มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 77)
วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2543 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบ
2.ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
3.การแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4.การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 24 - 27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามกระแสข่าวการประกาศเพิ่มปริมาณการผลิตของประเทศซาอุดิอาระเบีย 500,000 บาร์เรล/วัน แต่ในเดือนสิงหาคมราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น 1-2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยมีสาเหตุจากปริมาณการผลิตของประเทศซาอุดิอาระเบียเพิ่มขึ้นเพียง 250,000 บาร์เรล/วัน และปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐอเมริกาที่ลดลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 11 สิงหาคม อยู่ในระดับ 26.4 - 30.8 เหรียญสหรัฐฯต่อ บาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในเดือนกรกฎาคม ไม่ได้อ่อนตัวตามราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากปัญหาปริมาณน้ำมันในตลาดค่อนข้างตึงตัว จากการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นในภูมิภาคนี้และอุบัติเหตุของโรงกลั่นคูเวต ทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าดและดีเซล ปรับตัวสูงขึ้น 3, 2 และ 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเตาปรับตัวลดลง 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ หยุดซื้อ และในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ยังคงปรับตัวสูงขึ้นและอยู่ในระดับสูง เป็นผลจากสภาพตลาดที่ตึงตัว โดยราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซลและเตา ณ วันที่ 11 สิงหาคม อยู่ในระดับ 39.4, 35.9, 35.3 และ 22.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในเดือนกรกฎาคม ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและการอ่อนตัวของค่าเงินบาท โดยต้นทุนราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลสูงขึ้น 1.05 และ 0.55 บาท/ลิตร แต่ผู้ค้า น้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกเพียง 1 ครั้ง ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ออกเทน 91และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 13 สิงหาคม อยู่ที่ 16.49, 15.49 และ 13.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. จากการที่ราคาตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินบาทอ่อนตัวลง แต่การปรับราคาขายปลีกไม่ได้ ชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด จึงส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในเดือนกรกฎาคม อยู่ในระดับ 0.81 บาทต่อลิตร และในเดือนสิงหาคมอยู่ในระดับ 0.49 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการกลั่น จากการที่ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ค่าการกลั่นปรับสูงขึ้นมาเคลื่อนไหวในระดับ 4 - 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.0 - 1.3 บาทต่อลิตร)
5. สถาบัน EIA (Energy Information Administration) ได้คาดการณ์แนวโน้มของราคาน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปี 2543 ว่า ราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เมื่อเทียบกับระดับปลายเดือนมิถุนายน ราคาจะอ่อนตัวลงในระดับ 4 - 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบ WTI จะอยู่ในระดับ 27 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (เทียบเท่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ 26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล) ส่วนการคาดการณ์จากแหล่งอื่น นักวิเคราะห์โดยรวมคาดว่าครึ่งปีหลังราคามันดิบจะอ่อนตัวลงจากระดับกลางปี 4 - 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยภาพรวมราคาน้ำมันดิบจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปคาดว่า น้ำมันเบนซินจะ ลดลงหลังฤดูร้อน และหากการเพิ่มปริมาณสำรองสำหรับฤดูหนาวของน้ำมันดีเซลไม่ทันการณ์ ราคาน้ำมันดีเซลอาจปรับตัวสูงขึ้นมากเหมือนราคาน้ำมันเบนซินในฤดูร้อนที่ ผ่านมา ส่วนราคาขายปลีกของไทยในช่วงระยะสั้น มีปัจจัยที่น่าจะมีผลต่อราคามากที่สุดคือ การเพิ่มปริมาณการผลิตของโรงกลั่นที่ต่ำกว่ากำลังการกลั่นจริง และการกลับมาผลิตตามปกติของโรงกลั่นที่ปิดซ่อมแซม ซึ่งหากผลิตได้จะทำให้ราคาลดลงในระดับหนึ่ง
6. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และรายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
6.1 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานว่าการประเมินผลกระทบในครั้งนี้ไม่แตกต่างจากที่ได้รายงานต่อที่ ประชุมในครั้งที่แล้ว เนื่องจากได้มีการวิเคราะห์กรณีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตลอดปี 2543 อยู่ที่ระดับ 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ อัตราแลกเปลี่ยน 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ไว้แล้ว และขณะนี้ราคาน้ำมันดิบยังไม่สูงถึงราคาที่คำนวณไว้ สศช. จึงยังคงใช้การประเมินผลกระทบเดิม คือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2543 จะอยู่ในระดับร้อยละ 5 เนื่องจากปริมาณการส่งออกใน รูปดอลล่าร์สหรัฐฯ ของปี 2543 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 12.1 สูงกว่าที่ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 6.5 อย่างไรก็ดี หากราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยตลอดปี 2543 อยู่ในระดับ 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนทั้งปีอยู่ในระดับ 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 0.31 คือ ลดจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 4.69"
6.2 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าจากราคาน้ำมันดีเซล ที่ปรับสูงขึ้น ณ วันนี้ที่ลิตรละ 13.59 บาท เปรียบเทียบกับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเมื่อเดือนมิถุนายน 2542 คือที่ระดับราคา 8.30 บาท/ลิตร ปรากฏว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า 53 รายการ สินค้ามีต้นทุนสูงขึ้นร้อยละ 67.35 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบสูงสุดถึงร้อยละ 9.21 คือ ปูนซีเมนต์ รองลงมาคือ ตะปู และกระเบื้อง ได้รับผลกระทบประมาณร้อยละ 4 ส่วนการปรับค่าไฟฟ้ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าร้อยละ 5.23 ได้แก่ สินค้าแคลเซี่ยมคาร์ไบด์ เยื่อกระดาษ และปูนซีเมนต์ สินค้าที่ได้มีการปรับราคาไปแล้ว คือ ปูนซีเมนต์ สำหรับน้ำมันหล่อลื่นยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
6.3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะขอส่งรายงานการประเมินผลกระทบและการดำเนินการชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ชาว ประมง จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบ ภายในสัปดาห์นี้
6.4 กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2543 เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2542 ปรากฏว่า ปูนซีเมนต์ ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีสัดส่วนต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.37 รองลงมาคือ อุตสาหกรรมสิ่งทอและฟอกย้อม ส่วนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตเพื่อส่งออกมีกำลังผลิตมากขึ้น ดังนั้นชิ้นส่วนยานยนต์หล่อโลหะจะได้รับผลกระทบมากขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์และจักรยานยนต์ได้รับผลกระทบน้อย
6.5 กระทรวงคมนาคม ได้ให้คณะกรรมการควบคุมขนส่งกลางพิจารณาผลกระทบจากราคา น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เนื่องจากการขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำมีความหลากหลาย จึงอยู่ระหว่างการเร่งรัดจัดทำรายละเอียดให้มากขึ้น
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจและต้นทุนสินค้าและบริการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.ให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการกำหนดราคาน้ำมัน สำเร็จรูปของประเทศ ประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เป็นประธาน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายและแผนพลังงาน เป็นฝ่ายเลขานุการ เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์ การกำหนดราคาและโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่เหมาะสมของประเทศ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวดำเนินการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ และให้แจ้งผลการศึกษาให้คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติทราบต่อไป
3.มอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยรับไปเจรจากับโรงกลั่นไทยออยล์ ขอปรับลดราคา ณ โรงกลั่นลง เพื่อเป็นโครงการนำร่องสำหรับโรงกลั่นอื่น ๆ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่ม สูงขึ้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ผ่านมา สรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ซึ่งอยู่ ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2542 - 7 สิงหาคม 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการเพื่อบริหารงานและว่าจ้าง ตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐไปแล้วจำนวน 200 แห่ง และเพื่อบริหารการปรับปรุงและว่าจ้าง ควบคุมงานติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐจำนวน 160 แห่ง รวมเป็นเงิน 45.31 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นในอาคาร ควบคุมรวม 148 แห่ง และโรงงานควบคุม 256 แห่ง และการตรวจสอบและวิเคราะห์ การใช้พลังงานโดยละเอียดในอาคารควบคุมรวม 121 แห่ง รวมเป็นเงิน 204.32 ล้านบาท ในส่วนของ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี สถาบันราชภัฏสวนดุสิต และโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา รวม 5 แห่ง ในวงเงิน 6.45 ล้านบาท
1.2 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวม 3 โครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2543-2547) รวมวงเงิน 258,447,440 บาท ประกอบด้วย โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อม โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหาร จัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และโครงการต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม นอกจากนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ในการนำพลังงานที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานต่ำกว่า 1,000 กิโลวัตต์ จำนวน 50 แห่ง เป็นเงิน 160 ล้านบาท และการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรมที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู สมุทรปราการ เป็นเงิน 300 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ โครงการดังกล่าวได้ผ่านการกลั่นกรองของคณะผู้เชี่ยวชาญกลั่นกรองโครงการแผน งานภาคความร่วมมือใน เบื้องต้นเพื่อให้มีการปรับข้อเสนอให้ชัดเจนแล้วเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 และจะมีการพิจารณากันอีกครั้งในวันที่ 24 สิงหาคม นี้
1.3 การส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้ พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภทแล้วเสร็จ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพค ฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษานี้ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ประกอบการของอุปกรณ์แต่ละประเภทด้วยแล้ว สพช. จึงได้จัดทำร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ ไฟฟ้า 6 ประเภทดังกล่าว เพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมวันนี้ เพื่อให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนำไปดำเนินการให้อุปกรณ์ไฟฟ้า ทั้ง 6 ประเภท เป็นอุปกรณ์ควบคุมมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำต่อไป
1.4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up)
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเป็นค่าใช้ จ่ายในการดำเนินโครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดพลังงาน คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะตั้งศูนย์บริการตามสถานที่ราชการเพื่อให้บริการแก่รถยนต์ของส่วนราชการ รวมทั้ง ตั้งศูนย์บริการให้แก่ประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก คาดว่าจะสามารถให้บริการแก่รถยนต์ได้ประมาณ 17,000 คัน ในระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนี้ ปตท. ได้ยื่นข้อเสนอ โครงการระยะที่ 2 ซึ่งจะสามารถขยายการให้บริการ Tune-up ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด คาดว่าจะสามารถให้บริการแก่รถยนต์ได้ประมาณ 49,000 คัน ในระยะเวลา 3 ปี
1.5 โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด
กรมควบคุมมลพิษ ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทางไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วย ไฟฟ้า ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยกรมควบคุมมลพิษ จะร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเป็นระบบรถไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Buses) ซึ่ง สพช. จะเร่งพิจารณาแผนเบื้องต้นของโครงการ และนำเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือตามขั้นตอนต่อไป
2. การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ สพช. ได้ดำเนินมาตรการจูงใจเพื่อให้ประชาชนที่สามารถใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากขึ้น โดยปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเบนซินออกเทน 95 เพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร และลดค่าการตลาดของเบนซินออกเทน 91 ลง 20 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2543 เป็นต้นมา ผลของการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏว่า สัดส่วนการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้เพิ่มขึ้นตามลำดับจากร้อยละ 33 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 37, 38, และ 51 ในเดือนมกราคม มีนาคม และมิถุนายน 2543 ตามลำดับ
3. การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในเดือนสิงหาคมทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเดือน กรกฎาคม ที่ระดับ 297 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระต้อง ชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 7.57 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 1,036 ล้านบาทต่อเดือน โดยคาดว่ากองทุนฯ จะสามารถชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้จนถึงสิ้นปี 2543
4. มาตรการลดราคาน้ำมัน
4.1 กลุ่มเกษตรกร ปตท. ได้ลดราคาเบนซินและดีเซลจากเดิมลดลง 0.15 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 0.25 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 1 เมษายน 2543 - 30 กันยายน 2543 ให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยการจำหน่ายน้ำมันผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ครอบคลุม 64 จังหวัด และพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมสถานีบริการน้ำมันทั่วทุกจังหวัด
4.2 กลุ่มประมง ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลด 0.60 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2543 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) อนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุน ช่วยเหลือเกษตรกรในวงเงิน 321 ล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดทุนให้แก่ชาวประมงที่ร่วมโครงการเป็นระยะเวลา 4 เดือน
4.3 กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมที่จดทะเบียนขอรับส่วนลดจากกรมส่งเสริม อุตสาหกรรมรวมทั้งหมด 305 ราย จนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลดเพิ่มเติมจากส่วนลดการค้าปกติสำหรับน้ำมันดีเซล 15 สตางค์ต่อลิตรและน้ำมันเตา 7 สตางค์ต่อลิตร โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2543 มีผู้ประกอบการได้รับการลดราคาน้ำมันแล้ว 21 ราย แยกเป็นความต้องการใช้น้ำมันดีเซล 61,500 ลิตรต่อเดือน และน้ำมันเตา 1,367,000 ลิตรต่อเดือน นอกจากนี้ เป็นการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่ง 247 ราย โดยผู้ประกอบการสามารถเติมน้ำมันจากสถานีบริการที่ใช้บริการ Synergy Card เพื่อรับส่วนลดผ่านบริการดังกล่าวทุกสิ้นเดือน
5. มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน สรุปความก้าวหน้าได้ดังนี้
5.1 ภาคคมนาคมขนส่ง ปตท. ได้ดำเนินโครงการก่อนการขยายตลาดยานยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติv(NGV Pre-marketing Project) ซึ่งจะทำการประเมินผลโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะนำผลการทดสอบโครงการดังกล่าวv และข้อคิดเห็นของ ขสมก. และ กทม. มาประกอบการจัดทำ ข้อเสนอแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงานvเพื่อปรับปรุงรถของ ขสมก. และ กทม. ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้ ตลอดจนสร้างสถานีบริการก๊าซฯ ของ ปตท. นอกจากนี้vกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีคำสั่งที่ 237/2543 ลงวันที่ 31vกรกฎาคม 2543 แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาความเป็นไปได้โครงการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อ เพลิงแทนน้ำมันในรถยนต์โดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรถจักรดีเซลของการรถไฟแห่งประเทศไทย
5.2 การเร่งรัดสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมภายในประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การยื่นคำขอสัมปทานปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจบนบก ในทะเลอ่าวไทย และในทะเลอันดามัน ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2543 เพื่อเปิดให้ผู้ที่ประสงค์จะขอสัมปทานปิโตรเลียม ยื่นคำขอสัมปทานพร้อมเอกสารการขอสัมปทานต่อกรมทรัพยากรธรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันออกประกาศ เชิญชวนให้ยื่นขอสัมปทานฉบับนี้ หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง และจะปิดรับใบคำของวดแรกในวันที่ 15 สิงหาคม 2543 นี้
6. โครงการเสริม
สพช. ได้ดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ วิธีการประหยัดพลังงานในบ้านอยู่อาศัยและการใช้ยานพาหนะผ่านทางสื่อต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ประชาชนรู้จักใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ มากขึ้น ดังนี้
6.1 โครงการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ให้การสนับสนุนแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการดำเนินโครงการบ้านประหยัดพลังงาน เพื่อศึกษาหลักการและแนวทางการประหยัดพลังงานในที่อยู่อาศัย และพัฒนาแนวทางเลือกต้นแบบบ้านประหยัดพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใน ภูมิภาค ตลอดจนเสนอแบบบ้านและจัดทำคู่มือการอยู่อาศัยประหยัดพลังงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องการประหยัดพลังงานในที่พักอาศัยสู่สาธารณะ ซึ่งในขณะนี้การจัดทำแบบบ้านรวมทั้งหมด 4 แบบ และคู่มือการอยู่อาศัยประหยัดพลังงานได้แล้วเสร็จ และได้โฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และ Website ของ สพช. เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจในราคาถูก และในระยะต่อไป สพช. จะจัดทำเฉพาะคู่มือการอยู่อาศัยประหยัดพลังงานเป็นเอกสารเผยแพร่โดยไม่คิด ค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย
6.2 โครงการรณรงค์วิธีประหยัดน้ำมัน สพช. อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำแผ่นพับเสนอวิธีประหยัดน้ำมัน จำนวน 300,000 ชุด เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆ ด้วยตัวเองสำหรับ ผู้ใช้รถทุกประเภท คาดว่าจะผลิตเสร็จและพร้อมแจกประมาณปลายเดือนสิงหาคม ศกนี้ โดยมีจุดแจกจ่ายตามด่านเก็บเงินทางด่วน สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 สื่อมวลชนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้ง การเผยแพร่ผ่านทาง Website ของ สพช.
