มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 19)
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2550 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
2. การส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
3. มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (1 กุมภาพันธ์ - 15 มีนาคม 2550)
5. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ได้พิจารณาเรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างราคาเอทานอลเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยมีมติเห็นชอบให้กำหนดเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ 1.50 บาท/ลิตร และฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 1.00 บาท/ลิตร พร้อมทั้งเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ถูกกว่าราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 ลิตรละ 1.50 บาท ตลอดจนเห็นชอบแนวทางการใช้กองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไก ในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตามหลักเกณฑ์ โดยมีสูตรราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เป็นดังนี้
ราคาแก๊สโซฮอล์ 95 = 90% ของ[ราคาเบนซินออกเทน 95 + (1 $/BBL x อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984)] + 10%ของราคาเอทานอล
ราคาแก๊สโซฮอล์ 91 = 90% ของ[ราคาเบนซินออกเทน 91 + (1 $/BBL x อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984)] + 10%ของราคาเอทานอล
2. ปัจจุบันมีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง จำนวน 6 ราย กำลังการผลิตติดตั้งรวม 855,000 ลิตร/วัน ซึ่งสามารถผลิตได้รวม 750,000 ลิตร/วัน แต่ในเดือน กุมภาพันธ์ 2550 สามารถผลิตเอทานอลรวมได้เพียง 403,200 ลิตร/วัน อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายน 2550 จะมีโรงงานผลิตเอทานอลที่มีกำหนดก่อสร้างโรงงานแล้วเสร็จเพิ่มขึ้นอีก 3 ราย ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 360,000 ลิตร/วัน
3. สำหรับสัดส่วนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เทียบกับน้ำมันออกเทน 95 และสัดส่วนการใช้น้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 91 เทียบกับน้ำมันออกเทน 91 โดยรวมอยู่ที่ร้อยละ49 และ 2 ตามลำดับ โดยปัจจุบันมีบริษัทค้าน้ำมันแก๊สโซฮอล์จำนวน 10 บริษัท สถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล์รวม 3,466 แห่ง (ณ เดือนธันวาคม 2549) โดยยอดขายแก๊สโซฮอล์เฉลี่ยในปี 2549 เดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เท่ากับ 3.50 3.35 และ 3.61 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ และปริมาณสำรองเอทานอล (หัก dead stock แล้ว) ของผู้ค้าฯ รวม 20.26 ล้านลิตร (ณ วันที่ 31 มกราคม 2550) โดยมีราคาขายปลีกของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 เท่ากับ 2.00 บาท/ลิตร และ 1.50 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ผู้ค้าน้ำมันได้มีหนังสือถึง สนพ. ร้องเรียนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ตามมติ กบง. ในข้อ 1 ซึ่งไม่สะท้อนต้นทุนการผลิตที่เป็นจริงของผู้ค้าน้ำมัน โดยต้นทุนการผลิตน้ำมันเบนซินพื้นฐาน 91 เมื่อนำไปผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ในระดับที่สูงกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ค่อนข้างมาก เนื่องจากผู้ผลิตต้องใช้น้ำมันองค์ประกอบที่มีราคาแพงในการผสมด้วยสัดส่วนที่สูง เพื่อให้ได้คุณภาพตามที่กำหนด ขณะที่ผู้ผลิตต้องจำหน่ายน้ำมันองค์ประกอบอื่นๆ ที่เหลือ ด้วยการส่งออกในราคาถูก
5. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2550 สนพ. ได้หารือกับผู้ผลิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาเรื่อง ต้นทุนการผลิตน้ำมันเบนซินพื้นฐาน 91 เพื่อนำไปผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 โดยที่ประชุมเห็นควรให้กำหนดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเบนซินพื้นฐาน 91 เท่ากับ ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเบนซิน 91 + 2 $/BBL ซึ่งจะมีผลทำให้ต้นทุน ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันพื้นฐาน 91 เพิ่มขึ้นประมาณ 0.20 บาท/ลิตร และเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้ประชาชนมาใช้แก๊สโซฮอล์มากขึ้นรัฐบาลจึงควรออกมาตรการปรับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ ถูกกว่า น้ำมันเบนซินมากกว่าเดิม
6. หากปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จาก 1.50 บาท/ลิตร เป็น 1.00 บาท/ลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ได้ถึงระดับ 2.50 บาท/ลิตร และ 2.00 บาท/ลิตร ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เมื่อปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของ น้ำมันแก๊สโซฮอล์มาอยู่ที่ระดับฐาน คือ 1.00 บาท/ลิตร แล้ว หากราคาเอทานอลปรับตัวสูงขึ้น หรือราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบัน จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล์น้อยกว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน ขณะที่กองทุนน้ำมันฯ ไม่สามารถปรับลดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ ลงได้อีก เนื่องจากมีข้อจำกัดฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ตามมติ กบง. ในข้อ 1 และการปรับฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ลงนี้ จะทำให้เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลดลงเฉลี่ยประมาณ 332 ล้านบาท/เดือน
7. เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เพิ่มมากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และปรับฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ดังนี้
7.1 ขอความเห็นชอบในการปรับสูตรการกำหนดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ดังนี้
ราคาแก๊สโซฮอล์ 91 = 90% ของ[ราคาเบนซินออกเทน 91 + (2 $/BBL x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984)] + 10%ของราคาเอทานอล
7.2 ขอความเห็นชอบกำหนดเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ 1.50 บาท/ลิตร และฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.50 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 และปรับฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป ดังนี้
1.1 ให้ปรับสูตรการกำหนดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เป็นดังนี้
ราคาแก๊สโซฮอล์ 91 = 90% ของ[ราคาเบนซินออกเทน 91+(2$/BBL´อัตราแลกเปลี่ยน/158.984)] + 10% ของราคาเอทานอล
1.2 กำหนดเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ 1.50 บาท/ลิตร และฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.50 บาท/ลิตร
2. มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์เพื่อเพิ่มความแตกต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 และแก๊สโซฮอล์ 95 เป็น 2.5 บาท/ลิตร โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยอิงจากราคาน้ำมันปาล์มดิบและเมทานอลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล และเห็นชอบให้ใช้ กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ตามหลักเกณฑ์กำหนดเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ที่ 0.55 บาท/ลิตร และฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.30 บาท/ลิตร รวมทั้งเห็นชอบในหลักการให้ใช้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพื่อทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในระดับ 1.00 บาท/ลิตร โดยมอบหมายให้ สนพ. ดำเนินการเมื่อการผลิตไบโอดีเซล(B100) มีปริมาณพอเพียงกับความต้องการแล้ว
2. ปัจจุบันมีโรงงานผลิตไบโอดีเซล (B100) จำนวน 5 ราย กำลังผลิตติดตั้ง 840,000 ลิตร/วัน และ โรงงานผลิตไบโอดีเซลที่อยู่ระหว่างพัฒนา จำนวน 5 ราย กำลังผลิตประมาณ 1,070,000 ลิตร/วัน และในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ปริมาณการผลิตของไบโอดีเซล (B100) อยู่ที่ระดับ 24,000 ลิตร/วัน และปริมาณสต๊อกไบโอดีเซล (B100) รวม 1,702,000 ลิตร สำหรับการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 มีผู้ค้าจำนวน 2 ราย คือ ปตท. และบางจาก โดยมีสถานีบริการรวมทั้งสิ้น 431 แห่ง รวมปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 660,000 ลิตร/วัน หรือเทียบเท่าปริมาณไบโอดีเซล (B100) ประมาณ 33,000 ลิตร/วัน และเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพิ่มขึ้น สนพ. ได้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เป็น 0.30 บาท/ลิตร ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาท/ลิตร
3. จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ได้เห็นชอบในหลักการให้ใช้การกำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพื่อทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ต่ำกว่าราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.00 บาท/ลิตร ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการกำหนดฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ที่ 0.30 บาท/ลิตร ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้เพียง 0.70 บาท/ลิตร เท่านั้น ซึ่งหากจะเพิ่มส่วนต่างของ ราคาเป็น 1 บาท/ลิตร จะต้องปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ในระดับ 0.05 บาท/ลิตร สนพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรกำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีเกรดเดียว ทั้งนี้การดำเนินการจะต้องได้ข้อสรุปในเรื่องคุณภาพ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โครงสร้างภาษีสรรพสามิต และการยอมรับของกลุ่มยานยนต์และผู้ค้าน้ำมัน
4. เพื่อเป็นการส่งเสริมและจูงใจให้ประชาชนเปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 มากขึ้น โดยให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.00 บาท/ลิตร สนพ. จึงขอเสนอให้ปรับลดฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จาก 0.30 บาท/ลิตร เป็น 0.05 บาท/ลิตร โดยมอบให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ ต่อไป ทั้งนี้จะทำให้รายรับกองทุนฯลดลงประมาณ 224 ล้านบาท/เดือน และเมื่อรวมรายได้ที่ลดลงจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมัน แก๊สโซฮอล์อีก 332 ล้านบาท/เดือน จะทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชำระหนี้ได้ช้าลง จากเดือนมกราคม 2551 จะเลื่อนออกไปเป็นในเดือนเมษายน 2551และประเด็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดเดียว สนพ. ขอรับไปประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงความเป็นไปได้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับลดฐานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว บี 5 จาก 0.30 บาท/ลิตร เป็น 0.05 บาท/ลิตร โดยให้ชะลอการดำเนินการเพื่อเพิ่มความแตกต่างของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เป็น 1 บาท/ลิตร ไว้ก่อน จนกว่าจะได้ความชัดเจนในเรื่องแนวทางการส่งเสริมน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดเดียว
2. มอบหมายให้ สนพ. รับไปประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของแนวทางที่จะส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเกรดเดียว และนำมาเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 3 มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยให้ความเห็นชอบมาตรฐานคุณภาพบริการของการ ไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตลอดจนแนวทางการกำกับดูแลเรื่องมาตรฐาน คุณภาพบริการของการไฟฟ้า และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นไป ต่อมา คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้อนุมัติตามมติ กพช. ให้มีการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน 2545 เป็นต้นไป ซึ่ง สนพ. ได้ ดำเนินการว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทำการวิเคราะห์และประเมินผลการ ดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการที่ปรับปรุงใหม่เป็นประจำทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา
2. ผลการประเมินมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายประจำปี 2545-2548 สรุปได้ ดังนี้
2.1 กฟน. มีผลการประเมินที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน คุณภาพแรงดันไฟฟ้าในระดับ 12 kV และ 24 kV และไม่สามารถประเมินแรงดัน 69 kV ได้เนื่องจากข้อมูลที่สุ่มได้และข้อมูลที่ได้รับจาก กฟน. ไม่สอดคล้องกัน
2.2 กฟภ. มีผลการประเมินที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ที่การไฟฟ้ารับประกันเรื่องระยะเวลาการ ขอใช้ไฟฟ้าใหม่ในระบบแรงดันต่ำ และการคืนหลักประกันการใช้ไฟฟ้า รวมทั้งมาตรฐานคุณภาพแรงดันไฟฟ้า ในระดับ 33 kV, 22 kV และ 220/380 V เนื่องจากข้อมูลที่สุ่มได้และข้อมูลที่ได้รับจาก กฟภ. ไม่สอดคล้องกันนอกจากนี้ไม่สามารถประเมินมาตรฐานค่าดัชนีจำนวนไฟฟ้าดับต่อรายต่อปี (SAIFI) และค่าดัชนีระยะเวลา ไฟฟ้าดับต่อ รายต่อปี (SAIDI) เนื่องจากไม่ได้รับข้อมูลสถิติไฟฟ้าดับในจำนวนที่มากพอ
2.3 ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยพลังงาน ได้เสนอแนะการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ดังนี้
2.3.1 กฟน. และ กฟภ. ควรพัฒนาระบบฐานข้อมูลให้ถูกต้องแม่นยำและมีรูปแบบการบันทึกข้อมูลเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกการไฟฟ้าเขต สำหรับใช้ในการตรวจสอบ และปรับปรุงการบริการไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้ดีขึ้น
2.3.2 การกำหนดเป้าหมายและแผนการปรับปรุงคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายในระยะต่อไป ควรดำเนินการ ดังนี้ (1) ควรปรับปรุงมาตรฐานด้านเทคนิคในส่วนของความเชื่อถือได้ให้เหมาะสม โดยปรับปรุงมาตรฐานค่า SAIFI และ SAIDI จากการถ่วงน้ำหนักระหว่างค่าเกณฑ์มาตรฐานเดิมกับผลการดำเนินงานปี 2548 ในสัดส่วนร้อยละ 50:50 และ (2) ควรศึกษาความเหมาะสมของเกณฑ์มาตรฐานให้เหมาะสมมากขึ้นในระยะยาว
ข้อเสนอการปรับเกณฑ์มาตรฐานความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
เขตพื้นที่ | มาตรฐาน คุณภาพบริการ | ผลการดำเนินงาน ประจำปี 2548 | มาตรฐานใหม่ ที่นำเสนอ | |||
SAIFI | SAIDI | SAIFI | SAIDI | SAIFI | SAIDI | |
การไฟฟ้านครหลวง | ||||||
เขตนิคมอุตสาหกรรม |
3.41 | 84.91 | 1.84 | 23.56 | 2.63 | 54.23 |
เขตเมืองและย่านธุรกิจ | 3.35 | 74.62 | 1.57 | 35.10 | 2.46 | 54.86 |
เขตชานเมือง | 5.43 | 128.37 | 3.22 | 72.37 | 4.32 | 100.37 |
รวมทุกพื้นที่ | 3.70 | 82.73 | 1.87 | 41.41 | 2.79 | 62.07 |
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | ||||||
เขตนิคมอุตสาหกรรม |
4.95 | 324 | 4.75 | 151.50 | 4.85 | 237.75 |
เขตเมืองและย่านธุรกิจ | 13.7 | 884 | 8.21 | 356.38 | 10.95 | 620.19 |
เขตชานเมือง | 21.28 | 1,615 | 13.39 | 731.69 | 17.34 | 1,173.35 |
รวมทุกพื้นที่ | 18.85 | 1,496 | 12.00 | 630.65 | 15.42 | 1,063.32 |
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้มีการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพการให้บริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้มีความเหมาะสมเพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับคุณภาพบริการไฟฟ้าที่ดียิ่งขึ้น ดังนี้
3.1 ระยะสั้น : ควรให้มีการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตามข้อเสนอของสถาบันวิจัยพลังงาน โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 เป็นต้นไป และเห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายดำเนินการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องแม่นยำ ตลอดจน จัดทำเอกสารและรูปแบบการบันทึกข้อมูลมาตรฐานคุณภาพบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกการไฟฟ้าเขต
3.2 ระยะยาว : ควรให้มีการประเมินมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี และควรศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายและระบบฐานข้อมูลมาตรฐานคุณภาพบริการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเป็นผู้ออก ค่าใช้จ่าย
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการศึกษาการประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรฐานคุณภาพบริการ ของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ปี 2545-2548
2. เห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายสำหรับปีปฏิทิน 2550 รายละเอียดตามเอกสารแนบ 3.3.5 และมอบหมายให้ กฟน. และ กฟภ. ดำเนินการปรับปรุงระบบฐาน ข้อมูล และรูปแบบการบันทึกข้อมูลมาตรฐานคุณภาพบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกการไฟฟ้าเขต ตลอดจน ดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานและประสานงานกับ กฟผ. ให้ปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟผ. ให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับมาตรฐานคุณภาพบริการตามเกณฑ์ที่กำหนด
3. เห็นชอบให้ สนพ. ดำเนินการ ดังนี้
3.1 ประเมินมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเป็นประจำทุกปี โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
3.2 ศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย และระบบฐานข้อมูลมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้า ตลอดจน การกำหนดบทปรับกรณีการไฟฟ้าไม่สามารถปรับปรุงระบบฐานข้อมูล รูปแบบการบันทึกข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการที่กำหนด เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางการกำกับดูแล มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายในปีปฏิทิน 2551 ต่อไป โดยการ ไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (1 กุมภาพันธ์ - 15 มีนาคม 2550)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 อยู่ที่ระดับ 55.75 และ 57.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.06 และ 3.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากข่าว BP ต้องหยุดดำเนินการแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Northstar ที่ Alaska และข่าวอิหร่านออกมาปฏิเสธข้อตกลงในการระงับการทดลองเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม และในช่วงวันที่ 1 -15 มีนาคม ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 58.45 และ 61.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วเนื่องจากตลาดมองว่าสภาพเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่ยังเติบโตได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้และจากข่าว International Enery Agency (IEA) คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2550 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ประมาณร้อยละ 2.7
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเดือนกุมภาพันธ์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 66.80, 65.73 และ 70.61 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 5.21, 5.42 และ 4.53 เหรียญสหรัฐฯต่อ บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบ และข่าวท่อขนส่งน้ำมันสำเร็จรูป บริษัท TEPPCO รั่วส่งผลให้การขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปต่างๆ ต้องหยุดชะงัก ประกอบกับมีการนำน้ำมันเบนซินปริมาณ 400,000 ตัน จากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ไปขายในแถบตะวันตก และช่วงวันที่ 1 - 15 มีนาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 76.39, 74.85 และ 72.09 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วตามราคาน้ำมันดิบ ประกอบกับข่าว Reuter Polls ที่คาดการณ์ปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินอาจลดลง เนื่องจากโรงกลั่นหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา และเวียดนามได้ออกประมูลซื้อน้ำมันดีเซลปริมาณ 20,000 ตัน รวมทั้งเกาหลีมีแผนงดส่งออกน้ำมันดีเซลในเดือนเมษายน
3. ราคาขายปลีกในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 95, 91 เพิ่มขึ้น 1 ครั้ง ปรับราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลดลง 1 ครั้ง และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 เพิ่มขึ้น 1 ครั้ง และปรับลดลง 1 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 แก๊สโซฮอล์ 95, 91 ดีเซลหมุนเร็วบี 5 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 อยู่ที่ระดับ 25.99, 25.19, 24.19, 23.69, 22.44 และ 22.94 บาท/ลิตร ตามลำดับ และช่วงวันที่ 1-15 มีนาคม 2550 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 91เพิ่มขึ้น 4 ครั้ง ปรับราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เพิ่มขึ้น 4 ครั้ง และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 เพิ่มขึ้น 2 ครั้ง และปรับราคาดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง 1 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 แก๊สโซฮอล์ 95, 91 ดีเซลหมุนเร็วบี 5 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 15 มีนาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 27.59, 26.79, 25.59, 25.29, 23.04 และ 23.74 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ราคาน้ำมันในเดือนมีนาคม 2550 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงผันผวน โดยแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 55 - 60 และ 58 - 63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากกรณีความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์และปัญหาการก่อการร้าย ในสามเหลี่ยมไนเจอร์ของไนจีเรีย และคาดว่าน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 68 - 75 และ 63 - 70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากประเทศต่างๆ จะเริ่มสั่งซื้อน้ำมันเพื่อสำรองสำหรับเตรียมไว้ใช้สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยว (Driving season) ตลอดจนจากราคา Naphtha ที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้โรงกลั่นต่างๆในเอเชียหันไปผลิต Naphtha มากขึ้น ประกอบกับโรงกลั่นต่างๆ จะเริ่มปิดเพื่อซ่อมบำรุงประจำปีในช่วงต้นเดือนมีนาคม
5. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ได้ปรับตัวลดลง 21 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 526 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากอุปทานในภูมิภาคมีจำนวนมาก และเดือนมีนาคม ราคาก๊าซ LPG ได้ปรับตัวลดลง 20 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 506 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากความต้องการใช้ของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ลดลง ทำให้อุปทานในภูมิภาคมีจำนวนมาก ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 11.8028 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศอยู่ในระดับ 1.7329 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ส่งออก อยู่ที่ระดับ 3.1621 บาท/กิโลกรัม ส่วนแนวโน้มราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนเมษายน 2550 คาดว่าราคาจะทรงตัวอยู่ในระดับ 500 - 510 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 มีนาคม 2550 มีเงินสดสุทธิ 4,743 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 38,055 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 17,600 ล้านบาท หนี้เงินกู้สถาบันการเงิน 8,344 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระ 1,064 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 11,009 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่ายประจำเดือน 38 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 33,312 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการมอบอำนาจให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้มีอำนาจสั่งการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ ภายใต้ กบง. แทนคณะกรรมการฯ โดยให้รายงานผลให้คณะกรรมการฯ ทราบ ในการประชุมภายหลัง
2. ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2549 - มีนาคม 2550 ประธาน กบง. ได้ลงนามในหนังสือแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. จำนวน 7 คณะ ซึ่งประกอบด้วย คณะอนุกรรมการที่มีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการ และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ จำนวน 5 คณะ ได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตพลังงานจากขยะ (คำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2549) 2) คณะอนุกรรมการเอทานอล (คำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2549) 3) คณะอนุกรรมการ ไบโอดีเซล (คำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2549) 4) คณะอนุกรรมการด้าน มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน (คำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550) 5) คณะอนุกรรมการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ (คำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550) นอกจากนี้คณะอนุกรรมการที่มีปลัดกระทรวงหรือรองปลัดกระทรวง พลังงานที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ และมีผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นอนุกรรมการและเลขานุการฯ คือ 6) คณะอนุกรรมการประสานนโยบายและความร่วมมือพหุภาคีด้านพลังงานกับต่างประเทศ (คำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 1 มีนาคม 2550) และ 7) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (คำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550) โดยมี ผอ.สนพ. เป็นประธานอนุกรรมการ และมีผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