มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2539 (ครั้งที่ 59)
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2539 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
4.ข้อตกลงความร่วมมือด้านพลังงานของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค (APEC)
5.การประกวดราคาน้ำมันเตาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
6.การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การให้เอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบน้ำมัน กรมทะเบียนการค้าได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับประกาศกระทรวง พาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 และประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง กำหนดชนิดน้ำมันที่ต้องจัดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระ คุณสมบัติของผู้ตรวจวัดอิสระ และแบบรายงานผลการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเดิมกรมทะเบียนการค้าได้ผ่อนผันการนำเข้าให้ระยะหนึ่ง เพื่อให้ผู้ตรวจวัดอิสระได้มาขึ้นทะเบียนแล้ว จึงจะบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป จนถึงขณะนี้มีผู้ตรวจวัดอิสระมาขึ้นทะเบียนต่อกรมฯ แล้วรวม 3 ราย และมีผู้ค้าน้ำมันที่จัดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระและได้รายงานผลการตรวจสอบให้ กรมทะเบียนการค้าทราบแล้ว จำนวน 9 ราย
2. การปรับปรุงใบกำกับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง กรมทะเบียนการค้า และ สพช. ได้ดำเนินการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขใบกำกับการขนส่งตามมติคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติแล้ว และกรมทะเบียนการค้าได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2539) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมัน เชื้อเพลิง ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2539 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไป ส่วนการดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น กรมทะเบียนการค้าและสพช. จะได้ดำเนินการในลำดับต่อไป
3. การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมทะเบียนการค้า ได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2539) เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2539 และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่เจ้า หน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้กรมโยธาธิการ ได้ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการฯ แล้วเช่นกัน และขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อมอบหมายอำนาจให้ต่อไป
4. การควบคุมผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลาย
4.1 กรมสรรพสามิตได้รายงานว่า กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการนำสารละลาย (Solvent) เข้าอยู่ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพื่อจัดเก็บภาษี และพิจารณายกเว้นภาษีให้ หากมีการนำไปใช้ในการผลิตสินค้า โดยจะได้จัดทำร่างกฎหมายและประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
4.2 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ร่วมกับกรมทะเบียนการค้าดำเนินการจัดรถตรวจ สอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเคลื่อนที่ตรวจสอบสถานีบริการ โดยได้เริ่มตรวจสอบสถานีบริการ จำนวน 96 แห่ง ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือในเดือนสิงหาคม 2539 และพบสถานีบริการที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพต่ำ รวม 3 แห่ง
5. การควบคุมน้ำมันที่ส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
5.1 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สั่งการให้มีการดำเนินการตรวจสอบการขนส่งน้ำมัน ที่ส่งออกไปยัง สปป.ลาว ในเดือนสิงหาคม 2539 โดยได้ประสานกับกรมศุลกากรแล้ว ปรากฎว่ายังไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด
5.2 กรมศุลกากร ได้เตรียมการจะจัดส่งคณะผู้แทนศุลกากรไทยไปหารือกับศุลกากรของ สปป.ลาว เพื่อหามาตรการป้องกันมิให้มีการลักลอบนำกลับเข้ามาใช้ในประเทศไทย และขอความร่วมมือให้มีการขนส่งน้ำมันผ่านแดนไปโดยเร็ว
5.3 กรมสรรพสามิต ในฐานะที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบหลักฐานเพื่อคืนภาษีน้ำมันในกรณีดังกล่าว ได้เสนอมาตรการเสริมในการป้องกันปัญหา โดยเสนอให้ผู้ขอคืนภาษีน้ำมันต้องแสดงหลักฐานที่ผ่านการรับรองจากเจ้า หน้าที่ของ สปป.ลาว ว่าได้มีการรับน้ำมันจำนวนดังกล่าวจากประเทศไทยแล้ว
6. การดำเนินการของศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล ได้รายงานผลการดำเนินการในช่วงเดือนกรกฎาคม 2539-ปัจจุบัน ว่าได้มีการจัดประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเลร่วมกับกอง บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการตำรวจน้ำ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมเจ้าท่า และ สพช. เพื่อประชุมหารือในการประสานการปฏิบัติและรับทราบปัญหาอุปสรรค ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 และได้มีการจัดทำเอกสารข้อมูลพื้นฐานข่าวกรองการลักลอบนำเข้าให้แก่หน่วย ราชการที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว
ผลการจับกุมทางทะเลในช่วงเดือนกรกฎาคม 2539-ปัจจุบัน สามารถจับกุมเรือลักลอบนำเข้าได้ รวม 4 ครั้ง ดังนี้
(1) กองทัพเรือ
- เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลงชื่อ ขุนโชคชัย พบน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ปริมาณ 60,000 ลิตร
- เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลง ชื่อ ป.ปราบสมุทร พบน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปริมาณ 170,000 ลิตร
(2) กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
- เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลงได้ 3 ลำ บริเวณห่างฝั่งจังหวัดนครศรีธรรมราชออกไป 20 ไมล์ คือ
- เรือนางพญาตานี 1 พบน้ำมันดีเซล ปริมาณ 450,000 ลิตร
- เรือนางพญาตานี 2 พบน้ำมันดีเซล ปริมาณ 240,000 ลิตร
- เรือไวกิ้ง 1 พบน้ำมันดีเซล ปริมาณ 350,000 ลิตร
- เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลง ชื่อลิ้มชุลีพร 2 บริเวณแม่น้ำตรัง แพปลาภมร อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พบน้ำมันดีเซลปริมาณ 5,000 ลิตร
7. การดำเนินงานของ สพช.
สพช. ในฐานะศูนย์รวมการประสานงานฯ ได้ดำเนินการจัดสัมมนาความรู้เกี่ยวกับการปราบปรามน้ำมันเถื่อนทางบก เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 ให้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ รวม 200 คน โดยได้เชิญวิทยากรจาก กองทัพเรือ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมโยธาธิการ กรมทะเบียนการค้า บรรยายความรู้ในการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานให้แก่ผู้เข้าอบรม
นอกจากนี้ สพช. ได้ทำการศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซล ปรากฎว่าการลดภาษีสรรพสามิตลง 1.00 บาท และมีน้ำมันเข้าสู่ระบบปริมาณ 2,000 ล้านลิตรต่อปี จะทำให้มีผู้ใช้รถดีเซลซึ่งจะเป็นผู้เสียประโยชน์จากการรับภาระภาษีแทนผู้ ใช้น้ำมันดีเซลกลุ่มอื่นๆ มากกว่าผู้ได้รับประโยชน์ ซึ่ง สพช. เห็นว่า ไม่สมควรดำเนินการลดภาษีสรรพสามิตและจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซลแทน โดยเฉพาะการลดภาษีลง ในระดับ 1.00 บาท นั้น ไม่น่าจะลดแรงจูงใจในการลักลอบนำเข้าลงได้
8. การตรวจสอบเรือประมงดัดแปลง กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการตรวจสอบเรือประมงดัดแปลงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2538 เป็นต้นมา ปรากฎว่า ไม่พบการดัดแปลงเรือประมงแต่อย่างใด
9. การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่อง สพช. ได้รายงานความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่าขณะนี้ พระราชบัญญัติที่เพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่องทั้ง 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. .... ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการแปรญัตติสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และจะนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 ในการประชุมในสมัยต่อไป
10. การติดตั้งมิเตอร์เพิ่มเติม กรมสรรพสามิตได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการ ดังนี้
10.1 กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ในคลังที่กรมสรรพากรแจ้งมาจำนวน 4 คลัง แล้ว 1 คลัง คือ คลังน้ำมัน บริษัท ท่าทองปิโตรเลียม จำกัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยดำเนินการติดตั้งในคราวเดียวกับ 37 คลังแรก สำหรับคลังน้ำมันส่วนที่เหลืออีก 3 คลัง กรมสรรพสามิตจะดำเนินการติดตั้งในระยะต่อไปพร้อมกับคลังน้ำมันชายฝั่งทะเล แห่งอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ติดตั้งมิเตอร์รวมทั้งหมด 18 คลัง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นเพื่อจัดทำโครงการติดตั้ง มิเตอร์
10.2 กรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบคลังน้ำมันเบนซินที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเล มีจำนวน 39 คลังแล้วปรากฎว่า คลังน้ำมันเหล่านี้ทั้งหมดเป็นคลังที่เก็บน้ำมันดีเซลหมุนเร็วด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ได้มีการติดตั้งมิเตอร์สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสำรวจและตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น เพื่อพิจารณาจัดทำโครงการติดตั้งมิเตอร์ในระยะต่อไป
10.3 การติดตั้งมิเตอร์ที่คลังสินค้าทัณฑ์บน อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ขณะนี้อยู่ในระหว่างการติดต่อประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อร่วมกันพิจารณาจัดทำโครงการติดตั้งมิเตอร์ที่คลังสินค้าทัณฑ์บนดัง กล่าว
11. การเติมสาร Marker ในน้ำมันที่เสียภาษีแล้ว
กรมสรรพสามิตกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกสาร Marker ที่เหมาะสมสำหรับใช้เติมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว คุณสมบัติของสาร Marker แต่ละชนิด วิธีการใช้ วิธีการตรวจสอบ ข้อดีและข้อเสีย โดยศึกษาข้อมูลจากบริษัทผู้ค้า Marker ที่เสนอมา จำนวน 2 ราย ซึ่งเมื่อสามารถคัดเลือกสาร Marker ที่เหมาะสมได้แล้ว กรมสรรพสามิตจะได้พิจารณากำหนดวิธีการควบคุมการเติมสาร Marker ให้รัดกุมต่อไป
นอกจากนี้ สพช. ได้พิจารณาเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเพื่ออนุมัติ ค่าใช้จ่ายในการนำกรมสรรพสามิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานไปดูงาน การเติมสาร Marker ในต่างประเทศ เป็นวงเงิน 4.2 ล้านบาท
