มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2550 (ครั้งที่ 22)
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2550 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - สิงหาคม 2550)
4. การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
5. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2548 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2549 - 2553 เป็นจำนวนเงินรวม 376,153,400 บาท พร้อมทั้งอนุมัติเงินสนับสนุนจำนวนปีละ 80 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนสำรองกองกลางให้กับหน่วยงานต่างๆ ใช้ เมื่อมีเหตุฉุกเฉินและจำเป็นในช่วงปี 2549 - 2553 เป็นจำนวนเงินรวม 400 ล้านบาท
2. เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมัน (อบน.) ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปี 2550 ให้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) เป็นค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2550 คือ 4,567,400 บาท, 734,600 บาท, 1,381,100 บาท, 21,257,200 บาท และ 12,473,700 บาท ตามลำดับ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 40,414,000 บาท ภายใต้กรอบงบประมาณ ปี 2549 - 2553 ที่ กบง. ได้อนุมัติ ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2550 อบน. ได้มีมติรับทราบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯปีงบประมาณ 2550 ของหน่วยงานต่างๆ และเห็นชอบให้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯปีงบประมาณ 2551-2555 ของหน่วยงานต่างๆ พร้อมทั้งอนุมัติเงินสนับสนุนจำนวนปีละ 200 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนสำรองกองกลางให้กับหน่วยงานต่างๆ ใช้เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน และให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพ. ได้รายงานผลการใช้จ่ายเงินตามที่ได้รับอนุมัติของปีงบประมาณ 2550 ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2550 มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 35,948,545 บาท เงินคงเหลือ 4,465,455 บาท และหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงพลังงานซึ่งประกอบด้วย กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และ สนพ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการต่างๆ เพื่อขอเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการใช้แก้ปัญหาภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2550 โดย กบง. ได้อนุมัติรวมเป็นเงิน 60.750 ล้านบาท จำนวน 4 โครงการ ซึ่งปัจจุบันได้มีการเบิกจ่ายใช้เงินในโครงการไปแล้วจำนวน 5,302,615 บาท
4. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 กบง. ได้มีมติเรื่องข้อเสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้น โดยเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์และดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 1.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็น 4.00 บาท/ลิตร ได้ส่งผลให้มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การชำระหนี้ของกองทุนน้ำมันฯ คาดได้ว่าสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเวลา และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ที่ติดลบอยู่ได้ลดลงตามลำดับ ซึ่งคาดว่ากองทุนน้ำมันฯ จะมีฐานะเป็นบวกในเดือนมกราคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ใหม่ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2550 สนพ. ได้มีหนังสือให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2551 - 2555
5. สำนักงานปลัดกระทรวง>พลังงาน สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพ. ได้ปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2551 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 41,093,000 บาท ดังนี้ คือ
ตารางที่ 1 ประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ 2551
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | หมวดค่าครุภัณฑ์ | หมวดรายจ่ายอื่นๆ | ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | รวม |
1. สป.พน. | 1.2629 | 4.6465 | - | 2.2160 | - | 8.1254 |
2. สนพ. | 0.7731 | 8.3593 | - | 11.4000 | - | 20.5324 |
3. กรมสรรพสามิต | 0.9209 | 0.8303 | 0.3600 | - | - | 2.1112 |
4. กรมศุลกากร | 0.4792 | 0.3880 | - | - | - | 0.8672 |
5. สบพ. | 0.9900 | 0.4968 | - | - | 7.9700 | 9.4568 |
รวม | 4.4261 | 14.7209 | 0.3600 | 13.6160 | 7.9700 | 41.0930 |
5.1 สป.พน. ได้ขอปรับเพิ่มงบดำเนินการหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ ในส่วนค่าจ้างเหมาบริการ คือ 1) จ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการพื้นที่ เป็นจำนวนเงิน 0.9 ล้านบาท เพื่อรับผิดชอบงานด้านการบริหารจัดการพื้นที่โครงการในภาคใต้ 2) ผู้ประสานงานในพื้นที่ 10 ตำแหน่ง จำนวนเงินรวม 0.752 ล้านบาท เพื่อประสานงานในพื้นที่โครงการและให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ และ 3) ในหมวดรายจ่ายอื่นๆ ได้ขอปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศเป็น 2.216 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดเงินรวมขอรับการสนับสนุนของ สป.พน. เพิ่มขึ้นเป็นเงินปีละ 8.1254 ล้านบาท (เดิม 4.5674 ล้านบาท) หรือยอดรวมปี 2551-2555 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 40.6270 ล้านบาท
5.2 สนพ. ขอปรับลดหมวดค่าจ้างชั่วคราวลง และขอปรับเพิ่มงบดำเนินการในหมวดค่าตอบแทนใช้สอย และวัสดุ ในส่วนค่าจ้างเหมาบริการ และในหมวดรายจ่ายอื่นๆ ในการจ้างที่ปรึกษาด้านพลังงานจำนวน 2 อัตรา ดังนั้น สนพ. จะมีค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงินปีละ 20.5324 ล้านบาท (เดิม 21.2572 ล้านบาท) หรือยอดรวม ปี 2551 - 2555 เป็นจำนวนเงิน 102.6620 ล้านบาท
5.3 กรมสรรพสามิต ขอปรับเพิ่มงบลงทุนในหมวดครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง โดยขอจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์เลเซอร์เพิ่ม เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จำนวนเงินรวม 0.36 ล้านบาท ทำให้ยอดเงินค่าใช้จ่ายรวมในปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 2.1112 ล้านบาท (เดิม 1.3811 ล้านบาท) และ มียอดรวมปี 2551-2555 เป็นจำนวนเงิน 9.2156 ล้านบาท
5.4 กรมศุลกากร ขอปรับเพิ่มจำนวนเงินในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2550 ทำให้มียอดค่าใช้จ่ายรวมในปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 0.8672 ล้านบาท (เดิม 0.7346 ล้านบาท) และมียอดรวมปี 2551-2555 เป็นจำนวนเงิน 4.3360 ล้านบาท
5.5 สบพ. ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายการค่าใช้จ่ายในงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ของ สบพ. ในปี 2551 ดังนี้ 1) ขอปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหมวดงบบุคลากร จากค่าจ้างเจ้าหน้าที่จำนวน 4 ตำแหน่ง เป็นค่าจ้างบุคลากรตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฯ 1 ตำแหน่ง ทำให้ค่าใช้จ่ายงบบุคลากรปี 2551 ลดลงเป็น 0.9 ล้านบาท 2) ขอยกเลิกงบประชาสัมพันธ์หน่วยงานระหว่างมีภาระการชำระหนี้ของกองทุนน้ำมันฯ จำนวนเงิน 1 ล้านบาท และ 3) ขอยกเลิกงบค่าสัมมนาและฝึกอบรม จำนวนเงิน 0.4 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดค่าใช้จ่ายรวมในปี 2551 ของ สบพ. ลดลงเหลือ 1.4868 ล้านบาท (เดิม 4.4615 ล้านบาท) โดยมียอดรวมปี 2551-2555 เป็นจำนวนเงิน 8.0647 ล้านบาท
5.6 ในส่วนค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงปี 2551 - 2555 (5 ปี) ของทุกหน่วยงานประมาณ 173.6793 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น สป.พน. จำนวน 40.6270 ล้านบาท สนพ. จำนวน 102.6620 ล้านบาท กรมสรรพสามิต จำนวน 9.2156 ล้านบาท กรมศุลกากร จำนวน 4.3360 ล้านบาท สบพ. จำนวน 8.0647 ล้านบาท ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร จำนวน 8.7740 ล้านบาท
6. นอกจากนี้ในปี 2551 สนพ. และ ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอรับเงินสนับสนุนโครงการจากงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นจำนวน 13 โครงการ ดังนี้
6.1 สนพ. ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 7 โครงการ จำนวนเงินรวม 213 ล้านบาท ได้แก่ 1) โครงการประเมินผลภาพรวมการดำเนินการตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศ ในวงเงิน 10 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน 2) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 3 ในวงเงิน 50 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน 3) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG ในวงเงิน 40 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือน 4) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ด้านนโยบายพลังงาน ในวงเงิน 50 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 - ธันวาคม 2551 5) โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในวงเงิน 30 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน 6) โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน และ 7) การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 ในวงเงิน 3 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 - ธันวาคม 2551
6.2 ธพ. ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 6 โครงการ จำนวนเงินรวม 180.8 ล้านบาท ได้แก่ 1) โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบและตรวจสอบเพื่อการรับรองถังก๊าซธรรมชาติอัด (ถัง CNG) ในประเทศไทย ระยะที่ 2 ในวงเงิน 50 ล้านบาท มีระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2551 2) โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ในวงเงิน 2 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2551 3) โครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 55.8 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2553 4) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านพลังงานตามภารกิจและยุทธศาสตร์ของ กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 60 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2555 5) โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงิน 10 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ 2551 - 2555) และ 6) โครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ในวงเงิน 3 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 - สิงหาคม 2551
7. ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งในปีงบประมาณ 2551 สนพ. และ ธพ. ได้ของบสนับสนุนเพื่อโครงการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2551 เป็นจำนวน 292 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังประสบปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งในด้านการศึกษาวิจัยโครงการต่างๆ เพื่อรองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น สนพ. จึงเห็นควรของบสนับสนุนเพื่อโครงการต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 58 ล้านบาท สำหรับโครงการที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2551 ซึ่งจะทำให้งบสนับสนุนเพื่อโครงการต่างๆ (ค่าใช้จ่ายอื่นๆ) สำหรับค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินปี 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปี 2552 - 2555 เป็นเงินจำนวนปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้
8. สำหรับการประมาณค่าใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2551 - 2555 ประกอบด้วย เงินสนับสนุนให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ำมันฯ รวม 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพ. และค่าใช้จ่ายอื่นๆ สรุปได้ดังนี้
ตารางที่ 2 ประมาณการค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงปี 2551 - 2555 (ขอปรับใหม่)
หน่วย : ล้านบาท
หมวดรายจ่าย | ปีงบประมาณ | รวม 2551-2555 | ||||
พ.ศ. 2551 | พ.ศ. 2552 | พ.ศ. 2553 | พ.ศ. 2554 | พ.ศ. 2555 | ||
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 8.1254 | 8.1254 | 8.1254 | 8.1254 | 8.1254 | 40.6270 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 20.5324 | 20.5324 | 20.5324 | 20.5324 | 20.5324 | 102.6620 |
3. กรมสรรพสามิต | 2.1112 | 1.8011 | 1.7511 | 1.7511 | 1.8011 | 9.2156 |
4. กรมศุลกากร | 0.8672 | 0.8672 | 0.8672 | 0.8672 | 0.8672 | 4.3360 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 1.4868 | 1.5462 | 1.6092 | 1.6759 | 1.7467 | 8.0647 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | 7.9700 | 0.8040 | - | - | - | 8.7740 |
รวมค่าใช้จ่ายของหน่วยงานต่างๆ | 41.0930 | 33.6763 | 32.8853 | 32.9520 | 33.0728 | 173.6793 |
7. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 350.0000 | 300.000 | 300.000 | 300.000 | 300.000 | 1550.0000 |
รวมทั้งสิ้น (1 - 7) | 391.0930 | 333.6763 | 332.8853 | 332.9520 | 333.0728 | 1723.6793 |
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2550 ของหน่วยงานต่างๆ
2. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 173,679,300 บาท (หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามล้านหกแสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามร้อยบาทถ้วน) พร้อมทั้งเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามรายละเอียดในตารางที่ 2
1. เห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน จำนวน 7 โครงการ เป็นจำนวนเงินรวม 213 ล้านบาท (สองร้อยสิบสามล้านบาทถ้วน) ตามรายละเอียดดังนี้
3.1 โครงการประเมินผลภาพรวมการดำเนินการตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศ ในวงเงิน 10 ล้านบาท (สิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 3 ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
3.3 โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG ในวงเงิน 40 ล้านบาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือนนับจากวันที่ลงนามในสัญญา
3.4 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 - ธันวาคม 2551
3.5 โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
3.6 โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
3.7 การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 ได้แก่ 1) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 2) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG และ 3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ในวงเงิน 3 ล้านบาท (สามล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 - ธันวาคม 2551
2. เห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของ กรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 6 โครงการ เป็นจำนวนเงินรวม 180.8 ล้านบาท (หนึ่งร้อยแปดสิบล้านแปดแสนบาทถ้วน) ตามรายละเอียดดังนี้
4.1 โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบและตรวจสอบเพื่อการรับรองถังก๊าซธรรมชาติอัด (ถัง CNG) ในประเทศไทย ระยะที่ 2 ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2551
4.2 โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ในวงเงิน 2 ล้านบาท (สองล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2551
4.3 โครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 55.8 ล้านบาท (ห้าสิบห้าล้านแปดแสนบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2553
4.4 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านพลังงานตามภารกิจและยุทธศาสตร์ของกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 60 ล้านบาท (หกสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2555
4.5 โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงิน 10 ล้านบาท (สิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ 2551 - 2555)
4.6 โครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ในวงเงิน 3 ล้านบาท (สามล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนกันยายน 2550 - สิงหาคม 2551
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในหมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงาน สู่การปฏิบัติเป็นจำนวนเงิน 23,500,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนธันวาคม 2549 - พฤศจิกายน 2550 โดยอนุมัติในส่วนงบรายจ่ายอื่นของโครงการฯ ให้เป็นค่าโครงการศึกษาวิจัย จำนวน 3,000,000 บาท และต่อมาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 กบง. ได้มีมติให้ สนพ. แก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ในส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการศึกษาวิจัยเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการศึกษาวิจัย จำนวน 2,224,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศึกษา ดูงานในต่างประเทศ จำนวนเงิน 776,000 บาท
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2550 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานและเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ จากระหว่างเดือนธันวาคม 2549 - พฤศจิกายน 2550 เป็นระหว่างเดือนธันวาคม 2549 - มีนาคม 2551 ภายใต้วงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติ
3. รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมและผลักดันให้มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ในประเทศ โดยกำหนดเป้าหมายให้มี ยอดจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ในปริมาณ 0.8 - 1.0 ล้านลิตรต่อวัน ภายในปี 2550 ดังนั้นเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายและแผนที่วางไว้ สนพ. ในฐานะเป็นหน่วยงานเสนอแนะนโยบายด้านพลังงานของประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ระบบบริหารจัดการในการผลิตเอทานอลและน้ำมันแก๊สโซฮอล์ การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และแนวทางการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค โดยการศึกษาจากประสบการณ์การส่งเสริม การใช้เอทานอลในประเทศต่างๆ ที่ประสบผลสำเร็จ สนพ. จึงขอเปลี่ยนแปลงงบค่าใช้จ่ายของโครงการสนับสนุนประสานผลักดันฯ ในงบรายจ่ายอื่น โครงการศึกษาวิจัย จำนวน 2,224,000 บาท (สองล้านสองแสนสองหมื่นสี่พันบาทถ้วน) เป็นงบรายจ่ายอื่น การศึกษาดูงานในต่างประเทศ จำนวน 2,224,000 บาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน แก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการสนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในหมวดงบรายจ่ายอื่น จากเดิม "ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการศึกษาวิจัย จำนวน 2,224,000 บาท" เปลี่ยนเป็น "ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาและดูงานในต่างประเทศ จำนวน 2,224,000 บาท (สองล้านสองแสนสองหมื่นสี่พันบาทถ้วน)"
เรื่องที่ 3 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - สิงหาคม 2550)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 67.55 และ 72.73 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2.94 และ 5.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากในเดือนมิถุนายนเกิดก่อการร้ายในประเทศไนจีเรีย ส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตน้ำมันดิบ รวม 82,000 บาร์เรลต่อวัน และเดือนกรกฎาคมบริษัทเชลล์ไนจีเรียหยุดการผลิตน้ำมันดิบบริเวณ Western Delta ทำให้กำลังการผลิตของเชลล์ไนจีเรียลดลงรวม 475,000 บาร์เรลต่อวัน ประกอบกับรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอิหร่านแถลงว่าโอเปคอาจจะไม่พิจารณาเพิ่มการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนกันยายน 2550
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 82.43 และ 81.41 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากเดือนพฤษภาคม 6.34 และ 6.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากโรงกลั่น 6 แห่งในญี่ปุ่นมีแผนเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินในเดือนกรกฎาคม 2550 ประกอบกับโรงกลั่นของสหรัฐอเมริกากลับมาดำเนินการหลังปิดฉุกเฉินและปิดซ่อมบำรุง อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากข่าว Oman Refinery Company ออกประมูลซื้อน้ำมันเบนซิน 95 ปริมาณ 183,000 บาร์เรล และจีนมีแผนลดการส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนสิงหาคม 2550 ลงประมาณ 50,000 ตัน แต่ราคาน้ำมันในเดือนสิงหาคมได้ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบและสภาพอากาศที่เย็นลง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในรถยนต์ของญี่ปุ่นลดลง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 83.51 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 1.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากมีความต้องการซื้อน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.05% ในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจากเวียดนาม ซึ่งประกาศเปลี่ยนคุณภาพน้ำมันดีเซลสำหรับรถยนต์จากเดิมกำมะถัน 0.25% เป็น 0.05% เริ่มบังคับใช้ 1 กรกฎาคม 2550 และ Arbitrage Cargoes จากเอเชียไปขายยังชิลีและยุโรป ประกอบกับบริษัทผู้ค้าน้ำมันหลายรายชะลอการเข้าซื้อน้ำมันดีเซล และมี Gasoil Cargoes จากอินเดียและตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเป็นระยะๆ
3. สำหรับช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 ราคาขายปลีกน้ำมันได้ถูกปรับราคาหลายครั้ง ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล์ 95, 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็วบี 5 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 29.46, 28.66, 26.04, 25.46, 25.46 และ 24.76 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนพฤษภาคม 0.53, 0.53, 0.82, 1.10, 0.12 และ 0.12 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนกันยายน 2550 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนตามกระแสข่าว ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 65 - 75 และ 70 - 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 75 - 85 และ 80 - 90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวและสภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน
5. สำหรับสถานการณ์ LPG ช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 24 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อยู่ที่ระดับ 590 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซิน ประกอบกับความต้องการซื้อในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี และ Platts คาดการณ์ความต้องการใช้ LPG เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในเอเชียเหนือจะทรงตัวในระดับสูง โดยเดือนกันยายนราคา ก๊าซ LPG ในตลาดโลกจะปรับตัวลดลง 22 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อยู่ที่ระดับ 568 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 10.9706 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศอยู่ที่ระดับ 0.9007 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 276.70 ล้านบาทต่อเดือน อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ส่งออก อยู่ที่ระดับ 4.3043 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 30.13 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนตุลาคม คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 575 - 583 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เดือนสิงหาคม 2550 การผลิตและการจำหน่ายเอทานอลมีปริมาณรวม 0.48 และ 0.41 ล้านลิตร>ต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการจำนวน 7 ราย แต่ผลิตเอทานอลเพียง 5 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพในไตรมาสที่ 1, 2 และ 3 ปี 2550 อยู่ที่ลิตรละ 19.33, 18.62 และ 16.82 ตามลำดับ ส่วนไตรมาส 4 มีแนวโน้มลดลงอยู่ที่ลิตรละ 16.00 บาท ขณะที่ปริมาณเอทานอลสำรองของผู้ค้าน้ำมัน 21.47 ล้านลิตร ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2550 ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ในเดือนมิถุนายน - สิงหาคม มีปริมาณรวม 4.10, 4.08 และ 4.11 ล้านลิตร>ต่อวัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมัน ที่จำหน่ายจำนวน 11 บริษัท และสถานีบริการ 3,557 แห่ง ขณะเดียวกัน ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณการจำหน่าย 0.58, 0.61 และ 0.70ล้านลิตรต่อ>วัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่ายจำนวน 3 บริษัท และสถานีบริการรวม 654 แห่ง
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนสิงหาคม 2550 มีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของ กรมธุรกิจพลังงานจำนวน 6 ราย กำลังการผลิตได้รวม 1,250,000 ลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 อยู่ที่ 30.95, 29.66 และ 29.43 บาทต่อ>ลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวน 1.50, 1.67 และ 1.85 ล้านลิตรต่อวัน หรือใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 75,000 83,500 และ 92,500 ลิตรต่อ>วัน ตามลำดับ โดยมีบริษัทที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 2 ราย คือ ปตท. และบางจาก สถานีบริการรวม 770 สถานี ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 25.04 บาทต่อ>ลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เท่ากับ 1.00 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2550 มีเงินสดสุทธิ 14,807 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระ 27,907 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 17,600 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระ 990 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 8,556 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 2 และ 3 ปี) 761 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 13,100 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมฯ รับทราบ และเห็นชอบให้นำแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหลังสิ้นสุดภาระการชำระหนี้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
เรื่องที่ 4 การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2536 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้มีการกำกับดูแลการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้ใช้ราคาขายปลีกของบริษัทน้ำมัน ในกรุงเทพมหานครบวกด้วยค่าขนส่งตามบัญชีค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเกณฑ์กลางในการพิจารณา ทั้งนี้ ให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดและสำนักงานการค้าภายในจังหวัดใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นแนวในการคำนวณราคาขายปลีกที่เหมาะสมของจังหวัดต่างๆ
2. ปัจจุบันการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก โดยเฉพาะในประเด็นดังต่อไปนี้ คือ 1) ค่าขนส่งที่สูงขึ้น บัญชีความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ที่ใช้ในปัจจุบันใช้ค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 12 บาทต่อลิตร เป็นฐานซึ่งเป็นระดับราคาในช่วงปี 2546 แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นจากเดิมเคลื่อนไหวในช่วงค่อนข้างกว้างที่ระดับ 20 - 25 บาทต่อลิตร ซึ่งมีผลให้ค่าขนส่งตามบัญชีเดิมอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก และได้มีการร้องเรียนให้แก้ไขอัตราค่าขนส่งอ้างอิงที่รัฐใช้ในการกำกับดูแล 2) การเปลี่ยนแปลงของเส้นทางการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปี 2544 ได้เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการสร้างเส้นทางคมนาคมใหม่ๆ มากขึ้น ทำให้ต้นทุนขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
3. เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 กระทรวงพลังงานได้มีคำสั่งที่ 34/2548 เรื่องแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค เพื่อทำหน้าที่กำกับศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่าง โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) เป็นประธานคณะทำงาน ต่อมาในการประชุมคณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีฯ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2548 ได้มีมติคือ 1) ให้สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยดำเนินการศึกษาบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคใหม่ โดยให้แล้วเสร็จภายในปี 2549 2) ให้สถาบันปิโตรเลียมฯ ดำเนินการศึกษาอัตราความแตกต่างชั่วคราวในระหว่างที่การศึกษาบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยใช้แบบจำลองเดิมแต่คำนึงถึงปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไป และ 3) ให้กระทรวงพลังงานศึกษาแผนแม่บทการขนส่งพลังงานทั้งระบบเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงวิธีการขนส่งในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ในการประชุมคณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีฯ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2549 ได้มีมติเห็นชอบบัญชี ค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคที่ใช้เป็นอัตราความแตกต่างชั่วคราวระหว่างที่การศึกษายังไม่แล้วเสร็จ โดยใช้สมมติฐาน ณ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 24 บาทต่อลิตร และสัดส่วนของขนาดรถบรรทุกน้ำมันระหว่าง 15,000 ลิตร และ 30,000 ลิตร คือ 70:30 โดยดำเนินการปรับความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคตามบัญชีชั่วคราว ผู้ค้าน้ำมันเป็นผู้ดำเนินการตามภาวะตลาดในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยอยู่ภายใต้การกำกับของ สนพ. และกรมการค้าภายใน
5. เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2549 สนพ. ร่วมกับกรมการค้าภายใน สถาบันปิโตรเลียมฯ และผู้ค้าน้ำมัน ได้ดำเนินการปรับเพิ่มอัตราบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคจากฐานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ระดับ 12.5 บาทต่อลิตร เป็นระดับ 24 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าขนส่งของภูมิภาคในระยะทาง 50 กิโลเมตรเพิ่มขึ้น 4 สตางค์ต่อลิตร และค่าขนส่งของพื้นที่ในระยะทางที่ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร เพิ่มขึ้น 18 สตางค์ต่อลิตร ดังนั้นอัตราค่าขนส่งในการปรับบัญชีฯ ชั่วคราวเพิ่มขึ้น 4 - 18 สตางค์ต่อลิตร ต่อมาสถาบันปิโตรเลียมฯ ได้ทำการศึกษาบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค โดยศึกษาครอบคลุมทุกปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่าขนส่งเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่เนื่องจากปัจจุบันการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก โดยเฉพาะประเด็นดังต่อไปนี้ 1) จุดเริ่มต้นในบัญชี ค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค เดิมใช้จุดเริ่มต้นคือคลังน้ำมันช่องนนทรี ยกเว้นภาคใต้และภาคตะวันตกที่ขนส่งจากศรีราชา แต่ปัจจุบันคลังน้ำมันช่องนนทรีมีการจ่ายน้ำมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงมีการปรับจุดเริ่มต้นใหม่ โดยภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสานรับน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมัน ศรีราชา ภาคตะวันออกและจังหวัดใกล้เคียงรับน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมันศรีราชาหรือมาบตาพุด ขึ้นกับระยะทางที่ใกล้ที่สุด และภาคใต้รับน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมันศรีราชาและมาบตาพุดตามสัดส่วน Refinery capacity (42% : 58%) 2) การเปลี่ยนแปลงของเส้นทางขนส่ง โดยหลังปี 2544 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นผลจากการพัฒนาระบบการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น โดยที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางบางจังหวัดและภาคใต้ กำหนดให้รับจากคลังน้ำมันอ้างอิงที่ใกล้อำเภอนั้นมากที่สุด ส่วนกรุงเทพฯ ภาคตะวันออกและจังหวัดใกล้เคียง (ภาคกลางบางจังหวัด) กำหนดให้รับจากโรงกลั่นน้ำมันที่ใกล้อำเภอนั้นมากที่สุด
6. การคำนวณระยะทางถนนโดยใช้ระบบ GIS ของกรมทางหลวงหาระยะทางระหว่างอำเภอ โดยคิดระยะทาง 2 ช่วง คือ 1)ระยะทางจากโรงกลั่นน้ำมันศรีราชาหรือมาบตาพุดถึงคลังน้ำมันอ้างอิง และ 2) ระยะทางจากคลังน้ำมันอ้างอิงไปยังอำเภอต่างๆ แล้วนำมารวมกันเพื่อให้ได้ระยะทางจากจุดเริ่มต้นถึงปลายทางที่รถบรรทุกน้ำมันวิ่งผ่านก่อนนำค่าไปใช้ในการคำนวณค่าขนส่งทางรถบรรทุก โดยยกเว้น 1) ภาคตะวันออกและจังหวัดใกล้เคียงกับจุดเริ่มต้นซึ่งจะคิดระยะทางจากโรงกลั่นน้ำมันศรีราชาหรือมาบตาพุดไปได้โดยตรง 2) ภาคใต้และภาคตะวันตก ซึ่งคิดระยะทางเฉพาะจากคลังน้ำมันอ้างอิงไปยังอำเภอต่างๆ เท่านั้นเนื่องจากการขนออกจากโรงกลั่นน้ำมันทางเรือ การปรับอัตราค่าขนส่งมาตรฐานราคาน้ำมันดีเซล จากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 12.5 บาท/ลิตร เป็น 24 บาท/ลิตร และการเปลี่ยนขนาดบรรทุกของรถขนาด 15,000 ลิตร และ 30,000 ลิตร โดยสัดส่วน 70:30 เป็นขนาดบรรทุกของรถ 16,000 ลิตร และ 32,000 ลิตร เป็นสัดส่วน 30:70 ส่งผลให้ค่าขนส่งจากจุดเริ่มต้นถึงสถานีบริการอำเภอปลายทางเป็นดังนี้
ตารางเปรียบเทียบบัญชีความแตกต่างฯ หม่กับบัญชีชั่วคราว
หน่วย : สตางค์/ลิตร
ภาค | บัญชีความแตกต่างฯ ใหม่ | เปรียบเทียบกับบัญชีชั่วคราว (+/-) | ||||
ต่ำสุด | สูงสุด | เฉลี่ย | ต่ำสุด | สูงสุด | เฉลี่ย | |
ภาคเหนือตอนบน | 61 | 118 | 84 | -5 | 15 | 8 |
ภาคเหนือตอนล่าง | 30 | 134 | 47 | -10 | 10 | 3 |
ภาคอีสานตอนบน | 45 | 83 | 63 | -11 | 16 | 2 |
ภาคอีสานตอนล่าง | 18 | 79 | 51 | -4 | 15 | 5 |
ภาคกลาง | 12 | 31 | 20 | -2 | 9 | 2 |
ภาคตะวันออก | -1 | 27 | 10 | -12 | 7 | -3 |
กรุงเทพฯ | - | - | - | - | - | - |
ปริมณฑล | - | - | - | - | - | - |
ภาคตะวันตก | 10 | 43 | 21 | -3 | 13 | 4 |
ภาคใต้ตอนบน | 31 | 55 | 43 | -5 | 13 | 3 |
ภาคใต้ตอนล่าง | 32 | 57 | 44 | -2 | 15 | 4 |
7. ต่อมาเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2550 คณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค ได้มีมติเห็นชอบบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพกับส่วนภูมิภาค และให้มีการทบทวนบัญชีความแตกต่างฯ ทุก 1 ปี เพื่อให้บัญชีที่ใช้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยมอบหมายให้ สนพ. และกรมการค้าภายใน เป็นผู้พิจารณาดำเนินการปรับส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ จากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น คาดว่าจะสามารถปรับส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดในไตรมาสที่ 2 ปี 2551
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทำการทบทวนบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคในรายละเอียดให้ถูกต้องและชัดเจน และนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการมอบอำนาจให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้มีอำนาจสั่งการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ ภายใต้ กบง. แทนคณะกรรมการฯ โดยให้รายงานผลให้คณะกรรมการฯ ทราบ ในการประชุมภายหลัง
2. ในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2550 ประธาน กบง. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้ กบง. 5 คณะ ซึ่งประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน มีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ โดยมีคำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2550 2) คณะอนุกรรมการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานหรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ และ ผอ.สนพ. หรือผู้แทนเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ โดยมีคำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2550 3) คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน มีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการร่วม และผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ โดยมีคำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2550 4) คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการจากเดิม "รองปลัดกระทรวงพลังงานซึ่งปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ" เป็น "ปลัดกระทรวงพลังงานหรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ" โดยสั่ง ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2550 และ 5) คณะอนุกรรมการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า มีปลัดกระทรวงพลังงานหรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ โดยมีคำสั่งแต่งตั้ง ณ วันที่ 4 กันยายน 2550
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