มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2559 (ครั้งที่ 17)
เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
2.รายงานความเคลื่อนไหวราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ
3.ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ...
4.โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2559
5.แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 มีมติเห็นชอบแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558-2579 (Gas Plan 2015) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้มีการทบทวนแผนฯเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของแแผนฯอย่างมีนัยสำคัญ และให้หน่อยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนฯต่อ กบง. ทุก 3 เดือน และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนฯ ตามมติ กพช. ดังกล่าว
2.การจัดทำแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan 2015) ให้รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ให้มีเพียงพอในอนาคต ได้ กำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน 4 ด้านสำคัญ คือ (1) ลดการใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งมีต้นทุน สูงขึ้นรวดเร็วจากการนำเข้า LNG (2) ยืดอายุแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติโดยกระตุ้นการสำรวจและพัฒนา แหล่งในประเทศและการใช้เทคโนโลยี เพื่อรักษาระดับการจัดหาให้ยาวนานขึ้น (3) การหาแหล่งและการบริหาร จัดการ LNG ที่มีประสิทธิภาพ และ (4) มีโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางด้านการแข่งขัน ทั้งทางกายภาพ และกติกา ที่สอดรับกับแผนจัดหา รวมทั้งวางกรอบแนวทางการจัดหาและบริหารจัดการ LNG ในอนาคตให้เกิดการแข่งขัน และเพื่อให้สอดคล้องกับแผน PDP 2015 จึงได้จัดทำคาดการณ์การใช้และการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว ภายใต้ แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 – 2579 ใน 3 กรณี คือ (1) กรณีฐาน – คาดว่าความต้องการใช้
ก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (2) กรณีคิดความเสี่ยงด้านความต้องการใช้จากการชะลอโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน และความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผน AEDP และ EEDP ทำได้ 70% และ (3) กรณีสัมปทานที่จะสิ้นสุดอายุในปี 2565 และ 2566 ผลิตไม่ต่อเนื่อง
3.แผนดำเนินงานเพื่อรองรับแผนการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติระยะยาว จะดำเนินการใน 4 ด้าน คือ
3.1 ลดการใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งมีต้นทุนสูงขึ้นรวดเร็วจากการนำเข้า LNG โดย (1) ส่งสัญญาณ
ของราคา รวมถึงการปรับ Pool Pricing เพื่อให้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายใหม่ๆ พิจารณาต้นทุนเศรษฐศาสตร์
ของโครงการจากราคาก๊าซธรรมชาติที่อิงกับราคาก๊าซ LNG (2) ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากการกระจายเชื้อเพลิงตามแผน PDP 2015 ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า โดยดำเนินการพัฒนาโรงไฟฟ้า
ตามแผน PDP 2015 (3) เร่งมาตรการประหยัดพลังงานของก๊าซธรรมชาติเพื่ออุตสาหกรรมตามแผน EEP 2015 และ (4) ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) สำหรับรถยนต์ขนส่งสาธารณะและรถบรรทุก
3.2 รักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศให้ยาวนานขึ้น โดยกระตุ้นการสำรวจและพัฒนาแหล่งในประเทศและการใช้เทคโนโลยี โดย (1) เปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ เพื่อสำรวจหาปิโตรเลียมอย่างต่อเนื่อง (2) บริหารจัดการสัญญาสัมปทานที่จะสิ้นสุด เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้คงที่อย่างต่อเนื่อง และ (3) บริหารจัดการแหล่งก๊าซในอ่าวไทย ในระยะสั้นจะจัดทำแผนการลดปริมาณ Bypass Gas ที่โรงแยกก๊าซเพื่อช่วยยืดอายุแหล่งผลิตแหล่งในประเทศและใช้ประโยชน์ก๊าซจากอ่าวไทยให้ได้ประโยชน์สูงสุด และ (4) พิจารณาพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน
3.3 การหาแหล่งและการบริหารจัดการ LNG ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ (1) เพิ่มจำนวนผู้จัดหาและจำหน่ายเพื่อสร้างการแข่งขันภายในประเทศ (2) เสริมสร้างความร่วมมือในการจัดหาก๊าซธรรมชาติระดับ AEC ผ่านทาง ASCOPE รวมทั้งพิจารณาจัดตั้ง AEC LNG Buyer Club และ (3) จัดตั้งสำนัก LNG เพื่อสนับสนุน และดูแลความเสี่ยงการจัดหา รวมถึงการจัดสร้างฐานข้อมูล และเครื่องมือการวิเคราะห์ในระยะ 20 ปีข้างหน้า รวมทั้งแนวนโยบายส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในด้านการจัดหา LNG ส่งผลให้จำนวนผู้จัดหาและผู้จำหน่ายเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงต้องมีแนวทางกำกับด้านการจัดหาและบริหารจัดการ LNG ที่เหมาะสม
3.4 มีโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางด้านการแข่งขันทั้งทางกายภาพ (โครงข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติและท่าเรือรับ LNG) และกติกาที่สอดรับกับแผนจัดหา (Third Party Access, TPA) เพื่อให้สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติเพียงพอต่อความต้องการใช้ในอนาคต
ทั้งนี้ การดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 – 2579 Gas Plan 2015 จะมีโครงการ/กิจกรรม ที่คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายใน ปี 2559 – 2560 ดังนี้ (1) การคาดการณ์ความต้องการใช้ก๊าซปี 59 เพื่อติดตามการใช้ก๊าซให้เป็นไปตามแนวแนวทางการชะลอการเติบโตของความต้องการใช้ก๊าซ (2) การบริหารจัดการแปลงสัมปทานที่จะหมดอายุ ในปี 2565-2566 เพื่อให้การผลิตก๊าซธรรมชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง (3) การเปิดให้ยื่นขอสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ (4) การบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวให้มีประสิทธิภาพ ลดก๊าซจากอ่าวที่ไม่ผ่านโรงแยกฯ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (5) การศึกษาแนวทางการกำกับดูแลด้าน LNG เพื่อให้มีแนวทางการบริหารจัดการและกำกับดูแล LNG อย่างเหมาะสม และสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในธุรกิจ LNG และ (6) LNG Terminal
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความเคลื่อนไหวราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล โดยให้ใช้ราคาเอทานอลอ้างอิงจากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุด ระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตรายงานต่อกรมสรรพสามิตกับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการ ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
2.สถานการณ์ราคาเอทานอลปัจจุบัน มีรายละเอียดดังนี้ (1) ราคาเอทานอลรายงานจากกรมสรรพสามิต อยู่ที่ 22.94 บาทต่อลิตร (2) ข้อมูลราคาเอทานอลรายงานจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 อยู่ที่ 23.82 บาทต่อลิตร (3) ราคาเอทานอลอ้างอิงจากการนำเข้าจากประเทศบราซิล อยู่ที่ 22.35 บาทต่อลิตร (4) ราคาเอทานอล คำนวณจากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 22.08 บาทต่อลิตร โดยพิจารณาราคากากน้ำตาล 3.95 บาทต่อกิโลกรัม และราคามันสดที่ 2.05 บาทต่อกิโลกรัม ราคาเอทานอลอ้างอิงในเดือนมีนาคม 2559 อยู่ที่ 22.94 บาทต่อลิตร
3.ราคาไบโอดีเซลที่ใช้ในสูตรการคำนวณจะใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก(เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 ราคาไบโอดีเซลปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาผลปาล์มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงปิดฤดูกาลโดยในเดือนมกราคม 2559 ผลปาล์มทะลายเฉลี่ยขึ้นไปถึง 5.40 บาทต่อกิโลกรัม และ CPOเฉลี่ยจากกรมการค้าภายในปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 29.63 บาทต่อกิโลกรัม จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ราคาไบโอดีเซลเริ่มจะลดลง เนื่องจากผลปาล์มเริ่มเปิดฤดูกาล โดยราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 2559 ลิตรละ 31.76 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนลิตรละ 1.20 บาท และสต๊อค CPO เดือน มกราคม 2559 มีปริมาณ 260,856 ตัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 กบง. ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และได้มีมติมอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และนำเสนอต่อที่ประชุม กบง. ในการประชุมวันที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอ กพช. ต่อไป
2. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการปรับร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามมติที่ประชุม กบง. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 ดังนี้ (1) วัตถุประสงค์ข้อ (1) (2) (3) (5) และ (6) ยังคงเหมือนเดิม แต่เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้นจึงได้เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อ (4) ลงทุนการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ สำหรับสนับสนุนการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำมาใช้ในกรณีวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อประโยชน์ความมั่นคงทางด้านพลังงาน (2) องค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับเปลี่ยน ประธานกรรมการจากปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยตัดผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และปรับลดจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิจากจำนวน 5 คน เป็นจำนวน 4 คน และ (3) โอนอำนาจหน้าที่ของ กบง. ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงมาอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตาม พ.ร.บ. นี้
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นำร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2559
สรุปสาระสำคัญ
1.กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนมีนาคม 2559 อยู่ที่ 302 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 35.7695 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.5566 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.0480 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.7306 บาทต่อกิโลกรัม (377.9808 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 13.6826 บาทต่อกิโลกรัม (382.5221 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2.เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,188 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับลดการชดเชยกองทุนน้ำมันฯลง 0.0480 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.4116 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายประมาณ 130 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.3636 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 5 แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สรุปสาระสำคัญ
1.เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบ Adder เป็น Feed-in Tariff (FiT) และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานรับไปดำเนินการตามแนวทาง ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศว่าด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ไม่รวมพลังงานแสงอาทิตย์) ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากแบบ Adder เป็น FiT พ.ศ. 2558 (ประกาศ กกพ.) และประกาศ กกพ. (เพิ่มเติม) เพื่อดำเนินการตามมติ กพช. ดังกล่าว
2.สมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลและเครือข่าย (สมาคมฯ) ได้ร้องเรียนต่อประธาน กพช. ถึงความไม่เป็นธรรมจากมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่มีมติให้ปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder เป็นรูปแบบ FiT ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กมาก (VSPP) กลุ่มที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว ในรูปแบบ Adder เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเปลี่ยนเป็น FiT ได้ โดยสมาคมฯ มีข้อเสนอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ โดยการให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลทุกรายที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบ Adder มีสิทธิเปลี่ยนเป็นแบบ FiT และได้รับอัตรา FiT ตามตาราง (FiT+FiT Premium)
3.ต่อมา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ กบง. รับข้อเสนอของสมาคมฯ ไปศึกษาข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ได้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน และเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2558 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล (คณะอนุกรรมการฯ) เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอของสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลดังกล่าว
4.คณะอนุกรรมการฯ ได้ประชุมเพื่อจัดทำข้อสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยมีการประชุมรวม 6 ครั้ง ในระหว่างวันที่ 20 มกราคม 2559 – 23 กุมภาพันธ์ 2559 โดยมีข้อสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาฯ ดังนี้ (1) มติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการกลุ่มที่จะอยู่ในระบบ Adder ตามเดิม โดยพิจารณาตามหลักปฏิบัติตามสัญญา (2) การดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลปัจจุบันกำลังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนการดำเนินการและค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (3) แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ประกอบด้วย อาทิ 1) ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) สามารถเลือกที่จะอยู่ในรูปแบบ Adder อย่างเดิมต่อไปได้ตามเงื่อนไขเดิม หรือ 2) สามารถเลือกที่จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT (FiT+FiT Premium) ได้ โดยมีเงื่อนไข เช่น ได้รับอัตรา FiT และ FiT Premium ตามที่ กพช. ได้มีมติไว้ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 และมีอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าคงเหลือในรูปแบบ FiT เท่ากับอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กำหนดไว้ 20 ปี หักลดด้วยระยะเวลาที่ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ไปแล้วและหักลดระยะเวลาการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 3 ปี เป็นต้น
5.เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวลในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ จึงเห็นควรมอบหมายให้ กกพ. ในฐานะผู้กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เป็นผู้จัดทำระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องรองรับการเปลี่ยนรูปแบบจาก Adder เป็น FiT ตามแนวทางของคณะอนุกรรมการฯ พร้อมทั้งให้กำหนดช่วงเวลาที่จะดำเนินการปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT ให้ชัดเจน หากพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าว สิทธิในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายไฟฟ้าเป็นอันสิ้นสุดไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อีก รวมทั้งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการกับ VSPP ภายหลังสิ้นสุดอายุสัญญาว่า ในอนาคตการต่อหรือไม่ต่อสัญญา VSPP ภาครัฐควรพิจารณาในกรอบผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ โดยมีทางเลือกในการดำเนินการ ดังนี้ (1) ไม่ต่ออายุสัญญาและยุติการดำเนินโครงการ หรือ (2) ต่ออายุสัญญา โดยให้โครงการขายไฟฟ้าในอัตราที่ไม่มากกว่าอัตราดังต่อไปนี้
1) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลประเภท VSPP ในรูปแบบ FiT ณ ช่วงเวลาดังกล่าว2) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลประเภท VSPP ในรูปแบบ Adder ณ ช่วงเวลาดังกล่าว 3) อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ย ณ ช่วงเวลาดังกล่าว เพื่ิอประโยชน์สูงสุดของภาครัฐ
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำแนวทางในการพิจารณาจำนวน 3 แนวทาง ดังนี้ (1) ตามข้อสรุป
ของคณะอนุกรรมการฯ สามารถเลือกเปลี่ยนจาก Adder เป็น FiT(สัญญาลด 3 ปี) (2) ให้ยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่เกี่ยวกับช่วงการเปลี่ยนผ่าน (กลุ่ม 2 เฉพาะเชื้อเพลิงชีวมวล) ให้เปลี่ยนกลับมาเป็นระบบ Adder ทั้งหมดและ (3) ให้รอผลคำตัดสินของศาล และดำเนินการ
ตามแนวทางคำตัดสิน และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป