มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 38/2556 (ครั้งที่ 172)
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.30 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. รายงานผลการดำเนินการเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7)
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.24, 115.84 และ 127.99 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ และน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 1.45 และ 1.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 2 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 32.3411 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.13 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 ที่ 32.2064 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 23,356 ล้านบาท หนี้สินรวม 18,369 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 4,960 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.60 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล อยู่ที่ประมาณ 1.61 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.27 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.37 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 29.79 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 115.02 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 144.81 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 รัฐบาลได้แถลงนโยบายเกี่ยวกับการกำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสมเป็นธรรม และมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยมีนโยบายปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และภาคครัวเรือน ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 โดยให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนไว้ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555
2. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 โดยเห็นชอบให้ขยายเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงเดือนมีนาคม 2556 และให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม ภายในปี 2556 โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ซึ่งต่อมา กบง. ได้พิจารณาขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนอีก 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2556
3. เมื่อวันที่ 16 กรกฏาคม 2556 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยให้ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยครัวเรือนรายได้น้อย ช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ช่วยเหลือตามการใช้จริงไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน ทั้งนี้ ผู้ได้รับการช่วยเหลือสามารถเลือกใช้ถังขนาดใดก็ได้ แต่ไม่เกินขนาดถัง 15 กิโลกรัม โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดให้มีการจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิได้รับการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและฐานข้อมูลร้านจำหน่ายก๊าซ ซึ่ง มีผู้มีสิทธิได้รับการบรรเทาผลกระทบฯ เป็นจำนวนมาก และมีขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อให้ได้รับสิทธิ ซึ่งอาจเกิดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติตามโครงการหรืออาจมีการใช้สิทธิที่ไม่ถูกต้อง
4. กระทรวงพลังงาน ได้จัดให้มีการดำเนินการตรวจสอบการใช้สิทธิหรือการสนับสนุนการใช้สิทธิของร้านจำหน่ายก๊าซ LPG ทั้งระบบในระดับปฏิบัติการเชิงพื้นที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการและเป็นการป้องปรามการใช้สิทธิโดยมิชอบหรือการนำไปแสวงหาประโยชน์ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) จึงได้จัดทำข้อเสนอ “โครงการส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน” โดยขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินการ ซึ่งจะมีรักษาการหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน (นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และมีกองตรวจและประเมินผล สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานดำเนินการ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
4.1 วัตถุประสงค์ของโครงการ เพื่อติดตามตรวจสอบการใช้สิทธิของครัวเรือนและร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ตามโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ(LPG) ภาคครัวเรือน ให้ดำเนินการอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพและป้องปรามการใช้สิทธิโดยมิชอบหรือการแสวงหาประโยชน์จากโครงการดังกล่าว4.2 การดำเนินงานโครงการฯ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวงพลังงาน ตามประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง ยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน (พ.