12. การให้การสนับสนุนงบประมาณ สำนักงบประมาณได้รายงานผลการพิจารณาให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่กองทัพเรือ จำนวนเงิน 240 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจการณ์ในเวลากลางคืน และ กรมเจ้าท่า จำนวนเงิน 450 ล้านบาท เพื่อใช้จัดซื้อเรือตรวจการณ์ขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ ว่าสำนักงบประมาณได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว เห็นว่ามาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น เป็นมาตรการและนโยบายที่สำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล โดยสำนักงบประมาณได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้นทั้งกองทัพ เรือและกรมเจ้าท่าในการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือเจียดจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นค่าจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจการณ์ในเวลากลางคืนและ เรือตรวจการณ์ขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ แล้ว ไม่สามารถดำเนินการปรับแผนหรือเจียดจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2540 ทั้ง 2 หน่วยงาน ดังกล่าวได้ แต่เพื่อเป็นการสนองนโยบายรัฐบาลและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี จึงเห็นควรสนับสนุนให้กองทัพเรือและกรมเจ้าท่าใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2540 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าจัดหาครุภัณฑ์ดังกล่าว ทั้งนี้ โดยให้ทั้ง 2 หน่วยงานขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนและรายละเอียดต่อไป
13. ปริมาณการจำหน่าย ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนกรกฎาคม 2539 มีปริมาณ 1,558 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 268 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายมีปริมาณ 1,420 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 213 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มร้อยละ 18
14. สรุปผลการจับกุม ในเดือนมกราคม -7 สิงหาคม 2539 สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบหนีภาษีได้เป็นจำนวน 6.3 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 3.7 ล้านลิตร หรือประมาณ 2.5 เท่าของปีก่อน
ผลการจับกุมผู้กระทำผิดคดีลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
เปรียบเทียบเดือนมกราคม - 7 สิงหาคม 2539 กับช่วงเดียวกันของปีก่อน
หน่วยงานที่จับกุม | จำนวนคดี | ปริมาณน้ำมัน (ลิตร) | + เพิ่ม | ||
2538 | 2539 | 2538 | 2539 | - ลด | |
- กองทัพเรือ | 7 | 8 | 532,136 | 790,000 | 257,864 |
- กรมศุลกากร | 5 | 6 | 990,046 | 2,229,324 | 1,239,278 |
- กรมตำรวจ | 26 | 89 | 1,020,469 | 3,238,277 | 2,217,808 |
รวม | 38 | 103 | 2,542,651 | 6,257,601 | 3,714,950 |
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ ในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันดิบได้สูงขึ้นจากเดือนมิถุนายนมาอยู่ในระดับ $ 17.8-20.7 ต่อบาเรล โดยน้ำมันดิบปริมาณกำมะถันสูง สูงขึ้น $ 0.5-0.8 ต่อบาเรล และน้ำมันดิบชนิดเบาซึ่งมีปริมาณกำมะถันต่ำ สูงขึ้นมากกว่า $ 1 ต่อบาเรล สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น เนื่องมาจากความต้องการน้ำมันดิบเข้ากลั่นของโรงกลั่นใหม่และความต้องการ ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่สูงขึ้น ต่อมาในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นอีก $ 0.9 ต่อบาเรล ขึ้นมาอยู่ในระดับ $ 18.6-21.9 ต่อบาเรล ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ และจากการที่ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภท Middle Distillate (น้ำมันก๊าดและดีเซล) ได้เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณสำรองของน้ำมันเหล่านั้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับของปีที่ ผ่านมา ในช่วงต้นเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ถีบตัวสูงขึ้นมาอีกประมาณ $1.5-2.0 ต่อบาเรล และทรงตัวอยู่ในระดับ $ 20.2-22.4 ต่อบาเรล เนื่องจากสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และความต้องการผลิตภัณฑ์ประเภท Middle Distillate
2. ราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดจรสิงคโปร์ จากการที่โรงกลั่นในสิงคโปร์ (เอสโซ่ โมบิล และเชลล์) ได้ลดกำลังกลั่นลง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์น้ำมันในตลาดสิงคโปร์ค่อนข้างตึงตัว ในขณะที่ความต้องการของน้ำมันก๊าด ดีเซล และเตาอยู่ในระดับสูง จึงมีผลทำให้ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมราคาในตลาดจรของน้ำมันก๊าดสูงขึ้น $ 4.3 ต่อบาเรล และน้ำมันดีเซลและเตาสูงขึ้น $ 1 ต่อบาเรล แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าสิงคโปร์จะลดกำลังกลั่นลงแล้ว แต่ปริมาณน้ำมันเบนซินในตลาดเอเซียยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าความต้องการ จึงทำให้ราคาน้ำมันเบนซินได้เคลื่อนไหวในทางตรงกันข้าม โดยน้ำมันเบนซินพิเศษและธรรมดาลดลง $ 0.5-1.6 ต่อบาเรลตามลำดับ ต่อมา ในช่วงต้นเดือนกันยายน เหตุการณ์ในตะวันออกกลางได้ส่งผลกระทบทำให้ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวสูง ขึ้นไปอีก $ 0.5-2.4 ต่อบาเรล ตามชนิดผลิตภัณฑ์
3. สถานการณ์ราคาขายปลีกของไทย
- น้ำมันเบนซินพิเศษ ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมได้มีการปรับราคาขายปลีกลงมาทั้งสิ้น 28 สตางค์/ลิตร เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเบนซินพิเศษในตลาดจรสิงคโปร์ปรับลง $ 2.2 ต่อบาเรลหรือ 30 สตางค์/ลิตร และในเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินพิเศษได้ปรับขึ้นสุทธิ 5 สตางค์/ลิตร ในขณะที่ราคาในตลาดโลกที่ปรับขึ้น $ 0.5 ต่อบาเรล หรือ 10 สตางค์/ลิตร
- น้ำมันเบนซินธรรมดา ในเดือนกรกฏาคมและสิงหาคมมีการปรับราคาขายปลีกลงมาทั้งสิ้น 18 สตางค์/ลิตร เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเบนซินธรรมดาในตลาดจรสิงคโปร์ปรับลง $ 1.2 ต่อบาเรล หรือ 18 สตางค์/ลิตร และในเดือนกันยายนได้มีการปรับราคาขึ้นทั้งสิ้น 10 สตางค์/ลิตร ในขณะที่ราคาในตลาดโลกปรับขึ้นถึง $ 1.6 ต่อบาเรลหรือ 25 สตางค์/ลิตร
- น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนกรกฏาคมถึงกลางเดือนกันยายนได้มีการปรับราคาขายปลีกขึ้นทั้งสิ้น 40 สตางค์/ลิตร ซึ่งการปรับขึ้นทั้งหมดเป็นการปรับราคาขึ้นตามราคาในตลาดโลก ซึ่งสูงขึ้นถึง $ 2.4 ต่อบาเรล หรือ 40 สตางค์/ลิตร
- ค่าการตลาด ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 1.09 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นระดับปกติของค่าการตลาด แต่ในเดือนกันยายนค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันได้ลดลงมาอยู่ในระดับเพียง 00.090 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับปกติถึง 0.19 บาท/ลิตร สาเหตุที่ทำให้ค่าการตลาดลดลง เนื่องจากการปรับราคาขายปลีกขึ้นของไทยเป็นการปรับในลักษณะทยอยปรับทำให้ไม่ ทันกับราคาในตลาดโลกที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 เรื่องการเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) และเห็นชอบให้ สพช. และกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาถึงความเหมาะสม ในการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวม และให้รายงานผลต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2539 ได้รับทราบผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาการส่งออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เสนอ และมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมติที่ประชุมเชิง ปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งในส่วนของแนวทางการลด ต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้มีมติให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (สพช.) เรื่องค่าไฟฟ้าและการยกเว้นระบบ TOD สำหรับโรงงานที่ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง
3. การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2539 สพช. ได้หารือร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และอยู่ระหว่างการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับค่าไฟฟ้าและการยกเว้นระบบ TOD สำหรับโรงงานที่ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง เมื่อได้ข้อสรุป จะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
4. การศึกษาผลกระทบของการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า พบว่าการผลิตไฟฟ้าจากการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ในปี 2538 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.8 ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด โดยแยกเป็นน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล ร้อยละ 26.99 และ 2.81 ตามลำดับ รายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิง ในปี 2537-2538 เท่ากับ 46,969 และ 54,838 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากภาษีน้ำมันที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า (น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล) จะอยู่ระหว่างร้อยละ 6.93-8.18 หรือประมาณ 3,254-4,487 ล้านบาท
หากรัฐบาลมีนโยบายยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันที่ใช้ในการ ผลิตกระแสไฟฟ้า จะมีผลทำให้ภาษีเพื่อมหาดไทยและภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงด้วยส่วนหนึ่ง และมีผลทำให้ราคาน้ำมันเตาลดลงประมาณ 0.67 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันดีเซลลดลงประมาณ 2.35 บาท/ลิตร การยกเว้นการจัดเก็บภาษีดังกล่าว จะมีผลทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 5,282 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงประมาณ 7.4 สตางค์/หน่วย
5. การศึกษาผลกระทบของการยกเว้นการนำรายได้ส่งรัฐ พบว่า หากรัฐบาลมีนโยบายให้ยกเว้นการนำเงินส่งรัฐของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะมีผลทำให้รายได้ของรัฐลดลงประมาณ 8,496 ล้านบาท/ปี ซึ่งจะมีผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงประมาณ 12 สตางค์/หน่วย
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. รัฐบาลออสเตรเลียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มเอเปค (First Meeting of APEC Energy Ministers) ขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม 2539 ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านพลังงานของประเทศไทย และทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีพลังงานจากประเทศไทย และเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศเอเปคในครั้งนี้
2. ผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค
2.1 หลักการนโยบาย ที่ประชุมรัฐมนตรีได้ให้การรับรอง "หลักการนโยบายพลังงานที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ (14 NON-BINDING ENERGY POLICY PRINCIPLES)" และเห็นชอบให้ผนวกหลักการ นโยบายนี้เข้าไว้ในนโยบายเปิดเสรีทางด้านพลังงานของแต่ละประเทศ พร้อมทั้งให้ดำเนินการอย่างจริงจัง โดยยืดหยุ่นได้ตามที่เหมาะสม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
(1) การพิจารณาประเด็นทางด้านพลังงาน จะต้องประสานสอดคล้องกับปัจจัยทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
(2) ดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการผลิต การจำหน่าย และการใช้พลังงาน
(3) ดำเนินนโยบายการเปิดตลาดทางด้านพลังงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางด้านการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ความมั่นคงทางด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเสนอแนะการดำเนินการใดที่เหมาะสมในกลุ่มเอเปคเพื่อขจัดอุปสรรค ต่างๆ ที่อาจมี
(4) ให้มีมาตรการรองรับเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม โดยอาจเป็นการผสมผสานระหว่างนโยบายตลาดเสรีและการควบคุม ทั้งนี้ตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ
(5) พิจารณาลดการอุดหนุนต่างๆ ในสาขาพลังงานลงเป็นลำดับ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการดำเนินการทางด้านราคา เพื่อให้สะท้อนต้นทุนทางเศรษฐกิจในการจัดหาและการใช้พลังงานอย่างครบวงจร โดยคำนึงถึงต้นทุนทางด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย
(6) แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอย่างสม่ำเสมอ ในนโยบายพลังงานด้านต่างๆ ที่แต่ละประเทศได้ดำเนินการให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมไปแล้ว
(7) ใช้หลักการต้นทุนต่ำสุด (least cost approach) ในการจัดหาบริการทางด้านพลังงาน
(8) ส่งเสริมให้มีการกำหนดนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกในการถ่ายทอดเทคโนโลยีทาง ด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมได้ในเชิงพาณิชย์และโดยไม่มีข้อกีดกันใดๆ
(9) สนับสนุนให้มีการพัฒนาฝีมือทรัพยากรมนุษย์ในด้านการประยุกต์ใช้ และดำเนินการตามเทคโนโลยีที่ปรับปรุงแล้ว
(10) ยกระดับแผนงานด้านข้อมูลข่าวสารและการจัดการทางด้านพลังงาน เพื่อช่วยในการตัดสินใจในสาขาพลังงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
(11) สนับสนุนการวิจัย การพัฒนา และการสาธิตทางด้านพลังงาน เพื่อนำไปสู่การประยุกต์ใช้อย่างคุ้มทุนของเทคโนโลยีด้านพลังงานที่ใหม่ มีประสิทธิภาพสูงกว่า และมีความเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม
(12) ส่งเสริมให้มีการไหลเวียนของเงินทุน โดยลดอุปสรรคต่างๆ ที่จะมีผลต่อการถ่ายทอดและการกำหนดให้ใช้เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมมากกว่า
(13) ส่งเสริมมาตรการทางด้านประสิทธิผลของต้นทุน เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ให้สามารถลดก๊าซเรือนกระจกลง เพื่อสนองตอบการเรียกร้องของภูมิภาคให้ลดภาวะก๊าซเรือนกระจกลง
(14) ร่วมมือกันตามระดับความจำเป็นในการพัฒนาของแต่ละประเทศ ในการร่วมกันดำเนินโครงการเพื่อลดมลพิษก๊าซเรือนกระจก โดยสอดคล้องกับอนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change Convention)
2.2 ศูนย์วิจัยพลังงานเอเซียแปซิฟิค (APERC) ที่ประชุมรัฐมนตรีได้ให้การสนับสนุนโครงการวิจัยต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศสมาชิกเกิดความเข้าใจในประเด็นด้านพลังงานและแนวโน้ม สถานการณ์พลังงานในอนาคต รวมทั้งผลจากนโยบายด้านพลังงานของประเทศสมาชิกอีกด้วย
2.3 การระดมทุนเพื่อพัฒนาบริการพื้นฐานด้านไฟฟ้า ที่ประชุมรัฐมนตรีได้เห็นชอบแผนงาน ที่เสนอแนะโดย "กลุ่มธุรกิจเฉพาะกิจ (AD HOC BUSINESS FORUM)" และ "กลุ่มผู้กำกับดูแลด้านไฟฟ้า (ELECTRICITY REGULATORS' FORUM)" เพื่ออำนวยความสะดวกการลงทุนของภาคธุรกิจในสาขาไฟฟ้า
2.4 การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตและการใช้พลังงาน ที่ ประชุมรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้วิธีการเชิงกลยุทธ และให้ประสมประสานการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในขบวนการวางแผนและ ประเมินผลโครงการพื้นฐานด้านไฟฟ้าด้วย
2.5 การลดต้นทุนด้วยความร่วมมือทางด้านมาตรฐานพลังงาน ที่ประชุม รัฐมนตรีเห็นชอบให้จัดทำหลักพื้นฐาน เพื่อให้มีการรับรองร่วมกันสำหรับสถาบันทดสอบต่างๆ ที่ผ่านการรับรองแล้ว และผลการทดสอบมาตรฐานที่ได้จากสถาบันเหล่านี้ เพื่อให้ลดต้นทุนและอำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศสมาชิก พร้อมทั้งจัดทำหลักพื้นฐานสำหรับการเปรียบเทียบกันได้โดยตรง ระหว่างผลการทดสอบตามมาตรฐานที่แตกต่างกัน เพื่อลดหรือเลิกการทดสอบที่ซ้ำซ้อนกันเสีย
2.6 ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งแรก ณ นครซิดนีย์ นี้ ได้มีปฏิญญา (DECLARATION) ร่วมกัน โดยมีสาระสำคัญให้การรับรองหลักการนโยบายด้านพลังงานของเอเปคที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ ซึ่งจะได้นำเสนอผู้นำเอเปคเพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ณ อ่าวซูบิค ประเทศฟิลิปปินส์ ในเดือนพฤศจิกายน 2539
3. ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับหลักการนโยบายที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ
3.1 หลักการนโยบายที่ไม่ผูกพันทั้ง 14 ประการนี้ เป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรให้การรับรอง เพราะสอดคล้องกับแนวนโยบายและการปฏิบัติที่ประเทศไทยได้ดำเนินการไปแล้วเป็น ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะตลาดพลังงานของไทยที่ค่อนข้างเสรี ดังนั้นการให้การรับรองหลักการนโยบายในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยเปิดตลาดพลังงานในประเทศสมาชิกอื่นที่ยังไม่ได้เปิดเสรีและเป็น อุปสรรคต่อผู้ลงทุนของไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศอยู่ในขณะนี้
3.2 สำหรับเรื่องที่อยู่เกินขอบเขตของพลังงาน ซึ่งได้แก่ เรื่องมาตรฐานพลังงาน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะภาวะก๊าซเรือนกระจกนั้น สพช. ได้ขอความเห็นจากส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งได้แก่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ปรากฏว่าไม่มีส่วนราชการใดขัดข้อง
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคครั้งแรก ณ นครซิดนีย์
2.อนุมัติให้ดำเนินการและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการตามหลักการนโยบายพลังงานที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคได้ให้ความเห็นชอบ และกำหนดให้ทุกประเทศสมาชิกดำเนินการ เพื่อเปิดตลาดพลังงานอย่างเสรีต่อไป
เรื่องที่ 5 การประกวดราคาน้ำมันเตาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถซื้อน้ำมันเตาจากผู้ค้าน้ำมันอื่นๆ ได้ โดยไม่ต้องซื้อจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เพียงรายเดียว และในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2535 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องสัญญาซื้อขายน้ำมันเตาระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. และวิธีการดำเนินการในการให้ กฟผ. ซื้อน้ำมันเตาจากผู้ค้าน้ำมันอื่นๆ โดยได้กำหนดรายละเอียดของคุณสมบัติของผู้เข้าประกวดราคาและเงื่อนไขการ ประกวดราคาสำหรับปริมาณการซื้อขายในระดับร้อยละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมดในแต่ละปีของ กฟผ.
2. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2539 กฟผ. ได้ดำเนินการเรียกประกวดราคาน้ำมันเตาในส่วนของปริมาณการซื้อขายในระดับร้อย ละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมดในแต่ละปีของ กฟผ. ในปริมาณทั้งสิ้นประมาณ 3,908 ล้านลิตร เป็นเวลา 3 ปี (ปีงบประมาณ 2540-2542) ตามประกวดราคาเลขที่ กฟผ. (ฟ)-ซ 14/2539 โดยกำหนดให้มีการเปิดซองประกวดราคาในวันที่ 27 สิงหาคม 2539
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้พิจารณาประกาศประกวดราคาน้ำมันเตาดังกล่าวแล้วเห็นว่า ประกาศประกวดราคาน้ำมันเตาได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ประสงค์จะยื่นซองประกวด ราคาให้ "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมัน...."นั้น เป็นข้อความที่ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้ผู้ประกวดราคา "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตา....." จึงได้มีหนังสือแจ้งให้ กฟผ. พิจารณาดำเนินการแก้ไขประกาศดังกล่าวให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
4. กฟผ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศแก้ไขประกาศประกวดราคาดังกล่าวแล้ว และได้ทำการเลื่อนกำหนดวันยื่นและเปิดซองจากเดิม วันที่ 27 สิงหาคม 2539 ไปเป็นวันที่ 11 กันยายน 2539 แต่ต่อมา เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 กฟผ. ได้ดำเนินการประกาศยกเลิกการประกวดราคาน้ำมันเตาเนื่องจากมีความจำเป็นจะ ต้องปรับปรุงสาระสำคัญในเอกสารประกวดราคาบางส่วนเพื่อความสมบูรณ์ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกระยะหนึ่ง
5. กรรมาธิการการพลังงานสภาผู้แทนราษฎร (นายสุชน ชามพูนท) ได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเรื่อง ประกาศประกวดราคาซื้อน้ำมันเตา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) ประกาศประกวดราคาซื้อน้ำมันเตาดังกล่าว ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ประกวดราคาแตกต่างจากข้อกำหนดคุณสมบัติตามมติคณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2535 ดังนี้
- ประกาศเดิม : "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตา......"
- ประกาศใหม่ : "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมัน..........."
(2) การประกวดราคาครั้งใหม่ ควรจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนจะได้รับ โดยน่าจะกำหนดเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- ควรเพิ่มปริมาณน้ำมันเตาที่จะเรียกประมูลจากเดิม เป็นร้อยละ 30 ของน้ำมันเตาทั้งหมดที่ กฟผ. ใช้ และขยายเวลาเป็น 5 ปี
- ต้องเป็นบริษัทไทยที่เป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ยกเว้น ปตท. มีสิทธิตามเดิมที่จะเข้าประกวดราคาได้
- มีเงินทุนหมุนเวียน และเครดิตไลน์จากธนาคารและสถาบันการเงิน รวมกันแล้ว ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
- ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ค้าน้ำมันเตามาแล้วไม่น้อยกว่า 200 ล้านลิตร
6. สพช. ได้พิจารณาข้อเสนอของกำหนดเงื่อนไขของกรรมาธิการการพลังงานแล้ว มีความเห็น ดังนี้
(1) การกำหนดคุณสมบัติของผู้ประสงค์จะยื่นซองประกวดราคาให้เป็นผู้ที่มี ประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตาตามมติคณะรัฐมนตรีในปัจจุบัน นั้น เป็นการกำหนดขอบเขตที่รัดกุมโดยจำกัดคุณสมบัติให้อยู่ในวงแคบเพื่อประโยชน์ สำหรับ กฟผ. อยู่พอสมควรแล้ว หากจะมีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมตามข้อเสนอของกรรมาธิการการพลังงาน แม้จะมีข้อดีคือเป็นการสงวนผลประโยชน์จากการจำหน่ายให้ตกอยู่กับบริษัทไทย แต่ก็อาจมีผลเสียคือ เป็นการจำกัดขอบเขตให้แคบลงยิ่งขึ้นโดยจะทำให้จำนวนของผู้เข้าร่วมประมูลมี น้อยลงจนไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการที่จะส่งเสริมการแข่งขัน อย่างเสรีในวงกว้าง
(2) การขยายเวลาเป็น 5 ปี ซึ่งจะรวมไปถึงปีงบประมาณ 2543-2544 จะขัดกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2539 ซึ่งได้กำหนดให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐ รวมทั้ง กฟผ. จัดซื้อเชื้อเพลิงได้อย่างเสรีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 เป็นต้นไป ยกเว้นว่าจะมีสัญญาระยะยาวกับ ปตท. ดังนั้น หากจะให้มีการดำเนินการกำหนดเงื่อนไขการประมูลตามข้อเสนอของกรรมาธิการการ พลังงานดังกล่าวแล้ว จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก ปตท. ในการแก้ไขสัญญาระยะยาวระหว่าง กฟผ. กับ ปตท.
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รับไปดำเนินการหาข้อสรุปในเรื่องเงื่อนไขในการประกวดราคาซื้อขายน้ำมันเตาใน ส่วนร้อยละ 20 ตามผลการพิจารณาของที่ประชุม และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 6 การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร
1. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) ขอให้ที่ประชุมพิจารณา เรื่อง การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 เป็นต้นไป โดยขอทราบเหตุผลของการที่ต้องเพิ่มอัตราดังกล่าว และผลกระทบต่อผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายมนตรี ด่านไพบูลย์) ได้เรียนชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับความเป็นมาของการแก้ไขปรับปรุงอัตราการ สำรอง ซึ่งจะมีผลกระทบทำให้น้ำมันที่นำเข้ามีต้นทุนเพิ่มขึ้น 47 สตางค์/ลิตร และจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยการผลิตสินค้า กระทรวงพาณิชย์จึงเห็นว่าไม่ควรเพิ่มอัตราสำรองดังกล่าว และอัตราสำรองเดิมร้อยละ 5 น่าจะเพียงพอโดยไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ และหากเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันก็สามารถเพิ่มอัตราสำรองขึ้นภายหลังได้
3. เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันที่นำเข้าดังกล่าวมีความมุ่งหมายที่จะแก้ไขความ เสียเปรียบของผู้ผลิตน้ำมันในประเทศต่อผู้นำเข้า เพราะในปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศต้องสำรองร้อยละ 10 ประกอบด้วยการสำรองน้ำมันดิบร้อยละ 5 และน้ำมันสำเร็จรูปร้อยละ 5 ผู้นำเข้าจึงควรสำรองในอัตราร้อยละ 10 เช่นกัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการแข่งขันภายใต้ระบบราคาน้ำมันลอยตัว ผลกระทบต่อต้นทุนการสำรองน้ำมันของประเทศจะเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะในปี 2540 คาดว่าจะมีการนำเข้าน้อยมาก เนื่องจากประเทศไทยสามารถผลิตน้ำมันเบนซินและดีเซลใช้ได้อย่างเพียงพอ และผู้นำเข้าจะไม่สามารถขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันที่นำเข้าเพราะต้องแข่งขัน ราคากับผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งจะไม่ขึ้นราคาเพราะสำรองในอัตราร้อยละ 10 อยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้น ปัญหาราคาสินค้าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันจะไม่เกิดขึ้น
4. นอกจากนั้นเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า สาเหตุที่ไม่ได้นำเรื่องนี้มานำเสนอในที่ประชุม เพราะทางกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้ส่งเรื่องมาให้ แต่ได้เสนอไปยังคณะรัฐมนตรี
5. ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์เสนอเรื่องนี้ไปยังคณะรัฐมนตรี จึงไม่ควรพิจารณากันในที่ประชุมนี้ แต่ควรไปพิจารณากันในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
- กพช. ครั้งที่ 59 - วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2539 (1255 Downloads)