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.มอบหมายให้ สพช. ติดตามเร่งรัดการพิจารณาสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานในโครงการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ของกระทรวงอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว
3.มอบหมายให้ส่วนราชการต่างๆ พิจารณากำหนดมาตรการประหยัดการใช้ไฟฟ้าในสถานที่ราชการ และมอบหมายให้กรมทางหลวงพิจารณาดับไฟถนนบางสายและบางจุดที่จะไม่ก่อให้เกิด อันตรายแก่ผู้ใช้เส้นทาง ดังกล่าว รวมทั้งให้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาคเอกชนในการร่วมมือกันประหยัดพลังงาน ในช่วงเวลาที่ ไม่จำเป็น เพื่อลดการใช้พลังงานลง
เรื่องที่ 3 การแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนสิงหาคม ทรงตัวอยู่ในระดับ 297 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 12.23 บาท/กก. โดยมีอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 7.57 บาท/กก. หรือ 1,036 ล้านบาท/เดือน และคาดว่าในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2543 ราคาก๊าซฯ ในตลาดโลกจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 315-330 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน อัตราเงินชดเชยจะอยู่ในระดับ 7.9 - 8.5 บาท/กก. หรือ 1,050 - 1,150 ล้านบาท/เดือน
2. ฐานะการเงินตามบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2543 อยู่ในระดับ 1,860 ล้านบาท รายรับจากน้ำมันชนิดอื่นในระดับ 583 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว 1,036 ล้านบาท/เดือน กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 453 ล้านบาท/เดือน และมีหนี้เงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวค้างชำระในระดับ 2,005 ล้านบาท ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 145 ล้านบาท แต่หากไม่คำนึงถึงหนี้เงินชดเชยค้างชำระ กองทุนน้ำมันฯ จะสามารถตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเลวได้อีกประมาณ 3 เดือน หรือจนถึงเดือนกันยายน 2543
3. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน โดยได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ให้นโยบายและแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
3.1 ให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวจนถึงสิ้นปี 2543 เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายของประชาชน ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นมาก ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าอื่นๆ ปรับสูงขึ้นตาม การปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในช่วงนี้ จึงยังไม่ควรดำเนินการ
3.2 ให้ใช้นโยบายบริหารฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ให้อยู่ในระดับ 1,500 ล้านบาท โดยอาจจะมีการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวล่าช้าบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับการไหลเข้าของกองทุนฯ จากน้ำมันชนิดอื่น
3.3 ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและ ดีเซล 0.05 และ 0.25 บาท/ลิตร ตามลำดับ เพื่อเพิ่มรายรับของกองทุนฯ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพดานสูงสุดของอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร
3.4 ให้จ่ายเงินชดเชยเฉพาะก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในการหุงต้ม โดยลดหรือยกเลิกการจ่ายเงิน ชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาก๊าซที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรมปรับสูงขึ้น โดยให้ สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาถึงความเป็นไปได้และผลกระทบ การกำหนดระเบียบและขั้นตอนปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยลดภาระการจ่ายชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ได้ประมาณ 25% หรือ 260 ล้านบาท/เดือน
3.5 ในปี 2544 เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชน ให้ทยอยปรับเพิ่มราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ครั้งละไม่เกิน 10% ของราคาขายปลีก
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2.เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ตามข้อ 3 โดยให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในรถยนต์และ อุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นไป โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปกำหนดระเบียบปฏิบัติต่อไป
เรื่องที่ 4 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค (Asia Pacific Economic Cooperation: APEC) ในการประชุมระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม 2539 ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ได้มีข้อตกลงความร่วมมือด้านพลังงาน ซึ่งมีเรื่องการจัดทำกรอบมาตรฐานด้านพลังงานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้าน พลังงานและลดต้นทุนของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 เห็นชอบแนวทางในการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยแนวทางหนึ่งได้เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้น ต่ำ การติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพพลังงานที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะส่งผลต่อการลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมใน เชิงเศรษฐศาสตร์
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จ้าง ERM-Siam, Co Ltd. ดำเนินการศึกษาแนวนโยบายในการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2540 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ (Minimum Efficiency Performance Standards: MEPs) ของอุปกรณ์ไฟฟ้า 6 ประเภท ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น มอเตอร์ บัลลาสต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อเสนอแนะมาตรฐานในการทดสอบและรับรองอุปกรณ์ให้มีความสอดคล้องในระบบ สากล รวมทั้งการพิจารณาผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งการศึกษาได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และ สพช. ได้นำเสนอผลการศึกษา โดยการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ประกอบการแต่ละอุปกรณ์ แล้ว ซึ่งที่ประชุมได้ให้การยอมรับและจะร่วมมือสนับสนุนการดำเนินการตามผลการ ศึกษานี้
3. แนวทางการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ไฟฟ้า 6 ประเภท สรุปได้ ดังนี้
3.1 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำเป็นการกำหนดบังคับให้ อุปกรณ์ไฟฟ้า 6 ประเภท ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ บัลลาสต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ ที่ผลิตและนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ (ไม่รวมถึงสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออก) จะต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างน้อยที่สุดให้ได้ตาม มาตรฐานกำหนด ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยจัดการให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพต่ำ ออกไปจากตลาด และผลักดันให้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงเข้าสู่ระบบการตลาดมากขึ้น ซึ่งจะ ส่งผลให้เกิดการประหยัดพลังงานในภาพรวมของประเทศ
3.2 มาตรการในการดำเนินการเพื่อให้มีผลบังคับใช้มาตรฐานขั้นต่ำได้มีการกำหนดไว้ เป็นขั้นตอน โดยอุปกรณ์ประเภทแสงสว่าง ประกอบด้วย บัลลาสต์ หลอดฟลูออเรสเซนต์ และหลอดคอมแพคฟูลออเรสเซนต์ สามารถดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ได้ในปี 2546 ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และมอเตอร์ จะเริ่มให้มีผลบังคับใช้ได้ในปี 2547 และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรฐานทุกๆ 3 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีช่วงเวลาในการเตรียมความ พร้อมก่อนมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำจะมีผลบังคับใช้ และ สพช. จะมีการประเมินผลเป็นระยะๆ เพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินการ
3.3 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้ง 6 ประเภทดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีการควบคุมมาตรฐานการใช้ประสิทธิภาพขั้น ต่ำ โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
3.4 รัฐควรส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมีการใช้อุปกรณ์ที่มี ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การสนับสนุนด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้อุปกรณ์ที่มี ประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นสิ่งช่วยผลักดันให้ผู้ผลิตหันมาผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่มี ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และรัฐควรสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถของศูนย์ทดสอบต่างๆ ในการทดสอบและการรับรองประสิทธิภาพได้ตามมาตรฐานสากล
4. ผลวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์พบว่าประโยชน์โดยรวมที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการ ประหยัดไฟฟ้าหากมีการดำเนินการตามกรอบแผนงานการกำหนดบังคับใช้มาตรฐาน ประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ 6 ประเภทดังกล่าว ระหว่างปี 2547-2554 คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน ณ ปี 2547 ในช่วงเวลา 8 ปี จะมีศักยภาพในการลดความต้องการพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 3,200 กิกกะวัตต์-ชั่วโมง หรือ 660 เมกะวัตต์ และประหยัดค่าไฟฟ้าของผู้บริโภคได้ทั้งสิ้น 3 หมื่นล้านบาท
5. นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตตู้เย็นของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้มีการลงนามร่วมกันเพื่อสนับสนุน สพช. ในการดำเนินงานตามแผนการกำหนดมาตรฐานดังกล่าว และขอให้ สพช. ทำการศึกษาวิจัยโดยละเอียดในเรื่องผลกระทบด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับตู้เย็นประสิทธิภาพสูง เช่น ด้านการตลาดภายในประเทศ การส่งออก ด้านต้นทุนการผลิต ด้านสิ่งแวดล้อม และให้ สพช. จัดทำตู้เย็นต้นแบบตามที่ได้เสนอแนะไว้ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2544 เพื่อกลุ่มผู้ผลิต ตู้เย็นจะได้นำผลการศึกษาไปปรับปรุงระบบการผลิต และเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการประกาศใช้มาตรฐานขั้นต่ำจริง ซึ่ง สพช. ได้ดำเนินการให้ตามที่กลุ่มผู้ผลิตตู้เย็นได้ร้องขอมาดังกล่าว ซึ่งจะทราบผลภายในเดือนตุลาคม 2543
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า 6 ประเภท ประกอบด้วย เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น มอเตอร์ บัลลาสต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และหลอดฟลู ออเรสเซนต์ ตามผลการศึกษาในเอกสารประกอบวาระการประชุมที่ 4.1.1 ตามที่ สพช. เสนอ
2.มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รับผลการศึกษาไปเร่งดำเนินการกำหนดให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทั้ง 6 ประเภทดังกล่าว เป็นอุปกรณ์ควบคุมมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าขั้นต่ำ
- กพช. ครั้งที่ 77 - วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2543 (1127 Downloads)