มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2557 (ครั้งที่ 1)
วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 10.30 น.
1. คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
2. คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (ชุดเดิม)
3. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. รักษาระดับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้เท่ากับเดือนพฤษภาคม 2557
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานแก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านพลังงาน และได้มีคำสั่ง คสช. ที่ 55/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2557 โดยมีรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) เป็นประธานกรรมการ มีปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาและผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการและ มีผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยมีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบาย แผนการบริหาร มาตรการด้านพลังงาน บริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กำหนดราคาและอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามกรอบและแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มอบหมาย รวมทั้งพิจารณาเสนอความเห็นต่อ กพช. และสามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงานตามความจำเป็น
เรื่องที่ 2 คณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (ชุดเดิม)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่แต่งตั้งภายใต้คำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ 4/2545 ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา รวม 29 คณะ ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการด้านปิโตรเลียม ด้านไฟฟ้า ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ด้านต่างประเทศ และด้านอื่นๆ ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ตรวจสอบสถานะของคณอนุกรรมการ จำนวน 29 คณะ ดังกล่าวแล้ว ในเบื้องต้นสรุปได้ว่า คณะอนุกรรมการที่ยังมีภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อไปมีจำนวน 16 คณะ และคณะอนุกรรมการที่หมดภารกิจที่ต้องดำเนินแล้วมีจำนวน 13 คณะ
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอให้พิจารณาทบทวน ปรับปรุง องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการทั้งหมด ให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการพลังงานของ คสช. เพื่อเสนอขอความเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นใหม่ภายใต้ กบง. (ชุดใหม่) ต่อไป
เรื่องที่ 3 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะ กองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2557 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.1007 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 อยู่ที่ 1.3476 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ในส่วนของน้ำมันเบนซินและกลุ่มของน้ำมันแก๊สโซฮอลผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดทั้งสิ้น 4 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 1 มิถุนายน 2557 2 มิถุนายน 2557 และ 5 มิถุนายน 2557 จากการปรับราคาขายปลีกทั้ง 4 ครั้ง ส่งผลให้ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินและกลุ่มของน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดเพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับวันที่ 15 พฤษภาคม 2557
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับคงเดิมที่ 105.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง 1.40 และ 4.24 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 120.34 และ 118.27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 10 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 32.5993 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.0437 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 11 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 30.27 บาทต่อลิตร ลดลง 1.67 บาทต่อลิตร จากวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2557 อยู่ที่ 2.2657 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.0437 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.03 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 3.97 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.76 บาทต่อลิตร (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 1.67 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร (4) ค่าพรีเมียมเพิ่มขึ้น 0.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.02 บาทต่อลิตร ดังนั้นต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลดลงดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 1.50 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.70 บาท ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.5657 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 41.28 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 18.69 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 22.59 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2557 มีทรัพย์สินรวม 5,935 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 13,474 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,539 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลที่อัตรา 0.56 บาทต่อลิตร จากเดิมที่จัดเก็บอยู่ที่อัตรา 0.25 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.81 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2557 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 4 รักษาระดับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้เท่ากับเดือนพฤษภาคม 2557
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 16 กรกฎาคม 2556 เรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยเห็นชอบแนวทางปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยให้ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ทั้งในส่วนของครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป
2. จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ที่เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงเดือนมิถุนายน 2557 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนปรับเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 5.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยจากเดือนสิงหาคม 2556 อยู่ที่ 18.13 บาท ต่อกิโลกรัม เป็น 23.13 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนมิถุนายน 2557 แต่เนื่องจากการปรับเพิ่มราคาขายปลีก ก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนทั่วไป ดังนั้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) รักษาระดับราคา ก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ไว้ที่ 22.63 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือนในอัตรา 4.2056 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2557 เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือนอยู่ที่ 22.63 บาทต่อกิโลกรัม
2. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป