![Super User](http://www.gravatar.com/avatar/8f29cc35bfcee5e137109c704783b4c7?s=100&default=https%3A%2F%2Feppo.go.th%2Fepposite%2Fcomponents%2Fcom_k2%2Fimages%2Fplaceholder%2Fuser.png)
Super User
กบง. ครั้งที่ 15 - วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2559 (ครั้งที่ 15)
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นตอนที่ 2
4. หลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบ แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558- 2579 (Oil Plan 2015) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ พร้อมทั้ง ได้เสนอแนะว่าควรมีการทบทวนแผนฯ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของแผนฯ อย่างมีนัยสำคัญ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนฯ ต่อ กบง. ทุก 3 เดือน และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนฯ ตามมติ กพช. ดังกล่าว
2. การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการบูรณาการระหว่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558 - 2579 กับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 โดยเริ่มกระบวนการจัดทำแผนจากการพยากรณ์ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเดียวกับแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยจะมีการประเมินความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีฐาน (Business as Usual: BAU) ว่าในปี 2579 จะมีความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง 65,459 ktoe โดยตามแผนได้กำหนดแนวทางมาตรการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่งแบ่งแนวทางดำเนินการออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) กำกับราคาเชื้อเพลิงในภาคขนส่งให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง (2) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในยานยนต์ (3) ส่งเสริมการบริหารจัดการการใช้รถบรรทุกและรถโดยสาร และ (4) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง
3. จากการพยากรณ์ข้อมูลปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของปี 2569 และ 2579 พบว่า ความต้องการพลังงานในกรณีปกติ (Business-asusual : BAU) ของสาขาขนส่งจะอยู่ที่ 44,937 และ 65,459 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และรวมทุกสาขาจะอยู่ที่ 56,985 และ 79,338 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ แต่ทั้งนี้หากมีแผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan : EER 100%) ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของปี 2569 และ 2579 ของสาขาขนส่งจะอยู่ที่ 29,602 และ 35,246 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และรวมทุกสาขาจะอยู่ที่ 41,650 และ 49,125 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ จากข้อมูลดังกล่าวกรมธุรกิจพลังงานจึงได้นำมาบริหารจัดการ โดยกำหนดเป็นหลักการจัดทำแผน 5 หลักการ ดังนี้ (1) สนับสนุนมาตรการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558 - 2579 (Energy Efficiency Plan: EEP 2015) (2) บริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม (3) ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม (4) ผลักดันการใช้เชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 (Alternative Energy Development Plan: AEDP2015) และ (5) สนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
รับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นตอนที่ 2
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและ แหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้มีการทบทวนต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) ต้นทุนจากโรงแยกฯ เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2559 ลดลง 0.3079 บาทต่อกิโลกรัม จาก 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.4542 บาทต่อกิโลกรัม (2) คงต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก อ้างอิงราคาตลาดโลกที่ CP-20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากเป็นต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงฯ เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 10.0623. บาทต่อกิโลกรัม (3) คงต้นทุนก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ CP + 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 13.8766 บาทต่อกิโลกรัม และ (4) ต้นทุนบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2559 อยู่ที่ 15.30 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 297 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนมกราคม 2559 จำนวน 66 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือน กุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 36.3261 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมกราคม 2559 จำนวน 0.15 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 1.2244 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 14.9550 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 13.7306 บาทต่อกิโลกรัม
2. กบง. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ เรื่อง Roadmap การดำเนินการ เพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในขั้นต้นเป็นการส่งเสริมการแข่งขันให้เกิดขึ้นในส่วนของการนำเข้า โดยเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่าหนึ่งรายนอกเหนือไปจาก ปตท. ซึ่งการดำเนินการในระยะที่ 1 คือ ลดอุปสรรคของการนำเข้า ก๊าซ LPG ที่ผู้ประกอบการรายอื่นเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วยมาตรการ ดังนี้ (1) เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่ล่าช้า (2) มอบหมายให้ ปตท. เปิดบริการโครงสร้างพื้นฐาน LPG (ท่าเรือนำเข้า คลัง ท่อ) แก่ผู้นำเข้ารายอื่น (3) ยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม Roadmap การดำเนินการเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในระยะที่ 1 ตามมติ กบง. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค ดังนี้ (1) ปรับลดการชดเชยค่าขนส่ง ในเดือนที่ราคาก๊าซ LPG Pool หรือราคา ณ โรงกลั่นซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นปรับตัวลดลง และ (2) มีบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG เพื่อใช้ในการกำกับ ติดตามและดูแลราคาก๊าซ LPG ในพื้นที่ต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ปรับตัวลดลง 1.2244 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ลง 0.6447 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.2331 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.4116 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 2 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.29 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 30 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 157 ล้านบาทต่อเดือน (ไม่มีการชดเชย ค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาคแล้ว) และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม Roadmap ในระยะที่ 1 ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ LPG อิงตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซ ไปยังคลังก๊าซต่างๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยกำหนดให้ค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ ลำปาง ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และสงขลา อยู่ที่ 1.0100 2.0100 1.4030 0.3357 และ 0.3561 บาทต่อกิโลกรัม โดยหลังยกเลิกการชดเชยค่าขนส่ง ยังคงควบคุมให้ราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซภูมิภาคในแต่ละพื้นที่ เพิ่มขึ้นจากเดิมได้ไม่เกินไปกว่าอัตราค่าขนส่งที่ระบุไว้ในบัญชีค่าขนส่ง ต่อไปอีกเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งหากปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ลง 0.6447 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไม่ปรับตัวสูงขึ้นหลังยกเลิกการชดเชยค่าขนส่ง โดยในพื้นที่ที่ไม่มีการชดเชยค่าขนส่ง ราคาขายปลีกจะลดลง 2.00 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.29 บาท ต่อกิโลกรัม (หรือ 30 บาท/ถัง 15 กก.) ส่วนในพื้นที่ที่เคยได้รับการชดเชย ราคาขายปลีกจะปรับลงลดหลั่นกันไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
1.1 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 15.4542 บาทต่อกิโลกรัม1.2 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน1.3 กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน1.4 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 15.30 บาทต่อกิโลกรัมโดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.4116 บาท
3. เห็นชอบยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งทุกคลังทั่วประเทศ
4 เห็นชอบยกเลิกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
4.1 ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ลงวันที่ 18 สิงหาคม 25464.2 ฉบับที่ 20 พ.ศ. 2551 เรื่อง การกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 31 มกราคม 25514.3 ฉบับที่ 91 พ.ศ. 2551 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551
5. เห็นชอบบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังต่างๆ เพื่อประกอบการกำกับดูแลราคา ณ คลังภูมิภาค เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นข้อมูลควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG ดังนี้
คลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ กิโลกรัมละ 1.0100 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดลำปาง กิโลกรัมละ 2.0100 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดขอนแก่น กิโลกรัมละ 1.4030 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี กิโลกรัมละ 0.3357 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดสงขลา กิโลกรัมละ 0.3561 บาท
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันสูตรที่กระทรวงพลังงานใช้ในการคำนวณราคาเอทานอลมาจากมติ กบง. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ที่ได้เห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล โดยให้ใช้ราคา เอทานอลอ้างอิงจากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุด ระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตรายงานต่อกรมสรรพสามิตกับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการ ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
2. ราคาเอทานอลเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 22.90 บาทต่อลิตร เป็นราคาจากกรมสรรพสามิต ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีต่างๆ ที่เคยใช้คิดสูตรราคาของทางกระทรวงพลังงานพบว่าใกล้เคียงกันไม่ว่าวิธีไหน โดยหากคิด Cost Plus ต้นทุนกลับไปเมื่อคิดแล้ววัตถุดิบราคาเอทานอลจากมันสำปะหลัง 22.64 บาทต่อลิตร คิดเป็นราคามันสดที่ 2.35 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ (2.24 บาทต่อกิโลกรัม) และราคาเอทานอลจากกากน้ำตาล 23.03 บาทต่อลิตร คิดเป็นราคากากน้ำตาล 4.05 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาส่งออกน้ำตาลของทางศุลกากร (4.01 บาทต่อกิโลกรัม) โดยข้อมูลราคาเอทานอลของผู้ค้าน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 23.82 บาทต่อลิตร และราคาที่ประเทศบราซิลอยู่ที่ประมาณ 18.35 บาทต่อลิตร รวมค่าขนส่งมาถึงประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 22.35 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากราคาเอทานอลมากที่สุด ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ติดตาม และตรวจสอบ และมอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการวิจัยพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง ตลอดจนวิธีการปลูก และดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่สูงสุดต่อไป
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ติดตาม และตรวจสอบ เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากราคาเอทานอลมากที่สุดและมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการวิจัยพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง ตลอดจนวิธีการปลูก และดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่สูงสุดต่อไป
เรื่อง หลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และวันที่ 27 มกราคม 2559 คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้า จากขยะอุตสาหกรรมได้ประชุม เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การคัดเลือก กำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม และพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม โดยมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ ดังนี้ (1) ผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมต้องตั้งโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม ตาม พ.ร.บ. การนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 หรือเขตประกอบการอุตสาหกรรม ตามมาตรา 30 ของ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 (2) สามารถนำขยะอุตสาหกรรมจากนิคมอุตสาหกรรมอื่นหรือจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม เข้ามากำจัดร่วมได้โดยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่ (3) นิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งโครงการต้องสามารถเชื่อมโยงระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าตามศักยภาพของระบบไฟฟ้า (4) สำหรับโครงการที่มีการกำจัดกากขยะอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายเป็นสิ่งปฏิกูลและวัสดุไม่ใช้แล้ว ต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ภายใน 12 เดือนนับจากวันตอบรับซื้อ (5) ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจะต้องเสนอรายละเอียดเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในโครงการ โดยต้องเป็นเทคโนโลยีที่สามารถจัดการขยะอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและควบคุมมลพิษที่เกิดขึ้นได้ (6) หลังจากเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ หากมีผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนยื่นเสนอ เกินกำลังการผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ ให้พิจารณาคัดเลือกตามความพร้อม โดยเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ รวมทั้งมีขอบเขตระยะเวลาในการก่อสร้างภายในปี 2562 และ (7) สำหรับประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริมมีดังนี้ 1) ขยะอุตสาหกรรม ตามคำนิยามของ “ขยะหรือกากอุตสาหกรรม” ทั้งที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย และ 2) ห้ามนำขยะชุมชนเข้ามากำจัดรวมในโครงการยกเว้นของเสียอันตรายจากชุมชน
2. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 กพช. ได้เห็นชอบให้การรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงจากขยะและพลังงานน้ำขนาดเล็ก ให้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแข่งขันด้านราคา (Competitive Bidding) โดยให้ กกพ. เร่งดำเนินการออกประกาศรับซื้อและคัดเลือกโครงการไฟฟ้าจากขยะ (ชุมชนและอุตสาหกรรม) ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ เห็นควรเสนอให้ปรับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม ตามคำสั่ง กบง. ที่ 5/2558 ในข้อ (1) “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” โดยปรับเป็น “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกสำหรับพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” เพื่อให้สอดคล้องกับมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ที่ระบุให้ กกพ. เป็นผู้คัดเลือกโครงการโรงไฟฟ้าจากขย
มติของที่ประชุม
2.1 รับทราบผลการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม รวมทั้งประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม
2.2 ให้ปรับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมตามคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานที่ 5/2558 ในข้อ (1) “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” โดยปรับเป็น “ออกหลักเกณฑ์ การคัดเลือกสำหรับพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” เพื่อให้ กกพ. นำหลักเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมกำหนด ไปใช้ประกอบในการออกประกาศรับซื้อและพิจารณาคัดเลือกโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมต่อไป
กบง. ครั้งที่ 14 - วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2559 (ครั้งที่ 14)
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.00 น.
1. รายงานความก้าวหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
2. ความก้าวหน้าโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน
3. Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
4. Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
5. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับปริมาณการใช้ ก๊าซ LPG ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยการดำเนินการระยะยาวได้มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการขยายระบบคลัง ท่าเรือนำเข้า และระบบคลังจ่ายก๊าซ ดังนี้ 1) ขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าเขาบ่อยา 2) ขยายระบบคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะ 3) ขยายระบบคลังภูมิภาค และ 4) ขยายระบบขนส่งก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซฯ ไปคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะและคลังก๊าซเขาบ่อยา
2. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ครม. มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทน การลงทุน ตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ โดยอยู่ในกรอบวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 48,599 ล้านบาท แบ่งเป็น ระยะที่ 1 ลงทุน 20,954 ล้านบาท และระยะที่ 2 ลงทุน 27,645 ล้านบาท
3. ความคืบหน้าในการก่อสร้าง ณ เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ร้อยละ 97.66 โดยพร้อมที่จะเริ่มการดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2559 โดยมีรายละเอียดดังนี้ (1) งานขยายคลังและท่าเรือนำเข้า ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งประกอบด้วยการสร้างถังเย็น และ ท่าเรือ เพื่อรองรับการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นปัจจุบันการก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ 98 (2) งานขยายคลังก๊าซบ้านโรงโป๊ะ จังหวัดชลบุรีประกอบด้วยงานปรับปรุง ระบบขนส่งทางรถไฟ และงานจัดซื้อตู้รถไฟ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับการรถไฟฯ (3) งานขยายคลังก๊าซภูมิภาค จำนวน 4 คลัง เสร็จสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย คลังปิโตรเลียมขอนแก่น นครสวรรค์ สงขลา และสุราษฎร์ธานี (4) งานศึกษา Conceptual / LPG Optimization ได้ศึกษาเสร็จสิ้น และ (5) งานTechnical Assessment ได้ศึกษาเสร็จสิ้น
4. ความคืบหน้าในการพิจารณาการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 กพช. ได้มอบหมายให้ กบง. พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทน การลงทุนตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ กบง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้มีการประชุมหารือกับ ปตท. เกี่ยวกับรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ (1) ผลตอบแทนการลงทุน (2) เงินลงทุนรวม (3) ระยะเวลาโครงการ (4) ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย ค่าบริหาร/ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย อัตราเงินเฟ้อ ค่าสาธารณูปโภค (5) ปริมาณการใช้ก๊าซ LPG (6) ค่าเสื่อมราคา (7) อัตราภาษี และ (8) วิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน
มติของที่ประชุม
รับทราบ
เรื่อง ความก้าวหน้าโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ครม. ได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 โดยมอบหมายให้ กบง. พิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร รวมทั้งอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ให้ สนพ. ดำเนินงานโครงการจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ฯ และครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่ง สนพ. ได้จัดทำ “โครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน” โดยจัดจ้างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) เป็นที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการฯ
2. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 ครม. ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยครัวเรือนรายได้น้อยช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน และร้านค้า หาบเร่ฯ ช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน
3. โครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ ดังนี้ (1) จำนวนผู้มีสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด 7,932,695 สิทธิ์ แบ่งเป็นครัวเรือนรายได้น้อย 7,569,867 สิทธิ์ และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร 362,828 สิทธิ์ ซึ่งตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ จนถึงปัจจุบัน ได้มีผู้มาขอขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง (2) จำนวนร้านค้าก๊าซ LPG ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีร้านค้าก๊าซ LPG ทั้งหมด 47,417 ร้าน (3) ยอดการใช้สิทธิ์ ตั้งแต่เริ่มโครงการฯ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีการใช้สิทธิ์ซื้อก๊าซ LPG ผ่านระบบ SMS ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 9,979,420 ครั้ง โดยมีปริมาณก๊าซ LPG ที่ช่วยเหลือจำนวนรวม 194 ล้านกิโลกรัม (4) ภาระชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระช่วยเหลือทั้งสิ้น 348 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ปตท. มีภาระช่วยเหลือทั้งสิ้น 609 ล้านบาท และ (5) การชี้แจงและตอบข้อซักถามด้านการให้บริการข้อมูลแก่ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการรับเรื่องร้องเรียนและข้อติชมต่างๆ จะดำเนินการผ่าน www.lpg4u.net และศูนย์บริการร่วมกระทรวงพลังงาน
4. การดำเนินงานในระยะต่อไป บริษัท ปตท. ให้ความอนุเคราะห์รับผิดชอบการดำเนินโครงการฯ ต่อไปอีก 6 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2559 ในวงเงิน 500 ล้านบาท ส่วนผู้ดูแล ประสานงานโครงการฯ และเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมผู้บริหารกระทรวงพลังงานมีความเห็นว่า ควรอยู่ในความดูแลของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) โดย ธพ. ควรเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานและกำกับดูแลโครงการฯ ดังนั้น จึงเห็นควรเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยให้ ธพ. เป็นเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ แทน สนพ.
