มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2538 (ครั้งที่ 53)
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.การขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP)
5.การประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1. รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้มีการปรับปรุงมาตรการการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงให้ รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และให้หน่วยงานต่างๆ รับไปดำเนินการและรายงานผลการดำเนินงาน ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมทุกครั้ง นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีในชุดปัจจุบันได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2538 เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2538 (ครั้งที่ 52) เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2538 ให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม ดังนี้
1.1 ให้กรมตำรวจรับไปดำเนินการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจเพื่อปฏิบัติการป้องกันและ ปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมายที่ได้ยุบไปขึ้นอีก ครั้งหนึ่ง และให้ดำเนินการกวดขันปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปและให้รายงานผลการดำเนินงาน ให้ทราบในการประชุมครั้งต่อไป
1.2 มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องรับไปดำเนินการพิจารณาที่จะให้หน่วยงานเอกชนทำหน้าที่ตรวจสอบพฤติการณ์ ของคลังน้ำมันต่างๆ โดยให้ ผู้ค้าน้ำมันสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
2. หน่วยงานต่างๆ ได้รายงานผลการดำเนินงาน ซึ่งมีความคืบหน้าพอสรุปได้ ดังนี้
2.1 กรมศุลกากร
(1) ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือบนบกของคลังน้ำมันในเดือน กันยายน 2538 รวม 27 แห่ง แต่ไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด
(2) ได้ติดตามความคืบหน้าในการตรวจสอบการดัดแปลงเรือประมงที่ถูกจับกุมได้รวม 4 ลำ จากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 4 (สงขลา) ซึ่งได้รับรายงานการดำเนินการเพียง 2 ลำ คือ เรือ น. โชคชัยสมุทร จากการตรวจสอบพบว่า เรือดังกล่าวได้มีการดัดแปลงตัวเรือจริง จึงได้ปรับเป็นเงิน 21,200 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตใช้เรือและใบทะเบียน ส่วนเรือประมงดัดแปลงอีกลำ ไม่ทราบชื่อ แต่จากการตรวจสอบพบว่าเรือลำนี้ใช้ชื่อทางทะเบียนเรือว่า "ชัยเจริญทรัพย์" ซึ่งได้มีการดัดแปลงตัวเรือจริง จึงดำเนินคดีในความผิดที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย และพระราชบัญญัติเรือไทยในอัตราสูงสุดรวม 9 ข้อหา ส่วนใบอนุญาตใช้เรือและใบทะเบียนเรือไทยอยู่ในระหว่างเสนออธิบดีกรมเจ้าท่า ทำการยกเลิก
(3) คณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ติดตามพฤติการณ์ของเรือบรรทุกน้ำมันลักลอบหนีศุลกากร ที่ถูกจับกุม ซึ่งได้รับการวางประกันนำเรือออกไปในระหว่างดำเนินคดี ปรากฏว่า ขณะนี้มีเรือประมงดัดแปลงชื่อเรือ "ลักษณ์สมุทร" และเรือ "ศิริมงคล 1" ไม่จอดเก็บรักษาตามสถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญาประกันที่ทำไว้ต่อกรมศุลกากร
2.2 กรมสรรพสามิต
(1) ได้ดำเนินการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องมือวัดพร้อมอุปกรณ์ควบคุมการรับ-จ่าย น้ำมันในคลังน้ำมันชายฝั่งต่างๆ 42 แห่ง และพบว่ามีคลังน้ำมัน 4 แห่ง คือ คลังน้ำมันของบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสุราษฎร์ธานี คลังน้ำมันของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ที่จังหวัดชลบุรี และคลังน้ำมันของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดระยอง ไม่จำเป็นต้องติดตั้งมาตรวัดและอุปกรณ์ควบคุมการรับ-จ่ายน้ำมัน เนื่องจากคลังของบริษั> เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่ชลบุรี นั้น ทางบริษัทฯ จะเลิกสัญญาเช่าจาก ปตท. และคลังที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทางบริษัทฯจะย้ายไปทำการในคลังใหม่ที่กำลังก่อสร้าง ส่วนคลังของ ปตท. ที่จังหวัดชลบุรี และคลังของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดระยอง เป็นคลังที่ถือเป็นโรงอุตสาหกรรมน้ำมัน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่สรรพสามิตอยู่ประจำเพื่อควบคุมการจัดเก็บภาษีของ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดอยู่แล้ว จึงเหลือคลังน้ำมันชายฝั่งเพียง 38 แห่ง ที่กรมสรรพสามิตจะต้องดำเนินการติดตั้งมาตรวัดและอุปกรณ์ควบคุมการรับ-จ่าย น้ำมัน ซึ่งขณะนี้ทางกรมฯ ได้ลงนามทำสัญญากับบริษัทผู้ดำเนินการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2538 ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้ดำเนินการติดตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน นับแต่วันลงนามในสัญญาเป็นต้นไป และจะเริ่มดำเนินการติดตั้งที่คลังน้ำมันของบริษัท คอสโมออยล์ จำกัด ที่จังหวัดระยอง เป็นแห่งแรก
(2) ในระหว่างที่การติดตั้งอุปกรณ์ยังไม่แล้วเสร็จ กรมสรรพสามิตจะยังคงใช้วิธีการควบคุมการขนถ่ายน้ำมันด้วยการให้เจ้าหน้าที่ ผนึกตราที่ท่อทางรับ-จ่ายน้ำมัน และตรวจวัดปริมาณน้ำมันทุกครั้งที่มีการขนถ่ายน้ำมันและรายงานข้อมูลไปยัง ห้อง Operation Room ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
(3) ผลการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในช่วงที่กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการตาม ข้อ (2) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2537 - กันยายน 2538 เป็นเวลา 10 เดือน สามารถจัดเก็บภาษีได้ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 18.7
3.3 กองทัพเรือ
(1) ผลการดำเนินการตรวจลาดตระเวนในช่วงวันที่ 14 กันยายน -27 ตุลาคม 2538 กองทัพเรือไม่มีการจับกุมเรือที่มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้เลย แต่ได้ตรวจพบเรือที่มีพฤติการณ์ว่าลักลอบนำเข้า รวม 3 ครั้ง และได้ทำการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2538 เวลา 16.45 น. เรือหลวงกระบุรีได้ตรวจพบเรือบรรทุกน้ำมันสัญชาติไทยชื่อ LUCKY ซึ่งมีพฤติกรรมลักลอบค้าน้ำมันอยู่นอกทะเลอาณาเขต บริเวณตำบลที่แลตติจูด 11 องศา 12 ลิบดาเหนือ ลองติจูด 102 องศา 01 ลิบดาตะวันออก พบน้ำมันดีเซล จำนวน 200,000 ลิตร โดยเรือดังกล่าวได้บรรทุกน้ำมันมาจากประเทศสิงคโปร์และจำหน่ายให้เรือประมง ไทยมาตั้งแต่บริเวณเกาะวัย
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2538 เวลา 11.04 น. อากาศยาน F-27 ได้ตรวจลาด ตระเวนพบเรือบรรทุกน้ำมันขนาดกลางชื่อ ISENAGI-MARU มีเรือประมงจำนวน 1 ลำ อยู่ที่ท้ายเรือ ซึ่งมีพฤติกรรมลักลอบค้าน้ำมันในทะเลบริเวณตำบลที่แลตติจูด 11 องศา 25 ลิบดา 0.2 พิลิบดาเหนือ ลองติจูด 100 องศา 20 ลิบดา 0.5 พิลิบดาตะวันออก
ในวันที่ 24 ตุลาคม 2538 เช่นกัน อากาศยาน F-27 ลำดังกล่าว ได้ลาดตระเวนพบเรือ TOYOTA-MARU มีเรือประมงจำนวน 1 ลำ อยู่ที่ท้ายเรือซึ่งมีพฤติกรรมลักลอบค้าน้ำมันในทะเลบริเวณตำบลที่แลตติจูด 11 องศา 50 ลิบดาเหนือ ลองติจูด 100 องศา 21 ลิบดาตะวันออก
(2) กองทัพเรือได้อนุมัติให้ยุบเลิกหน่วยเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการลักลอบ ค้าน้ำมันในทะเลของกองทัพเรือลงแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2538 เป็นต้นไป โดยมอบภารกิจดังกล่าวให้เป็นหน้าที่ของหน่วยปกติ คือ กองเรือภาคที่ 1,2 และ 3 และกองเรือป้องกันฝั่ง
มติของที่ประชุม
ให้หน่วยงานต่างๆ รับไปดำเนินการ และรายงานผลการดำเนินงานในการประชุมครั้งต่อไป ดังนี้
1.ให้กรมตำรวจ กองทัพเรือ และกรมศุลกากร รับไปพิจารณาปรับปรุงค่าใช้จ่ายที่จะใช้ใน การปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ 2539 ให้เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง โดยอาจให้บริษัทผู้ค้าน้ำมันช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย และให้สำนักงบประมาณพิจารณาหาทางช่วยเหลือให้หน่วยงานดังกล่าวได้รับเงินงบ ประมาณเพิ่มขึ้น ส่วนงบประมาณปี 2540 นั้น ให้กรมตำรวจ กองทัพเรือและกรมศุลกากรของบประมาณเพิ่มเติมโดยจัดทำเป็นโครงการขึ้น และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสม ในรายละเอียดของโครงการอีกครั้งหนึ่ง
2.ให้กรมโยธาธิการ รับไปดำเนินการตรวจสอบการก่อสร้างคลังน้ำมันที่ไม่ได้รับอนุญาตจากกรมโยธาธิการในท้องที่ต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 เห็นชอบตามข้อเสนอของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้แก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยวิธีการนำเรือบรรทุก น้ำมัน (Tanker) มาลอยลำจำหน่ายน้ำมันในอ่าวไทยบริเวณนอกเขตทะเลอาณาเขต ซึ่งห่างจากฝั่ง เกินกว่า 12 ไมล์ทะเลออกไป โดยให้มีการขยายเขตน่านน้ำจากปัจจุบัน 12 ไมล์ทะเล เป็น 24 ไมล์ทะเล และให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราช บัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรมีอำนาจปฏิบัติการใน "เขตต่อเนื่อง" ระหว่าง 12-24 ไมล์ทะเลได้
2. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายการปฏิบัติงานศุลกากรใน เขตต่อเนื่องขึ้น เพื่อดำเนินการตามมติ ครม. ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วและ จัดทำข้อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2/2538 (ครั้งที่ 50) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2538 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกำหนดเขตต่อเนื่อง และการขยายอำนาจศุลกากรให้สามารถปฏิบัติงานในเขตต่อเนื่องได้นั้น ถึงแม้จะช่วยแก้ไขปัญหาการลักลอบ นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ แต่น่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมประมงภายในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประมงรายย่อย ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประพาส ลิมปพันธ์) รับไปหารือร่วมกับกรมประมง เพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนแก่กลุ่มประมงรายย่อยและนำเสนอคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาพร้อมกับมาตรการกำหนดเขตต่อเนื่องต่อไป
3. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2538 (ครั้งที่ 51) เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2538 ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายการปฏิบัติงานศุลกากรใน เขตต่อเนื่องอีกครั้ง ร่วมกับข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ที่เห็นชอบให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันของชาวประมงขนาดเล็ก โดยให้สามารถซื้อน้ำมันได้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดลิตรละ 1.20 บาท และมีมติเห็นชอบในหลักการของร่างประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายการปฏิบัติงานศุลกากรในเขตต่อเนื่อง เสนอ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาตรวจร่างต่อไป
4. ครม. ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รวมทั้งร่างประกาศเขตต่อเนื่องและร่างกฎหมายอีก 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจร่างแล้ว และในขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำข้อเสนอของคณะกรรมการกฎหมายทะเลในเรื่องเดียวกันเสนอให้ ครม. พิจารณาประกอบด้วย โดยคณะกรรมการกฎหมายทะเลได้เสนอให้ประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย และออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตต่อ เนื่องเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด พ.ศ. .... ซึ่ง ครม. ได้มีมติ ดังนี้
4.1 เห็นชอบร่างประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประกาศต่อไป
4.2 สำหรับร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติ การเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ให้ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำกลับไปพิจารณาประกอบกับร่างพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการปฏิบัติการฯ ที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมาและนำเสนอ ครม. ต่อไป
5. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขอพระราชทานพระบรม ราชานุญาตให้ประกาศเขตต่อเนื่องแล้ว โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศทั่วไป เล่ม 112 ตอนที่ 69 ง ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2538 แล้ว นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือ ในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงาน เจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่องเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด พ. .... ของกระทรวงการต่างประเทศเสร็จเรียบร้อยแล้วมีข้อเสนอ ดังนี้
5.1 ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด พ.ศ. .... ที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้เป็นกฎหมายที่วางหลักเกณฑ์กลาง เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของประเทศในเขตต่อเนื่องในส่วนที่เกี่ยวกับการคลัง การศุลกากร การเข้าเมือง และการสาธารณสุข ส่วนกรณีที่กฎหมายใดมีรายละเอียดเป็นเช่นใดแล้วก็จะบังคับตามกฎหมายเฉพาะ ดังนั้น หลักการของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จึงไม่ขัดแย้งกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... อันเป็นกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการศุลกากรและการเดินเรือในเขต ต่อเนื่อง ซึ่งผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วแต่อย่างใด
5.2 แต่โดยที่ร่างพระราชบัญญัติที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมีปัญหาข้อกฎหมาย ค่อนข้างมาก ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกนานจึงจะหาข้อยุติได้ จึงเห็นสมควรเสนอร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วมาเพื่อพิจารณาก่อน สำหรับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตต่อ เนื่อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด พ.ศ. .... นั้น เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเป็นประการใดแล้วจะได้เสนอมา อีกครั้งหนึ่ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พิจารณาตรวจร่างเรียบร้อยแล้ว
เรื่องที่ 3 การขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตรายเล็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กซึ่งผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น และยังเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้าด้วย
2. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก โดยมีการกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าไว้หลายประการ เช่น กำหนดปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กให้ไม่เกิน 60 เมกะวัตต์ ณ จุดเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาที่เรียกว่า ค่าใช้จ่ายที่หลีกเลี่ยงได้ (Avoided Cost) หรือหลักเกณฑ์สำหรับค่าใช้จ่ายที่ กฟผ. สามารถลดได้หรือหลีกเลี่ยงได้จากการไม่ต้องผลิตไฟฟ้าในส่วนที่ผู้ผลิตราย เล็กผลิตไฟฟ้าให้กับ กฟผ. นอกจากนี้ราคารับซื้อไฟฟ้าที่กำหนดยังมีหลายระดับ โดยผู้ผลิตรายเล็กที่สามารถผลิตไฟฟ้าให้กับ กฟผ. เป็นระยะเวลาที่ยาวนานและมั่นคงก็จะได้ราคารับซื้อไฟฟ้าที่สูงกว่าผู้ผลิต รายเล็กที่ผลิตไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ในระยะเวลาที่สั้นกว่า
3. ความก้าวหน้าการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก มีดังนี้
3.1 ปัจจุบันมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก รวมทั้งสิ้น 17 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายรวม 285.5 เมกะวัตต์ ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่เกิน 5 ปี เป็นลักษณะ Non-Firm Contract จำนวน 15 ราย ซึ่งได้แก่ การผลิตกระแสไฟฟ้าจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น โรงงานน้ำตาลใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิง โรงสีข้าวใช้แกลบและเศษไม้เป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น และมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าประเภท Firm จำนวน 2 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายรวม 150 เมกะวัตต์
3.2 ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบจากผู้ผลิตรายเล็กมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก กล่าวคือ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ กฟผ. รับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กเฉลี่ยต่อเดือนเท่ากับ 1.1 ล้านหน่วย ในปี 2537 เพิ่มขึ้นเป็น 12.3 ล้านหน่วย/เดือน ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2538
3.3 การส่งเสริมผู้ผลิตรายเล็กเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศโดยรวม เนื่องจาก ผู้ผลิตรายเล็กสามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองและ/หรือขายให้ผู้ใช้ไฟรายอื่นใน บริเวณใกล้เคียงแล้ว ยังสามารถขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ได้ด้วย ซึ่งหากพิจารณาจากกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมที่ผู้ผลิตรายเล็กลงนามในสัญญากับ กฟผ. แล้ว แสดงให้เห็นว่าระบบจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 783.5 เมกะวัตต์ ทำให้ กฟผ. สามารถลดการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้เป็นจำนวนเงินประมาณ 23,500 ล้านบาท
4. ปัญหาในการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กมีดังนี้
4.1 ผู้ผลิตรายเล็กยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าเกินกว่าปริมาณที่ประกาศรับซื้อ โดยปัจจุบันมีผู้ผลิตรายเล็กยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าต่อ กฟผ. เป็นจำนวนถึง 1,444 เมกะวัตต์ สูงกว่าปริมาณที่ กฟผ. ประกาศรับซื้อ ซึ่งมีจำนวน 300 เมกะวัตต์ ดังนั้น หากมีการพิจารณาขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเพิ่มขึ้น จะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศได้อีกมาก
4.2 สูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าในสัญญาประเภท Firm มีความไม่แน่นอน สูตร ปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่รับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก ในสัญญาประเภท Firm กำหนดให้ "อัตราค่าพลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตาม ค่าพลังงานไฟฟ้าของราคาที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายขายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท กิจการขนาดกลาง/ใหญ่ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ" โดยสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคาเชื้อ เพลิง และสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ของ กฟผ. ซึ่งมีการจัดการที่แตกต่างไปจากการใช้เชื้อเพลิงของผู้ผลิตรายเล็ก จึงเป็นผลให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ลงทุน และเป็นปัญหาในการจัดหาเงินกู้ของโครงการ
4.3 การเชื่อมโยงระบบของผู้ผลิตรายเล็กเข้ากับระบบของ กฟภ. การ เชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของผู้ผลิตรายเล็กเข้ากับระบบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในระดับแรงดัน 69 หรือ 115 kV กฟภ. ได้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตรายเล็กจัดหาที่ดินเป็นจำนวนประมาณ 5 ไร่ ให้ กฟภ. เพื่อใช้ในการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยของ กฟภ. การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวก่อให้เกิดภาระอย่างมากต่อผู้ผลิตรายเล็ก จนอาจไม่สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ แต่ปัญหาดังกล่าว ได้รับการแก้ไขแล้วในระดับหนึ่ง โดย กฟภ. ประกาศให้ผู้ผลิตรายเล็กไม่ต้องจัดหาที่ดินให้ กฟภ. เพื่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย แต่ขอให้จัดทำระบบเชื่อมโยงเพื่อรับไฟในลักษณะ ring main (Terminal Station) ซึ่งจะใช้เนื้อที่เล็กลงมาก พร้อมกับให้มีข้อกำหนดทางเทคนิคของอุปกรณ์ที่จะใช้ด้วย
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการ เพื่อให้นโยบายดังกล่าวเกิดผลในการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดภาระด้านการลงทุนของรัฐอย่างจริงจัง โดยมีข้อเสนอเพื่อการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ดังนี้
5.1 การขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็ก เนื่องจาก ผู้ผลิตรายเล็กมีความประสงค์จะผลิตและเสนอขายไฟฟ้าต่อ กฟผ. สูงกว่าปริมาณที่ประกาศรับซื้อไว้มาก ขณะที่ความต้องการพลังงาน ไฟฟ้าของประเทศได้เพิ่มขึ้นสูงมากเช่นกัน การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการจัดหาไฟฟ้าเพื่อ สนองตอบต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น และเป็นการผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพด้วย อย่างไรก็ตาม หากปริมาณการรับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กมีสัดส่วนที่สูงเกินไป จะทำให้มีผลต่อการควบคุมระบบผลิตไฟฟ้าและกำลังการผลิตสำรองอันจะส่งผลกระทบ ต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าโดยรวม ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กที่เหมาะสมควรอยู่ในระดับร้อยละ 5 ของความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการกำหนดหลักการในการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อ ดังนี้
(1) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการพลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันสมควรที่จะ ประกาศขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กจาก 300 เมกะวัตต์ เป็น 800 เมกะวัตต์ โดยให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันจัดทำประกาศการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อต่อไป
(2) การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าในปริมาณที่เกินกว่า 800 เมกะวัตต์ ในอนาคตนั้น สมควรมอบหมายให้ สพช. และ กฟผ. พิจารณาดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้า และเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้า เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการไฟฟ้าของประเทศที่อาจจะเปลี่ยนแปลง ไป โดยให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาต่อไป
5.2 การปรับปรุงสูตรปรับค่าไฟฟ้าที่รับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กในสัญญาประเภท Firm สำหรับผู้ผลิต รายเล็กตามสัญญาประเภท Firm และอยู่ในขอบเขตการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อ 800 เมกะวัตต์ เพื่อให้ราคารับซื้อไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามสถานการณ์ราคาพลังงานที่แท้ จริง และเป็นการลดความเสี่ยงของ ผู้ลงทุน โดยให้ผู้ผลิตรายเล็กสามารถดำเนินการจัดหาเงินกู้ได้ กฟผ. และ สพช. พิจารณาเห็นควรให้ปรับปรุงสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อจากผู้ผลิตราย เล็กในสัญญาประเภท Firm ที่ใช้น้ำมันเตาหรือก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงจากเดิมที่กำหนดไว้ให้ "ค่าพลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตามค่าพลังงานไฟฟ้าของราคาที่การไฟฟ้าฝ่าย จำหน่ายขายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง/ใหญ่ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ" เป็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อราคาน้ำมันเตาที่ กฟผ. ซื้อ หรือราคาก๊าซที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตรายเล็ก เปลี่ยนแปลงจากราคาฐาน (ราคาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2538) ตามสูตร ดังนี้
สูตรปรับค่าพลังงานไฟฟ้า = (Pt-1 - Po) x Heat Rate
- เมื่อ Pt-1 คือราคาเชื้อเพลิงในเดือนก่อนหน้าเดือนคิดเงินค่าไฟฟ้า 1 เดือน
- Po คือราคาเชื้อเพลิงในเดือนสิงหาคม 2538 ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณ
- Heat Rate คือค่าความสิ้นเปลืองในการใช้เชื้อเพลิงเฉลี่ย เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า 1 kWh ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมบางปะกง และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมระยอง
- ราคาน้ำมันเตา ใช้ราคาเฉลี่ยที่ กฟผ. ซื้อในเดือนก่อนหน้าเดือนคิดเงินค่าไฟฟ้า 1 เดือน
- ราคาก๊าซธรรมชาติ ใช้ราคาเฉลี่ยที่ ปตท. จำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตรายเล็ก ในเดือนก่อนหน้าคิดเงินค่าไฟฟ้า 1 เดือน
ทั้งนี้ ผู้ผลิตรายเล็กที่ใช้เชื้อเพลิงนอกเหนือจากน้ำมันเตาหรือก๊าซธรรมชาติเป็น เชื้อเพลิง ให้มีการปรับอัตราค่าพลังงานไฟฟ้าตามประกาศอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตราย เล็กฉบับเดิม เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการให้ขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก จาก 300 เมกะวัตต์ เป็น 1,444 เมกะวัตต์ และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จัดทำประกาศการขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กและประกาศใช้ต่อ ไป
2.เห็นชอบให้มีการปรับปรุงสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. รับซื้อจากผู้ผลิตรายเล็กตามข้อ 5.2 และมอบหมายให้ กฟผ. ร่วมกับ สพช. จัดทำประกาศอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กและประกาศใช้ต่อไป ทั้งนี้ จะต้องไม่มีการเพิ่มเติมปัจจัยอื่นๆ เข้าไปในสูตรปรับอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวอีก
3.เห็นชอบให้ สพช. และ กฟผ. พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้า และเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ในปริมาณที่เกิน 1,444 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับความต้องการพลังไฟฟ้าของประเทศในอนาคตและนำเสนอคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 การแปรูปการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 เห็นชอบตามข้อเสนอของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดแนวทางในการดำเนินการ Corporatize การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.1 แปลง กฟภ. เป็นรัฐวิสาหกิจที่ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และดำเนิน กิจการในลักษณะเชิงธุรกิจมากขึ้น
1.2 ปรับปรุงโครงสร้าง กฟภ. ออกเป็นหน่วยธุรกิจ รับผิดชอบการจำหน่ายไฟฟ้าในแต่ละภาค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ความคล่องตัวในการบริหารงาน และคุณภาพบริการลูกค้า
1.3 แปลง กฟภ. เป็นบริษัทจำกัด โดยการแก้ไขพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (พ.ร.บ. กฟภ.)
1.4 แยกบริษัท กฟภ. จำกัด เป็นบริษัทจำหน่ายไฟฟ้าในแต่ละภาคตามหน่วยธุรกิจที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้ว
2. ต่อมา กฟภ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดี โดยได้ว่าจ้างบริษัท Southern Electric International ทำการศึกษาความเหมาะสมโครงการแปรรูป กฟภ. ซึ่งได้ทำการศึกษาเสร็จแล้ว ดังนั้น กฟภ. จึงได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ขอให้นำรายงานดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการ ไฟฟ้า และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาตามลำดับ ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณารายงานการศึกษาของ กฟภ. แล้ว มีความเห็นว่า กฟภ. มีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงโครงสร้างองค์กร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 4 ประการ คือ
2.1 ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การให้บริการ ให้อยู่ในระดับสากล รวดเร็ว ทันสมัย และมีคุณภาพ
2.2 ส่งเสริมและสร้างโอกาสให้เอกชนอื่นๆ เข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนากิจการด้านสาธารณูปโภคให้กว้างขวาง
2.3 ส่งเสริมและขยายโอกาสการแข่งขันในเชิงธุรกิจให้เต็มที่
2.4 ลดภาระการลงทุนของรัฐให้มากที่สุด
3. การดำเนินการแปรรูป กฟภ. มีมาตรการสำคัญๆ ดังนี้
3.1 การปรับโครงสร้าง
(1) กระจายอำนาจในการบริหารไปสู่ส่วนภูมิภาคให้มากที่สุด โดยแยกกิจการจำหน่ายไฟฟ้าเป็น 4 ภาค ในลักษณะกิจการในเครือของ กฟภ. (Subsidiary) ตลอดจนการพัฒนากิจการในเครืออื่นๆ เช่น กิจการบริการระบบข้อมูลและประมวลผล (Information System) กิจการวิศวกรรม (Engineering and Supervision) กิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีต (Poles Manufacturing) กิจการก่อสร้างและบำรุงรักษา (Construction and Maintenance) และกิจการผลิตไฟฟ้า (Power Services) โดยมีการดำเนินการ ดังนี้
ระยะที่ 1 ให้การไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค และกิจการในเครือดำเนินการในลักษณะหน่วยธุรกิจ
ระยะที่ 2 ให้การไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค และกิจการในเครือปรับการดำเนินการให้เป็นลักษณะศูนย์กำไร
ระยะที่ 3 ให้การไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค และกิจการในเครือมีการดำเนินงานในรูปลักษณะของกิจการบริษัทจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ กฟภ. โดย กฟภ. ยังคงเป็นเจ้าของในรูปแบบของบริษัทผู้ถือหุ้น โดยที่ กฟภ. ยังมีความรับผิดชอบในด้านการให้บริการ เช่น ด้านวิศวกรรม ด้านการกำกับดูแลนโยบายอย่างกว้างๆ การดูแลความมั่นคงด้านการเงิน และด้านการประสานงาน เช่น ด้านพลังงานไฟฟ้ากับ กฟผ. และหน่วยงานอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกเหนือไปจากนี้แล้ว กิจการหรือบริษัทที่แยกออกมา ก็จะสามารถดำเนินกิจการไปอย่างเอกเทศได้ และพร้อมที่จะเป็นบริษัทจำกัดที่แยกออกมาอย่างเต็มตัว
(2) บริษัทในเครือของ กฟภ. ต้องเตรียมตัวในการที่จะขยายขอบเขตธุรกิจไปยังภาคเอกชน และควรจะประเมินสถานภาพในการที่จะเข้าร่วมลงทุนกับภาคเอกชน
(3) บทบาทของสำนักงานกลางของ กฟภ. จะมีลักษณะการทำงานและบทบาทคล้ายกับบริษัทผู้ถือหุ้น โดยเป็นไปในรูปของงานด้านสนับสนุนองค์กร
3.2 การเปลี่ยนแปลงองค์กรและขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง กฟภ. ต้องมีการเปลี่ยนแปลงองค์กร เพื่อให้ กฟภ. สามารถดำเนินกิจการในรูปของบริษัทจำกัดได้ในปี 2541 ดังนั้นโครงสร้างของ กฟภ. ในปัจจุบันจะต้องเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ปัจจุบันและรองรับกับการดำเนินงานในอนาคต โดยขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ กฟภ. แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
(1) การเปลี่ยนแปลงในช่วงปีงบประมาณ 2538 เป็นการเปลี่ยนแปลงการดำเนินการให้เป็นลักษณะหน่วยธุรกิจ โดยการโอน ย้ายงาน และความรับผิดชอบบางส่วนจากสำนักงานกลาง ไปยังการไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค ตลอดจนปรับปรุง โอน ย้ายหน่วยงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้องและคล้ายคลึงกันให้อยู่ ภายใต้สายงานเดียวกัน โดยให้ความสำคัญของงานด้านวางแผนกลยุทธ์ของสำนักงานใหญ่ และด้านค้นคว้าวิจัยและวางแผนการตลาด
(2) การเปลี่ยนแปลงในช่วงปีงบประมาณ 2539 เป็นการเปลี่ยนแปลงการไฟฟ้าภาคต่างๆ จากลักษณะหน่วยธุรกิจไปเป็นลักษณะศูนย์กำไร โดยรวมงานด้านการบริหารธุรการส่วนกลาง เข้าด้วยกัน และให้รวมไว้ที่สำนักงานกลาง โดยอยู่ภายใต้สายงานการบริการส่วนกลางและจัดตั้งหน่วยประสานงานให้มีหน้าที่ ติดต่อกับหน่วยงานภายนอก กฟภ. หรือต่างประเทศ
(3) การเปลี่ยนแปลงในช่วงปีงบประมาณ 2540 กำหนดให้มีการวางแผนรวม หรือจัดหากลยุทธ์ระยะยาวด้านการตลาด ลูกค้า และธุรกิจของ กฟภ. และปรับเปลี่ยนสำนักงานกลางของ กฟภ. ไปเป็นสำนักบริการส่วนกลาง ซึ่งมีลักษณะการทำงานและบทบาทคล้ายกับบริษัทผู้ถือหุ้น ส่วนศูนย์กำไรจะดำเนินการโดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนไปเป็นบริษัทในเครือ ต่างๆ ได้แก่ บริษัทการไฟฟ้าภาคทั้ง 4 ภาค บริษัทบริการระบบข้อมูลและประมวลผล บริษัทวิศวกรรม บริษัทผลิตภัณฑ์คอนกรีต บริษัทก่อสร้างและบำรุงรักษา และในที่สุดจะกลายเป็นบริษัทอิสระ
(4) การเปลี่ยนแปลงในช่วงปีงบประมาณ 2541 เป็นต้นไป โครงสร้าง กฟภ. จะประกอบด้วย สำนักงานกลางของ กฟภ. บริษัทการไฟฟ้าภาค บริษัทในเครือด้านการตลาดทั้งในและต่างประเทศ และบริษัทในเครือด้านการบริการภายใน
3.3 การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ ขณะนี้ พ.ร.บ. กฟภ. ยังไม่เปิดโอกาสให้ กฟภ.ร่วมลงทุนกับภาคเอกชนได้ จึงจำเป็นต้องแก้ไข พ.ร.บ. กฟภ. ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของ กฟภ. เพื่อให้สามารถร่วมลงทุนกับภาคเอกชนได้ รวมทั้ง ก่อตั้งบริษัทในเครือ
3.4 กฟภ. จะต้องดำเนินการในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการเงิน ด้านการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ ด้านการรายงานข้อมูลเพื่อการบริหารรวม ด้านการพัฒนาระบบไฟฟ้า ด้านการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
4. การดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และ ครม. ให้ความเห็นชอบในหลักการแผนการแปรรูป กฟภ. แล้ว กฟภ. จะดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการและรายละเอียดเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ เห็นสมควรให้มีการทำการศึกษาเพิ่มเติมใน 2 เรื่อง คือ
4.1 การปรับปรุงประสิทธิภาพ กฟภ.
