มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2540 (ครั้งที่ 65)
วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2540 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รายงานผลความคืบหน้าในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 2
5.แนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน
7.นโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
8.แนวทางในการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
9.หนี้ค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
10.ราคาก๊าซธรรมชาติที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจำหน่ายให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
11.ข้อเสนอแก้ไขกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อส่งเสริมโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard)
นายกร ทัพพะรังสี รองนายกรัฐมนตรี รองประธานกรรมการ เป็นประธานการประชุม
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ถึงต้นเดือนกันยายน 2540 สรุปได้ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดิบโดยรวม ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาอยู่ในสภาวะทรงตัว โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ในระดับ 17-20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบเกิดขึ้น เช่น การส่งออกน้ำมันของอิรัก การขายน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ของเยอรมนี แต่ก็มีผลกระทบต่อระดับราคาน้อยมาก
2. ราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันก๊าด ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนกันยายนค่อนข้างทรงตัว โดยราคา ณ ต้นเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 25.1 และ 21.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาลดลง 1.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในเดือนกรกฎาคม และปรับตัวสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนสิงหาคม โดยราคา ณ ต้นเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 22.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเตาราคาปรับตัวสูงขึ้นโดยตลอดในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาประมาณ 1.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคา ณ ต้นเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 16.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมาได้มีการ ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด จากการที่รัฐบาลปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวทำให้ค่าเงินบาทลดลงจากอัตราแลก เปลี่ยนเดิมในระดับ 25.80 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ลงมาอยู่ในระดับ 36.70 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในต้นเดือนกันยายน จึงทำให้มีการขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลรวม 9 ครั้ง โดยเป็นการทยอยปรับครั้งละ 15-20 สตางค์/ลิตร รวม 1.79 บาท โดยการปรับราคาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2540 เป็นการปรับราคาจากการที่รัฐบาลเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 % เป็น 10 % มีผลให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว เบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว และดีเซลหมุนเร็วในปัจจุบันขึ้นมาอยู่ในระดับ 11.22 , 10.83 และ 10.06 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมอยู่ในระดับ 0.99 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าปกติ เนื่องจากราคาขายปลีกเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าค่าเงินบาทที่ลดลง ส่วนในเดือนสิงหาคมหลังจากมีการทยอยปรับราคาหลายครั้งทำให้ค่าการตลาดเพิ่ม สูงขึ้นเป็น 1.03 บาท/ลิตร สำหรับค่าการกลั่นอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำโดยมีระดับต่ำสุดในเดือนกรกฎาคมที่ 0.70 บาท/ลิตร และเพิ่มสูงขึ้นในเดือนสิงหาคมมาอยู่ในระดับ 0.90 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลความคืบหน้าในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เพื่อให้สามารถริบเรือทุกขนาดที่ใช้ในการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากรได้ และกำหนดมาตรการห้ามขนถ่ายสิ่งของในทะเลนอกเขตท่า ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจร่างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีคำสั่งที่ 2/2540 ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2540 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อป้องกันและ แก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมการแก้ไขกฎเกณฑ์อื่นๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคในการดำเนินงานปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งหมด
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดการสัมมนา เรื่อง การเติมสาร Marker ในน้ำมันเชื้อเพลิงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลจากการสัมมนาทำให้สามารถกำหนดขั้นตอนและรายละเอียดการปฏิบัติได้อย่าง สมบูรณ์ ตั้งแต่การเติมสาร Marker การตรวจสอบน้ำมันว่ามีสาร Marker หรือไม่ และการดำเนินคดีเมื่อพบการกระทำผิด ซึ่งขณะนี้กรมสรรพสามิต กรมตำรวจ และ สพช. กำลังจัดทำรายงานเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความ เห็นชอบในการประชุมคราวต่อไป และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเติมสาร Marker ได้ในช่วงต้นปี 2541 เป็นต้นไป
4. ผลการจับกุมของหน่วยงานปราบปรามในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2540 สามารถจับกุม น้ำมันลักลอบหนีภาษีได้จำนวน 2,092,667 ลิตร ลดลงจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 4.6 ล้านลิตร
5. การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนกรกฎาคม 2540 มีปริมาณ 1,512.8 ล้านลิตร ลดลงจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน 57 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราร้อยละ 3.8 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะมีปริมาณ 1,476.0 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราร้อยละ 3
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 2
สรุปสาระสำคัญ
1. ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยนำผู้แทนส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเดิน ทางไปร่วมการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่สอง ณ เมืองเอดมันตัน มณฑลอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 26-27 สิงหาคม 2540
2. ผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงาน ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในแนวทางที่สำคัญดังนี้
2.1 เห็นชอบร่วมกันตามแนวทางที่ได้เห็นชอบไว้ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งแรก คือ การพัฒนาสาขาพลังงานในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค จะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเพื่อการพัฒนาภูมิ ภาคเอเซีย-แปซิฟิคอย่างยั่งยืนต่อไป
2.2 รับทราบผลการประชุมกลุ่มธุรกิจด้านพลังงาน (Energy Business Forum) ซึ่งจัดขึ้นควบคู่ในโอกาสเดียวกัน และที่ประชุมได้สนับสนุนบทบาทของภาคเอกชนในการแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจและ การเปิดการค้าเสรีสาขาพลังงาน ด้วยการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในรูปผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producers - IPP) และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producers - SPP)
2.3 รับทราบผลการดำเนินการตามแนวหลักการนโยบายที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ (14 Non-Binding Policy Principles) ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคครั้งแรกที่ซิดนีย์ได้เห็นชอบให้ทุก ประเทศถือเป็น แนวทางการดำเนินการด้านพลังงาน และที่ประชุมได้มีมติให้ทุกประเทศยังคงยึดถือแนวนโยบายนี้เป็นหลัก ในการพัฒนาสาขาพลังงานของตนต่อไป
2.4 เห็นชอบหลักการการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในการ ผลิตไฟฟ้า (Best Practice Principles for Independent Power Producers)
2.5 เห็นชอบแนวทางการพัฒนาบริการพื้นฐานซึ่งเหมาะสมสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม โดยมีมติให้ทุกประเทศยึดถือปฏิบัติตามหลักสิ่งแวดล้อมที่ดีในการพัฒนา โครงการด้านไฟฟ้า และให้ผนวกเข้าไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติของแต่ละประเทศ
2.6 เห็นชอบข้อเสนอให้จัดทำความร่วมมือทางด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์พลังงาน และได้มีมติเห็นชอบให้มีความตกลงพหุภาคีเรื่องมาตรฐานผลิตภัณฑ์พลังงานต่างๆ โดยให้ยอมรับผลการทดสอบจากสถาบันทดสอบที่ได้ผ่านการรับรองแล้ว
3. คณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ก่อนการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค การประชุมทวิภาคีกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และรัฐบาลมณฑลอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 การประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการก่อนการประชุมรัฐมนตรี พลังงาน เอเปคเพื่อกำหนดท่าทีของกลุ่มอาเซียนในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคให้ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยรัฐมนตรีพลังงานอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเร่งเปิดเสรีการค้าด้านพลังงานของเอเปคให้เร็ว กว่ากำหนด โดยทั้ง 3 ประเทศประสงค์จะให้กลุ่มอาเซียนสนับสนุนการค้าเสรีของกลุ่มเอเปคตามกำหนด ระยะเวลาซึ่งกลุ่มเอเปคได้เห็นชอบกันแต่เดิม คือ สำหรับประเทศกำลังพัฒนากำหนดให้เปิดเสรีสาขาพลังงานในปี ค.ศ. 2020
3.2 การประชุมทวิภาคีกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ฝ่ายไทยได้ขอบคุณสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน โดยผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และได้ขอร้องให้ทางฝ่ายจีนจัดทำ Statement of Confidence จากผู้นำจีน เพื่อแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่าฝ่ายจีนยังมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของไทย รวมทั้งแสดงถึงความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ซึ่งในเรื่องนี้ฝ่ายจีนได้แจ้งว่ายินดีที่จะดำเนินการให้ต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาถ่านหินในสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกัน รวมทั้งการศึกษาโครงการผลิตไฟฟ้าในมณฑลยูนนานและขายไฟฟ้าให้แก่ไทย โดยฝ่ายไทยจะส่งผู้แทนไปพบกับฝ่ายจีน เพื่อดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
3.3 การประชุมทวิภาคีกับรัฐบาลมณฑลอัลเบอร์ต้า ฝ่ายไทยได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีมณฑลอัลเบอร์ต้า และได้มีการหารือด้านความร่วมมือทางด้านการพัฒนาหินน้ำมัน (Oil shale) ในประเทศไทย โดยฝ่ายรัฐบาลอัลเบอร์ต้ายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและเทคโนโลยี การพัฒนาหินน้ำมันแก่ไทย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 การแก้ไขสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม กับ บริษัทสุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1. บริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด ได้มีหนังสือถึงกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อขอยกเลิกหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำนวน 1,400 ล้านบาท (หนึ่งพันสี่ร้อยล้านบาทถ้วน) ที่บริษัทฯ ได้วางไว้กับกระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่มีการลงนามในสัญญา เนื่องจาก บริษัทฯ เห็นว่าในระหว่างการก่อสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียม บริษัทฯ มีภาระทางด้านการเงินจำนวนมาก จึงขอให้รัฐบาลช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการเงินโดยอ้าง มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540
2. การยกเลิกหนังสือค้ำประกันตามคำร้องขอของบริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด ไม่สามารถดำเนินการได้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540 เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นเรื่อง ข้อเสนอปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อส่งเสริมการแข่งขันของโรงกลั่นปิโตรเลียม ซึ่งเป็นการแก้ไขสัญญาของโรงกลั่นปิโตรเลียม 4 รายคือ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยออยล์ จำกัด, บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด, และบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด เพื่อยกเลิกการเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษ รวมทั้ง ให้ดำเนินการเช่นเดียวกัน หากได้รับการร้องขอจากโรงกลั่นปิโตรเลียมอีก 3 ราย คือ บริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด, บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด, และบริษัท ไทยบิทูเมน จำกัด ดังนั้นหากจะดำเนินการตามคำร้องขอของบริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อน
3. การกำหนดให้ต้องมีการค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาเกิดจากในอดีตรัฐควบคุมการ จัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียม จึงต้องใช้การค้ำประกันเป็นเครื่องมือบังคับให้ผู้รับอนุญาตจัดตั้งโรงกลั่น ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาอย่างจริงจังและภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ในปัจจุบันรัฐเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมได้อย่างเสรี และยกเลิกการกำหนดให้ผู้ขออนุญาตจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมต้องทำสัญญากับ กระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้ไม่ต้องมีการยื่นหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญากับรัฐอีกต่อไป
4. บริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด เป็นผู้รับอนุญาตจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมรายสุดท้ายในช่วงของการควบคุมการ จัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียม และเป็นรายเดียวที่ยังมีหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาต่อรัฐ เนื่องจากระยะเวลาในการก่อสร้างโรงกลั่นตามสัญญายังไม่สิ้นสุด
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่น ปิโตรเลียมเพื่อการส่งออก ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับ บริษัทสุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด เพื่อยกเลิกข้อ 4 ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐ ข้อ 5 เงินผลประโยชน์พิเศษ และข้อ 14 หนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่น ปิโตรเลียมเพื่อการส่งออก ฉบับลงวันที่ 23 สิงหาคม 2539 และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการลงนามในสัญญาดังกล่าวโดยเร็ว ต่อไป
เรื่องที่ 5 แนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐวิสาหกิจทางด้านพลังงานมีทั้งหมด 6 แห่งคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (ปตท. สผ.) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (บจป.) และมีกิจการด้านพลังงานที่รัฐหรือรัฐวิสาหกิจถือหุ้นอยู่ (ไม่รวมกิจการด้านปิโตรเคมี ซึ่ง ปตท. ถือหุ้น) อีก 9 แห่ง คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด, บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (EGCO), บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด, บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด, บริษัท Thai LNG Power จำกัด, บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด, บริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด, และบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบิน กรุงเทพ จำกัด
2. การดำเนินการเพื่อเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงานในช่วงที่ผ่านมา ที่สำคัญ คือ การกระจายหุ้นให้ประชาชนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ การกระจายหุ้นของบริษัท ปตท. สผ. EGCO และ บจป. การดำเนินการส่งเสริมเอกชนลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้า ได้แก่ โครงการ IPP และ SPP รวมทั้งการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศลาว พม่า และ จีน ซึ่งจะทำให้ลดภาระการลงทุนของ กฟผ. ในด้านการผลิตไฟฟ้าลงได้ สำหรับกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติเป็นกิจการผูกขาดโดยธรรมชาติ (Natural Monopoly) ดังนั้น การเพิ่มบทบาทเอกชนจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการแปรรูปและปรับโครงสร้าง เพื่อเพิ่มการแข่งขันและหลีกเลี่ยงการโอนกิจการผูกขาดของรัฐไปเป็นการผูกขาด ของเอกชน
3. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับการแปรรูปกิจการด้านพลังงาน ได้แก่ กฟผ. กฟน. กฟภ. และ ปตท. ดังนี้
3.1 กำหนดให้แยกโรงไฟฟ้าพลังความร้อนของ กฟผ. จัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด และขายหุ้นให้ประชาชน/เอกชน โดย กฟผ. จะเหลือธุรกิจสายส่งและการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ ซึ่งจะยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป โดยในช่วงแรก กฟผ. จะเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตต่างๆ (Central Supplier) แต่ในช่วงต่อไปจะเปิดให้มีการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ ไฟฟ้า โดยใช้บริการสายส่งและสายจำหน่ายของการไฟฟ้า ทั้งนี้รัฐจะเป็นผู้กำกับดูแลอัตราค่าใช้บริการ (Wheeling Charge) นอกจากนี้จะมีการจัดตั้ง Electricity Pool ในการซื้อขายไฟฟ้า โดยในขณะนี้ กฟผ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาซึ่งสรุปผลได้ว่า ควรมีการจัดตั้งบริษัทย่อย ของ กฟผ. รวม 10 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า 3 บริษัท และบริษัทสนับสนุนอื่นๆ 7 บริษัท ส่วนในด้านการกำกับดูแลนั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อพิจารณารูปแบบการกำกับดูแลที่เหมาะสมซึ่งจะ สอดคล้องกับรูปแบบโครงสร้างกิจการไฟฟ้าดังกล่าวในอนาคต
3.2 กำหนดให้ กฟภ. ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ให้มีการจัดตั้งบริษัทในเครือ 4 แห่งเพื่อรับผิดชอบกิจการจำหน่ายไฟฟ้าในแต่ละภาค
3.3 กำหนดให้ กฟน. ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่แยกกิจการบางประเภทออกเป็นบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัทบริการระบบไฟฟ้า บริษัทออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์คอนกรีต และบริษัทบริการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (ESCO)
3.4 กำหนดให้มีการแปรรูป ปตท. และกระจายหุ้นให้ประชาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งขณะนี้ ปตท. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อพิจารณาในรายละเอียดการแปรรูปและกระจายหุ้น ในขณะเดียวกัน สพช. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซ ธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมให้มี การแข่งขันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในการให้ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติขายก๊าซฯได้โดยตรงแก่ผู้ใช้ โดยใช้บริการท่อ (Third Party Access) และให้เอกชนลงทุนในบางส่วนของระบบท่อก๊าซฯ
4. แนวทางในการเร่งแปรรูปกิจการด้านพลังงานโดยการลดบทบาทของรัฐ ดำเนินการได้โดยแบ่งเป็น ระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว ดังนี้
4.1 การขายหุ้นของรัฐที่ดำเนินการได้เร็ว มีดังนี้
(1) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(บจป .) มีกระทรวงการคลังถือหุ้น 48% ควรหาStrategic Investor เข้าถือหุ้นแทนในส่วนนี้ ซึ่งจะทำให้กระทรวงการคลังได้รับเงิน 3,758 ล้านบาท ในกรณีที่ขายหุ้นได้ 15 บาท/หุ้น ในส่วนของ ปตท. ที่ถือหุ้นอยู่ 24% ควรพิจารณาหา Strategic Partner เข้าถือหุ้นแทนเช่นกัน
(2) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบัน กระทรวงการคลังถือหุ้น 12.5% ซึ่งการถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ก็เพื่อความมั่นคงในการจัดหาน้ำมัน แต่ภายใต้สภาวะการณ์แข่งขันของตลาดน้ำมันในปัจจุบันไม่มีความจำเป็นแล้ว ประกอบกับการถือหุ้นในระดับ 12.5% ไม่มีอำนาจเพียงพอในการกำหนดนโยบายของบริษัทฯ หรือ ทิศทางการบริหารงานของบริษัทฯ จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปเจรจากับบริษัท เอสโซ่ฯ เพื่อขายหุ้นคืนทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะได้เงินอย่างน้อย 4,000 ล้านบาท
(3) ปตท.สผ. มี ปตท. ถือหุ้น 70.98% และประชาชน 29.02% เนื่องจากเงื่อนไขเงินกู้ของ ปตท.สผ. กำหนดให้ ปตท. ต้องถือหุ้นอย่างน้อย 51% จึงเสนอให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ลงเหลือ 49-51% โดยจำหน่ายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง ปตท. จะมีรายได้ประมาณ 25,000 ล้านบาท และให้ ปตท. นำเงินดังกล่าวส่งคลังต่อไป
(4) บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (EGCO) ปัจจุบัน กฟผ. ถือหุ้นใน EGCO ถึง 40.7% จึงทำให้ EGCO ไม่สามารถเข้าร่วมในการประมูล IPP ได้ เพราะจะเกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น จึงควรให้ กฟผ. ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 0% โดย EGCO ควรสรรหา Strategic Partner เข้าถือหุ้นแทน ซึ่งจะทำให้มีรายได้ประมาณ 13,765 ล้านบาท
4.2 การขายหุ้นของรัฐที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป มีดังนี้
(1) การแปรรูป กฟผ. โดยลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ในบริษัทผลิตไฟฟ้าที่จะจัดตั้งขึ้นแต่ละบริษัทเหลือ 49% โดยการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และหากยังมีความจำเป็นในการลดบทบาทของ กฟผ. ก็ให้ลดสัดส่วนของ กฟผ. เหลือ 0% โดยหา Strategic Investor ที่เหมาะสม สำหรับระยะเวลาในการขายหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้าแต่ละบริษัทให้คำนึงถึงปัจจัย ต่างๆ ประกอบด้วย ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมควรเป็นดังนี้ บริษัทผลิตไฟฟ้าที่ 1 (บางปะกง) มิถุนายน 2541, บริษัทผลิตไฟฟ้าที่ 3 (แม่เมาะ) มีนาคม 2542, และบริษัทผลิตไฟฟ้าที่ 2 (ราชบุรี) มีนาคม 2543 ตามลำดับ โดยรายได้สุทธิจากการขายหุ้นส่วนหนึ่ง อาจนำไปชำระหนี้สินของ กฟผ. และกระทรวงการคลังอาจกำหนดให้นำเงินส่งคลังอีกจำนวนหนึ่ง
(2) การแปรรูป ปตท. ควรดำเนินการหลังจากการกำหนดนโยบายการแปรรูปกิจการ ก๊าซธรรมชาติแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อยุติภายในเดือนตุลาคม 2540 นี้ สำหรับแนวทางการแปรรูป ปตท. ให้ดำเนินการแยกกิจการท่อก๊าซธรรมชาติ (Main System) ออกเป็นบริษัทจำกัด และกำหนดให้เป็น Common Carrier รวมทั้งให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท.ลงเหลือ 49% ส่วนกิจการอื่นของ ปตท. อาจแยกเป็นบริษัทลูกภายใต้ Holding Company ที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยขั้นแรกปตท. อาจถือหุ้น 100% แล้วจึงนำ Holding เข้าตลาด หลักทรัพย์ฯ โดยลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. เหลือ 49% และควรทยอยดำเนินการ โดยเริ่มจากการกระจายเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระดับ 30% ก่อนแล้วจึงเพิ่มเป็น 51% ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม 2541 และจะทำให้รัฐมีรายได้ประมาณ 153,000 ล้านบาท นอกจากนี้ให้ ปตท. เจรจากับบริษัทเชลล์ฯ และบริษัทคาลเท็กซ์เพื่อขายหุ้นให้บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด ตามลำดับ และให้ ปตท. ซื้อหุ้นของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด จากบริษัทเชลล์ฯ และบริษัทคาลเท็กซ์ฯ
(3) การแปรรูป กฟน. และ กฟภ. เนื่องจากกิจการจำหน่ายไฟฟ้าเป็นกิจการผูกขาด ซึ่งการดำเนินการแปรรูปเป็นเอกชนจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับทั้งพระราช บัญญัติการไฟฟ้านครหลวง และพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งมีการออกกฎหมายใหม่ในการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า ดังนั้น ในระยะสั้นสมควรมีการพิจารณาว่ามีธุรกิจใดของ กฟน. และ กฟภ. ที่ควรแปรรูปหรือยกเลิก ซึ่ง สพช. เห็นว่า ธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีต (ทำเสาไฟฟ้า) น่าจะเป็นธุรกิจที่มีความเหมาะสมที่จะขายให้เอกชนไปดำเนินการได้ในช่วง 2 ปีนี้
4.3 การขายหุ้นของรัฐในระยะยาว ได้แก่ การขายหุ้นใน บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด, บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด, และบริษัท Thai LNG Power จำกัด
4.4 การเพิ่มบทบาทเอกชนในโครงการใหม่ มีดังนี้
(1) กฟผ. สามารถเปลี่ยนโครงการทับสะแกที่กำหนดให้ กฟผ. ดำเนินการเอง เป็นการเปิดประมูล IPP ในรอบต่อไปแทนได้หากยังมีความจำเป็น รวมทั้งสามารถขายโรงไฟฟ้าลำตะคองแบบสูบกลับ ให้เอกชนได้ เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับการชลประทาน โดยอาจแยกเป็นบริษัทที่ 4 หรือผนวกไว้กับบริษัท ผลิตไฟฟ้าบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็ได้
(2) การลงทุนในการขยายระบบท่อก๊าซฯ ของ ปตท. บางเส้นอาจให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการขายหุ้นของรัฐที่ดำเนินการได้เร็วตามข้อ 4.1 โดยให้ ปตท. รับไปพิจารณาขายหุ้นของ ปตท.ในบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ให้แก่ Strategic Investor ที่เหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานดังต่อไปนี้รับไปจัดทำรายละเอียดแล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (กพช.) ภายใน 1 เดือน ดังนี้
(1) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) : กฟผ., บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด, กระทรวงการคลัง, และ สพช.
(2) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) : ปตท., กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงการคลัง, และ สพช.
(3) บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) : กระทรวงการคลัง, สพช., บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด และ ปตท.
(4) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด : กระทรวงการคลัง และสพช.
2.รับทราบแนวทางในการแปรรูป กฟผ. และ ปตท. ตามข้อ 4.2 (1)-(2) 4.3 และ 4.4 โดยมอบหมายให้ กฟผ. ปตท. และ สพช. เร่งดำเนินการศึกษาแนวทางในการแปรรูปในข้อ 4.2 (1)-(2) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและศึกษาความเหมาะสมของแนวทางในการแปรรูปเพิ่มเติมตาม ข้อ 4.4 แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2540
3.ให้ กฟน. และ กฟภ. จัดทำรายละเอียดในการแปรรูปกิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีต แล้วนำเสนอ กพช. ภายใน 1 เดือน
เรื่องที่ 6 การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา
สรุปสาระสำคัญ
1. ในปี 2535 รัฐบาลมีนโยบายยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเตา ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม โดยให้เก็บเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเพียงประเภทเดียว แต่คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน มีความเห็นว่า น้ำมันเตาในช่วงนั้นยังมีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร จึงได้เสนอให้ยังคงจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา โดยปัจจุบันมีการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตากำหนดเป็นมูลค่าที่ 17.5% ของราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ภาษีเทศบาลเท่ากับ 10% ของภาษีสรรพสามิต กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.06 บาท/ลิตร กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 0.01 บาท/ลิตร และภาษีมูลค่าเพิ่ม 10%
2. ในปี 2537 ได้มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาให้ดีขึ้น โดยการลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตาที่จำหน่ายในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ เป็นไม่เกิน 2% โดยน้ำหนัก ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2537 ส่วนในเขตจังหวัดอื่น ให้ลดลงเป็นไม่เกิน 2-3% โดยน้ำหนัก และจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 นอกจากนี้รัฐบาลยังได้กำหนดคุณภาพน้ำมันเตาที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้มงวดกว่าน้ำมันที่จำหน่ายทั่วไป โดยจะต้องใช้น้ำมันเตาที่มีปริมาณกำมะถันโดยเฉลี่ยต่อเดือนไม่สูงกว่า 2% และ 1.7% โดยน้ำหนัก ตามลำดับ รวมทั้งได้มีการกำหนดมาตรฐานการระบายของทั้ง โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม
3. จากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นแบบลอยตัว ทำให้ค่าเงินบาทลดลงและได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้า ทั้ง 3 แห่ง โดยเฉพาะ กฟผ. แม้ว่าจะสามารถเพิ่มค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติตาม ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น แต่ก็ยังคาดว่า กฟผ. จะประสบการขาดทุนในปีงบประมาณ 2540 และคาดว่าในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับ 35 บาท/เหรียญสหรัฐฯ จะต้องมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2540 อันเป็นผลจากผลกระทบของค่าเงินบาทต่อภาระหนี้สินของการไฟฟ้า ในระดับ 15 สตางค์/กิโลวัตต์ชั่วโมง
4. การเก็บภาษีสรรพสามิตทำให้ราคาน้ำมันเตาสูงกว่าที่ควร ในขณะที่เชื้อเพลิงอื่นที่ใช้ทดแทน น้ำมันเตาไม่ถูกเก็บภาษีสรรพสามิต จึงเป็นผลให้น้ำมันเตาเสียเปรียบเชื้อเพลิงอื่นและเกิดการบิดเบือน การตัดสินใจเลือกใช้เชื้อเพลิงของโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า ประกอบกับรัฐบาลได้กำหนดนโยบาย ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาให้ดีขึ้นและมีการกำหนดมาตรฐานการระบายของโรง ไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างเข้มงวด ฉะนั้นในหลักการจึงไม่ควรมีการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาอีกต่อไป โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าน้ำมันเตาจะมีเหลือต้องส่งออกประมาณ 3,000 ล้านลิตร ในขณะที่ประเทศไทยต้องนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นการสูญเสียเงินตราต่างประเทศโดย ไม่จำเป็น
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงได้จัดทำข้อเสนอการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา เป็น 2 ทางเลือก คือ ยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา หรือลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาลงเหลือร้อยละ 8 ของมูลค่า ซึ่งจะมีผลทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีปี 2541 ประมาณ 9,807 ล้านบาท สำหรับทางเลือกที่ 1 และ 5,324 ล้านบาท สำหรับทางเลือกที่ 2 แต่จะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ขายให้ประชาชนลดลง 6 และ 3 สตางค์/กิโลวัตต์ชั่วโมง ตามลำดับ ซึ่งจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นในช่วง ปลายปี
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการว่าไม่ควรมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา แต่ในขณะนี้เห็นควรให้ยังคงจัดเก็บภาษีตามเดิมไปก่อน จนกว่าฐานะการเงินการคลังของประเทศจะอยู่ในภาวะที่เหมาะสมแล้ว จึงพิจารณาดำเนินการให้มีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาต่อไป
เรื่องที่ 7 นโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวที่มีการควบคุมราคา โดยราคาขายปลีกและราคาขายส่งที่กำหนดในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะ เป็น เมื่อเทียบกับราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งกำหนดโดยอิงกับราคา LPG ในตลาดโลก ทำให้ต้องจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยให้แก่ผู้ผลิตก๊าซ LPG ประกอบกับการกำหนดนโยบายราคาขายส่ง ณ คลังก๊าซเท่ากันทั่วประเทศทำให้ต้องจ่ายชดเชยค่าขนส่งก๊าซให้แก่การ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) อีกส่วนหนึ่ง ในขณะที่อัตราภาษีสรรพสามิตของ LPG เท่ากับ 2.17 บาท/กิโลกรัม ราคาขายปลีกของก๊าซหุงต้มเท่ากับ 10.75 บาท/กิโลกรัม และค่าการตลาดเท่ากับ 2.3566 บาท/กิโลกรัม
2. จากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นแบบลอยตัว และการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่า กองทุนน้ำมันฯ จะสามารถรับภาระจ่ายเงินชดเชยได้จนถึงเดือนกันยายน 2540 เท่านั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG โดยพิจารณาเพิ่มราคาขายปลีกและหรือลดอัตราภาษีสรรพสามิตของ ก๊าซ LPG และหรือเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันชนิดอื่น
3. ในหลักการไม่ควรมีการเก็บภาษีสรรพสามิตจากก๊าซ LPG ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม ควรเก็บเฉพาะที่ใช้กับยานพาหนะ และเนื่องจากก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดและก่อให้เกิดมลพิษน้อยกว่าน้ำมันเตา ประกอบกับกำลังผลิตก๊าซ LPG ในปัจจุบันสูงกว่าความต้องการใช้ในประเทศ จึงควรส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซ LPG แทนการใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าหรือใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตก๊าซ LPG ให้ต่ำลง
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดทำข้อเสนอนโยบายราคาก๊าซ LPG เพื่อแก้ไขปัญหากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งไม่สามารถรับภาระจ่ายเงินค่าชดเชยก๊าซ LPG อีกต่อไป และเพื่อให้ราคาก๊าซ LPG สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง โดยกำหนดเป็น 3 แนวทาง ดังนี้
- แนวทางที่ 1 : ยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซ LPG และยกเลิกการกำหนดราคาขายส่ง LPG ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น
- แนวทางที่ 2 : ยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซ LPG แต่ยังคงชดเชยค่าขนส่ง LPG เพื่อให้ราคาขายส่ง LPG ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น
- แนวทางที่ 3 : ไม่เปลี่ยนแปลงราคาขายปลีก LPG และยังคงระบบการกำหนดราคา LPG เช่นเดิม โดยใช้มาตรการด้านภาษีและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อรักษาระดับราคา LPG ได้แก่
พลิงของน้ำมันชนิดอื่น พร้อมลดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ราคาขายปลีกคงที่
ในการดำเนินการตามแนว
(1) ลดอัตราภาษีสรรพสามิต LPG
(2) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันชนิดอื่น
(3) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเ
ทางที่ 1 และ 2 จะต้องมีการดำเนินการเพื่อเพิ่มการแข่งขันในตลาด การค้าก๊าซ LPG ก่อน โดยการยกเลิกการควบคุมการนำเข้า และให้ ปตท. ให้บริการเป็นผู้รับจ้างขนส่งและเก็บรักษาก๊าซของผู้ค้าก๊าซทุกราย (Third Party Access) โดยผู้ค้าก๊าซทุกรายสามารถจะใช้บริการคลังก๊าซภูมิภาคของ ปตท.
5. การดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ จะมีผลกระทบดังต่อไปนี้
5.1 แนวทางที่ 1 และ 2 ราคาขายส่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มของก๊าซ LPG จะเพิ่มขึ้นเท่ากับอัตราเงิน ชดเชย และราคาขายปลีกในส่วนกลางจะสูงขึ้นเท่ากันทั้ง 2 แนวทาง ส่วนราคาขายปลีกในส่วนภูมิภาคตามแนวทางที่ 1 จะสูงขึ้นตามส่วนกลางบวกกับค่าขนส่งไปยังแต่ละพื้นที่ แต่แนวทางที่ 2 จะไม่เปลี่ยนแปลง โดยทั้ง 2 แนวทาง ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ จะลดลงตามอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง
5.2 แนวทางที่ 3 (1) เป็นการลดอัตราภาษีสรรพสามิตเป็นศูนย์ และเพิ่มอัตรากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันชนิดอื่นให้เพียงพอกับการจ่ายชดเชยก๊าซ LPG ดังนั้น จะกระทบต่อราคาขายปลีกของน้ำมันชนิดอื่น ๆ ยกเว้นก๊าซ LPG
5.3 แนวทางที่ 3 (2) การเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันเบนซิน ดีเซลหมุนเร็ว ดีเซลหมุนช้า และน้ำมันเตาจะทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้นเท่ากัน ในขณะที่ตาม แนวทางที่ 3 (3) การเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันชนิดดังกล่าวไม่มีผลต่อราคา ขายปลีก เนื่องจากได้ลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดังกล่าวเท่ากัน
5.4 ทางเลือกที่ 1, 2, 3 (2) ประชาชนโดยรวมมิได้จ่ายเงินมากขึ้น เพราะถ้ามีการยกเลิกการ ควบคุมราคาก็จะมีการลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากน้ำมันต่างๆ เพื่อชดเชยราคา LPG ด้วย โดยราคาน้ำมันจะลดลง ในขณะที่ราคา LPG จะสูงขึ้นบ้าง ซึ่งจะเป็นธรรมสำหรับประชาชนในชนบทซึ่งใช้น้ำมัน แต่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้ LPG ผ่านราคาน้ำมันมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ LPG มีการใช้ในเขตเมืองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางเลือกที่ 3 (1) และ (2) แม้ว่าประชาชนไม่ต้องซื้อน้ำมันและก๊าซที่แพงขึ้น แต่รัฐก็จะขาดรายได้ภาษีกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอาจต้องมีการตัดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมหรือเพิ่มภาษีประเภทอื่น
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า ในหลักการควรดำเนินการตามข้อเสนอในแนวทางที่ 1 เพราะจะทำให้ราคาก๊าซ LPG สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงมากที่สุด แต่เนื่องจากจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในชนบทมากเกินไป จึงควรบรรเทาผลกระทบ โดยในขั้นแรกให้ดำเนินการตามข้อเสนอในแนวทางที่ 2 ไปก่อน และเมื่อสภาวการณ์เหมาะสมจึงค่อยดำเนินการยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซฯ ต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอปรับปรุงนโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ตามแนวทางที่ 2 ทั้งนี้ ให้นำระบบลอยตัวเต็มที่ หรือ ระบบกึ่งลอยตัวมาใช้ และให้พิจารณาลดอัตราภาษีสรรพสามิตและปรับปรุงสูตรราคา ณ โรงกลั่น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะมีต่อประชาชน โดย
1.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง ในการลดอัตราภาษีสรรพสามิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว และมอบหมายให้ สพช. และ ปตท. รับไปพิจารณาปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่น
2.ให้นำผลการดำเนินการตามข้อ 1 เสนอต่อคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเพื่อพิจารณากำหนดโครงสร้างราคาและ ขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้ง ดำเนินการออกประกาศและประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการกำหนดราคาต่อไป
เรื่องที่ 8 แนวทางในการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2538 เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในเรื่องแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2538-2554) โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำการศึกษาความเหมาะสมของสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ เพื่อใช้เป็น แนวทางในการวางแผนพัฒนาพลังงานในอนาคตต่อไป
2. กฟผ. ได้ดำเนินการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา Electronic Data Systems Corporation (EDS) ทำการศึกษาถึงความเหมาะสมในการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และได้จัดทำรายงานผลการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดย กฟผ. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และ สพช. ร่วมพิจารณาผลการศึกษาการซื้อไฟฟ้าจากภายนอกประเทศ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2540 ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่าผลการศึกษาของ บริษัทที่ปรึกษา EDS ดังกล่าว อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เนื่องจากได้คำนึงถึงประเด็นที่สำคัญต่างๆ ไว้อย่างเพียงพอ
3. ผลการศึกษาการซื้อไฟฟ้าจากภายนอกประเทศของบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าว ได้ข้อสรุปที่สำคัญดังนี้
3.1 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเดียว ไม่เกินร้อยละ 13 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
3.2 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจาก 2 ประเทศ ไม่เกินร้อยละ 25 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
3.3 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจาก 3 ประเทศ ไม่เกินร้อยละ 33 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
3.4 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจาก 4 ประเทศ ไม่เกินร้อยละ 38 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
ทั้งนี้ ในการรับซื้อไฟฟ้าจากหลายประเทศ จะต้องจำกัดให้การรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศใดประเทศหนึ่งไม่เกินร้อยละ 13 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดด้วย
4. ในปัจจุบันการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านได้ขยายตัวออกไปอย่างมาก โดยรัฐบาลไทยได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 และรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่าในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2553 ขณะเดียวกันก็ได้มีการหารือเพื่อแลกเปลี่ยนนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้ายูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำจิงหง ปริมาณ 1,200 เมกะวัตต์ แต่ความร่วมมือในการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวยังไม่มีข้อตกลงอย่างเป็นทางการใน ระดับรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
5. เพื่อให้การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังน้ำจิงหงคืบหน้าต่อไป รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) จึงได้พิจารณาเห็นสมควรให้มีการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็น ทางการ เพื่อเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ซึ่งยังอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากภายนอกประเทศ โดย สพช. ได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ได้กำหนดให้ กฟผ. หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ได้ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) และได้กำหนดให้รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนต้องยินยอมให้ผู้ลงทุนไทยมีส่วน ร่วมในการดำเนินโครงการ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบกับข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากภายนอกประเทศตามที่ กฟผ. เสนอ ตามข้อ 3 ของระเบียบวาระที่ 4.5 เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ต่อไป
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ไปเจรจากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเรื่องการขยายความร่วมมือด้านพลังงานของทั้งสองประเทศ และการเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำจิงหง ในมณฑลยูนนาน เพื่อจำหน่ายไฟฟ้า ให้แก่ประเทศไทย
3.เห็นชอบในหลักการร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจารับซื้อไฟฟ้ากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อไป
เรื่องที่ 9 หนี้ค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2534 เห็นชอบแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วน ราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนั้นๆ โดยให้นำงบประมาณค่าสาธารณูปโภคที่ได้รับไปชำระค่าสาธารณูปโภค โดยมิให้นำไปใช้จ่ายเพื่อการอื่น หากงบประมาณที่ตั้งไว้ไม่พอชำระ ให้โอนเงินงบประมาณเหลือจ่ายจากหมวดอื่นไปจ่ายชำระค่าสาธารณูปโภคส่วนที่ เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยให้ถือเป็นความสำคัญลำดับแรกของการใช้เงินเหลือจ่าย และให้รีบดำเนินการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคให้แก่รัฐวิสาหกิจผู้ขายให้แล้ว เสร็จ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้
2. ปัจจุบันส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหลายแห่งยังไม่ได้ถือปฏิบัติเกี่ยวกับ มาตรการการชำระหนี้ค่าไฟฟ้าให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดหนี้สะสมเป็นจำนวนมาก ถึง 2,379 ล้านบาท แบ่งเป็นในเขตการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 1,089 ล้านบาท และเขตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 1,290 ล้านบาท
3. ส่วนการชำระเงินค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย (กฟผ.) ให้แก่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะเป็นไปตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเตา ระหว่าง กฟผ. และ ปตท. สัญญาทั้ง 2 กำหนดเงื่อนไขการชำระเงินภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ กฟผ. ได้รับใบแจ้งหนี้ มีการกำหนดเบี้ยปรับการชำระเงินล่าช้าระหว่าง กฟผ. และ ปตท. โดยคิดเบี้ยปรับเป็นรายวัน นับถัดจากวันครบกำหนดชำระในอัตราเท่ากับดอกเบี้ยขั้นต่ำของเงินกู้เบิกเกิน บัญชี (MOR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด ณ เดือนที่ผิดนัดบวกด้วยสอง อย่างไรก็ตามหาก กฟน. หรือ กฟภ. ชำระค่าไฟแก่ กฟผ. ล่าช้า จะไม่มีเบี้ยปรับ
4. การค้างชำระค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมากรวมถึงการส่งเงินรายได้ เข้ารัฐ และการชำระค่าซื้อไฟฟ้าแก่ กฟผ. ดังนั้น การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จึงเสนอให้เรียกเก็บเงินค่าดอกเบี้ยสำหรับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ชำระ หนี้เกินกำหนด 15 วัน ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เช่นเดียวกับที่ได้ดำเนินการกับผู้ใช้ไฟรายใหญ่
5. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีการพิจารณาเรื่องหนี้ค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและ รัฐวิสาหกิจเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2540 และได้มีมติ ดังนี้
5.1 ให้ส่วนราชการที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 250,000 หน่วยต่อเดือน ซึ่งจะต้องซื้อไฟฟ้าในอัตราเดียวกันกับธุรกิจเอกชนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไปอยู่แล้ว และรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง มีวิธีการชำระเงิน ค่าไฟฟ้าเช่นเดียวกับธุรกิจเอกชน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ดำเนินการแจ้งให้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจดังกล่าว มาทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าด้วย
5.2 ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายชำระเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระเงินค่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป หากชำระเงินเกิน 30 วัน ให้มีเบี้ยปรับโดยคิดเป็นรายวันในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำของเงินกู้เบิกเกิน บัญชี (MOR) ประกาศโดยธนาคารกรุงไทย บวกด้วยสอง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ส่วนราชการที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 250,000 หน่วยต่อเดือนต่อมิเตอร์ ซึ่งจะต้องซื้อไฟฟ้าในอัตราเดียวกันกับธุรกิจเอกชนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไปอยู่แล้ว และรัฐวิสาหกิจทุกแห่งมีวิธีการชำระเงินค่าไฟฟ้าเช่นเดียวกับธุรกิจเอกชน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ดำเนินการแจ้งให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดังกล่าว มาทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าด้วย
2.ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายชำระเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระเงินค่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป หากชำระเงินเกิน 30 วัน ให้มีเบี้ยปรับโดยคิดเป็นรายวันในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำของเงินกู้เบิกเกิน บัญชี (MOR) ประกาศโดยธนาคารกรุงไทย บวกด้วยสอง
3.ในกรณีที่การดำเนินการในข้อ 1 มีปัญหาในทางปฏิบัติเกี่ยวกับเบี้ยปรับที่เกิดจากการชำระค่าไฟฟ้าเกินกำหนด ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานให้ความเห็นชอบเพื่อให้ส่วนราชการ ถือปฏิบัติต่อไป
เรื่องที่ 10 ราคาก๊าซธรรมชาติที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจำหน่ายให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2540 อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจ เรื่อง รายงานการดำเนินการแก้ไขปัญหาการส่งออก โดยในเรื่อง ค่ากระแสไฟฟ้าและพลังงาน ได้ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ในโครงสร้างราคาเดียวกับที่จำหน่ายให้ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ซึ่งต่อมา ปตท. ได้ขอให้พิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงปริมาณจำหน่ายก๊าซฯ ที่แตกต่างกัน ระหว่าง IPP กับSPP รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการส่งก๊าซฯ และความเสี่ยงในการจัดการบริหารสัญญาซึ้อขายก๊าซธรรมชาติ
2. นโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ได้มีการกำหนดราคาและเงื่อนไขการซื้อขายก๊าซธรรมชาติ สำหรับสัญญาระยะยาวที่มีความแน่นอน (Firm) ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) หรือคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยมีการกำหนดหลักการของการกำหนดราคาไว้ ดังนี้
ราคาก๊าซธรรมชาติ = ราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซ + ค่าตอบแทนในการจัดหา และจำหน่าย + ค่าผ่านท่อ
โดยกำหนดค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายเท่ากับ 1.75% ของราคาเนื้อก๊าซฯ หลักการ ดังกล่าว ในขณะนี้มีการนำไปใช้กับราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. จำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ IPP แต่ยังไม่ได้มีการนำไปใช้สำหรับ SPP โดยสูตรราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. ขายให้ SPP ในปัจจุบัน เป็นดังนี้
ราคาก๊าซธรรมชาติของ SPP = ราคาก๊าซฯ ที่ กฟผ. ซื้อ + X · Wy/Wo
โดยที่ X = ค่าการตลาดที่มีค่าเบื้องต้นที่ 11 บาทต่อล้านบีทียู และจะมีค่าลดลงตามปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากซื้อก๊าซฯ ในปริมาณสูงมากกว่า 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ค่า X จะเท่ากับ 0
Wy = ดัชนีราคาขายส่ง (Wholesale Price Index) ในช่วงเวลา y
5. สูตรราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ขายให้ SPP ดังกล่าว ทำให้ราคาขายก๊าซฯ สูงกว่าราคาขายให้ IPP ทั้งๆ ที่เป็นกิจกรรมการผลิตไฟฟ้าเหมือนกัน ดังนั้น SPP จึงขอให้มีการปรับปรุงแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซฯ บางประการ โดยเฉพาะในเรื่องสูตรราคาขาย และการกำหนดปริมาณก๊าซฯ ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าของ SPP ลดลงประมาณ 9.5 สตางค์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ จะทำให้ ปตท. ขาดรายได้จากที่ควรจะได้รับไปประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี
6. ปตท. ได้เสนอใช้สูตรราคาเหมือน IPP แต่กำหนดค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายในระดับ 9.33% ของราคาเนื้อก๊าซฯ แทนที่จะเป็น 1.75% เช่นในกรณีของ IPP ดังนี้
ราคาขายก๊าซฯ ของ SPP = ค่าเนื้อก๊าซ (Pool 3) + ค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่าย (9.33% หรือ 6.4177 บาท/ล้านบีทียู) + ค่าผ่านท่อ
7. สพช. ปตท. และ SPP ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2540 และ 3 กันยายน 2540 เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP เพื่อให้สัญญาดังกล่าวมีความสอดคล้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP จนได้ข้อยุติในประเด็นที่สำคัญๆ และ ปตท. ได้จัดทำร่างสัญญามาตรฐานแล้ว ซึ่งประกอบด้วยการแก้ไขในประเด็นสำคัญๆ เช่น ปริมาณก๊าซฯ ที่ซื้อขาย คุณภาพก๊าซฯ และระดับความดันก๊าซฯ Make Up Period ระยะเวลาทดสอบ ความรับผิดชอบของ ปตท. ในกรณีส่งก๊าซฯ ไม่ได้คุณภาพตามที่กำหนดในสัญญา และระยะเวลาการชำระเงิน
มติของที่ประชุม
1.รับทราบการดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP เพื่อให้สอดคล้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ตามแนวทางการแก้ไขในข้อ 5 ของระเบียบวาระที่ 4.7
2.เห็นชอบโครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ขายให้กับ SPP ตามที่ ปตท. เสนอในข้อ 4 ของระเบียบวาระที่ 4.7
3.มอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP เพื่อให้เป็นไปตามร่างสัญญามาตรฐานตามเอกสารแนบ 3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7 และเพื่อให้ราคาซื้อขายเป็นไปตามโครงสร้างราคาใหม่ ทั้งนี้ให้โครงสร้างราคาขายใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2540
4.สำหรับ SPP ที่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญาให้ ปตท. ยึดถือร่างสัญญามาตรฐานตามเอกสารแนบ 3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7 และโครงสร้างราคาใหม่เป็นหลักในการดำเนินการ
5.มอบหมายให้ สพช. และ ปตท. พิจารณาความเหมาะสมของโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติและสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติที่ ปตท. จำหน่ายให้กับผู้ใช้ก๊าซประเภทอื่นๆ นอกจาก IPP และ SPP โดยกำหนดประเภทผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติที่เป็นลูกค้าของ ปตท. เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและในกระบวนการผลิต และกลุ่มผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิต ทั้งนี้ โครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติดังกล่าวอาจมีลักษณะเป็นขั้นบันได โดย มีหลักการให้ผู้ใช้ก๊าซฯ ในปริมาณมากได้รับราคาที่ถูกกว่า ผู้ใช้ก๊าซฯ ในปริมาณที่น้อยกว่า แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติในเดือนมีนาคม 2532 เห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้โดยสร้างสะพานเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างทะเล อันดามันและอ่าวไทย ประกอบด้วย ท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งทะเลเชื่อมโยงด้วยระบบถนน รถไฟ และท่อส่งน้ำมันมาตรฐานสูง โดยให้ ปตท. เป็นแกนนำในการพัฒนาโครงการในส่วนของกิจการที่เกี่ยวกับปิโตรเลียม และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 เห็นชอบให้ ปตท. ศึกษาในขั้นรายละเอียด (Feasibility Study) 3 โครงการ คือ โครงการระบบท่อส่งน้ำมันดิบกระบี่ - ขนอม โครงการโรงกลั่นน้ำมันในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ และโครงการปิโตรเคมี ซึ่ง ปตท. ได้ว่าจ้าง Fluor Daniel Inc. ดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จและในปัจจุบัน ปตท. กำลังดำเนินการศึกษาทบทวนในรายละเอียดของโครงการ เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเชิญชวนบริษัทที่สนใจเข้าร่วมลงทุนกับ ปตท. ซึ่งมีบางรายได้แสดงความสนใจ เช่น ITOCHU เป็นต้น
2. ตามโครงการดังกล่าวในส่วนของคลังน้ำมันจะมีการดำเนินการจัดตั้งเป็นคลัง สินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน (คสน.) เพื่อรองรับการเป็นคลังน้ำมันปลอดภาษีสำหรับการซื้อขายระหว่างประเทศใน ภูมิภาคตะวันออกไกล แต่เนื่องจากกฎเกณฑ์ของรัฐในปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับการจัดตั้งคลังน้ำมัน เป็นสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็นน้ำมัน (คสน.) ดังนี้
2.1 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ให้กรมศุลกากรระงับการอนุมัติให้จัดตั้งคลัง คสน. ไว้ก่อนจนกว่าปัญหาความเสี่ยงภัยในการเกิดการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง จะได้รับการแก้ไขให้เสร็จเรียบร้อย
2.2 ประกาศกรมศุลกากร ฉบับที่ 12/2539 เรื่องระเบียบเกี่ยวกับคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน ข้อ 16 และระเบียบของกรมศุลกากรว่าด้วยการตรวจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและของเหลวซึ่งนำ เข้าในลักษณะ BULK CARGO กำหนดให้การนำเข้าน้ำมันของคลัง คสน. ถือปฏิบัติเช่นเดียวกันกับการนำเข้าตามปกติเพื่อใช้ในประเทศคือน้ำมันที่นำ เข้าต้องมีคุณภาพ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
3. เพื่อให้สามารถจัดตั้งคลัง คสน. ได้ตามโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการค้าปิโตรเลียมได้ใน อนาคตและจะช่วยให้มีน้ำมันสำรองในประเทศมากขึ้น จึงเห็นควรปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐ โดยขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ในเรื่องการระงับการอนุมัติให้จัดตั้งคลัง คสน. โดยมิให้ใช้บังคับกับการจัดตั้งคลัง คสน. ตามโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ และให้กรมทะเบียนการค้าแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมิให้นำประกาศกำหนดคุณภาพสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศมาใช้บังคับ น้ำมันที่นำมาเก็บในคลัง คสน. และน้ำมันที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ รวมทั้ง ให้มีการแก้ไขประกาศกรมศุลกากร ฉบับที่ 12/2539 ดังกล่าวข้างต้นด้วย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐ เพื่อจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน (คสน.) บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าปิโตรเลียมและมีน้ำมันสำรองใน ประเทศมากขึ้น โดยให้ดำเนินการปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐ ดังนี้
1.ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ในเรื่องการระงับการอนุมัติให้จัดตั้งคลัง คสน. โดยมิให้ใช้บังคับการจัดตั้ง คสน. ตามหลักเกณฑ์ที่จะได้มีการกำหนดขึ้น โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับไปศึกษาและนำเสนอหลักเกณฑ์ใน การจัดตั้งคลัง คสน. ที่เหมาะสมต่อไป
2.ให้กรมทะเบียนการค้าแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง มิให้นำประกาศกำหนดคุณภาพสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศ มาใช้บังคับกับน้ำมันที่นำมาเก็บในคลัง คสน. และน้ำมันที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ
3.ให้กรมศุลกากรแก้ไขประกาศกรมศุลกากร ฉบับที่ 12/2539 เรื่อง ระเบียบเกี่ยวกับคลังสินค้า ทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน มิให้นำหลักเกณฑ์วิธีการที่กรมศุลกากรถือปฏิบัติสำหรับการนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงเพื่อใช้ในประเทศ มาใช้บังคับกับการนำเข้าของคลัง คสน. เพื่อให้คลัง คสน. สามารถนำเข้า - ส่งออกและเก็บรักษาน้ำมันที่มีคุณภาพแตกต่างจากที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ กำหนดได้
- กพช. ครั้งที่ 65 - วันพุธที่ 10 กันยายน 2540 (1721 Downloads)