Super User
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 8 ธันวาคม 2553
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 7 ธันวาคม 2553
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 3 ธันวาคม 2553
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 2 ธันวาคม 2553
ครั้งที่ 51 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2552 (ครั้งที่ 51)
เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท
2. แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553-2555
3. แนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
4. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
5. ขอปรับปรุงแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท๊กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท๊กซี่ NGV
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 ได้พิจารณาเรื่องแนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากการนำเข้า และได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอ กบง. พิจารณาใหม่อีกครั้ง
2. ในช่วงเดือนเมษายน 2551 - ตุลาคม 2552 ปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG มีทั้งสิ้น 969,633 ตัน และจากการที่ราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศ ต่ำกว่าราคาตลาดโลกทำให้ต้องชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า คิดเป็นเงินประมาณ 11,796 ล้านบาท LPG โดยในเดือนสิงหาคม, กันยายนและตุลาคม 2552 ชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ประมาณ 670, 845 และ 1,131 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าวงเงินที่ กบง. กำหนด อยู่ประมาณ 170 ล้านบาท 345 และ 631 ล้านบาท ตามลำดับ
3. ในเดือนพฤศจิกายน 2552 - มีนาคม 2553 ประมาณการใช้ก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 423 - 491 พันตัน ปริมาณการผลิตในประเทศอยู่ที่ระดับ 310 - 382 พันตัน และปริมาณการนำเข้าอยู่ที่ระดับ 109 - 141 พันตัน จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในเดือนธันวาคม 2552 คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 668 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 650 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งจากประมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นและราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2552 เป็นต้นไป เกินวงเงินที่มติ กบง. กำหนดไว้ที่ระดับ 500 ล้านบาท/เดือน
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,001 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 20,512 ล้านบาท
5. เพื่อให้ สบพน. สามารถจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในส่วนที่เกินวงเงินที่มติ กบง. กำหนดไว้ได้ จึงขอความเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ตามภาระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในส่วนที่เกินวงเงินที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีมติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ตามภาระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน
เรื่องที่ 2 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553-2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. รวมเป็นจำนวนเงิน 173,679,300 บาท พร้อมเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2552 ให้ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 23,214,700 บาท, 12,595,200 บาท, 2,606,800 บาท, 911,900 บาท และ 1,486,800 บาท ตามลำดับ และรวมค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร 804,000 บาท เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 41,619,400 บาท ภายใต้กรอบงบประมาณปี 2552 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติ
2. สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้รายงานแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารตามที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2552 จำนวน 41,619,400 บาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 มีแผนการใช้จ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 24,224,771 บาท เงินคงเหลือ 17,394,629 บาท โดยพบว่า สป.พน. และ สนพ. มีแผนการใช้จ่ายต่ำกว่างบประมาณที่ตั้งขอไว้มากเพียงร้อยละ 59.42 และ 37.03 ตามลำดับ เนื่องจากทั้งสองหน่วยงานได้ขอเงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางไปราชการต่างประเทศค่อนข้างสูง คือประมาณ 9.2 และ 6.6 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดพยายามหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นการเดินทางไปดูงานและสัมมนาในต่างประเทศ ประกอบกับ สนพ. ยังไม่มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับการจ้างที่ปรึกษา 2 อัตรา จำนวน 1.2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักงบส่วนนี้ของทั้งสองหน่วยงานออก ทำให้งบประมาณของทั้งสองหน่วยงานจะเหลือเป็น 13.99 ล้านบาท และ 5.99 ล้านบาท ตามลำดับ ทำให้แผนการใช้จ่ายเงินของทั้งสองหน่วยงานคิดเป็นร้อยละ 98.54 และ 97.25 ตามลำดับ
3. ในปีงบประมาณ 2552 สป.พน. สนพ. ธพ. และกรมสรรพสามิต ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอเงินสนับสนุนจากงบค่าใช้จ่ายอื่น กองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 - 24 กันยายน 2552 ซึ่ง กบง. ได้อนุมัติเงินทั้งสิ้น 205.98 ล้านบาท โดยให้เงินสนับสนุน สป.พน. สนพ. ธพ. และกรมสรรพสามิต เป็นเงิน 47.4 ล้านบาท, 93 ล้านบาท, 65.18 ล้านบาท และ 0.40 ล้านบาท ตามลำดับ และผลการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ในปี 2552 ดังนี้
3.1 สป.พน. ได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการจำนวน 2 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ
3.2 สนพ. ได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการ 5 โครงการ อยู่ระหว่างการดำเนินงาน 4 โครงการ โครงการที่ไม่ได้ดำเนินการคือ แผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (30 ล้านบาท) เนื่องจาก คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน
3.3 ธพ. ได้รับเงินสนับสนุน 10 โครงการ มีการดำเนินงาน 9 โครงการ และ 1 โครงการ ที่ไม่ได้ดำเนินการคือ แผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV (88.8 ล้านบาท) เนื่องจาก กพช. ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคา NGV ออกไปก่อน ดังนั้น ปี 2552 ธพ. ได้ดำเนินการเสร็จสิ้น 2 โครงการ และมี 1 โครงการที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ คือ โครงการส่งเสริมสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีระยะเวลาดำเนินการอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม 2552 - เมษายน 2553
3.4 กรมสรรพสามิต ได้รับเงินสนับสนุนในโครงการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำระบบฐานข้อมูลและคาดว่าผลการดำเนินงานจะเป็นไปตามเป้าหมาย
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 31,001 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 20,512 ล้านบาท
5. ปีงบประมาณ 2553 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขอปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 45,544,600 บาท และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) - 2555 และได้มีมติดังนี้
6.1 รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารและงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ของหน่วยงานต่างๆ
6.2 เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 - 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานหน่วยงานดังกล่าว เพื่อปรับจำนวนเงินรวมในปีงบประมาณ 2553 - 2555 ให้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 121.2661 ล้านบาท เท่ากับจำนวนเงินรวมของงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2553 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 และเห็นชอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปี 2553 - 2555
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | ปีงบประมาณ | รวม 2553 - 2555 |
||
พ.ศ. 2553 | พ.ศ. 2554 | พ.ศ. 2555 | ||
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 23.2147 | 23.2147 | 23.2147 | 69.6441 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 9.9539 | 9.9570 | 9.9570 | 29.8679 |
3. กรมสรรพสามิต | 3.7701 | 3.7122 | 3.7122 | 11.1945 |
4. กรมศุลกากร | 0.9079 | 0.8579 | 0.8579 | 2.6237 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 3.7949 | 1.6351 | 1.7019 | 7.1319 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | 0.8040 | - | - | 0.8040 |
รวมค่าใช้จ่ายงบบริหาร | 42.4455 | 39.3769 | 39.4437 | 121.2661 |
7. งบค่าใช้จ่ายอื่น | 300.0000 | 300.0000 | 300.0000 | 900.0000 |
รวมทั้งสิ้น (1 - 7) | 342.4455 | 339.3769 | 339.4437 | 1,021.2661 |
6.3 เห็นชอบงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงินรวม 42.4455 ล้านบาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ตามตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | หมวดค่าครุภัณฑ์ | หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ | รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 1.8309 | 12.1678 | - | 9.2160 | 23.2147 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.3399 | 0.9140 | - | 8.7000 | 9.9539 |
3. กรมสรรพสามิต | 2.1781 | 1.3150 | 0.2650 | 0.0120 | 3.7701 |
4. กรมศุลกากร | 0.5218 | 0.3361 | 0.0500 | - | 0.9079 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 1.0494 | 2.7455 | - | - | 3.7949 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | - | - | - | 0.8040 | 0.8040 |
รวม | 5.9201 | 17.4784 | 0.3150 | 18.7320 | 42.4455 |
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารและงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ของหน่วยงานต่างๆ
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 - 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 121.2661 ล้านบาท (หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดล้านสองแสนหกหมื่นหกพันหนึ่งร้อยบาทถ้วน) และเห็นชอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามรายละเอียดตารางที่ 1
3. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 42.4455 ล้านบาท (สี่สิบสองล้านสี่แสนสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ตามรายละเอียดตารางที่ 2
4. ให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รับข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในการตั้งงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 แนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ได้กำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเวลา 6 เดือน (25 กรกฎาคม 2551 - 31 มกราคม 2552) ซึ่งส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ สิ้นวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการพยายามลดผลขาดทุนด้วยการลดปริมาณน้ำมันคงเหลือในสถานีบริการให้น้อยที่สุด จนเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 กบง. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต เพื่อพิจารณาและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2551 และปัญหาการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552
3. ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2551 มีสถานีบริการที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันมาตรา 11 จำนวน 18,131 ราย ในการปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 เมื่อมีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน พนักงานเจ้าหน้าที่จะไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ โดยผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการต้องลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจ จากนั้นพนักงานเจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่ตรวจวัดได้จัดส่งให้ ธพ. เพื่อสรุปจำนวนเงินที่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการแต่ละรายมีสิทธิได้รับเงินชดเชย แล้วจัดส่งหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเพื่อให้ยื่นเอกสารขอรับเงินชดเชยจาก สบพน. ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ ธพ. ลงในหนังสือ โดยสรุปมีจำนวนสถานีบริการที่พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจวัด 16,550 ราย มีสถานีบริการที่มีสิทธิรับเงินชดเชย 13,632 ราย และมีสถานีบริการที่ยื่นขอรับเงินชดเชย 10,545 ราย
4. สบพน. จ่ายเงินชดเชยโดยโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารเข้าบัญชีผู้มีสิทธิรับเงินชดเชย และได้ปฏิบัติตามวิธีการจ่ายเงินของส่วนราชการในการจ่ายเงินผ่านธนาคารให้ผู้มีสิทธิรับเงิน โดยห้ามโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงิน ซึ่ง ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2552 สบพน. จ่ายเงินชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมัน 10,135 ราย เป็นเงิน 2,903.07 ล้านบาท ประกอบด้วย ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จำนวน 15 ราย ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 10 จำนวน 15 ราย และผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 (สถานีบริการ) จำนวน 10,105 ราย ซึ่งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยฯ ได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ สบพน. ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยฯ ไปแล้ว 170 ราย คิดเป็นเงิน 2.47 ล้านบาท และนับตั้งแต่เริ่มประชุมคณะอนุกรรมการฯ คือตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2552 ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2552 มีความคืบหน้าในการจ่ายเงินชดเชยแล้ว 220 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 2.68 ล้านบาท
5. ประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไข มีดังนี้
5.1 กระทรวงการคลังกำหนดวิธีการและขั้นตอนการจ่ายเงินของส่วนราชการในการจ่ายเงินผ่านธนาคารให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงิน โดยห้ามโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงิน ทำให้ สบพน. ไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้ประกอบการในปัจจุบันได้เนื่องจากไม่เป็นผู้มีสิทธิรับเงินตามที่ ธพ. แจ้งไว้ต่อ สบพน.
5.2 จากคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 1/2552 ลงวันที่ 28 มกราคม 2552 ข้อ 3 วรรคสอง "ถ้าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายใดที่ได้รับเงินชดเชยตามข้อ 2 ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ หรือปิดคลังน้ำมัน หรือสถานีบริการ หรือกระทำการใดๆ ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหรือคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งได้ ให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนในจำนวนเงินที่คำนวณจากปริมาณน้ำมันคงเหลือสุทธิที่ตรวจวัดได้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 คูณด้วยส่วนต่างราคาตามประกาศราคาขายปลีกตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายนั้นยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากส่วนต่างราคาในการลดภาษีสรรพสามิตเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2551" ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ วินิจฉัยแล้วว่า การไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามที่กล่าวข้างต้น หมายถึงเฉพาะกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือเพื่อคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนและยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิตเท่านั้น ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่ไม่ได้รับเงินชดเชยด้วยเหตุอื่นจะถือเป็นเหตุอ้างที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนมิได้
5.3 ที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชย ดังนี้
ปัญหา | แนวทางแก้ไขปัญหา |
(1) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการเสียชีวิต |
ให้ทายาทดำเนินการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อขอรับเงินชดเชย |
(2) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการยื่นขอรับเงินชดเชยเกินระยะเวลาที่กำหนด |
ควรพิจารณาจากข้อเท็จจริง หากปัญหาที่เกิดขึ้นมิใช่ความบกพร่องของผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ เห็นสมควรจ่ายเงินชดเชยให้ได้ โดยต้องมีหลักฐานยืนยัน แต่หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการปล่อยปละละเลยโดยไม่มีเหตุอันสมควร ก็ไม่จำต้องจ่ายเงินชดเชย |
(3) กรณีผู้ประกอบการค้าน้ำมันในปัจจุบันเช่าสถานีบริการเพื่อดำเนินกิจการต่อจากผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ |
ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่มีรายชื่อในทะเบียน สามารถตั้งผู้แทนมาขอรับเงินได้ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงิน ส่งคลัง พ.ศ.2551 ข้อ 36 |
(4) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการจดทะเบียนเลิกกิจการ |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่เป็นนิติบุคคลและจดทะเบียนเลิกกิจการแล้ว โดยจ่ายเงินเข้าบัญชีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ หากรายใดไม่มีบัญชีเงินฝากในนามนิติบุคคลนั้นๆ ควรพิจารณาจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล |
(5) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ขอรับเงินชดเชย 1 ราย และขอรับเงินชดเชยแต่ไม่สะดวกรับเงินผ่านบัญชีธนาคาร 5 ราย ดังนั้นหาก สบพน.จ่ายเงินชดเชยผ่านบัญชีธนาคาร จะขอไม่รับเงินชดเชย |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการโดยสั่งจ่ายธนาณัติในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่สะดวกรับเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคาร สำหรับกรณีที่แจ้งความประสงค์มาตั้งแต่ต้นว่าขอไม่รับเงินชดเชย จึงเป็นการสละสิทธิ์ สบพน. จึงไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย |
(6) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ได้รับหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชยจาก ธพ. |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการหากปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ได้รับหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชย เนื่องจากความผิดพลาดในการจัดส่งไปรษณีย์ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของผู้จัดส่ง (ธพ.) หรือบุรุษไปรษณีย์ก็ตามซึ่งอาจดูได้จากซองจดหมายที่ตีกลับหรือ ธพ. ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีจดหมายตีกลับ และผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการได้อุทธรณ์มาด้วย |
(7) กรณีผู้ประกอบการไม่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 |
กรณีที่ผู้ประกอบการไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 ก่อนปรับลดภาษีสรรพสามิต ถือว่าไม่ได้เป็นผู้ค้าน้ำมันตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 จึงไม่สมควรได้รับเงินชดเชย |
(8) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ส่งเอกสารมาขอรับเงินชดเชย และอุทธรณ์มายังกรมธุรกิจพลังงาน |
เหตุที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ส่งเอกสารมาขอรับเงินชดเชยเป็นความละเลยของผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ จึงไม่สมควรจ่ายเงินชดเชยให้ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ ยังคงมีหน้าที่ต้องส่งเงินให้กองทุนเมื่อมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต |
5.4 คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาปัญหาการจ่ายเงินชดเชยในแต่ละรายแล้ว เห็นควรจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ 126 ราย และไม่เห็นควรจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ จำนวน 44 ราย
5.5 คณะอนุกรรมการฯ ตั้งข้อสังเกตว่า การจ่ายเงินชดเชยไม่สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุมีการเปลี่ยนแปลงผู้ประกอบการ แต่มิได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทางทะเบียนให้ถูกต้อง ส่งผลให้ชื่อผู้ประกอบการที่ปรากฏในทะเบียนไม่ตรงกับชื่อผู้ประกอบการในปัจจุบัน ทำให้เกิดปัญหาในการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งเป็นการละเลยการปฏิบัติ จึงสมควรให้ความรู้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการในการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง และกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจตราให้มีการปฎิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
6. คณะอนุกรรมการฯ ขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต ตามข้อ 5.3 และ 5.4 ต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับภาษีสรรพสามิต ตามที่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิตเสนอ
เรื่องที่ 4 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ได้มีข้อเสนอโครงการเร่งด่วนเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
2. ด้วยในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะ "พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" จะมีพระชนมายุครบ 82 พรรษา กระทรวงพลังงานซึ่งมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบด้านพลังงานของประเทศ จึงได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อร่วมถวายพระพรและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอัจฉริยะภาพด้านพลังงาน ซึ่งทรงเป็นแบบอย่างที่ประชาชนคนไทยควรต้องตระหนักและปฏิบัติตามแนวทางเรื่องพลังงานที่พระองค์ได้ทรงวางไว้
3. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย เป็นโครงการจัดซื้อสื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทหนังสือพิมพ์ เพื่อลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ถวายพระพรชัยมงคลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย ในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุครบ 82 พรรษาในปี 2552 และพระราชกรณียกิจด้านพลังงานในขนาด Cover jacket หรือขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้สมพระเกียรติในประเภทหนังสือพิมพ์ที่หน่วยงานเห็นว่าเหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายคือประชาชน ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ/ภาคเอกชน สื่อมวลชนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในสังกัดกระทรวงพลังงาน ใช้งบประมาณในวงเงิน. 4 ล้านบาท โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2553 ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา โดยจะต้องลงสื่อประชาสัมพันธ์ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งมีสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
มติของที่ประชุม
เนื่องจากรัฐบาลได้ให้นโยบายด้านพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งมีนโยบายส่งเสริมการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน สนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะ "พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" จะมีพระชนมายุครบ 82 พรรษา ในปี 2552 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานจึงมีมติดังนี้
1. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย ในวงเงิน 4 ล้านบาท (สี่ล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
2. ให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ในเรื่องของมาตรการการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ในปัจจุบัน โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณคันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 ได้มีมติเห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยสรุปหลักการที่สำคัญได้ดังนี้
2.1 การดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
2.2 ให้ สป.พน. เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สป.พน. ธพ. ปตท. และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ เตรียมความพร้อมด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ (1) อู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก (2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้ได้ตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบกและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการรถแท็กซี่ (3) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง (4) ตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด (5) ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก และ (6) กำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้ สป.พน. และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) ให้ สป.พน. ธพ. และ สบพน. ร่วมกันตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
2.3 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
2.4 เพื่อให้การดำเนินการตามแผนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
2.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้ กบง. ทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
2.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น การประกวดราคา 2 เดือน การติดตั้ง 4 เดือน การตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
2.7 อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 2.2 เป็นจำนวนเงินรวม 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น 1) ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท และ 2) ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์และถัง LPG ประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
2.8 อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200,000,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อติดตั้งครบ 30,000 คันแล้ว และมีเงินคงเหลือ หากมีรถแท๊กซี่ต้องการเปลี่ยนเป็น NGV เพิ่มเติม ก็ให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
3. เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2552 สป.พน. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ซึ่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2552 คณะทำงานฯ ได้มีการประชุมพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวฯ โดยมีมติสรุปได้ดังนี้ 1) เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบพัสดุ โดยใช้วิธี e-Auction และควรให้มีการกระจายให้เกิดผู้รับจ้าง 10 สัญญา เพื่อป้องกันการผูกขาด 2) เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดในการติดตั้งจึงกำหนดระยะเวลาในการติดตั้งจาก 4 เดือน เป็น 6 เดือน 3) การเบิกจ่ายของผู้รับจ้างสามารถเบิกจ่ายได้เดือนละครั้ง และ 4) เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการร่าง TOR คณะกรรมการประกวดราคา และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ โดยให้มีตัวแทนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจากตัวแทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ และให้เป็นไปตามระเบียบราชการ
4. กระทรวงพลังงานได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (Term of Reference: TOR) และร่างเอกสารการประกวดราคาของโครงการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ ได้ประชุมหารือถึงแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เกิดการกระจายผู้รับจ้างเป็น 10 สัญญา และเห็นว่าแนวทางการกระจายผู้รับจ้างโดยแบ่งเป็นหลายสัญญา อาจทำให้เกิดปัญหาที่ผู้รับจ้างไม่สามารถจะดำเนินการติดตั้งเพื่อปรับเปลี่ยนจาก LPG มาเป็น NGV ได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา เนื่องจากเจ้าของรถแท็กซี่สามารถตัดสินใจที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ จึงยากที่จะควบคุมปริมาณรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรับผิด อันเนื่องมาจากไม่สามารถติดตั้งได้ตามสัญญาและไม่เป็นที่จูงใจให้อู่ติดตั้งสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการ
5. คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ จึงได้ขอปรับปรุงแนวทางการดำเนินการฯ ดังกล่าว ดังนี้ 1) ให้จัดสรรเงินสนับสนุนเป็น 2 ส่วน คือส่วนของการจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบและส่วนของการสนับสนุนการติดตั้ง NGV 2) ในส่วนการประกวดราคา ให้เป็นการประกวดราคาเพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และ 3) ในส่วนการสนับสนุนการติดตั้งเพื่อปรับเปลี่ยนจากรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG มาเป็นรถแท็กซี่ NGV ให้เป็นการสนับสนุนค่าบริการติดตั้งตามที่จ่ายจริงสำหรับรถแท็กซี่ที่ได้มีการเปลี่ยนจากรถแท็กซี่ LPG มาเป็นรถแท็กซี่ NGV
6. ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นควรให้มีการปรับปรุงแนวทางการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV เพื่อให้กระบวนการการดำเนินการมีความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์สูงสุดตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ โดยฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาต่อ กบง. ดังนี้
6.1 ขอความเห็นชอบในหลักการ การจัดสรรค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1) เงินสนับสนุนสำหรับใช้ในการประกวดราคา (e-Auction) เพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 30,000 ชุด ชุดละ 35,000 บาท โดยแบ่งการประกวดราคาเป็น 3 งวด คือ 15,000 ชุด, 10,000 ชุด และ 5,000 ชุด ซึ่งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบจำนวน 18 รายการประกอบด้วย (1) ถังบรรจุก๊าซ ขนาด 100 ลิตรน้ำ พร้อมวาล์วหัวถัง (2) อุปกรณ์ปรับความดันก๊าซ (3) อุปกรณ์แสดงค่าความดันก๊าซ (4) ท่อก๊าซแรงดัน (5) อุปกรณ์รับเติมก๊าซ (6) วาล์วโซลินอยล์ความดันสูง (7) ท่อแรงดันต่ำ (8) สวิตซ์เลือกเชื้อเพลิง แบบ Automatic (9) กล่องฟิวส์และฟิวส์ (10) อุปกรณ์ควบคุมการผสมก๊าซกับอากาศ (11) ไส้กรองก๊าซ (12) ท่อระบายก๊าซ (13) ข้อต่อ (14) อุปกรณ์ปรับการไหลของก๊าซ (15) วาล์วป้องกันความเสียหายจากการเกิดระเบิดย้อนกลับ (16) อุปกรณ์หลอกหัวฉีด (17) รีเลย์ตัดปั๊ม และ (18) อุปกรณ์ปรับเวลาการจุดระเบิด
2) เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ รวมทั้งการประกันหลังการขายในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ของอู่ติดตั้ง NGV ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
6.2 มอบหมายให้ สป.พน. แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย
6.3 ขอความเห็นชอบปรับระยะเวลาการดำเนินการสำหรับการประกวดราคา การติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 9 เดือน เป็นประมาณ 10 เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการการจัดสรรค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.1 เงินสนับสนุนสำหรับใช้ในการประกวดราคา (e-Auction) เพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 30,000 ชุด ชุดละ 35,000 บาท โดยแบ่งการประกวดราคาเป็น 3 งวด งวดแรก 15,000 ชุด งวดที่สอง 10,000 ชุด และงวดที่สาม 5,000 ชุด
1.2 เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ รวมทั้งการประกันหลังการขายในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ของอู่ติดตั้ง NGV ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
2. มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย
3. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการดำเนินการสำหรับการประกวดราคา การติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 9 เดือน เป็นประมาณ 10 เดือน
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส ในเดือนกันยายน 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 67.64 และ 69.41 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 3.70 และ 1.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่วนในเดือนตุลาคม 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.15 และ 75.73 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 พฤศจิกายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.78 และ 78.70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.62 และ 2.98 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จาก Dow Jones Newires คาดการณ์โรงกลั่นขนาดใหญ่ของจีน 17 แห่ง จะเพิ่มอัตราการกลั่นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 88.5 ประกอบกับรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ประธานโอเปกกล่าวว่ามีแนวโน้มที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมในเดือนธันวาคม 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบทั่วโลกอยู่ในระดับสูงที่ 62 Days Of Forward Cover (โอเปกต้องการให้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53 Days Of Forward Cover) นอกจากนี้กลุ่มผู้ก่อการประท้วงวัยรุ่นในไนจีเรียเข้าบุกยึดและปิดล้อมแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Conoil (25,000 บาร์เรล/วัน) ของรัฐฯ Ondo ส่งผลให้ต้องหยุดดำเนินการ
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนกันยายน 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 75.63, 73.84 และ 74.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 6.47, 6.29 และ 4.37 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่วนในเดือนตุลาคม 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.71, 76.05 และ 79.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 พฤศจิกายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 81.94, 79.86 และ 84.29 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.23, 3.81 และ 4.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและรอยเตอร์รายงานยอดขายน้ำมันเบนซินของ Sinopec และ Petrochina เดือนตุลาคม 2552 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 มาอยู่ที่ระดับ 49.3 ล้านบาร์เรล ประกอบกับ Saudi Aramco ของซาอุดีอาระเบียนำเข้าน้ำมันเบนซิน 600,000 บาร์เรล ส่งมอบพฤศจิกายน 2552 รวมทั้งรัสเซียประกาศเพิ่มภาษีส่งออกน้ำมันดีเซลในเดือนธันวาคม 2552 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 26.8 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านตัน
3. ในเดือนกันยายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 1.04 บาท/ลิตร ,แก๊สโซฮอล 95 E85 ลดลง 0.80 บาท/ลิตร , ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.86 และ 1.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ ในเดือนตุลาคม 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10 , E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 0.58 บาท/ลิตร,แก๊สโซฮอล 95 E85 ลดลง 3.20 บาท/ลิตร , ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.13 และ 0.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 19 พฤศจิกายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.22 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.49 บาท/ลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 อยู่ที่ระดับ 40.94, 35.34, 31.74, 29.44, 18.72, 30.94, 28.19 และ 26.79 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนพฤศจิกายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 77 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 660 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบและอุปทานในภูมิภาคลดลงส่งผลให้ปริมาณส่งออกในตลาดจรน้อยลง ในขณะที่ผู้นำเข้าจากจีนเสนอซื้อปริมาณ 22,000 ตัน ส่งมอบเดือน พฤศจิกายน 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองในโรงกลั่นหลายแห่งลดลงและจีนเข้าสู่ฤดูหนาว ส่วนราคา LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ รัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ระดับ 11.1637 บาท/กิโลกรัม และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ 18.13 บาท/กิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เมษายน 2551 - 13 พฤศจิกายน 2552 ได้มีการนำเข้ารวม 1,009,989 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 12,334 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนตุลาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 17 ราย แต่ผลิตเป็นเชื้อเพลิง 12 ราย มีกำลังการผลิตรวม 2.73 ล้านลิตร/วัน มีปริมาณการผลิตจริง 1.04 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนพฤศจิกายน ปี 2552 อยู่ที่ 24.97 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2552 มีปริมาณการจำหน่าย 11.6 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 4,235 แห่ง ซึ่ง ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 3.60 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 4.40 บาท/ลิตร และในเดือนตุลาคม 2552 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณการจำหน่าย 0.26 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 237 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนตุลาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 4.45 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 1.56 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2552 อยู่ที่ 25.45 บาท/ลิตร มีปริมาณการจำหน่าย 20.70 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,571 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.40 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,001 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 20,512 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการนำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน และการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนด้วย และกรมบัญชีกลางได้เห็นชอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. ในปี 2551 บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) ร่วมกับกรมบัญชีกลางได้ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ เฉพาะที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการในส่วนรายรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) เป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552 กรมบัญชีกลาง ได้รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกระทรวงการคลัง ซึ่งเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551โดยผลการดำเนินงานตามเกณฑ์ด้านต่างๆ มีดังนี้ 1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ได้ 4.9351 คะแนน 2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ได้ 1 คะแนน 3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้ 5 คะแนน และ 4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ได้ 5 คะแนน ซึ่งผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.5379 คะแนน (อยู่ในระดับดี คือสูงกว่าค่าปกติ/สูงกว่า 3 คะแนน) และได้ส่งรายงานดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานเพื่อใช้ประกอบการติดตามผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 1 ธันวาคม 2553
ครั้งที่ 50 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 13/2552 (ครั้งที่ 50)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กันยานยน 2550 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของการกำหนดราคา NGV ตามต้นทุน โดยให้ใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ณ ราคาก๊าซเฉลี่ย POOL 2 บวกด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งรวมค่าการตลาดแล้ว และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอในส่วนของค่าใช้จ่ายดำเนินการอีกครั้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 กพช. ได้มีมติมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาและให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์ใหม่ของหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นชอบในหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 สามารถสรุปโครงสร้างราคาขายปลีก NGV ได้ดังนี้
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 กพช. ได้เห็นชอบให้มีการปรับสูตรการคำนวณและแนวทางการกำกับดูแลราคาขายปลีก NGV โดยให้ กพช. กำกับดูแลต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติและให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณาหลักเกณฑ์การคำนวณราคาขายปลีก NGV และได้เห็นชอบให้มีการปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเพิ่มเติมนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)" เพื่อให้ราคาขายปลีก NGV ถูกกำกับดูแลภายใต้กรอบอันเดียวกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับภาคขนส่งชนิดอื่นๆ โดยให้ กบง. เป็นผู้พิจารณา ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีการจัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 โดยได้แก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" และเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์" เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนามต่อไป ดังนี้
3.1 แก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" จากเดิม "น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน และให้ความหมายรวมถึงก๊าซและยางมะตอยด้วย" เป็น "น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน และให้ความหมายรวมถึงก๊าซ ยางมะตอยและก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ด้วย"
3.2 เพิ่มเติมบทนิยาม "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งประกอบด้วยมีเทนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ"
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยแก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" และเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์" และให้ผนวกรวมร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 เข้าด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาความถูกต้องของร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
เรื่องที่ 2 แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยได้เห็นชอบหลักการการจัดสรรปริมาณก๊าซ LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ หลักการกำหนดส่วนต่างราคาระหว่างก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยกำหนดราคาขายปลีกเป็น 2 ราคาด้วยการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็น 2 อัตรา และแนวทางการทยอยปรับขึ้นราคาหลายครั้งเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน และยังได้เห็นชอบแนวทางในการแก้ไขและป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะในส่วนมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวน 20,000 คัน ในระยะเวลา 4 เดือน
2. เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าฯ ได้หารือกับผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการรถแท็กซี่ถึงแนวทางการช่วยเหลือให้รถแท็กซี่เปลี่ยนมาใช้ NGV จำนวน 20,000 คัน ซึ่งสมาคมฯ ยินดีเข้าร่วมโครงการ แต่ขอมีส่วนร่วมในการพิจารณาในส่วนของมาตรฐานของอุปกรณ์ NGV ที่จะนำมาติดตั้งและในการติดตามความก้าวหน้าของการขยายสถานีบริการ NGV และจำนวนรถที่ใช้ขนส่งก๊าซ
3. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้เห็นชอบแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ตามที่คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าฯ เสนอ และอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ในวงเงิน 88.8 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 ที่ให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน ส่งผลให้มาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวน 20,000 คัน ตามที่ กบง. ได้มีมติไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ไม่มีการดำเนินการ และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ในเรื่องมาตรการการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่จำนวน 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ คันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ให้มาใช้ NGV จะสามารถช่วยลดการใช้ก๊าซ LPG ได้ประมาณ 30,000 ตัน/เดือน และช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน ซึ่งจำนวนรถแท็กซี่ที่ติดตั้ง NGV สะสมถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2552 มีจำนวน 45,404 คัน จากที่มีใช้งานอยู่บนท้องถนนประมาณ 75,000 คัน (รถแท็กซี่จดทะเบียนสะสมกับกรมการขนส่งทางบก ณ สิ้นปี 2551 มีจำนวน 84,785 คัน)
4. ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ
4.1 กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
4.2 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สป.พน. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ปตท. และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ ในการเตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ (1) ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก (2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้เป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก (3) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง (4) ตรวจสอบความถูกต้องการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ (5) ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก และ (6) ติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้ สป.พน. และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) สป.พน. ธพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันในส่วนของการตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
4.3 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4.4 เพื่อให้การดำเนินการตามแผนดังกล่าวมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
4.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้ กบง. ทราบ เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
4.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น ระยะเวลาการประกวดราคา 2 เดือนระยะเวลาการติดตั้ง 4 เดือน และ ระยะเวลาตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
4.7 ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 4.2 เป็นจำนวนเงินรวม 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น 1) ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท และ 2) ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG จำนวน 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
4.8 แผนงานนี้ สำหรับใช้ในการสนับสนุนรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1,200,000,000 บาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ
1.1 กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
1.2 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ ในการเตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ
- ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก
- ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้เป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบกและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการรถแท็กซี่
- กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบกซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง
- ตรวจสอบความถูกต้องการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้
- ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก
- ติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และกรมธุรกิจพลังงาน ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันในส่วนของการตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
1.3 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
1.4 เพื่อให้กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
1.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
1.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น
- ระยะเวลาการประกวดราคา 2 เดือน
- ระยะเวลาการติดตั้ง 4 เดือน
- ระยะเวลาตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 1.2 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น
2.1 ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา จำนวน 3,400,000 บาท
2.2 ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG จำนวนประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
3. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200,000,000 บาท (หนึ่งพันสองร้อยล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ เมื่อติดตั้งครบ 30,000 คันแล้ว และมีเงินคงเหลือ หากมีรถแท๊กซี่ต้องการเปลี่ยนเป็น NGV เพิ่มเติม ก็ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้ ธพ. ในการดำเนินโครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย ในวงเงิน 2,600,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะ 1,160 คัน ที่จดทะเบียนในต่างจังหวัดนอกเขตกรุงเทพฯ เพื่อป้องกันอุบัติภัยอันอาจเกิดจากถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะในส่วนภูมิภาค ซึ่งมีจำนวนผู้ตรวจและทดสอบไม่เพียงพอ โดยจัดจ้างผู้ตรวจและทดสอบรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) เพื่อตรวจและทดสอบรถยนต์โดยสารสาธารณะ ในนาม ธพ.
2. ธพ. ได้จัดจ้างคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อดำเนินโครงการฯ โดยมีระยะเวลา 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา ซึ่งได้ครบหนดระยะเวลาดำเนินการในวันที่ 7 มีนาคม 2552 ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ มีปัญหาอุปสรรคทำให้เกิดความล่าช้า เนื่องจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำเป็นต้องมีการนัดหมายล่วงหน้ากับผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะเป็นเวลานาน และมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามความจำเป็นของผู้ประกอบการฯ ทำให้การตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะต้องล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ส่งมอบงานจ้างตามโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการ ตามการอนุมัติของกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้ว เป็นผลให้ ธพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายให้กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ฯ ได้
3. เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอขยายเวลาการดำเนินการ "โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย" ออกไปอีก 6 เดือน เป็นสิ้นสุดโครงการในวันที่ 7 กันยายน 2552
4. เนื่องจากฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเลื่อนวาระนี้มาจากการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 ทำให้ล่วงเลยเวลาที่ขอขยายเดิมแล้ว จึงเห็นควรให้ขยายเวลาสิ้นสุดโครงการเป็นวันที่ 30 กันยายน 2552
มติของที่ประชุม
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ในการดำเนินโครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย ของกรมธุรกิจพลังงาน ออกไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 ภายในกรอบวงเงินเดิม จำนวนเงิน 2,600,000 บาท (สองล้านหกแสนบาทถ้วน) ที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551
เรื่องที่ 4 แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณ 1.20 บาท/ลิตร และ (2) เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 30
2. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 22 กันยายน 2552 (ราคาเอทานอลตามประกาศ กบง.)
หมายเหตุ : ราคาเอทานอล 20.21 บาท/ลิตร
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 22 กันยายน 2552 (ราคาเอทานอลตามราคาซื้อ-ขายจริง)
หมายเหตุ : ราคาเอทานอล 25.00 บาท/ลิตร
จากโครงสร้างราคาน้ำมันที่ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 (22.72 บาท/ลิตร) ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (31.04 บาท/ลิตร) ร้อยละ 27 และที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยอยู่ 7.13 บาท/ลิตร ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ที่ 3.07 บาท/ลิตร แต่เนื่องจากโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลปัจจุบันคำนวณที่ราคาเอทานอล 20.21 บาท/ลิตร ซึ่งราคาเอทานอลซื้อ-ขายจริงอยู่ที่ 25 บาท/ลิตร ทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้ค่าการตลาดต่ำกว่าโครงสร้างที่ สนพ. เผยแพร่ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 จากประมาณร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ค้าน้ำมันให้ขยายโครงข่ายให้กว้างขวางมากขึ้น
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับกองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85
ยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ณ เดือนสิงหาคม 2552 มีปริมาณประมาณ 18,000 ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยในระดับ 7.13 บาท/ลิตร เทียบเท่า 128,340 บาท/เดือน หากปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร จะทำให้ภาระชดเชยเพิ่มขึ้นอีก 57,060 บาท/เดือน เป็นยอดชดเชยทั้งสิ้น 185,400 บาท/เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 40
2. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในอัตราลิตรละ 3.17 บาท จากเดิมชดเชย 7.13 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยให้รัฐบาลจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งทดแทนน้ำมันที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง) ในราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาท/ลิตร โดยจำหน่ายในพื้นที่ทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ยกเว้นรอบเกาะไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ทะเล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 โดยเพิ่มเติมในข้อ 2.1.1 ดังนี้ " กรณีพื้นที่ที่มีปัญหาในการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสะพานปลา ในการที่จะนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งเข้ามาจำหน่ายบริเวณใกล้ฝั่ง หรือสถานีที่องค์การสะพานปลากำกับดูแลบนฝั่ง" โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ไม่เกิน 15 ล้านลิตร/เดือน และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งออกไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 ) และเมื่อสิ้นสุดการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกตว่า ในการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือชาวประมง ต้องเกิดจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ปัจจุบันราคาน้ำมันไม่ได้เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชาวประมงให้เดือดร้อน แต่เป็นปัญหาจากราคาสัตว์น้ำที่ลดลง จึงควรจะใช้เงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ซึ่งเป็นเงินที่ใช้อุดหนุนเกษตรกร/ชาวประมงโดยตรง
3. กรมประมง ได้รายงานผลการดำเนินงานโครงการฯ ดังนี้ 1) การรับสมัครสมาชิกในโครงการฯได้ดำเนินการระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 โดยสมาชิกของโครงการฯ ที่แจ้งความจำนงไว้แล้วและผู้ที่จะเข้าร่วมใหม่สามารถสมัครได้ตามขั้นตอนและขบวนการเดิม และกรมประมงได้แจ้งให้หน่วยงานในภูมิภาคทราบและเริ่มดำเนินการโครงการฯ ต่อไปแล้ว และ 2) ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 มีสถานีจำหน่ายน้ำมันที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ 21 สถานี ใน 10 จังหวัด (จันทบุรี ตราด สงขลา ปัตตานี ชุมพร ชลบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สตูล และระนอง) จากเดิมที่เข้าร่วมโครงการฯ สั่งน้ำมันลงจำหน่าย 32 สถานี ใน 13 จังหวัด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พังงา ระยอง ระนอง สตูล สมุทรสงคราม สุราษฎร์ธานี และสมุทรสาคร) และในช่วงระยะเวลาโครงการฯ 6 เดือน (15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552) ขณะนี้ยังไม่มีสถานีจำหน่ายน้ำมันสั่งซื้อน้ำมันในโครงการฯ เพื่อจำหน่าย
4. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการโครงการ สรุปได้ดังนี้ 1) น้ำมันเขียวและน้ำมันในโครงการฯ มีราคาแตกต่างกันมาก เนื่องจากรัฐบาลปรับภาษีสรรพสามิตจึงทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นและสูงกว่าน้ำมันเขียวถึงลิตรละ 10 บาท ทำให้ชาวประมงบางส่วนไปเติมน้ำมันเขียวแทน 2) น้ำมันดีเซล B5 มีราคาต่ำกว่าน้ำมันในโครงการฯ ประมาณ 1 บาท/ลิตร ทำให้ชาวประมงบางส่วนเลือกใช้น้ำมันที่ถูกกว่า และสถานีบริการเลือกจำหน่ายน้ำมันดีเซล B5 มากกว่าเนื่องจากได้ค่าการตลาดมากกว่าน้ำมันดีเซลในโครงการฯ 3) ค่าการตลาดของน้ำมันในโครงการฯ ต่ำ ซึ่งเดิม สนพ. กำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันลิตรละ 1.50 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทำให้สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันได้รับค่าการตลาดที่เหมาะสม แต่โครงการฯ ในปัจจุบันไม่ได้กำหนดโครงสร้างชัดเจน แต่ให้ใช้โครงสร้างราคาน้ำมันดีเซล B2 แล้วลดลงอีก 2 บาท/ลิตร ทำให้ค่าการตลาดไม่คงที่ 4) น้ำมันในโครงการฯ จำหน่ายได้เฉพาะเรือประมง และควบคุมปริมาณการจำหน่าย และ 5) โครงการฯมีระยะเวลาสั้นเกินไป (6 เดือน) ทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุน
5. เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2552 คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการด้านการประมง ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เรื่อง โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยขอให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เข้ามาใช้ในโครงการฯ และให้ลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงอีก 2 บาท/ลิตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมง
6. ในช่วงที่ผ่านมา การใช้น้ำมันในโครงการฯ (น้ำมันม่วง) อยู่ประมาณ 1,000,000 ลิตร/เดือน โดยเมื่อเทียบกับโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 การใช้น้ำมันม่วงทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการชดเชยเป็น 1.92 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยประมาณ 1,920,000 บาท/เดือน ส่วนการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการชดเชยเป็น 3.54 บาท/ลิตร คิดเป็นประมาณ 3,540,000 บาท/เดือน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าโครงการฯ จะสิ้นสุดในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งเหลือระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งเป็นระยะสั้น ดังนั้น เพื่อให้โครงการฯ ดำเนินการต่อไปได้ ควรให้ใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการฯ และให้ลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงอีก 2 บาท/ลิตร จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ จากนั้นเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้ว ต่อไปให้พิจารณาความเหมาะสมของปัญหาว่าต้องเกิดจากปัญหาราคาน้ำมันแพงเท่านั้น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้นำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) โดยมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ปกติ 2 บาท/ลิตร จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2552 - 14 พฤศจิกายน 2552) โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2552 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการนำเรื่องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ต่อไป
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส ในเดือนสิงหาคม 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 71.34 และ 71.05 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.52 และ 6.95 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 68.38 และ 70.22 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 2.97 และ 0.83 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับข่าว U.S. Commodities Exchange (CME) กำหนดปริมาณซื้อขายในสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ประกอบกับ Petrobras ของบราซิลผลิตน้ำมันดิบในเดือนกันยายน 2552 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1.98 ล้านบาร์เรล/วัน
ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนสิงหาคม 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 82.11, 80.13 และ 79.02 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.28, 9.29 และ 7.94 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.27, 75.53 และ 75.60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 4.84, 4.60 และ 3.42 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและอินโดนีเซียมีแผนลดปริมาณนำเข้าน้ำมันเบนซินในเดือนตุลาคม 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองในประเทศยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินบริเวณ Amsterdam Rotterdam Antwerps สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 กันยายน 2552 ปรับสูงขึ้น อยู่ที่ 6.97 ล้านบาร์เรล
2. จากมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ได้มีมติให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 2.00 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 ลง 0.40 บาท/ลิตร ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2552 จากมาตรการดังกล่าวและสถานการณ์ราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E85 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.20 บาท/ ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร และในช่วงวันที่ 1-21 กันยายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 , แก๊สโซฮอล 95 E10, E20 , แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 1.10 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงลด 0.90 และ 1.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการปรับราคา ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 อยู่ที่ระดับ 40.24, 34.64, 31.04, 28.74, 22.72, 30.24, 26.79 และ 25.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนกันยายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 75 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 577.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ปรับตัวสูงสุดในรอบ 11 เดือน ตามราคาน้ำมันดิบและราคาแนฟทาที่ปรับตัวสูงขึ้น และจากความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเชียมีจำนวนมากโดยเฉพาะจากจีนและอินโดนีเซีย ที่ระดับราคา LPG ณ โรงกลั่น 332.75 เหรียญสหรัฐ/ตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนสิงหาคม 2552 ที่ 34.1566 บาท/เหรียญสหรัฐ ทำให้ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 11.3658 บาท/กิโลกรัม แต่รัฐได้กำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตก๊าซ LPG ในประเทศ 0.0665 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้ ได้มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เมษายน 2551 - 20 กันยายน 2552 รวมทั้งสิ้น 831,117 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 10,451 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 13 ราย มีปริมาณการผลิตจริง 1.02 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนกันยายน ปี 2552 อยู่ที่ 20.21 บาท/ลิตร ในเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1 - 12 กันยายน 2552 มีปริมาณการจำหน่าย 11.50 และ 11.70 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการ 4,210 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.25 และ 0.24 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 233 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาท/ลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 4.45 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 อยู่ที่ 1.6 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1 - 27 กันยายน 2552 อยู่ที่ 27.31 และ 28.04 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนสิงหาคม และในช่วงวันที่ 1-12 กันยายน 2552 ปริมาณจำหน่าย 22.29 และ 21.73 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,466 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.40 บาท/ลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,647 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 12,762 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 12,425 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 336 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 18,886 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการมอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้มีอำนาจสั่งการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ ภายใต้ กบง. แทนคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ให้รายงานผลให้คณะกรรมการฯ ทราบ ในการประชุมภายหลัง
2. ในช่วงปี 2551 - ปัจจุบัน ประธาน กบง. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. จำนวน 7 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า 2) คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน 3) คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 4) คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต 5) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 6) คณะอนุกรรมการพิจารณาการชดเชยราคา NGV และ 7) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย
3. นอกจากนี้ในปี 2552 กบง. ได้มีมติแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อรองรับการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องต่างๆ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ 1) คณะทำงานพิจารณาชดเชยเงินให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน และ 2) คณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 48 - วันอังคาร ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2552 (ครั้งที่ 48)
เมื่อวันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2552 นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้กระทรวงพลังงาน รับไปดำเนินการจัดทำมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชน กระทรวงพลังงานจึงได้จัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลขึ้น ซึ่งครอบคลุมภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคการผลิต และภาคครัวเรือน โดยมุ่งเน้นการลดค่าครองชีพของประชาชนเป็นหลัก รวมทั้งการลดต้นทุนการผลิตเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย
2. ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบจากแหล่งเวสต์เท็กซัส เบรนท์ และดูไบ ในช่วงของต้นปี 2552 ได้ปรับตัวอยู่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง 75 - 90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จนถึงสิ้นปี 2552 โดยมีเหตุผลมาจากกองทุนการเก็งกำไรที่คาดการณ์ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว และระดับราคาของน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 90 - 95 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จนถึงสิ้นปี 2552 หรือเทียบเท่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันดีเซลในประเทศในระดับที่สูงขึ้นจากปัจจุบัน 31 และ 29 บาท/ลิตร ตามลำดับ เป็นประมาณ 32 - 34 บาท/ลิตร
3. ปัจจุบันโครงสร้างราคาน้ำมันมีการจัดเก็บภาษี และเก็บเงินส่งเข้ากองทุนประเภทต่างๆ ดังนี้ 1) ภาษีประเภทต่างๆ ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 2) กองทุนประเภทต่างๆ ได้แก่ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่จัดเก็บเป็น 2 ส่วน คือ เก็บเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยจัดเก็บน้ำมันเบนซิน และดีเซลทุกชนิดอัตรา 0.25 บาท/ลิตร และ เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง โดยเก็บเฉพาะน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล อัตรา 0.50 บาท/ลิตร
4. กระทรวงพลังงานอาศัยกลไกของกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารและจัดการตามนโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทนและนโยบายการส่งเสริมการผลิตพลังงานให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันประเภทต่างๆ ในระดับที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นการส่งเสริมและจูงใจ เช่น การส่งเสริมการใช้เอทานอลและไบโอดีเซล จะกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนของน้ำมันที่มีเอทานอลหรือไบโอดีเซลมากในระดับที่ต่ำกว่าน้ำมันที่มีเอทานอลหรือไบโอดีเซลน้อย
5. ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2552 กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกองทุนสุทธิ 16,863 ล้านบาท (ไม่รวมเงินที่กระทรวงการคลังจะต้องจ่ายคืนให้แก่กองทุนน้ำมันฯ จากการดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ของรัฐบาลประมาณ 2,166 ล้านบาท) และมีเงินสดหมุนเวียนสุทธิ 3,104 ล้านบาท/เดือน ส่วนกองทุนอนุรักษ์ฯ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2552 มีเงินสดเหลือ 14,856 ล้านบาท (แยกเป็น เงินสำหรับการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 7,260 ล้านบาท และเงินสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 7,596 ล้านบาท) มีเงินสดหมุนเวียนสุทธิ 1,026 ล้านบาท/เดือน (แยกเป็น เงินสดหมุนเวียนสุทธิสำหรับการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 537 ล้านบาท/เดือน และสำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบขนส่ง 489 ล้านบาท/เดือน)
6. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ดังนี้
6.1 ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 2.00 บาท/ลิตร โดยอาศัยกลไกของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานควบคู่ไปกับกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ด้วยการบริหารและจัดการ ดังนี้
(1) ยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง ของทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันเก็บอยู่อัตรา0.50 บาท/ลิตร และให้โอนเงินที่ได้จัดเก็บไว้แล้วในส่วนนี้ประมาณ 7,596 ล้านบาท มาสมทบกับเงินสำหรับส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และลดอัตราจัดเก็บเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลสำหรับส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานจากที่เก็บอยู่ 0.25 บาท/ลิตร เหลือ 0.05 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2553 หลังจากนั้นให้กลับมาจัดเก็บในอัตราเดิม คือ 0.25 บาท/ลิตร รวมลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซล 0.70 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงได้ประมาณ 0.75 บาท/ลิตร
(2) ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 1.17 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 1.70 บาท/ลิตร เป็น 0.53 บาท/ลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงประมาณ 1.25 บาท/ลิตร โดยที่การยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ เพื่อทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงได้ประมาณ 0.75 บาท/ลิตร ตามข้อ (1) ควบคู่ไปกับการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อทำให้ราคาขายปลีกลดลงประมาณ 1.25 บาท/ลิตร ตามข้อ (2) รวมกันแล้วจะทำให้สามารถลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงได้ 2.00 บาท/ลิตร ทั้งนี้การดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 1.17 บาท/ลิตร จะส่งผลทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง ประมาณ 856 ล้านบาท/เดือน
(3) เพื่อจูงใจและส่งเสริมผู้ผลิต โดยให้มีค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 สูงกว่าน้ำมันดีเซล รวมทั้งจูงใจผู้ใช้น้ำมัน โดยทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล จึงจำเป็นต้องปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 อีก 0.58 บาท/ลิตร จากปัจจุบันซึ่งชดเชยอยู่ 0.23 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.81 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล 1.20 บาท/ลิตร ทั้งนี้การดำเนินการปรับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณ 421 ล้านบาท/เดือน
(4) เพื่อไม่ให้การดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ จึงต้องปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และน้ำมันเบนซิน 91 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 5.70 บาท/ลิตร เป็น 6.20 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับสูงขึ้นประมาณ 123 ล้านบาท/เดือน โดยที่การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันทั้ง 2 ประเภท จะไม่ส่งผลทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการปรับเพิ่มจะทำพร้อมไปกันกับการยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งของน้ำมันเบนซิน ในอัตรา 0.50 บาท/ลิตร เช่นเดียวกัน ทั้งนี้การดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 และปรับเพิ่มเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ดังกล่าว ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับรวมลดลงประมาณ 1,154 ล้านบาท/เดือน
6.2 ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG เป็นระยะเวลา 1 ปี (สิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553 ) กระทรวงพลังงานได้อาศัยกลไกการกำหนดราคาขายส่งให้คงที่ในระดับ 330 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือเทียบเท่า 10.99 บาท/กก. เพื่อทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG คงที่ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศต่ำกว่าต้นทุนการนำเข้าที่ปัจจุบันอยู่ในระดับประมาณ 550 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือเทียบเท่า 18.59 บาท/กก. ทำให้ผู้ผลิตและผู้ค้าก๊าซ LPG ขาดแรงจูงใจในการจัดหาและจำหน่ายก๊าซ LPG ในประเทศ และทำให้ปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ที่ระดับ 350,000 ตัน/เดือน จะไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ ในระดับประมาณ 74,000 ตัน/เดือน โดยเป็นภาระของกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเฉลี่ยประมาณ 10.00 บาท/กก. ทั้งนี้การดำเนินการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ต่อไปอีก 1 ปี คาดว่าจะเป็นภาระของกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 740 ล้านบาท/เดือน
6.3 มาตรการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ กระทรวงพลังงานได้จัดทำมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นทางเลือก โดยเฉพาะในกลุ่มของรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ในปัจจุบัน จำนวนรถแท็กซี่ที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป็น NGV ประมาณ 30,000 คัน โดยรถแท็กซี่ที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนส่วนใหญ่เป็นรถแท็กซี่ LPG กระทรวงพลังงานจึงเห็นควรกำหนดให้มีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่จำนวนประมาณ 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณคันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้การดำเนินการปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ให้มาใช้ NGV จะสามารถช่วยประเทศในการลดการใช้ก๊าซ LPG ได้ประมาณ 30,000 ตัน/เดือน คิดเป็นเงินที่สามารถช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน
6.4 ตรึงราคา NGV เป็นระยะเวลา 1 ปี (สิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553 ) กระทรวงพลังงานพิจารณาแล้วเห็นว่า NGV เป็นต้นทุนที่สำคัญต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งผลต่อค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนที่สำคัญต่อภาคขนส่ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับ ปัจจุบันราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จึงได้มอบหมายให้ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดและจัดทำแผนการขยายเครือข่ายรวมทั้งส่งเสริมการใช้ NGV อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ NGV เป็นทางเลือกของประชาชนอย่างยั่งยืน ซึ่งได้พิจารณาแล้วเห็นควรที่จะตรึงราคาขายปลีก NGV ไว้ที่ระดับ 8.50 บาท/กก. ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี (ส.ค. 52 - ส.ค. 53)
เพื่อไม่ให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว กระทบต่อแผนการขยายเครือข่ายและส่งเสริมการใช้ NGV ประกอบกับมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550 ได้ให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV โดยขอความร่วมมือจาก ปตท. ให้มีการกำหนดราคา NGV ในปี 2550 - 2551 ในระดับ 8.50 บาท/กก. แล้วจึงปรับราคา NGV ขึ้นแบบขั้นบันไดให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยในปี 2552 ปรับได้ไม่เกิน 12 บาท/กก. ปี 2553 ปรับได้ไม่เกิน 13 บาท/กก. และ ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไปจึงปรับตามต้นทุนที่แท้จริง กระทรวงพลังงานพิจารณาแล้วเห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานรับไปดำเนินการชดเชยราคาขายปลีก NGV จากการที่ ปตท. ต้องขาย NGV ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ในลักษณะเดียวกันกับแนวทางการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า นอกจากนั้นในการดำเนินการชดเชยดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550 ด้วย และมอบหมายให้ ปตท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการขยายเครือข่ายรวมทั้งส่งเสริมการใช้ NGV เพื่อให้ NGV เป็นทางเลือกของประชาชนโดยเร็ว ทั้งนี้การดำเนินการตรึงราคา NGV คาดว่าจะเป็นภาระต่อกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาขายปลีก NGV ที่ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน
6.5 มาตรการตรึงค่า Ft จนถึงเดือนสิงหาคม 2553 ปัจจุบันค่า Ft ที่ประชาชนต้องจ่ายจะอยู่ในระดับ 92.55 สตางค์/หน่วย ซึ่งประกอบด้วย ค่า Ft คงที่ 46.83 สตางค์/หน่วย และค่า Ft ที่เปลี่ยนแปลงไป (เดลต้า Ft) 45.72 สตางค์/หน่วย โดยปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับภาระค่า Ft แทนประชาชนประมาณ 20,000 ล้านบาท กระทรวงพลังงานจึงเสนอให้มีมาตรการตรึงค่า Ft เพื่อเป็นการลดภาระของประชาชน และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมตามที่ภาคอุตสาหกรรมได้ร้องขอ โดยกระทรวงพลังงานจะประสานการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รับไปดำเนินการในรายละเอียดกับ กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งในทางปฏิบัติก็สามารถดำเนินการได้โดยการขยายเวลาการจ่ายคืนภาระค่า Ft ให้กับ กฟผ. การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวจะทำให้สามารถคงค่า Ft ในระดับ 92.55 สตางค์/หน่วย ได้จนถึงเดือนสิงหาคม 2553 ทั้งนี้การตรึงค่า Ft จนถึงเดือนสิงหาคม 2553 โดยการขยายเวลาการจ่ายคืนภาระค่า Ft ให้กับ กฟผ. คิดเป็นวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท
6.6 การตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ การดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะในประเด็นการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ เพื่อทำให้ราคาน้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง 2 บาท/ลิตร และ 0.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ จำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมัน และสถานีบริการ เนื่องจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง ผู้ผลิตจะส่งเงินเข้ากองทุนฯ พร้อมกับชำระภาษีสรรพสามิต ก่อนที่จะมีการขนส่งไปจำหน่ายในคลังน้ำมันและสถานีบริการทั่วประเทศ ดังนั้น น้ำมันที่จำหน่ายและคงเหลืออยู่ในคลังน้ำมันและสถานีบริการ จึงเป็นน้ำมันที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ แล้วทั้งสิ้น เมื่อมีการลดอัตราเงินกองทุนฯ จะไม่มีผลย้อนหลังไปยังน้ำมันที่จำหน่ายและคงเหลืออยู่ในคลังน้ำมัน และสถานีบริการ ซึ่งส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไปแล้วในอัตราเดิม ทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเกิดผลการขาดทุนจากน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาสูง มาลดราคาจำหน่ายตามอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ที่ลดลง ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการจะลดปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาเก่าให้เหลือน้อยที่สุด หรือหยุดจำหน่ายชั่วคราว อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันได้
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จะต้องมีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่มีผลบังคับใช้ และมีการชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ โดยใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ซึ่งกรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ../2552 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับไปดำเนินการต่อไป
7. สรุปประมาณการวงเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะใช้วงเงินเพื่อการสนับสนุน ดังนี้ 1) กองทุนน้ำมันฯ จำนวนทั้งสิ้น 27,530 ล้านบาท แบ่งเป็น ลดราคาน้ำมันดีเซล 1,154 ล้านบาท/เดือน ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG 740 ล้านบาท/เดือน ตรึงราคา NGV 300 ล้านบาท/เดือน และโครงการเปลี่ยนแท็กซี่ เป็น NGV 30,000 คัน ภายใน 4 เดือน 300 ล้านบาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีเงินหมุนเวียนสุทธิ 3,104 ล้านบาท/เดือน ในกรณีที่ต้องสนับสนุนมาตรการดังกล่าวข้างต้น ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง 2,494 ล้านบาท/เดือน เหลือเงินหมุนเวียนสุทธิ 610 ล้านบาท/เดือน และ 2) กฟผ. รับภาระการยืดเวลาการจ่ายคืนค่า Ft ของประชาชนประมาณ 10,000 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 2.00 บาท/ลิตร โดยอาศัยกลไกของกองทุนอนุรักษ์ฯ ควบคู่กับกลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารและจัดการ ดังนี้
1.1 ยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งของทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ในอัตรา 0.50 บาท/ลิตร และลดอัตราจัดเก็บเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลสำหรับส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน เหลือ 0.05 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2553 หลังจากนั้นให้กลับมาจัดเก็บในอัตราเดิม คือ 0.25 บาท/ลิตร
1.2 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 1.17 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 1.70 บาท/ลิตร เป็น 0.53 บาท/ลิตร
1.3 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 อีก 0.58 บาท/ลิตร จากปัจจุบันซึ่งชดเชยอยู่ 0.23 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.81 บาท/ลิตร
1.4 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และน้ำมันเบนซิน 91 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 5.70 บาท/ลิตร เป็น 6.20 บาท/ลิตร
1.5 มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับไปดำเนินการ ตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่มีผลบังคับใช้ และมีการชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
2. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล อยู่ที่ 7 บาท/ลิตร ขณะที่มาตรการตามข้อ 1 กำหนดให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 เป็น 7.50 บาท/ลิตร จึงไม่สามารถดำเนินการได้ ดังนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงาน ตามนโยบายของรัฐบาลได้ จึงเห็นควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และเบนซิน 91 เพิ่มขึ้นชนิดละ 0.50 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร ดังนั้น จากข้อ 1 และ ข้อ 2 อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะเป็นดังนี้
อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
หน่วย : บาท/ลิตร
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง +/- |
เบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 | +0.50 |
เบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 | +0.50 |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.27 | 2.27 | - |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.67 | 1.67 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E20 | -0.46 | -0.46 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E85 | -7.13 | -7.13 | - |
ดีเซลหมุนเร็ว B2 | 1.70 | 0.53 | -1.17 |
ดีเซลหมุนเร็ว B5 | -0.23 | -0.81 | -0.58 |
3. จากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง ส่งผลทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเกิดผลการขาดทุนจากน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาก่อนปรับลดราคาขายปลีกมาจำหน่ายตามอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ที่ลดลง ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการจะลดปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาเก่าให้เหลือน้อยที่สุด หรือหยุดจำหน่ายชั่วคราว อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมัน จึงเห็นควรให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ออกประกาศ กำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงทั่วประเทศ และอัตราเงินชดเชย ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็น 27.69, 2.00 และ 2.00 บาท/ลิตร ตามลำดับ และสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 เป็น 26.49, 0.40 และ 0.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. จากการชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลดให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ ตามข้อ 3 คาดว่าจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระในการชดเชยประมาณ 1,406 ล้านบาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอดังนี้
5.1 เห็นควรปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากเดิม 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อ 2
5.2 เห็นควรให้ชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลดให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ จากมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ตามข้อ 3 ให้มีผลบังคับใช้ในวันเดียวกันกับวันที่ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเห็นชอบให้ปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากเดิม 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป
2. เห็นชอบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
หน่วย : บาท/ลิตร
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง +/- |
เบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 | +0.50 |
เบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 | +0.50 |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.27 | 2.27 | - |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.67 | 1.67 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E20 | -0.46 | -0.46 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E85 | -7.13 | -7.13 | - |
ดีเซลหมุนเร็ว B2 | 1.70 | 0.53 | -1.17 |
ดีเซลหมุนเร็ว B5 | -0.23 | -0.81 | -0.58 |
3. เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนการปรับลดราคาขายปลีก ให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ จากมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ในวันเดียวกันกับวันที่ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหนึ่งในมาตรการดังกล่าว คือ การลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลง โดยการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ และให้ชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ โดยจะต้องมีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ มีผลบังคับใช้ โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปดำเนินการ
2. กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ในน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลบังคับใช้ตามอัตราชดเชยที่ประกาศโดย สนพ. และเพื่อให้แน่ใจว่าปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้รับเงินชดเชยเป็นปริมาณที่ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศ สนพ. มีผลใช้บังคับ ถึงเวลา 06.00 น. ของวันถัดมา ดังนี้
2.1 คลังน้ำมันทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน
2.2 สถานีบริการน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจ
2.3 สถานีบริการน้ำมันในเขตต่างจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจัดตั้งคณะทำงานของแต่ละจังหวัด ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจ
ทั้งนี้ ในคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เป็นผู้แจ้งให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบถึงจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิแต่ละชนิดคูณด้วยอัตราเงินชดเชยที่ประกาศโดย สนพ.
3. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินการดังกล่าว จำนวนเงินรวม 6,153,420 บาทแบ่งเป็น (1) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี และระยอง (เจ้าหน้าที่ ธพ. ดำเนินการเอง) จำนวน 63,020 บาท (2) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ และคลังน้ำมันในจังหวัดอื่นๆ นอกเหนือจากข้อ (1) จำนวน 5,522,400 บาท และ (3) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ จัดทำเอกสาร และส่งหนังสือทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ จำนวน 568,000 บาท
4. จากการดำเนินการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือดังกล่าว ธพ. ได้มีข้อเสนอดังนี้
4.1 ขอความเห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ให้ ธพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันในวงเงิน 6,153,420 บาท (หกล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบบาท)
4.2 ขอความเห็นชอบให้ ธพ. เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ โดยให้สามารถเบิกถัวจ่ายระหว่างรายการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการให้เบิกจ่ายเป็นการเหมาได้ ตามอัตราในระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ พ.ศ.2550 ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2552 งบค่าใช้จ่ายอื่น ให้กรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน ในวงเงิน 6,153,420 บาท (หกล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2. เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้สามารถเบิกถัวจ่ายระหว่างรายการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการให้เบิกจ่ายเป็นการเหมาได้ ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