มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 35/2554 (ครั้งที่ 93)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 11.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การขอขยายหลักเกณฑ์การคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอล
2. การขอชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4
4. แนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. แผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559)
6. การชะลอฝากเงินกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อดำเนินโครงการปลูกปาล์มน้ำมัน
7. แผนการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานและกิจกรรมของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
8. การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า
9. การอนุมัติเงินงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2554
10. การปรับสัดส่วนการเติมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบเกี่ยวกับการหารือกับรัฐมนตรีพลังงานของอินโดนีเซีย กรณีปัญหาน้ำมันรั่วจากแหล่งมอนทาราในทะเลติมอร์ของบริษัทลูกในบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) เพื่อหาทางคลายวิกฤตจากการถูกอินโดนีเซียฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเกือบหนึ่งแสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลอินโดนีเซียมีท่าทีที่ดีในการเจรจา
เรื่องที่ 1 การขอขยายหลักเกณฑ์การคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตต่อไปอีก 3 เดือน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2554 โดยมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมภายในสิ้นเดือนกันยายน 2554
2. หลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอลเดิมคำนวณมาจากต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล และต้นทุนการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดยราคากากน้ำตาลเป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดย กรมศุลกากร ใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง และราคามันสำปะหลังเป็นราคาตามประกาศเผยแพร่โดยกรมการค้าภายใน ใช้ราคาเฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลัง
3. จากรายงานผลการศึกษาการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอล ซึ่งเสนอให้มีการปรับโครงสร้างราคาเป็น 2 แนวทาง คือ
3.1 ใช้ราคาซื้อขายเอทานอลล่วงหน้าจริง ซึ่งการทำสัญญาซื้อขายจริง ผู้ผลิตเอทานอลและผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ส่วนใหญ่จะมีการตกลงและทำสัญญาซื้อขายเอทานอลกันล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ไตรมาส ดังนั้น การใช้ราคาซื้อขายที่ตกลงล่วงหน้าจึงเป็นวิธีการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลที่ดีที่สุด โดยข้อมูลที่เก็บจะได้จากหลายๆทาง เช่น ข้อมูลจากการประมูลซื้อของบางจากฯ ปตท. หรือผู้ค้ามาตรา 7 รายอื่นๆ เทียบกับข้อมูลการขายของผู้ผลิตเอทานอล
3.2 ใช้สูตรราคา Cost Plus ในปัจจุบัน (แต่ใช้ราคาซื้อขายวัตถุดิบล่วงหน้า) แต่ใช้ราคาซื้อขายวัตถุดิบล่วงหน้า 3 เดือนมาคำนวณแทนราคาที่ใช้อยู่เดิม โดยใช้แนวโน้มราคากากน้ำตาลล่วงหน้าจากตลาด Rotterdam มาปรับราคาส่งออกกรมศุลกากร และใช้ราคามันสำปะหลังจากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET)
4. การใช้ราคาซื้อขายเอทานอลล่วงหน้าจริงจะสะท้อนต้นทุนราคาที่แท้จริงมากกว่าการใช้ Cost Plus ราคาตามปัจจุบัน แต่มีความเป็นไปได้ยาก เนื่องจากต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ซื้อกับผู้ขายทุกรายให้ความร่วมมือในการส่งข้อมูลปริมาณและราคาซื้อขายที่มีสัญญากับผู้ค้าเอทานอลในแต่ละรายล่วงหน้า ซึ่งในส่วนของสมาคมผู้ผลิตเอาทานอลได้แจ้งว่า บริษัทผู้ผลิตเอทานอลไม่ยินดีให้ข้อมูลเนื่องจากมีสัญญาข้อตกลงกับผู้ค้าว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลในสัญญา โดยถือเป็นความลับ ขณะที่ผลการคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลที่คำนวณโดยวิธี Cost Plus โดยใช้ราคาซื้อขายวัตถุดิบล่วงหน้ายังไม่สะท้อนราคาซื้อขายจริงในตลาด เนื่องจากจะทำให้ราคาที่คำนวณได้มีราคาสูงกว่าราคาที่ประกาศของ สนพ. ซึ่งความเป็นจริงในปัจจุบัน การซื้อขายเอทานอลในตลาดราคาจะต่ำกว่าราคาอ้างอิงที่ประกาศโดย สนพ. อยู่ประมาณ 1 - 2 บาท
5. เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2554 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ได้มีความเห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลที่ดี ควรสะท้อนราคาซื้อ-ขายจริงในตลาดให้มากที่สุด และคำนึงถึงความอยู่ได้ทั้งเกษตรกร และโรงงานผลิตเอทาอนลที่มีต้นทุนวัตถุดิบที่แตกต่างกัน แต่การขอข้อมูลราคาซื้อขายเอทานอลล่วงหน้าจากผู้ซื้อ-ผู้ขายค่อนข้างเป็นไปได้ยาก ดังนั้น ควรหาวิธีการในการกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงแทน ซึ่งกรมการค้าภายในเคยทำโครงการหลักเกณฑ์การอ้างอิงการประกันรายได้ของมันสำปะหลัง คณะอนุกรรมการฯ จึงได้มอบหมายให้ สนพ. หารือกับกรมการค้าภายใน เพื่อพิจารณาการนำหลักเกณฑ์ของกรมการค้าภายในมาปรับใช้กับการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล และรายงานผลให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบต่อไป ขณะที่การใช้หลักเกณฑ์เดิมจะสิ้นสุดระยะเวลา ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 จึงเห็นควรเสนอ กบง. ขอขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost-Plus) ต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต Cost Plus ต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554
2. มอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับกรมการค้าภายใน เพื่อพิจารณาการนำหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงโครงการประกันรายได้ของกรมการค้าภายในมาปรับใช้กับการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล และรายงานผลให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 2 การขอชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 โดยเห็นชอบให้มีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยในอนาคต ตามแนวทางของมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 4 โดยการปรับปรุงจากมาตรฐานคุณภาพน้ำมันที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน และให้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ โดยปรับลดปริมาณกำมะถันจากไม่สูงกว่า 500 ppm เป็นไม่สูงกว่า 50 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้การกำหนดมาตรฐานไอเสียของรถยนต์มาตรฐานยูโร 4 ของประเทศจะมีการประกาศบังคับใช้ในช่วงเวลาเดียวกัน ต่อมา กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ดำเนินการออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอนาคต เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 ให้มีผลบังคับใช้สำหรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันมีระยะเวลาในการปรับปรุงการผลิต
2. เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันมีผลบังคับใช้ กบง. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่ผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันมีผลบังคับใช้ ในอัตราไม่เกิน 0.24 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ปัจจุบันมีโรงกลั่นน้ำมัน ที่ขอรับเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4 จำนวน 3 ราย คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) โดยมีจำนวนเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้วประมาณ 5,540 ล้านบาท
3. บริษัท ไออาร์พีซีฯ และบริษัท ไทยออยล์ฯ ได้เริ่มจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 มาตรฐานยูโร 4 เมื่อวันที่ 8 เมษายน และวันที่ 9 กันยายน 2554 ตามลำดับ และกรมสรรพสามิตได้ขอหารือกับ สนพ. เนื่องจากตามประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนกองทุนและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ได้ครอบคลุมน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4
4. เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2554 ธพ. ได้ขอให้ สนพ. พิจารณาแก้ไขประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนกองทุนและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ครอบคลุมการชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 ด้วย เนื่องจาก ธพ. ได้มีการออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล พ.ศ. 2549 ซึ่งกำหนดให้น้ำมันแก๊สโซฮอลต้องมีมาตรฐานยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ประกอบกับการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 มีต้นทุนในการผลิตสูงเช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ดังนั้นน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 ควรจะได้รับการชดเชยราคาเช่นเดียวกับน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4
5. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า ประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนกองทุนและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ครอบคลุมการจ่ายชดเชยให้กับน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 เนื่องจากขณะนั้นโรงกลั่นน้ำมันยังไม่สามารถผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 ได้แล้ว อีกทั้งการผลิตมีต้นทุนที่สูงเช่นเดียวกับการผลิตน้ำมันน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 เพื่อความเป็นธรรมกับโรงกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันบังคับใช้ ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่ผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันมีผลบังคับใช้ ในอัตราไม่เกิน 0.24 บาท ต่อลิตร โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. โดยให้มีผลบังคับใช้ถัดจากวันที่ กบง. ให้ความเห็นชอบจนถึงวันที่มีผลบังคับใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ทั้งนี้ การชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่ผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันมีผลบังคับใช้ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระจากการชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 ประมาณ 20 ล้านบาทต่อเดือน หรือเป็นจำนวนเงินชดเชยก่อนถึงวันบังคับใช้ประมาณ 60 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่ผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอลมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันมีผลบังคับใช้ ในอัตราไม่เกิน 0.24 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2554 จนถึงวันที่มีผลบังคับใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 4
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการชดเชยราคาก๊าซ LPG ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนและขนส่ง จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2554 (2) เห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม (3) มอบหมายให้ สนพ. รับไปจัดทำแนวทางการปรับราคา LPG ภาคอุตสาหกรรม เพื่อนำเสนอ กบง. พิจารณาเห็นชอบ และนำเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป
2. เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมดังนี้ (1) เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรม ตามระยะเวลาและอัตราดังต่อไปนี้
ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2554 - 30 กันยายน 2554 ในอัตรากิโลกรัมละ 2.8037 บาท
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2554 ในอัตรากิโลกรัมละ 5.6075 บาท
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 - 31 มีนาคม 2555 ในอัตรากิโลกรัมละ 8.4112 บาท
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป ในอัตรากิโลกรัมละ 11.2150 บาท
และ (2) มอบหมายให้ ธพ. ติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการลักลอบการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท แล้วให้รายงานผลการดำเนินการเสนอ กบง. เพื่อทราบต่อไป
3. จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันตั้งแต่กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีก ไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม และ สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 106 พ.ศ. 2554 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้โรงงานอุตสาหกรรม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2554 ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซในโรงงานอุตสาหกรรมต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นเท่ากับอัตราประกาศ กบง. ฉบับที่ 106
4. คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ได้นิยามคำว่า "ก๊าซ" หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ซึ่งได้แก่ โปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ-บิวเทนหรือบิวทีลีนส์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันเป็นส่วนใหญ่ และนิยามคำว่า "โรงงานอุตสาหกรรม" หมายความว่า สถานประกอบการที่มีการเก็บรักษาก๊าซเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือวัตถุดิบสำหรับกระบวนการผลิต โดยมีการเก็บรักษาและใช้ก๊าซจากถังเก็บและจ่ายก๊าซตามประกาศกระทรวงพลังงานที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายหรือกฎหมายที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ไม่หมายความรวมถึงโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม ซึ่งจากนิยาม "ก๊าซ" ส่งผลให้ผู้ค้ามาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซทุกชนิดตามนิยามศัพท์ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มตามระยะเวลาและอัตราที่กำหนด
5. เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 ธพ. ได้มีหนังสือแจ้งว่าเนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซบิวเทนเป็นวัตถุดิบในการผลิตจำนวน 4 ราย ได้แก่ สมาคมผู้ผลิต ผลิตภัณฑ์สเปรย์ไทย บริษัท ไทยเมอร์รี่ จำกัด บริษัท พี.พี.แพคเกจจิ้ง จำกัด และบริษัท เอเซียอุตสาหกรรมโฟม จำกัด ขอให้พิจารณาหลักเกณฑ์การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ใหม่ เนื่องจากบริษัทดังกล่าว ซื้อก๊าซบิวเทนไว้สำหรับเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งไม่เคยได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐและผู้ค้าก๊าซได้จำหน่ายก๊าซโดยอิงราคาตลาดโลก (CP) แต่ผู้ค้ามาตรา 7 ซึ่งมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ผลักภาระต้นทุนมายังโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแก้ไขประกาศ กบง. ฉบับที่ 106 พ.ศ. 2554 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้โรงงานอุตสาหกรรม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเว้นนำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายโปรเปน โปรปิลีน นอร์มัลบิวเทน ไอโซ-บิวเทนหรือบิวทีลีนส์ ที่จำหน่ายให้โรงงานอุตสาหกรรมเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้โรงงานอุตสาหกรรมต่อไป
เรื่องที่ 4 แนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กพช. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 ได้มีมติเห็นชอบในหลักเกณฑ์ให้ชะลอการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล เป็นการชั่วคราว โดยการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเนื่องจากผู้ค้าน้ำมันลดหรืองดการจำหน่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน กพช. จึงเห็นชอบในหลักเกณฑ์ให้ชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือให้ผู้ค้าน้ำมันของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล ตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่คลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งคาดว่ากองทุนฯ จะต้องมีรายจ่ายจากการจ่ายเงินชดเชยตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่คลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันประมาณ 3,800 ล้านบาท และต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล ลงเหลือ 0 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2554
2. การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2554 ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอลไม่จูงใจให้ผู้บริโภคใช้ ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลมากขึ้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554 จึงมีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 จากอัตรา 2.40 บาทต่อลิตร เป็น 1.40 บาทต่อลิตร และเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และแก๊สโซฮอล 95 (E20) ชนิดละ 1.50 บาทต่อลิตร เป็นอัตราชดเชย 1.40 บาทต่อลิตร และ 2.80 บาทต่อลิตร ตามลำดับ นับตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป
3. เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้มีมติเห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) เสนอเรื่องแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันฯ วงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท ระยะเวลา 1 ปี โดยให้คณะอนุกรรมการด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาล บริหารความเสี่ยง และการจัดหาเงินสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน พิจารณารวบรวมข้อมูลและเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันฯ ก่อนเสนอ กพช. ทั้งนี้ ให้เจรจากับสถาบันการเงินมากกว่าหนึ่งแห่งเพื่อเป็นทางเลือก และวงเงินสินเชื่อควรเป็นวงเงินที่สถาบันการเงินรับรองการเบิกเงินได้อย่างแน่นอน (Committed Line)
4. แนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สรุปได้ดังนี้
4.1 ฐานะกองทุนฯ ณ วันที่ 26 กันยายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 16,867 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 18,168 ล้านบาท มีฐานะกองทุนสุทธิติดลบ 1,302 ล้านบาท (รวมเงินฝากโครงการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันจำนวน 500 ล้านบาท)
4.2 สบพน. จัดทำประมาณการงบกระแสเงินสด ตามแนวทางที่ สนพ. จะนำเสนอรัฐบาล ดังนี้ (1) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 จนไปสู่อัตราเดิมก่อนดำเนินมาตรการชะลอการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลอัตรา 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 (3) ยกเลิกเบนซิน 91 ในปี 2556 และ (4) เริ่มปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคขนส่ง และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ในเดือนธันวาคม 2554
5. สบพน. ได้จัดทำประมาณการทางการเงิน ดังนี้ (1) กรณีศึกษาที่ 1 ดำเนินการตามแนวทางที่ สนพ. เสนอ (2) กรณีศึกษาที่ 2 ปรับระยะเวลาเริ่มดำเนินการตามกรณีศึกษาที่ 1 เฉพาะนโยบายด้านน้ำมัน ตามข้อ 4.2(1) และ ข้อ 4.2(2) ออกไปอีก 2 เดือน และ (3) กรณีศึกษาที่ 3 ปรับระยะเวลาเริ่มดำเนินการตามกรณีศึกษาที่ 1
ทุกประเภทเชื้อเพลิง ตามข้อ 4.2(1), ข้อ 4.2(2) และ ข้อ 4.2(4) ออกไปอีก 2 เดือน สรุปได้ดังนี้
กระแสเงินสดสุทธิติดลบ | วงเงินสินเชื่อที่ต้องการ (ล้านบาท) | ดอกเบี้ยจ่าย (ล้านบาท) |
ระยะเวลาชำระคืนหนี้เสร็จสิ้น | |
กรณีที่ 1 | 8 เดือน (สะสม 21,851 ล้านบาท) |
6,000 | 139 | ตุลาคม 2555 |
กรณีที่ 2 | 10 เดือน (สะสม 27,767 ล้านบาท) |
11,000 | 381 | เมษายน 2556 |
กรณีที่ 3 | 10 เดือน (สะสม 28,139 ล้านบาท) |
12,000 | 411 | เมษายน 2556 |
จากทั้ง 3 กรณีศึกษา กองทุนน้ำมันฯ จะเริ่มขาดสภาพคล่องทางการเงิน มีเงินสดคงเหลือติดลบประมาณเดือนธันวาคม 2554 ทั้งนี้ หากเริ่มปรับราคา LPG ภาคขนส่ง และ NGV เดือนธันวาคม 2554 และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 เป็นต้นไป กองทุนฯ มีกระแสเงินสดสุทธิติดลบเพียง 8 เดือน และมีความต้องการวงเงินสินเชื่อประมาณ 6,000 ล้านบาท และหากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ (ตามข้อ 4.2(1) และ 4.2(2)) ล่าช้าไป 2 เดือน จากเดิมเริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม 2555 เป็นเริ่มในเดือนมีนาคม 2555 โดยที่ยังคงเริ่มปรับราคา LPG ภาคอุตสาหกรรม และ NGV (ตามข้อ 4.2(4)) ในเดือนธันวาคม 2554 ตามเดิม หรือในกรณีที่เริ่มดำเนินการตามแนวทางทั้งหมดจากที่กำหนดไว้ใน ข้อ 4.2(1), ข้อ 4.2(2) และ ข้อ 4.2(4) โดยล่าช้าไปอีก 2 เดือน กองทุนน้ำมันฯ จะมีกระแสเงินสดสุทธิติดลบ 10 เดือน และมีความต้องการวงเงินสินเชื่อประมาณ 11,000-12,000 ล้านบาท ตามลำดับ และมีระยะเวลากู้เงินประมาณ 1 ปี 5 เดือน (ธันวาคม 2554 - เมษายน 2556)
6. เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2554 คณะอนุกรรมการด้านจริยธรรมฯ มีมติเห็นควรให้เสนอแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันฯ โดยการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยให้ สบพน. ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หากกรณีกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องคงเหลือไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ และวงเงินสินเชื่อเป็นวงเงินที่สถาบันการเงินรับรองการเบิกเงินได้อย่างแน่นอน (Committed Line) ทั้งนี้ ในกรณีที่รัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ และ/หรือ ความสามารถในการชำระหนี้ของ สบพน. ควรขอให้ กพช. มีการประสานงานกับรัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการในการให้ความคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ของ สบพน. ให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา และให้ สบพน. เสนอแนวทางการจัดหาเงินเสนอประธานคณะกรรมการสถาบันฯ เพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนเสนอ กพช. ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาประมาณ 1 ปี โดยให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้คืนได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม หากกรณีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องคงเหลือไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ และวงเงินสินเชื่อเป็นวงเงินที่สถาบันการเงินรับรองการเบิกเงินได้อย่างแน่นอน (Committed Line)
2. หากรัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ/หรือ ความสามารถในการชำระหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ควรขอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีการประสานงานกับรัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการในการให้ความคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงานให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา
3. เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเสนอแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามข้อ 1 และ 2 ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 5 แผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559)
สรุปสาระสำคัญ
1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศมาเป็นเวลานาน โดยรัฐบาลได้นำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งการอุดหนุนราคาพลังงาน และดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่สนับสนุนการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนพลังงานของประเทศด้วยเงินจำนวนมาก แต่ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีการประเมินผลและการกำหนดทิศทางการใช้เงินของกองทุนอย่างเป็นระบบที่มีแผนอย่างชัดเจน
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 ได้เห็นชอบให้หน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ นำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากลและมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงาน และกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังได้เห็นชอบให้กองทุนน้ำมันฯ เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 - 2553 ซึ่งที่ผ่านมาเป็นการประเมินการดำเนินเฉพาะด้านบัญชี แต่ยังไม่มีการประเมินผลของการลงทุนและการดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้เงินจากกองทุนของหน่วยงานต่างๆ ประกอบกับกองทุนฯ ยังไม่เคยมีการจัดทำยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันฯ ขึ้นเพื่อกำหนดทิศทางการบริหารกองทุนในระยะยาวที่ชัดเจน หากมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของกองทุนฯ ขึ้น จะทำให้การแก้ไขและป้องกันปัญหาด้านพลังงานของประเทศเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพขึ้น
3. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2554 ให้ สนพ. เป็นจำนวนเงิน 9.957 ล้านบาท เพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งในปี 2554 สนพ. ได้ดำเนินโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559) ขึ้น เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ กรอบแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 สนพ. ได้จัดจ้างสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นที่ปรึกษาในการดำเนินงานโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559) ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน (3 กุมภาพันธ์ - 2 สิงหาคม 2554) ในวงเงิน 4 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวได้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาเรียบร้อยแล้ว จึงขอนำแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว เสนอ กบง. เพื่อพิจารณา
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบการนำเสนอแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559) ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ทั้งนี้ เนื่องจากคณะกรรมการต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณา จึงขอให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 การชะลอฝากเงินกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อดำเนินโครงการปลูกปาล์มน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 กบง. มีมติเห็นชอบให้กองทุนน้ำมันฯ นำเงินสด 3,500 ล้านบาท เข้าฝากกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะนำเงินเข้าสมทบอีก 3,500 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนให้กู้แก่เกษตรกรที่ต้องการเข้าร่วมโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทน ซึ่งตามบันทึกข้อตกลงการดำเนินงานโครงการปลูกปาล์มน้ำมัน เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทน กระทรวงพลังงานจะทยอยนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ฝากกับ ธ.ก.ส. 3 งวด คือ งวดที่ 1 นำฝากเงิน 500 ล้านบาท ภายในเดือนมกราคม 2551 งวดที่ 2 และ 3 นำฝากเงินเพิ่มงวดละ 1,500 ล้านบาท ภายใน 6 และ 12 เดือนนับแต่ลงนามในบันทึกข้อตกลง ตามลำดับ ระยะเวลาฝาก 10 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 0.25 ต่อปี เพื่อให้กู้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี ระยะเวลาโครงการ 10 ปี
2. สบพน. ได้ฝากเงินเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวงวดแรก 500 ล้านบาท ในเดือนมกราคม 2551 เพื่อสนับสนุนสินเชื่อในวงเงิน 1,000 ล้านบาท แต่ต่อมาในช่วงกลางปี 2551 ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ กระทรวงพลังงานจำเป็นต้องรักษาสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ โดยเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 ได้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้จัดการ ธ.ก.ส. เพื่อชะลอการนำเงินเข้าฝากที่ ธ.ก.ส. ในงวดต่อไป ซึ่งการสนับสนุนสินเชื่อของ ธ.ก.ส. ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ใช้เวลาประมาณ 2 ปี พบว่าเกษตรกรไม่สนใจเข้าร่วมเนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขสินเชื่อของโครงการได้ จึงเลือกเบิกจ่ายสินเชื่อกับ ธ.ก.ส. ตามเงื่อนไขปกติ ดังนั้น เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 ธ.ก.ส. มีหนังสือแจ้งไปยังปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อขอให้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของกองทุนน้ำมันฯ จากเดิมอัตราร้อยละ 0.25 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี และการนำเงินฝากเพิ่มเติมจะทยอยฝากเงินครั้งละ 500 ล้านบาท ตามความก้าวหน้าของโครงการ โดยมิได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสินเชื่อแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
3. คณะกรรมการสถาบันฯ เห็นควรให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอ กบง. เพื่อพิจารณา แต่ยังไม่ได้ถูกบรรจุเป็นวาระการประชุม เนื่องจากในช่วงเวลานั้น อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จนอาจทำให้เกษตรกรไม่สนใจเข้าร่วมโครงการ หรือที่เข้าร่วมโครงการแล้วแต่ต้องเดือดร้อนจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น สบพน. เจรจาต่อรอง ธ.ก.ส. เพื่อขอให้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับโครงการ พร้อมทั้งพิจารณาทบทวนเงื่อนไขสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการสถาบันฯ ได้พิจารณาการขอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการดำเนินงานโครงการปลูกปาล์มน้ำมัน และได้มีความเห็นว่า ปัจจุบันราคาผลผลิตปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกษตรกรสนใจปลูกปาล์มน้ำมัน โดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสินเชื่อ ประกอบกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จำนวนมากเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมิให้กระทบต่อผู้บริโภค ดังนั้น ควรชะลอการนำเงินไปฝาก ธ.ก.ส. ไว้ก่อน เพื่อรักษาสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ชะลอการฝากเงินกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อดำเนินโครงการปลูกปาล์มน้ำมัน
เรื่องที่ 7 แผนการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานและกิจกรรมของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ มีการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนและมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงาน ซึ่งนับรวมกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ด้วย โดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้เริ่มประเมินผลการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2551 เป็นต้นมา และต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2554 โดยมีเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงาน 4 ด้าน สรุปได้ดังนี้ (1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ร้อยละ 20 (2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ร้อยละ 30 (3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร้อยละ 20 แบ่งเป็น (3.1) ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ (3.2) ระดับความสำเร็จของการนำข้อคิดเห็นจากการสำรวจความพึงพอใจ ปีงบประมาณ 2553 ไปปรับปรุง และ (4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ร้อยละ 30
2. ในปีงบประมาณ 2553 สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ได้สำรวจและศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการจาก สบพน. ในการขอเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ รวม 4 ด้านซึ่งสรุปผลการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการแต่ละด้านเรียงลำดับความพึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุด ได้ดังนี้ (1) ด้านเจ้าหน้าที่ ผู้ให้บริการ (2) ด้านขั้นตอนและกระบวนการให้บริการ (3) ด้านคุณภาพการให้บริการ และ (4) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสาร มีสัดส่วนพึงพอใจร้อยละ 98.41 88.46 85.72 และ 84.88 ตามลำดับ และพบว่าผู้รับบริการมีความพึงพอใจด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารน้อยกว่าด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์ เป็นต้น
3. สบพน. ได้จัดทำแผนการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานและกิจกรรม โดยเรียงลำดับจากผลประเมินที่ได้ความพึงพอใจน้อยไปมาก ดังนี้ 1) แผนปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์ โดยในปีงบประมาณ 2553 สบพน. มีการจัดวางระบบโทรศัพท์ใหม่ มีเลขหมายเฉพาะของเจ้าหน้าที่แต่ละบุคคล 2) แผนปรับปรุงด้านคุณภาพการให้บริการ สบพน. แจ้งกำชับให้ทุกหน่วยงานทราบว่าสามารถเบิกจ่ายเงินได้ไม่เกิน 5 วันทำการ นับแต่ได้รับเอกสาร 3) แผนปรับปรุงด้านขั้นตอนและกระบวนการ มีการจัดทำคู่มือการเบิกเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ แจกผู้รับบริการ และ 4) แผนปรับปรุงด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ
4. ตามเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2554 ด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (ตัวชี้วัดที่ 3.2) เป็นการวัดระดับความสำเร็จของการนำข้อคิดเห็นจากการสำรวจความพึงพอใจปีงบประมาณ 2553 ไปปรับปรุง โดยกำหนดเกณฑ์การวัดจากความสำเร็จ 5 ขั้นตอนซึ่งระดับ 4 คือนำเสนอแผนการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานและกิจกรรมของกองทุนต่อ กบง. และได้รับการอนุมัติ และระดับ 5 ได้ดำเนินงานตามแผนการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานและกิจกรรมของกองทุน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามเกณฑ์ชี้วัดและให้ได้ค่าคะแนนระดับ 4 สบพน. จะต้องนำเสนอแผนการปรับปรุงการให้บริการต่อ กบง.
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแผนการพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานและกิจกรรม (ด้านบริการ) ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เสนอ
เรื่องที่ 8 การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2550 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 โดยเห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า (กองทุนรอบโรงไฟฟ้า) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และกำหนดให้จัดตั้งกองทุนรอบโรงไฟฟ้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2550 ทั้งนี้ ให้โรงไฟฟ้าในประเทศที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าตั้งแต่ 6 เมกะวัตต์ ขึ้นไป เป็นผู้จ่ายเงินเข้ากองทุนรอบโรงไฟฟ้าในอัตราที่แตกต่างกันตามชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2550 เป็นต้นไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้เรียกเก็บเงินผ่านค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และจ่ายเงินเข้ากองทุนรอบโรงไฟฟ้า เมื่อมีการจัดตั้งแล้วเสร็จ
2. กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553 ได้มีมติเกี่ยวกับกองทุนรอบโรงไฟฟ้า สรุปได้ดังนี้ (1) เห็นชอบให้โอนเงินให้คณะกรรมการบริหารกองทุนรอบโรงไฟฟ้าบริหารงานต่อ โดยให้ กฟผ. ยุติการเก็บเงินเข้ากองทุนรอบโรงไฟฟ้าตั้งแต่เดือนถัดจากวันที่ระเบียบการนำส่งเงินและใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้ามีผลบังคับใช้ และ (2) เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของกองทุนรอบโรงไฟฟ้าในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้ากำหนดแนวทางการดำเนินงานของกองทุนฯ ในการบริจาคเงินและทรัพย์สิน จัดทำบัญชี และการปิดการดำเนินงานของคณะบุคคล เพื่อแจ้งให้คณะกรรมการบริหารกองทุนรอบโรงไฟฟ้าดำเนินการต่อไป และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนรอบโรงไฟฟ้า ยุติการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายในปี 2553 โดยให้จัดสรรงบประมาณไว้สำหรับจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน รายงานการเงินประจำปี และการขอปิดการดำเนินงานของคณะบุคคล หลังจากนั้น ให้บริจาคเงินและทรัพย์สินที่ประสงค์จะบริจาคให้กองทุนพัฒนาไฟฟ้าให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี
3. คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่าได้ดำเนินการออกระเบียบ กกพ. ว่าด้วยกองทุนพัฒนาไฟฟ้า และประกาศ กกพ. เรื่อง การนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าสำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าประเภทใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าแล้วเสร็จ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2553 ต่อมาเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 คณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รวบรวมรายงานผลการดำเนินงานและรายงานการเงินของกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าและจัดทำสรุปการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรายงานให้ กบง. ทราบต่อไป
4. สรุปผลการดำเนินงานของกองทุนรอบโรงไฟฟ้า
4.1 การจัดตั้งกองทุนรอบโรงไฟฟ้า ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตั้งแต่ 6 เมกะวัตต์ ขึ้นไป จำนวน 127 โรงไฟฟ้า ใน 45 จังหวัด โดยมีการจัดตั้งกองทุนรอบโรงไฟฟ้าแล้วเสร็จ จำนวน 73 กองทุน (101 โรงไฟฟ้า) กระจายอยู่ใน 37 จังหวัดทั่วประเทศ สำหรับโรงไฟฟ้า ที่เหลืออีก 26 โรงไฟฟ้า ได้ชะลอการจัดตั้งกองทุนรอบโรงไฟฟ้า เนื่องจากยังไม่มีการออกระเบียบกองทุนรอบโรงไฟฟ้า จำนวน 2 โรงไฟฟ้า และมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบหลังจากวันที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ 24 โรงไฟฟ้า
4.2 การเก็บเงินและการโอนเงินเข้ากองทุนรอบโรงไฟฟ้า กฟผ. ได้เก็บเงินเข้ากองทุนรอบโรงไฟฟ้าผ่านค่าเอฟทีตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550 - ธันวาคม 2553 เป็นเงินประมาณ 6,312.41 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าเอฟทีเฉลี่ยประมาณ 1.25 สตางค์ต่อหน่วย และได้โอนเงินให้กับกองทุนรอบโรงไฟฟ้าที่จัดตั้งแล้วเสร็จไปแล้วประมาณ 5,785.23 ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ยและภาษีหัก ณ ที่จ่ายร้อยละ 1) หรือคิดเป็นร้อยละ 91.65 คงเหลือเงินที่ กฟผ. เก็บรักษาไว้จำนวนประมาณ 527.18 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8.35 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2553 กพช. ได้มีมติเห็นควรให้ระงับการโอนเงินให้กับกองทุนรอบโรงไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป โดยให้ กฟผ. เก็บรักษาเงินกองทุนรอบโรงไฟฟ้าที่ยังคงเหลือทั้งหมดไว้ก่อน และให้ดำเนินการส่งเงินดังกล่าวให้กับ สกพ. จัดสรรให้กองทุนพัฒนาไฟฟ้าต่อไป
5. สรุปผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนรอบโรงไฟฟ้า
5.1 การจัดส่งรายงานผลการดำเนินงานและรายงานการเงิน ณ วันที่ 29 เมษายน 2554 สนพ. ได้รับรายงานผลการดำเนินงานและรายงานการเงินประจำปี 2551 แบ่งเป็นผลการดำเนินงานและงบการเงินจำนวน 68 และ 64 ชุด ตามลำดับ จากจำนวนกองทุนทั้งสิ้น 72 กองทุน และปี 2552 แบ่งเป็นผลการดำเนินงานและงบการเงินจำนวน 51 และ 54 ชุด ตามลำดับ จากจำนวนกองทุนทั้งสิ้น 73 กองทุน
5.2 การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนรอบโรงไฟฟ้า ในปี 2551 2552 และ 2553 มีการโอนเงินให้กองทุนรอบโรงไฟฟ้าเพื่อใช้บริหารงานเป็นเงินประมาณ 1,340.07 ล้านบาท 2,317.63 ล้านบาท และ 2,104.48 ล้านบาท ตามลำดับ รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 5,762.18 ล้านบาท และสรุปสาระสำคัญของการจัดสรรงบประมาณและการใช้จ่ายเงินโครงการ ดังนี้ (1) การจัดสรรงบประมาณกองทุนรองโรงไฟฟ้าในภาพรวมของปี 2551 และปี 2552 ได้จัดสรรเงินเพื่อใช้บริหารงานประมาณร้อยละ 5 - 37 และ (2) การใช้จ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุนรอบโรงไฟฟ้าพบว่า มีการให้เงินสนับสนุนโครงการต่างๆ ในปี 2551 จำนวน 2,411 โครงการ และปี 2552 จำนวน 3,580 โครงการ รวมทั้งสิ้นจำนวน 5,991 โครงการ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 9 การอนุมัติเงินงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2554
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553-2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ เพื่อเป็นเงินทุนสำรองกองกลางให้กับหน่วยงานต่างๆ ใช้เมื่อมีเหตุจำเป็นซึ่งตามกรอบแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2554 งบค่าใช้จ่ายอื่น ที่ กบง. ได้อนุมัติเป็นเงิน 300 ล้านบาท ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2554 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินในการดำเนินโครงการของหน่วยงานต่างๆ รวม 5 โครงการดังนี้ (1) โครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน ระดับประเทศ ของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (วงเงิน 6.5 ล้านบาท) (2) โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) (วงเงิน 20 ล้านบาท) (3) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ของ สนพ. (วงเงิน 28 ล้านบาท) (4) โครงการจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัล ในโครงการ ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) (วงเงิน 7 ล้านบาท) และ (5) โครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน ของกรมธุรกิจพลังงาน (วงเงิน 67.2175 ล้านบาท) จากกรอบวงเงินจำนวน 300 ล้านบาท กบง. อนุมัติจำนวน 5 โครงการ เป็นจำนวนเงิน 125.7175 ล้านบาท คงเหลือเงินที่สามารถอนุมัติได้จำนวน 174.2825 ล้านบาท
2. เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2554 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีมติอนุมัติงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2554 จำนวน 3 โครงการ เป็นจำนวนเงินรวม 21,219,727 บาท ดังนี้ (1) โครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน ระยะที่ 2 ของ ธพ. เพื่อใช้ก่อสร้างอาคารโรงฝึกอบรมและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ (ภาคปฏิบัติ) เป็นจำนวนเงิน 12,177,687 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 30 เดือนนับจากวันลงนามในสัญญา (2) โครงการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ของ สนพ. ในวงเงิน 2,000,000 บาท ระยะเวลา 5 เดือน แบ่งเป็น ระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ สนพ. ให้เริ่มดำเนินการตามสัญญา และระยะเวลาในการเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ 2 เดือน โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และ (3) โครงการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันตามนโยบายรัฐบาล ของ ธพ. จำนวนเงิน 7,042,040 บาท โดยให้สามารถเบิกถัวจ่ายระหว่างรายการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการให้เบิกจ่ายเป็นการเหมาได้ ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ดังนั้น จากกรอบวงเงินงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 จำนวน 300 ล้านบาท กบง. ได้อนุมัติรวมทั้งสิ้นจำนวน 8 โครงการ เป็นจำนวนเงิน 146,937,227 บาท คงเหลือเงินที่สามารถอนุมัติได้จำนวน 153,062,773 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 10 การปรับสัดส่วนการเติมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2554 ได้พิจารณา เรื่อง การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติและที่ได้มีมติมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ดำเนินการออกประกาศ ธพ. เพื่อปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก บี3 เป็น บี4 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่ง ธพ. ได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดลักษณะ และคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2554 กำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4 และไม่สูงกว่าร้อยละ 5 โดยปริมาตร และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป
2. เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2554 ธพ. ได้จัดประชุมผู้ค้าน้ำมัน ผู้ผลิตไบโอดีเซล และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นจากการขยายเวลาการบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี4 ออกไปอีก 1 เดือน และแนวทางการกำหนดสัดส่วนไบโอดีเซลตามช่วงฤดูกาล ซึ่งสรุปได้ดังนี้
2.1 การประเมินสถานการณ์การใช้ปาล์มน้ำมันในส่วนการบริโภคและการขนส่งสามารถประเมินได้ แต่ในส่วนของการส่งออกอยู่นอกเหนือการควบคุม เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยราคาตลาดโลก และสามารถทำได้โดยเสรี จึงอาจทำให้ผลการประเมินปริมาณปาล์มน้ำมันคงเหลือในประเทศมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้มาก
2.2 จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ทบทวนประมาณการผลผลิตปาล์มสดครั้งล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 และเมื่อนำมาประเมินสถานการณ์การใช้ปาล์มน้ำมันโดยใช้ประมาณการ 90% ของค่าเฉลี่ยจริงย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2551 - 2553 พบว่าหากคงปริมาณ บี 4 ต่อไป ในเดือนตุลาคมจะมีปริมาณน้ำมันปาล์มคงเหลือสูงถึง 211,000 ตัน เดือนพฤศจิกายน เหลือ 171,000 ตัน เดือนธันวาคม เหลือ 123,000 ตัน เดือนมกราคม เหลือ 93,000 ตัน เดือนกุมภาพันธ์ เหลือ 86,000 ตัน และจะเริ่มสูงขึ้นในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูกาลของผลผลิตปาล์มน้ำมัน ซึ่งจะมีปริมาณคงเหลือ 108,000 ตัน
2.3 ผู้ผลิตไบโอดีเซลแจ้งว่าในช่วงนี้ผลผลิตปาล์มน้ำมันมีปริมาณสูงมาก เนื่องจากมีฝนตกตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งต่างจากปี 2553 ซึ่งฝนแล้งทำให้ผลผลิตปาล์มออกมาน้อย ดังนั้น การประมาณการอุปสงค์ - อุปทาน การใช้วัตถุดิบเพื่อการผลิตไบโอดีเซลปี 2554 โดยใช้ค่าเฉลี่ยผลผลิตปาล์มน้ำมันจริงย้อนหลัง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2551 - 2553 มาเป็นฐานในการคำนวณประเมินปริมาณคงเหลือรายเดือนจะต่ำกว่าผลผลิตจริง
2.4 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เดือนมิถุนายน 2554 มีการปรับเปลี่ยนประกาศกำหนดมาตรฐานน้ำมันดีเซลปรับลด/เพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลเพื่อแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันขาดแคลนและล้นตลาดไปแล้วรวม 4 ครั้ง ซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัด เพราะการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดแต่ละครั้งจะต้องมีการดำเนินการของผู้ค้าน้ำมันในเรื่องการผลิต การปรับหัวฉีด และการบริหารจัดการน้ำมันคงเหลือทั้งที่คลังน้ำมันและสถานีบริการ ฯลฯ รวมทั้งต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ นอกจากนี้ ยังเป็นจุดอ่อนในด้านการควบคุมคุณภาพ ดังนั้น ประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันจึงไม่ควรมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขบ่อยครั้ง
2.5 แนวทางการกำหนดมาตรฐานน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพื่อลดการปรับเปลี่ยนสัดส่วนไบโอดีเซลตามสถานการณ์ปาล์มน้ำมัน หากสามารถกำหนดสัดส่วนไบโอดีเซลให้แน่นอนชัดเจนโดยกำหนดให้เป็นไปตามช่วงฤดูกาล คือ ช่วงเดือนมีนาคม - ตุลาคม (8 เดือน) ซึ่งผลผลิตปาล์มออกมามากจะกำหนดสัดส่วนไบโอดีเซลไว้ที่ร้อยละ 4 - 5 และในช่วงเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ (4 เดือน) ผลผลิตปาล์มออกมาน้อย จะกำหนดที่ร้อยละ 3 - 5 เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และวางแผนบริหารจัดการในเรื่องผลผลิตทั้งในด้านวัตถุดิบปาล์มน้ำมันไบโอดีเซล และผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย (น้ำมันดีเซล) ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ และป้องกันปัญหาการขาดแคลน หรือปาล์มน้ำมันล้นตลาดได้ในระยะยาวต่อไป
มติของที่ประชุม
1. ขยายระยะเวลาการบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี4 ออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายนเป็นสิ้นสุดเดือนตุลาคม 2554 ขณะเดียวกัน จะมีการติดตามสถานการณ์ปาล์มน้ำมันในช่วงต้นเดือนตุลาคมอีกครั้ง เพื่อนำมาประเมินสถานการณ์ในการกำหนดสัดส่วนการเติมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลให้เหมาะสมต่อไป
2. ให้กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในระยะต่อไปตามช่วงฤดูกาล โดยกำหนดสัดส่วนไบโอดีเซลในช่วงเดือนมีนาคม - ตุลาคม (8 เดือน) ซึ่งมีผลผลิตปาล์มน้ำมันออกมามาก กำหนดไว้ที่ร้อยละ 4 - 5 และช่วงเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ (4 เดือน) ซึ่งมีผลผลิตปาล์มน้ำมันออกมาน้อย กำหนดไว้ที่ร้อยละ 3 - 5
3. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานร่วมกันพิจารณาหากลไกการติดตามราคาและการเช็คสต๊อกน้ำมันปาล์มให้มีความรวดเร็วขึ้น เพื่อให้สามารถปรับราคาน้ำมันปาล์มได้ตามสถานการณ์