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการดำเนินงานโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนจนถึงสิ้นปี 2558 และการดำเนินงานโครงการฯในปี 2559
2. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคา ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และเห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบ จากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
เรื่อง Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และ วันที่ 3 เมษายน 2558 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและ แหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบ ถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน
2. การนำเข้าเพื่อใช้ในประเทศ ปัจจุบันมีเพียงบริษัท ปตท. รายเดียวที่นำเข้าก๊าซ LPG ด้วยปริมาณ ที่กำหนดจากกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อสมดุลการจัดหาต่อความต้องการภายในประเทศและป้องกันปัญหา การขาดแคลน การมีผู้นำเข้าเพียงรายเดียวทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน จึงมักเกิดคำถามถึงการผูกขาด ประสิทธิภาพการนำเข้าของ ปตท. เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอขั้นตอนเพื่อเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่า 1 ราย ดังนี้ (1) ระยะที่ 1 ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการให้ผู้ค้าก๊าซรายอื่นนำเข้า เช่น การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่ล่าช้า ความไม่พร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการนำเข้า และมาตรการชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาค (2) ระยะที่ 2 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้า ด้วยราคานำเข้าที่ CP+85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (3) ระยะที่ 3 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้า ด้วยราคานำเข้าที่ CP+X เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และ (4) ระยะที่ 4 เปิดการประมูลการนำเข้าก๊าซ LPG เมื่อมีผู้นำเข้ามากกว่าหนึ่งรายและระบบธุรกิจพร้อมต่อการแข่งขันแล้ว ในระยะต่อไปจะเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในลักษณะเดียวกันกับธุรกิจน้ำมัน
3. หากเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG เลยในขณะนี้ อาจเกิดปัญหา (1) ด้านความมั่นคงด้านการจัดหาในส่วนการนำเข้า และ (2) ราคาตั้งต้นก๊าซ LPG ที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งในทางกลับกันหากดำเนินการตาม roadmap เพื่อเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่า 1 รายก่อนและรอ 1 ปีในการเปิดเสรี ผู้ค้าก๊าซจะมีเวลาในการเตรียมตัวในการเข้าสู่ระบบแข่งขันเสรี และประเทศจะมีความมั่นคงด้านการจัดหาในการนำเข้า LPG
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการตาม Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่อง Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากโครงสร้างราคา NGV ในปัจจุบันยังคงคำนวณตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากการที่ สนพ. ได้ทบทวนต้นทุนภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากการติดตามต้นทุน NGV ของ ปตท. พบว่า ราคาขายปลีก NGV ที่ได้จากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยฯ และต้นทุนของ ปตท. อยู่ที่ 14.32 และ 16.97 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ นอกจากนี้สถาบันวิจัยฯ ได้มีการคิดค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่เป็นส่วนของ ปตท. และส่วนที่เป็นของเอกชน โดยมีการแบ่งสัดส่วนตามปริมาณขายระหว่างสถานีบริการนอกแนวท่อกับสถานีบริการบนแนวท่อในอัตรา 55:45 ซึ่งค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินการสถานีบริการก๊าซ NGV มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายดำเนินการมาคำนวณเฉพาะในส่วนที่เป็นของเอกชนอย่างเดียว โดยใช้สัดส่วนการดำเนินธุรกิจจากสถานีหลักไปสถานีลูกต่อสถานีแนวท่อตามจริงคือ 60:40 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่คำนวณได้ลดลงจากเดิมที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะภาคเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม
2. หลักเกณฑ์การคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบัน ปตท. มีการคิดต้นทุนในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งเป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ NGV ตามที่ สนพ. เสนอ โดยปัจจุบัน ปตท. ได้มีการคิดค่าขนส่งก๊าซ NGV สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ต้นทุนค่าขนส่งฯ จะอยู่ที่ 0.0167 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร แต่ปัจจุบัน สนพ. ได้มีการปรับปรุงต้นทุนค่าขนส่งฯ มาอยู่ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง ดังนั้น หากกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งฯ ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร จะส่งผลให้สถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุด (จังหวัดเชียงราย) มีค่าขนส่งอยู่ที่ 6.67 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมกับราคาก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตรแล้วจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 20.17 บาท ต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าควรให้มีการปรับค่าขนส่งฯจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยใช้อัตราค่าขนส่งฯ ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในพื้นที่ห่างไกลจากแนวท่อสูงเกินไป