4.2 ความเหมาะสมและแนวทางในการแยกระบบส่งไฟฟ้าออกเป็นองค์กรอิสระจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการแผนการแปรรูปการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และมอบหมายให้ กฟภ. รับไปดำเนินการต่อไป
2.ให้ กฟภ. จัดทำแผนปฏิบัติการและรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเพื่อการแปรรูป กฟภ. เป็นบริษัทและบริษัทในเครือ รวมทั้ง แก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการศึกษาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพ กฟภ. ทั้งนี้ให้คำนึงถึงข้อสังเกตของที่ประชุมด้วย และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป
3.มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมกันทำการศึกษาแนวทางในการแยกระบบส่งไฟฟ้าออกเป็นองค์กรอิสระจากการไฟฟ้า ทั้ง 3 แห่ง
เรื่องที่ 5 การประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2534 เห็นชอบแผนการระดมทุนของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (บผฟ.) ขึ้น โดยในขั้นแรก กฟผ. ถือหุ้นทั้งหมด เพื่อรับซื้อโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ระยองของ กฟผ. โดยใช้เงินจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. เหลือไม่เกินร้อยละ 49 และเห็นชอบให้ซื้อโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนอม ซึ่งต่อมา ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของ กฟผ. ในส่วนของ บผฟ. และเพื่อให้เป็นที่จูงใจแก่ผู้ลงทุน จึงกำหนดให้ บผฟ. สามารถขยายกิจการได้ โดยในสัญญาซื้อขายโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมระยองระหว่าง กฟผ. และ บผฟ. ให้ระบุ กฟผ. ให้สิทธิ (Option) บผฟ. ซื้อโรงไฟฟ้าขนอมด้วย (ทั้งโรงไฟฟ้าเดิมและโรงไฟฟ้าใหม่)
2. ต่อมา ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องการแปรรูป กฟผ. บางส่วน โดยการจัดตั้ง บผฟ. ตามขั้นตอนการขออนุมัติ และการขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่ง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2537 เห็นชอบขั้นสุดท้ายในเรื่องต่อไปนี้
2.1 อนุมัติให้ กฟผ. ขายโอนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมระยองให้ บผฟ. หรือบริษัทในเครือได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
2.2 อนุมัติให้ กฟผ. ซื้อกระแสไฟฟ้าจาก บผฟ. หรือบริษัทในเครือที่รับโอนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมระยองได้ตามร่างสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ยกเว้นในส่วนของอัตราค่าไฟฟ้า
2.3 ให้ กฟผ. และ บผฟ. เร่งเจรจาต่อรองกับสถาบันการเงินเพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขเงินกู้ที่เป็นประโยชน์สูงสุด และปรับปรุงการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้า ในกรณีที่อัตราค่าไฟฟ้าไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากให้เสนอประธานคณะกรรมการ พิจารณานโยบายพลังงาน (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) พิจารณาอนุมัติค่าไฟฟ้า และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบต่อไป สำหรับกรณีที่อัตราค่าไฟฟ้าเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2537 ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้อนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะซื้อจาก บผฟ. หรือบริษัทในเครือ
3. กฟผ. และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายทรัพย์สิน สัญญาซื้อขายไฟฟ้าและสัญญาการบำรุงรักษาหลัก โดยสัญญาซื้อขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าระยองได้ให้สิทธิ (Option) แก่ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. เจรจาซื้อขายโรงไฟฟ้าขนอมจาก กฟผ. ได้ ซึ่งต่อมา บผฟ. ได้มีหนังสือแจ้งการขอใช้สิทธิซื้อโรงไฟฟ้าขนอมมายัง กฟผ. เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2538 และได้ จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) ขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2538 โดย บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 99.99 เพื่อจะรับซื้อโรงไฟฟ้าขนอมจาก กฟผ. ซึ่ง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องการขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ขายโรงไฟฟ้าขนอมโดยเห็นชอบในหลักการให้ กฟผ. ขายโรงไฟฟ้าขนอมให้แก่ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด ตามขั้นตอนการขออนุมัติและการขอรับการสนับสนุนจาก ครม. ดังมีรายละเอียดดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 : การขออนุมัติและการขอรับการสนับสนุนในหลักการจาก .
ในการดำเนินการเบื้องต้นนั้น กฟผ. จำเป็นต้องขออนุมัติและขอรับการสนับสนุนในหลักการจาก ครม. เพื่อให้สามารถดำเนินการต่างๆ ที่จำเป็นได้ครบถ้วน ภายในวันที่ 30 กันยายน 2538 ดังนี้
(1) ขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ขายโรงไฟฟ้าขนอม (ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 1 ชุด ขนาด 674 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน 2 เครื่องขนาด 2 x 75 เมกะวัตต์ รวมเป็นกำลังผลิตติดตั้งทั้งหมด 824 เมกะวัตต์) แก่ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. โดยใช้สาระสำคัญตามสัญญาซื้อขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าระยองระหว่าง กฟผ. กับ บฟร. เป็นแนวทางในการจัดทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม
(2) ขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งดำเนินกิจการโดย บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. โดยใช้สาระสำคัญตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าระยองระหว่าง กฟผ. กับ บฟร. เป็นแนวทางในการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจาก โรงไฟฟ้าขนอม
(3) ขออนุมัติให้ กฟผ. ทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายและการประกอบการโรงไฟฟ้าขนอมเป็นภาษาอังกฤษ
(4) ขอให้ ครม. กำหนดนโยบายให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาในการส่งเสริมการลงทุนแก่ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. โดยให้ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีอื่นๆ เป็นระยะเวลาสูงสุดตามที่กฎหมายอนุญาต
(5) ขอให้ ครม. แต่งตั้งคณะกรรมการประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 โดยขอให้แต่งตั้งผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และผู้แทน กฟผ. ร่วมเป็นกรรมการด้วย แล้วนำผลการประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมเสนอต่อ ครม. โดยเสนอผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
(6) ขอการสนับสนุนให้หน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความอนุเคราะห์ให้ความ ร่วมมือ และอำนวยความสะดวกในการขอรับการอนุมัติและใบอนุญาตต่างๆ ที่จำเป็นในการซื้อขายและการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าขนอม เพื่อให้ทันกำหนดการโอนทรัพย์สิน ภายในวันที่ 30 กันยายน 2538
ขั้นตอนที่ 2 : การขออนุมัติขั้นสุดท้ายจากคณะรัฐมนตรี
ภายหลังจากการดำเนินการตามขั้นตอนที่ 1 และการจัดทำร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอมเสร็จแล้ว ยังมีขั้นตอนการขออนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และ ครม. ขั้นสุดท้ายดังนี้
(1) การขออนุมัติราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมที่ กฟผ. จะขายและโอนให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. ตามสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม และการขออนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าอันกำหนดโดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรง ไฟฟ้าขนอม
(2) การขออนุมัติให้ กฟผ. ขายและโอนโรงไฟฟ้าขนอมให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม และการขออนุมัติให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอมได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจาก โรงไฟฟ้าขนอม
5. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 91/2538 ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2538 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอภิลาศ โอสถานนท์) เป็นประธาน และกรรมการ ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน สพช. และ กฟผ. เพื่อพิจารณาประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมให้เป็นไปตามมติคณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538
6. คณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม ได้รายงานผลการพิจารณาต่อ สพช. เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2538 โดยในการพิจารณาราคาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม ได้ใช้วิธีการประเมินราคาจำหน่าย ซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้กันทั่วไป ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนอม (ขนาด 674 เมกะวัตต์) เป็น โรงไฟฟ้าที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จ จึงใช้วิธีการทางบัญชีสุทธิบวกผลตอบแทนเงินลงทุนที่ใช้เงินรายได้ของ กฟผ. (Original Cost Less Depreciation Plus Interest From Fixed Deposit: OCLD+FD) โดยคำนวณผลตอบแทนตั้งแต่เริ่มลงทุนจนถึงวันโอนทรัพย์สิน และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนบนเรือขนอมเครื่องที่ 1 และ 2 (ขนาด 2 x 75 เมกะวัตต์) เป็นโรงไฟฟ้าเก่าใช้งานมาเป็นเวลา 15 ปี และ 6 ปี ตามลำดับ จึงประเมินราคาโดยใช้วิธีประเมินราคาทดแทนตามมูลค่าปัจจุบัน (Replacement Cost Less Depreciation: RCLD) ทั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม ได้ประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ณ วันที่ 30 กันยายน 2538 เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 17,483 ล้านบาท
โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
6.1 ราคาที่ดิน จำนวน 358 ไร่ 3 งาน 58.5 ตารางวา (ตามการประเมินของกรมที่ดิน) เป็นเงิน 943 ล้านบาท
6.2 ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนบนเรือขนอม เครื่องที่ 1 และ 2 (ตามวิธี RCLD) เป็นเงิน 2,479 ล้านบาท
6.3 ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนอม (ตามวิธี OCLD+FD) เป็นเงิน 14,054 ล้านบาท
6.4 ค่าใช้จ่ายดำเนินการขายโรงไฟฟ้าขนอม เป็นเงิน 7 ล้านบาท
รวมทั้งสิ้น 17,483 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับไปดำเนินการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม โดยใช้หลักสากลคือ กำหนดให้ กฟผ. คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญการประเมินทรัพย์สินที่พิจารณาเห็นว่ามีความเหมาะสม 1 ราย และให้บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) คัดเลือก 1 ราย แล้วให้ ผู้เชี่ยวชาญฯ ทั้ง 2 รายร่วมกันพิจารณาคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญการประเมินทรัพย์สินที่น่าเชื่อถือ อีก 2 ราย ทำการประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม เมื่อได้ราคาประเมินจากผู้เชี่ยวชาญฯ ทั้ง 4 รายแล้ว ให้คัดมูลค่าประเมินสูงสุดและต่ำสุดออก และนำส่วนที่เหลือมาเฉลี่ยเป็นค่าประเมิน ซึ่งหากราคาประเมินที่ผู้เชี่ยวชาญฯ ประเมินสูงกว่าราคาประเมินของคณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอม ก็ให้ใช้ราคาประเมินของผู้เชี่ยวชาญฯ แต่หากราคาประเมินของผู้เชี่ยวชาญฯ ต่ำกว่า ก็ให้ใช้ราคาประเมินตามที่คณะกรรมการพิจารณาจำหน่ายโรงไฟฟ้าขนอมได้ประเมิน ไว้ คือ 17,483 ล้านบาท และให้ กฟผ. นำผลการประเมินเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติดังกล่าว
- กพช. ครั้งที่ 53 - วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2538 (2767 Downloads)