Super User
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 21-27 ตุลาคม 2562
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 14-20 ตุลาคม 2562
รมว.พลังงาน มอบนโยบาย สนพ. ชูนโยบาย Energy for All
ประกาศผลผู้ชนะ จ้างทำตรายาง จำนวน 1 งาน
กบง.ครั้งที่ 4/2562 (ครั้งที่11) วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2562 (ครั้งที่ 11)
วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 14.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
2. มาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศซาอุดีอาระเบีย
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์)
รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
เรื่องที่ 1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
ทีม Prism จากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 เกิดเหตุการณ์โจมตีโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท Saudi Aramco ประเทศซาอุดีอาระเบีย จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ใน Abqaiq Crude Oil Processing Facility (กำลังผลิต 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และ Khurais Oil Complex (กำลังผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ทำให้เกิดไฟไหม้และสามารถดับไฟได้ในเวลาต่อมา แต่มีความจำเป็นต้องลดกำลังการผลิต ซึ่งผลส่งประทบต่อปริมาณการผลิตประมาณ 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 5 ของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2562 Saudi Aramco ได้แจ้งว่าการกลับมาผลิตน้ำมันให้ได้ตามเดิมจะใช้เวลามากกว่า 48 ชั่วโมง ตามที่ประเมินไว้ในระยะแรก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แจ้งว่ามีความพร้อมที่จะส่งออกน้ำมันสู่ตลาดมากขึ้นหากจำเป็น หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ราคาน้ำมันดิบเบรนส์ปรับเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 14 ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบปิดตลาดวันนี้จะปรับสูงขึ้นตาม ความรุนแรงของการโจมตีดังกล่าวจะส่งผลต่อปริมาณน้ำมันดิบหายไป 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) มองว่าด้วยศักยภาพของกลุ่มโอเปคจะเพิ่มกำลังผลิตคืนมาได้ 3.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ Platte มองว่าจะผลิตคืนมาได้เพียง 2.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาแจ้งว่าพร้อมปล่อยน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 630 ล้านบาร์เรล ในส่วนของราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวซึ่งมีความต้องการใช้ในการสร้างความอบอุ่น สำหรับตลาด ก๊าซธรรมชาติ (LNG) เหตุการณ์ในประเทศซาอุดีอาระเบียไม่ส่งผลกระทบต่อราคา LNG โดยราคาส่งมอบ ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2562 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามฤดูกาลปกติ ปัจจัยที่มีผลต่อราคา LNG ได้แก่ ความตึงเครียดในบริเวณช่องแคบฮอมุส เนื่องจาก LNG ของกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะต้องขนส่ง ผ่านช่องแคบนี้คิดเป็นร้อยละ 26 ของปริมาณ LNG ของโลก หากมีการข่มขู่ปิดช่องแคบฮอมุสอาจส่งผลกระทบต่อราคา LNG แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคา Spot LNG มากนัก
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2. มาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศซาอุดีอาระเบียบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 โรงกลั่นน้ำมัน บริษัท ซาอุดี อารามโก (Saudi Aramco) ของซาอุดีอาระเบียถูกโจมตีและเกิดไฟไหม้ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานให้กระทรวงพลังงาน ทราบว่าจุดที่ถูกโจมตีไม่ได้เป็นที่ตั้งโรงกลั่นน้ำมัน แต่เป็น Crude Oil Processing Facility หรือโรงงานที่ทำหน้าที่กำจัดสารต่างๆ ที่ไม่ต้องการออกจากน้ำมันดิบ ก่อนส่งต่อไปยังผู้ซื้อของบริษัท Aramco ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนไม่ให้เกิดความกังวลในช่วงที่ คาดว่าจะเกิดวิกฤตการณ์น้ำมัน 2 - 30 วัน
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 16 กันยายน 2562 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 63.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับสูงขึ้น 5.52 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 79.69 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับสูงขึ้น 6.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซล (10 PPM) อยู่ที่ 80.55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับสูงขึ้น 5.59 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อยู่ที่ 30.6823 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 16-22 กันยายน 2562 ลิตรละ 20.82 บาท ราคาเอทานอล ณ เดือน กันยายน 2562 ลิตรละ 21.96 บาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 กันยายน 2562 มีฐานะสุทธิ 39,402 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 45,113 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 5,711 ล้านบาท โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 17 กันยายน 2562 ค่าการตลาดเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ 1.26 บาทต่อลิตร กลุ่มน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.45 บาทต่อลิตร และของน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมดอยู่ที่ 1.31 บาทต่อลิตร ปัจจุบันรัฐยังคงชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล E20, E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 และ บี20 ส่งผลให้สภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ในกลุ่มน้ำมันดีเซลมีรายจ่าย 31 ล้านบาทต่อเดือน ในขณะที่มีรายรับจากกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล 1,231 ล้านบาทต่อเดือน และรายรับจากน้ำมันเตา 10 ล้านบาทต่อเดือน โดยภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องรายได้ 1,210 ล้านบาทต่อเดือน
3. กระทรวงพลังงานมีมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนี้ (1) การป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดย ปตท. จะกระจายการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงจากแหล่งอื่น เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ประเทศโอมาน เป็นต้น เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันจากซาอุดีอาระเบียประมาณ 170,000 บาร์เรลต่อวัน และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จะบริหารจัดการปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศให้เพียงพอกับความต้องการใช้ในช่วงที่คาดว่าจะเกิดวิกฤตการณ์น้ำมัน โดย ณ วันที่ 16 กันยายน 2562 มีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือและปริมาณสำรองของประเทศรวม 6,407 ล้านลิตร คาดการณ์ว่าสามารถเพียงพอใช้ได้ 54 วัน และปริมาณก๊าซ LPG สำหรับการใช้ในภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และ ภาคขนส่ง คาดการณ์ว่าสามารถเพียงพอใช้ได้ 12 วัน ทั้งนี้ หากสถานการณ์ยาวนานเกินกว่า 12 วัน ธพ. จะจัดสรรก๊าซ LPG ให้กับภาคครัวเรือนก่อนเป็นลำดับแรก และ (2) การรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง จากการประเมินเบื้องต้น หากสถานการณ์ดังกล่าวอยู่ในช่วง 1 สัปดาห์ จะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หากอยู่ในช่วงราว 2 - 6 สัปดาห์ ราคาจะปรับขึ้น 5 - 15 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน กระทรวงพลังงานเห็นควรปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลลง 1.00 บาทต่อลิตร และกลุ่มดีเซลหมุนเร็วลง 0.60 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 2,023 ล้านบาทต่อเดือน มีสภาพคล่องรายได้ของกลุ่มน้ำมัน ติดลบรวม 813 ล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็นกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 925 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมมีรายรับ 1,231 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 307 ล้านบาทต่อเดือน และกลุ่มดีเซล มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 1,099 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมมีรายจ่าย 31 ล้านบาทต่อเดือน เป็น มีรายจ่าย 1,130 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
2. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ .. พ.ศ. 2562 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนกองทุน และอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2562 เป็นต้นไป
กบง.ครั้งที่ 3/2562 (ครั้งที่10) วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2562 (ครั้งที่ 10)
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 13.30 น.
1. การนำเข้า LNG 1.5 ล้านตัน ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
2. แนวนโยบายพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โรงไฟฟ้าชุมชน)
3. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ทดแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7)
4. กรอบนโยบายการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562
5. การทบทวนคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
6. ความคืบหน้าการดำเนินคดีกับบริษัท ยูไนเต็ดแก๊ส จำกัด
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท)
เรื่องที่ 1. การนำเข้า LNG 1.5 ล้านตัน ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. วันที่ 27 พฤษภาคม 2562 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติ ดังนี้ (1) รับทราบการรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานในการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติรับทราบความคืบหน้ารายงานการเจรจาระหว่าง กฟผ. และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ภายใต้การกำกับของสำนักงาน กกพ. (2) มอบหมายให้ กฟผ. และ ปตท. ภายใต้การกำกับของ กกพ. ไปจัดทำข้อตกลงในการนำเข้า กำกับ และบริหารจัดการการนำเข้า LNG เพื่อไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay จากการนำเข้า LNG ของ กฟผ. รวมทั้งให้เจรจาสัญญา Global DCQ ให้สอดคล้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดภาวะการ ขาดแคลน LNG ในอนาคต โดยอยู่ภายในระยะเวลาการเริ่มต้นใช้ LNG Terminal ของ กฟผ. และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาตามข้อเสนอในสัญญาการนำเข้า LNG ของ กฟผ. (ภายในวันที่ 15 กันยายน 2562) และให้ กกพ. รายงาน กบง. ต่อไป และ (3) เห็นชอบหลักการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าตามประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า หรือ Heat Rate เฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพื่อใช้เป็นหลักการในการปฏิบัติของศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าในช่วงส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 1 และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 สำนักงาน กกพ. ได้รายงาน กบง. เรื่องผลกระทบจากการนำเข้าตามโครงสร้างเพื่อรองรับการแข่งขันตามมติ กพช. วันที่ 31 กรกฎาคม 2560 โดยการแบ่งการคิดราคาก๊าซเป็น Pool Gas ปตท. และ LNG กฟผ. ส่งผลต่อการสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าในระบบ Heat Rate แทนระบบ Merit Order ที่ใช้อยู่เดิม โดยเบื้องต้นจะส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าประมาณ 2 สตางค์ต่อหน่วย
2. เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2562 กกพ. ได้พิจารณาเรื่องการบริหารจัดการนำเข้า LNG เพื่อไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay และสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ ฉบับใหม่ (Global DCQ) โดยมีข้อสรุปดังนี้ (1) การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่จะเกิด Take or Pay พบว่าในปี 2563 2564 และ 2565 มีปริมาณก๊าซที่สามารถเรียกเพิ่มเติมจากอ่าวไทยอยู่ที่ 37,991 170,582 และ 237,094 BBTU/Yr ตามลำดับ แต่เนื่องจากการใช้และการจัดหาก๊าซธรรมชาติอาจมีความแตกต่างกันในแต่ละเดือน ดังนั้น การบริหารจัดการไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay จำเป็นต้องพิจารณาความต้องการรายเดือนด้วย และจากการวิเคราะห์พบว่า กฟผ. และ ปตท. จะสามารถบริหารจัดการและไม่เกิด Take or Pay ในทุกๆสัญญาได้ โดย กฟผ. และ ปตท. เห็นชอบร่วมกันว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ดี หาก กฟผ. นำเข้าไม่เกิน 1 MTPA ในปี 2563 และไม่เกิน 1.2 MTPA ในปีต่อๆ ไป และในการเจรจาสัญญา LNG Sales and Purchase Agreement (SPA) กฟผ. ได้ขอเพิ่มเงื่อนไขให้สามารถปรับลดปริมาณ LNG ลงได้อีก 15% ของ Annual Contract Quantity (ACQ) ในแต่ละปี ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ก๊าซลดลง กฟผ.จะสามารถใช้ทางเลือกในสัญญาปรับลดการซื้อก๊าซเพื่อลดผลกระทบและโอกาสในการเกิด Take or Pay นอกจากนี้ LNG SPA ของ กฟผ.ยังอนุญาตให้สามารถ Divert Cargo ไปยัง Terminal อื่นได้หากจำเป็น เพื่อลดภาระ Take or Pay (2) การทำ MOU เพื่อไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay และการใช้ก๊าซตาม Global DCQ ฉบับใหม่ เนื่องจาก กฟผ. เลือกใช้โรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงและเดินเครื่องในลักษณะ Base Load จึงไม่มีโอกาสเกิด Take or Pay ในส่วนสัญญา LNG ของ กฟผ. แต่จะมีโอกาสเกิด Take or Pay ในส่วนสัญญาของ ปตท. ดังนั้น ปตท. จึงไม่เห็นความจำเป็นในการลงนาม MOU แต่เห็นควรให้ทำการบริหารจัดการร่วมกันระหว่าง ปตท. และ กฟผ. ภายใต้การกำกับของ กกพ. จะเกิดผลในทางปฏิบัติมากกว่า และหลังจากสัญญา Global DCQ สิ้นสุดลง กฟผ. และ ปตท. ได้มีการพิจารณาต่อสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระยะสั้นเป็นรายปีมาแล้ว 4 ครั้ง และสัญญาจะสิ้นสุดอีกครั้งในเดือนธันวาคม 2562 เพื่อให้ ปตท. สามารถบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติในระยะยาว จึงจำเป็นต้องลงนามสัญญา Global DCQ อีกครั้ง โดยสัญญา Global DCQ ได้ผ่านการพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว แต่ยังคงเหลือประเด็นด้านเทคนิคบางประเด็นที่ยังหาข้อยุติไม่ได้และจะดำเนินการเจรจาหาข้อยุติร่วมกันให้แล้วเสร็จภายในปี 2562
3. กกพ. จึงขอเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการนำเข้า LNG ของ กฟผ. เพื่อไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay ที่ กฟผ. และ ปตท. เสนอ ภายใต้การกำกับของ กกพ. โดย กฟผ. จะต้องมีการนำเข้า LNG ไม่เกิน 1.09 ล้านตัน ในปี 2563 และไม่เกิน 1.2 ล้านตัน หลังปี 2564 โดยสัญญา SPA ระหว่าง กฟผ. และ Petronas จะสามารถปรับลดลงได้อีก 15% ของสัญญา หากจำเป็นที่จะต้องลดการนำเข้า LNG เพิ่มเติมเมื่อเกิดภาระ Take or Pay ให้พิจารณาลดการนำเข้าของ กฟผ. เป็นลำดับแรก รวมทั้งอาจมีการ Divert LNG ไปยัง Terminal อื่นหากจำเป็น (2) รับทราบข้อเสนอของ กฟผ. และ ปตท. ที่จะร่วมกันบริหารจัดการไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay ภายใต้การกำกับของ กกพ. แทนการลงนาม MOU และ (3) รับทราบความก้าวหน้าของการเจรจาสัญญา Global DCQ ที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2562
4. เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2562 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดประชุมร่วมกับ กฟผ. ปตท. สำนักงาน กกพ. โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายสราวุธ แก้วตาทิพย์) เป็นประธาน สรุปได้ดังนี้ (1) สถานการณ์ LNG ของประเทศในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงที่ กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 1 ที่มอบหมายให้ กฟผ. นำเข้า LNG ไม่เกิน 1.5 ล้านตันต่อปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดหา LNG ในประเทศไม่ได้ลดลงตามที่ได้เคยประมาณการไว้ ในขณะที่ความต้องการใช้ LNG ก็ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นตามที่ประมาณการไว้ จึงทำให้ความจำเป็นในการนำเข้า LNG อาจเปลี่ยนไปจากเดิม (2) การนำเข้า LNG ของ กฟผ. โดยหลักการแล้วไม่ควรส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประเทศและต้องไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay จนส่งผลกระทบต่อต้นทุนการจัดหา LNG ของประเทศ รวมทั้งอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาทบทวนการแบ่งราคา LNG เป็น 2 Pool จากการนำเข้า LNG ของ กฟผ. เนื่องจากมีโอกาสสูงมากที่จะมีผลกระทบทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น (3) ราคา LNG Spot ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู ซึ่งเป็นสัญญาณว่าในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้า แนวโน้ม LNG จะมีราคาลดลง จึงอาจต้องพิจารณาความเหมาะสมและทบทวนความจำเป็นเร่งด่วนของการผูกพันสัญญาการจัดหา LNG ในระยะปานกลางและระยะยาวในขณะนี้ และ (4) กรณีที่จะให้ กฟผ. นำเข้า LNG ควรจะมีกลไกการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเรื่อง Take or Pay รวมทั้งต้องพิจารณาความเป็นไปได้และข้อจำกัดของกฎหมายในกรณีที่ กฟผ. จะนำ LNG ไปจำหน่ายในตลาดอื่นก่อนดำเนินการด้วย ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปข้อสรุปแนวทางดำเนินการเป็น 3 ทางเลือก ดังนี้ (1) ให้ กฟผ. บริหารสัญญานำเข้า LNG ไม่ให้เกิดภาระ Take or pay หรือ (2) ให้ กฟผ. จัดซื้อ LNG แบบ Spot สำหรับการทดลองระบบการแข่งขันตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 31กรกฎาคม 2560 หรือ (3) ให้ กฟผ. เลื่อนเวลาการนำเข้า LNG ที่ประมูลได้ จากปี 2562 เป็นปี 2565
มติของที่ประชุม
1. รับทราบแนวทางการบริหารจัดการการนำเข้า LNG ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay ที่ กฟผ. และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เสนอภายใต้การกำกับของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
2. รับทราบข้อเสนอของ กฟผ. และ ปตท. ที่จะร่วมกันบริหารจัดการไม่ให้เกิดภาระ Take or Pay ภายใต้การกำกับของ กกพ. แทนการลงนาม MOU และความก้าวหน้าของการเจรจาสัญญา Global DCQ ที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2562
3. เห็นชอบให้ กฟผ. จัดหา LNG แบบ Spot ปริมาณไม่เกิน 200,000 ตัน สำหรับการทดสอบระบบการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 โดยมอบหมายให้ กกพ. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และ กฟผ. ไปพิจารณาความเหมาะสมทั้งด้านปริมาณ และช่วงเวลาในการจัดหา LNG แบบ Spot สำหรับการทดสอบระบบ แล้วนำกลับมาเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาต่อไป
4. มอบหมายให้ กฟผ. ไปเจรจาหาข้อยุติในการนำเข้า LNG กับบริษัท PETRONAS LNG Ltd. โดยไม่ให้เกิดการเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในเอกสารเชิญชวนยื่นข้อเสนอ (Request for Proposal: RFP)
5. มอบหมายให้ ปตท. และ กฟผ. ไปบริหารจัดการการใช้ LNG Terminal และท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ภายใต้การกำกับของ กกพ. ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
6. มอบหมายให้ สนพ. และ กกพ. ไปทบทวนแนวทางส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 2. แนวนโยบายพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โรงไฟฟ้าชุมชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 คณะรัฐมนตรี (รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานได้แก่ที่สำคัญ ได้แก่ (1) ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาเพิ่มมูลค่า (2) การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน เสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ กระจายชนิดของเชื้อเพลิงทั้งจากฟอสซิลและจากพลังงานทดแทนอย่างเหมาะสม สนับสนุนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนตามศักยภาพของแหล่งเชื้อเพลิงในพื้นที่ เปิดโอกาสให้ชุมชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตและบริหารจัดการพลังงานในพื้นที่ ส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 และ B100 เพื่อเพิ่มการใช้น้ำมันปาล์มดิบ และจัดทำแนวทางการใช้มาตรฐานน้ำมัน EURO5 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดโครงสร้างตลาดไฟฟ้ารูปแบบใหม่ และให้มีราคาพลังงานสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง (3) ยกระดับโครงข่ายระบบไฟฟ้าและพลังงานให้มีความทันสมัย ทั่วถึง เพียงพอ มั่นคง และมีเสถียรภาพ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้มีแนวนโยบายการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable) พลังงานต้องมีต้นทุนราคาที่เป็นธรรมสามารถยอมรับได้ ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ (Affordable) และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างกลไกให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมด้านพลังงาน สร้างงานและสร้างรายได้ให้ชุมชนในระดับฐานรากของประเทศ (Energy for all) โดยการพัฒนาด้านพลังงานไฟฟ้า มุ่งเน้นให้มีการผลิตพลังงานไฟฟ้าในชุมชนตามศักยภาพเชื้อเพลิงพลังงานสะอาดที่หาได้ในพื้นที่และนำไปใช้ในพื้นที่เป็นหลัก ประชาชนสามารถเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึง ราคาถูก โดยอาจใช้กองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการขับเคลื่อนโครงการ
2. กรอบนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก มีหลักการและเหตุผลในการ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการผลิต ใช้ และจำหน่ายไฟฟ้า อย่างยั่งยืน ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า ส่งเสริมโรงไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนตามศักยภาพเชื้อเพลิงและสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ สร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าในพื้นที่ ลดภาระการลงทุนของภาครัฐในการสร้างระบบส่ง และระบบจำหน่ายไฟฟ้า ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้มีรายได้ โดยชุมชนได้รับผลตอบแทนจากการจำหน่ายเชื้อเพลิงพลังงานหมุนเวียนจากวัสดุทางการเกษตรและการจำหน่ายไฟฟ้า และสร้างการยอมรับของชุมชนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าของประเทศ โดยเป้าหมายเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพพลังงานหมุนเวียนทั่วประเทศที่สามารถส่งเสริมให้เกิดโรงไฟฟ้าชุมชน และสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่นั้นๆ มีระบบส่งและระบบจำหน่ายที่สามารถรองรับไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าชุมชนได้ เปิดให้มีการใช้งบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนพัฒนาไฟฟ้าในการสนับสนุนการลงทุนหรืออุดหนุนการดำเนินกิจการของโรงไฟฟ้าชุมชน มีแนวทางการจัดตั้ง (1) ให้ชุมชนมีส่วนร่วมลงทุนโรงไฟฟ้ากับภาครัฐและ/หรือเอกชนเพื่อให้สามารถดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2) รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนตามเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนภายใต้แผน AEDP และสอดคล้องกับแผน PDP2018 โดยอาจเร่งรัดให้มีการรับซื้อเร็วขึ้นจากแผนตามความเหมาะสม (3) ในพื้นที่ที่ไม่มีศักยภาพจากพืชพลังงานจะส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์(4) โรงไฟฟ้าชุมชนต้องมีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าที่สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ (5) มีสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (6) ราคารับซื้อไฟฟ้าต้องไม่กระทบหรือกระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าน้อยที่สุด (7) มีการกำหนดผลประโยชน์กลับคืนสู่ชุมชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ส่วนลดค่าไฟฟ้าคืนสู่ชุมชน ส่วนแบ่งผลกำไรจากการดำเนินงานตามสัดส่วนที่ชุมชนได้มีการร่วมทุนในโรงไฟฟ้าชุมชน รายได้จากการขายเชื้อเพลิงจากวัสดุทางการเกษตร
3. ขั้นตอนการดำเนินงานจะนำเสนอกรอบนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพิจารณามอบหมายให้ กบง. ดำเนินการจัดทำรายละเอียดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนตามกรอบนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากที่ได้รับความเห็นชอบ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) กำหนดเป้าหมายการรับซื้อ และพื้นที่ที่ไม่มีข้อจำกัดทางด้านระบบส่งและระบบจำหน่าย เป็นต้น และแก้ไขหลักเกณฑ์ กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเปิดรับข้อเสนอโรงไฟฟ้าชุมชน ดำเนินการคัดเลือกตามขั้นตอนต่อไป โดยโรงไฟฟ้าชุมชนมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบไม่เกินปี 2565
4. ผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจฐานราก ได้แก่ ชุมชนมีรายได้จากการเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าชุมชน และลดภาระค่าใช้จ่ายของชุมชน ชุมชนมีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างความเข้มแข็งในชุมชน ลดการย้ายถิ่นฐานของแรงงาน และเกิดการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในชุมชน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบกรอบนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 3. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ทดแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2562 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) หารือกับกรมสรรพสามิต ในการกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ในอัตรา 5.80 บาทต่อลิตร รวมทั้งเห็นชอบให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 10 มีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) 1.00 บาทต่อลิตร โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 10 ที่ 0.65 บาทต่อลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 กบง. เห็นชอบขยายระยะเวลาให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) 5 บาทต่อลิตร ต่อไปถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 และเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 กบง. เห็นชอบขยายระยะเวลาให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) 5 บาทต่อลิตร ต่อไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 โดยคงอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ไว้ที่ 4.50 บาทต่อลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 กบง. มีมติเห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันกลุ่มดีเซลเพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ดังนี้ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.50 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชย 0.35 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชย 4.20 บาทต่อลิตร
2. ปัจจุบันกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล เป็น 3 ประเภท ได้แก่ น้ำดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ส่วนสถานการณ์การจำหน่ายและการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้ (1) ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2562 ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 มีจำนวน 3 ราย แบ่งเป็น Fleet 1 แห่ง และสถานีบริการ 44 แห่ง และที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 จำนวน 13 ราย แบ่งเป็น Fleet 532 แห่ง สถานีบริการ 1,693 แห่ง (2) ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจาก 0.00003 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงเริ่มต้น (เดือนพฤษภาคม 2562) โดยปัจจุบัน ณ วันที่ 1–18 สิงหาคม 2562 มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 0.011 ล้านลิตรต่อวัน ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก 0.10 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงปี 2561 โดยปัจจุบันมียอดจำหน่ายถึง 6.18 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้ โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2562 พบว่า ปัจจุบันยังคงชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ในอัตรา 0.35 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ในอัตรา 4.20 บาทต่อลิตร โดยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) ที่ 1 บาทต่อลิตร และ 5 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนสิงหาคม 2562 มีสภาพคล่องสุทธิกลุ่มน้ำมัน 1,400 ล้านบาทต่อเดือน แยกเป็นกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล 1,320 ล้านบาทต่อเดือน และกลุ่มดีเซล 69 ล้านบาทต่อเดือน และมีฐานะกองทุนน้ำมันรวม ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2562 อยู่ที่ 38,210 ล้านบาท
3. ความพร้อมการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ทดแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) แบ่งเป็น (1) ความพร้อมของปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดการณ์ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันปี 2562 ครึ่งปีหลัง จะออกสู่ตลาดประมาณ 7.490 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 19.5 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 โดยไตรมาสที่ 4 คาดว่าผลผลิตในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม จะออกสู่ตลาดประมาณ 1.312 ล้านตัน 1.391 ล้านตัน และ 1.208 ล้านตัน ตามลำดับ (ประมาณการ ณ วันที่ 27 เมษายน 2562) (2) กระทรวงพาณิชย์รายงานปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ ระหว่างวันที่ 24 – 26 กรกฎาคม 2562 มีจำนวน 451,127 ตัน เพิ่มขึ้นจากสต็อกคงเหลือ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 ร้อยละ 12.65 ทั้งนี้ ตามเป้าหมายการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ของกระทรวงพลังงาน คาดการณ์ว่า ณ เดือนธันวาคม 2562 จะมีปริมาณการใช้ไบโอดีเซล B100 ที่ระดับ 6.2 ล้านลิตรต่อวัน เทียบเท่าการใช้น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) 167,360 ตันต่อเดือน ซึ่งสต็อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือในปัจจุบันและผลผลิตปาล์มที่คาดการณ์จะสามารถรองรับการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตไบโอดีเซลได้เพียงพอ (3) ความพร้อมของผู้ผลิตไบโอดีเซล (บี100) ปัจจุบันมี 13 ราย กำลังการผลิต 8,312,242 ลิตรต่อวัน โดยมีผู้ผลิตไบโอดีเซลสำหรับใช้ผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 10 ได้ (ค่าโมโนกลีเซอไรต์ ไม่สูงกว่าร้อยละ 0.4 โดยน้ำหนัก) จำนวน 9 ราย กำลังการผลิต 6,892,242 ลิตรต่อวัน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการปรับปรุงกระบวนการผลิต (4) ความพร้อมของรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล ปัจจุบันมีรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซล 10,466,820 คัน เป็นรถยนต์ที่ค่ายรถยนต์รับรองว่าสามารถรองรับการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ได้ประมาณ 5,231,972 คัน (คิดเป็นร้อยละ 50.0 ของจำนวนรถยนต์ดีเซลทั้งหมด) ทั้งนี้ รถยนต์ดีเซลที่หมดการรับประกันแล้ว จะใช้กลไกส่วนต่างราคาเพื่อจูงใจให้ใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 และ (5) ความพร้อมของผู้ค้าน้ำมัน มีความพร้อมและสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายของภาครัฐ โดยขอให้ภาครัฐกำหนดนโยบายที่ชัดเจน รวมทั้งเร่งการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจเพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจต่อการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เพิ่มขึ้น
4. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ปัจจุบันการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) มีสัดส่วนการใช้สูงสุดของกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว คือ ประมาณ 56.4 ล้านลิตรต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 91 ของการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วทั้งหมด ในขณะที่การใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ประมาณ 5 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ รับภาระชดเชยในส่วนนี้ประมาณ 805 ล้านบาทต่อเดือน โดยหากการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 มีอัตราเพิ่มขึ้นเกินกว่าเป้าหมายมากจะทำให้ปริมาณ CPO ภาพรวมทั้งประเทศที่ผลิตได้ไม่เพียงพอ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ทดแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) โดยมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้ (1) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ขยายส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) ที่ 2 บาทต่อลิตร (ปัจจุบันส่วนต่างอยู่ที่ 1 บาทต่อลิตร) และลดส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) ที่ 3 บาทต่อลิตร (ปัจจุบันส่วนต่างอยู่ที่ 5 บาทต่อลิตร) หลังการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ คาดว่า ณ เดือนธันวาคม 2552 การใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) ลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 50 ของการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ประมาณ 30 - 32 ล้านลิตรต่อวัน) การใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เพิ่มขึ้นโดยอยู่ที่ระดับประมาณร้อยละ 50 ของการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ประมาณ 30 – 32 ล้านลิตรต่อวัน) และการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ลดลงมาอยู่ที่ระดับไม่เกิน 5 ล้านลิตรต่อวัน และส่งผลให้สภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ในกลุ่มน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 371 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 440 ล้านบาทต่อเดือน และจากนโยบายของรัฐบาลในการรายได้ราคาผลปาล์มน้ำมัน 4 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้ราคาไบโอดีเซล บี100 เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 7 บาทต่อลิตร จากราคา 20.54 บาทต่อลิตร เป็น 27.43 บาทต่อลิตร และทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มดีเซลเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) เพิ่มขึ้นประมาณ 0.50 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เพิ่มขึ้นประมาณ 0.70 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 เพิ่มขึ้นประมาณ 1.50 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ หากราคาขายปลีกสูงขึ้นมากจนส่งผลกระทบต่อประชาชน สามารถพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และนำเงินที่กองทุนน้ำมันฯ มารักษาเสถียรภาพราคาได้ และ (2) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 บังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐาน โดยให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 เป็นทางเลือก รวมทั้งประกาศคุณภาพน้ำมันไบโอดีเซลเป็นชนิดเดียวที่สามารถนำมาผลิตน้ำมันดีเซลได้ทุกเกรด โดยการดำเนินการดังกล่าว จะทำให้มีการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น ช่วยดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ สร้างความมั่นคงทางพลังงานในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของวัตถุดิบที่สามารถผลิตได้ในประเทศมากขึ้น ช่วยรักษาเสถียรภาพระดับราคา CPO ของประเทศ ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง รวมทั้งช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านมลภาวะทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในภาคคมนาคมขนส่ง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบขยายส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) ที่ 2 บาทต่อลิตร และลดส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) ที่ 3 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
2. เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
3. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารส่วนต่างราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ในกรอบอัตราตามข้อ 2 ในช่วงสถานการณ์ราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป
4. เห็นชอบให้วันที่ 1 มกราคม 2563 บังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐาน โดยให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 เป็นทางเลือก
5. เห็นชอบมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
5.1 กระทรวงพลังงานบริหารจัดการการใช้ไบโอดีเซลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง และกระทรวงพาณิชย์บริหารจัดการการใช้ไบโอดีเซลเพื่อใช้บริโภค
5.2 กรมธุรกิจพลังงานติดตามปริมาณการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็ว และประกาศคุณภาพไบโอดีเซลเป็นชนิดเดียวที่สามารถนำมาผลิตน้ำมันดีเซลได้ทุกเกรด ภายในวันที่ 1 มกราคม 2563
5.3 กระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน ดำเนินการบริหารจัดการผลผลิตปาล์มน้ำมันให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไบโอดีเซล และดำเนินการป้องกันการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจากต่างประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1.พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 (พระราชบัญญัติฯ) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เพื่อยกระดับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2547 สำหรับใช้เป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพของระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงมิให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำหน้าที่ในการบริหารกิจการของกองทุนฯ โดย พระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับในวันที่ 24 กันยายน 2562 เป็นต้นไป และให้ยุบเลิกสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) โดยตั้ง สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลเข้ามาทำหน้าที่แทน พร้อมทั้งการโอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน รวมทั้งงบประมาณของ สบพน. ไปเป็นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการบริหารกิจการของกองทุนฯ จะอยู่ภายใต้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แทน คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
2. การเตรียมความพร้อมบริหารกองทุนฯ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินงานกองทุนฯ ก่อนถึงกำหนดเวลาที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ได้ดำเนินการร่วมกับสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) ในการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ได้แก่ การจัดทำแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง และการจัดทำแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การจัดทำหลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไข และมาตรการ เพื่อลดการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ การจัดทำกฎหมายลำดับรอง การเตรียมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเลิกยุบ สบพน. การจัดทำโครงสร้างสำนักงานกองทุนฯ และการปรับปรุง/แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ทั้งนี้ การเตรียมความพร้อมบริหารกองทุนฯ คาดว่าจะดำเนินการได้ทันรองรับกับพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับในวันที่ 24 กันยายน 2562 ซึ่งจะมีบทเฉพาะกาลตามมาตรา 54 ให้นำประกาศและระเบียบที่ออกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติฯ นี้ใช้บังคับ มาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติฯ จนกว่าจะมีประกาศและระเบียบตามพระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ ทั้งนี้ การดำเนินการออกระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศตามพระราชบัญญัติฯ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ หากไม่สามารถดำเนินการได้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการได้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
3.เพื่อให้การดำเนินงานบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านตามบทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง สนพ. และ สบพน. จึงมีหนังสือหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปได้ดังนี้ (1) ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมาย อาจเกิดประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความมีผลใช้บังคับของข้อกำหนดตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ ได้ ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาความไม่ชัดเจนอันจะส่งผลให้เกิดปัญหาการใช้บังคับและการปฏิบัติการตามกฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงสมควรทบทวนข้อกำหนดตามที่กำหนดในคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 โดยยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 และออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดเฉพาะมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ ไว้เท่าที่จำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถประกาศใช้บังคับให้มีผลพร้อมกับพระราชบัญญัติฯ ได้ต่อไป (2) พระราชบัญญัติฯ ตามมาตรา 5 กำหนดให้กองทุนฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ในกรณีที่เกิดวิกฤติการณ์ด้านน้ำมันฯ และต้องอยู่ภายใต้กรอบนโยบายบริหารกองทุนฯ ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กำหนด ด้วยเหตุนี้ การดำเนินงานของกองทุนฯ อันได้แก่ การส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการจ่ายเงินชดเชย รวมถึงการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนจากกองทุนฯ และอัตราเงินชดเชยคืนกองทุนฯ จึงต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์เช่นว่านั้นและอยู่ภายใต้กรอบนโยบายบริหารกองทุนที่ กพช. กำหนดด้วย และจากบทเฉพาะกาลมาตรา 54 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น แม้จะยังไม่มีกรอบนโยบายการบริหารกองทุนฯ ก็ตาม การดำเนินงานของกองทุนฯ ในส่วนของการมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ก็ยังคงสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยนำประกาศและระเบียบที่ออกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ในส่วนที่เกี่ยวกับกองทุนฯ มาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ (3) สำหรับการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพตามที่ดำเนินการในปัจจุบัน มีการบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา 55 ที่กำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพที่ได้ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ โดยให้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อการดำเนินการดังกล่าวต่อไปได้เป็นระยะเวลาสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ และขยายระยะเวลาดำเนินการได้อีกไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสองปี เมื่อบทเฉพาะกาลดังกล่าวบัญญัติรองรับให้มีการจ่ายเงินชดเชยโดยไม่ได้มีความยึดโยงกับวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ จึงไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบนโยบายการบริหารกองทุนฯ ตามที่กำหนดในมาตรา 5 ดังนั้น แม้จะยังไม่มีการกำหนดกรอบนโยบายการบริหารกองทุนฯ โดย กพช. ก็สามารถดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพได้ตามบทเฉพาะกาลดังกล่าว (4) กรณีการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของก๊าซปิโตรเลียมเหลวตามที่ดำเนินการในปัจจุบันในระยะเริ่มแรกตามบทเฉพาะกาลนั้น มิได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 54 ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) เห็นว่า ถ้ายังไม่มีการกำหนดกรอบนโยบายการบริหารกองทุนฯ โดย กพช. ก็ไม่สามารถดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้ และ (5) คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) มีข้อสังเกตว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสมควรเร่งดำเนินการเสนอกรอบนโยบายการบริหารกองทุนฯ ต่อ กพช. เพื่อให้พิจารณากำหนดโดยเร็ว รวมทั้งควรเร่งรัดจัดทำแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนฯ เพื่อเสนอต่อ กพช. และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ กับเร่งดำเนินการออกประกาศหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติฯ เพื่อให้มีกรอบนโยบายและแผนที่ชัดเจนอันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของกองทุนฯ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายต่อไป
4. เพื่อให้การดำเนินงานเกี่ยวกับการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดชะงักตามคำแนะนำของคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงเห็นสมควรเสนอ กบง. เพื่อพิจารณา 2 เรื่อง ได้แก่
4.1 (ร่าง) กรอบนโยบายการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 สนพ. ร่วมกับ สบพน. ดำเนินการตามมาตรา 5 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติฯ จัดทำ (ร่าง) กรอบนโยบายการบริหารกองทุนฯ เสนอ กบง. เพื่อโปรดพิจารณา ก่อนเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบต่อไป โดยมีสาระสำคัญดังนี้ (1) การบริหารกิจการของกองทุนฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์มาตรา 5 เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและเป็นไปตามกรอบนโยบายการบริหารกองทุนฯ โดยวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า สถานการณ์ที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีการปรับราคาขึ้นอย่างรวดเร็วหรือผันผวนอันอาจเกิดผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน หรือสถานการณ์ที่น้ำมันเชื้อเพลิงอาจขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ ดังนี้ (1.1) สถานการณ์ที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีการปรับราคาขึ้นอย่างรวดเร็วหรือผันผวนหมายความว่ามีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง หรือหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น อันอาจเกิดผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคาซื้อขายน้ำมันดิบของตลาดที่สำคัญของโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วใน 1 สัปดาห์ รวมกันมากกว่า 5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของตลาดอ้างอิง มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นใน 1 สัปดาห์ รวมกันมากกว่า 1 บาทต่อลิตร หรือมีเหตุการณ์ ที่ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้น อยู่ในระดับที่เกินกว่าระดับราคาที่เหมาะสม มากกว่า 30 บาทต่อลิตร ในส่วนของก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้แก่ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคาต้นทุนการจัดหาจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติของ บริษัทยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) มีราคาสูงกว่าราคานำเข้า หรือมีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวของตลาดโลกเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ เฉลี่ยมากกว่า 35 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศเปลี่ยนแปลงใน 2 สัปดาห์ รวมกันมากกว่า 1 บาทต่อกิโลกรัม หรือ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับที่เกินกว่าระดับราคาที่เหมาะสมสำหรับถัง 15 กิโลกรัม มากกว่า 363 บาท (1.2) สถานการณ์ที่น้ำมันเชื้อเพลิงอาจขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ หมายความว่า มีเหตุการณ์ที่ทำให้ปริมาณการผลิตและหรือนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เป็นไปตามแผน โดยมีแนวโน้มอาจขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ อันอาจเกิดผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน (2) การรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หมายถึง การนำเงินกองทุนฯ ไปใช้จ่ายเพื่อชดเชยให้กับผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นโรงกลั่น หรือผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง หรือผู้ซื้อหรือได้มาซึ่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ตามมาตรา 29 มาตรา 30 และมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติฯ โดยให้มีกรอบและวินัยในการใช้จ่ายเงินเพื่อชดเชยดังต่อไปนี้ (2.1) เป็นการบรรเทาผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชน และหรือชะลอการขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ (2.2) เป็นมาตรการระยะสั้น และคงหลักการสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง หลีกเลี่ยงการกระทบต่อกลไกตลาดเสรี และ (2.3) คำนึงถึงภาวะความผันผวนของราคาต้นทุนที่แท้จริง แนวโน้มตลาดโลก หลีกเลี่ยงการชดเชยเพื่อช่วยเหลือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ควรอุดหนนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงข้ามกลุ่ม (Cross Subsidies)
4.2 (ร่าง) คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2562 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดย สนพ. ในฐานะเลขานุการฯ กบง. ได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 ซึ่งคณะทำงาน ฯ ได้ประชุมหารือร่วมกัน เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2562 เพื่อยกร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีใหม่ เป็น (ร่าง) คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2562 เรื่อง กำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (1) ปรับปรุงหน้าที่และอำนาจของ กบง. โดยยังคงมีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และหรือกำหนดราคา สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร หรือนำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณและหรือค่าการตลาดสำหรับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณและหรืออัตรา สำหรับค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงหรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคาและหรือกำหนดราคา สำหรับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นหรือราคาขายปลีก กำหนดให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นต่อคณะกรรมการฯ เป็นต้น และ (2) ปรับปรุงข้อกำหนด/ข้อห้ามปฏิบัติในการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซหุงต้ม โดยให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในหน้าที่ตามกฎหมายควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงและกฎหมายการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบ (ร่าง) กรอบนโยบายการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบ (ร่าง) คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2562 เรื่อง กำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และเห็นชอบให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 5. การทบทวนคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้แต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ 4/2545 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2545 เพื่อทำหน้าที่เสนอแนะนโยบาย แผนการบริหารและพัฒนา และมาตรการทางด้านพลังงานตามที่ กพช. มอบหมาย รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงานในหน้าที่ตามความจำเป็น ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2557 นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กพช. ได้ยกเลิกคำสั่ง กพช. ที่ 4/2545 และให้แต่งตั้ง กบง. ขึ้นใหม่ตามคำสั่ง กพช. ที่ 1/2557 โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คงเดิม ทั้งนี้ กบง. ได้มีคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงานด้านต่างๆ จำนวน 29 คณะ ต่อมาในช่วงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาบริหารประเทศ และได้แต่งตั้ง กบง. ขึ้นใหม่ โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เหมือนคำสั่ง กพช. ที่ 1/2557 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2557 ต่อมา กบง. ได้ทบทวนปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการทั้ง 29 คณะ และแต่งตั้งขึ้นใหม่ 9 คณะ ดังนี้ (1) คณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (2) คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) (3) คณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน (4) คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษา แนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) (5) คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือ ด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (6) คณะอนุกรรมการประสานนโยบายและความร่วมมือพหุภาคีด้านพลังงานกับต่างประเทศ (7) คณะอนุกรรมการบริหารจัดการเชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล (8) คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการปฏิบัติงานภายใต้ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และ (9) คณะอนุกรรมการบริหารจัดการการจัดหา ราคา และความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ
2. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 คณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้สิ้นสุดลงตามมาตรา 265 แห่งรัฐธรรมนูญฯ และ กบง. ที่แต่งตั้งตามคำสั่ง คสช. ที่ 55/2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 1/2558 ได้สิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ลงด้วย และต้องกลับมาใช้ กบง. ตามคำสั่ง กพช. ที่ 1/2557 วันที่ 16 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งมีคณะอนุกรรมการจำนวน 29 คณะ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. เป็นไปอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดเดิม จำนวน 29 คณะและให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นใหม่ จำนวน 9 คณะ โดยให้มีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่สอดคล้องกับคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. ที่แต่งตั้งโดย คสช. แต่อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 24 กันยายน 2562 พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 จะมีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ อบน. ที่มีหน้าที่พิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทน กบง. สิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ลง ดังนั้น จึงเห็นควรมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปจัดทำร่างคำสั่ง กบง. เพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดที่เหลือจำนวน 8 คณะ เพื่อเสนอประธาน กบง. พิจารณาลงนามต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) จำนวน 29 คณะ ที่ กบง. ได้แต่งตั้งขึ้นก่อนวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 1/2557 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2557
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปจัดทำร่างคำสั่ง กบง. เพื่อแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. จำนวน 8 คณะ โดยให้มีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่สอดคล้องกับคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. ที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งนี้ อาจมีการทบทวนองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ให้เป็นปัจจุบัน ก่อนนำเสนอประธาน กบง. พิจารณาลงนามต่อไป ดังนี้
(1) คณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ
(2) คณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน
(3) คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)
(4) คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
(5) คณะอนุกรรมการประสานนโยบายและความร่วมมือพหุภาคีด้านพลังงานกับต่างประเทศ
(6) คณะอนุกรรมการบริหารจัดการเชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล
(7) คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการปฏิบัติงานภายใต้ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
(8) คณะอนุกรรมการบริหารจัดการการจัดหา ราคา และความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ
เรื่องที่ 6. ความคืบหน้าการดำเนินคดีกับบริษัท ยูไนเต็ดแก๊ส จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1.บริษัท ยูไนเต็ดแก๊ส จำกัด เป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 แต่บริษัทฯ นำส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามปริมาณที่จำหน่ายก๊าซในแต่ละเดือนที่กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) แจ้งมายังสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) ซึ่งเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 และวันที่ 30 กันยายน 2557 สบพน. ได้รายงานเรื่องดังกล่าวต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และ กบง. ให้ สบพน. ประสานงานกับ ธพ. ในการเจรจาทวงถาม ซึ่ง สบพน. มีหนังสือทวงถามถึงบริษัทฯ แล้วแต่บริษัทฯ ก็ยังมียอดคงค้างชำระหนี้ สบพน. จึงร่วมกับ ธพ. ดำเนินคดีตามกฎหมายกับบริษัทฯ
2. วันที่ 1 กรกฎาคม 2559 ศาลแพ่งได้ประทับรับฟ้องตามคดีหมายเลขดำที่ พ.3040/2559 ระหว่าง สบพน. ร่วมกับ ธพ. ในการยื่นฟ้องบริษัท ยูไนเต็ดแก๊ส จำกัด (จำเลย) ข้อหาหรือฐานความผิด เรียกหนี้กองทุนน้ำมันฯ และเงินเพิ่ม โดยขอให้ชดใช้เงิน 121,048,633.29 บาท พร้อมด้วยเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนของต้นเงินจำนวน 77,952,717 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้บริษัทฯ ชำระเงินจำนวน 121,048,633.29 บาท พร้อมเงินเพิ่มอีกร้อยละ 3 ต่อเดือน ของต้นเงินจำนวน 77,952,717 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เพื่อนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท ต่อมาบริษัทฯ ได้ยื่นขออุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลแพ่ง และศาลแพ่งได้มีหมายส่งสำเนาอุทธรณ์และสำเนาคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีลงวันที่ 8 สิงหาคม 2562 แจ้งยัง สบพน. ในฐานะโจทก์ที่ 1 โดยแจ้งว่า หากประสงค์จะแก้อุทธรณ์ และคัดค้านการขอทุเลาฯ ให้ยื่นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2562
3. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 สบพน. มีหนังสือถึงอัยการ สำนักงานคดีแพ่ง เพื่อแจ้งความประสงค์ขอให้ยื่นแก้อุทธรณ์และคัดค้านคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2562 สบพน. ได้รายงานการดำเนินคดีกับบริษัทฯ ต่อคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ซึ่งที่ประชุมฯ มีมติให้ สบพน. รายงานความคืบหน้าการดำเนินคดีกับบริษัทฯ ให้ กบง. ทราบต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