3. ตามที่ กบง. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ศึกษาเพิ่มเติมถึงความเป็นได้ ในการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนในส่วนของก๊าซ NGV ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบันได้มีการจัดสรรเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่ได้เห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (Cross Subsidy) ซึ่งต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูป และกลุ่มก๊าซ LPG และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การจัดสรรเงินประเดิมของกองทุนน้ำมันฯ ไม่มีเงินประเดิมในส่วนของก๊าซ NGV จึงไม่มีเงินประเดิมไว้ใช้สำหรับรักษาระดับราคาก๊าซ NGV โดยหากจะให้มีการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ได้จะต้องมีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้สำหรับก๊าซ NGV ซึ่งจะต้องผ่านการเห็นชอบจาก กบง. โดยอาจจะต้องจัดสรรจากเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เป็นส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซ LPG เพราะที่ผ่านมา กบง. ยังไม่เคยมีการประกาศเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากผู้ใช้ ก๊าซ NGV ดังนั้น หากจะต้องมีการชดเชยราคาก๊าซ NGV จะต้องใช้เงินที่มีการจัดสรรไว้แล้วสำหรับน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซ LPG ซึ่งถือเป็นการชดเชยข้ามกลุ่มประเภทเชื้อเพลิง และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
4. เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ แนวทางที่ 1 ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน โดยให้ปรับไปตามประมาณการราคาของเดือนมกราคม 2559 จากเดิมที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.92 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป และตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน แนวทางที่ 2 คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัมต่อไปจนกว่าต้นทุนราคาก๊าซ NGV จะลดลงมาเท่ากับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม จึงจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน และ แนวทางที่ 3 ตั้งแต่ 21 มกราคม 2559 ถึง 15 กรกฎาคม 2559 ขอความร่วมมือ ปตท. กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ยกเลิกเพดานราคาและให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และให้มีการปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน สำหรับแนวทางที่ 1 แนวทางที่ 2 และ แนวทางที่ 3 ขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัมสำหรับในส่วนของราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะต่อไปและปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 บาทต่อเดือนเป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะเดิม ที่ได้รับ 35,000 บาทต่อเดือนเป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอความเห็นชอบการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยขอความร่วมมือ ปตท. ให้คิดค่าขนส่งโดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตรในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร แบบมีเงื่อนไข โดยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยในช่วงเวลาดังกล่าวหากต้นทุนราคา ก๊าซ NGV อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปลงเพื่อให้สะท้อนต้นทุน และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาขายปลีกก๊าซ NGV และในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับในส่วนของราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะต่อไปและปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะเดิมที่ได้รับ 35,000 บาทต่อเดือนเป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป โดยให้ ปตท. ไปหารือร่วมกับ สนพ. ถึงแนวทางการทยอยปรับค่าขนส่งดังกล่าว เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 19 มกราคม 2559 ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 23.80 48.30 และ 33.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา วันที่ 19 มกราคม 2559 อยู่ที่ 36.4505 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 20 มกราคม 2559 อยู่ที่ 32.37 บาทต่อลิตร และราคาเอทานอล ณ เดือนมกราคม 2559 อยู่ที่ 23.82 บาทต่อลิตร
2. จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 มกราคม 2559 อยู่ในระดับต่ำ ดังนี้ 30.06 23.10 22.68 20.74 17.89 และ 19.29 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีการอ้างอิงราคาน้ำมัน ไม่ได้ลดลงตามราคาน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ฝ่ายเลขานุการพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซิน และ น้ำมันแก๊สโซฮอล อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเพื่อให้สามารถปรับภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรดำเนินการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อสะสมไว้สำหรับโอนเป็นภาษีสรรพสามิต ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำ หรือราคาปรับตัวลดลง ซึ่งในขณะนี้สามารถปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้นได้ 0.60 บาทต่อลิตร จาก 6.15 0.05 0.005 และ -0.02 บาทต่อลิตร เป็น 6.75 0.65 0.605 และ 0.58 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 ฝ่ายเลขานุการฯ จะประสานผู้ค้าปรับลดราคาขายปลีกลง 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 1,473 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายจ่าย 322 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 1,152 ล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มกราคม 2559 มีทรัพย์สินรวม 48,574 ล้านบาท หนี้สินรวม 6,349 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 42,225 ล้านบาท โดยแยกเป็นของน้ำมัน 34,944 ล้านบาท และก๊าซ LPG 7,281 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป