มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2558 (ครั้งที่ 11)
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.00 น.
1. รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
2. ความคืบหน้าการหารือโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG และค่าขนส่งก๊าซ NGV
3. การนำส่งเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
5. แผนการดำเนินงานหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในปี 2559
6. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนธันวาคม 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. นายวัชระ เพชรทอง ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ต่อศาลปกครองกลาง เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อประชาชนและไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคทั้งประเทศ โดยขอให้เพิกถอนมติ กบง. ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 และขอให้ศาลไต่สวนและกำหนดวิธีการชั่วคราวเพื่อระงับการประกาศใช้มติ กบง. ดังกล่าวไว้ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีไปให้ถ้อยคำต่อศาลในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและพิจารณาคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของผู้ถูกฟ้องคดี
2. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ กบง. ได้มอบหมายให้รองผู้อำนวยการ สนพ. (นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ) เป็นผู้ให้ถ้อยคำต่อศาล ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 แทน เนื่องจากติดราชการสำคัญ โดยยืนยันว่า การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดสาธารณประโยชน์ สร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุกภาคส่วน ยกเลิกการบิดเบือนราคา ลดการชดเชยจากน้ำมันประเภทอื่น (cross subsidy) และทำให้การผลิต การบริโภค และการลงทุนเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างที่ควรจะเป็น
3. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล คดีหมายเลขดำที่ 348/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 561/2558 โดยศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากผู้ฟ้องคดียังไม่ถือว่าเป็นผู้เดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงไม่เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานผลคดีดังกล่าวต่อ กบง. เพื่อทราบแล้วเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558 ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้อง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ในขั้นตอนต่อไปศาลปกครองจะได้มีหมายแจ้งคำสั่งศาลถึงผู้ถูกฟ้องคดี (กบง.) เพื่อให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง ความคืบหน้าการหารือโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG และค่าขนส่งก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ประธานฯ ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ LPG และก๊าซ NGV และให้นำเสนอให้ที่ประชุมทราบในการประชุมครั้งถัดไป ดังนั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 สนพ. ได้มีการประชุมร่วมกับ ปตท. เพื่อหารือเกี่ยวกับต้นทุนก๊าซ LPG ซึ่งมาจาก 4 แหล่ง และมีต้นทุนฯ ดังนี้ (1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยต้นทุนโรงแยกฯ เดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงมกราคม 2559 อยู่ที่ 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม (2) โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก ต้นทุนฯ อ้างอิงราคาตลาดโลก CP-20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แต่กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอขอต้นทุนราคาก๊าซ LPG ไม่ต่ำกว่า CP Flat ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาด้านปริมาณก๊าซ LPG จากโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้น (3) นำเข้า ต้นทุนจากการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสูตรราคาเดิมที่ราคา LPG ตลาดโลก (CP)+85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยต้นทุนการนำเข้า ก๊าซ LPG ในปี 2557 และปี 2558 อยู่ที่ 85 และ 103 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่ง สนพ. ได้ทำหนังสือขอให้ ปตท. ชี้แจงข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายในแต่ละรายการเพื่อใช้ในการตรวจสอบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอข้อมูล และ (4) บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด ต้นทุนก๊าซ LPG จาก บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด เดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงมกราคม 2559 อยู่ที่ 15.30 บาทต่อกิโลกรัม
2. ส่วนต้นทุนราคาก๊าซ NGV ปัจจุบันคำนวณภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย สนพ. ได้มีการทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ NGV เป็นรายเดือน รวมถึงมีการติดตามต้นทุนก๊าซ NGV ของ ปตท. ด้วย ซึ่งจากผลการศึกษาต้นทุนก๊าซ NGV ของสถาบันวิจัยฯ พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ณ เดือนตุลาคม 2558 อยู่ที่ 14.51 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายปลีกก๊าซ NGV จากข้อมูลต้นทุนก๊าซ NGV ตามจริงของ ปตท. ในปี 2557 อยู่ที่ 17.79 บาทต่อกิโลกรัม
3. หลักเกณฑ์การคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบัน ปตท. มีการคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร เช่น ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในสถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุดที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงรายนั้นอยู่ที่ 15.34 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี อบจ.) ในขณะที่ผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยฯ พบว่า ต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักจะอยู่ที่ 0.0167 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร แต่ปัจจุบัน สนพ. ได้มีการปรับปรุงต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก มาอยู่ที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง ดังนั้น หากกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้สถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุด (จังหวัดเชียงราย) ซึ่งมีระยะทางในการขนส่งก๊าซ NGV เท่ากับ 465.62 กิโลเมตร มีค่าขนส่งอยู่ที่ 6.72 บาทต่อกิโลกรัม (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 20.22 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม การกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก โดยใช้ต้นทุนค่าขนส่งจริงที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม จะเป็นการช่วยสนับสนุนให้โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพอัด (Compressed Biogas: CBG) ในพื้นที่ห่างไกลสถานีหลักก๊าซ NGV มีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น
4. การส่งเสริมการผลิตก๊าซ CBG สนพ. ได้มีการพิจารณาต้นทุนก๊าซ CBG เพื่อมาเปรียบเทียบกับต้นทุนก๊าซ NGV ซึ่งผลที่ได้ในเบื้องต้นโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พบว่า ต้นทุนการผลิตและขนส่งก๊าซ CBG จนถึงสถานีจำหน่าย NGV จากน้ำเสียจะอยู่ที่ 8.63 – 12.97 บาทต่อกิโลกรัมไบโอมีเทน ซึ่งหากต้องการที่จะส่งเสริมก๊าซ CBG ก็จำเป็นต้องพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลตอบแทนทางการเงินเพื่อจูงใจนักลงทุน ซึ่งจากผลการศึกษา ค่า financial rate of return ของ CBG ที่หน้าสถานีบริการ ต้องอยู่ที่ราคา 20 บาทต่อกิโลกรัมไบโอมีเทน จึงจะใกล้เคียงกับราคาก๊าซชีวภาพที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้ราคาก๊าซ CBG สามารถแข่งขันในตลาดได้ รัฐควรมีนโยบายส่งเสริม ดังนี้ (1) สนับสนุนด้านเงินลงทุน (2) สนับสนุนเงินทุนในการทดสอบคุณภาพของก๊าซ CBG (3) สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และ (4) เพื่อไม่ให้เกิดค่าขนส่ง สถานีบริการก๊าซ CBG ควรตั้งอยู่ที่เดียวกับโรงงานที่ผลิต
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง การนำส่งเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. ในช่วงปี 2555-2556 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งผลิตก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และโรงอะโรเมติกส์ ได้ยื่นเอกสารต่อกรมสรรพสามิต เพื่อขอรับเงินเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับ ก๊าซ LPG ที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบตามระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและ การเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 และได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อขอเบิกจ่ายเงินชดเชยให้แก่บริษัทฯ สบพน. จึงได้จ่ายเงินชดเชยให้กรมสรรพสามิตเพื่อจ่ายให้บริษัทฯ แล้ว แต่เนื่องจากบริษัทฯ เห็นว่าการจำหน่าย ก๊าซ LPG จากโรงอะโรเมติกส์ไม่เข้าข่ายที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ จึงขอส่งเงินดังกล่าวคืน โดยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 กรมสรรพสามิตได้นำเช็คฝากเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ แล้ว จำนวน 216,491,329.78 บาท
2. ต่อมา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อสอบถามเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ดังนี้ (1) วิธีการและหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบว่าบริษัทฯ ส่งเงินคืนครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ (2) การตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีบริษัทอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายได้รับเงินชดเชยตามประกาศ กบง. หรือไม่ และ (3) การเบิกจ่ายเงินชดเชยในช่วงดังกล่าว เป็นช่วงที่กองทุนน้ำมันฯ ขาดสภาพคล่อง และได้กู้เงินจากสถาบันการเงิน ทำให้มีต้นทุนดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส สบพน. ได้มีการรายงานผลเสียหายที่เกิดขึ้นต่อ กบง. หรือไม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 สบพน. ได้รายงานเรื่องที่บริษัทฯ ส่งเงินคืนจำนวน 216,491,329.78 บาท ให้ กบง. ทราบแล้ว และมีการตอบบันทึกข้อความของ สตง. แล้ว
3. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 สบพน. ได้หารือกับ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสนพ. เพื่อสรุปแนวทางในการดำเนินการตามที่ สตง. สอบถาม ซึ่งผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นว่าหากบริษัทฯ ชดใช้เงินก็ถือว่ากองทุนไม่เสียหาย รวมทั้งตามระเบียบคำสั่งไม่ได้ระบุการเรียกค่าเสียหายจากกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สบพน. ได้คำนวณต้นทุนเงินกู้และค่าเสียโอกาสจากการลงทุนอันเกิดจากการเบิกจ่ายเงินชดเชยของบริษัทฯ พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 8,190,110.76 บาท โดยแบ่งเป็น ช่วงที่มีภาระหนี้เงินกู้ 5,236,680.50 บาท และช่วงที่ไม่มีภาระหนี้เงินกู้ 2,953,430.26 บาท ซึ่ง สบพน. ได้ประสานกับ สนพ. เพื่อหารือเกณฑ์การคำนวณดังกล่าว และได้แจ้งให้สรรพสามิตพื้นที่ระยองแจ้งให้บริษัทฯ ทราบ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2558 กรมสรรพสามิต ได้ส่งสำเนาเอกสารการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของบริษัทฯ จำนวน 8,190,110.76 บาท เรียบร้อยแล้ว และเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 กรมสรรพสามิต ได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อชี้แจงวิธีการตรวจสอบและสรุปผลการตรวจสอบการขอรับเงินของบริษัทฯ และการตรวจสอบเพิ่มเติมกับบริษัทอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ตามประกาศ กบง. เรียบร้อยแล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 หมวด 7 การตรวจสอบภายใน ข้อ 26 ให้ สบพน. จัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงาน การรับ-จ่ายและการควบคุมภายในของโครงการที่ได้รับเงินจากกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานต่อปลัดกระทรวงพลังงาน (ปพน.)อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งตามคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ ลงวันที่ 23 มีนาคม 2548 ให้ สบพน. แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายใน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานต่อ ปพน. เพื่อนำ กบง. ต่อไป
2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. ได้ปฏิบัติงานในด้านการตรวจสอบการเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการและงบบริหารที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ โดยการสอบทานเอกสารและสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย (1) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) (2) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) (3) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) (4) สบพน. (5) กรมสรรพสามิต และ (6) กรมศุลกากร และได้รายงานผลการตรวจสอบต่อผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานที่ได้รับการตรวจสอบ รวมทั้งรายงานต่อผู้อำนวยการและคณะกรรมการตรวจสอบของ สบพน. พิจารณาเห็นชอบแล้ว โดยมีการตรวจสอบดังนี้ (1) การเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการ ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2558 และโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า (2) การเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินงบบริหาร ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2558 (3) การบันทึกบัญชี เข้าระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลาง (4) การจัดทำรายงาน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ตามระยะเวลาที่ระเบียบกระทรวงพลังงานฯ กำหนดไว้ และ(5) การควบคุมภายใน เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินโครงการและงบบริหารที่เหมาะสม
3. ในภาพรวมการเบิก-จ่ายเงินเป็นไปตามแผนการใช้เงินที่ได้รับอนุมัติ และการปฏิบัติงานเป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงานฯ มีเพียงบางหน่วยงานที่ไม่พบการบันทึกบัญชีและจัดส่งรายงานการเงินประจำเดือนล่าช้ากว่าที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ ซึ่งได้แจ้งให้ผู้ที่รับผิดชอบรับทราบ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขแล้ว โดยสรุป มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk) ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ (Compliance Risk) และความเสี่ยงทางด้านการเงิน (Financial Risk) อยู่ในระดับต่ำ มีการควบคุมภายในด้านการเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินอยู่ในระดับที่เหมาะสม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง แผนการดำเนินงานหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในปี 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะทำงานจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าได้หารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรื่องแผนการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ ประจำปี 2559 ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงระบบไฟฟ้า เพื่อนำมาจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความมั่นคงในระบบ สรุปสาระสำคัญของแผนการดำเนินงานและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ได้ดังนี้
1.1 แผนการทำงานการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ ในปี 2559 ที่มีผลกระทบต่อภาคไฟฟ้าปี 2559 ได้แก่ (1) แหล่งยาดานา มีแผนหยุดการผลิตในเดือนมีนาคม 2559 เป็นเวลา 4 วัน ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 1,070 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (2) แหล่งซอติก้า มีแผนการหยุดผลิตระหว่างวันที่ 19 – 28 มีนาคม 2559 ส่งผลต่อการลดปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 640 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (3) แหล่งเยตากุน มีแผนการหยุดผลิต ระหว่างวันที่ 10 – 18 เมษายน 2559 ส่งผลต่อการลดปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 570 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (4) แหล่ง JDA-A18 มีแผนการหยุดซ่อมบำรุงในเดือนเมษายน 2559 เป็นเวลา 12 วัน ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันออก และพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาประมาณ 420 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งผลกระทบให้ ปตท. ต้องหยุดจ่ายก๊าซฯ ให้แก่โรงไฟฟ้าและสถานี NGV จะนะ และ (5) แหล่งสินภูฮ่อม มีแผนหยุดซ่อมบำรุงระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน 2559 ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือให้แก่โรงไฟฟ้าและสถานี NGV น้ำพอง รวมประมาณ 150 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่ง ปตท. ได้ประสานงานกับ กฟผ. ในการกำหนดช่วงเวลาซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้าให้สอดคล้องกับแผนการทำงาน ของผู้ผลิตก๊าซฯ เพื่อลดผลกระทบ1.2 กฟผ. ได้พิจารณาแผนหยุดจ่ายก๊าซฯ ผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า และแผนการดำเนินงานของ กฟผ. แล้ว สรุปได้ว่า (1) เสนอให้เลื่อนการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ จากแหล่งสินภูฮ่อมจากเดิมระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน 2558 เป็นวันที่ 17-26 กันยายน 2558 เพื่อให้ตรงกับแผนหยุดซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้า (2) การหยุดจ่ายก๊าซฯ จาก JDA-A18 ในเดือนเมษายน 2559 (12 วัน) จะไม่มีผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าภาคใต้ และยังคงสามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับมาตรฐานความมั่นคง N-1 ได้ แต่จะมีผลทำให้การใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จำนวน 12 และ 16 ล้านลิตร ตามลำดับ (3) การหยุดจ่ายก๊าซฯ จากสหภาพ เมียนมาร์ (ยาดานา เยตากุน และซอติก้า) ในช่วงวันที่ 19-28 มีนาคม 2559 และ 9-18 เมษายน 2559 จะไม่มีผลกระทบต่อระบบไฟฟ้านครหลวงและยังคงสามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับมาตรฐานความมั่นคง N-1 ได้ แต่จะมีผลทำให้ต้องใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลเพิ่มในเดือนเมษายน 2559 จำนวน 6 และ 1.3 ล้านลิตร ตามลำดับ
2. ตามแผนการทำงานของผู้ผลิตก๊าซฯ ข้างต้น อาจทำให้มีความจำเป็นต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันในปริมาณค่อนข้างสูงซึ่งจะมีผลกระทบต่อ Ft งวดเดือนมกราคม – เมษายน 2559 ดังนั้น ปตท. และ กฟผ. จึงอยู่ระหว่างเจรจาปรับเปลี่ยนกำหนดการหยุดซ่อมเพื่อลดผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า โดย กฟผ.ได้เสนอกรอบเวลาที่เหมาะสม ดังนี้ (1) ปรับเลื่อนกำหนดการหยุดผลิตของแหล่งยาดานาซึ่งจะส่งผลให้ต้องหยุดจ่ายก๊าซฯ จากสหภาพ เมียนมาร์ทุกแหล่ง จากเดือนมีนาคม 2559 เป็น 12-18 เมษายน 2559 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แหล่งเยตากุนหยุดผลิต และ (2) ปรับเลื่อนกำหนดการหยุดผลิตของแหล่ง JDA-A18 จากช่วงเดือนเมษายน 2559 เป็นระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม 2559 (12 วัน) สำหรับกระทรวงพลังงานมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ (1) กระทรวงพลังงานร่วมกับ กฟผ. และ บมจ. ปตท. ดำเนินงานหารือแผนการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติร่วมกันเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ให้ได้ข้อยุติและรายงาน กบง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ และ (2) สนพ. และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานจัดเตรียมมาตรการรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น การรณรงค์การลดใช้พลังงานไฟฟ้า และมาตรการ Demand Response เป็นต้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนธันวาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 466 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2558 จำนวน 55 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2558 อยู่ที่ 35.9366 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2558 ที่ 0.0614 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.7040 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.8011 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 16.5051 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.04 บาทต่อกิโลกรัม
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันฯ ก๊าซ LPG ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,937 ล้านบาท จึงขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 3 แนวทาง ดังนี้ (1) คงราคาขายปลีกไว้ที่ 22.29 บาท ต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ 0.7040 บาทต่อกิโลกรัม จาก 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 557 ล้านบาทต่อเดือน (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ อีก 0.0778 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.6908 บาทต่อกิโลกรัมซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 22.96 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 333 ล้านบาท/เดือน และ (3) คงอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.04 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 11.30 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 312 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 1.3170 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป