มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2559 (ครั้งที่ 13)
วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 14.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมกราคม 2559
2. Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
3. การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
4. แนวทางดำเนินการโครงการนำร่องการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเสรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมกราคม 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนมกราคม 2559 อยู่ที่ 363 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 103 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 36.1761 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ 0.2395 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 1.5501 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.5051 บาทต่อกิโลกรัม (459.2837 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 14.9550 บาทต่อกิโลกรัม (413.3943 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง ดังนี้ (1) คงราคาขายปลีกไว้ที่ 22.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1.5501 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.2331 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 2 ล้านบาทต่อเดือน และ (2) ปรับลดราคาขายปลีกลง 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ ลง 0.9240 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.3930 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 21.62 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 225 ล้านบาท ต่อเดือน ทั้งนี้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,495 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.2331 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
เรื่อง Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV โดยมีเป้าหมายให้ราคาขายปลีกเป็นไปตามกลไกตลาด ดังนี้ (1) ปรับเพิ่มราคาก๊าซ NGV สำหรับรถส่วนบุคคล 1 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 10.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 11.50 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ให้คงราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่อมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีการพิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV จำนวนทั้งสิ้น 4 ครั้ง ได้แก่ (1) วันที่ 30 กันยายน 2557 (2) วันที่ 2 ธันวาคม 2557 (3) วันที่ 30 มกราคม 2558 และ (4) วันที่ 7 กันยายน 2558 โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2558 ได้เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2558 เป็นต้นไป
2. โครงสร้างราคาก๊าซ NGV ปัจจุบันยังคงคำนวณตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากการที่ สนพ. ได้ทบทวนต้นทุนภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากการติดตามต้นทุน NGV ของ ปตท. พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ได้จากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยฯ และต้นทุนของ ปตท. อยู่ที่ 14.32 และ 16.97 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ นอกจากนี้สถาบันวิจัยฯ ยังได้มีการคิดค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่เป็นส่วนของ ปตท. และส่วนที่เป็นของเอกชน โดยมีการแบ่งสัดส่วนตามปริมาณขายระหว่างสถานีบริการนอกแนวท่อกับสถานีบริการบนแนวท่อ ในอัตรา 55:45 ซึ่งค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินการสถานีบริการก๊าซ NGV มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายดำเนินการมาคำนวณเฉพาะในส่วนที่เป็นของเอกชนอย่างเดียว โดยใช้สัดส่วนการดำเนินธุรกิจจากสถานีหลักไปสถานีลูกต่อสถานีแนวท่อตามจริงคือ 60:40 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่คำนวณได้ลดลงจากเดิมที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะภาคเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม
3. เนื่องจากราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันยังไม่สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน โดยให้ปรับไปตามประมาณการราคาของเดือนมกราคม 2559 จากเดิมที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.62 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2558 เป็นต้นไป และตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน โดยในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน โดยขอความร่วมมือ ปตท. พิจารณาให้ส่วนลดสำหรับการขายส่งก๊าซ NGV จากแนวท่อ (Ex-Pipeline) สำหรับลูกค้าที่เป็นคู่สัญญาของ ปตท. นับตั้งแต่วันที่ ปตท. เริ่มมีการขายส่งก๊าซ NGV จากแนวท่อไปยังลูกค้าดังกล่าว3.2 แนวทางที่ 2 ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปจนกว่าต้นทุนราคา ก๊าซ NGV จะลดลงมาเท่ากับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม จึงจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน โดยในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ย Pool Gas ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือนโดยทั้ง 2 แนวทางจะขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไว้ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม และให้ปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ จากเดิม 9,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะจาก 35,000 บาทต่อเดือน เป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน รับไปศึกษาเพิ่มเติมความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนราคาก๊าซ NGV โดยให้คำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในอดีตด้วย และให้นำกลับมารายงานอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่อง การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
2. ปัจจุบันประกาศกรมธุรกิจพลังงานได้กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยกำหนดว่าต้องมีสัดส่วนการผสมพลังงานทดแทนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9.0 9.0 19.0 75.0 และ 6.5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 10.0 10.0 20.0 E85 (ไม่ได้กำหนด) และ 7.0 ตามลำดับ ทั้งนี้จากการที่ราคาพลังงานทดแทนมีราคาสูงกว่าพลังงานจากฟอสซิล ทำให้ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงผสมพลังงานทดแทน ในสัดส่วนที่ต่ำสุดตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานเพื่อให้มีต้นทุนต่ำ ดังนั้น เพื่อให้หลักเกณฑ์สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยให้ใช้สัดส่วนการผสมในอัตราต่ำตามประกาศกรมธุรกิจพลังงานในการแทนค่าในการคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
3. ผลจากการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น จะทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลง โดยจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.5352 1.4357 1.2728 และ 3.3237 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ 1.6347 1.5380 1.3707 4.3416 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ค่าการตลาดคงเดิมอยู่ที่ 2.5471 และ 1.6242 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานผู้ค้าเพื่อปรับราคาขายปลีกให้เหมาะสมต่อไป
เรื่อง แนวทางดำเนินการโครงการนำร่องการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเสรี
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เห็นชอบข้อเสนอโครงการปฏิรูปเร็ว (Quick win) เรื่อง โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร) ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการฯ โดยเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่
การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้น้อยที่สุด โดยราคารับซื้อไฟฟ้าต้องไม่ก่อภาระต่อประชาชน และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการฯ โดยให้ดำเนินการในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน และให้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ให้ กบง. ทราบเป็นระยะต่อไป
2. พพ. ได้ประชุมหารือแนวทางดำเนินโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนด แนวทางการดำเนินโครงการ Pilot Project สรุปได้ดังนี้
2.1 แนวคิดการดำเนินโครงการได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายโครงการ กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่เป้าหมาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง และรูปแบบโครงการ2.2 ระเบียบที่ใช้รองรับโครงการ สามารถนำระเบียบเดิมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง ว่าด้วยข้อกำหนดการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า พ.ศ. 2551 มาปรับใช้กับการดำเนินโครงการ ซึ่งปัจจุบัน การไฟฟ้าฯ และ กกพ. อยู่ระหว่างการปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า2.3 ขั้นตอนดำเนินการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลักคือ การปรับปรุงกฎระเบียบ การประกาศเปิด รับสมัคร การพิจารณาตอบรับเข้าร่วมโครงการ การติดตั้งระบบ และตรวจสอบระบบเชื่อมต่อ2.4 ข้อจำกัดทางเทคนิค การไฟฟ้าฯ ได้ให้ข้อมูลเรื่อง ข้อจำกัดทางเทคนิคที่ต้องคำนึงในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณกำลังไฟฟ้า และข้อจำกัดปริมาณการติดตั้ง2.5 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการให้บรรลุผลสำเร็จ มีประเด็นที่ควรพิจารณา ประกอบด้วย รูปแบบการสนับสนุน การกำกับดูแล การติดตามผล การตรวจวัดข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการสมัครเข้าร่วมโครงการ2.6 พื้นที่และปริมาณการติดตั้ง ในขั้นโครงการระยะนำร่อง ได้กำหนดปริมาณการติดตั้งที่ 100 MWp ตามลำดับการยื่นขอ จนกว่าจะครบ 100 MWp โดยติดตั้งในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ.2.7 แผนการดำเนินงานโครงการ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี โดยมีแผนการดำเนินงานดังนี้ (1) เดือนมกราคม 2559 นำเสนอแนวทางดำเนินโครงการต่อ กบง. (2) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 กกพ. พิจารณากำหนดแนวทางหรือระเบียบการติดตั้ง (3) เดือนมีนาคม 2559 กฟน. และ กฟภ. ประชาสัมพันธ์โครงการและเปิด รับสมัคร (4) เดือนเมษายน 2559 ติดตั้งโซลาร์รูฟเสรีในระยะนำร่อง จนครบปริมาณ 100 MWp และ (5) สิ้นปี 2559 ติดตามและประเมินผลกระทบต่อความมั่นคงระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการส่งเสริมในระยะต่อไป
มติของที่ประชุม
รับทราบ