาท เย็นสมุทร | อนุกรรมการ |
14. | อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการและเลขานุการ |
15. | ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ |
มติที่ประชุม
เห็นชอบในการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ตามที่ พพ. เสนอมาและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 16 และ ข้อ 19 ได้กำหนดให้เจ้าของอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ต้องทำหนังสือยืนยันกับกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ส่วนเจ้าของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมที่เป็นเอกชน จะต้องทำสัญญาขอรับการสนับสนุนกับ พพ.
ในปีงบประมาณ 2543 คณะอนุกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นชอบเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่โรงงานควบคุมและอาคารควบคุม จำนวนทั้งสิ้น 673 ราย แต่มีผู้ที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว แต่ไม่สามารถแจ้งตอบยืนยันการขอรับการสนับสนุนต่อ พพ. ได้ทันภายในปีงบประมาณ 2543 จำนวน 56 ราย เป็นเงิน 9,378,153 บาท จึงทำให้ พพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้แก่ผู้ที่ได้รับการสนับสนุน 56 ราย นั้นได้ พพ. จึงได้เสนอเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาแนวทางในการแก้ปัญหา
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2543 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม 56 ราย ที่ไม่สามารถแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุนต่อ พพ. ได้ทันในปีงบประมาณ 2543 และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้นำแนวทางเดิมที่ พพ. ได้เคยใช้ในการแก้ไขปัญหาลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นในช่วงปีงบประมาณ 2540-2541 นำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ด้วย โดยให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ คือ พพ. จะขอจ่ายเงินสนับสนุนการตรวจเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น สำหรับอาคารควบคุมที่ยังค้างจ่าย โดยเบิกจ่ายเงินจากวงเงินของปีงบประมาณปัจจุบัน และใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมที่ทำไว้ในปีงบประมาณที่ผ่านมาเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย และ พพ. จะนำเงิน ซึ่งเบิกจากกรมบัญชีกลางในปีงบประมาณที่ผ่านมาแล้วส่งคืนกองทุนฯ ต่อไป และหากมีการตรวจสอบแล้วพบในภายหลังว่ามีเจ้าของอาคารควบคุมบางรายทำหนังสือยืนยันขอรับการสนับสนุนการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นกับ พพ. ไม่ทันในปีที่ได้รับอนุมัติ พพ. จะขอนำมาเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในปีงบประมาณปัจจุบัน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2544 ให้ พพ. ในวงเงิน 9,378,153 บาท (เก้าล้านสามแสนเจ็ดหมื่นแปดพันหนึ่งร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) เพื่อนำไปจ่ายสนับสนุนการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้แก่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แล้ว ก่อนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 แต่ทำหนังสือแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนฯ กับ พพ. ไม่ทันภายในปีงบประมาณ 2543 จำนวน 56 ราย โดยให้ใช้เอกสารการขอรับการสนับสนุนที่เจ้าของโรงงานและอาคารได้ทำกับ พพ. ไว้แล้วเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย
2. ให้ พพ. นำเงินที่ได้เบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2543 เพื่อนำมารอจ่ายให้กับเจ้าของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ส่งคืนกองทุนฯ
3. หากในภายหลัง พพ. ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนฯ ก่อนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 แต่ไม่สามารถทำหนังสือแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนฯ กับ พพ. ได้ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ก็ให้ พพ. เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2544 ให้แก่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม โดยใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย
4. โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ หลังวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 จะต้องดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19 ได้กำหนดไว้ดังนี้ "ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา โครงการพัฒนาบุคลากร โครงการประชาสัมพันธ์ และโครงการบริหารงานตามกฎหมาย ให้ติดต่อกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อทำสัญญาภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ หากผู้ยื่นคำขอไม่มาติดต่อเพื่อทำสัญญาภายในกำหนดเวลา ดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล"
การอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ในการสนับสนุนโครงการต่างๆ คณะอนุกรรมการฯ และ คณะกรรมการกองทุนฯ จะมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการในประเด็นที่สำคัญหลายประการ ซึ่งปกติแล้วก่อนที่จะลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาให้การสนับสนุน สพช. จะเป็นผู้ประสานงานกับเจ้าของโครงการในการปรับปรุงข้อเสนอให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก แต่ในบางกรณีโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติแล้วไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน แม้ว่าจะมีการมอบอำนาจให้ สพช. ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
สพช. ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีบางโครงการที่ใช้เวลามากกว่า 1 ปี ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาล่าช้าได้ ซึ่งกรมบัญชีกลาง (บก.) ได้ให้ความเห็นว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้ เนื่องจากผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2544 ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ผู้แทนจาก บก. จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขข้อความในระเบียบฯ หมวด 5 การทำสัญญา ให้มีความคล่องตัว และในการมีมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ต้องมีความชัดเจนทุกครั้งด้วยว่าเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดให้เจ้าของโครงการฯ รับไปแก้ไขนั้นต้องหรือไม่จำเป็นต้องนำกลับมาให้ที่ประชุมพิจารณาอีก
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แก้ไขข้อความที่ปรากฏในระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา ดังต่อไปนี้
"ข้อ 19 ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ สำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ ให้ติดต่อกับกรม เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ หากผู้ยื่นคำขอไม่มาติดต่อเพื่อทำสัญญาภายในกำหนดเวลา ดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
การลงนามในสัญญาให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานหรือผู้ที่อธิบดีฯ มอบหมาย"
"ข้อ 20 ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนสำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือหรือแผนงานสนับสนุน ให้ติดต่อกับสำนักงาน ภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุน เพื่อดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการกองทุนก่อนทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา แล้วให้ สพช. ทำหนังสือแจ้งให้ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนทราบ เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้ทราบ หากผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนไม่มาติดต่อเพื่อทำหนังสือยืนยันหรือตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันสมควรให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
การลงนามในสัญญาให้เป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ"
2. การอนุมัติให้เงินสนับสนุนโครงการ หากมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นให้เรียบร้อยก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ควรมีมติให้ชัดเจน ดังต่อไปนี้
(1) โครงการที่มีการปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญเล็กน้อย คณะกรรมการฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการฯ จะมอบให้ ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดำเนินการ
(2) โครงการที่มีปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ เมื่อเจ้าของโครงการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ให้ ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะกรรมการฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง