มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 75)
วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2543 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
3.ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
4.ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชน ในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
5.ราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในช่วง 10 วันแรกของเดือนเมษายนลดลง 3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากผลการประชุมตกลงเพิ่มเป้าหมายการผลิตในกลุ่มประเทศโอเปคเป็น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน หลังจากนั้นราคาน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้น 1.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ได้คาดการณ์ไว้ และหากปริมาณน้ำมันในตลาดโลกไม่เพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อให้พอเพียงกับความต้องการในระดับ 77 ล้านบาร์เรล/วันแล้ว ในช่วงปลายปีราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับปริมาณสำรองทางการค้า ของน้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ในระดับต่ำได้ลดลงไปอีกจึงมีผลให้ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบในปลายสัปดาห์ที่สามของเดือนอยู่ในระดับ 22.3 - 27.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในเดือนเมษายน ปรับตัวอยู่ในทิศทางเดียวกับน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันเบนซินในช่วง 10 วันแรก ปรับตัวลดลง 2.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่จากปริมาณสำรอง ทางการค้าของน้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาได้ลดลง ทำให้ความต้องการนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น และความต้องการใช้เชื้อเพลิงที่เริ่มสูงขึ้นตามสภาพอากาศที่อุ่นขึ้น ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้น 3.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 ขึ้นไปอยู่ในระดับ 29.5 และ 28.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ส่วนน้ำมันดีเซล ก๊าด และเตา ราคาได้ลดลงตามปริมาณความต้องการที่ลดลง 3.4, 0.6 และ 3.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 26.1, 28.8 และ 24.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยในเดือนเมษายนปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินทุกชนิดปรับลง 3 ครั้ง รวม 0.70 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วปรับลง 4 ครั้ง รวม 1.05 บาท/ลิตร มีผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็ว ในวันที่ 20 เมษายน 2543 อยู่ในระดับ 13.99, 12.99, 12.57 และ 11.12 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง ทำให้ผู้ค้ามีความยืดหยุ่นในการปรับราคาขายปลีก ส่งผลให้ค่าการตลาดในเดือนเมษายนปรับขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับปี 2541 คือ 1.29 บาท/ลิตร ในขณะที่ความ เคลื่อนไหวของราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์อยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่าการกลั่นจึงได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 0.9068 บาท/ ลิตร
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนเมษายน 2543 ลดลง 23 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ในระดับ 302 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ทำให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศอยู่ในระดับ 11.52 บาท/กิโลกรัม โดยมีอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 6.87 บาท/กิโลกรัม และราคามีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงในเดือนพฤษภาคมมาอยู่ในระดับ 265 - 270 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งจะทำให้อัตราเงินชดเชยจากกองทุน น้ำมันฯ ลดลงประมาณ 1.30 บาท/กิโลกรัม
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นเดือนเมษายนอยู่ในระดับ 1,525 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ให้สามารถตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้นานยิ่งขึ้น จึงได้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 0.10 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2543 และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล 0.15 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2543 ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นเป็น 378 ล้านบาท/เดือน ซึ่งเมื่อคำนึงถึงแนวโน้มราคาก๊าซที่จะลดลงในเดือนพฤษภาคมแล้ว คาดว่าจะสามารถตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้นานประมาณ 4 เดือน
7. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้เตรียมมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สามารถตรึง ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้นานขึ้น ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2543 โดยมีแนวทางในการดำเนินการ ดังนี้
(1) การปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจุบันอัตราเงินส่งเข้ากองทุน น้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตา เท่ากับ 0.25, 0.10, 0.15 และ 0.06 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับรวม 378 ล้านบาท/เดือน และหากปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตาในระดับ 0.10 บาท/ลิตร จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 61, 125 และ 61 ล้านบาท/เดือน
(2) การปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยใช้ฐานที่ต่ำกว่าราคาเปโตรมิน (CP) ในระดับต่างๆ กันคือ CP-10, CP-15, CP-20 และ CP-30 เหรียญสหรัฐฯ จะทำให้อัตราเงินชดเชยของก๊าซฯ ลดลง 0.38, 0.57, 0.76 และ 1.14 บาท/กิโลกรัม หรือลดลง 48, 73, 97 และ 145 ล้านบาท/เดือน ตามลำดับ
(3) การปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 มอบอำนาจให้ สพช. เป็นผู้ดำเนินการปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้รักษาระดับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับ 1,800 - 4,000 ล้านบาท หรือ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต้องอยู่ในระดับพอเพียงกับการสนับสนุนรายจ่ายไม่ต่ำกว่า 4 เดือน และกำหนดขอบเขตการเปลี่ยนแปลงราคา ขายส่งที่สามารถปรับได้ทันทีครั้งละไม่เกิน 1 บาท/ลิตร หากนอกขอบเขตที่กำหนดให้ขออนุมัติจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก่อน การขึ้นราคาขายส่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มในระดับ 0.10 -1.00 บาท/กิโลกรัม จะส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นในระดับเดียวกัน และอัตราชดเชยก๊าซฯ จะลดลงในระดับ 0.09-0.93 บาท/กิโลกรัม หรือ ลดลงในระดับ 12-119 ล้านบาท/เดือน
8. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้จัดทำแถลงการณ์แสดงความชื่นชมต่อการตัดสินใจเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันของ โอเปคส่งผ่านไปยังสื่อต่างๆ และได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีพลังงานสหรัฐอเมริกา (Mr. Bill Richardson) ซึ่งจะเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคในเดือนพฤษภาคม 2543 นี้ โดยเสนอให้มีการหยิบยกประเด็นในเรื่องความมั่นคงทางด้านพลังงานและความแตก ต่างของราคา น้ำมันดิบที่กลุ่มโอเปคส่งออกมายังประเทศแถบเอเชียและตะวันออกไกลซึ่งมีราคา สูงกว่าที่ส่งออกไปยังประเทศแถบยุโรปขึ้นหารือในที่ประชุมด้วย นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือถึงประเทศสหรัฐ อเมริกา เม็กซิโก บาห์เรน และอินโดนีเชีย ในการส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดดุลยภาพในการผลิตและการ บริโภคน้ำมัน รวมทั้ง การสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมันให้เกิดขึ้นในโลก
9. คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2543 ได้มีการพิจารณาค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมีมติเห็นชอบให้ปรับค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2543 เท่ากับ 61.52 สตางค์/หน่วย หรือเพิ่มขึ้นจากเดิม 5.20 สตางค์/หน่วย ซึ่งการปรับค่า Ft ดังกล่าว จะมีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าน้อยมากโดยค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชน จะเพิ่มขึ้นจาก 2.23 บาท/หน่วย เป็น 2.28 บาท/หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.33
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
2.มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปพิจารณาความเหมาะสมของการใช้แต่ละแนวทางในการแก้ไขปัญหากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงติดลบ โดยเห็นว่าการให้ประชาชนรับทราบต้นทุนที่แท้จริง และใช้แนวทางในการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นแนวทางที่ควรดำเนินการ
3.มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปจัดทำรายงานความคืบหน้าในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนจากวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตรให้ที่ประชุมทราบในการประชุมคราวต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการ ยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว" และการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งตามแนวทางและขั้นตอนดังกล่าวต้องมีการดำเนินการส่งเสริมการแข่งขันใน ระบบการค้าเสรี การปรับปรุงระบบความปลอดภัย การแก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค การเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจสอบจับกุมผู้กระทำผิด และการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ โรงบรรจุ ร้านค้าปลีก รวมถึงประชาชน ผู้บริโภคทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจในการปรับปรุงระบบการค้าและเข้าใจใน มาตรฐานความปลอดภัยของก๊าซปิโตรเลียมเหลวมากขึ้น
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามแนวทางและขั้นตอนดังกล่าวข้าง ต้น ซึ่งมีความคืบหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
2.1 การยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ได้จัดประชุมสัมมนาสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติของหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องในระดับจังหวัด เพื่อทำความเข้าใจในนโยบายและซักซ้อมวิธีปฏิบัติ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2542 จำนวน 5 ครั้ง ในเขตกรุงเทพฯ และทุกภูมิภาค รวมทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ เป็นระยะๆ นอกจากนี้ ได้มีการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่น ราคานำเข้า การปรับราคาขายส่งและค่าการตลาดเป็นระยะๆ เพื่อให้สอดคล้องกับราคาในตลาดโลก
(2) กรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ฉบับที่ 258 พ.ศ. 2542 กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซและร้านค้าก๊าซปิดป้ายแสดงราคา ณ สถานที่จำหน่าย เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2542 เป็นต้นมา และต่อมาได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ฉบับที่ 259 พ.ศ. 2542 กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซและร้านค้าก๊าซในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต้องแจ้งราคาขายส่ง ณ โรงบรรจุ และราคาขายปลีก ณ ร้านค้าก๊าซต่อกรมการค้าภายใน ส่วนต่างจังหวัดให้แจ้งต่อสำนักงานการค้าภายในจังหวัด และจากการส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจร้านค้าก๊าซพบว่าส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือใน การปรับลดราคาขายปลีกตามนโยบายราคาก๊าซลอยตัวของรัฐเป็นอย่างดี
2.2 การส่งเสริมการแข่งขัน ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ร่วมกับกรมทะเบียนการค้า ได้ศึกษาแนวทางการแยกเงื่อนไขของผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ออกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 รวมถึงศึกษาเงื่อนไขของการเป็นผู้ค้าก๊าซฯ ที่เหมาะสม ทั้งปริมาณการค้าและมาตรการดูแลการเข้าสู่ธุรกิจและการจะออกจากธุรกิจที่ เข้มงวด เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องรับภาระจากการเลิกกิจการ โดยในขั้นนี้ได้มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ให้กำหนดปริมาณการค้าขั้นต่ำของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพียงปีละ 50,000 เมตริกตัน จากเดิม 100,000 เมตริกตัน ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
(2) กรมโยธาธิการได้ออกประกาศกรมโยธาธิการ เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทที่ 1 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 เพื่อกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถจำหน่ายก๊าซหุงต้มได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการแข่งขันการจำหน่ายก๊าซหุงต้มในระดับค้าปลีก
2.3 การแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมในระบบการค้า ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ได้นำเสนอนายกรัฐมนตรี ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2542 ลงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2542 แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2540 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 12 กันยายน 2540 เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ในระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้มีความเป็นธรรม โดยกำหนดให้ผู้ค้าก๊าซต้องรับผิดชอบการบรรจุก๊าซลงถังก๊าซหุงต้มภายใต้ เครื่องหมายการค้าของตน และการบรรจุก๊าซเต็มตามน้ำหนัก
(2) กรมทะเบียนการค้าได้ออกประกาศ เรื่อง ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 รายอื่น หรือ ผู้บรรจุก๊าซรายใด เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2542 เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มจัดให้มีการบรรจุก๊าซหุงต้ม สามารถมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 รายอื่นหรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้ และเพื่อให้การบรรจุก๊าซต้องทำการปิดผนึกวาล์วถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่ บรรจุก๊าซ และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวผู้บรรจุก๊าซแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม
(3) สพช. ร่วมกับหน่วยปฏิบัติได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมกันดำเนินการตรวจสอบ จับกุมผู้กระทำผิดที่ไม่ปฏิบัติตามประกาศกรมทะเบียนการค้า ประกอบด้วย คณะที่ 1 ทำหน้าที่ตรวจสอบแทนกันในส่วนกลาง คณะที่ 2 ทำหน้าที่ตรวจสอบแทนกันในส่วนภูมิภาค และคณะที่ 3 ทำหน้าที่ปราบปรามและป้องกันการผลิตถังขาวเพื่อจำหน่ายในประเทศของโรงงาน ผลิตถังก๊าซหุงต้มทั่วประเทศ นอกจากนี้ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับแลกเปลี่ยนถังก๊าซหุงต้มขึ้นทั้งในระดับ จังหวัดและระดับประเทศ เพื่อทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย และเร่งรัดการแลกเปลี่ยนถังก๊าซหุงต้มระหว่างโรงบรรจุในจังหวัด เพื่อลดปัญหาในจังหวัดให้เหลือน้อยที่สุดแล้วแจ้งปัญหาของจังหวัดที่เหลือ อยู่มายังคณะกรรมการระดับประเทศ เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้คณะกรรมการระดับประเทศจะทำหน้าที่กำกับดูแลการใช้เงินค่าการตลาดใน การแก้ไขปัญหาการแลกเปลี่ยนถัง การซ่อมบำรุงถัง และการแก้ปัญหาถังขาวในระยะยาว
(4) กรมโยธาธิการมีแผนงานที่จะดำเนินการตรวจสอบจับกุมผุ้กระทำผิดตามคำสั่งนายก รัฐมนตรีที่ 2/2542 อย่างเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2543 เป็นต้นไป ใน 7 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม เนื่องจากได้มีการสำรวจพบว่าทั้ง 7 จังหวัดมีความพร้อมที่จะดำเนินการบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังที่ได้รับอนุญาตได้ ทันที โดยไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนถังก๊าซหุงต้มไม่เพียงพอ
2.4 การคุ้มครองผู้บริโภค ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง "ให้ธุรกิจก๊าซหุงต้มที่เรียกเงินประกันถังก๊าซหุงต้มเป็นธุรกิจที่ควบคุม รายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. 2542" โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดให้มีหลักฐานการรับเงิน และมอบให้แก่ผู้บริโภคในทันทีที่รับเงินประกันจาก-ผู้บริโภคที่ซื้อก๊าซหุง ต้ม และหลักฐานที่ออกให้แก่ผู้บริโภคต้องมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถเห็นและ อ่านได้ชัดเจน รวมทั้ง ข้อความที่ระบุให้ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับคืนเงินประกันเมื่อผู้บริโภคนำถัง ก๊าซหุงต้มคืนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ
(2) คณะกรรมการวิชาการที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำมาตรฐานถังก๊าซปิโตรเลียม เหลว สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ได้จัดทำร่างแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวเสร็จ เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อนุมัติใช้เป็นกฎหมายบังคับต่อไป เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถทำความเข้าใจข้อความต่างๆ บนถังก๊าซหุงต้มได้ซึ่งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในทางหนึ่ง
2.5 การปรับปรุงระบบความปลอดภัย ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ได้ประสานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้มีการออกระเบียบกำหนดให้โรงงานผลิตถังก๊าซหุงต้มที่ผลิตเพื่อจำหน่ายใน ประเทศ ต้องผลิตถังก๊าซหุงต้มตามคำสั่งซื้อของผู้ค้าก๊าซฯ (ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6) เท่านั้น รวมทั้ง ให้มีการแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถังก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยการกำหนดให้ถังก๊าซหุงต้มต้องมีชื่อหรือเครื่องหมายของผู้ค้าน้ำมันตาม มาตรา 6 ไว้ที่โกร่งกำบัง เพื่อเป็นการกำกับให้ทราบถึงการผลิตถังก๊าซจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการที่ไม่ ใช่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 จะมีความผิดตามกฎหมาย
(2) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางซึ่งเป็นแกนนำในการดำเนินการปราบปราม และป้องกันการผลิตถังขาวเพื่อจำหน่ายในประเทศ ได้มีการเฝ้าตรวจสอบโรงงานผลิตถังก๊าซหุงต้ม จำนวน 6 โรงทั่วประเทศ
(3) สพช. ได้ประสานงานกับกรมโยธาธิการ ผ่อนผันให้โรงบรรจุสามารถบรรจุก๊าซหุงต้ม ลงถังขาวได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2543 เพื่อให้ผู้ค้าก๊าซ ผู้ประกอบการ โรงบรรจุ และผู้บริโภคที่ถือถังขาว มีระยะเวลาของการปรับตัว และให้ระยะเวลาสำหรับผู้ค้าก๊าซที่จะรับแลกถังขาวจากผู้บริโภค แต่เนื่องจากการขจัด ถังขาวจะกระทำได้เมื่อผ่านขั้นตอนการจัดระบบการค้าให้โรงบรรจุไม่มีการบรรจุ ก๊าซหุงต้มลงถังก๊าซหุงต้มที่ ตนเองไม่ได้รับอนุญาตให้บรรจุได้ตามกฎหมายเสียก่อน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้ผู้บริโภคใช้ถังขาวต่อไปได้อีกระยะหนึ่งเพื่อเป็นการบรรเทา ผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ใช้ถังขาวอยู่ในขณะนี้ โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2543 พิจารณาผ่อนผันให้ผู้ประกอบการโรงบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว สามารถบรรจุก๊าซฯ ลงถังขาวต่อไปได้อีก 1 ปี อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในชั้นต้น กรมโยธาธิการยินยอมผ่อนผันให้โรงบรรจุก๊าซฯ สามารถบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังขาวที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ม.อ.ก.) เท่านั้น และจะดำเนินการตรวจจับการบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังขาวที่ไม่มี ม.อ.ก. อย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2543 เป็นต้นไป
(4) สพช. จะเริ่มดำเนินการจัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามโครงการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการใช้ก๊าซหุงต้มประมาณกลางปี 2543 นี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนผู้บริโภคที่ถือครองถังขาวอยู่ในปัจจุบัน ให้มีความกังวลและคำนึงถึงความปลอดภัยจากการใช้ก๊าซหุงต้ม
-2.6 มาตรฐานความปลอดภัย ได้มีการออกคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 3/2542 เรื่อง" แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียม เหลว" ลงวันที่" 22 พฤศจิกายน 2542 เพื่อทำการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยของการขนส่ง การบรรจุ การใช้ การจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับปรุงมาตรฐานความ ปลอดภัย ในตัวของถังก๊าซเองที่เกิดจากระบบการค้าที่ไม่มีความเป็นธรรมในอดีต
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยเห็นชอบมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตลอดจนแนวทางกำกับดูแล โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นมา การกำหนดมาตรฐานคุณภาพบริการดังกล่าวแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ มาตรฐานด้านเทคนิค (Technical Standards) และมาตรฐานการให้บริการ (Customer Service Standards) โดยในส่วนของมาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า (Guaranteed Standards) จะมีการกำหนดค่าปรับที่การไฟฟ้าจะต้องจ่ายให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในกรณีที่ไม่สามารถ ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดได้ ซึ่งค่าปรับจะอยู่ระหว่าง 50 - 2,000 บาท
2. การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้มีการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพบริการ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว โดยมีความคืบหน้าดังนี้
2.1 การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้มีการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
(1) จัดทำระเบียบการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจ่ายค่าปรับตาม มาตรฐานคุณภาพบริการ และแบบคำขออนุมัติจ่ายค่าปรับตามมาตรฐานคุณภาพบริการที่ กฟน. รับประกัน รวมทั้ง ออกประกาศการไฟฟ้านครหลวงเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2543 เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้า นครหลวง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ได้มีการประชาสัมพันธ์และจัดทำเอกสารเพื่อเผยแพร่แก่ประชาชน รวมทั้ง การเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เนท หนังสือพิมพ์ และการให้สัมภาษณ์ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์
(2) กำหนดแนวทางการชำระค่าปรับให้แก่ผู้ใช้ไฟออกเป็น 2 กรณี คือ การชำระค่าปรับให้แก่ผู้ใช้ไฟโดยอัตโนมัติ เช่น ในกรณีที่ กฟน. ไม่สามารถควบคุมระยะเวลาการดับไฟให้เป็นไปตามที่แจ้งประกาศไฟฟ้าดับได้ก็จะ ดำเนินการชำระค่าปรับให้กับผู้ใช้ไฟโดยอัตโนมัติเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าของเดือน ถัดไป และการชำระค่าปรับให้ผู้ใช้ไฟหลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้และ กฟน. ได้ตรวจสอบแล้วว่าการปฏิบัติงานของ กฟน. ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดจริง โดย กฟน. จะชำระค่าปรับเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าของเดือนถัดไป หรือในบางกรณีอาจจ่ายค่าปรับเป็นเงินสดหรือเช็คธนาคารตามความเหมาะสม
2.2 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้มีการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
(1) จัดทำระเบียบการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคว่าด้วยมาตรฐานคุณภาพบริการ พ.ศ. 2543 แบบคำร้องขอค่าปรับตามมาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกัน รวมทั้งออกประกาศการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2543 เรื่องมาตรฐานการให้บริการที่ กฟภ. รับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 เป็นต้นมา พร้อมทั้งได้จัดส่งคู่มือขั้นตอนและวิธีปฏิบัติงาน "มาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟภ." ให้หน่วยงาน กฟภ. ทุกเขตทั่วประเทศ นอกจากนี้ ได้ดำเนินการด้านประชาสัมพันธ์ให้พนักงานภายในองค์กรและผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับ ทราบผ่านทางสถานีวิทยุต่างๆ การจัดทำใบประกาศเพื่อแจกจ่าย การลงบทความเผยแพร่ในวารสารของ กฟภ. และการจัดประชุมชี้แจงแก่ผู้บริหารของ กฟภ. ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
(2) กำหนดแนวทางการชำระค่าปรับโดย กฟภ. จะชำระเงินค่าปรับให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าหลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้ ไฟ และได้ตรวจสอบแล้วพบว่าการปฏิบัติงานของ กฟภ. ไม่ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด การชำระค่าปรับจะชำระเป็นเงินสดหรือเช็คธนาคารเท่านั้น โดย กฟภ. ไม่สามารถจ่ายคืนเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าของเดือนถัดไปได้ เนื่องจากพื้นที่ในการให้บริการของ กฟภ. กว้างขวางมาก
3. แนวทางในการกำกับดูแลเรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้า ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่กำกับดูแลเรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้เป็น ไปตามที่กำหนด รวมทั้งทำการประเมินผลการดำเนินงานของการไฟฟ้าเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่ กำหนด ซึ่งขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ดำเนินการจัดทำแบบฟอร์มสำหรับบันทึกข้อมูล ผลการดำเนินงาน ประกอบด้วยข้อมูลการดำเนินงานด้านเทคนิค การดำเนินงานด้านการให้บริการทั่วไป และการดำเนินงานด้านการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้าแยกตาม เขตจำหน่ายไฟ ทั้งนี้ สพช. จะประสานงานกับ กฟน. และ กฟภ. ในการจัดส่งข้อมูลให้ สพช. ใช้ประกอบการประเมินผลการดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ระเบียบวาระที่ 3.4 ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชน ในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการระดมทุนจากพันธมิตรร่วมทุน มาเป็นการระดมทุนจากประชาชนทั่วไป ซึ่งพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะได้รับการจัดสรรหุ้นในบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 15 ตามราคามูลค่าที่ตราไว้ (ราคา par) โดยโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด หลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะประกอบด้วย ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 40 พนักงาน กฟผ. และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพร้อยละ 15 และ กฟผ. ร้อยละ 45
2. กฟผ. ได้มีการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้า ราชบุรี ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยมีความคืบหน้าดังนี้
2.1 กฟผ. ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2543 โดยมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท และ กฟผ. ถือหุ้นร้อยละ 100 และต่อมาบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (บริษัทในเครือ) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2543 โดยมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 100
2.2 กฟผ. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เทคนิค กฎหมาย และประเมินราคาทรัพย์สิน เพื่อ ดำเนินการตามแผนระดมทุนฯ ได้แก่ 1) ที่ปรึกษาการเงิน ประกอบด้วยกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด บริษัท Dresdner Kleinwort Benson Advisory Services (Thailand) Ltd. และบริษัท Lehman Brothers (Thailand) Ltd. 2) ที่ปรึกษากฎหมาย ได้แก่ บริษัท Hunton & Williams (Thailand) Ltd. 3) ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ได้แก่ บริษัท Sargent & Lundy Engineers Ltd. 4) ที่ปรึกษาประเมินราคาทรัพย์สิน ประกอบด้วย 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท American Appraisal (Thailand) Ltd. บริษัท Jones Lang LaSalle (Thailand) Ltd. บริษัท Arthur Andersen Business Advisory Ltd. และ บริษัท Brooke International (Thailand) Ltd.
2.3 กฟผ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนระดมทุนฯ ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นประธาน และประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด และ กฟผ.ร่วมเป็นกรรมการ คณะกรรมการดำเนินการฯ ได้มีการประชุมไปแล้วรวม 3 ครั้ง โดยมีการพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ ร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และร่างสัญญา ซื้อขายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคณะกรรมการดำเนินการฯ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน และมีมติรับทราบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยให้ กฟผ. นำข้อสังเกตของคณะกรรมการดำเนินการฯ ไปพิจารณาหาข้อสรุปในประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ ส่วนร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติได้มีมติเห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้ กฟผ. รับไปเจรจากับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ในประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ และให้นำผลการเจรจารายงานให้คณะกรรมการดำเนินการฯ พิจารณาต่อไป ซึ่งสัญญาหลักทั้ง 3 สัญญาดังกล่าวข้างต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 เดือน และจะนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากรัฐบาลต่อไป
2.4 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างบริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี จำกัด และ ปตท. ว่าจะมีลักษณะคล้ายกับสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับบริษัทผู้ผลิต ไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer: IPP) สำหรับปัญหาเรื่องภาระ Take or Pay ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. อันเกิดจากความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรี จะต้องมีการเจรจาหาข้อสรุประหว่าง กฟผ. และ ปตท. ต่อไป โดย สพช. จะเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ซึ่งผลการเจรจาครั้งล่าสุดได้มีการพิจารณาว่าภาระที่เกิดขึ้นจริงคือ ภาระด้านดอกเบี้ยซึ่งขณะนี้ ปตท. มีอยู่กว่า 7,400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาระดังกล่าวอาจลดลงได้หากมีปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น หรือ ปตท. สามารถหาแหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ดังนั้น มาตรการที่สำคัญในการแก้ปัญหา Take or Pay ก็คือ การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีเครื่องที่ 1 และ 2 จะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน และพฤศจิกายน 2543 ตามลำดับ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซ (Gas Turbine) ขณะนี้มีการเดินเครื่องแล้วแบบ Open Cycle ถึงแม้ประสิทธิภาพจะไม่สูงเต็มที่ แต่หากสนับสนุนให้ใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นก็ยังคุ้มค่ากว่าการเดินเครื่องโรง ไฟฟ้าอื่นของ กฟผ. ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิง นอกจากนี้ ต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี - วังน้อย ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา สหภาพพม่า โดยการจัดส่งก๊าซให้กับโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ อาทิ IPT และ TECO ที่จังหวัดราชบุรี
3. สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป มีเรื่องที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการดำเนินการฯ เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการ กฟผ. และคณะรัฐมนตรีตามลำดับ ได้แก่ การขออนุมัติราคาทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ กฟผ. จะขายและโอนให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (บริษัทฯ) การขออนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า การขออนุมัติให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทฯ และการขออนุมัติให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีตามร่างสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้า
การพิจารณาของที่ประชุม
1.รองนายกรัฐมนตรี (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน) ได้ให้ข้อสังเกตว่าควรเร่งดำเนินการหาข้อสรุปการ แก้ไขปัญหา Take or Pay ระหว่าง กฟผ. และ ปตท. ให้แล้วเสร็จโดยเร็วซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานต่างเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ทั้งสิ้น และหากสามารถหาข้อยุติได้เร็วก็จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการระดมทุนใน โครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้สามารถดำเนินการได้ตามแนวทางที่กำหนดไว้ ซึ่งจะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีต่อนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของประเทศใน ภาพรวมต่อไป
2.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิสิฐ ลี้อาธรรม) ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาได้ มีการดำเนินการแปรรูป กฟผ. บางส่วนโดยการจัดตั้ง บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด และกระจายหุ้นในส่วนของ กฟผ. ออกไป ซึ่งในขณะนี้ กฟผ. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทดังกล่าว และมีบทบาทในการบริหารงานของบริษัท พอสมควร และในการแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยการจัดตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ขึ้น กฟผ. ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่าง 2 บริษัทด้วย (Conflict of Interest) เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทดำเนินธุรกิจในลักษณะเดียวกันและต่างก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กฟผ. จึงควรเร่งดำเนินการลดสัดส่วนการถือหุ้นและบทบาทการบริหารงานในทั้ง 2 บริษัทนี้โดยเร็วเพื่อให้เกิดความอิสระในการดำเนินงานและบริหารงานอย่างแท้ จริง
3.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ได้มีการกำหนดขั้นตอนการลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ในกิจการผลิตไฟฟ้าไว้แล้วในการศึกษาเรื่อง "การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า" โดย สพช. ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษานำโดย บริษัท Arthur Andersen จัดทำการศึกษา ซึ่งการศึกษาได้เสร็จสมบูรณ์แล้วและคาดว่าจะนำเสนอที่ประชุมในครั้งนี้ แต่เนื่องจากผลการศึกษาดังกล่าวต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ก่อน ดังนั้นฝ่ายเลขานุการฯ จะนำเสนอผลการศึกษาต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุม ครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 ราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าใน สปป. ลาว เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทย จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ โดยในปัจจุบันโครงการ ที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วมีจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน-หินบุน และโครงการห้วยเฮาะ ซึ่งทั้งสองโครงการได้จ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว ในส่วนของโครงการที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า สปป. ลาว ได้จัดลำดับความสำคัญของโครงการ-ที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนธันวาคม 2549 ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 2 น้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 และโครงการที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2551 ได้แก่ โครงการลิกไนต์หงสา โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย และโครงการเซคามาน 1 ทั้งนี้ โครงการลิกไนต์หงสา ฝ่ายไทยจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ โดยเจรจาควบคู่ไปกับ 3 โครงการแรก ซึ่งจะส่งมอบในเดือนธันวาคม 2549 หากโครงการใดสามารถเจรจาและตกลงจนได้ข้อยุติก่อนก็ให้ส่งมอบไฟฟ้าก่อน โครงการอื่น
2. โครงการน้ำเทิน 2 มีขนาดกำลังการผลิต ณ จุดส่งมอบ 920 เมกะวัตต์ โดยมีพลังงานไฟฟ้า-ส่วนที่ประกันการรับซื้อที่จะส่งมอบให้แก่ กฟผ. รวมทั้งสิ้น 5,354 ล้านหน่วยต่อปี เป็นระยะเวลา 25 ปี โครงการนี้จะก่อสร้างสายส่งขนาด 500 kV เชื่อมโยงจากโรงไฟฟ้าในแขวงคำม่วน สปป. ลาว ผ่านสะหวันนะเขต ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทยที่สถานีไฟฟ้าร้อยเอ็ด 2 ทั้งนี้ กลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ประกอบด้วย รัฐบาล สปป.ลาว ถือหุ้นร้อยละ 25 อีกร้อยละ 75 ถือหุ้นโดย Nam Theun 2 Electricity Consortium ซึ่งประกอบด้วย Electricite de France ร้อยละ 30 Italian-Thai Development ร้อยละ 15 Transfield ร้อยละ 10 Jasmine International ร้อยละ 10 และ Merrill Lynch Phatra Securities ร้อยละ 10 ประเมินว่าโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,227 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 46,600 ล้านบาท
3. คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ ได้เริ่มดำเนินการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2536 อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่กำลังเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอยู่นั้น ธนาคารโลก ได้ขอให้กลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 และรัฐบาล สปป.ลาว ดำเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเหตุให้ MOU หมดอายุลง ต่อมาคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติลาว (Lao National Committee for Energy : LNCE) แจ้งให้ กฟผ. ทราบว่าธนาคารโลกได้ให้ความเห็นชอบกระบวนการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และมีมติสนับสนุนด้านการค้ำประกันเงินกู้ให้แก่โครงการน้ำเทิน 2 แล้ว ดังนั้นในเดือนมีนาคม 2541 LNCE ได้เสนอขอเริ่มเจรจาราคาค่าไฟฟ้าโครงการนี้อีกครั้งหนึ่ง
4. หลังจากนั้นทั้ง 2 ฝ่าย ได้มีการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าหลายครั้งและได้คืบหน้ามาโดยลำดับ โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบในหลักการคำนวณค่าไฟฟ้าโดยใช้ต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ และหลักการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Power Pool ซึ่งใน ที่สุดคณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ ได้เห็นชอบราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 โดย กฟผ. ตกลงที่จะประกันการรับซื้อ Primary Energy (PE) 4,406 ล้านหน่วยต่อปี Secondary Energy ในส่วนแรก (SE1) 615 ล้านหน่วยต่อปี และ Secondary Energy ส่วนที่สอง (SE2) อีก 333 ล้านหน่วยต่อปี โดยมีเงื่อนไขว่าปริมาณการประกันรับซื้อทั้งหมดของทั้งสามส่วนรวมกันจะต้อง ไม่เกินร้อยละ 95 ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมของทั้ง PE SE1 และ SE2 จะอยู่ที่ระดับ 4.219 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้โครงการนี้มีรายได้ประมาณปีละ 8,600 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 25 ปี ดังมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
อัตราค่าไฟฟ้าและเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน 2
ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ประกันการรับซื้อเฉลี่ยต่อปี ตลอดอายุสัญญา (ล้านหน่วย/ปี) |
อัตราค่าไฟฟ้า (เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง) |
|
1. อัตราค่าไฟฟ้าของ PE1 + SE1 + SE2 ที่ประกันการรับซื้อ | ||
|
4,406 | 4.664 |
|
615 | 2.332 |
|
333 | 1.809 |
|
5,354 | 4.219 |
2. อัตราค่าไฟฟ้าของ SE2 ส่วนเกินจากที่ประกันการรับซื้อ (กฟผ. จะซื้อหรือไม่ก็ได้) | SE2 ส่วนเกิน | |
3. ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ 38 บาท/1 ดอลล่าร์สหรัฐ ในการคำนวณค่าไฟฟ้าส่วนที่ต้องจ่ายเป็นเงินบาท |
ข้อสังเกตของที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นควร ให้ กฟผ. พิจารณารับซื้อพลังงานไฟฟ้า SE2 ส่วนเกินจากที่ประกันการรับซื้อในช่วง Off-Peak ให้มากที่สุด เพื่อทดแทนพลังงานไฟฟ้าในส่วนที่ กฟผ. มีการเดินเครื่องในระบบซึ่งมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้า สูงกว่าราคาค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อในส่วนของ SE2 ส่วนเกินซึ่งเท่ากับ 1.5 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือประมาณ 57 สตางค์ต่อหน่วย เท่านั้น
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบราคาค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน 2 ที่ระดับ 4.219 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง ตลอดอายุโครงการ (เฉลี่ยรวมราคาที่ประกันการรับซื้อ Primary Energy, Secondary Energy ในส่วนแรก และ Secondary Energy ในส่วนที่สอง) และเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าที่คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้งสองประเทศ คือ ไทย และ สปป. ลาว ได้เจรจากันจนได้ข้อยุติแล้ว โดยมีรายละเอียดตามข้อ 4
2.มอบหมายให้คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) นำราคา ค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน 2 ที่ได้รับความเห็นชอบตามข้อ 1 ไปเจรจาเพื่อจัดทำและสามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ของโครงการระหว่าง กฟผ. กับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้โครงการน้ำเทิน 2 สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เข้าระบบของ กฟผ. ได้ทันตามกำหนดในเดือนธันวาคม 2549
เรื่องที่ 6 เรื่องอื่นๆ
รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์) ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมต่อที่ประชุมและมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดูแลในเรื่องต่อไปนี้
1. การรณรงค์ประหยัดพลังงานทั้งในภาครัฐและเอกชน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้ฟังเสียงจากประชาชนว่าการรณรงค์เพื่อลดการใช้ พลังงานยังไม่มากพอ และหน่วยงานราชการก็ยังไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการใช้ไฟตามท้องถนน ซึ่งจะทำให้ประชาชนมองว่าภาครัฐไม่มีความจริงใจที่จะประหยัดการใช้พลังงาน อย่างจริงจัง
2. การเร่งรัดหาพลังงานมาทดแทนการใช้น้ำมัน ขณะนี้มีโครงการวิจัยหลายโครงการทั้งที่เป็นโครงการของ สพช. และหน่วยงานอื่นที่กำลังดำเนินการศึกษาการนำพืชเศรษฐกิจมาใช้เป็นพลังงานทด แทนน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย และประชาชนก็ให้ความสนใจอยู่ ในอนาคตหากจะพัฒนาขึ้นมาใช้อย่างจริงจังจะมีความคุ้มทุนหรือไม่ จึงขอให้ สพช. รายงานความคืบหน้าการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ที่ประชุมทราบ ในครั้งต่อไปด้วย
3. หลักเกณฑ์การอนุญาตตั้งสถานีบรรจุก๊าซและรถขนส่งก๊าซ ในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่ามีอุบัติเหตุรถก๊าซระเบิด หรือถังก๊าซระเบิดเกิดขึ้น และทำให้ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงขอให้คณะอนุกรรมการ ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลความปลอดภัยในเรื่องนี้ได้พิจารณาวางหลักเกณฑ์ให้ มีความรัดกุมด้วย
- กพช. ครั้งที่ 75 - วันพุธที่ 26 เมษายน 2543 (1436 Downloads)