![programmer_ener](http://www.gravatar.com/avatar/f993fd4247d701baeff765b954dd0bd1?s=100&default=https%3A%2F%2Feppo.go.th%2Fepposite%2Fcomponents%2Fcom_k2%2Fimages%2Fplaceholder%2Fuser.png)
programmer_ener
กอ. ครั้งที่ 21 - วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2543
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 21)
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
1. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
2. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
5. ขออนุมัติโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
8. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
9. รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายภิรมย์ศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายเกรียงกร เพชรบุตร) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จึงทำให้พ้นจากการเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับด้วย ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ สามารถดำเนินงานต่อไป คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันพุธที่ 2 สิงหาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบให้รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติอนุมัติงบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์ให้ สพช. ดำเนินการในหัวข้อเรื่อง บ้านประหยัดพลังงาน ในปี 2543 ในวงเงิน 150 ล้านบาท และคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 19) ได้อนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสมและการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเงิน 30 ล้านบาท รวมงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติในปีงบประมาณ 2543 ทั้งสิ้น 180 ล้านบาท
สพช. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543 ไปแล้ว 44 กิจกรรม รวมเป็นจำนวนเงิน 179,998,968.63 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ 1,031.37 บาท นอกจากนี้ สพช. ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นแกนหลักในการรณรงค์ "22 กันยา จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน" หรือวัน Car Free Day พร้อมกับประเทศในยุโรป โดยถือเป็นกิจกรรมเร่งด่วนเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันประหยัดน้ำมันในการเดินทางด้วยการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ได้มีมติให้มีการรณรงค์ด้านการประหยัดน้ำมันอย่างต่อเนื่อง และเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง เพื่อกำหนดแผนการรณรงค์ฯ กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนฯ ประสานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานผลการปฏิบัติงานต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอรายงานการประเมินผลโดยละเอียดต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2543 เพื่อพิจารณา ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่าโครงการรวมพลังหาร 2 ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการประชาสัมพันธ์ในระดับที่ดี และเห็นควรให้ สพช. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ในปี 2544 ต่อไป
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ซึ่งมีประเด็นหลักคือ การรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง แล้ว มีมติเห็นชอบในหลักการ โดยมีข้อสังเกตให้ดำเนินกิจกรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงตามสภาพของสังคมไทยในพื้นที่ต่างๆ และขอให้สานต่อการประชาสัมพันธ์ในประเด็นที่ได้เคยรณรงค์เอาไว้แล้วเพื่อเป็นการตอกย้ำ และกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
สพช. ได้จัดทำแผนการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปี 2544 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา สรุปได้ดังนี้
สพช. เห็นควรให้ใช้แนวคิด "ปีรณรงค์จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน" ในปีงบประมาณ 2544 เพื่อเป็นการขยายผลสำเร็จของการรณรงค์วัน Car Free Day เมื่อวันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2543 โดยมีรายละเอียดของแผนงานภายใต้แนวคิดหลัก คือ ปีรณรงค์จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
1) ทำการรณรงค์และเผยแพร่ความรู้เรื่องการประหยัดน้ำมันด้วยวิธีการต่างๆ ตลอดทั้งปี โดยจะมีการเน้นวิธีการประหยัดน้ำมันหลักในทุก 2 เดือน ผ่านการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ และกิจกรรมรณรงค์
2) กำหนดทุกวันที่ 22 ของทุกเดือน เป็นวัน Car Free Day
3) กิจกรรมเสริมอื่นๆ ได้แก่ สารคดีโทรทัศน์เรื่องการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง การพัฒนา Web pages อนุรักษ์พลังงาน กิจกรรมพิเศษ การปรับปรุงและพัฒนานิทรรศการเปิดโลกพลังงานและศูนย์นิทัศน์พลังงานเพื่ออนาคต ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 และชมรมขบวนการหาร 2
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
2. อนุมัติงบประมาณในวงเงิน 150 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรม ตามแผนปฏิบัติการ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอมา
3. เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 10 ล้านบาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2540 ได้มีมติอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ (ระยะที่ 2) ตลอดระยะเวลาโครงการฯ 5 ปี ในวงเงินรวม 101,322,980 บาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอผลการดำเนินการตามโครงการฯ เมื่อดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
สพช. ได้จ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อประเมินผลการดำเนินงาน ที่ผ่านมาของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ฯ ซึ่งจากร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ มจธ. ได้ประเมินประสิทธิภาพของระบบก๊าซชีวภาพของฟาร์มขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ ฟาร์มไทย-เดนมาร์ค และเอส.พี.เอ็ม ฟาร์ม ซึ่งทั้ง 2 ฟาร์ม มีขนาดระบบ 2,000 ลบ.ม. สรุปได้ดังนี้
1) ก๊าซชีวภาพที่ได้มีปริมาณ 700-900 ลบ.ม./วัน ซึ่งมีค่าน้อยกว่าที่คาดไว้คือ 1,000 ลบ.ม./วัน เนื่องจากการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของฟาร์ม จึงทำให้ปริมาณน้ำเสียที่ไหลเข้าระบบมีน้อยเกินไป สำหรับก๊าซที่ผลิตได้ในฟาร์มไทย-เดนมาร์ค ได้นำไปใช้เป็นพลังงานความร้อนในการกกลูกหมูทั้งหมด ส่วนก๊าซที่ผลิตได้ใน เอส.พี.เอ็ม ฟาร์ม ได้นำไปใช้เพียงครึ่งหนึ่งเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม ส่วนที่เหลือต้องปล่อยทิ้ง เพราะเป็นฟาร์มหมูขุนจึงไม่ต้องการใช้ความร้อนในการกกลูกหมู
2) จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุน พบว่า ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบของฟาร์มทั้ง 6 แห่งที่เข้าร่วมโครงการมีราคาเฉลี่ย 3,500-4,500 บาท/ลบ.ม.ของระบบ สูงกว่าราคาค่าก่อสร้าง ที่ มช. ประเมินไว้ ที่ 2,400 บาท/ลบ.ม โดยเป็นผลจากค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีที่ดำเนินการก่อสร้างระบบฯ ดังกล่าว
3) มจธ. ได้ประเมินระบบก๊าซชีวภาพโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 6 ฟาร์ม พบว่า ฟาร์ม ทั้ง 6 แห่ง เห็นว่าโครงการมีประโยชน์ควรทำการส่งเสริมต่อไป โดย มจธ. ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะให้ สพช. สนับสนุนให้มีการวิจัย พัฒนารูปแบบ และองค์ประกอบของระบบก๊าซชีวภาพที่ใช้ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนการศึกษาระบบผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมจากของเสียชนิดอื่นด้วย
มช. ได้ดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 มาครบ 2 ปีแล้ว ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ถึง 46,000 ลบ.ม. ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 6,000 ลบ.ม. และทำให้เงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ไม่พอเพียง มช. จึงได้มีหนังสือที่ ทม 0619/9586 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2543 เพื่อขอรับเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 6,768,000 บาท ทั้งนี้ มช. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ มช. ขยายเป้าหมายจาก 40,000 ลบ.ม. เป็น 46,000 ลบ.ม. และเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนในส่วนผู้ร่วมโครงการฯ (เพิ่มเติม) ในวงเงิน 6,768,000 บาท (หกล้านเจ็ดแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ มช. ขยายเป้าหมายการดำเนินโครงการฯ จากเดิม 40,000 ลบ.ม. เป็น 46,000 ลบ.ม. และอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ (ระยะที่ 2) ในส่วนผู้ร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 6,768,000 บาท (หกล้านเจ็ดแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ตลอดระยะเวลาโครงการฯ 4.5 ปี ในวงเงิน 55,480,000 บาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการฯ แต่ละปี และเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา ก่อนเบิกจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ในปีถัดไป
สพช. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ที่ผ่านมา ซึ่งจากร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ มจธ. ได้ประเมินประสิทธิภาพของระบบฯ โดยการสำรวจภาคสนามในฟาร์ม 12 แห่ง และใช้แบบสอบถามทางไปรษณีย์และถามตรง จำนวน 130 ราย แล้วนำมาสรุปผลได้ดังนี้
1) มจธ. ได้ตรวจวัดปริมาณก๊าซที่เกิดขึ้นในบ่อก๊าซชีวภาพของเกษตรกร 12 ราย พบว่า ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีปริมาณ 30%-250% ของปริมาณก๊าซที่ กสก. กำหนดในระบบฯ แต่ละขนาด โดยค่าที่แตกต่างดังกล่าวเป็นผลจากการดูแลระบบของเกษตรกรในการป้อนมูลสัตว์สู่ระบบและการรักษาสภาพบ่อหมัก
2) ผลจากการสำรวจข้อมูลจากเกษตรกรจำนวน 130 ราย พบว่า เกษตรกรจะใช้ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม 116 ราย ใช้ทดแทนถ่านหุงต้ม 38 ราย และใช้ทดแทนไฟฟ้า 21 ราย
3) การวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุนในฟาร์มที่สำรวจทั้ง 12 แห่ง พบว่า บ่อก๊าซชีวภาพขนาดเล็ก (ขนาด 12 ขนาด 16 และ 30 ลบ.ม.) จะมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมาก คือ ในกรณีที่ไม่มีเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ระดับ 2-7% และหลังจากที่มีเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วทำให้ FIRR อยู่ที่ระดับ 7-28%
สำหรับบ่อขนาดใหญ่ (ขนาด 50 และ 100 ลบ.ม.) จะไม่มีความคุ้มค่าในการลงทุนเลยแม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยเป็นผลจากการที่ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้มีปริมาณมาก แต่เกษตรกรเจ้าของบ่อไม่สามารถนำก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และประกอบกับราคาค่าก่อสร้างจริงของบ่อก๊าซชีวภาพ ในระยะที่ 1 มีราคาสูงกว่าที่ กสก. ประเมินมาก ซึ่ง กสก. ได้ปรับราคากลางของระบบขนาดใหญ่ให้ถูกต้องแล้วในโครงการฯ ระยะที่ 2
4) มจธ. ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะให้ สพช. สนับสนุนให้มีการวิจัย พัฒนาชนิดรูปแบบ และองค์ประกอบของระบบก๊าซชีวภาพให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และควรสนับสนุนให้มีการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ก๊าซชีวภาพอย่างแพร่หลายด้วย เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถนำก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด
กสก. ได้ดำเนินโครงการฯ ครบ 2 ปีแล้ว ปรากฏว่ามีเกษตรกรที่แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 939 ราย คิดเป็นปริมาตรรวม 38,216 ลบ.ม. ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 11,966 ลบ.ม. และทำให้เงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ไม่พอเพียง กสก. จึงได้ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ เพิ่มเติมอีกใน วงเงิน 8,821,300 บาท โดย กสก. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ กสก. ขยายเป้าหมายตามที่เสนอมา และเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนโครงการฯ ในส่วนผู้ร่วมโครงการ (เพิ่มเติม) ในวงเงิน 8,821,300 บาท (แปดล้านแปดแสนสองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กสก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนสนับสนุนผู้ร่วมโครงการ เพิ่มเติม ในวงเงิน 8,821,300 บาท (แปดล้านแปดแสนสองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ กสก. ปรับแผนการดำเนินโครงการฯ ในการโอนเปลี่ยนแปลงรายการค่าใช้จ่ายและการปรับเพิ่ม/ลดกิจกรรมในโครงการฯ บางรายการลง ตามที่ กสก. เสนอ
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วท.) ได้เสนอโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในประชุม ครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้มอเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในขบวนการผลิตไม่ว่าจะในภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีการใช้พลังงานจากมอเตอร์ถึงมากกว่า 70% ภาคเกษตรกรรม แม้กระทั่งในภาคที่อยู่อาศัยก็มีการใช้มอเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ วิทยุเทป เป็นต้น
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)ได้เสนอร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพขั้นต่ำของเครื่องใช้ไฟฟ้าและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 77) แล้ว โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่จะต้องมีการกำหนดบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าวด้วย ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะเป็นหน่วยงานที่รับไปดำเนินการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อบังคับใช้ต่อไป
เพื่อตอบสนองความต้องการห้องปฏิบัติการทดสอบมอเตอร์ที่สามารถตรวจวัดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน ได้เทียบเท่ากับห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศ และเพื่อรองรับโครงการที่จะส่งเสริมให้มีการใช้มอเตอร์ประสิทธิภาพสูงในประเทศไทยของหน่วยงานต่างๆ วท. จึงได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขึ้นในประเทศไทย โดยจะเลือกใช้มาตรฐานวิธีการทดสอบของ IEEE 112-Method B ของสถาบัน IEEE (The Institute of Electrical and Electronic Engineering, Inc) ซึ่งเป็นวิธีที่มีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ซึ่งห้องปฏิบัติการฯ ที่จัดตั้งขึ้นนี้จะมีมาตรฐานการตรวจวัดการควบคุมที่ระดับมาตรฐานสากล ในเบื้องต้นสามารถทดสอบหาค่าประสิทธิภาพของมอเตอร์ตั้งแต่ขนาด 1 แรงม้า ถึง 10 แรงม้า โดยมีความสามารถในทดสอบมอเตอร์ได้ไม่น้อยกว่า 630 เครื่องต่อปี ต่อจากนั้นจะขยายขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการฯ ให้สามารถทดสอบมอเตอร์ได้ถึงขนาด 30 แรงม้า ในระยะต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้ วท. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 99,500,000 บาท (เก้าสิบเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน)
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ วท. จะต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) กำหนดแผนการปรับปรุงห้องปฏิบัติการให้ได้รับการรับรองตาม ISO Guide 25 เพื่อยกระดับห้องปฏิบัติการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล ซึ่งจะสามารถรองรับการเทียบเคียงกับต่างประเทศได้ในอนาคต
2) เพิ่มเติมแนวทางการร่วมมือกับห้องปฏิบัติการและนักวิชาการอื่นทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ
3) เพิ่มเติมแผนการประเมินผลโครงการฯ โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผลงานเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ชัดเจน
4) ปรับลดค่าใช้จ่ายบางรายการในหมวดค่าใช้สอยและสาธารณูปโภคลง เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าอุปกรณ์และวัสดุสำนักงาน
5) ปรับลดค่าฝึกอบรมลง เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญที่ทางโครงการจ้างไว้ให้การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว
6) ระบุแนวทางในการคิดอัตราค่าบริการทดสอบมอเตอร์ ที่จะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการ แต่ละครั้งให้ชัดเจน
3. หาก วท. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว วท. จะต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44 ) ด้วย
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ในปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 145 ล้านบาท ทั้งนี้ โดยให้ พพ. ดำเนินการรับข้อเสนอการขอรับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2543 นั้น
การดำเนินงานที่ผ่านมา มีอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2543 จำนวน 23 ราย โดยมีผู้เสนอรายละเอียดข้อเสนอโครงการทางด้านเทคนิคและด้านการเงิน ให้ พพ. พิจารณา จำนวน 8 ราย ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติวงเงินสนับสนุนไปแล้ว จำนวน 5 ราย ในวงเงิน 6,446,277 บาท ส่วนที่เหลืออีก 3 ราย พพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้การสนับสนุนฯ ในวงเงิน 4,164,718 บาท แต่ พพ. ไม่สามารถนำเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติวงเงินได้ทันในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งมีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้
1) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้มีหนังสือที่ มท 5311.1/061 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนปรับปรุงระบบแสงสว่างตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 370,965.90 บาท สำหรับอาคารสำนักงานกลางหลังใหม่ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ เพื่อใช้เป็นอาคารเอนกประสงค์ 24 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารควบคุม พพ. ได้พิจารณาและวิเคราะห์รายละเอียดเอกสารประกอบการขอรับการสนับสนุนฯ โดยใช้ราคากลางและคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่ใช้ในการดำเนินงานของโครงการอาคารของรัฐ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2543 เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาให้วงเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีผลการวิเคราะห์ฯ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดจึงเห็นควรให้การสนับสนุนเงินลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 296,420 บาท
2) โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้มีหนังสือที่ กห 0447/03087 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้าง ในวงเงิน 966,000 บาท ค่าควบคุมการติดตั้ง ในวงเงิน 200,000 บาท และลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ในวงเงิน 23,336,272 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 24,502,272 บาท สำหรับอาคารตรวจและรักษาโรคเอนกประสงค์ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุม พพ. ได้วิเคราะห์รายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ แล้วเห็นว่ามีเพียงมาตรการการใช้มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ที่ควรได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เนื่องจากมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้นกว่าแบบเดิม และมีผลตอบแทนการลงทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์เกินกว่าร้อยละ 9 จึงเห็นควรให้การสนับสนุนเงินในการปรับปรุง แบบก่อสร้างฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ของมาตรการดังกล่าว ในวงเงิน 984,454 บาท
3) โรงพยาบาลอุดรธานี ได้มีหนังสือที่ อด 0033.1/11126 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้าง ในวงเงิน 973,700 บาท และลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 8,709,900.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,683,600.50 บาท สำหรับอาคารผู้ป่วยนอกหลังใหม่ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งอยู่ในข่ายอาคารควบคุม พพ. ได้วิเคราะห์รายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ ตามหลักเกณฑ์ฯ แล้ว และเห็นสมควรให้การสนับสนุนแก่โรงพยาบาลอุดรธานีในการปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ และลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เพียง 3 มาตรการ ในวงเงิน 2,883,844 บาท
พพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติโอนเงินค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการนี้ ในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งยังคงเหลืออยู่ 138,553,723 บาท ให้ พพ. นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนฯ ให้อาคารควบคุมทั้ง 3 แห่ง ดังกล่าว คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลอุดรธานี รวมเป็นเงิน 4,164,718 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า หากอาคารควบคุมใดได้ลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานในมาตรการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ก่อนได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วให้ยกเลิกการสนับสนุนการลงทุนสำหรับมาตรการนั้นให้แก่อาคารดังกล่าว
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วเห็นว่า เพื่อให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 จำนวน 4,164,718 บาท (สี่ล้านหนึ่งแสนหกหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยสิบแปดบาทถ้วน) เพื่อใช้เป็นเงินสนับสนุนในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในปีงบประมาณ 2544
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการ ในปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
2.1 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในวงเงิน 296,420 บาท (สองแสนเก้าหมื่นหกพันสี่ร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2.2 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในวงเงินทั้งสิ้น 984,454 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นสี่พันสี่ร้อยห้าสิบสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังนี้
(1) การปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ ในวงเงิน 62,114 บาท ประกอบด้วย
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและดำเนินการอื่นๆ เป็นเงิน 45,425 บาท
การปรับปรุงแบบก่อสร้าง เป็นเงิน 16,689 บาท
(2) การลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ โดยการเปลี่ยนใช้มอเตอร์ ประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 922,340 บาท
2.3 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับโรงพยาบาลอุดรธานี ในวงเงินทั้งสิ้น 2,883,844 บาท (สองล้านแปดแสนแปดหมื่นสามพันแปดร้อยสี่สิบสี่บาทถ้วน) สำหรับเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้
(1) การปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ ในวงเงิน 146,645 บาท ประกอบด้วย
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและดำเนินการอื่นๆ เป็นเงิน 114,600 บาท
การปรับปรุงแบบก่อสร้าง เป็นเงิน 32,045 บาท
(2) การลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 2,737,199 บาท โดยจำแนกเป็นรายมาตรการ ดังนี้
การเปลี่ยนใช้โคมสะท้อนแสง ในวงเงิน 1,072,289 บาท
การเปลี่ยนใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ ในวงเงิน 1,058,292 บาท
การเปลี่ยนใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 606,618 บาท
3. หากหน่วยงานที่ขอรับการสนับสนุนฯ ตามข้อ 2 ได้ดำเนินการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในมาตรการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติวงเงิน หน่วยงานนั้นๆ จะไม่ได้รับเงินสนับสนุนฯ ในมาตรการที่ได้ลงทุนไปก่อนแล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2541และรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,491,790,196.69 บาท
มติที่ประชุม
รับทราบงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2541 และรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543
เรื่องที่ 8 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุน โครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2542 จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2543 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,238.96 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 9 รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้ดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆ ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำการประเมินผลการดำเนินงานโครงการฯ ทั้งทางด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงให้เสนอทางเลือกอื่นในการดำเนินโครงการฯ เพื่อนำไปใช้พัฒนาปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป
สพช. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี (มจธ.) เป็นที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน โดยใช้เงินกองทุนฯ โครงการบริหารงานตาม พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2542 ในวงเงิน 7,485,000 บาท (เจ็ดล้านสี่แสนแปดหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยกำหนดระยะเวลาการดำเนินงาน 10 เดือน นับจากเดือนตุลาคม 2542 ซึ่งสถาบันวิจัยพลังงานฯ ได้นำเสนอร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ ให้ สพช. แล้ว
สพช. ได้เสนอการประเมินผลโครงการฯ ให้คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2543 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการฯ ในระยะต่อไป เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินโครงการฯ ในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ที่ปรึกษาตรวจสอบ (Accredited Consultants : AC) จะต้องเป็นผู้ไม่มีผลประโยชน์ร่วมกับที่ปรึกษาด้านพลังงาน (Registered Consultants : RC)
2) กำหนด Rating RC/AC และทำการทดสอบ RC/AC ทุกราย เป็นประจำทุกปี หาก RC/AC รายใดมีคุณภาพไม่ผ่านเกณฑ์ก็ให้มีการถอดถอน RC/AC รายนั้น
3) สร้างระบบสุ่มตรวจ แทนที่จะตรวจซ้ำงานที่ AC ทำแล้ว เพื่อความรวดเร็วในการตรวจงานและจ่ายเงินให้กับ RC
4) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การขอขึ้นทะเบียน RC โดยไม่ควรที่จะคำนึงเฉพาะชื่อของวิชาหรือสาขาที่สำเร็จการศึกษา แต่ควรที่จะระบุเป็นเนื้อหาของแต่ละวิชาที่จะต้องสำเร็จการศึกษา และเปิดโอกาสให้มีการจดทะเบียนได้ทั้งปี
5) ปรับปรุงกฎกระทรวงให้โรงงานและอาคารที่ทำ Prelim Audit แล้วไม่ต้องทำซ้ำในรอบสอง ให้ทำ Detail Audit เพียงอย่างเดียว
สพช. ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ พพ. ทราบแล้ว และหาก พพ. จัดทำแผนปรับปรุงการดำเนินงานโครงการฯ และแจ้งให้ สพช. ทราบแล้ว สพช. จะนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
กอ. ครั้งที่ 22 - วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22)
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2544 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3. รายงานผลการสัมมนาเพื่อปรับนโยบายและมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน
5. แผนประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544
6. ขอความเห็นชอบร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
7. ขออนุมัติโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน
8. โครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Pilot Project) ในโรงงานควบคุมโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
9. ปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
10. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจัง โดยตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว เนื่องจากขณะนี้ประเทศเรานำเข้าน้ำมันปีละประมาณ 300,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศ ดังนั้นหากเราปล่อยให้มีการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพก็จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 - 31 มีนาคม 2544 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2544 เป็นเงินจำนวน 13,540,137,667.76 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
1. แผนงานภาคบังคับ เป็นแผนงานที่เกี่ยวกับโรงงานและอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงงานและอาคารควบคุมตามพระราชกฤษฎีกา รับผิดชอบโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) โดยในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,194.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% และ 11 % ของแผนงานแต่ละปีที่กำหนดไว้ ซึ่งปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินการล่าช้าไม่เป็นไปตามเป้าหมายมีหลายประการด้วยกัน ส่วนหนึ่งเกิดจาก กฎกระทรวง ระเบียบ ขั้นตอนการปฏิบัติ และวิธีการสนับสนุนเงินลงทุนจากกองทุนฯ รวมถึงโรงงานและอาคารควบคุมขาดบุคลากรที่จะดูแลรับผิดชอบการอนุรักษ์พลังงานโดยตรง ซึ่ง พพ. ได้ว่าจ้าง สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ศึกษาแนวทางในการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสนับสนุนจากกองทุนฯ คาดว่าการศึกษานี้จะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2544 ซึ่งจะได้นำผลการศึกษามากำหนดเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา แล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. แผนงานภาคความร่วมมือ ประกอบด้วยโครงการย่อ 5 โครงการ คือ (1) โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน (2) โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ (3) โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน (4) โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา (5) โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน มี สพช. เป็นผู้รับผิดชอบ โดยในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 688.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 81 % และ 12 % ของแผนงานแต่ละปีที่กำหนดไว้ สำหรับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ที่ยังไม่มีการใช้จ่ายเงินนั้น เนื่องจากการออกประกาศเชิญชวนฯ และคัดเลือกล่าช้ากว่ากำหนดไว้เดิม ซึ่งเรื่องดังกล่าว สพช. จะนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในเรื่องที่ 4.2 สำหรับโครงการโรงงานอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งานที่ยังมิได้ดำเนินการเท่าที่ควรนั้นเนื่องจากต้องรอผลการประเมินโครงการนำร่อง 4 โครงการที่ได้รับการสนับสนุนไปแล้วจากกองทุนฯ หากทราบผลการประเมินชัดเจนแล้ว สพช. จะเร่งดำเนินการในรายละเอียดต่อไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการฯ ที่อยู่ในขั้นตอนขอความเห็นชอบในแผนเบื้องต้นและเมื่อจัดทำเป็นแผนโดยละเอียดแล้วก็สามารถให้การสนับสนุนต่อไป จึงคาดว่าการดำเนินงานในส่วนนี้จะบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
3. แผนงานสนับสนุน ประกอบด้วย 3 โครงการย่อ คือ (1) โครงการพัฒนาบุคลากร ในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 265.01 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59 % และ 12 % ของแผนงานที่กำหนดไว้ โดยมีโครงการที่ดำเนินการเสร็จแล้วหลายโครงการ เช่น โครงการรุ่งอรุณ เป็นต้น สำหรับปัญหาที่ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้นเกิดจาก เจ้าของอาคาร/โรงงาน ขาดแรงจูงใจในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงาน บุคลากรด้านพลังงานไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน (2) โครงการประชาสัมพันธ์ ในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 266.38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 100 % และ 57 % ของแผนงานที่กำหนดไว้ (3) โครงการบริหารตามกฎหมาย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. พพ. และกรมบัญชีกลาง ให้เป็นไปตาม พรบ.ฯ
โดยในส่วนงานโครงการอาคารของรัฐภายใต้แผนงานภาคบังคับและโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในช่วงปี 2543-2544 ที่ได้ใช้จ่ายเงินไป 1,162.93 ล้านบาท คาดว่าจะลดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลงได้ คิดเป็นเงินประมาณ 118.7 ล้านบาท/ปี และชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ คิดเป็นมูลค่า 974.25 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นจำนวนเงินได้ เช่น การสร้างเสริมประสบการณ์และให้ความรู้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมและชำนาญการทางเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น การปลูกจิตสำนึกให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
สพช. ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเพื่อกำหนดเป้าหมายของงานในช่วง 5 ปีข้างหน้าให้ชัดเจน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาร่วมดำเนินการ เพื่อให้การนำแผนอนุรักษ์พลังงานไปสู่การปฏิบัติที่เห็นผลได้เร็วขึ้น และลดขั้นตอนในการปฏิบัติ ซึ่ง สพช. เห็นควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสนับสนุนจากกองทุน โดยแบ่งงานออกเป็นกลุ่มๆ ตามสาขาพลังงาน เช่น กลุ่มขนส่ง กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มอนุรักษ์พลังงาน กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ กลุ่มพลังงานชีวภาพ เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีคณะทำงานกำกับดูแลให้การดำเนินงานของกลุ่มนั้นๆ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ จัดทำโปรแกรมการดำเนินงานในกลุ่มของตนเอง ทั้งในเรื่องการเผยแพร่เทคโนโลยี การศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาบุคลากร และการประชาสัมพันธ์ แล้วเสนอคณะอนุกรรมการเพียงชุดเดียว หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งแนวทางในการดำเนินงานในรูปนี้ สพช. จักได้พิจารณาความเหมาะสมและเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
1. ให้ พพ. เร่งรัดให้ผู้รับผิดชอบอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังมิได้ดำเนินการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้แล้วเสร็จ แต่ได้มีการอนุมัติเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปแล้วนั้น ให้มีการดำเนินงานตามแผนอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้นำมาเป็นมาตรการในการพิจารณาจ่ายโบนัสแก่ส่วนราชการต่อไป
2. ให้ พพ. เร่งดำเนินการติดตามประเมินผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานไปแล้วประมาณ 733 อาคาร ว่าผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่อย่างไร และควรที่จะต้องกำหนดมาตรการอนุรักษ์พลังงานเสริมหรือมีคำสั่งบังคับหรือไม่ เพื่อให้การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อจะได้นำมากำหนดเป็นมาตรการในการพิจารณาจ่ายโบนัสแก่ส่วนราชการต่อไป
3. การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ส่วนอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตาม พรบ.ฯ นั้น พพ. ควรที่จะต้องเร่งรัดให้ดำเนินการเป็นตัวอย่างแก่เอกชน โดย พพ. ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานของแต่ละส่วนราชการที่เป็นอาคารควบคุมให้ชัดเจนว่าจะต้องดำเนินการจัดทำมาตรการอนุรักษ์พลังงานในกิจกรรมใดบ้าง จะดำเนินการให้แล้วเสร็จเมื่อใด แล้วนำเสนอต่อรัฐมนตรีที่รับผิดชอบส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้นๆ เพื่อที่จะกำหนดเป็นนโยบายแล้วสั่งการให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ดำเนินการต่อไป
4. ให้ พพ. เร่งประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อกำหนดแนวทางในการจัดสรรเงินงบประมาณให้เพียงพอกับค่าก่อสร้างอาคารใหม่ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้ออกแบบตามมาตรฐานที่กฏกระทรวงกำหนด สำหรับอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่จะต้องออกแบบก่อสร้างใหม่นั้น จะต้องออกแบบให้ได้ตามมาตรฐานที่กฎกระทรวงกำหนด
5. ให้พิจารณานำอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้ามาบังคับใช้กับอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยไม่อนุญาตให้โอนงบประมาณค่าใช้จ่ายหมวดอื่นๆ มาใช้เป็นค่าไฟฟ้า
6. ให้ พพ. เร่งจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งานให้ชัดเจน โดยให้มีแนวทาง ขั้นตอนและวิธีการแก้ไขดำเนินการในแต่ละประเด็นปัญหา แล้วให้ พพ. รายงานต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
เรื่องที่ 3 รายงานผลการสัมมนาเพื่อปรับนโยบายและมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ได้เห็นชอบกรอบวิสัยทัศน์และทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) จึงได้มีคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 5/2543 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2543 แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการจัดทำแผนพัฒนาพลังงานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9" เพื่อจัดทำแผนพัฒนาพลังงานให้สอดคล้องกับกรอบวิสัยทัศน์และทิศทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 โดยคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์ประเด็นปัญหาการพัฒนาพลังงานในช่วงที่ผ่านมา ประเมินสถานการณ์พลังงาน ประมาณการความต้องการใช้พลังงานของประเทศในอนาคต และปรับปรุงแผนพัฒนาพลังงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นประธานอนุกรรมการ
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2544 สพช. ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงาน ทดแทน ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวม 15 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมายและนโยบายการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนของประเทศไทยในช่วง ปี 2545-2549 โดยสรุปได้ว่าจะมุ่งดำเนินการใน 4 ภาคเศรษฐกิจของประเทศ คือ (1) ภาคอุตสาหกรรม (2) ภาคคมนาคมขนส่ง (3) ภาคพาณิชยกรรม และ (4) ภาคที่อยู่อาศัย โดยที่ประชุมได้พิจารณากำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ไว้ ดังนี้
(1) การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
เป้าหมายที่จะลดปริมาณการใช้พลังงาน ในช่วงแผนฯ 9 | ||
ภาคคมนาคมขนส่ง | 5.7% | 1,563 ktoe |
ภาคอุตสาหกรรม | 4% | 940 ktoe |
ภาคธุรกิจและการพาณิชย์ | 1.9% | 50 ktoe |
ภาคบ้านอยู่อาศัย | 0.8% | 110 ktoe |
(2) การพัฒนาและกระจายแหล่งพลังงานภายในประเทศ
เป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ในช่วงแผนฯ 9 | |
ผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์หรือน้ำเสียโรงงาน แทน LPG 24.8 Mkg/yr | 29.5 ktoe/Yr |
นำชีวมวลมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตความร้อน/ไฟฟ้า | 395 ktoe/Yr |
ให้มีการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ 17 MW | 7.4 ktoe/Yr |
ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบเทคโนโลยีความร้อน แทน LPG 4.92 Mkg/yr | 3.3 ktoe/Yr |
ให้มีการนำพลังงานลมมาผลิตกระแสไฟฟ้า 4.7 MW | 0.56 ktoe/Yr |
เป้าหมายที่กำหนดไว้ดังกล่าว จะสามารถประหยัดพลังงานในช่วงปี 2545-2549 ได้ประมาณ 3,500 MW หรือ 2,200 ktoe/Yr หรือ โดยเฉลี่ย 3.44% ของการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ และเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียน ประมาณ 330 MW หรือ 435 ktoe/Yr
นอกจากนั้นคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 ที่ผ่านมา ได้พิจารณา มาตรการอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2544 ตามที่ สพช. เสนอ แล้ว และที่ประชุมเห็นว่า สพช. ควรเสนอมาตรการใหม่ๆ หรือมาตรการที่เข้มข้นให้ กพช. พิจารณาใหม่ ซึ่งควรเป็นมาตรการที่ได้รับการการยอมรับและความร่วมมือจากประชาชนทั้งประเทศ โดยได้เสนอแนะให้ สพช. จัดการประชุมเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นให้กว้างขวาง ทั้งจากทางด้านหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เมื่อมีการพิจารณาเห็นชอบให้ประกาศใช้มาตรการต่างๆ ที่นำเสนอแล้วนั้นๆ จะได้รับการสนับสนุนร่วมมือที่ดีจากประชาชน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้มอบหมายให้ สพช. จัดสัมมนารวบรวมความคิดเพื่อจะแก้ไขปัญหาอุปสรรค ซึ่งจะนำไปสู่การปรับนโยบายและมาตรการในการประหยัดพลังงาน ตลอดจนเสริมบทบาทให้ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีส่วนร่วมกันผลักดันเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
สพช. จึงได้นำเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานในช่วง ปี 2545-2549 ที่คณะทำงานฯ ได้มีผลสรุปไว้มาร่วมใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดประชุมกลุ่มพลังงานในสาขาต่างๆ 10 กลุ่มย่อย ประกอบด้วย (1) กลุ่มประชาสัมพันธ์ (2) กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม (3) กลุ่มพลังงานจากก๊าซชีวภาพ (4) กลุ่มพลังงานจากชีวมวล (5) กลุ่มการส่งเสริมเทคโนโลยีการนำกลับมาใช้ใหม่ (6) กลุ่มการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานใน SME (7) กลุ่มส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในบ้าน (8) กลุ่มส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง (9) กลุ่มการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร (10) กลุ่มการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารควบคุม โดยได้ระดมความคิดจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขาต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อนำไปปรับทิศทางเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และ สพช. ได้นำประเด็นที่มีสาระสำคัญจากการสัมมนาจาก 10 กลุ่มย่อย ไปจัดการประชุมสัมมนาเรื่อง "พลังงานกับการกอบกู้เศรษฐกิจ" เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2544 โดยได้มีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายองค์กร ประมาณ 520 ท่าน มาร่วมสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อทบทวนยุทธศาสตร์ จัดลำดับความสำคัญในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานในสาขาต่างๆ ทั้ง 10 สาขา และจัดทำแผนรวมที่จะผลักดันให้การทำงานในเรื่องอนุรักษ์พลังงานซึ่งมีการดำเนินการโดยหลายหน่วยงานสามารถที่จะดำเนินต่อไปอย่างสอดคล้องกัน และให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่มากพอที่จะมีส่วนช่วยลดการพึ่งพาและนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ โดยมีผลสรุปตามที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระการประชุม 3.3.1
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการสัมมนา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 0905 /2148 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2543 เพื่อเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการทุนฯ ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 4) ในการพิจารณาอนุมัติโครงการเร่งด่วน 2 โครงการ คือ (1) โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ในวงเงิน 753,068,006 บาท และ (2) โครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน ที่สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ในวงเงิน 72,664,500 บาท
กรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2543 รวม 15 ท่าน และมีกรรมการกองทุนฯ 4 ท่าน ที่ไม่ได้แจ้งผลการพิจารณา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ สรุปผลการพิจารณาได้ว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ให้การสนับสนุนทั้ง 2 โครงการดังกล่าว และฝ่ายเลขนุการฯ ได้แจ้งมติผลการพิจารณาให้เจ้าของโครงการฯ ทราบแล้ว
มติที่ประชุม
รับรองมติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการเวียนขอความเห็นชอบ ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 4) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปภาพรวมโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 แผนประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการและอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 150,000,000 บาท โดยมีประเด็นหลักการรณรงค์ในหัวข้อเรื่องการประหยัดพลังงานในการคมนาคมขนส่ง ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา สพช. ได้ดำเนินการจัดจ้างกิจกรรมโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544 ไปแล้ว 1 กิจกรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมเสริมสร้างภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์โครงการของกองทุนฯ เป็นจำนวนเงิน 7,648,670.30 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ 142,351,329.70 บาท
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ได้เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินมาตรการด้านการอนุรักษ์พลังงานให้เกิดเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง ซึ่ง สพช. ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2544 และมีความเห็นว่าควรปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และให้ได้ผลด้านการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการประหยัดพลังงานที่สามารถวัดผลได้
สพช. ได้ปรับปรุงแผนประชาสัมพันธ์ปีงบประมาณ 2544 แล้ว และได้นำเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนในการประชุมครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2544 ที่เห็นชอบในแผนปฏิบัติการดังกล่าว และ ให้ สพช. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งสามารถสรุปประเด็นหลักของแผนฯ ได้ดังนี้
สพช. ได้ปรับเปลี่ยนแผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ด้วยการเสนอแนะแนวทางในการใช้พลังงานอย่างประหยัดแก่ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมในการประหยัดพลังงาน ในชีวิตประจำวันได้อย่างกว้างขวาง โดยเน้นให้เกิดผลหลัก 3 ประการ ได้แก่
1. สร้างกระแสเพื่อรวมพลังคนไทยทั้งชาติ ลดการใช้พลังงานที่เกินความจำเป็นอย่างเร่งด่วน และวัดผลได้
2. เพิ่มจำนวนประชาชนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมให้ครอบคุมครัวเรือนทั่วประเทศ
3. ก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันจนติดเป็นนิสัย โดยการแข่งขันการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเป็นส่วนในการสร้างความภาคภูมิใจ และกระตุ้นให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างยั่งยืน
โดยมีชุดกิจกรรมที่จะดำเนินการสื่อสาร หลัก 2 ชุดกิจกรรมคือ (1) ชุดกิจกรรมด้านการรณรงค์แข่งขันประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นกิจกรรม เลิก 3 แช่ คือ เลิกเสียบปลั้กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดแช่เมื่อไม่ใช้งาน เลิกเปิดไฟฟ้าแสงสว่างแช่เมื่อไม่ใช้งาน และเลิกติดเครื่องยนต์แช่ระหว่างรอ (2) ชุดกิจกรรมด้านการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล โดยมุ่งเน้นกิจกรรม จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน และ Car Free Day เป็นต้น
สพช. จะใช้ยุทธวิธีสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในเชิงรุก โดยการจัดกิจกรรมแข่งขันประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า ให้ครอบคุมประชาชนทั่วประเทศ ด้วยการสร้างความภาคภูมิใจและรางวัลแก่ชุมชนที่เข้าร่วมแข่งขันเป็นแรงจูงใจ โดยให้คนที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ส่ง จดหมายถึง สพช. เพื่อบอกว่าเขาได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานด้วยวิธีการใดบ้าง จากนั้น สพช. ก็จะส่งหนังสือเกี่ยวกับวิธีการอนุรักษ์พลังงานกลับไปให้พร้อมกับสัญญาลักษณ์ที่แสดงถึงการเข้าร่วมโครงการประหัยดพลังงาน เช่น โบ หรือธง เพื่อที่จะได้นำไปประดับที่หน้าบ้านหรือที่รถ เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาหรือเพื่อนบ้านได้สังเกตุเห็น จะทำให้เขาสนใจสอบถามถึงที่มาของสัญญาลักษณ์ เพื่อที่จะได้ร่วมกันอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มต่อไป ขณะเดียวกันก็จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกระแส และถ่ายทอดข้อมูลผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของกลุ่มต่างๆ ว่าใคร่ทำอะไรและประหยัดพลังงานได้เท่าไร เพื่อเป็นการกระตุ้นประชาชนให้ร่วมดำเนินการ
มติที่ประชุม
ให้ สพช. ดำเนินการปรับปรุงแผนการประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544 ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 ขอความเห็นชอบร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers: SPP) เมื่อเดือนมีนาคม 2535 นั้นปัจจุบันได้มี SPP ที่ได้ทำสัญญาและได้ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. แล้วประมาณ 20 ราย ซึ่งคิดเป็นกำลังผลิตทั้งหมดประมาณ 200 MW ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินสูง แต่ก็ยังมี SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินต่ำ แต่มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อจูงใจให้ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าที่มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สนใจเข้ามาร่วมผลิตและขายไฟฟ้าให้มากขึ้น ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 สพช. จึงได้เสนอให้มี "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยจะใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ด้วยการเชิญชวนให้ SPP เสนอราคาค่าไฟฟ้าในส่วนที่เพิ่มจากราคารับซื้อของ กฟผ. โดย สพช. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาถึงอัตราที่เหมาะสมที่จะให้การสนับนุนแก่ SPP ปรากฏว่าอัตราสูงสุดต่อหน่วยการผลิตอยู่ที่ 36 สตางค์ต่อหน่วย โดยกองทุนฯ จะเปิดโอกาสให้ SPP ที่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เสนอข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงินต่อ สพช. จากนั้นก็จะประเมินข้อเสนอทั้งทางด้านเทคนิคและการเงิน แล้วนำผลของทั้งสองส่วนมารวมกัน จัดลำดับตามระดับคะแนนที่ได้รับ เพื่อคัดเลือกจัดสรรการสนับสนุน ข้อเสนอที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาจะถูกนำมาจัดเรียงลำดับตามอัตราค่าไฟฟ้าที่เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จากอัตราต่ำสุดไปหาสูงสุด แต่ไม่เกิน 35 สตางค์ และพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้การสนับสนุนแก่ผู้ที่เสนอในอัตราต่ำสุดลำดับแรกก่อน แล้วจึงพิจารณาสนับสนุนรายถัดไปจนครบเป้าหมายของโครงการฯ ภายในวงเงิน 2,060 ล้านบาท
โดยในการให้การสนับสนุนแก่ SPP กองทุนจะจ่ายเงินผ่าน กฟผ. เพื่อให้ กฟผ. นำไปจ่ายให้แก่ SPP ตามปริมาณของไฟฟ้าที่ผลิตได้ตามอัตราที่ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนเพียงระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ SPP จ่ายไฟฟ้าให้กับระบบของ กฟผ. หาก SPP รายใดไม่สามารถสร้างหรือปรับปรุงโรงไฟฟ้าตามที่เสนอไว้ได้ กองทุนฯ มีสิทธิที่จะยกเลิกสัญญาได้ โดยจะไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาในประเด็น ดังนี้
1. เห็นชอบในร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และกฎเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ รวมถึงเกณฑ์การพิจารณาสำหรับประเมินข้อเสนอโครงการตามที่ สพช. เสนอ
2. เห็นชอบให้คณะทำงานฯ ดำเนินการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอผลการคัดเลือกดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และกฎเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ รวมถึงเกณฑ์การพิจารณาสำหรับประเมินข้อเสนอโครงการตามที่ สพช. เสนอ
2. เห็นชอบให้คณะทำงานฯ ดำเนินการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอผลการคัดเลือกดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ได้เสนอโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 48) เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 และมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
ปัจจุบัน ห้องทดสอบของสถาบันฯ ที่ให้บริการทดสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทตู้เย็น สามารถทดสอบได้ครั้งละ 2 ตู้ แต่จากการรณรงค์ให้มีการใช้ตู้เย็นประสิทธิภาพสูง (ตู้เย็นเบอร์ 5) ตลาดจึงมีความต้องการสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นของสถาบันฯ มีผู้มาใช้บริการจำนวนมากขึ้น แต่ห้องทดสอบฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถรองรับได้ทันต่อความต้องการใช้ของตลาด และไม่สามารถทดสอบตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่และตู้เย็นแบบ 2 ประตูได้ด้วย
เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดของตู้เย็น สถาบันฯ จึงได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นที่สามารถรองรับการทดสอบตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่และตู้เย็น 2 ประตูได้ และสามารถทดสอบตู้เย็นได้เพิ่มขึ้น 2-4 ตู้ต่อครั้ง รวมถึงสามารถทดสอบเพื่อตรวจวัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการทดสอบในด้านความปลอดภัยได้ตามมาตรฐาน ISO 7371-1985 และสามารถรับรองเป็นห้องปฎิบัติการทดสอบได้ตามมาตรฐาน ISO/IEC Guide 25 ซึ่งจะเป็นห้องทดสอบกลางให้กับภาครัฐและเอกชน โดยจะใช้อาคารของสถาบันฯ ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เป็นที่ให้บริการ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน ในวงเงิน 16,050,000 บาท โดยมีเงื่อนไขให้ สถาบันฯ จะต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) กำหนดแผนการดำเนินการและแนวทางในการปรับปรุงห้องปฏิบัติการให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO Guide 25 เพื่อยกระดับห้องปฏิบัติการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล
2) ระบุแนวทางที่จะร่วมมือกับห้องปฎิบัติการและนักวิชาการอื่นทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ
3) เพิ่มเติมแผนการประเมินผลโครงการฯ โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผลงานเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน
4) เพิ่มเติมรายละเอียดของการคำนวณผลตอบแทนทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน
5) ระบุแนวทางในการคิดอัตราค่าบริการทดสอบตู้เย็นที่จะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการในแต่ละครั้งให้ชัดเจน โดยไม่ต้องนำเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ มารวมคิดเป็นต้นทุนค่าบริการ
6) แสดงรายละเอียดของการประชาสัมพันธ์ สัมมนา และแผนการตลาดของโครงการฯ ให้ชัดเจน
7) กำหนดมาตรฐานที่ห้องปฎิบัติการทดสอบตู้เย็นที่จะสร้างขึ้นว่าจะสามารถทดสอบในมาตรฐานสากลใดได้บ้าง เช่น มาตรฐาน JIS ของประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
8) เพิ่มเติมรายละเอียดของวิธีการจัดซื้ออุปกรณ์ในโครงการว่าทำโดยวิธีการใดและมีกำหนดเวลาในการดำเนินงานอย่างไร
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2541 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Pilot Project) โดยในระยะแรกได้รับความช่วยเหลือจาก Global Environmental Facility (GEF) จำนวน 600,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อคัดเลือกบริษัทจัดการพลังงาน 4 ราย ให้เป็นผู้ทำรายงานการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น (Preliminary Energy Audit) และรายงานการตรวจสอบวิเคราะห์ความเหมาะสมในการลงทุน (Investment Grade Audit) ให้แก่โรงงานที่มีความพร้อมดำเนินการ 4 โรงงานฯ โดย กฟผ. จะจัดหาเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยจากแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาดำเนินการลงทุนอนุรักษ์พลังงานให้แก่บริษัทและโรงงานฯ ที่เข้าร่วมโครงการฯ
กฟผ. คัดเลือกบริษัทจัดฯ และโรงงานฯ ทั้ง 4 ราย โดยเลือกบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และมีผลงานด้านการจัดการพลังงานเป็นที่ยอมรับ และคัดเลือกโรงงานฯ ที่มีความพร้อมทางด้านการเงินและต้องการจะปรับปรุงการใช้พลังงานในโรงงานของตนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพียงรายเดียวที่พร้อมจะลงทุน คือ บริษัทจัดการพลังงาน เอ็กซ์เซลเล้นท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (EEI) และมีโรงงานที่พร้อมจะลงทุนเพียงรายเดียว คือ บจม. กรุงเทพโปรดิวซ์ เมอร์เชนไดซิ่ง จำกัด มหาชน (BKP) ส่วนรายอื่นๆ ยังไม่สามารถดำเนินการลงทุนได้ เพราะไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ได้
กฟผ. ได้เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการนำร่องบริษัทจัดการด้านพลังงานในโรงงานควบคุม ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาในข้อรายละเอียดในความเป็นไปได้ของการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และ พพ. ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการฯ ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบครั้งหนึ่งแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย และการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว จึงเห็นชอบในรายละเอียดและเงื่อนไขในโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน ที่ กฟผ. จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แต่เนื่องจาก พพ. มิได้ตั้งงบประมาณสำหรับโครงการนี้ไว้ ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ปีงบประมาณ 2544 หมวดกิจกรรมการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 70,467,533 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม โดยจะเป็นเงินสนับสนุนภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 61,850,533 บาท และค่าใช้จ่ายสำหรับตัวแทนดำเนินการ 8,617,000 บาท
ในการพิจารณาดังกล่าว ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมโดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า ในการลงทุนดังกล่าวกองทุนฯ ควรได้รับผลตอบแทนคืนบ้างบางส่วนเพื่อจะได้นำไปสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการรายอื่นต่อไป และเห็นว่า กฟผ. ควรเป็นผู้รับประกันความสำเร็จของโครงการนี้ หากผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กฟผ. ก็ควรคืนเงินค่าจ้างเป็นตัวแทนดำเนินการ จำนวน 8.617 ล้านบาท คืนให้กองทุนฯ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นดังกล่าวแล้ว เห็นว่าโครงการนี้ เป็นโครงการนำร่องที่ต้องการศึกษาและเรียนรู้ผลที่ได้รับจากการดำเนินโครงการบริษัทจัดการพลังงานในระยะต่อไป และ กฟผ. ก็เป็นตัวแทนดำเนินงานแทน พพ. จึงไม่สมควรให้ กฟผ. เป็นผู้รับประกันความสำเร็จของโครงการและชดใช้ค่าใช้จ่ายค่าจ้างเป็นตัวแทนดำเนินการคืนให้กองทุนฯหากผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม โดยมีบริษัทเอ็กซ์เซลเลนท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทจัดการพลังงาน และ บริษัทกรุงเทพโปรดิวซ์ เมอร์เชนไดซิ่ง จำกัด มหาชน เป็นโรงงานที่ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยมี กฟผ. เป็นตัวแทนดำเนินการ แทน พพ.
2. อนุมัติให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ปีงบประมาณ 2544 หมวดกิจกรรมการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 70,467,533 บาท (เจ็ดสิบล้านสี่แสนหกหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) เพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม ดังต่อไปนี้
(1) เป็นเงินสนับสนุนภาระดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งหมด สำหรับ 5 มาตรการ ในวงเงินไม่เกิน 61,850,533 บาท (หกสิบเอ็ดล้านแปดแสนห้าหมื่นห้าร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขว่า กองทุนฯ จะหยุดให้การสนับสนุนเมื่อตรวจสอบว่า ผลการประหยัดที่เกิดขึ้นจริงทุกๆ 6 เดือน ของช่วงระยะเวลาผ่อนชำระหนี้เงินกู้ (72 เดือน) ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของผลประหยัดที่ประมาณการไว้
(2) เป็นเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารจัดการให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์และแผนงาน ตลอดจนติดตามและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ในวงเงิน 8,617,000 บาท (แปดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน)
3. เห็นชอบให้ พพ. ไม่ต้องนำเงื่อนไขการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ที่ใช้เกณฑ์ EIRR และ FIRR ตามแผนงานภาคบังคับ มาใช้ในการพิจารณาเพื่ออนุมัติเงินสนับสนุนในโครงการนี้ เนื่องจากเป็นโครงการนำร่องที่ภาครัฐต้องการศึกษาถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการฯ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมบริษัทจัดการพลังงานในประเทศไทยต่อไป
เรื่องที่ 9 ปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นค่าใช้จ่ายโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ในวงเงิน 90,000,000 บาท
สวทช. ได้ดำเนินงานตามแผนงานฯ โดยได้ออกแบบและจัดซื้อเครื่องครุภัณฑ์หลักของโครงการฯ แล้วบางส่วน เช่น เครื่อง PECVD/Sputtering เพื่อพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่อง I-V Tester สำหรับวัดคุณสมบัติของฟิล์มและเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่อง Laminator สำหรับเคลือบเซลล์ฯ เป็นต้น และได้ติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือ เสร็จเรียบร้อยเมื่อเดือนธันวาคม 2543 ที่โรงงานต้นแบบของอุทยานวิทยาศาสตร์ รังสิต จ.ปทุมธานี โดยเจ้าหน้าที่ของ สวทช. ได้รับการฝึกอบรมการประกอบ ติดตั้ง และใช้งานเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ แล้ว โดยในการจัดซื้อเครื่อง PECVD/PVD นั้น สวทช. ได้ประมาณอัตราแลกเปลี่ยนในการจัดซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศไว้ที่อัตรา 45 บาท ต่อ 1 US$ ซึ่งเมื่อ สวทช. ได้จัดซื้อและนำเครื่องจักรเข้ามาจริง อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในช่วง 36-38 บาทต่อ 1 US$ ซึ่งต่ำกว่าอัตราที่ สวทช. ได้ประมาณการไว้ จึงทำให้สถานะการเงินของโครงการฯ มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 9,999,518.31 บาท
ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ มีผลให้การจัดสรรงบประมาณจากรัฐไม่เป็นไปตามที่ได้คาดหมายไว้ ส่งผลกระทบถึงงบประมาณการจัดซื้อครุภัณฑ์/อุปกรณ์ของโครงการฯ ที่ สวทช. วางแผนฯ ไว้ว่าจะนำเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาสมทบค่าใช้จ่ายนั้น ไม่เป็นไปตามแผนฯ สวทช. จึงยังขาดงบประมาณอยู่รวม 10,723,185 บาท ด้วยเหตุดังกล่าว สวทช. จึงมีความจำเป็นต้องขอเปลี่ยนแปลงแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนฯ โดยจะขอนำเงินที่คงเหลืออยู่ 9,999,518.31 บาท เพื่อนำไปใช้ถัวจ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์สำคัญของโครงการฯ สำหรับงบประมาณส่วนที่ขาดอยู่นั้น สวทช. จะได้พยายามสรรหามาสมทบต่อไป ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ได้เห็นชอบในเรื่องดังกล่าวแล้วและให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สวทช. ปรับแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น โดยนำเงินที่คงเหลืออยู่จากการจัดซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศของโครงการฯ จำนวน 9,999,518.31 บาท (เก้าล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันห้าร้อยสิบแปดบาทสามสิบเอ็ดสตางค์) ไปใช้ถัวจ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์สำคัญของโครงการฯ ได้ ตามที่ สวทช. ขอมา
เรื่องที่ 10 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 3/2541 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2541 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) เป็นประธานคณะอนุกรรมการดังกล่าว
พพ. ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ วว 0406/6216 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 แจ้งต่อ สพช. ว่า เนื่องจาก นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ ประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ 2535 พพ. จึงขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม | ประธานอนุกรรมการ |
2. | ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม | รองประธานอนุกรรมการ |
3. | รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (ที่มีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ.) |
อนุกรรมการ |
4. | เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | อนุกรรมการ |
5. | ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
6. | ผู้แทนกรมบัญชีกลาง | อนุกรรมการ |
7. | ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด | อนุกรรมการ |
8. | ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
9. | ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม | อนุกรรมการ |
10. | นายพรายพล คุ้มทรัพย์ | อนุกรรมการ |
11. | นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ | อนุกรรมการ |
12. | นายอัครวิทย์ ขันแก้ว | อนุกรรมการ |
13. | นายสวาท เย็นสมุทร | อนุกรรมการ |
14. | อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการและเลขานุการ |
15. | ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ |
มติที่ประชุม
เห็นชอบในการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ตามที่ พพ. เสนอมาและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 16 และ ข้อ 19 ได้กำหนดให้เจ้าของอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ต้องทำหนังสือยืนยันกับกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ส่วนเจ้าของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมที่เป็นเอกชน จะต้องทำสัญญาขอรับการสนับสนุนกับ พพ.
ในปีงบประมาณ 2543 คณะอนุกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นชอบเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่โรงงานควบคุมและอาคารควบคุม จำนวนทั้งสิ้น 673 ราย แต่มีผู้ที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว แต่ไม่สามารถแจ้งตอบยืนยันการขอรับการสนับสนุนต่อ พพ. ได้ทันภายในปีงบประมาณ 2543 จำนวน 56 ราย เป็นเงิน 9,378,153 บาท จึงทำให้ พพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้แก่ผู้ที่ได้รับการสนับสนุน 56 ราย นั้นได้ พพ. จึงได้เสนอเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาแนวทางในการแก้ปัญหา
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2543 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม 56 ราย ที่ไม่สามารถแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุนต่อ พพ. ได้ทันในปีงบประมาณ 2543 และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้นำแนวทางเดิมที่ พพ. ได้เคยใช้ในการแก้ไขปัญหาลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นในช่วงปีงบประมาณ 2540-2541 นำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ด้วย โดยให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ คือ พพ. จะขอจ่ายเงินสนับสนุนการตรวจเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น สำหรับอาคารควบคุมที่ยังค้างจ่าย โดยเบิกจ่ายเงินจากวงเงินของปีงบประมาณปัจจุบัน และใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมที่ทำไว้ในปีงบประมาณที่ผ่านมาเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย และ พพ. จะนำเงิน ซึ่งเบิกจากกรมบัญชีกลางในปีงบประมาณที่ผ่านมาแล้วส่งคืนกองทุนฯ ต่อไป และหากมีการตรวจสอบแล้วพบในภายหลังว่ามีเจ้าของอาคารควบคุมบางรายทำหนังสือยืนยันขอรับการสนับสนุนการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นกับ พพ. ไม่ทันในปีที่ได้รับอนุมัติ พพ. จะขอนำมาเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในปีงบประมาณปัจจุบัน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2544 ให้ พพ. ในวงเงิน 9,378,153 บาท (เก้าล้านสามแสนเจ็ดหมื่นแปดพันหนึ่งร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) เพื่อนำไปจ่ายสนับสนุนการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้แก่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แล้ว ก่อนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 แต่ทำหนังสือแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนฯ กับ พพ. ไม่ทันภายในปีงบประมาณ 2543 จำนวน 56 ราย โดยให้ใช้เอกสารการขอรับการสนับสนุนที่เจ้าของโรงงานและอาคารได้ทำกับ พพ. ไว้แล้วเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย
2. ให้ พพ. นำเงินที่ได้เบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2543 เพื่อนำมารอจ่ายให้กับเจ้าของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ส่งคืนกองทุนฯ
3. หากในภายหลัง พพ. ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนฯ ก่อนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 แต่ไม่สามารถทำหนังสือแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนฯ กับ พพ. ได้ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ก็ให้ พพ. เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2544 ให้แก่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม โดยใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย
4. โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ หลังวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 จะต้องดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19 ได้กำหนดไว้ดังนี้ "ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา โครงการพัฒนาบุคลากร โครงการประชาสัมพันธ์ และโครงการบริหารงานตามกฎหมาย ให้ติดต่อกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อทำสัญญาภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ หากผู้ยื่นคำขอไม่มาติดต่อเพื่อทำสัญญาภายในกำหนดเวลา ดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล"
การอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ในการสนับสนุนโครงการต่างๆ คณะอนุกรรมการฯ และ คณะกรรมการกองทุนฯ จะมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการในประเด็นที่สำคัญหลายประการ ซึ่งปกติแล้วก่อนที่จะลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาให้การสนับสนุน สพช. จะเป็นผู้ประสานงานกับเจ้าของโครงการในการปรับปรุงข้อเสนอให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก แต่ในบางกรณีโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติแล้วไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน แม้ว่าจะมีการมอบอำนาจให้ สพช. ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
สพช. ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีบางโครงการที่ใช้เวลามากกว่า 1 ปี ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาล่าช้าได้ ซึ่งกรมบัญชีกลาง (บก.) ได้ให้ความเห็นว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้ เนื่องจากผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2544 ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ผู้แทนจาก บก. จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขข้อความในระเบียบฯ หมวด 5 การทำสัญญา ให้มีความคล่องตัว และในการมีมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ต้องมีความชัดเจนทุกครั้งด้วยว่าเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดให้เจ้าของโครงการฯ รับไปแก้ไขนั้นต้องหรือไม่จำเป็นต้องนำกลับมาให้ที่ประชุมพิจารณาอีก
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แก้ไขข้อความที่ปรากฏในระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา ดังต่อไปนี้
"ข้อ 19 ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ สำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ ให้ติดต่อกับกรม เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ หากผู้ยื่นคำขอไม่มาติดต่อเพื่อทำสัญญาภายในกำหนดเวลา ดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
การลงนามในสัญญาให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานหรือผู้ที่อธิบดีฯ มอบหมาย"
"ข้อ 20 ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนสำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือหรือแผนงานสนับสนุน ให้ติดต่อกับสำนักงาน ภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุน เพื่อดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการกองทุนก่อนทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา แล้วให้ สพช. ทำหนังสือแจ้งให้ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนทราบ เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้ทราบ หากผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนไม่มาติดต่อเพื่อทำหนังสือยืนยันหรือตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันสมควรให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
การลงนามในสัญญาให้เป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ"
2. การอนุมัติให้เงินสนับสนุนโครงการ หากมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นให้เรียบร้อยก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ควรมีมติให้ชัดเจน ดังต่อไปนี้
(1) โครงการที่มีการปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญเล็กน้อย คณะกรรมการฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการฯ จะมอบให้ ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดำเนินการ
(2) โครงการที่มีปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ เมื่อเจ้าของโครงการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ให้ ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะกรรมการฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
กอ. ครั้งที่ 23 - วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 23)
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานผลการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
3. แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544 (ฉบับใหม่)
4. ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน หลังสิ้นสุดเงื่อนไขของสัญญา
5. เรื่องอื่นๆ
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการใช้พลังงานอย่างประหยัด
เรื่องที่ 1 รายงานผลการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
เลขานุการฯ ได้รายงานผลการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้มีการจัดสรรเงินกองทุนฯ จากแผนงานภาคความร่วมมือ ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัยพัฒนา การส่งเสริมการขยายตลาด การสาธิตการใช้ในสภาพการใช้งานจริงให้ประชาชนทั่วไปมีความเข้าใจหรือคุ้นเคยและมั่นใจว่าระบบพลังงานแสงอาทิตย์สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและมีความคุ้มทุนเช่นเดียวกับ เทคโนโลยีอื่น
ในช่วงปี 2538-2544 กองทุนฯ ได้ใช้จ่ายเงินไป 481.08 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสาธิตการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบต่างๆ รวม 15 โครงการ ใช้ในการผลิตไฟฟ้า 721 kW และในรูปความร้อนทดแทน LPG 62,184 ลิตรต่อปี เช่น ระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งบนหลังคาบ้านและหลังคาส่วนราชการ การผลิตและขายเครื่องทำน้ำร้อน การใช้ระบบสูบน้ำในหมู่บ้าน อบต. การผลิตและขายเครื่องสกัดสารกำจัดศัตรูพืช การสาธิตระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานในอุทยานแห่งชาติและเขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่า และการตั้งสวนพลังงานขึ้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก เพื่อเป็นศูนย์สาธิตการใช้งาน ของเทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ เพื่อส่งเสริมการขยายการตลาด ด้วยการร่วมมือกับบริษัท และโรงงานผู้ผลิตต่างๆ เพื่อแสดงสินค้าในสภาพการใช้งานจริงและจำหน่ายอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้า อันเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะส่งเสริมให้เพิ่มปริมาณการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดก่อให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวกับการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ด้วย
นอกจากนี้กองทุนฯ ยังได้สนับสนุนงานศึกษาวิจัยพัฒนาอีก 4 โครงการ เช่น การพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าประจุแบตเตอรี่ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ การฟื้นฟูระบบสูบน้ำด้วยโซล่าเซลล์ที่ชำรุด การขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนให้เกาะต่างๆ การสนับสนุนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสาธิตติดตั้งระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ขนาด 500 kW ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตลอดจนสนับสนุนสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) ทำการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น เพื่อเป็นแนวทางการผลิตเต็มรูปแบบในเชิงพาณิชย์ กระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรม การผลิต การขาย และการส่งออกเซลล์แสงอาทิตย์ โดยมุ่งให้มีราคาต้นทุนการผลิตต่ำลงประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นภายใต้การใช้งานในประเทศไทย
มติที่ประชุม
ให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดตั้งคณะทำงานด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อปรับปรุงแผนการสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างแพร่หลายตามข้อสังเกตของที่ประชุม แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า สพช. ได้ว่าจ้างบริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด เป็นที่ปรึกษาเพื่อติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2543 โดยบริษัทได้เสนอผลการวิจัยเชิงสำรวจเพื่อประเมินผลประสิทธิภาพของการใช้สื่อภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 ปีงบประมาณ 2543 จากความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,000 คน จำแนกเป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 600 คน ในเขตต่างจังหวัดอีก 400 คน ได้ผลการสำรวจความคิดเห็นที่สำคัญดังนี้
1) คุณคิดว่าการรณรงค์แบบนี้ช่วยกระตุ้นให้มีการประหยัดพลังงานของชาติได้หรือไม่
พบว่าร้อยละ 97.1 เชื่อว่าสามารถรณรงค์ได้ผลดี
2) คุณคิดว่าการประหยัดพลังงานที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการรณรงค์เรื่องรวมพลังหาร 2 หรือไม่
ร้อยละ 94.7 คิดว่าการประหยัดพลังงานที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการรณรงค์ "รวมพลังหาร 2"
3) ในภาพรวมของคุณคิดว่ากิจกรรมของ สพช. ที่ดำเนินการทั้งหมดสามารถช่วยประหยัดพลังงานของชาติได้จริงหรือไม่
พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 88.3 มีความเห็นว่ากิจกรรมรณรงค์ที่ สพช. ดำเนินการอยู่สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้จริง
4) คุณมีความคิดที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของคุณหรือไม่ หลังจากฟังโฆษณาเชิญชวน ให้ประหยัดพลังงาน
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 96.3 แสดงความตั้งใจว่าจะนำแนวคิดที่ได้รับจากสื่อการรณรงค์ไปใช้ในชีวิตประจำ และกลุ่มที่ยืนยันว่าจะนำไปใช้มากที่สุดคือกลุ่มแม่บ้านร้อยละ 98.9
5) คุณคิดว่าแนวคิดที่นำเสนอเป็นประโยชน์ต่อคุณมากน้อยเพียงใด
พบว่าร้อยละ 74.6 ระบุว่า การรณรงค์โครงการ "รวมพลังหาร 2" มีประโยชน์มาก และร้อยละ 22.5 ระบุว่ามีประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านเห็นความสำคัญมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ถึงร้อยละ 83
6) โดยรวมคุณชอบการประชาสัมพันธ์เพื่อการประหยัดพลังงานในระดับไหน
พบว่าร้อยละ 83.3 ชอบการประชาสัมพันธ์เพื่อการประหยัดพลังงานมากและมากที่สุดโดยเฉพาะกลุ่มอายุระหว่าง 18-35 ปี ชอบมากร้อยละ 70.2
7) คุณเคยเห็น/ได้ยินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ หรือกิจกรรมเพื่อประหยัดพลังงานบ้างหรือไม่
ร้อยละ 97.1 ของกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่าได้ยินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน
8) คุณได้แนวคิดเรื่องการประหยัดพลังงานมาจากไหน
ร้อยละ 90.2 ระบุว่าได้แนวคิดจากสื่อประเภทต่างๆ ของ "รวมพลังหาร 2" มากที่สุด
9) คุณมีเหตุผลอะไรในการประหยัดพลังงาน
ร้อยละ 85.7 ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ช่วยตัวเองและครอบครัว
นอกจากนั้น ผลการวิจัยที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง "ผลการสำรวจความคิดเห็นและทัศนคติผู้บริหารระดับสูงขององค์กรภาครัฐ" เสนอต่อกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อเดือนสิงหาคม 2543 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นจำนวน 2,000 คนสรุปผลการสำรวจความเห็น ให้โครงการ "รวมพลังหาร 2" เป็นโครงการประชาสัมพันธ์ของรัฐที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในปี 2543 โดยโครงการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำการสำรวจพร้อมกับโครงการรวมพลังหาร 2 คือ บีโอโอแฟร์ การส่งเสริมการท่องเที่ยว โครงการเฉลิมฉลองวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 6 รอบ และเอเชี่ยนเกมส์
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2544 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2544 และมีข้อสังเกตว่า การรณรงค์จอดรถไว้บ้าน หรือ Car free day ยากต่อการปฏิบัติและไม่สามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำ จึงเห็นควรให้ สพช. ทบทวนการปรับแผนปฏิบัติการอีกครั้ง โดยทำการประชาสัมพันธ์ตามแนวคิดดังนี้
1) กิจกรรมรณรงค์จะต้องเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
2) เป็นกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่วัดผลได้ และคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุน
3) วิธีการประหยัดพลังงานที่นำมาประชาสัมพันธ์ ควรเป็นวิธีการที่น่าสนใจ ปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน มีค่าใช้จ่ายน้อย และให้เลี่ยงวิธีการที่ปฏิบัติได้ยากหรือเผยแพร่วิธีการที่ประชาชนปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้ว
4) ให้ระดมความคิดของผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาทบทวนวิธีและกิจกรรมที่จะทำการประชาสัมพันธ์
5) ให้เริ่มการประชาสัมพันธ์ให้เร็วที่สุด
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2544 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2544 (แผนใหม่) ที่ปรับตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว มีความเห็นว่า หาก สพช. จะปรับแผนประชาสัมพันธ์ตามแนวคิดและข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ ที่จะกระทบต่อการดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างทำกิจกรรมโครงการประชาสัมพันธ์ (แผนเดิม) ที่ สพช. ได้ดำเนินการคัดเลือกตามระเบียบพัสดุฯ ไปแล้ว จำนวน 13 กิจกรรม และอาจทำให้เกิดข้อโต้แย้งจากผู้เข้าร่วมประมูลแข่งขันว่า การคัดเลือกที่ผ่านมา "เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้เข้เสนอราคาด้วยกัน" ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ยกเลิกกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามแผนเดิมทั้งหมด แล้วให้ สพช. นำงบประมาณในส่วนที่เป็นกิจกรรม Car Free Day ไปจัดทำแผนใหม่ และ สพช. จึงได้ดำเนินการปรับแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯแล้ว โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรมหลักดังนี้
กิจกรรมที่ 1 ชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า" นั้น คณะกรรมการกองทุนฯ มีความเห็นว่าน่าจะให้แรงจูงใจให้เกิดการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า เป็น "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" โดยตั้งกติกาว่าครอบครัวใดลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ ร้อยละ 10 ของปริมาณการใช้ไฟเดือนที่ผ่านมา หรือในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว จะได้รับ "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" ในอัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ และหากทุกครัวเรือนประหยัดไฟฟ้าได้ร้อยละ 10 คิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 2,000 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท จะต้องใช้งบประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้จะต้องขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อจ่ายให้ กฟน. และ กฟภ. เพื่อใช้เป็น "ส่วนลดค่าไฟฟ้า"
กิจกรรมที่ 2 ชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธี เพื่อประหยัดน้ำมัน" เป็นการรณรงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้รถขับรถอย่างถูกวิธีและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ โดย สพช. จะจัดทำ คู่มือขับรถอย่างถูกวิธี ออกแจกให้ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องทำการบันทึกประสิทธิภาพการใช้น้ำมันไม่น้อยกว่า 2-3 ครั้ง ก่อนที่จะปฏิบัติตามข้อแนะนำในคู่มือ จากนั้นให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือและทำการวัดประสิทธิภาพการใช้น้ำมันอีก 2-3 ครั้ง เพื่อคำนวณผลการใช้น้ำมันของรถว่ามีอัตราการใช้น้ำมัน ต่างไปจากเดิมหรือไม่เพียงใด แล้วส่งให้ สพช. ซึ่ง สพช. จะได้ให้คำแนะนำในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันต่อไป พร้อมทั้งส่งสื่อประชาสัมพันธ์อื่นๆ ที่เหมาะสมเพื่อเป็นแรงจูงใจ
กิจกรรมที่ 3 ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91" เป็นกิจกรรมสานต่อเพื่อสร้างความมั่นใจผ่านสื่อต่างๆ นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน หรือการเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการ โดยการใช้สื่อจูงใจ อาทิ อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน หรือรางวัลซึ่งมีแนวคิดที่จะสร้างความภาคภูมิใจ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
1) เห็นชอบ ให้ สพช. ยกเลิกผลการดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างทำกิจกรรมรณรงค์ Car Free Day ที่ สพช.ได้ดำเนินการไปแล้ว จำนวน 13 กิจกรรม ดังนี้
1. ผลิตภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ ผลิตสิ่งพิมพ์ ผลิตสปอต-วิทยุ ออกแบบสื่อ Bus side ออกแบบเสื้อยืดรณรงค์ ออกแบบและจัดพิมพ์คู่มือ สติกเกอร์ และ Banner
2. ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์ ระยะที่ 1
3. ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์ ระยะที่ 2
4. ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโรงภาพยนต์
5. ซื้อเนื้อที่ในสื่อสิ่งพิมพ์
6. ซื้อเวลาออกอากาศในสื่อวิทยุ
7. ซื้อพื้นที่ในสื่อ Bus side
8. บริหารกิจกรรม
9. ผลิตสื่อและซื้อเนื้อที่ในสื่อสิ่งพิมพ์ และผลิตสปอตวิทยุ และซื้อเวลาออกอากาศในสื่อวิทยุ
10. ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ผลิตสปอตวิทยุ ออกแบบและจัดพิมพ์ คู่มือ สติกเกอร์ และ Banner
11. ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์
12. ซื้อเนื้อที่ในสื่อสิ่งพิมพ์
13. ซื้อเวลาออกอากาศในสื่อวิทยุ
2) เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ที่ได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนแล้ว โดยใช้งบประมาณที่ คณะกรรมการ กองทุนฯ ได้อนุมัติ ให้ สพช. แล้ว
3) เห็นชอบให้นำงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเป็นกรอบไว้แล้ว จำนวน 150 ล้านบาท มาสมทบกับงบประมาณคงเหลือของโครงการประชาสัมพันธ์ปี 2544 เพื่อดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบได้อย่างต่อเนื่อจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2545
4) อนุมัติให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอ ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติต่อไป
5) เห็นชอบสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมงบประมาณที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบไว้แล้วสำหรับแผนงานสนับสนุน อีกจำนวน 800 ล้านบาท เพื่อให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวงใช้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าหรือแรงจูงใจอื่น ที่ทำให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการ โดยใช้ สพช. ทำรายละเอียดโครงการ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน หลังสิ้นสุดเงื่อนไขของสัญญา
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พพ. ได้ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2542 โดยว่าจ้าง บริษัท ลักษณ์ อินเตอร์เทค จำกัด ทำการก่อสร้างโรงเก็บเอกสารขนาด 6x10 เมตร จำนวน 1 หลัง ในวงเงิน 410,000 บาท เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2542 และสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 26 เมษายน 2543 แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จได้ทัน ภายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ซึ่งเป็นระยะเวลา 3 เดือน นับจาก วันสิ้นสุดเงื่อนไขของสัญญา ดังนั้น พพ. จึงขออนุมัติ ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินสำหรับรายการข้างต้นไปจนถึง ภายใน 30 วันนับจากวันที่ พพ. ได้รับหนังสือแจ้งให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินแล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
1) อนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินให้ พพ. เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้ บริษัท ลักษณ์ อินเตอร์เทค จำกัด ไปจนถึงภายใน 30 วัน นับจากวันที่ พพ. ได้รับแจ้งให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินแล้ว
2) อนุมัติให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุน ฯ ให้โครงการที่ได้รับสนับสนุนภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ แต่ ละชุดที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ในกรณีที่ผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นได้
ประธานฯ ได้ขอความคิดเห็นในที่ประชุมเกี่ยวกับโครงการรณรงค์ ที่จะให้มีการปิดถนนบางส่วนและในบางเวลา ในเขตกรุงเทพมหานครเช่น การปิดถนนสีลมหรือถนนสายอื่น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ใช้รถสาธารณะแทนรถส่วนตัว และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบที่จะให้มีการรณรงค์เรื่องการปิดถนนบางส่วนและบางเวลา ในเขตกรุงเทพมหานคร เช่น อาจมีการปิดถนนสุขุมวิทในบางช่วงเวลา โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้และผลกระทบจากการปิดถนนดังกล่าวด้วย
กอ. ครั้งที่ 12 - วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12)
วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2540 เวลา 13.30 น. และ
วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน
3. รายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2541 ของ สพช. บก. และ พพ. เพื่อบริหารงาน ตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
4. แผนปฏิบัติการรวมสำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
5. แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปี 2541-2543
6. แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2541
7. แผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2541-2543
8. ทุนการศึกษาในต่างประเทศ ปีงบประมาณ 2541
9. โครงการส่งเสริมก๊าซชีวภาพ เพื่อเป็นพลังงานทดแทน และปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 1 : ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 2
10. โครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ (ระยะที่ 2)
11. โครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า ระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็น อาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานครแห่งใหม่ (ดินแดง)
12. โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศ เขตร้อนชื้น
13. โครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้านพลังงานสะอาด สำหรับอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
14. โครงการจัดทำแผนที่ศักยภาพพลังงานลมของประเทศไทย
15. ขอความเห็นชอบในการใช้เงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินสนับสนุนเพิ่มเติมให้โครงการที่ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินบาทลอยตัว
รองนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) เป็นประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงรายงานผลการตรวจสอบการเงิน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2535 ปี 2536 และปี 2537 และงบการเงินประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2539 ซึ่งกรมบัญชีกลางได้จัดทำส่งให้ สตง. ตรวจสอบ พร้อมทั้งรายงานบัญชีเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาประดิพัทธ์ 14,022,009,395.91 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 ของ สพช. บก. และ พพ. ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานฯ ไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 807,886,522.66 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานแผนงานภาคบังคับ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ระหว่างปี 2538-2540 มีดังนี้
1.1 อาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
- อาคารควบคุมได้แจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงานแก่ พพ. แล้วจำนวน 761 รายจากจำนวนทั้งสิ้น 953 ราย คิดเป็นจำนวนบุคลากร 1,193 คน
- อาคารควบคุมได้ส่งข้อมูลการใช้พลังงานให้แก่ พพ. ทุก 6 เดือน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2539 (มกราคม-มิถุนายน) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 529 ราย สำหรับในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2539 (กรกฎาคม-ธันวาคม) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 319 ราย
- อาคารควบคุมได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น จำนวนทั้งสิ้น 331 ราย และได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้ว 116 ราย เป็นเงิน 16.6 ล้านบาท
- พพ. ได้อนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียนที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมไปแล้วรวมทั้งสิ้น 74 ราย
1.2 โรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน
- พระราชกฤษฎีกากำหนดโรงงานควบคุม และกฎกระทรวงเกี่ยวกับโรงงานควบคุมที่ออกตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17กรกฎาคม 2540 จะทำให้โรงงานจำนวน 2,557 ราย ที่อยู่ในข่ายโรงงานควบคุม ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2540 ได้มีมติเห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ตามที่ พพ. เสนอ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
1.3 โครงการโรงงานและอาคารควบคุมที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง
- อยู่ในระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับการพิจารณาการให้การสนับสนุนในโครงการดังกล่าว
2. ผลการพิจารณาอนุมัติ/เห็นชอบโครงการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน จนถึงวันที่ 15 กันยายน 2540 มีดังนี้
2.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ได้มีมติอนุมัติโครงการที่เกี่ยวกับอาคารของรัฐ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 704,523,923 บาท
2.2 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือและคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ จำนวน 23 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 227,154,723 บาท
2.3 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนและคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานสนับสนุน จำนวน 8 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 714,972,561.10 บาท
มติที่ประชุม
รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน และเห็นชอบให้ สพช. ทำการประเมินผลโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2537 เมื่อวันพุธที่ 3 สิงหาคม 2537 ได้มีมติให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2537-2542 ซึ่งมีวงเงินรวม 19,286 ล้านบาท และได้อนุมัติวงเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ สำหรับ สพช. บก. และ พพ. และเพื่อให้ทั้งสามหน่วยงานสามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2541 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2541 เพื่อใช้ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำงบประมาณรายจ่ายฯ ของทั้งสามหน่วยงานเข้าพิจารณาในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน สนับสนุน และคณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2541 ของทั้ง 3 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 320,370,793 บาท โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2541
หน่วย : บาท
สพช | บก. | พพ. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 2,285,040 | 297,840 | 14,580,480 | 17,163,360 |
2. ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 10,866,219 | 172,00 | 24,750,440 | 35,788,659 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 936,000 | - | 3,458,000 | 4,394,000 |
4. ค่าครุภัณฑ์ | 1,025,000 | 280,000 | 17,517,700 | 18,822,700 |
5. รายจ่ายอื่น (ค่าจ้างที่ปรึกษา) | 63,104,074 | - | 181,098,000 | 244,202,074 |
รวม | 78,216,333 | 749,840 | 241,404,620 | 320,370,793 |
มติที่ประชุม
งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
1) อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2541 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สพช. ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 78,216,333 บาท (เจ็ดสิบแปดล้านสองแสนหนึ่งหมื่นหกพันสามร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฎในเอกสารแนบ 4.1.1 ของระเบียบวาระการประชุม โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายของ บก.
2) อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2541 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ บก. ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 749,840 บาท (เจ็ดแสนสี่หมื่นเก้าพันแปดร้อยสี่สิบบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฎในเอกสารแนบ 4.1.2 ของระเบียบวาระการประชุม โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
3) อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2541 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ พพ. ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ในวงเงิน 241,404,620 บาท (สองร้อยสี่สิบเอ็ดล้านสี่แสนสี่พันหกร้อยยี่สิบบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฎในเอกสารแนบ 4.1.3 ของระเบียบวาระการประชุม โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
4) อนุมัติให้ สพช. บก. และ พพ. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2541 ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540
เรื่องที่ 4 แผนปฏิบัติการรวมสำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาแผนการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งานปี 2540-2541 (เฉพาะอาคารควบคุม) ซึ่งที่ประชุมได้มีมติอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายของแผนฯ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 6,391.8 ล้านบาท โดยไม่ต้องขออนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายเป็นรายปี และสามารถปรับแผนการใช้เงินได้ตามงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ และให้ พพ. จัดทำแผนปฏิบัติการรวมสำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน แล้วนำเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งต่อไป นั้น
บัดนี้ พพ. ได้จัดทำแผนปฏิบัติการรวมโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. แผนปฏิบัติการรวมสำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ประกอบด้วยแผนปฏิบัติการหลัก 3 แผนงาน ดังนี้
1.1 แผนปฏิบัติการโครงการอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2540 ได้มีมติเห็นชอบแล้ว ซึ่ง พพ. ขอเปลี่ยนแปลงแผนฯ ตามความเหมาะสม ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
กิจกรรม | 2540 | 2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | รวม |
แผนปฏิบัติการฯ (อาคารควบคุม) | ||||||||
- การตรวจสอบฯ เบื้องต้น - การจัดทำเป้าหมายฯ - การสนับสนุนการลงทุนฯ |
64.9 - - |
30.4 238.0 1,450.0 |
- 238.5 4,370.0 |
- - - |
- - - |
- - - |
- - - |
95.3 |
รวม | 64.9 | 1,718.4 | 4,608.5 | - | - | - | - | 6,391.8 |
1.2 แผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 24มิถุนายน 2540 ได้มีมติเห็นชอบแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติในการประชุมครั้งนี้ โดยสรุปแผนการดำเนินงานและงบประมาณได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
กิจกรรม | 2540 | 2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | รวม |
แผนปฏิบัติการฯ โรงงานควบคุม | ||||||||
- การตรวจสอบฯ เบื้องต้น - การจัดทำเป้าหมาย - การสนับสนุนการลงทุนฯ |
- - - |
11.1 - - |
50.8 55.5 155.0 |
45.0 254.0 945.0 |
159.9 225.0 1,700.0 |
50.8 799.5 3,030.0 |
45.0 254.0 3,125.0 |
362.6 1,588.0 8,955.0 |
รวม | - | 11.1 | 261.3 | 1,244.0 | 2,084.9 | 3,880.3 | 3,424.0 | 10,905.6 |
1.3 แผนปฏิบัติการสนับสนุนการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
เป็นการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่ พพ. จัดทำไว้เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ให้สามารถดำเนินงานได้ตามแผนงานอนุรักษ์พลังงานและบรรลุตามวัตถุประสงค์ของ พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ โดยมีกิจกรรมต่างๆ ภายใต้แผนการปฏิบัติการและงบประมาณตามตารางที่แสดงดังต่อไปนี้ ซึ่งงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมนั้นจะขอรับการสนับสนุนจากแผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุนเป็นแต่ละกิจกรรมไป
หน่วย:ล้านบาท
กิจกรรม | 2540 | 2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | รวม |
แผนปฏิบัติการสนับสนุนฯ | ||||||||
- การจัดส่งผู้ชำนาญการไปเยี่ยมแนะนำเบื้องต้น - การขึ้นทะเบียนที่ปรึกษา - การให้บริการข้อมูลข่าวสาร - การฝึกอบรม - การสาธิตเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน - การจ้างที่ปรึกษาตรวจสอบ - การจัดตั้งระบบฐานข้อมูลพลังงาน และระบบการจัดการข้อมูลพลังงาน - การจัดตั้งศูนย์สารสนเทศทางเทคนิคด้านประสิทธิภาพ - การติดตามปัญหาและอุปสรรคอาคารควบคุมและโรงงานควบคุม - การติดตามประเมินผลโครงการฯ |
1.44 - - - - - - - - - |
9.65 - 5.00 27.50 90.00 130.70 5.00 3.50 18.00 - |
8.55 - 8.00 36.25 30.00 171.20 5.00 4.00 20.00 14.00 |
28.50 - 10.00 45.00 40.00 348.72 10.00 4.50 36.00 7.00 |
- - - - - 187.92 - - - - |
- - - - - 178.56 - - - - |
- - - - - - - - - - |
48.14 - 23.00 108.75 160.00 1,017.10 20.00 12.00 74.00 21.00 |
รวม | 1.44 | 289.35 | 297.00 | 529.72 | 187.92 | 178.56 | - | 1,483.99 |
งบประมาณ
งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานของแผนปฏิบัติการทั้ง 3 แผนงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 18,781.39 ล้านบาท ในช่วงปี พ.ศ. 2540-2546 โดย พพ. ได้จัดสรรการใช้เงินจากกองทุนฯ ดังนี้
1) แผนปฏิบัติการในส่วนของอาคารควบคุม 6,391.8 ล้านบาท และในส่วนของโรงงานควบคุม 10,905.6 ล้านบาท จะใช้งบประมาณจากแผนงานภาคบังคับ
2) แผนปฏิบัติการสนับสนุนการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานฯ 1,483.99 ล้านบาท ใช้งบประมาณจากแผนงานสนับสนุนและแผนงานภาคความร่วมมือ
3. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
จากการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์พลังงานที่กำหนดไว้ใน พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 2535 ทั้งในส่วนของอาคารควบคุมและโรงงานควบคุม จะมีการอนุรักษ์พลังงานทั้งหมด ดังนี้
ด้านไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 4,997 ล้านหน่วย/ปี
- คิดเป็นเงิน 9,994 ล้านบาท/ปี
- ลดความต้องการพลังไฟฟ้า 950 เมกะวัตต์
- ชลอการลงทุนได้ 42,750 ล้านบาท
ด้านเชื้อเพลิง ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง 1,046 ล้านลิตรน้ำมันดิบ/ปี
- คิดเป็นเงิน 3,160 ล้านบาท/ปี
- รวมเป็นเงินที่ลดได้ทั้งหมด 13,154 ล้านบาท/ปี
- ชลอการลงทุนด้านไฟฟ้า 42,750 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติแผนปฏิบัติการและงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ปี 2540-2546 ดังรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสารแนบ 4.2.2 ของระเบียบวาระการประชุม
2. เห็นชอบงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ปี 2540-2546 ในวงเงินทั้งสิ้น 10,905.6 ล้านบาท โดยปีงบประมาณ 2541 อนุมัติวงเงินทั้งสิ้น 11.1 ล้านบาท ส่วนในปีต่อๆ ไปต้องขออนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายเป็นรายปี หลังจากที่ได้ทำการประเมินผลการดำเนินการในปีที่ผ่านมาแล้ว
3. ให้ประธานอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับมีอำนาจอนุมัติค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่โรงงานควบคุมโดยตรงตามแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้แจ้งคณะอนุกรรมการฯ เพื่อทราบด้วย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2538-2539 สพช. ได้ดำเนินการตามโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้วรวม 10 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 210,136,622.99 บาท และในปีงบประมาณ 2540 สพช. ได้ดำเนินการตามโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้วรวม 11 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 49,678,439.20 ล้านบาท โดย สพช. ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 4 กิจกรรม และยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ 7 กิจกรรม และในการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 2/2539 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 19 สิงหาคม 2539 ที่ประชุมได้มีมติให้ สพช. ทำการประเมินผลโครงการ ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน หลังจากที่ได้ดำเนินการไปแล้ว 6 เดือน และให้เสนอผลการประเมินต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พร้อมกับแผนงานประชาสัมพันธ์ ปี 2541-2543
สพช. ได้ดำเนินการประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ภายใต้แผนปฏิบัติการ "รวมพลังหาร 2" ซึ่งดำเนินงานระหว่างเดือนกันยายน 2539 - กรกฎาคม 2540 ไปแล้ว พบว่าประชาชนแสดงความรู้จักต่อโครงการ "รวมพลังหาร 2" และแนวความคิดของโครงการฯ เป็นอย่างดี นอกจากนั้นประชาชนยังมีความเข้าใจต่อแนวทางในการอนุรักษ์พลังงานคือการใช้พลังงานเท่าที่จำเป็น และพร้อมที่จะนำมาปฏิบัติมากขึ้น โดยมีความตระหนักถึงผลดีของการประหยัดพลังงานมากขึ้น รวมถึงมีความเข้าใจว่าการประหยัดพลังงานไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างที่เคยคิดกัน โดยสรุปสามารถกล่าวได้ว่าโครงการ "รวมพลังหาร 2" ในปีที่ผ่านมา ได้สร้างกระแสความนิยมในการอนุรักษ์พลังงาน และเริ่มสร้างทัศนคติที่ดีต่อคุณค่าพลังงานให้แก่ประชาชนทั่วไป
สพช. เห็นสมควรที่จะได้มีการสืบทอดแนวทางในการรณรงค์รวมพลังหาร 2 เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ภาครัฐและเอกชนตลอดจนผู้บริโภคได้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการพัฒนาและเสริมสร้างประสิทธิภาพการใช้พลังงานและทรัพยากรทุกชนิด สพช. จึงได้จัดทำแผน 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2541 ถึง 2543 เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 11/2540 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2540 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการดังกล่าว และเห็นชอบ งบประมาณของโครงการประชาสัมพันธ์ตามแผนปฏิบัติการฯ ปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 190,600,000 บาท พร้อมทั้งให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
งบประมาณของแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ 3 ปี ในวงเงิน 627,100,000 บาท ดังนี้
ปีงบประมาณ 2541 | เป็นจำนวนเงิน 190,600,000 บาท |
ปีงบประมาณ 2542 | เป็นจำนวนเงิน 173,500,000 บาท |
ปีงบประมาณ 2543 | เป็นจำนวนเงิน 263,000,000 บาท |
กิจกรรมการประชาสัมพันธ์ปีงบประมาณ 2541 แบ่งกิจกรรมตามกลุ่มเป้าหมายได้ ดังนี้
1. สาธารณชนทั่วไป | |
1.1 จัดทำเอกสารเผยแพร่สาระน่ารู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน | เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท |
1.2 โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ | เป็นจำนวนเงิน 70,000,000 บาท |
1.3 สารคดีทางวิทยุ | เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท |
1.4 สารคดีทางโทรทัศน์ | เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท |
1.5 การแสดงท้องถิ่น | เป็นจำนวนเงิน 3,000,000 บาท |
1.6 แรลลี่จักรยานและมินิมาราธอน | เป็นจำนวนเงิน 3,500,000 บาท |
1.7 มหกรรมอนุรักษ์พลังงานภาคเหนือ | เป็นจำนวนเงิน 2,000,000 บาท |
1.8 โขนหาร 2 | เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท |
1.9 สื่อหาร 2 | เป็นจำนวนเงิน 7,000,000 บาท |
รวม 102,500,000 บาท | |
2. เยาวชน | |
2.1 ศูนย์นิทัศน์พลังงานเพื่ออนาคต | เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท |
2.2 นิทรรศการ "เปิดโลกพลังงาน" | เป็นจำนวนเงิน 3,000,000 บาท |
2.3 การแสดงสำหรับเยาวชน "ละครสัญจร" | เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท |
2.4 ค่ายเยาวชนอนุรักษ์พลังงาน | เป็นจำนวนเงิน 8,000,000 บาท |
2.5 ประกวดประพันธ์เพลงและร้องเพลง | เป็นจำนวนเงิน 6,000,000 บาท |
2.6 รองเท้าแตะ และเสื้อนักเรียน "เพื่อเยาวชนหาร 2" | เป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท |
รวม 35,000,000 บาท | |
3. องค์กรภาคเอกชน | |
อาคารหาร 2 | เป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท |
4. สื่อมวลชน | |
4.1 ศูนย์ประชาสัมพันธ์ "รวมพลังหาร 2" | เป็นจำนวนเงิน 6,000,000 บาท |
4.2 รางวัลสื่อมวลชนดีเด่นเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน | เป็นจำนวนเงิน 1,500,000 บาท |
รวม 7,500,000 บาท | |
5. ติดตามและประเมินผล | เป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท |
6. บริหารโครงการ "รวมพลังหาร 2" | เป็นจำนวนเงิน 7,600,000 บาท |
7. อื่นๆ ที่ยังไม่ได้ระบุ | เป็นจำนวนเงิน 20,000,000 บาท |
รวม 190,600,000 บาท |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2541-2543 โดยให้มีการปรับปรุงแผนฯ ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ในปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 190,600,000 บาท
2. เห็นชอบให้ สพช.ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าเกิน 5 ล้านบาท
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ปี 2538-2539 พพ. ได้ดำเนินการตามโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้วรวม 10 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 40,587,520 บาท และในปี 2540 พพ. ได้ดำเนินการตามโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้วรวม 18 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 75,648,327 บาท สำหรับในปี 2541 ได้จัดทำแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ เพื่อเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 11/2540 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2540 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ฯ และมีมติเห็นชอบให้ พพ. ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว และเห็นชอบงบประมาณของโครงการฯ ในวงเงิน 88,900,000 บาท
กิจกรรมการประชาสัมพันธ์ฯ ปี 2541
โครงการประชาสัมพันธ์สำหรับปีงบประมาณ 2541 ซึ่ง พพ. จะเน้นการเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจในเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะครอบคลุมการใช้สื่อต่างๆ อย่างครบวงจร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง อาทิ สื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ ตลอดจนการจัดสัมมนาและนิทรรศการ เป็นต้น โดยได้กำหนดกิจกรรมการประชาสัมพันธ์เป็น 3 กิจกรรม ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 การประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 แผนงานอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนฯ ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ให้กับโรงงาน/อาคารควบคุม บริษัทที่ปรึกษา ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ทราบถึง พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง แผนงานและโครงการอนุรักษ์พลังงาน ตลอดจนกองทุนฯ และประโยชน์ที่จะได้จากกองทุนฯ ประกอบด้วย 4 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 17,200,000 บาท
กิจกรรมที่ 2 การสร้างจิตสำนึก เป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ผู้เกี่ยวข้องกับโรงงานอาคารทั่วไป บริษัทที่ปรึกษา ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้ทราบถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการอนุรักษ์พลังงาน และผลกระทบจากการผลิต การใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้ร่วมกันอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย 7 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 36,000,000 บาท
กิจกรรมที่ 3 การให้ความรู้ ข้อมูล และข่าวสาร เป็นการรณรงค์ให้ความรู้ และวิธีการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งได้แก่ เทคโนโลยีการออกแบบอาคาร/โรงงานที่อนุรักษ์พลังงาน อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง วัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยในการอนุรักษ์พลังงาน การควบคุม การบำรุงรักษา และการจัดการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโรงงาน/อาคารควบคุมและทั่วไป บริษัทที่ปรึกษา ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอุปกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 12 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 35,700,000 บาท
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2541 และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ในปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 88,900,000 บาท
2. เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์โดยให้ พพ. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ พพ. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าเกิน 5 ล้านบาท
เรื่องที่ 7 แผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2541-2543
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ปีงบประมาณ 2540 ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยกองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรตามแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ในปี 2540 เป็นจำนวนเงิน 338.9 ล้านบาท และเนื่องจากได้มีความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรด้านอนุรักษ์พลังงานที่ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำเสนอแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากรสำหรับปีงบประมาณ 2541-2543 ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 11/2540 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2540 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับแผนแม่บทดังกล่าวพร้อมทั้งให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป โดยสรุปได้ดังนี้
องค์ประกอบและงบประมาณของแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2541-2543
แผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากรประกอบด้วย 6 กิจกรรมหลัก คือ
กิจกรรม | องค์กรที่สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ |
1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการสอน แบบเรียน คู่มือ และเครื่องมือที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมและทำงาน และห้องปฏิบัติการ | สพช. พพ. บก. กระทรวงศึกษาธิการ |
มหาวิทยาลัยของรัฐ/เอกชน | |
สำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า | |
2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ | สพช. บก. พพ. มหาวิทยาลัยของรัฐ ส่วนราชการ |
รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชนไม่มุ่งค้ากำไร | |
3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรม และดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | สพช. บก. พพ. ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ |
องค์กรเอกชนไม่มุ่งค้ากำไร | |
4) การส่งบุคลการเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ | สพช. บก. พพ. ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ |
5) การให้ทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | มหาวิทยาลัยของรัฐ |
6) อื่นๆ | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ |
องค์กรเอกชนไม่มุ่งค้ากำไร |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ดังรายละเอียดปรากฎในเอกสารแนบ 4.5.3 ของระเบียบวาระการประชุม เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้การสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ผู้สนใจขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ยื่นข้อเสนอต่อ สพช. เพื่อวิเคราะห์และกลั่นกรองข้อเสนอและนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2541-2543 ในวงเงิน 1,144.8 ล้านบาท ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ปีงบประมาณ | ||||
กิจกรรม | 2541 | 2542 | 2543 | รวม |
1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการสอน แบบเรียน คู่มือ และเครื่องมือที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมและทำงาน และห้องปฏิบัติการ | 292 | 234.6 | 98 | 624.6 |
2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศไทย | 81.4 | 69.4 | 70.4 | 221.2 |
3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงาน | ||||
ระยะสั้นในต่างประเทศ | 20 | 20 | 20 | 60 |
4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับ | 81 | 49 | 49 | 179 |
อุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ | ||||
5) การให้ทุนวิจัยและพัฒนาแก่นักศึกษาระดับ | 5 | 5 | 5 | 15 |
อุดมศึกษา | ||||
6) อื่น ๆ | 15 | 15 | 15 | 45 |
รวม | 494.4 | 393.0 | 257.4 | 1,144.8 |
เรื่องที่ 8 ทุนการศึกษาในต่างประเทศ ปีงบประมาณ 2541
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 31) เมื่อวันพุธที่ 21 พฤษภาคม 2540 ได้อนุมัติจัดสรรทุนให้กับหน่วยงานต่างๆ เป็นทุนการศึกษาในต่างประเทศระดับปริญญาโท จำนวน 10 ทุน และระดับปริญญาเอก จำนวน 3 ทุน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้บริหารงบประมาณ และเป็นผู้คัดเลือก ผู้เหมาะสมจะรับทุนร่วมกับคณะอนุกรรมการฯ แล้วนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ อนุมัติตัวบุคคลผู้รับทุนและงบประมาณค่าใช้จ่ายต่อไป แต่เนื่องจากสำนักงาน ก.พ. ไม่สามารถดำเนินการสอบคัดเลือกทุนได้ทันในปีงบประมาณ 2540 ดังนั้น สพช. จึงเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้เพิ่มวงเงินงบประมาณทุนการศึกษาในต่างประเทศ ในปีงบประมาณ 2541 จากแผนเดิม จำนวน 40 ล้านบาท รวมเป็น 72 ล้านบาท โดยการนำทุนการศึกษาในต่างประเทศปีงบประมาณ 2540 จำนวน 32 ล้านบาท มารวมกับงบประมาณปี 2541 จำนวน 40 ล้านบาท
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สพช. นำงบประมาณโครงการส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ ปี 2540 ภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากร จำนวน 32 ล้านบาท มาสมทบกับเงินงบประมาณ ปี 2541 ที่มีอยู่ตามแผนเดิม จำนวน 40 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินงบประมาณ โครงการส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ ปี 2541 จำนวนทั้งสิ้น 72 ล้านบาท
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2538 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2538 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 1 ปีแรก โดยมีเป้าหมายของโครงการที่ปริมาตรของระบบรวม 10,000 ม3 ในวงเงิน 22,401,436 บาท ซึ่งจากการดำเนินโครงการฯ ตามกำหนดระยะเวลาโครงการ 2 ปีแรก (ระหว่างปี พ.ศ.2538-2540) สถาบันฯ ได้ทำการส่งเสริมและเผยแพร่เทคโนโลยีระบบก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ฯ และสามารถดำเนินการก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพได้ครบ 10,000 ม3 ตามเป้าหมาย และมีเจ้าของฟาร์มแสดงความจำนงค์ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เป็นจำนวนมาก มช. จึงได้เสนอแผนของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นระยะที่ 2 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 5/2540 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2540 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ และมีมติเห็นชอบในโครงการดังกล่าว และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
มช. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2540-2545 (4 ปี 6 เดือน) จำนวนเงินทั้งสิ้น 101,322,980 บาท ประกอบด้วย
รายการ | ปีที่ 1 | ปีที่ 2 | ปีที่ 3 | ปีที่ 4 | รวม |
เงินอุดหนุนให้กับเจ้าของโครงการ | 17,046,500 | 11,703,900 | 14,375,540 | 13,077,040 | 56,202,980 |
เงินอุดหนุนให้กับผู้ร่วมโครงการ | 11,280,000 | 11,280,000 | 11,280,000 | 11,280,000 | 45,120,000 |
รวมเงินสนับสนุนจากกองทุน | 28,326,500 | 22,985,900 | 25,655,540 | 24,357,040 | 101,322,980 |
เงินที่ผู้ร่วมโครงการลงทุนเอง | 22,720,000 | 22,720,000 | 22,720,000 | 22,720,000 | 90,880,000 |
คิดเป็นสัดส่วนการร่วมลงทุนระหว่างเกษตรกร 67 % และกองทุนฯ 33 %
กิจกรรมดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม คือ
1) ผลิตก๊าซชีวภาพได้ปีละ 7.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานเทียบเท่าก๊าซหุงต้มจำนวน 50.6 ล้านกิโลกรัม
2) บำบัดน้ำเสียที่เกิดจากการเลี้ยงสุกรในรูปของ COD ได้ปีละไม่น้อยกว่า 40,000 ตัน (COD น้ำเสียจากโรงเรือนเลี้ยงสัตว์จะมีค่าประมาณ 4,000 มก./ลิตร และภายหลังผ่านระบบก๊าซชีวภาพและระบบบำบัดแล้ว COD จะมีค่าน้อยกว่า 120 มก./ลิตร)
3) สามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่เหมาะสมกับพืชและช่วยปรับปรุงงบประมาณ 26,000 ตันต่อปี
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 1: ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2540-2545 ในวงเงิน 101,322,980 บาท ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.7.4 ของระเบียบวาระการประชุม (หนึ่งร้อยหนึ่งล้านสามแสนสองหมื่นสองพันเก้าร้อยแปดสิบบาทถ้วน)
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอผลการดำเนินการตามโครงการฯ เมื่อดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
เรื่องที่ 10 โครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ (ระยะที่ 2)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2539 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประหยัดพลังงานในโรงบ่มใบยาสูบ ในวงเงิน 10,711,000 บาท เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่เทคโนโลยีการบ่มใบยาสูบแบบความร้อนรวมศูนย์แก่ผู้บ่มใบยาสูบในเขตภาคเหนือ จำนวน 5แห่ง โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 2ปี (เมษายน 2539-เมษายน 2541)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประเมินโครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบจากโรงบ่ม ชุดที่ 1 และ ชุดที่ 2 ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ครั้งที่ 1 และเริ่มเดินระบบแล้ว ปรากฎผลเป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายเทคโนโลยีดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานมากขึ้น มช. จึงได้จัดทำข้อเสนอโครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ เพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นครั้งที่ 2 มายัง สพช. ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2540ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ และมีมติเห็นชอบในโครงการดังกล่าว และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการคือ เป็นระบบการบ่มใบยาสูบแบบอัดแน่นซึ่งใช้ความร้อนรวมศูนย์ โดยมีเตาเผาเชื้อเพลิงและหม้อน้ำร้อนชุดเดียวให้ความร้อนแก่โรงบ่ม 6 โรง ระบบนี้จะทำให้ใบยาที่บ่มมีคุณภาพดี และลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในการบ่มใบยาสูบ จึงเป็นการลดปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ปล่อยจากโรงบ่ม และลดการตัดไม้ทำลายป่าด้วย โดยมีเป้าหมายในการดำเนินโครงการดังนี้
1) ส่งเสริมให้มีการติดตั้งใหม่หรือเพิ่มกำลังผลิตระบบบ่มใบยาสูบแบบความร้อนรวมศูนย์อย่างน้อย 9,000,000 กิโลกรัมใบยาแห้ง/ปี ในจังหวัดต่างๆ ในเขตภาคเหนือ
2) ประเมินประสิทธิภาพและวิธีการจัดการใบยาสูบ และกำหนดมาตรการในการปรับปรุงประสิทธิภาพเชิงความร้อน ลดการใช้แรงงาน เพิ่มคุณภาพของใบยาแห้ง และเพิ่มจำนวนครั้งที่บ่มได้ต่อโรงต่อปีอย่างต่อเนื่อง
3) ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี รวมทั้งการจัดการระบบบ่มใบยาสูบแบบความร้อนรวมศูนย์ให้แก่ผู้บ่มใบยาสูบ ชาวไร่ บริษัทเอกชน และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมไม่ต่ำกว่า 75 คน พร้อมทั้งติดตามให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง
มช. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงิน 223,567,520 บาท ในระยะ 3 ปี (2540-2543) ประกอบด้วย
รายการ | ปีที่ 1 | ปีที่ 2 | ปีที่ 3 | รวม |
ก. เงินสนับสนุนให้กับผู้ร่วมโครงการ | 27,720,000 | 79,200,000 | 95,040,000 | 201,960,000 |
ข. เงินสนับสนุนให้กับเจ้าของโครงการ(มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) | 4,099,300 | 7,964,900 | 9,543,320 | 21,607,520 |
รวมค่าใช้จ่ายขอรับการสนับสนุน | 31,819,300 | 87,164,900 | 104,583,320 | 223,567,520 |
ค. เงินที่ผู้ร่วมโครงการลงทุนเอง | 35,280,000 | 100,800,000 | 120,960,000 | 257,040,000 |
สัดส่วนของการร่วมลงทุน
ผู้ร่วมโครงการ 56 %
กองทุนฯ 44 %
โครงการดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม คือ
1) ประหยัดพลังงานความร้อนได้ 67%
2) ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง 31,946,424 บาท/ปี
3) ประหยัดพลังงานที่ใช้ในการบรรจุใบยา
4) ลดก๊าซ SOx 2,345 ตัน/ปี
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ (ระยะที่ 2) ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.8.6 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 223,567,520 บาท (สองร้อยยี่สิบสามล้านห้าแสนหกหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอผลการดำเนินการตามโครงการฯ เมื่อดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เสนอโครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (Load Management) ระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็น อาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานครแห่งใหม่ (ดินแดง) มายัง สพช. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในส่วนของโครงการส่งเสริมและด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2540 ที่ประชุมได้พิจารณา โครงการฯ นี้แล้ว โดยได้มีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการ คือ ระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็น (Ice Storage System) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เก็บความเย็นเอาไว้ในรูปของน้ำแข็งเพื่อนำออกมาใช้ต่อไปในภายหลังเมื่อต้องการทำความเย็น เป็นแนวทางในการประหยัดไฟฟ้าที่เป็นมาตรการและเทคโนโลยีที่มีใช้แพร่หลายในต่างประเทศ ซึ่ง กฟผ. จะนำมาดำเนินการติดตั้งเป็นโครงการนำร่อง ณ อาคารว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง) ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอย 174,139.2 ตารางเมตร โดยแต่เดิมได้มีการออกแบบที่จะติดตั้งระบบปรับอากาศแบบปกติขนาด 6,400 ตัน ซึ่งมีความต้องการใชัไฟฟ้าที่ 4,480 กิโลวัตต์ ทั้งนี้ กฟผ. จะร่วมกับสำนักการโยธากรุงเทพมหานครในการออกแบบและติดตั้งระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็นขนาด 4,600 ตัน ทำงานร่วมกับระบบปรับอากาศปกติขนาด 1,800 ตัน เพื่อทดแทนระบบเดิมที่ กรุงเทพมหานคร ได้ออกแบบไว้ดังกล่าว ซึ่งจะมีผลให้ลดความต้องการใช้ไฟฟ้าของอาคารในช่วงสูงสุด (Peak Load) ลงได้ 4,405 กิโลวัตต์ ในช่วงเวลา 13:00-17:00 น.
ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ
1) เป็นการลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงสูงสุด ซึ่งทำให้สามารถลดหรือชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าได้ 4,405 กิโลวัตต์ คิดเป็นเงินลงทุน 132.14 ล้านบาท
2) เป็นการสนองนโยบายรัฐบาล ในโครงสร้างค่าไฟฟ้าประเภท Time of Use
3) เป็นการใช้ทรัพยากรพลังงานซึ่งได้แก่ ลิกไนท์ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตพลังงานไฟฟ้าในช่วง Off Peak แทนการใช้น้ำมันซึ่งเป็นพลังงานที่ต้องการนำเข้าจากต่างประเทศ
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้สำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า ระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็น อาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานครแห่งใหม่ (ดินแดง) ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.9.2 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 70,000,000 บาท (เจ็ดสิบล้านบาทถ้วน)
เรื่องที่ 12 โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศ เขตร้อนชื้น
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สพช.) ได้เสนอโครงการมายัง สพช. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในส่วนของโครงการซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว โดยได้มีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการ คือ เป็นโครงการที่เน้นด้านการวิจัยเซลล์แสงอาทิตย์ การประกอบแผง การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขนาดย่อมเชิงสาธิต (Pilot Plant) ประมาณการผลิต 150 kW ตลอดระยะโครงการเพื่อเป็นแนวทางการผลิตเต็มรูปแบบในเชิงพาณิขย์ และเผยแพร่สู่สาธารณชนต่อไปในอนาคต งบประมาณตลอดโครงการ เป็นเงิน 205 ล้านบาท ส่วนที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เฉพาะในส่วนค่าครุภัณฑ์ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 90 ล้านบาท
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1) ด้านเทคโนโลยี
- สามารถสร้างต้นแบบเซลล์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีของตนเองได้
- เพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรมทางเทคโนโลยีสาขาเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับภาครัฐ และเอกชน
- การพัฒนากำลังคนสำหรับงานวิจัย พัฒนา และวิศวกรรมในสาขาเทคโนโลยีสาร กึ่งตัวนำอันเป็นสาขาขาดแคลน
- ผลตอบแทนจากการขายหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีและจากสิทธิบัตร
2) ด้านอุตสาหกรรม
- กระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิต การขาย และการส่งออกเซลล์แสงอาทิตย์
3) ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
- สามารถผลิตพลังงานที่สะอาด เพื่อสนองต่อความต้องการของประเทศ อีกทั้งยังช่วยลดภาระของ กฟผ. ในการจัดหาพลังงานเสริมเพิ่มให้กับผู้บริโภคในช่วงเวลาความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงระหว่างเวลา 9:00-16:00 น.
- มีการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน และในระดับประเทศ เป็นการเพิ่มรายได้จากการส่งออกเซลล์ แผงเซลล์ หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน
4) ประโยชน์จากการผลิตพลังงานโดยไม่ปล่อยสารพิษ
- SOX 0.25 บาท/กิโลวัตต์-ชม.
- NOX 0.20 บาท/กิโลวัตต์-ชม.
- CO2 0.10 บาท/กิโลวัตต์-ชม.
- จากการไม่ใช้เชื้อเพลิง 1.50-3.00 บาท/กิโลวัตต์-ชม.
- จากการผลิตพลังงาน 250 กิโลวัตต์ 600 บาท/กิโลวัตต์
- 300 กิโลวัตต์ 500 บาท/กิโลวัตต์
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.10.2 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 90,000,000 บาท (เก้าสิบล้านบาทถ้วน)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้เสนอโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้านพลังงานสะอาด สำหรัอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามายัง สพช. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในส่วนของโครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว โดยได้มีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการ คือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจะทำการศึกษาเพื่อสาธิตระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน ณ พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 3 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี ซึ่งระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานจะมีลักษณะเป็นระบบขนาน ประกอบด้วยระบบย่อยที่สำคัญได้แก่
- ระบบพลังงานทดแทน คือ ระบบเซลล์แสงอาทิตย์ ระบบกังหันลม
- ระบบแปลงพลังงานไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสสลับ ระบบแบตเตอรี่
- ระบบควบคุมการประจุแบตเตอรี่
งบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 21,977,281 บาท ประกอบด้วย
หมวดค่าใช้จ่าย | ปีแรก | ปีทีสอง | รวม |
ค่าครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง | 14,771,146 | - | 14,771,146 |
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร | 5,457,375 | 1,247,910 | 6,705,285 |
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 501,390 | - | 501,390 |
รวม | 20,729,911 | 1,247,910 | 21,977,281 |
ประโยชน์ที่มีต่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม มีดังนี้
1) ประโยชน์ในการก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน
- ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 161,382 ลิตรต่อปี
2) ผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่
- สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้ตลอดเวลาที่มีพลังงานสะสมอยู่ในแบตเตอรี่ ห้องพยาบาล สามารถใช้ตู้เย็นขนาดเล็กเพื่อเก็บวัคซีน เซรุ่ม หรือเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่างๆ และเนื่องจากเลือกใช้งานอินเจอร์เมเนียมแบบซายน์ จึงสามารถใช้กับเครื่องมือแพทย์ได้ทุกชนิด
- ทางอุทยานฯ สามารถให้บริการนักท่องเที่ยว ในลักษณะฉายสไลด์หรือวิดีโอทัศน์ ได้ตลอดเวลา ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลและความรู้ทำได้มากขึ้น
- เพิ่มแนวคิดการใช้พลังงานอย่างประหยัดให้แก่นักท่องเที่ยวและบุคลากร ที่พักอยู่ในบริเวณอุทยานฯ เนื่องจากพลังงานมีจำกัด และระบบแสงสว่างได้ออกแบบให้ใช้หลอดประหยัดทั้งหมด จึงเป็นต้นแบบหรือตัวอย่างในการอนุรักษ์พลังงานและใช้แหล่งพลังงานสะอาด
3) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวม
- ผลประโยชน์จากพลังงานไฟฟ้าโดยไม่ใช้น้ำมันดีเซล 10,642 บาท/กิโลวัตต์ปี
- ลดเสียงจากเครื่องยนต์ดีเซลล์ซึ่งรบกวนสภาพแวดล้อมของสัตว์ป่า
- ลดคราบน้ำมันซึ่งปนเปื้อนลงในแหล่งต้นน้ำลำธาร
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.11.2 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 21,977,281 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดพันสองร้อยแปดสิบเอ็ดบาทถ้วน)
เรื่องที่ 14 โครงการจัดทำแผนที่ศักยภาพพลังงานลมของประเทศไทย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ากรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้เสนอโครงการจัดทำแผนที่ศักยภาพพลังงานลมของประเทศไทยมายัง สพช. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในส่วนของโครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว โดยได้มีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการ คือ พพ. จะดำเนินการร่วมกับการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีประสบการณ์และผลงานการวิจัยเกี่ยวกับศักยภาพพลังงานลม เพื่อทำการศึกษาและติดต่อประสานงานในการรวบรวมข้อมูลพลังงานลมของประเทศไทยจากเครื่องวัดพลังงานลมที่ได้ติดตั้งไว้แล้ว จากสถานีกรมอุตุนิยมวิทยาจำนวน 70 สถานี และของ พพ. อีก 23 สถานี รวมถึงข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือวัดที่ติดตั้งบนบอลลูน บนเรือเดินทะเล และจากภาพถ่ายดาวเทียม เป็นข้อมูลย้อนหลังไม่น้อยกว่า 15 ปี เพื่อนำมาวิเคราะห์ประเมินผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูล และจัดทำแผนที่แสดงศักยภาพแหล่งพลังงานลมของประเทศไทย และจะทำการศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดปัจจุบันในสถานภาพของสถานี คุณภาพและคุณลักษณะของเครื่องตรวจวัด แล้วนำมารวบรวมสร้างเป็นแผนที่แสดงศักยภาพแหล่งพลังงานลม โดยมีรายละเอียดแสดงการกระจายตัวของแหล่งพลังงานลมทั่วประเทศ
พพ. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 9,352,800 บาท (เก้าล้านสามแสนห้าหมื่นสองพันแปดร้อยบาทถ้วน) ประกอบด้วย
- ค่าจ้างที่ปรึกษา 8,458,800 บาท
- ค่าควบคุมงานโครงการ 480,000 บาท
- ค่าตอบแทนใช้สอยวัสดุและครุภัณฑ์ 414,000 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,352,800 บาท
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ได้แก่แผนที่แสดงแหล่งศักยภาพพลังงานลมของประเทศไทย ซึ่งสามารถแสดงรายละเอียดข้อมูลทุกภูมิภาค โดยมีข้อมูลและกราฟแสดงความเปลี่ยนแปลงของลมเป็นรายปี รายฤดูกาลและรายวัน ข้อมูลความเร็วเฉลี่ย ทิศทางลมและความเข้มของพลังงานลม และทำให้ทราบว่าแหล่งใดมี ศักยภาพมากน้อยเพียงไร เพื่อเป็นแนวทางในการคัดเลือกพื้นที่ที่จะพัฒนาใช้ประโยชน์จากพลังงานลม
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำแผนที่ศักยภาพ พลังงานลมของประเทศไทย ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.12.2 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 9,352,800 บาท (เก้าล้านสามแสนห้าหมื่นสองพันแปดร้อยบาทถ้วน)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนโครงการต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการนฯแต่ละชุดแล้วหลายโครงการ และมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ และจากการที่รัฐบาลได้ประกาศให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเป็นแบบลอยตัว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ เนื่องจากแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการบางส่วนต้องจ่ายเป็นเงินตราสกุลต่างประเทศ ซึ่งเจ้าของโครงการฯ ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นดังกล่าวได้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ มีอำนาจในการอนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินสนับสนุนเพิ่มเติมให้ผู้ที่ได้รับจัดสรรเงินทุนแต่ละรายที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ แต่ละชุด ซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทลอยตัว โดยให้โครงการต่างๆ ดังกล่าวทำเรื่องขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแต่ละชุด พิจารณาอนุมัติเป็นรายๆ ไป
- รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุน
- การอนุรักษ์พลังงาน
- รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ
- รายจ่ายประจำปี
- แผนปฏิบัติการ
- โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม
- โครงการประชาสัมพันธ์
- แผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร
- ทุนการศึกษาในต่างประเทศ
- โครงการส่งเสริมก๊าซชีวภาพ
- โครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ
- โครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า
- โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์
- โครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน
- ขอความเห็นชอบ
- ขอรับเงินสนับสนุน
กอ. ครั้งที่ 24 - วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24)
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4. ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ"
6. โครงการฝึกอบรมเรื่อง การอนุรักษ์พลังงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
7. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า
9. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
11. การส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ครบถ้วน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2544 ว่ามียอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 13,677,775,898.70 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ได้มีหนังสือที่ นร 0905/ว 1548 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2544 เพื่อเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 5) เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ในวงเงิน 19,696,800 บาท (สิบเก้าล้านหกแสนเก้าหมื่นหกพันแปดร้อยบาทถ้วน) โดย กสก. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติมนั้น
กรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบแล้วรวม 15 ท่าน และมีกรรมการ 4 ท่าน ที่ไม่ได้แจ้งผลการพิจารณา และฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งมติผลการพิจารณาให้เจ้าของโครงการฯ ทราบแล้ว ซึ่งสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ในวงเงิน 19,696,800 บาท (สิบเก้าล้านหกแสนเก้าหมื่นหกพันแปดร้อยบาทถ้วน)
(2) เห็นชอบให้ กสก. ปรับเพิ่ม/ลดกิจกรรมบางรายการให้สอดคล้องกับปริมาณงานเพิ่มขึ้น และสามารถถัวจ่ายเงินในส่วนค่าบริหารโครงการฯ ที่ได้รับการอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ และคงเหลืออยู่ได้ตามที่เสนอมา ยกเว้น ค่าบริหารโครงการฯ กิจกรรมที่ 2 หมวดค่าตอบแทน รายการที่ 2.1-2.5 ให้การเบิกจ่ายอยู่ในอัตราที่เหมาะสมและเป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(3) วัสดุก่อสร้างและเครื่องมือต่างๆ ของโครงการฯ ให้ กสก. ส่งเสริมการใช้ของที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ แทนการใช้ของที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อลดต้นทุนค่าก่อสร้างและสามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว
มติที่ประชุม
รับรองมติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการเวียนขอความเห็นชอบ ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 5)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2544 ที่ปรับปรุงใหม่ พร้อมทั้งอนุมัติให้ สพช. นำงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบปี 2545 จำนวน 150 ล้านบาท มาสมทบเพื่อให้ดำเนินงานประชาสัมพันธ์ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2545 โดยในปีงบประมาณ 2544 สพช. ได้ดำเนินกิจกรรมไปแล้ว 15 กิจกรรม เป็นเงินทั้งสิ้น 177,056,940.61 บาท และกำลังดำเนินการคัดเลือกอีก 6 กิจกรรม เป็นเงินประมาณ 23,500,000 บาท รวมเป็นเงินที่ใช้ไปทั้งสิ้น 200,556,940.61 บาท โดยเป็นงบประมาณปี 2544 จำนวน 150,000,000 บาท และงบประมาณปี 2545 จำนวน 50,556,940.61 บาท ดังนั้นจึงขอใช้งบประมาณปี 2545 ที่ได้รับอนุมัติให้นำมาสมทบใช้ในปี 2544 เพียงจำนวน 50,556,940.61 บาท
สำหรับแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในปี 2545-2549 สพช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์การสื่อสารโดยคำนึงถึงประเด็นใหม่ มีแรงจูงใจที่ดี สามารถวัดผลได้ มีผลกระทบในการรณรงค์ต่อประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการและสร้างกระแสในหมู่ประชาชนและเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานพร้อมทั้งเสนอแนะวิธีการอนุรักษ์พลังงานที่ได้ทำไปแล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักถึงบทบาทสำคัญของตนที่มีส่วนในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งของตนเองและของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการใช้กิจกรรมรณรงค์สนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานอีกด้วย โดยแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ปี 2545-2549 มีรายละเอียดดังนี้
วัตถุประสงค์ของโครงการ
1. เพื่อสานต่อประเด็นรณรงค์ที่มีผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ให้มีความต่อเนื่อง เพื่อทำให้โครงการฯ มีประสิทธิผลสูงสุด
2. เพื่อสร้างความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมช่วยชาติประหยัดพลังงาน รวมถึงส่งผลดีในด้านการประหยัดค่าใช้จ่ายโดยตรงให้กับประชาชน
3. เพื่อกระตุ้นให้ประชาชน ลดการใช้พลังงานส่วนเกินในชีวิตประจำวันโดยทันทีและปฏิบัติให้เป็นนิสัยตลอดไป
4. เพื่อแนะนำวิธีประหยัดพลังงานในแนวทางต่างๆ ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันทีและมีค่าใช้จ่ายน้อย
กลยุทธ์โดยรวม ประกอบด้วย
1) ใช้ยุทธวิธีสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในเชิงรุก (Targeting Hierarchy Approach)
2) สื่อสารภายใต้โครงการรวมพลังหาร 2 (Branding Concept)
3) สร้างสรรค์แคมเปญในรูปสื่อผสมผสาน (Integrated Communication)
กลยุทธ์ของแผนแต่ละปี
ปี 2545
