มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 39/2554 (ครั้งที่ 97)
เมื่อวันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
2. หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 4
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (2) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (3) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และพิจารณาการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ต่อไป
2. การปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 โดยเริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน และกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป เพื่อให้สามารถเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้จัดทำร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
โครงสร้างราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
3. การปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เพื่อให้สามารถกำหนดให้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดทำร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม โดยที่คำสั่งนายกรัฐมนตรี และร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานข้างต้นได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอประเด็นเพื่อพิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) ขอความเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (3) ขอความเห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (4) ขอความเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม (5) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป (6) มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบเพื่อมิให้มีการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท และ (7) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../.... เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
5. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
6. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบเพื่อมิให้มีการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท
7. มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการจัดเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 4
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 ได้มีมติเห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยได้กำหนดมาตรการด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการพลังงานในรูปแบบต่างๆ คือ กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปให้สูงขึ้นและให้ความสำคัญในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาธุรกิจพลังงาน โดยให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและผู้ใช้ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาปัญหาสิ่งแวดล้อม
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 เห็นชอบให้มีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยในอนาคต ตามแนวทางของมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 4 และให้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ปรับลดปริมาณกำมะถันจากไม่สูงกว่า 500 ppm เป็นไม่สูงกว่า 50 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอนาคต ให้มีผลบังคับใช้สำหรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันมีระยะเวลาในการปรับปรุงการผลิต
3. ปัจจุบันหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
4. การคำนวณต้นทุนส่วนเพิ่มของโรงกลั่น มีขั้นตอนดังนี้ (1) ศึกษาขบวนการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันในไทย (2) ศึกษาวิธีการและต้นทุนของประเทศอื่นๆ ที่ได้นำมาตรฐานยูโร 4 มาใช้ รวมถึงวิธีการ ขั้นตอนการปรับปรุงขบวนการกลั่น และต้นทุนส่วนเพิ่ม (3) วิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด และปรับปรุงข้อมูลต้นทุนให้ได้ต้นทุนที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคมากที่สุด และ (4) นำต้นทุนจากการวิเคราะห์มาคำนวณหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ทั้งนี้ สมมติฐานที่ใช้ในการกำหนดผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม อายุของหน่วยกลั่นเท่ากับ 20 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใช้อัตรา MLR - 2% เนื่องจากกิจการกลั่นน้ำมันมีความมั่นคงและสามารถกู้ได้ในอัตราต่ำกว่าธุรกิจทั่วไป อัตราเงินเฟ้อให้เท่ากับ 3% อัตราทุนต่อหนี้เท่ากับ 1 : 1 ระยะเวลาผ่อนคืนเงินกู้เท่ากับ 10 ปี และอัตราแลกเปลี่ยนที่ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
5. ผลกระทบจากการปรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 มีดังนี้ (1) ประโยชน์ที่ได้รับ ได้แก่ ลดการเกิดก๊าซโอโซนที่เกิดจากน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ลดปริมาณฝุ่นละอองจากเครื่องยนต์ดีเซล ลดปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และสารเบนซีนจากการใช้น้ำมันเบนซิน ลดผลกระทบทางด้านสุขภาพอนามัย เช่น ลดอัตราการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ลดอัตราผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง สามารถนำรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ (รถยนต์ยูโร 4) เข้ามาใช้ในประเทศไทยได้ ซึ่งจะทำให้ลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำอุปกรณ์กำจัดมลพิษมาใช้กับรถยนต์ดีเซล ซึ่งจะช่วยลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้มากขึ้น และ (2) การปรับเพิ่มต้นทุนน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 จะทำให้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นประมาณ 0.48 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นประมาณ 0.43 บาทต่อลิตร
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเสนอดังนี้
6.1 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่น เพื่อให้การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นสะท้อนต้นทุนการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 จึงควรปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ดังนี้
6.2 การปรับต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 ต้องคำนึงถึงสต๊อกที่คลังน้ำมันก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 และคุณภาพน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน ดังนั้น การปรับราคาหน้าโรงกลั่นจึงควรทยอยปรับเพื่อไม่ให้ผู้บริโภครับภาระจากการปรับราคาหน้าโรงกลั่นทันทีและคุณภาพที่ยังไม่ได้มาตรฐานยูโร4 โดยน้ำมันดีเซลใช้เวลาปรับคุณภาพให้ได้มาตรฐานยูโร 4 จากคลังไปจนถึงสถานีบริการน้ำมันประมาณ 9 สัปดาห์ ส่วนน้ำมันเบนซิน ในช่วงแรกยังมีน้ำมันจากโรงกลั่น SPRC เข้ามาในระบบ หลังจากสัปดาห์ที่ 9 SPRC จะนำเข้าน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 เข้ามาจำหน่าย ทำให้ใช้ระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำมันเป็นมาตรฐานยูโร 4 ประมาณ 15 สัปดาห์ ดังนั้น จึงขอความเห็นชอบระยะเวลาและต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 สำหรับการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ดังนี้
6.3 เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ถูกคำสั่งศาลปกครองระงับโครงการที่ดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 2 ธันวาคม 2552 ทำให้การดำเนินการติดตั้งการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ล่าช้า SPRC ได้ยื่นหนังสือขอผ่อนผันคุณภาพน้ำมันเบนซินกับกรมธุรกิจพลังงาน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับโรงกลั่นอื่นที่ผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ตามกำหนด จึงควรกำหนดให้ SPRC ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่วนเพิ่มสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในราชอาณาจักรที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้
โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ดังนี้
2. เห็นชอบระยะเวลาและต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 สำหรับการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ดังนี้
3. เห็นชอบให้โรงกลั่นน้ำมันบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเพิ่มสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในราชอาณาจักรที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป