มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 79)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2543 เวลา 9.30 น.
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
1.ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.ความคืบหน้าการดำเนินงานแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
3.แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02)
4.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
5.ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
6.โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
7.ความเห็นเกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน
8.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
9.แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
10.การส่งเสริมนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
11.ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
12.การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
13.การกำหนดราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีน
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐ ประชาชนจีน โดยทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและร่วมมือกันในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าใน สาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อจำหน่ายให้แก่ประเทศไทยจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2560 ต่อมา เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2543 คณะผู้แทนบริษัทไฟฟ้าแห่งรัฐและการไฟฟ้ายูนนานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาเยือนไทย เพื่อหารือในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ได้ข้อสรุปของผลการหารือที่สำคัญ คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงจะเป็นโครงการแรกขนาด 1,500 เมกะวัตต์ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2556 และโครงการที่เหลืออีก 1 โครงการในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2557 ทั้งนี้ กฟผ. จะบรรจุโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง และโครงการที่เหลือไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าในระยะยาวฉบับใหม่
2. คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย-จีน ได้มีการประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 4-5 กันยายน 2543 ณ เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญของผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
2.1 ได้มีการเน้นย้ำถึงความร่วมมือในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ได้ตกลงกันไว้แล้วในเดือนมีนาคม 2543
2.2 การหารือถึงความตกลงในการลงทุนก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง และได้ลงนามในความตกลงเรื่อง "การร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงระหว่างกลุ่มผู้ ลงทุนไทย-จีน" เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543
2.3 การตกลงที่จะใช้ระบบสายส่งขนาด 500 kV DC แบบวงจรเดี่ยว (Single Pole) เพื่อส่งไฟฟ้าจำนวน 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการแรก ในปี 2556 และเพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อส่งไฟฟ้าอีก 1 โครงการ ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ แบบสองวงจร (Bi Pole) ในปี 2557 โดยแนวสายส่งจากจีนมาไทยจะผ่านพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) และมีสถานีจุดเปลี่ยนกระแสไฟฟ้า (Coverter Station) อยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.4 เห็นชอบให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง เข้าร่วมการซื้อขายไฟฟ้าในตลาด Power Pool ของไทย โดยต้องอยู่บนหลักการของการแข่งขันด้านการซื้อขายไฟฟ้าอย่างยุติธรรม ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้เสนอทางเลือกให้พิจารณา 2 ทางคือ ให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง ส่งไฟฟ้าเข้าไปซื้อขายในตลาด Power Pool ของไทย โดยตรง หรือให้ซื้อขายไฟฟ้าผ่านบริษัทผู้ค้าไฟฟ้า (Energy Trader Company)
2.5 เห็นชอบกับแผนงานเบื้องต้นของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงที่จะดำเนิน การในระยะต่อไป ได้แก่ การศึกษาความเป็นไปได้ของระบบสายส่ง การปรับปรุงสัญญาด้านการปฏิบัติการ ข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้า การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ รวมทั้งการจัดเตรียมและเริ่มงานก่อสร้าง โรงไฟฟ้าฯ อย่างเป็นทางการ ในปี 2549 เพื่อให้โครงการฯสามารถส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยได้ทันตามกำหนดในปี 2556
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการดำเนินงานแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้กำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุน จากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี (คณะกรรมการดำเนินการฯ) ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และผู้แทนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมเป็นกรรมการ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประเมินราคาทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำหนดอัตราค่า ไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำกับดูแลการจัดทำสัญญาทุกฉบับ กำหนดราคาหุ้น จำนวนหุ้น และวิธีการขายหุ้นของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง ให้กับประชาชนและพนักงาน กฟผ.
2. คณะกรรมการดำเนินการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2543 ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบจำนวนหุ้น วิธีการขายหุ้น วิธีการกำหนดราคาหุ้น และช่วงราคาหุ้น (Price Range) ของบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และได้นำเสนอมติคณะกรรมการดำเนินการฯ ต่อคณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุม เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2543 ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการดำเนินการฯ แล้ว ดังนี้
2.1 จำนวนหุ้นสามัญของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน) ทั้งหมดเท่ากับ 1,450 ล้านหุ้น จำนวนหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเท่ากับ 580 ล้านหุ้น โดยมีโครงสร้างการจัดจำหน่ายและการกระจายหุ้นคือ ให้มีการกระจายหุ้นส่วนหนึ่งให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ (Nationwide) ชำระเงินผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และส่วนที่เหลือให้กระจายหุ้นผ่านทางผู้จัดการการจัดจำหน่ายและ รับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriter) ผู้ร่วมการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co-Lead Underwriter) และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co-Manager) ทั้งนี้ ให้กำหนดโดยคณะกรรมการบริษัทราชบุรีโฮลดิ้งฯ
2.2 วิธีการกำหนดราคาหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก จะใช้วิธี Book-building กับ นักลงทุนสถาบันการเงิน
2.3 ช่วงราคาหุ้นเพื่อทำ Book-building ราคาหุ้นละ 13-15 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 ได้เห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2542-2554 ฉบับปรับปรุง (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ตาม ข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ช่วงปี พ.ศ. 2542-2554 เป็นระยะๆ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และให้ กฟผ. รับไปศึกษาเกณฑ์กำหนดปริมาณสำรองการผลิตไฟฟ้าของประเทศที่เหมาะสมต่อไป
2. ในช่วงปี 2542 โครงการโรงไฟฟ้าหลายโครงการได้ถูกชะลอออกไป และไม่เป็นไปตามแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ประกอบกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้จัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติชุดใหม่ ขณะนี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศยังอยู่ระดับใกล้เคียงกับค่าพยากรณ์ความ ต้องการ ไฟฟ้ากรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง รวมทั้งสถานการณ์การรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนยังไม่แน่นอน กฟผ. จึงได้ปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า PDP 99-01 ใหม่เป็น PDP 99-02 โดยใช้แผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ตามเดิม แต่เปลี่ยนแปลงกำหนดแล้วเสร็จของโรงไฟฟ้าตามผลความก้าวหน้าของการก่อสร้าง และเปลี่ยนแปลงกำหนดจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเอกชนตามที่ร้องขอ ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้อนุมัติแล้ว
3. สาระสำคัญของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02) สรุปได้ดังนี้
3.1 โครงการต่างๆ ที่บรรจุอยู่ในแผนฯ ฉบับนี้ (PDP 99-02) เป็นตัวโครงการที่ปรากฏในแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ โดยเฉพาะโครงการที่ กฟผ. ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ได้แก่ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producers : IPPs) 7 โครงการ จำนวน 5,943.5 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2543-2550 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producers : SPPs) 1,958.4 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2539-2546 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 3,300 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2549-2551 ทั้งนี้ เนื่องจากแผนฯ ฉบับนี้ (PDP 99-02) ใช้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง (MER) ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับที่ใช้ในแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง)
3.2 โครงการที่มีการเลื่อนกำหนดจ่ายไฟฟ้าออกไปจากแผนฯ เดิม ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPPs) ได้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด เลื่อนจากเดือนกันยายน 2542 เป็น เดือนมิถุนายน 2543, บริษัท อิสเทิร์นเพาเวอร์ จำกัด เลื่อนจากเดือนมกราคม 2545 เป็นเดือนกรกฎาคม 2545, บริษัท ยูเนียนเพาเวอร์ดีวีลอปเมนต์ จำกัด เครื่องที่ 1 และ 2 เลื่อนจากเดือนตุลาคม 2545 และมกราคม 2546 เป็นเดือนตุลาคม 2546 และมกราคม 2547, บริษัท กัลฟ์เพาเวอร์เจนเนอเรชั่น จำกัด เครื่องที่ 1 และ 2 เลื่อน จากเดือนตุลาคม 2545 และเมษายน 2546 เป็นเดือนตุลาคม 2546 และเมษายน 2547, และโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี กำลังผลิตรวม 3,645 เมกะวัตต์ เลื่อนออกไปประมาณ 1 ปี โดยปัจจุบันเริ่มเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมชุดที่ 1 กังหันแก๊สชุดที่ 1-2 แล้ว และคาดว่าจะเดินเครื่องได้เต็มที่ทั้งโครงการประมาณเดือนตุลาคม 2544
3.3 ได้เปลี่ยนแปลงกำหนดจ่ายไฟฟ้าตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ชุดใหม่ คือ เลื่อนโครงการแหล่งก๊าซใหม่จากฝั่งตะวันออกในบริเวณโครงการพัฒนาร่วม ไทย-มาเลเซีย (Joint Development Area : JDA) จากปี 2550 เป็นปี 2553
4. เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าในปี 2543 ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในอัตราร้อยละ 7.3 ตามการ ขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับมีการชะลอบางโครงการออกไป จึงทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในปี 2543 ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงร้อยละ 43.5 ลดลงเหลือร้อยละ 19.1 และทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในปีอื่นๆ ต่ำกว่าประมาณการที่ได้จัดทำไว้ในแผนฯ ชุดเดิม (99-01 ฉบับปรับปรุง)
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และมอบหมายให้ กฟผ. เสนอแนวทางฟื้นฟูสภาพแวดล้อมจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าบางปะกงในการ ประชุมครั้งต่อไป รวมทั้ง ให้รับไปพิจารณาถึงการตั้งโรงไฟฟ้าในภาคอีสานเพื่อ การพัฒนาอุตสาหกรรมด้วย
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนกันยายนได้เพิ่มขึ้น 3.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้ว่าประเทศในกลุ่ม โอเปคจะตกลงเพิ่มปริมาณการผลิต 800,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ตลาดน้ำมันดิบก็ยังตึงตัว เพราะความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราการผลิตน้ำมันดิบ ประธานาธิบดีคลินตันแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศให้มีการนำน้ำมัน สำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้จำนวน 30 ล้านบาร์เรล โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง และเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปเก็บสำรองไว้สำหรับฤดูหนาว ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง ในระดับ 1 - 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 25 กันยายน 2543 อยู่ในระดับ 29 - 32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายนมีความผันผวนค่อนข้างสูง เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมัน ทางการค้าในสิงคโปร์และญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำ และเกิดสภาวะตึงตัวจากการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของเดือนราคาน้ำมันสำเร็จรูปลดลงเนื่องจากปริมาณการซื้อลดลง ประกอบกับค่าการกลั่นที่สูง ทำให้โรงกลั่นในภูมิภาคนี้เพิ่มปริมาณการผลิตขึ้น นอกจากนี้ได้เริ่มมีการส่งออกจากอินเดีย ไทย และญี่ปุ่น ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 25 กันยายน อยู่ในระดับ 31.8, 40.6, 36.8 และ 26.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลง 1 ครั้ง จำนวน 25 สตางค์/ลิตร หลังจากนั้น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้ปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นรวม 1.0 บาท/ลิตร บางจากปรับขึ้น รวม 1.3 บาท/ลิตร และผู้ค้าเอกชนปรับขึ้นรวม 1.2 บาท/ลิตร ส่วนราคาน้ำมันเบนซินไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 กันยายน 2543 น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 16.49, 15.49 และ 14.48 บาท/ลิตร ตามลำดับ สำหรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของบางจาก และ ปตท. ต่ำกว่าผู้ค้าน้ำมันอื่นอยู่ 11 และ 20 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ โดย ปตท. ได้ใช้นโยบายตรึงราคาขายปลีก ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับต่ำมากหรือขาดทุน ทางกลุ่มผู้ค้าน้ำมันจึงได้มีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ง ชาติ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อขอหารือกับฝ่ายรัฐ
4. จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และผู้ค้าได้ชะลอการปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไว้ ทำให้ค่าการตลาดในเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายนลดต่ำลงมากจนอยู่ในระดับ ติดลบ ค่าการตลาดเฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์ในเดือนกันยายนอยู่ในระดับติดลบที่ 0.05 บาท/ลิตร และผลจากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาน้ำมัน ดิบ ทำให้ค่าการกลั่นในเดือนกันยายนอยู่ในระดับสูงโดยเคลื่อนไหวในระดับ 5 - 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.3 - 1.6 บาท/ลิตร) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.19 บาท/ลิตร
5. นักวิเคราะห์ด้านน้ำมันได้วิเคราะห์ว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดจะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาว แต่มีความเป็นไปได้ที่ประเทศในกลุ่มโอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิต เพื่อหยุดการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ และคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ณ ไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันเบนซินจะปรับลงตามความต้องการที่จะลดลง แม้ว่าความต้องการใช้น้ำมันเพื่อความอบอุ่น (ก๊าด และดีเซล) ที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ราคาน้ำมันประเภทดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น แต่ระดับของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่เกิน 40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะจูงใจให้โรงกลั่นเพิ่มปริมาณการผลิต จึงคาดว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปลายปีนี้จะไม่เกิน 45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาขายปลีกของไทย ราคาน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามราคาตลาดโลก ส่วนราคาน้ำมันดีเซลในไตรมาสสุดท้าย คาดว่าจะเคลื่อนไหวในระดับ 15 - 16 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ตอบหนังสือกลุ่มผู้ค้า น้ำมัน เพื่อชี้แจงว่ารัฐบาลยังคงนโยบายการค้าเสรี โดยไม่ได้มีการเข้าไปแทรกแซงการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 5 ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 จนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. มาตรการอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคาร ของรัฐ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้งอาคารของรัฐ ได้มีการอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ รวมเป็นเงิน 491.33 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯเพื่อว่าจ้างศึกษาการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศ เก่าที่ถูกถอดออกและการตรวจสอบการดำเนินงานของตัวแทนดำเนินการ รวมเป็นเงิน 2 ล้านบาท ส่วนโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงิน 237.71 ล้านบาท นอกจากนี้ได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเร่งรัดให้กระทรวง/ทบวง และหน่วยงานต่างๆ ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโครงการเร่งด่วน (Fast Track) ให้แก่ทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกองทัพเรือแล้ว รวมเป็นเงิน 15.4 ล้านบาท และ ยังมีอาคารส่วนราชการยื่นขอรับการสนับสนุนอีกจำนวน 3 ราย คือ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และโรงพยาบาลอุดรธานี จำนวนเงิน 34.53 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการจัดทำข้อเสนออีกจำนวน 15 ราย จำนวนเงิน 45 ล้านบาท
1.2 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)ประกอบ ด้วย โครงการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จำนวน 3 โครงการ คือ 1) โครงการลดต้นทุน อุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SMEs-ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) ซึ่ง ขณะนี้ กสอ. ขอชะลอโครงการฯ ไว้ก่อนเพื่อรอแนวทางที่ชัดเจนของโครงการทดสอบนำร่องก่อนจัดทำข้อเสนอมาใหม่ อีกครั้ง 2) โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารการจัดการพลังงานแก่โรงงาน อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการเบื้องต้นจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน สนับสนุนแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และ 3) โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาด ย่อม ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อเสนอโครงการเบื้องต้นให้สมบูรณ์ก่อนจะนำ เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ มีโครงการของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอีกจำนวน 3 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและโครงการ สาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs เป็นสารทำความเย็น ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาค ความร่วมมือแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ส่วนโครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้แจ้งว่าโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจมีผลกระทบต่องบประมาณ จึงขอนำโครงการฯ กลับไปทบทวน เพื่อรอข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน
1.3 โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน ภาคความร่วมมือได้พิจารณาข้อเสนอโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทาง ไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของกรมควบคุมมลพิษแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และมีมติเห็นชอบให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เพิ่มเติมก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป
1.4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up) โดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะเริ่มให้บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ระยะที่ 1 ในเดือน ตุลาคม - ธันวาคม 2543 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยจะตั้งศูนย์บริการประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก และจะมีศูนย์บริการเคลื่อนที่เพื่อให้บริการกับหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ รวม 10 แห่งๆ ละ ประมาณ 10 วัน และในระยะที่ 2 จะขยายการให้บริการตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ 16 จังหวัด รวมจุดบริการ 60 แห่ง ในระยะเวลา 3 ปี คาดว่าจะให้บริการรถยนต์ได้อย่างน้อย 49,000 คัน
1.5 โครงการรณรงค์ในวันคาร์ฟรีเดย์ (Car Free Day) คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 เห็นชอบให้คณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจร่วมรณรงค์ในวันคาร์ฟรีเดย์ในวันที่ 22 กันยายน 2543 โดยการปรับเปลี่ยนวิธีการเดินทางในแนวทางที่ประหยัด เช่น การใช้รถที่มีขนาดเล็กและ ไม่เปลืองน้ำมัน หรือเดินทางโดยรถสาธารณะ หรือจักรยาน หรืออาจใช้วิธีการใช้รถร่วมกัน (Car Pool) เพื่อให้เกิดการประหยัดน้ำมัน ผลการดำเนินโครงการดังกล่าวพบว่า การจราจรบนถนนเบาบางลงกว่าวันปกติทั่วไป ร้อยละ 5-10 ส่วนบนทางด่วนเบาบางลงร้อยละ 15-20 และจากการตรวจวัดปริมาณมลพิษ 2 ตัวหลัก โดยกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในช่วงเวลา 7.00-24.00 น. ปริมาณมลพิษรวมเมื่อเปรียบเทียบกับในวันที่ 21 กันยายน 2543 ลดลงร้อยละ 9 โดยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ลดลงร้อยละ 2 และฝุ่นละอองขนาดเล็กลดลงร้อยละ 16 สำหรับการใช้บริการรถสาธารณะเมื่อเทียบกับวันที่ 21 กันยายน 2543 พบว่ามีผู้ใช้บริการรถ ขสมก. เพิ่มขึ้น 193,000 คน คิดเป็นร้อยละ 7 ผู้ใช้บริการรถไฟชานเมืองเพิ่มขึ้น 21,500 คน คิดเป็นร้อยละ 36 และผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้น 24,868 คน คิดเป็นร้อยละ 15
1.6 โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน การ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในวงเงิน 168 ล้านบาท ในการจัดสร้างโรงไฟฟ้าระบบเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 500 กิโลวัตต์ โดยจะดำเนินการก่อสร้างในเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน บนพื้นที่ขนาด 18,000 ตารางเมตร ใกล้โรงไฟฟ้าดีเซลของ กฟผ. เพื่อเสริมการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าดีเซล รวมทั้งจะใช้เป็นที่ศึกษาและอบรมนักศึกษา นักวิชาการ นักธุรกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวด้านเซลล์แสงอาทิตย์ในอนาคต
1.7 โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานได้อนุมัติให้สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) ดำเนินโครงการสาธิตเทคโนโลยี ประสิทธิภาพพลังงานซึ่งประกอบด้วยโครงการจัดตั้งศูนย์สาธิต 4 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร อยุธยา พิษณุโลก และเชียงใหม่ และจัดทีมรถนิทรรศการสาธิตเคลื่อนที่ไปอีก 22 จังหวัด รวมทั้งการจัดหาพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้งค่ายฝึกอบรมถาวรด้านวิทยาศาสตร์และพลังงาน สำหรับศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานในกรุงเทพฯ ได้จัดสร้างที่ชั้น 1 อาคารสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม ศกนี้
2. มาตรการลดราคาน้ำมัน ประกอบด้วย
2.1 ปตท. ได้ลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตร 0.25 บาทต่อลิตร และลดราคาน้ำมันหล่อลื่นอีกลิตรละ 2.00 บาท เป็นการชั่วคราวตั้งแต่ 1 เมษายน - 30 กันยายน 2543 และจะพิจารณาขยายเวลาต่อไปอีก นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่สูง ขึ้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ทั้งนี้จะให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรรายครัวเรือนที่สังกัดสถาบัน/องค์กร เกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลโดยชดเชยให้ครัวเรือนละ 15 ลิตรต่อเดือน ในอัตราลิตรละ 3 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม 2543
2.2 ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้แก่กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึง สิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลดลิตรละ 0.60 บาท นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้อนุมัติเงินจ่ายขาดวงเงิน 321 ล้านบาท ให้กับกรมประมงเพื่อใช้ชดเชยการขาดทุนของกลุ่มผู้ประกอบการประมงโดยการลด ราคาให้ในอัตราลิตรละไม่เกิน 3 บาท ให้กับเรือขนาดความยาวเกินกว่า 14 เมตร แต่ไม่เกิน 18 เมตร เป็นระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นมา โดยเปิดรับสมัครสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันภายใต้การควบคุมดูแลขององค์การ สะพานปลา และตั้งแต่วันที่ 1-19 กันยายน 2543 มีการสั่งซื้อน้ำมันดีเซลจาก ปตท. ผ่านองค์การสะพานปลาแล้ว จำนวน 7.904 ล้านลิตร
2.3 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 เห็นชอบในหลักการให้ชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วย รถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงคมนาคมกำหนด ซึ่งต่อมา ปตท. ได้จัดพิมพ์คูปองส่งให้กรมการขนส่งทางบกเพื่อนำไปจ่ายให้ผู้ประกอบการขนส่ง แล้วตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2543
2.4 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมโดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.15 บาท และน้ำมันเตาลิตรละ 0.07 บาท ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2543 แต่เนื่องจากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ปตท. จึงได้ขยายระยะเวลาต่อไปอีกระยะหนึ่ง
3. การจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าราชบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กฟผ., ปตท. และ สพช. โดยมีประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้เพียง 1 ประเด็น คือ ปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าผลการพิจารณาร่วมกันจะมีข้อยุติและสามารถจัดทำสัญญาได้ภายในเดือน ตุลาคม 2543
4. ปตท. ได้เร่งรัดการดำเนินมาตรการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมันเป็นก๊าซ ธรรมชาติมากขึ้นทั้งในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยการจัดทำโครงการ NGV Pre-marketing Project ซึ่งการประเมินผลและการจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์จะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม ศกนี้ ต่อจากนั้นจะนำผลการทดสอบ รวมทั้ง ข้อคิดเห็นเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานในการปรับปรุงรถของ ขสมก. และ กทม.ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตลอดจนการสร้างสถานีบริการก๊าซฯ นอกจากนี้ยังมีโครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบ Bi-fuel ในรถแท๊กซี่อาสาสมัคร จำนวน 100 คัน ใช้งบประมาณของ ปตท. วงเงินประมาณ 4 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2543 โดย ปตท. ได้กำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ให้อยู่ในระดับร้อยละ 50 ของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพื่อเป็นการจูงใจให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น
5. ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มเติมจากอิรัก ทำให้การจัดหาเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้รายงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ไปแล้วซึ่งมีปริมาณ 129.8 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 135.3 พัน บาร์เรลต่อวัน โดยการจัดหาในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 จำนวน 29 พันบาร์เรลต่อวัน การนำเข้าน้ำมันดิบ ดังกล่าวเป็นลักษณะสัญญา TERM ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่ำกว่าตลาดจรประมาณ 0.08-0.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
6. การแสดงความคิดเห็นในเวทีนานาชาติเพื่อสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนจากราคา น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ) ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกลุ่มเอเปค (ยกเว้นจีนไทยเป และฮ่องกง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ Indian Ocean Rim Association for Regional Economic Cooperation-IOR-ARC เพื่อขอให้ร่วมแสดงความห่วงกังวลต่อผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันไปยัง ประชาคมโลกโดยผ่านเวทีนานาชาติที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโอเปคเพื่อ เตือนให้ประเทศในกลุ่มโอเปคคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวจาก ความถดถอยของเศรษฐกิจโลก
ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ในฐานะประธานการประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 10 ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการอังค์ถัด เพื่อขอให้ร่วมแสดงความกังวลต่อ สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกและร่วมส่งสัญญาณเตือนไปยังกลุ่มโอเปค และในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ 3 (Third APEC Senior Officials Meeting) ณ ประเทศบรูไน ดารูซซาลาม ระหว่าง วันที่ 21-23 กันยายน 2543 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ในฐานะรัฐมนตรีพลังงาน ได้มีการนำประเด็นปัญหาเรื่องสถานการณ์ราคาน้ำมันขึ้นหารือ และในการประชุมผู้นำเอเปคครั้งที่ 8 APEC Economic Leaders Meeting ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ก็จะนำปัญหาดังกล่าวขึ้นหารือเช่นกัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ได้เสนอขอให้มีการจัดตั้งสถานี (Tanker) จำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมงในเรื่องต้นทุนการทำประมง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันทางทะเล ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งระบบ การค้าน้ำมันกลางทะเลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติรับทราบผลการศึกษาดังกล่าว และมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ ต่อไป
2. สพช. ได้จัดทำรายละเอียดแนวทางการดำเนินโครงการ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
2.1 โครงการดังกล่าวจะช่วยพัฒนาระบบการป้องกันและปราบปรามน้ำมันเถื่อนในทะเล จากการติดตามจับกุมเป็นการป้องกันมิให้มีการลักลอบนำน้ำมันขึ้นฝั่ง โดยประสานงานกับผู้จำหน่ายน้ำมันในทะเลและชาวประมง ทำให้จับกุมได้ง่ายและทันเวลา สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราม นอกจากนั้นยังช่วยให้เรือประมงได้ใช้น้ำมันคุณภาพดี ราคาต่ำ และสามารถเข้าทดแทนโครงการลดราคาน้ำมันเพื่อช่วยเหลือชาวประมงของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ได้ ช่วยให้ลดภาระค่าใช้จ่ายในการอุดหนุน ได้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งช่วยให้ผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศสามารถจำหน่ายน้ำมันส่วนเกินของโรง กลั่นได้ ซึ่งคาดว่า จะมีปริมาณความต้องการน้ำมันดีเซลของกลุ่มเรือประมงในระดับ 120 ล้านลิตรต่อเดือน หรือมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี
2.2 คุณภาพของน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในโครงการ มีค่ากำมะถันโดยน้ำหนักไม่เกิน 0.5% อุณหภูมิการกลั่นไม่เกิน 3700C และมีการเติมสาร Marker ตามข้อกำหนดของน้ำมันส่งออก รวมทั้งเติมสีน้ำเงิน เพื่อให้มีความแตกต่างจากน้ำมันที่ใช้ทั่วไป
2.3 ราคาที่จำหน่ายให้แก่เรือประมง จะเป็นราคาไม่รวมภาษีและกองทุนต่างๆ และหักค่าปรับลดคุณภาพน้ำมัน บวกด้วยค่าพรีเมี่ยมของโรงกลั่นและผู้จำหน่ายน้ำมันกลางทะเล ทำให้ราคาจำหน่ายจะต่ำกว่าปกติในระดับมากกว่า 2 บาท/ลิตร ขึ้นไป
2.4 การอนุญาตให้จำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่องเป็นอำนาจอนุมัติของอธิบดีกรม ศุลกากร โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเป็นไปตามที่ศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปราม การลักลอบกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม (ศปปป.) กำหนด
2.5 เรือที่จำหน่ายน้ำมันต้องติดตั้งมิเตอร์จ่ายน้ำมันและมีมาตรฐานความปลอดภัย โดยให้ปฏิบัติ ตามระเบียบและมาตรฐานที่ทางราชการกำหนดไว้
2.6 มาตรการควบคุมการลักลอบนำเข้า จะดูแลโดย ศปปป. ซึ่งกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมัน เรือจำหน่ายน้ำมัน และสมาคมประมงฯ ต้องรายงานข้อมูลการซื้อขายเป็นรายเดือน ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบ รวมทั้งสมาคมประมงฯ ต้องแจ้งปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของเรือประมงที่เป็นสมาชิกทุกลำ สำหรับผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งล่วงหน้าถึงข้อมูลการรับน้ำมันจากโรงกลั่น การขนส่งไปยังคลังทัณฑ์บนและขนส่งไปยังเรือจำหน่ายน้ำมัน สถานที่และเวลาการขนถ่ายน้ำมัน เพื่อที่ ศปปป. จะได้ตรวจสอบเปรียบเทียบปริมาณ น้ำมันที่รายงาน ซึ่งต้องสัมพันธ์กับของต้นทาง (โรงกลั่น/ผู้ค้าน้ำมัน) กลางทาง (เรือ Tanker) และปลายทาง (ผู้ซื้อคือเรือประมง) เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่ามีการลักลอบนำเข้าหรือจัดซื้อน้ำมันจากต่างประเทศหรือ ไม่ นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบเรือประมงที่แล่นสู่ชายฝั่งทะเล ท่าเทียบเรือ แพปลา มิให้มีการสูบถ่ายน้ำมันจากเรือประมงออกจากถังนำมาจำหน่ายบนฝั่ง โดยการตรวจสอบสี และสาร Marker ในน้ำมันที่จำหน่ายในสถานีบริการชายฝั่งโดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอความร่วมมือจากสมาคมประมงฯ เรือจำหน่ายน้ำมันและเรือประมงสมาชิกช่วยสอดส่องดูแล แจ้งเบาะแสการกระทำผิดให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐทราบ
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้
3.1 เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
3.2 ให้กรมสรรพสามิตพิจารณาดำเนินการยกเว้นภาษีสรรพสามิต สำหรับน้ำมันดีเซลและน้ำมันที่คล้ายกันที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้จำหน่ายไป ยังเรือจำหน่ายน้ำมันกลางทะเล (Tanker) ในเขตต่อเนื่อง (12-24 ไมล์ทะเล) โดยมีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายให้แก่ชาวประมง เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเรือประมง ในทะเล ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติตามภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
3.3 ให้กรมศุลกากรพิจารณาอนุญาตให้เรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงใน เขต ต่อเนื่อง สามารถขนถ่ายสิ่งของใดๆ ได้ ตามมาตรา 37 ตรี แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 (แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2540)
3.4 ให้กรมศุลกากรพิจารณากำหนดให้การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงออกไปจำหน่ายในเขต ต่อเนื่อง ระบุจุดหมายปลายทางว่า "เขตต่อเนื่อง" รวมทั้ง พิจารณายกเว้นอากรขาเข้าสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชาวประมงซื้อในเขตต่อ เนื่อง และน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในถังใช้การปกติของยานพาหนะที่นำมาจากนอกราช อาณาจักร เพื่อใช้สำหรับยานพาหนะนั้นเท่านั้น
3.5 ให้กรมทะเบียนการค้าไปพิจารณาออกประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะส่ง ออกไปจำหน่ายในเขตต่อเนื่องให้สอดคล้องกับหลักการของโครงการฯ และเหมาะสมกับสภาพการใช้งานในทะเล
3.6 ให้กรมสรรพากรสนับสนุนโครงการฯ โดยการเร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เร็วที่สุด เพื่อให้ ผู้จำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ สามารถแข่งขันราคากับผู้จำหน่ายน้ำมันในต่างประเทศได้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ ในการตรวจสอบความถูกต้องของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอคืน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ ตามข้อ 3
เรื่องที่ 7 ความเห็นเกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม รับไปพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน ในกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้มีการพิจาณาผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมัน ดีเซลและเบนซิน เพื่อเป็นการลดระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
2. กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าควรคงข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันไว้ตามที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากการผ่อนปรนคุณภาพน้ำมันดีเซล โดยการเพิ่มอุณหภูมิการกลั่นจาก 357oC เป็น 370oC และการเพิ่มปริมาณกำมะถันจากร้อยละ 0.05 เป็นร้อยละ 0.5 โดยน้ำหนัก จะมีผลโดยตรงต่อปริมาณฝุ่นละอองในไอเสียของรถยนต์ดีเซลที่จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในบรรยากาศที่อยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐานอยู่ แล้วจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นอกจากนี้ ยังเห็นว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือการใช้น้ำมันอย่างประหยัดและคุ้ม ค่า ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อ เนื่อง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความเห็นว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการผ่อนปรนคุณภาพน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาลดลงบ้างนั้นไม่คุ้มค่ากับความเสียหายต่อสุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจากปัญหามลพิษที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการผ่อนปรนคุณภาพนั้น ดังนั้น จึงควรคงสภาพข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไว้ อนึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เห็นว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือการใช้น้ำมันอย่างประหยัดและคุ้มค่า ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่ 8 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ โดยสาขาพลังงานได้กำหนดแนวทางการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งกำหนดให้มีการวางกรอบการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ และให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงานขึ้นเป็นหน่วยงานอิสระ เพื่อรับผิดชอบในการกำกับดูแลกิจการพลังงานในอนาคต ต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงานเพื่อ ดำเนินการยกร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จ และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภาพิจารณาต่อไปตามลำดับ
2. คณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยใช้กรอบของแนวทางในการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจและคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 และแนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศในระยะยาวที่คณะ รัฐมนตรีได้ให้ความ เห็นชอบเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 รวมทั้งข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้าที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 มาใช้เป็นแนวทางหลักในการ ยกร่างกฎหมายดังกล่าว
3. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีสาระสำคัญ คือ
3.1 เพื่อกำกับดูแลกิจการพลังงานที่มีลักษณะผูกขาด ได้แก่ กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการอื่นที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติมีหน้าที่คือออกใบ อนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน ส่งเสริมการแข่งขัน ป้องกันการใช้อำนาจการผูกขาดโดย มิชอบ และให้การคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน
3.2 ให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติขึ้น เป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการเพื่อให้คณะกรรมการสามารถ ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.3 ให้มีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยขึ้น ทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมระบบส่งไฟฟ้าของประเทศ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน โดยมีคณะกรรมการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้กิจการไฟฟ้ามีการแข่งขัน ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือก ในการซื้อไฟฟ้า และมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดการสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พลังงาน พ.ศ. ... เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2543 โดยได้เชิญผู้แทนจากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ ผู้ใช้พลังงาน สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมสัมมนา นอกจากนี้ ได้ประกาศเชิญชวนประชาชนผู้สนใจทั่วไปให้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ผ่านทางสื่อ ต่างๆ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้กว่า 500 คน ซึ่งคณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ได้นำข้อคิดเห็นที่ได้รับจากการสัมมนาในหลายประเด็น มาใช้ในการปรับปรุงร่างกฎหมายตามความเหมาะสมแล้ว
5. เมื่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ได้รับความเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและคณะ รัฐมนตรีแล้ว ก็จะนำพระราชบัญญัติฉบับนี้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาตรวจ ร่าง ก่อนนำเสนอรัฐสภาพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งคาดว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ประมาณกลางปี 2545
6. ในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐสภา สพช. จะเป็นแกนกลางในการประสานงานเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมาย ที่จะออกตามบทบัญญัติแห่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานของ องค์กรกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน โดยคาดว่าจะจัดตั้งขึ้นภายในปี 2545 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะช่วยให้การประกาศใช้กฎหมายรองรับ รวมทั้งกฎและระเบียบที่จะใช้ในการกำกับดูแลกิจการพลังงานสามารถดำเนินการได้ อย่างรวดเร็วหลังการจัดตั้งองค์กรกำกับการประกอบกิจการพลังงาน และวันเริ่มต้นที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานในการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่ง ประเทศไทยที่กำหนดภายในปี 2546
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดส่งข้อแก้ไขมายัง สพช. เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และเวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
เรื่องที่ 9 แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้า โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว และหากมีประเด็น ที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
2. สพช. ได้จัดทำแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาด กลางซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งได้ปรับปรุงรายละเอียดแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับร่างพระราช บัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า และการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
3. แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้าที่คณะ อนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 สามารถสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
3.1 การจัดทำกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Market Rules) จะครอบคลุมถึงกฎเกณฑ์ กติกาในการซื้อขายไฟฟ้าและการกำหนดราคา ตลอดจนข้อปฏิบัติทางเทคนิคในการควบคุมความมั่นคงของระบบและตรวจวัดหน่วย ไฟฟ้าเพื่อชำระเงิน ในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว สพช. จะเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ทั้งนี้ คาดว่าการจัดทำร่างกฎตลาดกลางฯ จะแล้วเสร็จ และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบได้ในราวเดือนตุลาคม 2544
3.2 การดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ดังกล่าวจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่ กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน ได้แก่ กิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ และคาดว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว จะผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และมีผลใช้บังคับประมาณกลางปี 2545
3.3 การดำเนินการยกร่างกฎหมายรองรับในช่วงที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ ระหว่างการพิจารณาในสภาฯ สพช. จะเป็นแกนกลางในการจัดทำร่างกฎระเบียบ ข้อกำหนด ประกาศ ฯลฯ และรายละเอียดอื่นๆ ทางกฎหมายที่จำเป็นต่อการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระและการดำเนินการของ ตลาดกลางฯในอนาคต
3.4 การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง (Stranded Cost) สพช. เป็นแกนกลางในการดำเนินการและว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแบบจำลองทาง การเงินเพื่อประเมินมูลค่าและเสนอมาตรการในการจัดการต้นทุนติดค้าง ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544
3.5 การดำเนินการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะดำเนินการ ร่วมกันเพื่อจัดทำข้อกำหนดการเชื่อมโยง การใช้บริการและการปฏิบัติการระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Grid Code and Distribution Code) และกำหนดขอบเขตระหว่างระบบส่ง และระบบจำหน่ายให้ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จในปลายปี 2544
3.6 การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟผ. คาดว่าจะสามารถปรับหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กรออกเป็นหน่วยธุรกิจเชิงพาณิชย์ ภายในปลายปี 2544 โดยจะจัดตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ภายในเดือนตุลาคม 2545 และลดสัดส่วนการถือหุ้นภายในเดือนตุลาคม 2546 นอกจากนี้ กฟผ. จะดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านระบบมิเตอร์และการสื่อสารให้เสร็จภายในสิ้น ปี 2545 และจะเริ่มการเตรียมระบบของศูนย์ ควบคุมระบบ (SO) ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (MO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA) โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว กฟผ. ได้ดำเนินการขออนุมัติงบประมาณ ซึ่งจะรวมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนระยะยาว และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สศช. ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จและตลาดกลางฯ สามารถเปิดดำเนินการได้ในเดือนธันวาคม 2546
3.7 การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟน. และ กฟภ. มีดังนี้
(1) การปรับโครงสร้างองค์กรภายใน กฟน. และ กฟภ. จะต้องปรับกิจการหลักเป็นการดำเนินการเชิงพาณิชย์ แยกธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกเป็นบริษัทในเครือ และลดสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำได้แล้วเสร็จก่อนเดือนธันวาคม 2546
(2) การเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี กฟน. และ กฟภ. จะดำเนินการพัฒนาระบบการวัดหน่วยไฟฟ้า ระบบเรียกเก็บเงิน ระบบชำระเงิน และลักษณะการใช้ไฟฟ้ารูปแบบต่างๆ (Load Profiles) เพื่อให้ระบบสามารถรองรับการซื้อขายไฟฟ้าที่มีการแข่งขันได้ภายในปี 2545
3.8 การจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า หลังจากที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีผลใช้บังคับ ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ในช่วงแรกตลาดกลางฯ จะมอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตลาดกลางฯ ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ต้องมีการโอนทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ พนักงาน และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของตลาดกลางฯ จาก กฟผ. ไปเป็นของตลาดกลางฯ ภายใน 3 ปี นับจากวันที่พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ
4. ความคืบหน้าในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้
4.1 คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายให้ สพช. ในการ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาในเรื่อง 1) การกำหนดกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า 2) การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง และ 3) การดำเนินการทางด้านกฎหมายและการกำกับดูแล ซึ่งขณะนี้ สพช. อยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2543
4.2 กฟผ. ได้เริ่มดำเนินการจัดเตรียมระบบศูนย์ควบคุมระบบอิสระโดยได้จัดทำขอบเขตการ ศึกษาสำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคและ ข้อเสนอด้านราคาเพื่อคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา
4.3 กฟน. อยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนา กฟน. โดยจะจัดทำแผนการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และแผนการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อการดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้แล้วเสร็จภาย ในเดือนพฤศจิกายน 2543
4.4 สพช. ได้ช่วยเหลือการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำขอบเขตการศึกษา 3 เรื่อง คือ 1) ข้อกำหนดการเชื่อมโยงการใช้บริการและการปฏิบัติการระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้า 2) การจัดทำแผนการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และ 3) แผนการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดยการศึกษาในเรื่องแรก การไฟฟ้าทั้ง 3 จะดำเนินการร่วมกันเพื่อจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา โดยมี กฟผ. เป็นแกนนำ สำหรับการศึกษาใน 2 เรื่องที่เหลือ กฟภ. จะเป็นผู้ดำเนินการ
4.5 คณะอนุกรรมการประสานฯ เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน จำนวน 5 คณะ คือ คณะทำงานพิจารณาร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า คณะทำงานศึกษาต้นทุนและหนี้สินติดค้าง คณะทำงานเตรียมการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า คณะทำงานเตรียมการด้านกฎหมายและการกำกับดูแล และคณะทำงานพิจารณาปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบตามข้อเสนอแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการ จัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 3 และเอกสารแนบ 2 ของเอกสารแนบวาระ 4.4.1 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนการดำเนินงานฯ และให้กระทรวงการคลังนำแผนดังกล่าวไปใช้เป็นหลักเกณฑ์หนึ่งในการประเมินผล การดำเนินงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
2.รับทราบการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการ ไฟฟ้า สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และมอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาตามขอบเขตการศึกษาที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะ อนุกรรมการประสานฯ รายละเอียดตามข้อ 3 ต่อไป
3.มอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมของระบบตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์ควบคุมระบบ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน โดยให้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดตั้งตลาดกลางฯ มีความเป็นกลางและเป็นไปอย่างราบรื่นตามแผน และให้ กฟผ. เป็นผู้ดำเนินการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าในช่วงแรกไปก่อน ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการตลาดกลางฯ จากนั้นจึงทำการโอนระบบตลาดกลางฯ ออกจาก กฟผ. มาเป็นองค์กรอิสระ (ISO) เพื่อให้ศูนย์ควบคุมระบบเป็นอิสระจากกิจการระบบส่งภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี นับจากวันที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีผลใช้บังคับ
4.มอบหมายให้ สพช. เป็นผู้เตรียมการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน โดยดำเนินการ ยกร่างกฎระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
เรื่องที่ 10 การส่งเสริมนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
สรุปสาระสำคัญ
1. ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) มีข้อกำหนดกระบวนการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ให้มีสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อการผลิต พลังงาน ทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี และมีสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานน้ำมันและ/หรือก๊าซ ธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
2. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอย ตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบมาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดยเห็นชอบให้มีการผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่ใช้ในกระบวน การอุณหภาพจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เป็นเวลา 3 ปี นับจากวันเริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา และผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่ง ของพลังงานความร้อนที่นำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมัน และ/หรือก๊าซธรรมชาติ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากวัน เริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา ซึ่งมีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ขอผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP จำนวน 19 ราย โดยกำหนดวันสิ้นสุดของการได้รับผ่อนผันภายในปี 2546 จำนวนทั้งสิ้น 14 ราย ขอผ่อนผันเป็น Open Cycle จำนวน 10 ราย ขอผ่อนผันสัดส่วนพลังงานความร้อนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 จำนวน 14 ราย และขอผ่อนผันประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 จำนวน 9 ราย
3. สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ขอให้พิจารณายกเลิกเงื่อนไขการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่ใช้ใน กระบวนการอุณหภาพ และสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการ อุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมันและ/หรือก๊าซธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) เนื่องจาก SPP ได้พยายามผลิตไฟฟ้าให้เกิดการใช้พลังงานความร้อนในกระบวนการอุณหภาพให้สอด คล้องตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แต่ปัจจุบันลูกค้าอุตสาหกรรมที่ซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและ การตลาด ทำให้ต้องชะลอการลงทุน ลดการลงทุน หรือยกเลิกโครงการ ส่งผลให้ SPP ไม่สามารถใช้พลังงาน ความร้อนได้ตามเงื่อนไข
4. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องการกำหนดสัดส่วนการผลิตพลังงานความร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้าราย เล็กแล้ว และมีมติ เห็นควรให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำ ไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี และสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมันและ/หรือก๊าซ ธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี สำหรับโครงการ SPP ที่กำหนดวันสิ้นสุดการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ภายในปี 2546 ให้เลื่อนออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2546 ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผันติดต่อกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นรายๆ ไป
5. นอกจากนี้ กรมโยธาธิการได้มีหนังสือถึง สพช. ขอให้พิจารณาสนับสนุนการดำเนินงานของโรง ไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต ในเรื่องการคิดอัตราค่าไฟฟ้าสรุปได้ดังนี้
5.1 โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต ของกรมโยธาธิการ ได้เคยยื่นคำร้องเสนอขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ในปริมาณ 1 เมกะวัตต์ แต่เนื่องจากตามกฎหมายระบุว่ากรมโยธาธิการเป็นหน่วยงานราชการที่ไม่สามารถ ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าได้ กรมโยธาธิการจึงไม่สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ ดังนั้น กฟผ. จึงได้แจ้งยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว
5.2 แม้ว่าโครงการโรงไฟฟ้าขยะของกรมโยธาธิการจะไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ได้ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP แต่โครงการก็ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และส่งกระแสไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) โดยว่าจ้างบริษัทเอกชนดำเนินการ และมีแผนที่จะโอนโครงการดังกล่าวให้กับเทศบาลเมืองภูเก็ตเป็นผู้บริหารงาน ต่อไปประมาณปลายปี 2543 สำหรับการผลิตไฟฟ้าได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นมา พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการและโรงบำบัดน้ำเสียของเทศบาล เมืองภูเก็ต ส่วนที่เหลือจะส่งเข้าระบบของ กฟภ. โดยไม่ได้รับค่าพลังงานไฟฟ้า อย่างไรก็ตามในช่วงที่โรงไฟฟ้าขยะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้อง การใช้ไฟฟ้า โครงการฯ ก็จะซื้อไฟฟ้าจาก กฟภ. ในอัตราปกติประเภทกิจการขนาดกลาง โดยใช้เงินจากงบประมาณ
5.3 กรมโยธาธิการได้มีหนังสือถึง สพช. ขอให้พิจารณาสนับสนุนการดำเนินการของโรงไฟฟ้าขยะ โดยขอให้พิจารณาแลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งให้ กฟภ. และที่ซื้อจาก กฟภ. และของดหรือลดค่า ความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) จากการคิดค่าไฟฟ้าในอัตราปกติประเภทกิจการขนาดกลาง เพื่อเป็นการลดภาระของท้องถิ่นที่จะดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและอนุรักษ์พลังงานในการผลิตไฟฟ้า จากขยะมูลฝอย ตลอดจนเป็นการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมให้ดีขึ้น
5.4 คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว และมีมติเห็นควรให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อ ไฟฟ้าจากโครงการ SPP ขนาดเล็ก โดยมอบให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 ร่วมกันดำเนินการ ต่อไป และเห็นควรให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต แลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบของ กฟภ. กับที่ซื้อจาก กฟภ. ได้ ในระหว่างที่ยังไม่โอนงานให้กับเทศบาลเมืองภูเก็ต โดยกรมโยธาธิการจะไม่คิด ค่าไฟฟ้าสำหรับปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบ กฟภ. เกินกว่าที่ซื้อจาก กฟภ. ทั้งนี้ เมื่อการโอนงาน แล้วเสร็จ เทศบาลเมืองภูเก็ต จะสามารถขอสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้าและยื่นคำร้องเพื่อเสนอขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ได้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP สำหรับโครงการ SPP ที่มีกำหนดวัน สิ้นสุดการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ภายในปี 2546 ออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2546 โดยคุณสมบัติของ SPP ที่ได้รับการผ่อนผันมีดังนี้
1.1 ผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพ นอกจากการผลิตไฟฟ้าต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
1.2 ผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่ง ของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมัน และ/หรือก๊าซธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผันติดต่อกับ กฟผ. เป็นรายๆ ไป
2.เห็นชอบให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อไฟฟ้า จากโครงการ SPP ขนาดเล็กเพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กาก หรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ก๊าซชีวภาพจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็ก ทั้งนี้ มอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการต่อไป
3.เห็นชอบให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต แลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบของ กฟภ. ได้ในระหว่างที่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้รับสัมปทาน ภายหลังจากที่ได้รับสัมปทานแล้วให้โครงการขาย ไฟฟ้าให้ กฟผ. ตามระเบียบ SPP
เรื่องที่ 11 ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องการพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต ไฟฟ้า โดยเห็นชอบให้นำเงื่อนไขหลักๆ ของสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา มายกร่างสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยอัตราค่าผ่านท่อควรสะท้อนถึง การแบ่งภาระความเสี่ยงระหว่าง ปตท. และ กฟผ.
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล โดยเฉพาะเมื่อมีการนำเข้าก๊าซฯจากสหภาพพม่า ปตท. จะเชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้วให้นำก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา (Pool 4) กับก๊าซฯ จากอ่าวไทย และเยตากุน (Pool 2) มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน และเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2542 ได้มีมติเห็นชอบ ให้ กฟผ. ให้ความร่วมมือกับ ปตท. ในการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรีให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของสัญญาฯ ยาดานา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 และให้มีการลงนามในสัญญาโดยเร็ว
3. นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยในส่วนของการจัดหาเชื้อเพลิง (ก๊าซธรรมชาติ) มีประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
3.1 บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีจะทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ ปตท. โดยตรง (Gas Sales Agreement :GSA) ทั้งนี้ กฟผ. จะต้องทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ หลัก (Master Gas Sales Agreement :MGSA) กับ ปตท. ซึ่งจะระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระของ กฟผ. กรณีบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. ส่งให้ครบตามปริมาณที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Minimum Take Liability) ซึ่งเป็นรูปแบบ เดียวกันกับการจัดหาก๊าซของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ในกรณีที่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี ไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กฟผ. จะเป็นผู้จัดหาก๊าซฯ ให้แก่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีเป็นการชั่วคราวจนกว่าบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จะลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กับ ปตท. ได้
3.2 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (GSA) ระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี กับ ปตท. ได้กำหนด เงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณและการจัดส่งก๊าซฯ ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโดยจะใช้สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง บริษัท Tri Energy Company Limited (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนซึ่งซื้อก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. จัดหาจาก สหภาพพม่า) กับ ปตท. เป็นต้นแบบ
3.3 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลัก (MGSA) ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. ได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระรับผิดชอบของ กฟผ. กรณีบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. ส่งให้ครบตามปริมาณที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ โดยอาจจะใช้สัญญาซื้อขายก๊าซฯ หลักตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก เอกชน (Master IPP Program Gas Sales Agreement) ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. เป็นต้นแบบ หรือแก้ไขสัญญาหลักดังกล่าวเพื่อให้ครอบคลุมถึงบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี
4. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2543 และเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 รับทราบ รายงานผลการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรีระหว่าง ปตท. และ กฟผ. โดยให้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
5. ปตท. กฟผ. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดทำสัญญา ซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยคำนึงถึงหลักการการจัดทำสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรี ข้างต้นแล้วเสร็จ โดยแยกออกเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี (Gas Sales Agreement : GSA) ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณและการจัดส่งก๊าซฯ ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี และสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลักระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. (Ratchaburi Master Gas Sales Agreement : RMGSA) ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระความรับผิดชอบของ กฟผ. ในกรณีที่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี ไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. จัดหาให้ตามปริมาณที่กำหนดไว้ตามสัญญา GSA
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี (GSA) และร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลักระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. (RMGSA) โดยเร่งรัดให้ ปตท. และ กฟผ. รวมทั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด รับไปดำเนินการลงนามในสัญญาฯ ดังกล่าวต่อไป
เรื่องที่ 12 การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2541 เห็นชอบการออกพันธบัตรในตลาดทุนต่างประเทศของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมทั้ง เงื่อนไขของธนาคารโลกในการค้ำประกันเงินต้น และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ดำเนินการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ซึ่ง สพช. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา Pricewaterhouse Coopers (PwC) ทำการศึกษาในเรื่องดังกล่าว ซึ่งการศึกษาได้แล้วเสร็จ
2. คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วยผู้แทนจาก สพช. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง สำนักบริหารหนี้สาธารณะ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย นักวิชาการ และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้พิจารณาผลการศึกษาดังกล่าวจนได้ข้อยุติ
3. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้มีการปรับปรุงตามความเห็นของคณะกรรมการกำกับการศึกษาฯ สรุปได้ดังนี้
3.1 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง มีดังนี้
(1) โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กำหนดเป็นโครงสร้างเดียวกัน โดยไม่มีการกำหนดส่วนเพิ่ม-ส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้กับ กฟน. และ กฟภ. ดังเช่นปัจจุบัน แต่มีการชดเชยรายได้ระหว่าง กฟน. และ กฟภ. ในลักษณะเหมาจ่ายแทน
(2) ค่าไฟฟ้าขายส่งประกอบด้วยค่าผลิตไฟฟ้า และค่ากิจการระบบส่ง โดยค่าไฟฟ้าจะ แตกต่างกันตามระดับแรงดัน และช่วงเวลาของการใช้
(3) กำหนดบทปรับค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายส่ง ระหว่าง กฟผ. กับ กฟน. และ กฟภ. หากค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าต่ำกว่า 0.875 ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน
(4) กำหนดค่าบริการการเชื่อมโยงระบบใหม่ ในอัตรา 50,000 บาท/MVA/ปี สำหรับผู้ เชื่อมโยงระบบ ณ ระดับแรงดัน 69 kV ขึ้นไป และ 100,000 บาท/MVA/ปี ณ ระดับแรงดันกลาง
(5) ราคาขายส่งเฉลี่ยจะลดลงจากค่าไฟฟ้าขายส่งปัจจุบันร้อยละ 2 ซึ่งสอดคล้องกับค่า ไฟฟ้าขายปลีกที่ลดลงในสัดส่วนเดียวกัน
3.2 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก มีดังนี้
(1) อัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ยลดลงประมาณร้อยละ 2
(2) ลดการอุดหนุนระหว่างกลุ่มให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มใดต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
(3) โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าจะมีการแยกให้เห็นอย่างชัดเจน สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก
(4) มีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าแบบ Time of Use (TOU) ใหม่ เพื่อให้สะท้อนถึง ต้นทุนและลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟ (Load Profile) ที่เปลี่ยนแปลงไปให้มากที่สุด
(5) ขยายขอบเขตการใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบ TOU ให้ครอบคลุมถึงผู้ใช้ไฟฟ้าในกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่มีการใช้ไฟฟ้าเกินกว่า 250,000 หน่วย/เดือน หรือมีความต้องการพลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ ขึ้นไป นอกจากนี้ อัตรา TOU จะนำมาใช้เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยกิจการขนาด เล็ก และส่วนราชการ
(6) ปรับปรุงการจำแนกกลุ่มผู้ใช้ไฟใหม่ โดยกำหนดให้กลุ่มผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดกลางที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเกิน กว่า 250,000 หน่วย หรือมีความต้องการพลังไฟฟ้าเกินกว่า 1,000 กิโลวัตต์ ขึ้นไป อยู่ในกลุ่มผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ทั้งหมด
(7) รวมค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในปัจจุบันเท่ากับ 64.52 สตางค์/หน่วย เข้าไปในค่าไฟฟ้าฐาน และกำหนดค่า Ft ใหม่ ณ จุดเริ่มต้นเท่ากับ 0
(8) โครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ค่าไฟฟ้าเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป
3.3 ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าจะจำแนกรายละเอียดอัตราค่าไฟฟ้าตามประเภทกิจการ ไฟฟ้า ได้แก่ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่าย รวมทั้งแสดงการให้การอุดหนุนค่าไฟฟ้าระหว่างกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ใช้ไฟทราบถึงค่าไฟฟ้าในแต่ละกิจการไฟฟ้าอย่างแท้จริงและมูลค่า การอุดหนุนค่าไฟฟ้าของตน ทั้งนี้ ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะนำมาใช้กับผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ ก่อน
3.4 คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าได้พิจารณาให้มีการ ปรับปรุงสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของบริษัทที่ปรึกษา PwC ดังนี้
(1) แยกค่า Ft ในแต่ละกิจการอย่างชัดเจน กล่าวคือ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก
(2) ปรับฐานค่า Ft ใหม่ (Rebase เพื่อให้ Ft เท่ากับ 0 ณ จุดเริ่มต้น) เนื่องจากตามข้อเสนอ โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกจะรวมค่า Ft ณ ระดับ 64.52 สตางค์/หน่วย ไว้แล้ว
(3) เนื่องจากการไฟฟ้ายังไม่มีอิสระในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างแท้จริง จึงเห็นควรให้การไฟฟ้านำผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อหนี้สินของการไฟฟ้า ปรับในค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft ได้ในช่วงแรก หากอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากระดับ 38 บาท/เหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ การคำนวณค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2544 เป็นต้นไป ให้การไฟฟ้ารับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย โดยให้มีการปรับค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน (ซึ่งจะเป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยน ที่ใช้ในการคำนวณค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนเมษายน 2544) เกินกว่าร้อยละ 5 แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 45 บาท/เหรียญสหรัฐ แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน ให้การไฟฟ้าคืนผลประโยชน์ให้ประชาชน ผ่านสูตร Ft ทั้งหมด
(4) รายได้ที่เปลี่ยนแปลงของ 3 การไฟฟ้า เนื่องจากราคาขายเปลี่ยนแปลงไปจากที่ประมาณการ (MR) ยังคงให้ปรับค่าไฟฟ้าผ่าน MR ในช่วง 6 เดือนแรก หลังปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ เพื่อให้การไฟฟ้ามีรายได้สอดคล้องกับราคาขายปลีกที่ลดลงร้อยละ 2 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวให้นำค่า MR ออกจากสูตร Ft
(5) ค่า Ft จะปรับตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ จากอัตราเงินเฟ้อที่ใช้ในการคำนวณฐานะการเงินของกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก ทั้งนี้ ค่าตัววัดประสิทธิภาพ หรือค่า "X" สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่าย ได้นำไปรวมไว้ในการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานแล้ว
(6) ค่าใช้จ่ายด้านการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ให้นำออกจากสูตรการคำนวณ Ft
3.5 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า (Financial Tranfers) เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมีต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าที่แตกต่างกัน ในขณะที่โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกเป็นอัตราเดียวกันทั่วประเทศ ควรมีการชดเชยรายได้แบบเหมาจ่าย (Lump sum financial Transfer) จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. แทนการชดเชยรายได้ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่งเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ กฟน. ต้องชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในระดับ 7,979-9,152 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2544-2546
4. คณะกรรมการฯ ได้ศึกษาผลกระทบของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ เปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าปัจจุบันแล้วพบว่า ผลกระทบโดยรวมค่าไฟฟ้าจะลดลงร้อยละ 2.11
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก และรายละเอียดใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 4.6.1-4.6.3 และเอกสารแนบ 8-9 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1 และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป
- เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) รายละเอียดตามข้อ 4.7 และเอกสารแนบ 10 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1 ทั้งนี้ ให้มีการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติครั้งต่อไปใน เดือนกุมภาพันธ์ 2544 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไป ดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
- เห็นชอบในหลักการการชดเชยรายได้ระหว่าง กฟน. และ กฟภ. รวมทั้งกลไกในการปรับปรุงการ ชดเชยรายได้ รายละเอียดตามข้อ 4.8 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1
เรื่องที่ 13 การกำหนดราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบแนวทางในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับผู้ใช้ และอัตราค่าผ่านท่อ ในประเด็นราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ให้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม (Pool) และเมื่อ ปตท. เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้ว ก๊าซฯ จาก Pool 4 (ยาดานา) และ Pool 2 (อ่าวไทย และ เยตากุน) จะถูกนำมาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้อง การ โดยเฉพาะมาตรการเร่งรัดโครงการท่อก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2543 เพื่อเชื่อมโยงระบบท่อส่งก๊าซฯ จาก สหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลัก เพื่อส่งก๊าซฯ จาก สหภาพพม่าไปที่โรงไฟฟ้าวังน้อย
2. ปตท. ได้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Gas Sales Agreement : GSA) กับผู้ใช้โดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ทั้ง 4 ราย และโรงไฟฟ้าราชบุรี ในการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ดังกล่าว อยู่บนพื้นฐานการกำหนดราคาก๊าซฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ที่กำหนดให้มีการ เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลัก แล้วนำราคาก๊าซฯ จาก Pool 2 และ Pool 4 มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน
3. จากการเชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อก๊าซฯ หลักตามโครงการก่อสร้างท่อก๊าซฯราชบุรี-วังน้อยซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จและ เริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯได้จริง (Commissioning) ในวันที่ 1 มกราคม 2544 ขณะที่โรงไฟฟ้า IPP จำนวน 2 รายคือ บริษัทไตรเอนเนอจี้ จำกัด (Tri Energy) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด (Independent Power) สามารถรับก๊าซฯ และผลิตกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กับ กฟผ. (Commercial Operation Date :COD) ได้แล้วตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 และ วันที่ 15 สิงหาคม 2543 ตามลำดับ
4. ปตท. ได้จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ 1) Tri Energy รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของเยตากุนเท่านั้น) และ Pool 4 (ยาดานา) แทนที่จะต้องรับและ จ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (อ่าวไทยและ เยตากุน) และ Pool 4 (ยาดานา) ตามสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติ และ 2) Independent Power รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของอ่าวไทยเท่านั้น) แทนที่จะต้องรับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (อ่าวไทยและ เยตากุน) และ Pool 4 (ยาดานา) ตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ
5. บริษัท Tri Energy ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) แจ้งความเห็นของ กฟผ. ว่า กฟผ. ไม่ควรจะต้องจ่ายค่าก๊าซฯ ในราคาค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจากสหภาพพม่า (เยตากุน และ ยาดานา) โดยเห็นว่า Tri Energy ควรจะรับซื้อก๊าซฯ ในราคาค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 กับ Pool 4 ตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ
6. สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้ร่วมกันพิจารณาประเด็นปัญหาดังกล่าวแล้ว มีความเห็น ดังนี้
6.1 ในหลักการสมควรที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง 1) ปตท. ในฐานะผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติ 2) IPP ในฐานะผู้รับซื้อก๊าซฯ จาก ปตท. และผู้ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. และ 3) กฟผ. ในฐานะผู้รับซื้อไฟฟ้าจาก IPP จำเป็นต้องอ้างถึงสัญญาต่างๆ ที่มีอยู่คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ IPP (Gas Sales Agreement : GSA) ที่กำหนดให้ ปตท. จำหน่ายก๊าซฯ ให้ IPP ในราคาก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 และ Pool 4 และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ IPP (Power Purchase Agreement : PPA) ที่กำหนดให้ราคาไฟฟ้าที่ IPP ขายให้ กฟผ. เป็นราคาส่งต่อ (Passthrough) ตามที่ ปตท. เรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP
6.2 อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงกำหนดแล้วเสร็จของโครงการท่อก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อยที่สามารถ เริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯ ได้จริง (Commissioning) ในวันที่ 1 มกราคม 2544 ซึ่งทำให้ ปตท. สามารถนำราคาก๊าซฯ Pool 4 (สหภาพพม่า) มาเฉลี่ยรวมกับราคาก๊าซฯ จาก Pool 2 ได้ จึงเห็นสมควรกำหนดให้ ปตท. จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ Tri Energy : รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของเยตากุนเท่านั้น) และ Pool 4 (ยาดานา) ส่วน Independent Power : รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของอ่าวไทย เท่านั้น)
6.3 กำหนดให้ กฟผ. รับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก IPP ทั้งสองรายตามราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. เรียกเก็บ ตามที่ได้มีการปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านราคาที่ระบุใน Schedule 4 และ 5 ของสัญญา GSA ไปจนกว่าโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย แล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการ จ่ายก๊าซฯ ได้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2544
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการกำหนดให้ ปตท. จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ บริษัทไตรเอนเนอจี้ จำกัด และ บริษัทผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด ตามข้อ 6.3 รวมทั้งกำหนดให้ กฟผ. รับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก IPP ทั้ง 2 รายตามราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. เรียกเก็บจาก IPP ทั้ง 2 ราย ตามข้อ 6.3 โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านราคาที่ระบุใน Schedule 4 และ 5 ของสัญญา GSA ไปจนกว่าโครงการท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย จะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯ ได้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2544
ปิดประชุมเวลา 13.00 น.
- กพช. ครั้งที่ 79 - วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2543 (2496 Downloads)