Super User
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 12 พฤศจิกายน 56
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 20 มีนาคม 2547
กบง. ครั้งที่ 96 - วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 38/2554 (ครั้งที่ 96)
เมื่อวันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) จะเป็นประธานในพิธีเปิดตัวโครงการบัตร เครดิตพลังงาน เพื่อช่วยลดภาระค่าเชื้อเพลิงให้กับกลุ่มผู้ประกอบการรถแท็กซี่ รถสามล้อ และรถตู้ร่วม ขสมก. NGV ในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในวันที่ 15 ธันวาคม 2554 เวลาประมาณ 9.30 น. ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
เรื่องที่ 1 การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 ได้เห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงาน โดยสรุปได้ดังนี้
1.1 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง ประมาณ 81,275 คัน (ผู้ขับรถ 156,275 คน) ประกอบด้วย (1) รถแท็กซี่ ประมาณ 75,000 คัน (ผู้ขับรถ 150,000 คน) (2) รถตุ๊กตุ๊ก ประมาณ 1,675 คัน (ผู้ขับรถ 1,675 คน) (3) รถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก. ประมาณ 4,600 คัน (ผู้ขับรถ 4,600 คน) โดยมีหลักการการให้บัตรเครดิตพลังงาน คือ จัดทำบัตรเครดิตพลังงานให้คนขับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงเป็น "รายบุคคล" และพื้นที่ให้บริการคือสถานีบริการก๊าซ NGV ที่เข้าร่วมโครงการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ประมาณ 200 แห่ง
1.2 วิธีการใช้บัตรเครดิตพลังงาน ต้องใช้บัตร 2 ใบควบคู่กัน คือ บัตรเติมก๊าซ NGV เป็นบัตร Magnetic ประจำรถแต่ละคัน ออกโดย ปตท. เพื่อแสดงสิทธิของรถที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 81,275 ใบ และมี บัตรเครดิตพลังงาน เป็นบัตร Magnetic +Chip รายบุคคล ออกโดยธนาคารกรุงไทย เพื่อแสดงสิทธิการได้รับวงเงินเครดิตพลังงานเป็นรายเดือน จำนวน 156,275 ใบ
1.3 เงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตพลังงาน (1) วงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร ผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน (2) เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด โดยต้องชำระเป็นเงินสดแทนแต่ไม่เกินวงเงิน 3,000 บาท (3) ธนาคารจะตัดยอดชำระเงินทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน และกำหนดวันที่ต้องชำระเงินภายในสิ้นเดือน (4) การชำระเงินต้องชำระเต็มวงเงินเท่านั้น (ไม่สามารถชำระบางส่วนได้) เมื่อชำระเงินแล้ววงเงินจะกลับไปที่ 3,000 บาท หากไม่ชำระเงินตามระยะเวลา ที่กำหนดให้ถือว่าผิดเงื่อนไขการใช้บัตรฯ และต้องเสียค่าธรรมเนียมในการชำระล่าช้า ดังนั้น ผู้ใช้บัตรจะไม่ได้รับส่วนลดและต้องชำระค่าก๊าซ NGV ด้วยเงินสด และ (5) ในกรณีที่ผู้ใช้บัตรไม่ชำระเงินตามกำหนดเกิน 2 เดือน ธนาคารจะยกเลิกสิทธิการใช้บัตรดังกล่าวและขึ้นบัญชีไม่สามารถสมัครได้อีก
1.4 สำหรับอัตราเงินชดเชยส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เท่ากับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน และมีระยะเวลาการใช้บัตรเครดิตพลังงานเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2558 และการให้ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - 31 ธันวาคม 2558
2. สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่อง ปรับราคาแก๊ส โดยขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาเพิ่มวงเงินในการเติมก๊าซ NGV ในราคาที่ได้ส่วนลดจากเดือนละไม่เกิน 6,000 บาทต่อคน เป็นไม่เกินเดือนละ 9,000 บาทต่อคน เนื่องจากสันนิบาตสหกรณ์ฯ แจ้งว่าการเติมก๊าซ NGV ของแท็กซี่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 300 บาทต่อคน
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า การเพิ่มวงเงินเติมก๊าซ NGV เป็นเดือนละ 9,000 บาทต่อคน จะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ขับขี่รถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะและสอดคล้องกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือนมากขึ้น จึงเสนอการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในส่วนของเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน จากเดิม "วงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร โดยผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด โดยต้องชำระเป็นเงินสดแทน แต่ไม่เกินวงเงิน 3,000 บาท" เป็น "แต่ไม่เกินวงเงิน 6,000 บาท" ทั้งนี้ รายละเอียดอื่นๆ ของโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการบัตรเครดิตพลังงาน โดยเพิ่มวงเงินในการเติมก๊าซ NGV ในราคาที่ได้ส่วนลดจากเดือนละไม่เกิน 6,000 บาทต่อคน เป็นไม่เกินเดือนละ 9,000 บาทต่อคน โดยมีวงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร โดยผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด โดยต้องชำระเป็นเงินสดแทนแต่ไม่เกินวงเงิน 6,000 บาท
2. เห็นชอบให้ปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการในข้อ 4.5 ของโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ให้สอดคล้องกับขั้นตอนการดำเนินการในปัจจุบัน ดังนี้
" 4.5 ขั้นตอนการดำเนินการ
(1) ลงนามความร่วมมือโครงการบัตรเครดิตพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2554
(2) เริ่มใช้บัตรเครดิตพลังงานในโครงการนำร่องจำนวน 150 คัน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป
(3) เปิดรับสมัครเข้าโครงการ โดยมีจุดรับสมัครเข้าโครงการบัตรเครดิตพลังงานแบบ "One Stop Service" ที่รองรับคนจำนวนมาก ระหว่างวันที่ 15 - 23 ธันวาคม 2554
(4) ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป เปิดรับสมัครเข้าโครงการได้ที่บริษัทติดตั้งก๊าซ NGV มาตรฐานที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรอง ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล"
ทั้งนี้ รายละเอียดอื่นๆ ของโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 05 พฤศจิกายน 56
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 29 ตุลาคม 56
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 18 มีนาคม 2547
กบง. ครั้งที่ 95 - วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 37/2554 (ครั้งที่ 95)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)
2. โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง
3. แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555
4. ผลการตรวจสอบการเบิก-จ่ายและควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 โดยเห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 (PDP2010) ซึ่งเป็นแผนหลักในการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้ากำลัง การรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านพลังงานที่ยั่งยืน และการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อให้การวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดประชุมหารือเรื่อง แนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (ระบบ Smart Grid) ในประเทศไทย เพื่อร่วมระดมความคิดในการวางแนวทางศึกษาและพัฒนาระบบ Smart Grid ที่ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ โดยวางแนวทางศึกษาและพัฒนาให้สอดคล้องกับนโยบายพลังงาน และเป้าหมายของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 (PDP2010) ที่ใช้ในปัจจุบัน
3. ระบบ Smart Grid หมายถึง ระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และสื่อสาร มาบริหารจัดการ การควบคุมการผลิต การส่ง และการจ่ายพลังงานไฟฟ้า สามารถรองรับการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทางเลือกที่สะอาด หรือระบบแหล่งผลิตไฟฟ้ากระจายตัว (Distributed Generation: DG) และระบบบริหารการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้บริการกับผู้เชื่อมต่อกับโครงข่ายผ่านมิเตอร์อัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคง และมึคุณภาพเชื่อถือได้
4. การพัฒนาระบบ Smart Grid ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจำเป็นหลัก 2 ด้าน คือ (1) สถานการณ์ทางด้านพลังงานและด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงจากทรัพยากรธรรมชาติ การช่วยส่งเสริมการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทน และการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (2) โครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงาน ได้แก่ การเพิ่มความมั่นคงของระบบกำลังไฟฟ้า การเพิ่มคุณภาพในการให้บริการ และการรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในอนาคต
5. ระบบ Smart Grid ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลายอย่าง ได้แก่ เทคโนโลยีด้านการตรวจวัด การรับส่งสัญญาณข้อมูลและการทำงานร่วมกับอุปกรณ์และระบบไฟฟ้าอื่นๆ โดยองค์ประกอบทางด้านเทคโนโลยีของระบบ Smart Grid ทั้งหมด ประกอบด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology, ICT) เทคโนโลยีการผลิตพลังงานไฟฟ้า การส่งจ่ายไฟฟ้า (Distributed Generation) เทคโนโลยีการควบคุมโครงข่ายไฟฟ้าอัตโนมัติ (Substation Automation) และเทคโนโลยีมิเตอร์อัจฉริยะ (Advanced Metering Infrastructure: AMI) โดยประโยชน์ที่ได้จากการพัฒนาระบบ Smart Grid คือ (1) เพิ่มความเชื่อถือและความมั่นคงของระบบส่งจ่ายไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟฟ้ามีส่วนร่วมในการทำงานของระบบ Smart Grid มากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของการไฟฟ้า ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดปริมาณการใช้น้ำมัน
6.เพื่อให้การศึกษาแนวทางการพัฒนา และการจัดทำร่างแผนการพัฒนาระบบ Smart Grid ในประเทศมีความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบ Smart Grid ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) โดยมีผู้อำนวยการ สนพ. เป็นประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการประกอบด้วย ผู้แทน สนพ. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ผู้แทนการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ผู้แทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม ผู้ทรงคุณวุฒิ (3 ท่าน) โดยมีผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า สนพ. อนุกรรมการและเลขานุการ และผู้อำนวยการกลุ่มจัดหาพลังงานไฟฟ้า สนพ. เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่เพื่อศึกษาแนวทางและจัดทำร่างแผนการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ของประเทศไทย และปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่ กบง. หรือประธาน กบง. มอบหมาย รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานต่อ กบง. ทราบ หรือพิจารณาเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบ Smart Grid โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
เรื่องที่ 2 โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การเกิดปัญหาอุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลกระทบให้สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง (สถานีบริการน้ำมัน สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว สถานีบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว รถขนส่งน้ำมัน และรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว) ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เห็นว่าควรจะต้องสนับสนุนและช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการซ่อมแซมและฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กลับมาให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยโดยเร็ว โดยจากการประเมินสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับผลกระทบและเสียหายจากน้ำท่วม ประกอบด้วย สถานีบริการน้ำมัน สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว สถานีบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว ประมาณ 1,200 แห่ง รถขนส่งน้ำมันและรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ประมาณ 900 คัน โดยประมาณการค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 600 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2554 ธพ. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อขอความเห็นชอบโครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยขออนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินงาน ในวงเงิน 180 ล้านบาท และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ให้สามารถซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายให้กลับคืนสู่สภาพการใช้งานปกติ สามารถเปิดให้บริการจำหน่ายน้ำมันที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อประชาชนโดยเร็ว เป็นการป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ ลักษณะโครงการเป็นการช่วยเหลือภาระดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยแก่สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ได้แก่ (1) สถานีบริการน้ำมัน ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ จำนวน 270 500 และ 200 แห่ง ตามลำดับ (2) สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว ขนาดเล็ก 120 แห่ง และขนาดใหญ่ 70 แห่ง (3) สถานีบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว ขนาดเล็ก 30 แห่ง และขนาดใหญ่ 10 แห่ง (4) รถขนส่งน้ำมัน แบ่งเป็น รถสิบล้อ 500 คัน และรถกึ่งพ่วง 300 คัน และ (5) รถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว แบ่งเป็น รถสิบล้อ 50 คัน และรถกึ่งพ่วง 50 คัน
3. กระทรวงพลังงานโดย ธพ. ขออนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 180 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือภาระดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจฯ ซึ่งคิดดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ 8 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา โดยกระทรวงพลังงานจะชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราคงที่ร้อยละ 5 ต่อปี เรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลากู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 6 ปี โดยมีระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) ไม่เกิน 2 ปี ในวงเงินอนุมัติสินเชื่อรวมของโครงการ จำนวน 600 ล้านบาท แก่สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยซึ่งกู้เงินเพื่อนำไปฟื้นฟูและซ่อมแซมสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว โดยระยะเวลาดำเนินการให้สถานประกอบการยื่นกู้เงิน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 - มีนาคม 2555
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดำเนินงาน "โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง" ในวงเงิน 180 ล้านบาท (หนึ่งร้อยแปดสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อจ่ายชดเชยภาระดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งกู้เงินจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ในวงเงินอนุมัติสินเชื่อรวมของโครงการจำนวนเงิน 600 ล้านบาท โดยชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราคงที่ร้อยละ 5 ต่อปีของยอดหนี้โครงการ ระยะเวลาชดเชยไม่เกิน 6 ปีนับตั้งแต่วันเบิกเงินกู้งวดแรกของผู้กู้แต่ละราย โดยให้กรมธุรกิจพลังงาน ตรวจสอบเอกสารเบิกเงินชดเชยที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยเรียกเก็บ กับข้อมูลการกู้เงินที่พลังงานจังหวัดจัดส่งให้ แล้วจัดส่งให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยโดยตรงต่อไป
ทั้งนี้ ในกรณีที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ให้นำอัตราดังกล่าวไปปรับลดอัตราดอกเบี้ยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายชดเชย โดยในส่วนของผู้ประกอบการให้จ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี
เรื่องที่ 3 แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2551-2555 ให้หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 173,679,300 บาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2554 ให้หน่วยงานต่างๆ ข้างต้น เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 39,376,9000 บาท ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 21,635,700 บาท, 9,957,000 บาท, 3,850,700 บาท, 1,494,400 บาท, 1,635,100 บาท ตามลำดับ และอนุมัติค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร 804,000 บาท
2. สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารตามที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 39,376,900 บาท โดย ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 มีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริงรวมทั้งสิ้น 18,826,175 บาท คิดเป็นร้อยละ 47.81 โดยพบว่า สป.พน. และ สบพน. มีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริงต่ำกว่าที่ได้รับอนุมัติ โดย สป.พน. และ สบพน. มีการใช้จ่ายเงินเพียงร้อยละ 31.42 และ 4.88 ตามลำดับ โดยที่ สป.พน. ได้รับอนุมัติเงินในหมวดค่าตอบแทนใช้สอย และวัสดุ รวมเป็นเงิน 12.1678 ล้านบาท แต่มีการใช้จ่ายไปเพียง 3.089 ล้านบาท และในส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศและค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัย ที่ขออนุมัติไว้รวมทั้งสิ้น 7.6370 ล้านบาท สป.พน. ไม่มีการเบิกจ่ายเงินในส่วนนี้ ส่วน สบ.พน. มีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริงต่ำกว่าที่ได้รับอนุมัติมาก เนื่องจากไม่มีการใช้จ่ายเงินในหมวดค่าจ้างชั่วคราว (อัตราจ้างตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ สบพน.) จำนวนเงิน 1.1123 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2554
(ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554)
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | งบประมาณปี 2554 | ||
ได้รับอนุมัติ | จำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริง | ||
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) | 21,635,700 | 6,798,393 | (31.42%) |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) | 9,957,000 | 7,404,342 | (74.36%) |
3. กรมสรรพสามิต | 3,850,700 | 3,612,518 | (93.81%) |
4. กรมศุลกากร | 1,494,400 | 690,144 | (46.18%) |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) | 1,635,100 | 79,828 | (4.88%) |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | 804,000 | 240,950 | (29.97%) |
รวม | 39,376,900 | 18,826,175 | (47.81%) |
หมายเหตุ สบพน. ได้ตั้งเบิกงบค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตรในปี 2554 จำนวน 804,000 บาท แต่ยังมีผู้ถือพันธบัตรบางรายยังไม่ได้มาทำการไถ่ถอนพันธบัตร
3. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2554 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 6,048ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 18,159 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 18,008 ล้านบาท และงบบริหารโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 151 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 12,111 ล้านบาท
4. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2554 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆ ให้ทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2555 ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ได้ขอปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2555 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 53,638,400 บาท ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานยกเว้น สบพน. ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ และปรับเพิ่มเงินค่าครองชีพพิเศษ เพื่อให้อัตราจ้างบุคลากรเท่ากับ 15,000 บาทต่อเดือน ตามนโยบายของรัฐบาล
5. เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีการพิจารณาเรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555 และได้มีมติดังนี้ (1) รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2554 ของหน่วยงานต่างๆ (2) มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินงบริหารกองทุนน้ำมันฯปีงบประมาณ 2555 ตามความเห็นของที่ประชุม และให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และ (3) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ จัดทำคำขอรับการสนับสนุนเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ เพื่อจัดส่งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ภายในเดือนมิถุนายนของทุกปี เพื่อให้สามารถอนุมัติเงินค่าใช้จ่ายได้ทันก่อนถึงปีงบประมาณถัดไป
6. หน่วยงานต่างๆ ได้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินฯ ใหม่ ตามมติ อบน. ดังนี้ (1) ปรับอัตราจ้างบุคลากรของทุกหน่วยงานไว้คงเดิมตามกรอบแผนการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ 2553 - 2555 ที่ได้เคยอนุมัติไว้แต่ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามอัตราเงินเดือนใหม่ และปรับเพิ่มเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษ เพื่อให้อัตราจ้างบุคลากรเท่ากับ 15,000 บาทต่อเดือน ตามนโยบายของรัฐบาล (2) ในส่วนของ สป.พน. ให้คงจำนวนรถยนต์เช่า 12 ที่นั่ง จำนวน 1 คันตามเดิม และให้ตัดรายการในหมวดค่าครุภัณฑ์ออก พร้อมทั้งปรับลดค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศเหลือ 6 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัยคงเหลือ 2 ล้านบาท (3) ในส่วนของ สนพ. ให้ปรับลดค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศและค่าใช้จ่ายโครงการศึกษาวิจัย คงเหลือรายการละ 2 ล้านบาท และ (4) นำ โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของกรมสรรพสามิต งบประมาณ 2 ล้านบาท บรรจุเข้าในแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกรมสรรพสามิต ทั้งนี้ ทำให้ยอดรวมการขอรับการสนับสนุนเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2555 เพิ่มขึ้น 1.9015 ล้านบาท ซึ่งสรุปประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2555 ได้ตามตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2555
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ |
หมวดค่าครุภัณฑ์ | หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ | รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 2.4945 | 12.4522 | - | 8.0600 | 23.0067 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.5400 | 2.2303 | - | 6.7200 | 9.4903 |
3. กรมสรรพสามิต | 3.2601 | 1.3436 | 0.0650 | 2.0240 | 6.6927 |
4. กรมศุลกากร | 0.6841 | 0.3442 | - | - | 1.0283 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | - | 1.1272 | - | - | 1.1272 |
รวม | 6.9787 | 17.4975 | 0.0650 | 16.8040 | 41.3452 |
หมายเหตุ : งบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปีงบประมาณ 2554 ของหน่วยงานต่างๆ
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 41,345,200 บาท (สี่สิบเอ็ดล้านสามแสนสี่หมื่นห้าพันสองร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป ตามตารางที่ 2
เรื่องที่ 4 ผลการตรวจสอบการเบิก-จ่ายและควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 หมวด 6 การตรวจสอบภายใน ข้อ 18 "ให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อนำเสนอคณะกรรมการทราบ" แเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2554 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้มีมติรับทราบสรุปผลการตรวจสอบดังกล่าว โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1.1 การตรวจสอบการจ่ายเงินงบโครงการ-ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ของกองทุนน้ำมันฯ ทุกโครงการที่ยังมิได้ปิดโครงการ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 พบว่ามีการปฏิบัติงานเป็นไปตามที่ระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 กำหนดไว้ ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 5 โครงการ จำนวนเงินรวม 125,717,500 บาท ณ วันที่ตรวจสอบ ยังไม่มีการเบิกค่าใช้จ่าย
1.2 โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ และปิดโครงการแล้วระหว่างปีงบประมาณ 2553 ถึงเดือนมีนาคม 2554 มีการคืนเงินให้กองทุนน้ำมันฯ ถูกต้องครบถ้วนเป็นจำนวนเงิน 3,466,409.01 บาท และมีการใช้จ่ายเงินอยู่ในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ และส่วนใหญ่เอกสารการส่งดอกผลและเงินเหลือจ่ายมิได้ระบุวันสิ้นสุดโครงการชัดเจน เพียงแต่ระบุว่า "การดำเนินการดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว" ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีการส่งเงินคืนพร้อมดอกผลหรือรายรับอื่นใดทั้งหมดคืนกองทุนภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดการดำเนินงาน ตามที่ระเบียบกำหนดไว้
2. คณะกรรมการตรวจสอบได้มีข้อเสนอแนะว่า สบพน. ควรประสานกับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ให้ระบุวันที่สิ้นสุดโครงการที่ชัดเจนในเอกสารการนำส่งดอกผลและคืนเงินเหลือจ่าย เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 22 ตุลาคม 56
การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน 19 พฤศจิกายน 2547
กบง. ครั้งที่ 94 - วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 36/2554 (ครั้งที่ 94)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ
3. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิง
4. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เรื่อง นโยบายการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ดังนี้
(1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชยในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องบัตรเครดิตพลังงานและการปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ LPG เป็น NGV (2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป (3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 (4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปพิจารณาหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ปริมาณการจำหน่ายก๊าซ NGV 6,903 ตันต่อวัน (ประมาณ 248 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน) และมีสถานีบริการก๊าซ NGV 457 สถานี แบ่งเป็นสถานีแม่ 19 สถานี สถานีลูก 438 สถานี ครอบคลุม 52 จังหวัด โดยมีรถก๊าซ NGV สะสม 291,180 คัน แบ่งเป็นรถเบนซิน 196,889 คัน รถดีเซล 39,194 คัน และรถ OEM 55,097 คัน ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระเงินชดเชยราคาขายปลีกก๊าซ NGV ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 - กันยายน 2554 สะสมประมาณ 6,621 ล้านบาท
3. เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอ ดังนี้
3.1 การปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ดังนี้
(1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555
(2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยของก๊าซ NGV ลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555
3.2 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) ดังนี้
(1) ให้มีการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 -31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้ทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2555
(2) ให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมันเดือนละ 2.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2555
ทั้งนี้ เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อ 3.2(1) และ 3.2(2) สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่เก็บได้ จะนำไปใช้เป็นเงินส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในโครงการบัตรเครดิตพลังงานต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
1.1 การปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ดังนี้
(1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555
(2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยของก๊าซ NGV ลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555
1.2 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.)
(1) ให้มีการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 -31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้ทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2555
(2) ให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมันเดือนละ 2.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2555
ทั้งนี้ เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามข้อ 1.2 สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่เก็บได้ จะนำไปใช้เป็นเงินส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในโครงการบัตรเครดิตพลังงานต่อไป
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังางน เรื่อง อัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ และอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ให้เป็นไปตามแนวทางตามข้อ 1 ต่อไป
3. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ
เรื่องที่ 2 โครงการบัตรเครดิตพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คำแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 1 นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก ข้อ 1.7 แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.2 จัดให้มีบัตรเครดิตพลังงานและบัตรคูปองสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน และ ข้อ 3 นโยบายเศรษฐกิจ ข้อ 3.5 นโยบายพลังงาน ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่ง และส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เรื่อง นโยบายการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชยในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องบัตรเครดิตพลังงานและการปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ LPG เป็น NGV (2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป (3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม- เดือนเมษายน 2555 (4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้ กบง. รับไปพิจารณาหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
3. เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องดำเนินการจัดทำโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอแนวทางการดำเนินการจัดทำบัตรเครดิตพลังงาน ดังนี้
(1) หลักการการให้บัตรเครดิตพลังงาน จัดทำบัตรเครดิตพลังงานให้กับคนขับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงเป็น "รายบุคคล" โดยสถานีบริการก๊าซ NGV ที่เข้าร่วมโครงการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ประมาณ 200 แห่ง เริ่มโครงการใช้บัตรเครดิตพลังงานได้ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2554
(2) วิธีการใช้บัตรเครดิตพลังงาน ต้องใช้บัตร 2 ใบ ควบคู่กัน ดังนี้ (1) บัตรเติมก๊าซ NGV เป็นบัตร Magnetic ประจำรถแต่ละคัน (2) บัตรเครดิตพลังงาน เป็นบัตร Magnetic + Chip รายบุคคล
(3) เงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตพลังงาน วงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร ผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด แต่ต้องชำระเป็นเงินสดแทน โดยธนาคารจะตัดยอดชำระเงินทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน และกำหนดวันที่ต้องชำระเงินภายในสิ้นเดือน ทั้งนี้ การชำระเงินต้องชำระเต็มวงเงินเท่านั้น (ไม่สามารถชำระบางส่วนได้) เมื่อชำระเงินแล้ววงเงินจะกลับไปที่ 3,000 บาท หากไม่ชำระเงินตามระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผิดเงื่อนไขการใช้บัตรฯ และต้องเสียค่าธรรมเนียมในการชำระล่าช้า ดังนั้น ผู้ใช้บัตรจะไม่ได้รับส่วนลดและต้องชำระค่าก๊าซ NGV ด้วยเงินสด ในกรณีที่ผู้ใช้บัตรไม่ชำระเงินตามกำหนดเกิน 2 เดือน ธนาคารจะยกเลิกสิทธิการใช้บัตรดังกล่าว และขึ้นบัญชีไม่สามารถสมัครได้อีก
(4) อัตราเงินชดเชยส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เท่ากับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน
(5) การใช้บัตรเครดิตพลังงานเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2558 และการให้ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - 31 ธันวาคม 2558
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
2. เห็นชอบอัตราเงินชดเชยส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
เรื่องที่ 3 การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) เช่นเดิมต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 โดยมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับกรมการค้าภายใน เพื่อพิจารณาการนำหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงโครงการประกันรายได้ของกรมการค้าภายในมาปรับใช้กับการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล และรายงานผลให้ กบง. พิจารณาต่อไป
2. เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2554 กรมการค้าภายใน (คน.) และ สนพ. ได้หารือร่วมกัน เพื่อศึกษาถึงวิธีการประกาศราคาล่วงหน้า และการสืบราคาซื้อขายจริงในตลาด โดยกรมการค้าภายในชี้แจ้งว่าลักษณะของสินค้าของทางเกษตรต่างกันกับสินค้าพลังงาน ซึ่งอาจมีปัญหาในการให้ข้อมูลที่แท้จริง เนื่องจากกระทรวงพลังงานไม่มีกฎหมายบังคับให้รายงานข้อมูล และที่ประชุมเห็นว่า หากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และโรงงานเอทานอลไม่ยินดีให้ความร่วมมือ สนพ. ควรนำข้อมูลหารือกับทางกรมสรรพสามิต เพื่อขอข้อมูลปริมาณและราคาซื้อขายเฉลี่ยของผู้ค้าเอทานอล เป็นข้อมูลในการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
3. เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2554 สนพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับกรมสรรพสามิต โดยกรมสรรพสามิตยินดีให้ข้อมูลการซื้อขายเอทานอลระหว่างผู้ผลิตเอทานอลกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ซึ่งตามปกติผู้ผลิตต้องแจ้งราคา และปริมาณการขายล่วงหน้าของแต่ละเดือนต่อกรมสรรพสามิตก่อนสิ้นเดือนก่อนหน้า เพื่อใช้ในการขอยกเว้นภาษีสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 8 เบญจ ให้ผู้รับใบอนุญาตทำสุราแจ้งราคาขาย ณ โรงงานสุราต่ออธิบดีตามแบบ และภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด
4. กรมสรรพสามิตจะจัดข้อมูลส่งให้ สนพ. ซึ่งข้อมูลการขายเอทานอลรายบริษัท (ไม่ระบุชื่อบริษัท) โดย สนพ. จะนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณ โดยสามารถออกประกาศราคาอ้างอิงเอทานอลล่วงหน้าได้ ทุกวันที่ 1 ของเดือนถัดไป
5. หลักเกณฑ์การคำนวณราคาประกาศเอทานอลอ้างอิงใหม่ เป็นดังนี้
6. จากการเปรียบเทียบราคาเอทานอลอ้างอิงสูตรเดิมกับสูตรใหม่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - กันยายน 2554 พบว่าราคาเอทานอลอ้างอิงสูตรใหม่จะมีราคาต่ำกว่าสูตรเดิมประมาณ 2 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงใหม่แทนการใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) โดยออกประกาศทุกวันที่ 1 ของเดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงใหม่ โดยใช้ข้อมูลการซื้อขายเอทานอลระหว่างผู้ผลิตเอทานอล กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จากกรมสรรพสามิต แทนที่การใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงจากต้นทุนการผลิต (Cost-plus) โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานออกประกาศทุกวันที่ 1 ของเดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 4 แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
สรุปสาระสำคัญ
1. จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 26 และ 30 สิงหาคม 2554 เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 มีราคาเท่ากับน้ำมันเบนซิน 91ที่ระดับราคา 35.87 บาทต่อลิตร โดยปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในเดือนกันยายน 2554 อยู่ที่ 9.90 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2.63 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินเดือนกันยายน อยู่ที่ 10.16 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2.92 ล้านลิตรต่อวัน จากปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลที่ลดลงทำให้ปริมาณการใช้ปริมาณการใช้เอทานอลเดือนกันยายน อยู่ที่ 1.08 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 0.26 ล้านลิตรต่อวัน
2. เนื่องจากค่าความร้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ประมาณร้อยละ 3 ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ 35.87 บาทต่อลิตร ดังนั้น ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ควรมีราคาต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ประมาณ 1.08 บาทต่อลิตร และเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลมากขึ้น จึงควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 เพื่อทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 91 โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง 1.20 บาทต่อลิตร จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็น 0.20 บาทต่อลิตร ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ที่ 1.28 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มเบนซินมีภาระชดเชยเพิ่มขึ้นจาก 103 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 256 ล้านบาทต่อเดือน โดยคาดว่าผู้ใช้น้ำมันจะหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้นส่งผลให้ปริมาณการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.14 ล้านลิตรต่อวัน
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง 1.20 บาทต่อลิตร จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็น 0.20 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 โดยเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับ "มาตรการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่" โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำมาตรการช่วยเหลือรถแท๊กซี่โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป็น NGV ประมาณ 30,000 คัน ให้มาใช้ NGV โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ คันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท
2. กบง. เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 มีมติเห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็น NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน และอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการฯ เป็นเงิน 12,400,000 บาท รวมทั้งอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็น NGV จำนวน 30,000 คัน คันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท
3. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง ขอปรับปรุงแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท๊กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้ 1) จัดสรรค่าใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน คือ (1) จัดซื้อโดยวิธี e-auction ถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ โดยแบ่งเป็น 3 งวดคือ งวดแรก 15,000 ชุด งวดที่สอง 10,000 ชุด และงวดที่สาม 5,000 ชุด (2) เงินสนับสนุนค่าติดตั้งถัง NGV และประกันหลังการขาย 1 ปี ของอู่ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท 2) ให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย และ 3) ให้เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการดำเนินการเป็นประมาณ 10 เดือน และเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2554 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีมติอนุมัติให้กรมธุรกิจพลังงานยกเลิกการดำเนินงานโครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4. การดำเนินการที่ผ่านมา สป.พน. ได้เปิดรับสมัครรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ที่มีความประสงค์จะเปลี่ยนอุปกรณ์เป็น NGV จำนวน 2 ครั้ง ปรากฏว่ามีรถแท็กซี่ยื่นสมัคร จำนวน 5,649 คัน ซึ่งน้อยกว่าถัง NGV ที่จะจัดหาจำนวน 9,351 คัน ทั้งนี้ ในการจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) ได้บอกเลิกสัญญากับบริษัท ออโต้แพน จำกัด (ผู้ขาย) เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 เนื่องจากผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของตามระยะเวลาที่กำหนด และได้ยึดหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำนวน 12,525,000 บาท
5. เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2554 กระทรวงพลังงานได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (TOR) และร่างเอกสารประกวดราคาจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 15,000 ชุด ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ ได้มีความเห็นดังนี้
1) ปัจจุบันมีรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ได้ยื่นความประสงค์ที่จะขอเปลี่ยนอุปกรณ์ LPG ให้เป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวน 5,649 คัน หาก สป.พน. ประสงค์ที่จะดำเนินการจัดซื้อจำนวน 15,000 คัน อาจมีจำนวนถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ ที่สั่งซื้อเกินกว่าจำนวนแท็กซี่ที่สมัครเข้าร่วมโครงการ ซึ่งอาจเกิดความเสียหายแก่รัฐ
2) การจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ 15,000 ชุด ในวงเงิน 525,000,000 บาท เป็นราคาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ปัจจุบันราคาของอุปกรณ์ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ลดลง หากใช้วงเงินเดิมอาจทำให้ สป.พน. ต้องจัดซื้ออุปกรณ์ในราคาสูงกว่าราคาที่เหมาะสม
3) การจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 15,000 ชุด ได้ใช้ขอบเขตของงาน (TOR) ที่มีสาระสำคัญแตกต่างจาก เดิม ดังนี้ (1) เปลี่ยนสัญญาเป็นแบบ "สัญญาจะซื้อจะขายแบบราคาคงที่ไม่จำกัดปริมาณ" (2) ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการส่งมอบของ การตรวจรับ และการจ่ายเงิน โดย สป.พน. จะเป็นผู้กำหนดจำนวนการส่งมอบเป็นครั้งๆ และจ่ายเงินภายใน 20 วัน หลังจากการตรวจรับถูกต้องครบถ้วน และ (3) ทบทวนวงเงินจัดซื้อใหม่ให้เป็นราคาอ้างอิงกับสถานการณ์ปัจจุบัน
6. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2554 สป.พน. ได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำราคาถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ เพื่อดำเนินงานตามแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ฯ ซึ่งคณะทำงานฯ ได้จัดทำราคาถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบฯ ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่าดำเนินการรวมผลกำไรและภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมเป็นเงิน 366,455,756.7 บาท คิดเป็นเงินประมาณการสำหรับจำนวน 15,000 ชุด เป็นเงิน 366,455,000 บาท
7. เพื่อให้แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV สามารถดำเนินงานได้ตามวัตถุประสงค์ กระทรวงพลังงานขอเสนอดังนี้
7.1 อนุมัติให้จัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 15,000 ชุด งวดแรก ดำเนินการด้วยวิธี e-auction โดยทำสัญญาเป็นแบบ "สัญญาจะซื้อจะขายแบบราคาคงที่ไม่จำกัดปริมาณ" ภายใต้วงเงิน 366,455,000 บาท
7.2 อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการฯ เป็นเงิน 12,400,000 บาท ตามที่ กบง. ได้มีมติไว้ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552
7.3 ขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการฯ ออกไปอีก 10 เดือนนับถัดจากวันลงนามในสัญญาการบริหารโครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานดำเนินงานตามแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1. อนุมัติให้จัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ งวดที่ 1 จำนวน 15,000 ชุด ดำเนินการด้วยวิธี e-auction โดยทำสัญญาเป็นแบบ "สัญญาจะซื้อจะขายแบบราคาคงที่ไม่จำกัดปริมาณ" ภายใต้วงเงิน 366,455,000 บาท (สามร้อยหกสิบหกล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารงานโครงการตามแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนเงิน 12,400,000 บาท ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 ทั้งนี้ ให้ใช้จ่ายเงินได้ภายในวงเงินคงเหลือจากที่เคยดำเนินการและเบิกจ่ายไปแล้ว โดยให้มีระยะเวลาการดำเนินงาน 10 เดือน นับถัดจากวันลงนามในสัญญาการบริหารโครงการ