มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 34/2556 (ครั้งที่ 168)
วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557- 2561)
2. การปรับปรุงการมอบอำนาจในการดำเนินคดีทางปกครอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ได้มีมติอนุมัติเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2551 - 2555 ให้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 173,679,300 บาท พร้อมทั้งเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท ซึ่งต่อมาได้มีการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ทุกปี โดยสรุปผลการอนุมัติเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปี 2551 – 2555 เป็นจำนวนเงินรวม 205,880,000 บาท
2. ผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปี 2551 – 2555 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เฉลี่ยร้อยละ 48.44, 36.26, 83.34, 67.39 และ 25.30 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อพิจารณาผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปี 2551 – 2555 เปรียบเทียบกับวงเงินที่ได้รับอนุมัติ พบว่า สบพน. และ สนพ. มีผลการใช้จ่ายเงินอยู่ในระดับต่ำคิดเป็นร้อยละ 25.30 และ 36.26 ตามลำดับ เนื่องจาก (1) ปี 2552 - 2554 สบพน. มีค่าใช้จ่ายในหมวดค่าจ้างชั่วคราว เป็นเงินเดือนตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ วงเงินประมาณ 0.9 – 1.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60 - 70 ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีการจ้างในตำแหน่งนี้ และ (2) ปี 2551 – 2555 สนพ. มีการตั้งงบประมาณในหมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัย และเงินสำรอง จำนวนเงินรวมประมาณ 6.0 - 7.0 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นร้อยละ 60 - 70 ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายน้อยมากและเป็นการเบิกจ่ายในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเดินทางไปราชการต่างประเทศและในส่วนของเงินสำรองไม่มีการเบิกจ่าย
3. เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2556 ให้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 16.5400, 6.3604, 7.7518, 1.2352 และ 2.3422 ล้านบาท ตามลำดับ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 34,229,600 บาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2556 เป็นเงิน 150 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 5 หน่วยงาน ได้รายงานผลการ เบิกจ่ายเงิน ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2556 เป็นจำนวนเงินรวม 18,119,309.73 บาท คิดเป็นร้อยละ 52.93 นอกจากนี้กบง. ได้อนุมัติกรอบวงเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 – 2555 เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินงานโครงการตามวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ สรุปผลการใช้จ่ายเงินปี 2551 – 2555 คิดเป็นร้อยละ 89.29, 87.63, 91.21, 49.09 และ 99.41 เมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ได้รับ
4. ในปีงบประมาณ 2556 หน่วยงานภายใต้กระทรวงพลังงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวนรวม 7 โครงการ ดังนี้ (1) สป.พน. จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการสร้างความรับรู้แนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน วงเงินรวม 8 ล้านบาท (2) สนพ. จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร และครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพื่อรองรับการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โครงการการศึกษาค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG (ภาคขนส่ง) โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ปีงบประมาณ 2556 และโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 127.5 ล้านบาท (3) ธพ. จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จำนวนเงินรวม 5.1193 ล้านบาท และ (4) พพ. จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ ผ่านทางสถาบันการศึกษาของรัฐ (ระยะที่ 1) วงเงิน 16.5 ล้านบาท สรุปวงเงินที่ได้รับอนุมัติในปี 2556 จำนวนเงินรวม 157.1193 ล้านบาท ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2556 มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนเงิน 70.4313 ล้านบาท
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 21,532 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 15,872 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,724 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 148 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิเป็นบวก 5,660 ล้านบาท
6. เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2556 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อเสนอแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) ซึ่ง สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้จัดส่งคำขอแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 199,400,600 บาท และขออนุมัติกรอบวงเงินงบค่าใช้จ่ายอื่น ปี 2557 – 2571 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท และในปี 2557 สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้จัดทำคำขอรับการสนับสนุนเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2557 เป็นเงินรวม 46,072,400 บาท
7. สรุปแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2557 ของ 5 หน่วยงาน เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ 2556 ดังนี้ (1) สป.พน. ขอรับการสนับสนุนจำนวนบุคลากรอัตราเดิม และปรับลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากร ทำให้จำนวนเงินขอรับการสนับสนุนลดลง 0.1276 ล้านบาท จากเดิมปี 2556 จำนวนเงิน 16.5400 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 16.4124 ล้านบาท (2) สนพ. ขอรับการสนับสนุนจำนวนบุคลากรลดลงจาก 4 อัตรา เหลือ 3 อัตรา ปรับลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมด้านปิโตรเคมีและค่าวารสารต่างประเทศ ปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ และขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทบทวนแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555 - 2559) ทำให้จำนวนเงินขอรับการสนับสนุนเพิ่มขึ้น 3.3650 ล้านบาท จากเดิมปี 2556 จำนวนเงิน 6.3604 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 9.7254 ล้านบาท (3) กรมสรรพสามิต ปรับเพิ่มจำนวนบุคลากรจาก 21 อัตรา เป็น 23 อัตรา และขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายดำเนินงานโครงการจำนวน 5 โครงการ ทำให้จำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนเพิ่มขึ้น 8.6959 ล้านบาท จากเดิมปี 2556 จำนวนเงิน 7.7518 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 16.4477 ล้านบาท (4) กรมศุลกากร ขอรับการสนับสนุนจำนวนบุคลากรอัตราเดิม จำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนลดลง 0.1005 ล้านบาท จากเดิมในปี 2556 จำนวนเงิน 1.2352 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 1.1347 ล้านบาท และ (5) สบพน. ปรับลดจำนวนบุคลากรจาก 2 อัตรา เป็น 1 อัตรา และปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการจัดทำโปรแกรมสำเร็จรูปควบคุมการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ทำให้จำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุน เพิ่มขึ้น 0.0100 ล้านบาท จากเดิมปี 2556 จำนวนเงิน 2.3422 ล้านบาท เป็นจำนวนเงิน 2.3522 ล้านบาท สรุปจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนตามแผนการใช้จ่ายเงิน งบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2557 ปรับเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 11.8428 ล้านบาท จากเดิมปีงบประมาณ 2556 จำนวนเงินรวม 34.2296 ล้านบาท เป็นจำนวนเงินรวม 46.0724 ล้านบาท
8. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2556 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้พิจารณาเรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) และได้มีมติดังนี้ (1) รับทราบ ผลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2556 ของหน่วยงานต่างๆ (2) เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงิน งบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงินรวม 199,400,600 บาท และงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 – 2561 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง และ (3) อนุมัติเงิน งบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2557 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงินรวม 46,072,400 บาท โดยงบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556 ของหน่วยงานต่างๆ
2. อนุมัติกรอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2557 – 2561) ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 189,130,600 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบเก้าล้านหนึ่งแสนสามหมื่นหกร้อยบาทถ้วน) และงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 – 2561 จำนวนเงิน ปีละ 300 ล้านบาท (สามร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง
3. อนุมัติเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2557 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 35,802,400 บาท (สามสิบห้าล้านแปดแสนสองพันสี่ร้อยบาทถ้วน) โดยงบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป
4. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำข้อเสนอโครงการของกรมสรรพสามิต ในงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2557 หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ จำนวน 4 โครงการ เสนอคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 ต่อไป
เรื่อง การปรับปรุงการมอบอำนาจในการดำเนินคดีทางปกครอง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2556 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งเรียกให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ทำคำให้การพร้อมด้วยพยานหลักฐาน 1 ชุด และจัดทำคำให้การและสำเนาพยานหลักฐานที่มีการรับรองสำเนาถูกต้อง อีก 1 ชุด รวม 2 ชุด ยื่นต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งในคดีศาลปกครองกลาง หมายเลขดำที่ 1143/2555 กรณีนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นฟ้อง กบง. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ 1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ 2 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ 3 ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) ที่ 4 คณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ 5 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ 6 คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ 7 คณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ ที่ 8) โดยกล่าวหาว่าผู้ถูกฟ้องคดีร่วมกันกำหนดราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่แพงเกินจริงและเอื้อประโยชน์ต่อเอกชน ซึ่งการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา และการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าการตลาด ค่าขนส่ง การกำหนดอัตราราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีกอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กบง. จึงขอให้หยุดขึ้นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซธรรมชาติรวมทั้งค่าไฟฟ้า เนื่องจากกำหนดราคาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่ง สนพ. ได้รับคำสั่งเรียกให้ทำคำให้การวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ครบกำหนดยื่นคำให้การในวันที่ 8 สิงหาคม 2556
2. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบคำให้การ แต่เนื่องจากเอกสารหลักฐานมีปริมาณมาก ทำให้ไม่สามารถยื่นคำให้การได้ทันตามกำหนด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 สนพ. ได้มีหนังสือขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การต่อศาลปกครองไปอีก 30 วัน นับแต่วันครบกำหนดเดิม ต่อมาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2556 กบง. ได้มีมติเห็นควรให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีกรณีที่ กบง. เป็นผู้ฟ้องคดีหรือถูกฟ้องคดีปกครองทุกศาลและทุกชั้นศาลปกครองจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ได้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิหรือไม่ก็ตาม ตลอดจนให้มีอำนาจในการมอบอำนาจช่วงให้นิติกรไปดำเนินการใดๆ แทน และได้มอบหมายให้ประธาน กบง. มีอำนาจแทน กบง. ในการลงนามในใบมอบอำนาจและเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อแต่งตั้งให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีปกครองนาม กบง. ทุกคดี
3. สำนักงานศาลปกครองกลาง ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 และลงวันที่ 28 สิงหาคม 2556 แจ้งว่า ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กพช.) และที่ 3 (กบง.) ขยายระยะเวลายื่นคำให้การออกไปถึงวันที่ 7 กันยายน 2556 และให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กพช.) และที่ 3 (กบง.) จัดส่งหนังสือมอบอำนาจและ/หรือมติคณะกรรมการที่มอบอำนาจให้ สนพ. เป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินคดีปกครองแทนผู้ถูกฟ้องที่ 2 (กพช.) และที่ 3 (กบง.) มาพร้อมคำให้การด้วย ซึ่งเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2556 สนพ. ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคดีปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุด ขอความอนุเคราะห์จัดพนักงานอัยการเพื่อแก้ต่างคดี โดยสำนักงานศาลปกครองกลาง ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล ลงวันที่ 9 กันยายน 2556 ถึงร้อยเอกฉัตรชัย กันนิ่ม พนักงานอัยการ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 และที่ 8 (กบง. ที่ 3) แจ้งว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 และที่ 8 ขยายระยะเวลายื่นคำให้การออกไปถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2556 และต่อมาได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2556 ถึงร้อยเอกฉัตรชัย กันนิ่ม พนักงานอัยการ ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 และที่ 8 (กบง. ที่ 3) แจ้งว่า ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 6 และที่ 8 ขยายระยะเวลายื่นคำให้การออกไปถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556
4. เพื่อให้การดำเนินคดีปกครองเกิดประโยชน์ต่อทางราชการและมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอให้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมดังนี้ (1) การมอบอำนาจ เดิม กบง. มอบหมายให้ประธาน กบง. มีอำนาจทำการแทน กบง. ในการลงนามในใบมอบอำนาจและเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อแต่งตั้งให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีปกครองในนาม กบง. ทุกคดี ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรเพิ่มเติมให้ กบง. มอบอำนาจให้กรรมการและเลขานุการ กบง. มีอำนาจทำการแทน กบง. ในกรณีดังกล่าวด้วย และรวมทั้งให้มีอำนาจในการ ไปให้ถ้อยคำต่อศาล ทำคำชี้แจงข้อเท็จจริง หรือมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการดังกล่าวทุกคดี และ (2) การยื่นขอขยายระยะเวลาจัดทำคำให้การ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เป็นผู้ยื่นขอขยายระยะเวลาทำคำให้การต่อ ศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 โดยยังไม่ได้รับมอบหมายจาก กบง. ให้เป็นผู้มีอำนาจทำการ แทน กบง. ต่อมาศาลปกครองกลางได้มีหนังสืออนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การออกไปถึงวันที่ 7 กันยายน 2556 โดยขอให้จัดส่งหนังสือมอบอำนาจและ/หรือมติคณะกรรมการที่มอบอำนาจให้กรรมการและเลขานุการ เป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินคดีปกครองแทนผู้ถูกฟ้องที่ 2 (กพช.) และที่ 3 (กบง.) มาพร้อมคำให้การด้วย ฝ่ายเลขานุการฯเสนอขอความเห็นชอบกรณียื่นขอขยายระยะเวลาทำคำให้การต่อศาลปกครองกลางของกรรมการและเลขานุการฯ กบง. เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ต่อ กบง.
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานและ/หรือผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีอำนาจแทน กบง. ในการลงนามในใบมอบอำนาจและเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อแต่งตั้งให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีปกครอง ในนาม กบง. ทุกคดี รวมทั้งให้มีอำนาจในการไปให้ถ้อยคำต่อศาล ทำคำชี้แจงข้อเท็จจริง หรือมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการดังกล่าวทุกคดี
2. เห็นชอบให้สัตยาบันในการที่ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้แทนในการยื่นขอขยายระยะเวลาทำคำให้การ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ในคดีศาลปกครองกลาง หมายเลขดำที่ 1143/2555