มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 15/2556 (ครั้งที่ 149)
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 1/2556
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1.รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 กบง. ได้มีการพิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.1505 บาทต่อลิตร และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เปลี่ยนแปลง และโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 101.50, 114.86 และ 118.89 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง 0.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินและดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.36 และ 2.08 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากผลการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 8 พฤษภาคม 2556) ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2556 อยู่ที่ 30.0107 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.3015 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 29.7092 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันฯ ได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ขึ้นชนิดละ 0.40 บาทต่อลิตร ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลคงเดิมที่ 29.99 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 10,399 ล้านบาท หนี้สินรวม 13,564 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 3,165 ล้านบาท
6. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง และการปรับเพิ่มราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศ ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2556
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากเดิมที่อัตรา 0.9442 บาทต่อลิตร อยู่ที่อัตรา 1.5442 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.53 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.52 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 33.92 ล้านบาท จากวันละ 214.77 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 180.85 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร จาก 3.60 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 3.00 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2556 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 1/2556
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 อนุมัติให้ดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 กำหนดเป้าหมายการรับจำนำหัวมันสด 10 ล้านตัน ทั้งนี้กระทรวงพลังงาน ได้สนับสนุนให้นำมันสำปะหลังผลิตเอทานอล โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้กากน้ำตาลต่อมันสำปะหลังในการผลิตเอทานอลเป็น 62 : 38 และให้ใช้วัตถุดิบจากมันสำปะหลังในการผลิตเอทานอลคิดเป็นปริมาณหัวมันสด 1.6 ล้านตันต่อปี ผลิตเอทานอลได้ 0.76 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 255.60 ล้านลิตรต่อปี
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 กบง. ได้เห็นชอบการปรับสูตรราคาเอทานอลตามสัดส่วนการใช้เอทานอลจากมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น โดยกำหนดสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลัง เท่ากับ 62 : 38 พร้อมทั้งให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ดำเนินการตรวจสอบสัดส่วนปริมาณการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลและมันสำปะหลังที่ใช้ผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลรายเดือนของผู้ค้าน้ำมันแต่ละราย ให้เป็นไปตามสัดส่วนที่กำหนด และให้ พพ. ประสานกรมการค้าภายใน เพื่อตรวจสอบว่าผู้ผลิตเอทานอลใช้มันสำปะหลังในโครงการรับจำนำ โดยผู้ผลิตเอทานอลจากมันเส้นให้ใช้มันเส้นจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ส่วนผู้ผลิตจากมันสดให้เปิดจุดรับซื้อ มันสดที่หน้าโรงงาน และผู้ผลิตจากน้ำอ้อยให้ถือว่าอยู่ในกลุ่มกากน้ำตาล โดยให้รวบรวมรายงานการซื้อมันสำปะหลังเป็นรายเดือน และแจ้งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเป็นรายไตรมาส
3. เป้าหมายการรับซื้อเอทานอลเพื่อใช้ในการผลิตแก๊สโซฮอลตามโครงการ คือ มีเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลร้อยละ 62 และผลิตจากมันสำปะหลังร้อยละ 38 หรือ 0.76 ล้านลิตร/วัน โดยมีบริษัทผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง เข้าร่วมโครงการ 6 ราย ได้แก่ บจ. ทรัพย์ทิพย์, บมจ. พี.เอส.ซี สตาร์ช โปรดักส์, บมจ.ไทยเอทานอล พาวเวอร์, บจ.ไท่ผิงเอทานอล, บจ. ดั๊บเบิ้ล เอ เอทานอล และ บจ.อุบล ไบโอเอทานอล และมีผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่มีการจัดซื้อเอทานอลเพื่อใช้ในการผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล จำนวน 11 ราย คือ บจ.เชลล์แห่งประเทศไทย, บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย), บมจ.บางจากปิโตรเลียม, บมจ.ปตท., บมจ.สยามเฆมี, บมจ. ไทยออยล์,บจ.ซัสโก้ ดีลเลอร์ส, บจ.เชฟรอน(ไทย), บมจ. ไออาร์พีซี, บมจ. สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง และ บจ.ทรานส์เทคเอ็นเนอยี่
4. จากการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 1/2556 มีการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลัง ในสัดส่วนร้อยละ 77.5 : 22.5 หรือเท่ากับ 157,721,430 ลิตร และ 45,732,235 ลิตร ตามลำดับ คิดเป็นปริมาณการใช้หัวมันสดจำนวน 286,227.45 ตัน แต่มีการใช้หัวมันสดในโครงการฯ เพียง 53,145.32 ตัน เนื่องจากมีเกษตรกรมาจำนำหัวมันสดในปริมาณน้อย ทำให้ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ผลิตเอทานอลที่เข้าร่วมโครงการฯ อีกทั้ง อคส. ยังไม่ส่งมอบมันเส้นในโครงการฯ ทำให้ผู้ผลิตเอทานอลจำเป็นต้องใช้มันสดและมันเส้นในประเทศซึ่งอยู่นอกโครงการฯ ซึ่งมันสำปะหลังนอกโครงการฯ ดังกล่าวไม่นับรวมเป็นปริมาณมันสำปะหลังที่ต้องใช้ตามโครงการฯ โดยปริมาณมันสำปะหลังที่ผู้ผลิตเอทานอลจะต้องซื้อชดเชยเพิ่มเติมจากมันสำปะหลังในโครงการสำหรับไตรมาสที่ 1/2556 คิดเป็นหัวมันสด 233,082.12 ตัน หรือคิดเป็นมันเส้น 97,924.28 ตัน สรุปได้ตามตารางดังนี้
5. ปัญหา/อุปสรรค ในการดำเนินโครงการฯ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ (1) เกษตรกรนำหัวมันสดมาจำนำที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลซึ่งเปิดเป็นจุดรับจำนำน้อยกว่าเป้าหมาย (2) ผู้ผลิตเอทานอลไม่ทราบราคามันเส้นที่แน่นอนจากโครงการฯ (3) บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ เอทานอล จำกัด (กำลังการผลิต 250,000 ลิตรต่อวัน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังหยุดการผลิตเอทานอลในเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม 2556 เพื่อปรับปรุงระบบบ่อบำบัด ซึ่งคาดว่าจะเดินเครื่องผลิตเอทานอลได้ในเดือนพฤษภาคม 2556 และ (4) ผู้ผลิตเอทานอลบางรายเป็นผู้ผลิตรายใหม่เพิ่งเริ่มผลิตเอทานอลเชิงพาณิชย์ ในเดือน มกราคม 2556 ทำให้เดินเครื่องได้ไม่เต็มกำลังการผลิต และ ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ได้แก่ (1) ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 บางราย ได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลไปแล้ว ก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ทำให้ไม่สามารถซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลังได้ตามสัดส่วน และ (2) มีผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังเข้าประมูลน้อยรายและเสนอราคาประมูลสูงเกินไป
6. แนวทางการแก้ไขปัญหาของโครงการฯ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของผู้ผลิตเอทานอล โดยกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา เพื่อเร่งส่งมอบมันเส้นในโครงการฯ สำหรับไตรมาสที่ 1/2556 ให้กับผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังตามปริมาณเอทานอลที่ได้จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ไปแล้ว และส่งมอบมันเส้นสำหรับไตรมาสที่ 2/2556 เพื่อให้ผู้ผลิตเอทานอลที่ใช้มันเส้นในโครงการฯ ผลิตเอทานอล และในส่วนของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานประชุมร่วมกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อขอความร่วมมือให้รับซื้อเอทานอลตามสัดส่วนเอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลังเป็น 62 : 38
มติของที่ประชุม
1. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จัดทำรายงานผลการดำเนินการ ปัญหา และอุปสรรค ในไตรมาสที่ 1/2556 เสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบ
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหารือกับกรมธุรกิจพลังงานและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อปรับสูตรโครงสร้างราคาเอทานอลใหม่ให้เหมาะสม