มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 20)
วันจันทน์ที่ 7 สิงหาคม 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
2. แผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544
3. โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน
4. โครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า
5. โครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1
6. การขอรับการสนับสนุนโครงการระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้างของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
7. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
8. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
9. รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
10. รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
11. การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2543
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) แทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ สพช. บก. และ พพ. ในปีงบประมาณ 2543 - 2547 เป็นวงเงินรวม 3,229.31 ล้านบาท
ดังนั้นเพื่อให้ สพช. บก. และ พพ. สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2544 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2544 ในโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 702,679,418 บาท ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนได้พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2544 ของทั้ง 3 หน่วยงาน โดยให้สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมายปี 2544
หน่วย : บาท
สพช. | บก. | พพ. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 3,542,400 | 467,040 | 23,859,600 | 27,869,040 |
2. ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ | 10,643,320 | 179,280 | 30,647,488 | 41,470,088 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 4,360,000 | - | 5,372,440 | 9,732,440 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง | 3,125,000 | - | 15,496,850 | 18,621,850 |
5. รายจ่ายอื่น | 121,735,000 | - | 483,251,000 | 604,986,000 |
รวม | 143,405,720 | 646,320 | 558,627,378 | 702,679,418 |
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอนำงบประมาณรายจ่ายของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. บก. และ พพ. ในปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
1. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
1) อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 143,405,720 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบสามล้านสี่แสนห้าพันเจ็ดร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2) ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3) ก่อนการใช้จ่ายเงินหมวดรายจ่ายอื่น เพื่อจ้างที่ปรึกษาอื่นๆ ที่ สพช. ได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษา ตามที่ สพช. ขออนุมัติวงเงินไว้ 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) นั้น ให้ สพช. เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติเป็นรายการๆ ไป
4) ให้ สพช. และ พพ. ร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางบริหารงานด้านบัญชี การเงิน พัสดุและงบประมาณของกองทุนฯ โดยใช้ผลการประเมินด้านการบริหารงานกองทุนฯ ที่คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานกำลังดำเนินงานอยู่ มาพิจารณาด้วย และให้ สพช. เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในโอกาสต่อต่อไป
5) ให้ สพช. ทำหนังสือชี้แจงต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถึงเหตุผลและความจำเป็นในการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านบัญชี การเงิน พัสดุและงบประมาณของกองทุนฯ
2. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
1) อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 558,627,378 บาท (ห้าร้อยห้าสิบแปดล้านหกแสนสองหมื่นเจ็ดพันสามร้อยเจ็ดสิบแปดบาทถ้วน)
2) ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3) ให้ พพ. และ สพช. ร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางบริหารงานด้านบัญชี การเงิน พัสดุและงบประมาณของกองทุนฯ โดยใช้ผลการประเมินด้านการบริหารงานกองทุนฯ ที่คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานกำลังดำเนินงานอยู่ มาพิจารณาด้วย และให้ สพช. เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในโอกาสต่อต่อไป
3. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ บก.
อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ บก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 646,320 บาท (หกแสนสี่หมื่นหกพันสามร้อยยี่สิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ สพช. บก.และ พพ. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2544 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543
เรื่องที่ 2 แผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ปี 2543-2547 ส่วนของโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2544 ในวงเงิน 343 ล้านบาท และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาการปรับแผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544 โดยให้เพิ่มงบประมาณ จากเดิม 343 ล้านบาท เป็น 481 ล้านบาท โดยงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเป็นการโอนงบประมาณที่ใช้ไม่ทันในปี 2543 มาใช้ในปี 2544 และเป็นงบที่สนับสนุนกิจกรรมเพิ่มเติมตามความต้องการของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมการศึกษานอกโรงเรียน และ สพช. เป็นต้น
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาแผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
กิจกรรม | งบประมาณเดิม (ล้านบาท) | งบประมาณใหม่ (ล้านบาท) | องค์กรที่สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ |
1. การพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน แบบเรียน คู่มือและเครื่องมือที่ใช้ประกอบการทำงาน | 190 | 313 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ |
2. การฝึกอบรมบุคลาการระยะสั้นในประเทศ | 63 | 63 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่ไม่มุ่งค้ากำไร |
3. การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 5 | 5 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ |
4. การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ และสถาบันการศึกษา | ||
-ในประเทศ -ต่างประเทศ |
50 | 50 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่ไม่มุ่งค้ากำไร |
5. การให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 30 | 40 | สถาบันการศึกษา รัฐ/เอกชน |
6. อื่นๆ | 5 | 5 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ |
รวม | 343 | 481 |
มติที่ประชุม
อนุมัติแผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544 เพื่อให้ สพช. ใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้การสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 481 ล้านบาท (สี่ร้อยแปดสิบเอ็ดล้านบาท)
เรื่องที่ 3 โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เสนอโดยสำนักวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และมีมติให้ กฟผ. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้มีความชัดเจนในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) กฟผ. ควรดำเนินโครงการฯ ทีละส่วน โดยเริ่มโครงการแม่ฮ่องสอน 2 ที่มีขนาด 500 kW ก่อน ในระยะที่ 1 เพื่อดูผลการทำงานในสภาพจริง และตรวจสอบสมมติฐานต่างๆ เปรียบเทียบกับผล ที่คาดว่าจะได้รับ เสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาก่อนอนุมัติให้ดำเนินโครงการฯ ต่อไป
2) ให้มีการตรวจวัดความเข้มรังสีแสงอาทิตย์ ณ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ควบคู่ไปกับการดำเนินงานระยะที่ 1
3) ข้อมูลรังสีแสงอาทิตย์ของแม่ฮ่องสอนที่ กฟผ. นำมาใช้อ้างอิงนั้น เป็นข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยังไม่ได้มีการสอบเทียบกับข้อมูลที่วัดทางภาพพื้นดิน และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่อง Critical Input ดังนั้น กฟผ. จึงควรเผื่อค่าความไม่แน่นอนของข้อมูลไว้ด้วยประมาณ 7%
4) ปรับปรุงวิธีเสนอการคำนวณผลวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ในข้อเสนอโครงการฯ ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยให้ผู้เชี่ยวชาญผู้วิเคราะห์โครงการฯ ให้ความเห็นอีกครั้ง
5) เปรียบเทียบการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้ากับเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะความคุ้มค่าของเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์กับเทคโนโลยีอื่นๆ
6) แสดงรายละเอียดของส่วนประกอบของระบบผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ และควรเขียนแสดงเป็น Block diagram และอธิบายถึงหน้าที่และขั้นตอนที่ใช้งานในระบบฯ ด้วย
7) เพิ่มแผนงานการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่โครงการฯ ก่อนเริ่มต้นทำงาน เพื่อป้องกันปัญหาการไม่ยอมรับโครงการฯ ที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
8) เมื่อ กฟผ. ดำเนินการตามข้อ 1)-7)ได้ครบถ้วนแล้ว กฟผ. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ของอนุกรรมการฯ ด้วยอีก 6 ข้อ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานงานกับ กฟผ. เพื่อปรับแผนงานตามมติของคณะอนุกรรมการฯ และ กฟผ. ได้มีหนังสือที่ กฟผ.B3403/32940 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2543 เพื่อแจ้งผลการพิจารณาปรับแผนฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1) กฟผ. ได้ปรับแผนงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40)
2) กฟผ. ได้ปรับปรุงวิธีคำนวณค่าผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ โดยปรึกษากับ ผศ.ดร.ศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ และสรุปว่าค่าผลตอบแทนจากโครงการฯ จะเป็นดังนี้
กรณีที่ | พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ (kWh/kWp/Yr) |
EIRR | IRR |
1 | 1,300 | 6.83% | 5.13% |
2 | 1,400 | 7.58% | 6.01% |
3 | 1,500 | 8.30% | 6.85% |
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วเห็นว่า กฟผ. ได้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ได้มีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุน กฟผ. ดำเนินโครงการในลักษณะสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในวงเงิน 753,068,006 บาท (เจ็ดร้อยห้าสิบสามล้านหกหมื่นแปดพันหกบาทถ้วน)
2. กฟผ. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ให้ กฟผ. เริ่มโครงการแม่ฮ่องสอน 2 ที่มีขนาด 500 kW ก่อน ในระยะที่ 1
2) ให้ กฟผ. รายงานผลการทำงานในสภาพจริง ข้อมูลรังสีแสงอาทิตย์ของแม่ฮ่องสอนที่วัดได้จริงในช่วงการดำเนินงานระยะที่ 1 โดยเปรียบเทียบกับผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ทั้งทางด้านเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ เพื่อเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาก่อนอนุมัติให้ดำเนินโครงการฯ ต่อไป
3) ให้ กฟผ. ศึกษาแนวทางหรือโอกาสที่จะใช้วัสดุอุปกรณ์ภายในประเทศในโครงการฯ ระยะที่ 2 และหากข้อเสนอดังกล่าวจำเป็นต้องให้ผู้ประกอบการในประเทศต้องมีการพัฒนาในด้านใด กฟผ. ควรจะมีการเตรียมแผนฯ ไว้ให้ล่วงหน้าด้วย
4) ให้ กฟผ. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้มีความชัดเจนในเรื่องแผนการดำเนินงานตามที่ได้แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ทั้งในเรื่องขั้นตอน ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
3. หาก กฟผ. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว กฟผ. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) ด้วย
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ กฟผ. เสนอมา โดยให้เริ่มโครงการแม่ฮ่องสอน 2 ที่มีขนาด 500 kW ก่อน ในระยะที่ 1 และให้ กฟผ. จำแนกค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่ 1 ให้ชัดเจน และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. ให้ กฟผ. รายงานผลการทำงานในสภาพจริง ข้อมูลรังสีแสงอาทิตย์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ได้วัดจริงในช่วงการดำเนินงานระยะที่ 1 โดยเปรียบเทียบกับผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ทั้งด้านเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ เพื่อเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาก่อนอนุมัติให้ดำเนินโครงการฯ ระยะต่อไป
เรื่องที่ 4 โครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า ที่เสนอโดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และมีมติให้ กฟน. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้มีความชัดเจนในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) เนื่องจากโครงการนี้มีผลตอบแทนด้านการเงินต่ำมาก กฟน. ควรทำการเปรียบเทียบการคำนวณผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์และการเงินของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในแต่ละกลุ่ม ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์ Capacitor ตามแนวทางที่ กฟน. เสนอมา กับการติดตั้งที่อุปกรณ์ไฟฟ้าหลัก เช่น มอเตอร์ ซึ่งคาดได้ว่าการติดตั้งที่อุปกรณ์ไฟฟ้าหลักจะให้ผลตอบแทนแก่ผู้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น
2) กฟน. ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนร่วมกับกองทุนฯ และผู้ใช้ไฟฟ้าด้วย
3) กฟน. ควรกำหนดเป้าหมายจำนวน Capacitor ที่จะดำเนินการติดตั้งในแต่ละช่วงเวลาของการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการสรรหาผู้ใช้ไฟฟ้าเข้าร่วมในโครงการฯ ให้ได้ครบตามเป้าหมายของโครงการฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
4) พิจารณากำหนดแนวทางในการติดตั้งอุปกรณ์ Capacitor โดยให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ สามารถตัดสินใจในการซื้ออุปกรณ์ฯ ได้เองในราคาที่ยุติธรรมและได้รับอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ตลอดจนทำให้เกิดการแข่งขันตามกลไกการตลาดที่เป็นกลาง
5) ระบุแผนการประเมินผลให้ชัดเจน ข้อมูลที่จะจัดเก็บ วิธีการจัดเก็บ วิธีการประเมินผล และระบุให้ชัดเจนถึงขอบเขตความรับผิดชอบในการประเมินผลระหว่าง กฟน. และบริษัทที่ปรึกษาฯ พร้อมทั้งกำหนดดัชนีชี้วัดที่จะใช้ในการประเมินผลความสำเร็จของโครงการฯ ด้วย
6) เมื่อ กฟน. ดำเนินการตามข้อ 1)-5) ได้ครบถ้วนแล้ว กฟน. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ของคณะอนุกรรมการฯ ด้วยอีก 6 ข้อ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานงานกับ กฟน. เพื่อปรับแผนตามมติของคณะอนุกรรมการฯ และ กฟน. ได้มีหนังสือที่ มท 5226/2.256/43 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2543 เพื่อแจ้งการปรับแผนดังกล่าวแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2543 ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า กฟน. ดำเนินการปรับปรุงในประเด็นหลักครบถ้วนแล้ว จึงเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ แต่เนื่องจาก กฟน. มีประสบการณ์สูงและชำนาญการในเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่แล้ว ที่ประชุมจึงเห็นควรตัดวงเงินที่ กฟน. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ออก จำนวน 10 ล้านบาท โดยที่ประชุมได้มีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดำเนินโครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า ภายในวงเงิน 150,286,000 บาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านสองแสนแปดหมื่นหกพันบาทถ้วน)
2. กฟน. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ให้ตัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ออก
2) ปรับปรุงรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับวงเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
3) เพิ่มเติมรายละเอียด วิธีการ ขั้นตอนการสนับสนุนเงินกู้แก่ผู้ร่วมโครงการของ กฟน. โดยระบุให้ชัดเจนถึงเงื่อนไขในการให้กู้ เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติ ระยะเวลาการผ่อนชำระเงิน และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
3. หาก กฟน. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว กฟน. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) ด้วย
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ ต่อไป
กฟน. ได้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดย กฟน. จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 149,087,000 บาท ประกอบด้วย
รายการ | เดิม (บาท) | ใหม่ (บาท) |
1. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุน | 160,286,000 | 149,087,000 |
1.1 ค่าบริหารโครงการ | 11,920,000 | 721,000 |
- ค่าที่ปรึกษา |
10,000,000 |
- |
1.2 ค่าติดตั้ง Capacitor | 148,366,000 | 148,366,000 |
2. การไฟฟ้านครหลวง | 126,549,000 | 126,549,000 |
ค่าบริหาร -ค่าบริหารโครงการ |
75,120,000 |
75,120,000 |
3. ผู้ใช้ไฟฟ้า (ค่าติดตั้ง Capacitor) | 327,495,000 | 327,495,000 |
รวม | 614,330,000 | 603,131,000 |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า ภายในวงเงิน 149,087,000 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าล้านแปดหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน)
2. ให้ กฟน. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ให้ตัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ออก
2) ปรับปรุงรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับวงเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
3) เพิ่มเติมรายละเอียด วิธีการ ขั้นตอนการสนับสนุนเงินกู้แก่ผู้ร่วมโครงการของ กฟน. โดยระบุให้ชัดเจนถึงเงื่อนไขในการให้กู้ เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติ ระยะเวลาการผ่อนชำระเงิน และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
3. หาก กฟน. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว กฟน. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) ด้วย
เรื่องที่ 5 โครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 แล้ว เห็นชอบในหลักการและมีมติให้ นายกุมโชค ใบแย้ม ดร.เทียนไชย จงพีร์เพียร และ รศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ เป็นที่ปรึกษาร่วมวิเคราะห์โครงการฯ โดยให้ สพช. ทำแผนโดยละเอียดของโครงการฯ ก่อนให้ที่ปรึกษาวิเคราะห์
สพช. ได้จัดทำแผนของโครงการโดยละเอียดของโครงการฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยได้ปรับลดวงเงินที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ลงจาก 180 ล้านบาท คงเหลือเพียง 135 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากได้ลดจำนวนวันทำงานของที่ปรึกษาต่างประเทศในด้าน Market Rules ที่มีค่าจ้างสูงนั้นลง และเพิ่มบุคลากรของไทยให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ด้วย เพื่อเป็นการเรียนรู้งานและถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้มากขึ้น โดยมีผลการวิเคราะห์โครงการฯ ของที่ปรึกษาฯ และฝ่ายเลขานุการฯ สรุปคะแนนรวมอยู่ในเกณฑ์สูง และการพิจารณาด้านความเสี่ยงทั้งในด้านเทคโนโลยี การดำเนินการ และองค์กรการบริหาร อยู่ในเกณฑ์ระดับต่ำ และฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 41) ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 ที่เสนอโดย สพช. ในวงเงิน 135,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านบาทถ้วน)
2. เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาในโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
3. สพช. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) เพิ่มเติมรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาแต่ละรายการ
2) ไม่ควรกำหนดคุณสมบัติเฉพาะของที่ปรึกษาว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานในกิจการไฟฟ้าของประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญรายอื่นมีสิทธิในการยื่นข้อเสนอด้วย
3) เพิ่มเติมเกณฑ์ในการพิจารณาประเมินข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาแต่ละราย
4) เพิ่มเติมแนวทางในการประสานการดำเนินงานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อให้การไฟฟ้าทั้ง 3 ฝ่ายได้รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินการศึกษา ทั้ง 3 รายการดังกล่าว
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 ในวงเงิน 135,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ สพช. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาในโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เนื่องจากประธานมีภารกิจเร่งด่วนจึงทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมต่อไปได้ ประธานจึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ ) ทำหน้าที่เป็นประธานฯ ในการประชุมแทน
เรื่องที่ 6 การขอรับการสนับสนุนโครงการระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้างของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 8/2542 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2542 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ในระหว่างการออกแบบและก่อสร้าง ให้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ในวงเงิน 861,451 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้างและลงทุนการอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ สำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ มก. ทราบเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2543
มก. ได้มีหนังสือที่ ทม 0410/01861 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 เพื่อแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนกับ พพ. พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลว่าในระหว่างที่รอการพิจารณาการอนุมัติเงินสนับสนุนโครงการฯ นั้น มก. ไม่มีสถานที่เรียนเพียงพอและมีความจำเป็นต้องใช้อาคารดังกล่าวเพื่อการเรียนการสอนให้ทันกับช่วงเปิดภาคการศึกษา มก. จึงได้นำเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยฯ ทดรองจ่ายไปในการปรับปรุงแบบฯ และลงทุนตามแบบฯ ก่อนที่คณะอนุกรรมการฯ จะอนุมัติให้เงินสนับสนุน โดย มก. คิดว่าหากได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว ก็จะนำเงินดังกล่าวส่งคืนให้กับมหาวิทยาลัยฯ
ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบไว้แล้วในการประชุม ครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ในส่วนของโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ในระหว่างการออกแบบและก่อสร้าง และหลักเกณฑ์ที่จะให้การสนับสนุน ดังนี้
1) เงินช่วยเหลือให้เปล่าในการปรับปรุงแบบ แต่ทั้งนี้ไม่เกินรายละ 2,000,000 บาท โดยจ่ายเมื่อได้มีการปรับปรุงแบบฯ เสร็จแล้วและมีคุณภาพเป็นที่พอใจของ พพ.
2) เงินอุดหนุนในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นตามแบบฯ ที่ปรับปรุงจากแบบเดิม โดยมีหลักเกณฑ์ในการให้การสนับสนุน โดยแบ่งการจ่ายเงินสนับสนุนการลงทุนเป็น 3 งวด คือ
งวดที่ 1 จ่ายเมื่อมีการนำส่งเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือวัสดุ 30% ของเงินอุดหนุนฯ
งวดที่ 2 จ่ายเมื่อมีการติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือวัสดุ 40% ของเงินอุดหนุนฯ
งวดที่ 3 จ่ายเมื่อพ้นระยะทดลองการใช้งานฯ แล้ว 30% ของเงินอุดหนุนฯ
การที่ มก. ดำเนินการไปก่อนที่จะได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นการดำเนินการผิดขั้นตอนและส่งผลให้เกิดปัญหาเบิกจ่ายเงินสนับสนุนแต่ละงวดที่กำหนดในหลักเกณฑ์ของกองทุนฯ ด้วย เพราะ พพ. ไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบก่อนเบิกจ่ายเงินเป็นงวดๆ ได้ตามขั้นตอนปกติ พพ. จึงได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 11) เพื่อพิจารณา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วได้มีมติ ดังนี้
1. อนุมัติให้ มก. ดำเนินการลงทุนและติดตั้งอุปกรณ์ก่อนได้รับการพิจารณาอนุมัติ
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 ให้แก่ มก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้างและลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ สำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์ ในวงเงิน 861,451 บาท (แปดแสนหกหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) ตามที่ มก. ได้ดำเนินการลงทุนฯ และติดตั้งอุปกรณ์ไปแล้วก่อนได้รับการอนุมัติโครงการฯ
3. ให้ พพ. จ่ายเงินสนับสนุนดังกล่าว ให้แก่ มก. งวดเดียว เมื่อ พพ. ได้ตรวจสอบภายหลังระยะเวลาทดลองการใช้งานของอุปกรณ์แล้วได้ผลการอนุรักษ์พลังงานตามข้อเสนอโครงการฯ
มติที่ประชุม
1. รับทราบที่ มก. ได้ดำเนินการปรับปรุงแบบก่อสร้างสำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และลงทุนการอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ก่อนได้รับการพิจารณาอนุมัติสนับสนุนโครงการฯ จากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
2. เห็นชอบให้ พพ. เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 ให้ มก. ในวงเงิน 861,451 บาท (แปดแสนหกหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้างและลงทุนอนุรักษ์พลังงาน ตามแบบฯ สำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์
3. เห็นชอบให้ พพ. จ่ายเงินสนับสนุนฯ ตามข้อ 2 ให้ มก. ในงวดเดียว หลังจากที่ พพ. ได้เห็นชอบในรายงานผลตรวจสอบการใช้งานของอุปกรณ์ที่ มก. ได้ลงทุนติดตั้งตามแบบดังกล่าวแล้ว
4. ให้ พพ. กำหนดมาตรการหรือเงื่อนไข เพื่อป้องกันมิให้มีการดำเนินการโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ดำเนินการไปก่อนที่จะได้รับการอนุมัติ
เรื่องที่ 7 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2543 ว่ามียอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 14,347,638,202.16 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุน โครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2542 จนถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2543
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 9 รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้คัดเลือกให้ บริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด เป็นผู้ดำเนินการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริษัทฯ ได้จัดทำ TOR เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดจ้างหน่วยงานหรือองค์กรเอกชนที่เป็นอิสระหรือเป็นกลางให้เป็นผู้ทำการประเมินผลโครงการย่อยของแต่ละโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวมประมาณ 33,400,000 บาท (สามสิบสามล้านสี่แสนบาทถ้วน) โดยคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2543 ได้เห็นชอบและมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการสรรหา ผู้ประเมินฯ ตามระเบียบราชการต่อไป
จากนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ศ.อัมมาร สยามวาลา ได้มีหนังสือที่ DS/2000/20 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2543 เพื่อขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ เนื่องจากมีภารกิจมาก ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในคณะอนุกรรมการฯ ได้เต็มที่ ซึ่งประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้รับทราบและมอบหมายให้ สพช. พิจารณาสรรหาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มาเป็นอนุกรรมการฯ แทนด้วย โดยขณะนี้ สพช. กำลังสรรหาผู้ที่เหมาะสมและเมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว จะได้นำเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง และจะรายงานที่ประชุมเพื่อทราบต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 10 รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จ้าง AEA Technology plc ผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักร ให้มาดำเนินการศึกษาและวางแผน กำหนดรูปแบบวิธีการประกาศเชิญชวนและหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอที่เหมาะสมของ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ สำหรับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยคาดว่าจะออกประกาศเชิญชวนได้ภายในเดือนกันยายน 2543 โดยให้ผู้สนใจลงทุนยื่นข้อเสนอภายใน 3 เดือน และจะประกาศผลการคัดเลือกเสร็จสิ้นได้ภายในเดือนมีนาคม 2544
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 38) เมื่อวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องการจัดทำประกาศเกี่ยวกับโครงการฯ โดยมีข้อความที่ชัดเจนในเรื่องสิทธิของการเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเมื่อ สพช. ออกประกาศเชิญชวนแล้ว ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ที่ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟกับการไฟฟ้าฯ ไว้ก่อนหน้าวันที่ออกประกาศฉบับนี้ ไม่มีสิทธิในการเข้าร่วมโครงการฯ ครั้งนี้ นอกเสียจากว่าจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิม และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้ สพช. ออกประกาศเชิญชวนและคัดเลือกข้อเสนอภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และให้ สพช. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบด้วย
2. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อเสนอร่างประกาศเชิญชวนและจัดทำแนวทางและหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอของผู้สนใจลงทุน รวมถึงดำเนินการคัดเลือกข้อเสนอดังกล่าวเพื่อเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยคณะทำงานประกอบด้วย ผู้แทนกองการไฟฟ้า และผู้แทนกองอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน จาก สพช. ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ผู้แทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3 ท่าน โดยให้ สพช. จัดทำคำสั่งแต่งตั้งและเสนอประธานคณะอนุกรรมการฯ เป็นผู้ลงนามในคำสั่ง และเสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
ประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้ลงนามในคำสั่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ที่ 1/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และ สพช. ได้เสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบแล้ว และ สพช. ได้จัดทำประกาศเชิญชวนและคัดเลือกข้อเสนอภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบแล้ว และได้แจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 11 การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2543
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามมติของ กพช. ในมาตรการประหยัดน้ำมันดังกล่าว ในส่วนที่ได้มีการดำเนินงานไปแล้วดังนี้
1. การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME
1.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้อนุมัติเงินให้การสนับสนุน 3 หน่วยงาน ไปดำเนินโครงการนำร่องเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง ได้แก่
(1) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ใช้เทคนิค Value Engineering เป็นมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งสภาฯ จะทำโครงการนำร่องก่อน 35 โรงงาน คาดว่าโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนธันวาคม 2543
(2) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) จะใช้วิธีเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพพลังงาน โดย พพ. จะดำเนินโครงการนำร่องก่อน จำนวน 20 โรงงาน ด้วยการสนับสนุนจะให้เงินช่วยเหลือเท่ากับ 30% ของราคามาตรฐานของ วัสดุ อุปกรณ์ที่โรงงานต้องการคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนมิถุนายน 2544
(3) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ซึ่งจะดำเนินงานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในลักษณะการตรวจสอบการใช้พลังงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในโรงงาน โดยมีเป้าหมายจะทำโครงการนำร่องไว้ 100 ราย คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนสิงหาคม 2544
1.2 กสอ. ได้มีหนังสือที่ อก 0615/1265 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามมติ กพช. จำนวน 3 โครงการ เป็นวงเงินรวม 258,447,440 บาท (สองร้อยห้าสิบแปดล้านสี่แสนสี่หมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน) ประกอบด้วย
(1) โครงการลดต้นทุนอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อม และสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SME- ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) ขอรับการสนับสนุน 66,000,000 บาท (หกสิบหกล้านบาทถ้วน)
(2) โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหาร การจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขอรับการสนับสนุน 141,269,440 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ดล้านสองแสนหกหมื่นเก้าพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน)
(3) โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขอรับการสนับสนุน 51,178,000 บาท (ห้าสิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นแปดพันบาทถ้วน)
1.3 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้มีหนังสือที่ อก 0143/4761 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามมติ กพช. จำนวน 2 โครงการ เป็นวงเงินรวม 460,000,000 บาท (สี่ร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน) ประกอบด้วย
(1) โครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม ขอรับการสนับสนุน 300,000,000 ล้านบาท (สามร้อยล้านบาทถ้วน)
(2) โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อนำพลังงานที่เหลือทิ้งมาใช้ประโยชน์ในโรงงานอุตสาหกรรม ขอรับการสนับสนุน 160,000,000 ล้านบาท (หนึ่งร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน)
เมื่อ สพช. ได้รับข้อเสนอทั้ง 5 โครงการ จากทั้ง 2 หน่วยงานในสังกัดของกระทรวง อุตสาหกรรมแล้ว สพช. ได้เร่งดำเนินการพิจารณานำข้อเสนอโครงการเบื้องต้นเข้าสู่การพิจารณาของ คณะผู้เชี่ยวชาญกลั่นกรองโครงการแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 แต่เนื่องจากคณะผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถพิจารณาได้ทัน จึงได้เลื่อนการพิจารณาเป็นการประชุมครั้งต่อไปประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 แต่ที่ประชุมได้ให้ความเห็นไว้ในเบื้องต้น ดังนี้
(1) โครงการลดต้นทุนอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อม และสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SME- ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) และโครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อนำพลังงานที่เหลือทิ้งมาใช้ประโยชน์ในโรงงานอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เสนอเข้ามามีความซ้ำซ้อนกันและมีลักษณะเดียวกับ โครงการลดต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ที่ กสอ. ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และกำลังเริ่มดำเนินงานอยู่ ดังนั้นเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการทำงานและอาจก่อให้เกิดความสับสนต่อผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ สพช. จึงได้แจ้งให้ ผู้รับผิดชอบโครงการของทั้งสองหน่วยงานให้มีการประสานงานและร่วมกันพิจารณาในแนวทางดำเนินงานให้ชัดเจนก่อน แล้วจัดทำข้อเสนอมายัง สพช. ใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานได้มีการประชุมร่วมกันแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
(2) สพช. จะได้นำข้อเสนอโครงการเบื้องต้นของทั้งสองหน่วยงานเข้าสู่การพิจารณาของคณะผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง ในการประชุมประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 และ สพช. จะได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯพิจารณา ตามขั้นตอนต่อไป
สพช. ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานสนับสนุนโครงการภายใต้สังกัดกระทรวง อุตสาหกรรมตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นดังกล่าว เสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบไว้ชั้นหนึ่งแล้ว
2. โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดพลังงาน
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดพลังงานไปแล้ว จะสามารถเริ่มโครงการได้ประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะตั้งศูนย์บริการตามสถานที่ราชการเพื่อให้บริการ Tune-up แก่รถยนต์ของส่วนราชการ รวมทั้งตั้งศูนย์บริการ Tune-up ให้แก่ประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก คาดว่าจะสามารถ Tune-up แก่รถยนต์ได้ประมาณ 17,000 คัน ในระยะเวลา 6 เดือน โดยใช้งบประมาณ 7,518,600 บาท
ปตท. ได้ยื่นข้อเสนอโครงการระยะที่ 2 ซึ่งจะสามารถขยายการให้บริการ Tune-up ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด คาดว่าจะสามารถ Tune-up รถยนต์ได้ประมาณ 49,000 คัน ในระยะเวลา 3 ปี โดยใช้งบประมาณ 24,323,000 บาท
3. โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด
กรมควบคุมมลพิษ ได้มีหนังสือด่วน ที่ วว 0303/4684 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามมติ กพช. ในโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทางไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยกรมควบคุมมลพิษ จะร่วมกับและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเป็นระบบรถไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Buses) ซึ่ง สพช. จะได้เร่งพิจารณาแผนเบื้องต้นของโครงการฯ และนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 3/2537 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ลงวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2537 และคำสั่งที่ 1/2541 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ลงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2541โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 2 คณะ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการ สพช. ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 อันเป็นผลให้พ้นจากตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ แต่เนื่องจาก นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องนโยบายและแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นอย่างดี สพช. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน จึงได้มีหนังสือถึงรองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อขอเสนอให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือและคณะอนุกรรมการ กำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพิ่มเติม
ประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ลงนามในคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 2/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือเพิ่มเติม และคำสั่งที่ 3/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพิ่มเติม โดยให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะดังกล่าว เพิ่มเติม
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และเห็นชอบในคำสั่งแต่งดังกล่าว
ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานร่วมกับ World Bank ในการให้การสนับสนุนด้านการเงินและผู้เชี่ยวชาญ โดยการคัดเลือกบริษัท ESCO จำนวน 4 ราย เพื่อเข้าร่วมโครงการนำร่องฯ โดยสนับสนุนด้านการเงินในการพัฒนาโครงการซึ่งรวมถึงการทำการตลาดหาลูกค้า การจัดทำการวิเคราะห์การใช้พลังงานและแผนการลงทุน (Investment Grade Audits, IGA) โดยได้เงินช่วยเหลือจาก WB/GEF เป็นเงินทั้งสิ้น 600,000 เหรียญสหรัฐ (บริษัท ESCO ได้รับเงินช่วยเหลือนี้ รายละ 150,000 เหรียญสหรัฐ) ซึ่ง กฝผ. ได้คัดเลือกบริษัท ESCO 4 ราย และโรงงานที่เข้าร่วมโครงการอีก 4 ราย แล้ว ดังนี้
ลูกค้า | ประเภทกิจการ | บริษัท ESCO |
1. Betagro Group | Food Processing | E&EI |
2. GSS/ArrayTechnology Public Co., Ltd. | Electronics Manufacturing | Honeywell |
3. Bangkok Produce Merchandising Public Co., Ltd (a division of CP Group) |
Food Processing | EEI |
4. Kimberly-Clark Thailand (KCT) | Paper Products | EMC-EPS |
การจัดทำรายงาน IGA ของทั้ง 4 ราย ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อปลายปี 2542 และ กฟผ. ได้นำเสนอแผนการลงทุนและการเป็นตัวแทนบริหารงานโครงการนำร่องฯ เพื่อขอการสนับสนุนจากกองทุนฯ ผ่านคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุม ครั้งที่ 6/2542 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2542 ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้คณะทำงานเพื่อพิจารณาการจัดทำหลักเกณฑ์การให้เงินทุนหมุนเวียนในแผนงานภาคบังคับ นำโครงการนำร่องของ กฟผ. ไปศึกษารายละเอียด ซึ่งคณะทำงานฯ ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการนำร่องของ กฟผ. แล้วจึงนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2542 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการดังนี้
1) แนวทางการดำเนินโครงการนำร่องฯ ต้องสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
2) ให้ พพ. และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดของ IGA ที่ กฟผ. ว่าจ้าง ESCO ดำเนินการพร้อมรายละเอียดแนวทางการดำเนินงานการลงทุนในมาตรการอนุรักษ์พลังงาน ภาระความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายของโครงการนำร่องฯ เป็นต้น
3) หากการดำเนินงานโครงการนำร่องฯ ขัดกับหลักเกณฑ์หรือระเบียบกองทุนฯ ก็ให้มีการศึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอมติยกเว้นจากคณะกรรมการกองทุนฯ
สำหรับการจัดทำข้อเสนอโครงการนำร่องฯ กฟผ เป็นผู้จัดทำซึ่งประกอบด้วย ด้านเทคนิค ด้านบริหารจัดการ ด้านการเงิน โดยในด้านการเงินนั้นควรให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามามีบทบาท ทั้งนี้ กฟผ. จะต้องทำรายละเอียดเปรียบเทียบการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ระหว่างรูปแบบปัจจุบัน กับรูปแบบที่นำเสนอในโครงการนำร่องฯ เพื่อเป็นข้อมูลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาข้อดี ข้อเสีย ของโครงการต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