ศ. 2556 - 2560) ประกาศ ณ วันที่ 4 มกราคม 2556 ยุทธศาสตร์ที่ 4 การกำกับดูแลกิจการพลังงานและราคาพลังงาน รวมทั้งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 ประกาศ ณ วันที่ 29 เมษายน 2556 หมวด 2 การจ่ายเงิน ข้อ 9 (4) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และข้อ 9 (5) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ4.3 เป้าหมายดำเนินการ ได้แก่ (1) ผู้ใช้สิทธิตามโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ (LPG) ภาคครัวเรือน ได้แก่ ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร และ (2) ผู้สมัครขอใช้สิทธิเพิ่มเติม ได้แก่ ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร4.4 ขอบเขตการดำเนินการ แบ่งเป็น (1) การกำหนดกลุ่มประเภทที่ต้องตรวจสอบ ได้แก่ การติดตาม รวบรวมข้อมูลผู้ได้รับสิทธิฯ ของกลุ่มต่างๆ การติดตามการใช้สิทธิ การขอเปลี่ยนแปลงการขอรับสิทธิ การขอเป็นผู้ได้รับสิทธิ พฤติกรรมการขอซื้อก๊าซ LPG ตามสิทธิ รวมทั้งกำหนดทิศทางการตรวจติดตามการใช้สิทธิ และ (2) การดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ได้รับผลกระทบ ได้แก่ จัดประชุมชี้แจงสร้างความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น พลังงานจังหวัด เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้ทราบถึงความเป็นมา วิธีการดำเนินการต่าง ๆ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการปฏิบัติการตรวจสอบ การดำเนินการตรวจติดตามการใช้สิทธิ 12 เดือน พร้อมกับจัดทำรายงานรายจังหวัดและภาพรวมของประเทศ เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 ครั้ง4.5 ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 ในวงเงิน 49,434,000 บาท แบ่งเป็น (1) หมวดบุคลากร วงเงิน 19,684,000 บาท และ (2) หมวดการดำเนินงาน ได้แก่ ค่าจัดประชุมสัมมนา/อบรม ค่าจัดซื้ออุปกรณ์และวัสดุ และค่าเดินทาง ที่พัก ยานพาหนะสำหรับลงพื้นที่เก็บข้อมูล ตรวจสอบและตรวจติดตาม เป็นต้น ในวงเงิน 29,750,000 บาท ระยะเวลาดำเนินงานโครงการ 12 เดือน
5. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2556 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีการพิจารณาเรื่องโครงการส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน และได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ไปปรับปรุงรูปแบบและรายละเอียดโครงการฯ ตามความเห็นของที่ประชุม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ อบน. เวียนข้อเสนอโครงการที่ได้ปรับปรุงแล้วให้ อบน. พิจารณาก่อนนำเสนอ กบง. เพื่ออนุมัติวงเงินต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ฝ่ายเลขานุการฯได้เวียนข้อเสนอโครงการฯ ซึ่งได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามมติที่ประชุมฯ ให้อนุกรรมการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีอนุกรรมการขอแก้ไข
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการการดำเนินงานโครงการส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน โดยอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2557 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน ในวงเงินไม่เกิน 49,434,000 บาท (สี่สิบเก้าล้านสี่แสนสามหมื่นสี่พันบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ
ทั้งนี้ ให้เพิ่มเติมและปรับปรุงขอบเขตของงานตามความเห็นของกรรมการในส่วนของการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน มาลงทะเบียนขอใช้สิทธิมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 หมวด 7 การตรวจสอบภายใน ข้อ 26 ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.)จัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงานทราบ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 มีนาคม 2548 วรรคสาม ให้แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. เป็นผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงานทราบเพื่อนำเสนอ กบง. ต่อไป
2. ปีงบประมาณ 2556 สบพน. ได้ดำเนินการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ พร้อมทั้งได้สรุปผลการตรวจสอบกับผู้รับผิดชอบและผู้อำนวยการ สบพน. พบว่า มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk) อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ เกิดความคลาดเคลื่อนไปจากที่ระเบียบกระทรวงพลังงานฯ กำหนดไว้ โดยสรุปการตรวจสอบได้ดังนี้
2.1 การตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเบิก – จ่ายและติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556 และโครงการต่อเนื่อง ดังนี้ (1) มีการสอบทานข้อมูล 2 ครั้ง คือ ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม 2555 และระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน 2556 นำเสนอคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. เรียบร้อยแล้ว (2) สรุปผลการตรวจสอบ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555 มีโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินในปีงบประมาณ 2551 – 2555 ที่ยังไม่ปิดโครงการ จำนวน 20 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 998,276,227 บาท เบิกเงินจากแล้วจำนวน 289,075,998.69 บาท และใช้จ่ายจริงจำนวน 106,840,172.40 บาท และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2556 มีโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินในปีงบประมาณ 2551 – 2556 ที่ยังไม่ปิดโครงการจำนวน 16 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 960,269,487 บาท เบิกเงินแล้วจำนวน 272,615,960.50 บาท และใช้จ่ายจริงจำนวน 127,448,597.02 บาท โครงการที่ยังไม่มีการดำเนินการและเบิกจ่ายเงิน และโครงการที่ยังไม่มีการรายงานผลการใช้จ่ายเงินจำนวน 10 โครงการ แบ่งเป็นปีงบประมาณ 2552 – 2553 จำนวน 3 โครงการ วงเงินรวม 122,200,000 บาท ปีงบประมาณ 2556 จำนวน 5 โครงการ วงเงินรวม 90,619,300 บาท ทั้งนี้ โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) วงเงินอนุมัติ 180 ล้านบาท เบิกเงินแล้วจำนวน 4.51 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่า ผู้รับผิดชอบโครงการฯ มิได้จัดทำรายงานสรุปการรับ-จ่ายเงินกองทุนประจำเดือนส่งให้ สบพน. ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงพลังงานฯ และโครงการจัดเก็บและทำลายชุดอุปกรณ์และถังก๊าซ LPG ตามแผนการดำเนินการสนับสนุนรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV งวดที่ 1 จำนวน 15,000 ชุด ของ ธพ. ได้ขอเบิกจ่าย งวดที่ 2 ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินเข้าบัญชีโครงการแล้ว แต่ในการเบิกเงินงวดที่ 2 ไม่มีการรายงานผลการใช้จ่ายเงินในงวดที่ผ่านมา ซึ่งผู้รับการตรวจสอบโดยสำนักบริหารการเงินและบัญชีกองทุน ของ สบพน. ได้ชี้แจงว่า อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแบบฟอร์มสรุปผลการใช้จ่ายเงิน เพื่อใช้ในการควบคุมการเบิกเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการและเป็นไปตามที่ระเบียบกระทรวงพลังงานฯ กำหนด และ (3) คณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. ได้มีความเห็นและข้อเสนอแนะว่า สบพน. ควรจัดวางระบบการควบคุมและติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการต่างๆ ให้รัดกุมยิ่งขึ้น และเร่งรัดการจัดทำแบบฟอร์มสรุปผลการใช้จ่ายเงินในงวดที่ผ่านมาให้แล้วเสร็จ เพื่อส่งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน2.2 การตรวจสอบการคืนเงินคงเหลือและดอกผลของโครงการที่ปิดบัญชี ประจำปีงบประมาณ 2556 โดยสรุปผลการตรวจสอบได้ดังนี้ (1) โครงการที่ได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2551 - 2555 และแจ้งปิดบัญชีระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2555 – วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 มี 9 โครงการ วงเงินรวม 111,326,040 บาท เบิกเงินเพื่อดำเนินโครงการแล้วทั้งสิ้น 97,826,038.00 บาท คงเหลือวงเงินที่ไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน 13,500,002 บาท (2) หน่วยงานที่เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้ว มีการใช้จ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการอยู่ในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ (3) มีการคืนเงินคงเหลือ ดอกผล และรายรับอื่นให้กองทุนน้ำมันฯ ถูกต้องครบถ้วน และ (4) จากการตรวจสอบ พบว่าบางหน่วยงานมีการนำส่งดอกผลหรือรายรับอื่นที่เกิดขึ้นคืนกองทุนน้ำมันฯ เพียงครั้งเดียวเมื่อสิ้นสุดโครงการ ซึ่งตามระเบียบฯ กำหนดให้นำส่งคืนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่ทั้งนี้สำนักบริหารการเงินและบัญชีกองทุน สบพน. ได้ประสานงานกับหน่วยงานดังกล่าว พร้อมทั้งจัดส่งระเบียบกระทรวงพลังงานฯ เพื่อให้ยึดถือปฏิบัติตาม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง รายงานผลการดำเนินการเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7)
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วต้องผสมด้วยไบโอดีเซลในอัตราส่วนร้อยละ 4.5 – 5.0 คิดเป็นปริมาณการใช้ไบโอดีเซลประมาณ 2.5 ล้านลิตรต่อวัน หรือปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบ 2,174 ตันต่อวัน ต้นปี 2556 ผลผลิตปาล์มน้ำมันมีปริมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือสูงกว่า 3 แสนตัน ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มลดต่ำลง จึงทำให้ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันภายในประเทศตกต่ำ เพื่อช่วยเหลือผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและบรรเทาปัญหาปาล์มน้ำมันล้นตลาด รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน พิจารณาเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7 ซึ่งจะทำให้มีการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มจากปัจจุบัน 2.5 เป็น 4 ล้านลิตรต่อวัน หรือคิดเป็นการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบได้เพิ่มขึ้น 780 ตันต่อวัน
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 เห็นชอบให้ปรับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี (ปี 2555 - 2564) โดยเพิ่มเป้าหมายการใช้ไบโอดีเซลในภาคขนส่ง ในปี 2564 จากเดิม 5.97 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 7.72 ล้านลิตรต่อวัน ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2556 รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กปน.) เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2556 ที่เสนอให้กระทรวงพลังงานผลักดันการใช้ไบโอดีเซลให้เป็นไปตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี
3. การปรับเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7 (น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7) จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากผู้ผลิตรถยนต์ เพื่อป้องกันปัญหากับผู้ใช้รถในด้านการรับประกันรถยนต์ โดยต้องมีการหารือให้ได้ข้อยุติร่วมกันระหว่างผู้เกี่ยวข้อง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ผลิต ได้แก่ ผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมัน และกลุ่มผู้ใช้ ได้แก่ ผู้ผลิตรถยนต์
4. ธพ. ได้หารือกับผู้ผลิตรถยนต์ (สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย) และได้รับแจ้งว่าผู้เชี่ยวชาญจาก Japan Automobile Manufacturers Association, Inc. (JAMA) เสนอว่าเพื่อให้มีการยอมรับการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ขอให้มีการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้ (1) มาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซล ให้คุณภาพทั่วไปสอดคล้องกับมาตรฐานไบโอดีเซลของยุโรป ยกเว้นข้อกำหนด ปริมาณสารโมโนกลีเซอร์ไรด์ เสนอให้กำหนดไม่สูงกว่าร้อยละ 0.70 โดยปริมาตร ซึ่งเข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรป เพื่อช่วยลดปัญหาการอุดตันของหัวฉีด และ (2) มาตรฐานคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ให้คุณภาพทั่วไปสอดคล้องกับมาตรฐานน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ของยุโรป ยกเว้นข้อกำหนด เสถียรภาพต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน เสนอให้กำหนดไม่ต่ำกว่า 35 ชั่วโมง ซึ่งเข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรป เพื่อช่วยลดปัญหาการอุดตันไส้กรองและหัวฉีด ที่มีสาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของไบโอดีเซล
5. ธพ. ได้หารือกับผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมันเกี่ยวกับข้อเสนอการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของ JAMA ได้ข้อสรุปดังนี้ (1) มาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซล สามารถปรับข้อกำหนดปริมาณสารโมโนกลีเซอร์ไรด์ให้เข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรปตามที่เสนอมาได้ แต่ข้อกำหนดปริมาณฟอสฟอรัส ผู้ผลิตไบโอดีเซลเห็นควรกำหนดตามมาตรฐานปัจจุบัน ซึ่งยังไม่เข้มงวดเท่ามาตรฐานยุโรป เนื่องจากคุณสมบัตินี้กำหนดเพื่อรองรับระบบกำจัดมลพิษในไอเสียตามเทคโนโลยีรถยนต์ยูโร 5 แต่เทคโนโลยีรถยนต์ของประเทศไทยปัจจุบันอยู่ในระดับยูโร 4 จึงยังไม่จำเป็นต้องปรับค่าฟอสฟอรัสให้เข้มงวดขึ้นในขณะนี้ ประกอบกับการลดค่าฟอสฟอรัสจะทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลต้องลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิต จึงจะส่งผลให้ราคาไบโอดีเซลสูงขึ้น และ (2) มาตรฐานคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 สามารถปรับข้อกำหนดเสถียรภาพต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันให้เข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรปตามที่เสนอได้ แต่ข้อกำหนดเรื่องปริมาณน้ำ ซึ่งมาตรฐานยุโรปกำหนด ไม่สูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ผู้ค้าน้ำมันเสนอให้กำหนดไม่สูงกว่า 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เนื่องจากประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อนชื้น การกำหนดมาตรฐานให้เข้มงวดเท่ายุโรปจึงยากต่อการปฏิบัติ
6. ธพ. ได้ขอข้อมูลวิชาการเพื่อสนับสนุนการเสนอให้เพิ่มความเข้มงวดของข้อกำหนดปริมาณน้ำในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 แต่ผู้ผลิตรถยนต์ไม่มีการจัดส่งข้อมูล ธพ. จึงสรุปว่าควรกำหนดค่าปริมาณน้ำ ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามข้อเสนอของผู้ค้าน้ำมัน โดยมีเหตุผลดังนี้ (1) การเพิ่มสัดส่วนจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7 เป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการ เพื่อดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินที่เหลือจากการบริโภคและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม (2) ประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี5 ที่มีปริมาณน้ำไม่สูงกว่า 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มาเป็นเวลากว่า 5 ปี ไม่เคยมีปัญหาการใช้งานตามที่เป็นข้อกังวลของผู้ผลิตรถยนต์ (3) ธพ. ได้ดำเนินโครงการทดสอบการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี10 ที่มีปริมาณน้ำไม่สูงกว่า 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม กับรถยนต์บรรทุกขนาดเล็กในภาคสนาม ปรากฏว่าไม่มีปัญหาในการใช้งาน (4) ธพ. จะกำหนดมาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการเสื่อมสภาพของน้ำมันให้เข้มงวดกว่ามาตรฐานยุโรปตามข้อเสนอของ JAMA และผู้ผลิตรถยนต์ ดังนั้น การใช้งานน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 จึงไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหา และ (5) หลังเริ่มการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ธพ. จะติดตามตรวจสอบและควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อให้ไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผลิตจำหน่ายมีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด อีกทั้ง จะมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ผลิตรถยนต์
7. ธพ. ได้ประสานงานกับ JAMA และผู้ผลิตรถยนต์ (สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย) เกี่ยวกับผลการหารือกับผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมัน ปรากฏว่า JAMA ยอมรับร่างมาตรฐานคุณภาพไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ตามข้อเสนอของ ธพ. และ ธพ. ได้ประชุมหารือกับสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตัวแทนผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตหัวฉีด สรุปได้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศตอบรับการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ในรถยนต์ แต่เนื่องจากบริษัทแม่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐานน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ซึ่งมีค่าน้ำแตกต่างจากมาตรฐานยุโรป ดังนั้น จึงขอให้มีการติดตามตรวจสอบค่าปริมาณน้ำในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 อย่างใกล้ชิด และควบคุมคุณภาพไบโอดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ต่อมา ธพ. ได้ดำเนินการประกาศมาตรฐานคุณภาพของไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมันมีระยะเวลาที่เพียงพอในการเตรียมการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานใหม่ และเพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์มีเวลาที่เพียงพอในการเตรียมการรับรองใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