โครงการสร้างเสริมความเข้าใจถึงผลของการประหยัดพลังงานที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ
โครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ (ระยะที่ 2)
โครงการรวมพลัง หยุดรถซดน้ำมัน (ระยะที่ 2)
กิจกรรมสนับสนุนเพื่อสร้างจิตสำนึก
การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน
ปี 2546
การประหยัดพลังงานในสาขาขนส่ง
ปี 2547-2578
โครงการอุปกรณ์มาตรฐานที่มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานและโครงการสัญลักษณ์ประหยัดพลังงาน
ปี 2549
โครงการรีไซเคิล เพื่อประหยัดพลังงาน
งบประมาณของแผน 5 ปี เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท ดังนี้
ปีงบประมาณ 2545 เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท
ปีงบประมาณ 2546 เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท
ปีงบประมาณ 2547-48 เป็นจำนวนเงิน 400 ล้านบาท
ปีงบประมาณ 2549 เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544- 2545 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 200,556,940.61 บาท
2. เห็นชอบในหลักการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 - 2549 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 ในวงเงิน 200 ล้านบาท
4. ให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้รับจ้างดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ และให้นำผลการคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 4 ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อ วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544 มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก ดังนี้
1) กิจกรรมที่ 1 ชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า"
2) กิจกรรมที่ 2 ชุด "โปรโมทการแข่งขันการขับรถยนต์อย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดน้ำมัน"
3) กิจกรรมที่ 3 ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91"
โดยเห็นชอบสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติกรอบไว้ในแผนงานสนับสนุนอีกจำนวน 800 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมที่ 1 "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า" เพื่อให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ใช้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าหรือแรงจูงใจอื่นที่ทำให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการ โดยให้ สพช. ทำรายละเอียดโครงการเพื่อนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
กฟภ. และ กฟน. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการดำเนินโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์และเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้าภูมิภาคและไฟฟ้านครหลวง โดย กฟภ. ขอรับการสนับสนุนในวงเงิน 408,999,000 บาท และ กฟน. ขอรับการสนับสนุนในวงเงิน 289,166,000 บาท
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบโครงการและค่าใช้จ่ายที่ กฟภ. และ กฟน. เสนอ โดยมีข้อสังเกตในส่วนของการประชาสัมพันธ์โครงการว่าเห็นควรให้ กฟภ. และ กฟน. นำรูปแบบของสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่ เสนอให้ สพช. พิจารณาปรับให้เป็นในแนวทางเดียวกัน ก่อนทำการผลิตและเผยแพร่ต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ในส่วนการประชาสัมพันธ์และส่วนลดค่าไฟฟ้าให้ กฟภ. และ กฟน. ดังนี้
1) ให้การสนับสนุน กฟภ. ในวงเงิน 408,999,000 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 7,602,000 บาท
ส่วนลดค่าไฟฟ้า ให้เบิกจ่าย ตามเงินส่วนลดที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ในวงเงิน 401,397,000 บาท
2) ให้การสนับสนุน กฟน. ในวงเงิน 289,166,000 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 7,946,000 บาท
ส่วนลดค่าไฟฟ้า ให้เบิกจ่าย ตามจำนวนเงินส่วนลดที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ในวงเงิน 281,220,000 บาท
2. เห็นชอบในหลักการในการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้แก่ กฟภ. และ กฟน. ในกรณีที่ส่วนลดค่าไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริง มีจำนวนเกินกว่า จำนวนที่ได้รับอนุมัติในข้อ 1
3. ให้ กฟภ. และ กฟน. นำรูปแบบของสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่ เสนอให้ สพช. พิจารณาปรับให้เป็นในแนวทางเดียวกัน ก่อนทำการผลิตและเผยแพร่
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการบูรณาการกระบวนการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และให้ สพช. ดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในวงเงิน 302,681,438 บาท
สพช. ได้ว่าจ้างสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยดำเนินโครงการฯ โดยมีเป้าหมายในการจัดทำหลักสูตรและสื่อการศึกษาเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา พร้อมทั้งฝึกหัดครูในโรงเรียนนำร่อง 600 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยมีระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2540 - มกราคม 2544 ซึ่งใช้งบประมาณในการดำเนินการทั้งสิ้น 288,699,724 บาท โดยสรุปผลการดำเนินโครงการฯ ได้ดังนี้
1) มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 600 โรงเรียน ใน 30 จังหวัด
2) บุคลากรกลุ่มต่างๆ ได้แก่ผู้บริหาร โรงเรียน ครู นักเรียน ผู้นำชุมชนแกนนำระดับจังหวัดได้รับการฝึกอบรม รวมทั้งสิ้น 55,020 คน
3) ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนต้นแบบด้านการบริหารจัดการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมส่งเสริมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม การจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ โดยแบ่งเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา 30 โรงเรียน และระดับมัธยมศึกษา 30 โรงเรียน
4) เกิดชุมชนตัวอย่างในการป้องกันแก้ไขเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น รวมทั้งสิ้น 120 ชุมชน
ทั้งนี้การประเมินผลโครงการฯ โดยบริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท สรุปได้ว่าในภาพรวม โครงการประสบความสำเร็จในระดับค่อนข้างดี และสมควรขยายผลการดำเนินการต่อไป ซึ่งหลังจากที่โครงการฯ ได้ดำเนินงานเสร็จสิ้นลง สพช. ได้นำผลการประเมินเสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้เกิดการชะงักงันของโครงการ
สพช. จึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและผู้มีประสบการณ์กับโครงการฯ เข้าร่วมประชุมพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการในระยะต่อไปเพื่อให้โครงการฯ ขยายผลต่อไปในทิศทางที่มีประสิทธิภาพ สูงสุด ซึ่งสรุปผลการประชุมได้ดังนี้
1. เห็นควรให้การสนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานฯ แก่โรงเรียนที่เคยเข้าร่วมโครงการฯ มาแล้วในระยะที่ 1 โดยมีหลักเกณฑ์ว่าต้องเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมที่จะเป็นแบบอย่างของการเรียนการสอนด้านพลังงานและการอนุรักษ์พลังงานให้กับโรงเรียนใกล้เคียงได้ด้วย
2. ให้จัดทำประกาศคณะอนุกรรมการฯ เรื่องการเปิดให้การสนับสนุนองค์กร/หน่วยงาน เพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ ระยะที่ 2
3. ให้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ขึ้น เพื่อทำหน้าที่พิจารณาโครงการที่โรงเรียนต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
4. ขั้นตอนการดำเนินงาน
1) เมื่อคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ความเห็นชอบร่างประกาศฯ แล้ว สพช. จะดำเนินการประกาศเรื่องการเปิดให้การสนับสนุนองค์กร/หน่วยงาน เพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ
2) หน่วยงานที่สนใจเสนอข้อเสนอโครงการพร้อมค่าใช้จ่าย
3) คณะอนุกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกหน่วยงาน/องค์กรที่จะดำเนินการบริหารโครงการฯ และอนุมัติงบประมาณในการบริหารงาน
4) คณะอนุกรรมการฯ ประกาศให้การสนับสนุนโรงเรียนที่อยู่ในโครงการเดิม โดยให้โรงเรียนเสนอขอรับการสนับสนุนภายใต้กรอบที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนด
5) หน่วยงาน/องค์กรบริหารโครงการฯ ที่ได้รับคัดเลือกจะเป็นศูนย์กลางรับข้อเสนอโครงการที่เสนอมาจากโรงเรียนโดยตรง และดำเนินการวิเคราะห์ข้อเสนอโครงการที่โรงเรียนเสนอขอรับการสนับสนุน และจัดทำสรุปโครงการที่มีความเหมาะสมได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ เพื่อพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนต่อไป
6) คณะกรรมการอำนวยการฯ รวบรวมโรงเรียนที่สมควรได้รับการสนับสนุนและเสนอขอรับการสนับสนุนด้านงบประมาณต่อคณะอนุกรรมการฯ
7) สพช. ทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลโครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ และให้ สพช. ดำเนินการประกาศเพื่อเปิดให้ทุนสนับสนุนองค์กร/หน่วยงาน เพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ ตามร่างประกาศฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว
เรื่องที่ 6 โครงการฝึกอบรมเรื่อง การอนุรักษ์พลังงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2542 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุฬาฯ) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมการอนุรักษ์พลังงาน ในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในวงเงิน 2,693,900 บาท โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้หลักสูตรดังกล่าวในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และบุคลากรของสถานประกอบการ SMEs ซึ่งจุฬาฯ ได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้หลักสูตรดังกล่าวในการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ซึ่งวิทยากรผู้ฝึกอบรมสามารถเลือกเนื้อหาเฉพาะในส่วนที่สอดคล้องกับความต้องการของ SMEs แต่ละประเภท โดยไม่จำเป็นต้องฝึกอบรมในทุกเนื้อหา แต่จะมุ่งเน้นให้มีการนำกรณีตัวอย่าง รูประบบการใช้งานจริงจากโรงงานหรือสถานประกอบการต่างๆ มาประกอบการฝึกอบรม เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างแท้จริงต่อไป
ทั้งนี้ การดำเนินการส่งเสริม SMEs ที่ผ่านมาของกองทุนฯ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
1. การสนับสนุนเป็นสัดส่วนของเงินลงทุนทางด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี
2. การใช้เทคนิคการจัดการด้านวิศวกรรมเพื่อตรวจวัดและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม
3. สพช. เห็นว่า การฝึกอบรมหลักสูตรการประหยัดและอนุรักษ์พลังงานใน SMEs น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานใน SMEs ได้อย่างเร็วที่สุด จึงใคร่ขอเสนอแนวทางในการดำเนินการด้านการฝึกอบรมดังนี้
1) ผู้มีสิทธิ์ยื่นข้อเสนอโครงการฯ ต้องเป็นหน่วยงานที่มีสถานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
2) คณะผู้เชี่ยวชาญที่แต่งตั้งโดย สพช. จะวิเคราะห์และกลั่นกรองข้อเสนอโครงการที่แต่ละหน่วยงานได้เสนอมา ตามเกณฑ์ที่ สพช. กำหนด
3) หากคณะผู้เชี่ยวชาญฯ มีความเห็นให้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการประการใด สพช. จะสรุปความเห็นของคณะผู้เชี่ยวชาญฯ และแจ้งให้หน่วยงานปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้สมบูรณ์และชัดเจนยิ่งขึ้น
4) สพช. จะนำโครงการที่ได้รับการปรับปรุงสมบูรณ์แล้ว เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุน ในวงเงิน 10 ล้านบาท และเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติในวงเงินเกินกว่า 10 ล้านบาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางในการดำเนินงานและร่างประกาศเรื่องการเปิดให้ทุนสนับสนุนการจัดฝึกอบรม เรื่องการอนุรักษ์พลังงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) หลังจากที่ได้มีการปรับตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 (ครั้งที่ 53) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2544 และเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ในพื้นที่ของ กฟภ. เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาใช้ในการวางแผนการลงทุนทางด้านไฟฟ้าและการอนุรักษ์พลังงาน เช่น การพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า การจัดทำอัตราค่าไฟฟ้าที่สะท้อนถึงการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างแท้จริง การกำหนดมาตรการเพื่อให้การใช้ไฟฟ้าตามแนวทางที่กำหนดไว้ การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Rate) เป็นต้น โดยจะติดตั้งเครื่องมือบันทึกวิจัยภาระไฟฟ้าแบบ Automatic Meter Reading (AMR) ให้กลุ่มตัวอย่างตามที่ กฟภ. ได้คัดเลือกไว้แล้ว จำนวน 3,263 ราย แบ่งเป็นสถานีจ่ายไฟฟ้าจำนวน 132 สถานี และผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวน 3,131 ราย ตามประเภทของกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ส่วนราชการ และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรบ้านพักอาศัย กิจการขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ธุรกิจเฉพาะอย่าง และการสูบน้ำเพื่อการเกษตร โดยภายหลังจากการดำเนินโครงการสิ้นสุดแล้ว กฟภ. จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลและศึกษาลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าตัวอย่างอย่างต่อเนื่องต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ให้ความเห็นว่าโครงการนี้มีความชัดเจนในเรื่องของการดำเนินการ แต่งงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในส่วนของค่าเครื่องวัดและอุปกรณ์ประกอบ (Electronic meter) ที่ กฟภ. ได้เสนอมาในครั้งแรกราคาค่อนข้างสูงประมาณชุดละ 26,000 บาท กฟภ. จึงได้ปรับราคาของ Electronic meter เหลือเพียงชุดละ 15,000 บาท ดังนั้นจึงทำให้ประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ลดลงคงเหลือเพียง 98,831,933 บาท โดยจะใช้งบประมาณของ กฟภ. 47,578,966.50 บาท และส่วนที่เหลือจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 51,252,966.50 บาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ กฟภ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า ในวงเงิน 51,252,966.50 บาท (ห้าสิบเอ็ดล้านสองแสนห้าหมื่นสองพันเก้าร้อยหกสิบหกบาทห้าสิบสตางค์) โดยมีเงื่อนไขให้ กฟภ. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมของจำนวนข้อมูล รูปแบบและวิธีการจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้ Load Profile ที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ได้ครบถ้วน ดังนี้
แสดงรายละเอียดวิธีการหาจำนวนตัวอย่าง (Sample Size) ให้ชัดเจน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมของจำนวนตัวอย่าง และจำนวนเครื่องมือวัดฯ ที่ใช้ในโครงการฯ พร้อมทั้งอธิบายหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทางสถิติต่างๆ ที่ใช้ในการคำนวณหาจำนวนตัวอย่างในโครงการฯ เช่น ค่า Confident Level ค่าความผิดพลาด เป็นต้น
เพื่อให้ผลที่ได้รับจากโครงการฯ สามารถรองรับการแข่งขันกิจการไฟฟ้าในอนาคต เห็นควรให้ กฟภ. เพิ่มจำนวนตัวอย่างในกลุ่มประเภทบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กให้มากขึ้น เพื่อเป็นตัวแทน Load Profile ที่ดี มีความน่าเชื่อถือและให้ลดจำนวนเครื่องวัดในกลุ่มตัวอย่างอื่นลง โดยให้ กฟภ. ใช้เครื่องวัดไฟฟ้าแบบ TOU ที่ กฟภ. มีอยู่แล้วเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล Load Profile ของจำนวนตัวอย่างที่ลดลงดังกล่าวนั้น และเห็นควรให้ กฟภ. นำข้อมูล Load Profile ที่เก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งเครื่องวัดไฟฟ้าแบบ TOU มาร่วมวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วย เพื่อให้งานของโครงการนี้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เพิ่มเติมการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความสัมพันธ์กับปริมาณการใช้ไฟฟ้า เช่น อุณหภูมิ พื้นที่โรงงาน/อาคาร จำนวนคนงาน จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า ขนาดหม้อแปลง เป็นต้น เพื่อให้ข้อมูลที่ได้จากโครงการฯ สามารถนำไปใช้ในงานอื่นได้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น การวางแผนระบบไฟฟ้า เป็นต้น
(2) มอบหมายให้ สพช. ดูแลในเรื่องการจัดซื้อจัดหาเครื่องวัดและอุปกรณ์ประกอบ (Electronic meter) เพื่อให้มีราคากลางที่เหมาะสมและเป็นไปตามราคาตลาดปัจจุบัน
(3) หาก กฟภ. สามารถดำเนินการตามข้อ (1) และ ข้อ (2) ได้ครบถ้วนแล้ว กฟภ. ต้องปรับข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2538 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2538 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 26,050,000 บาท (ยี่สิบหกล้านห้าหมื่นบาทถ้วน) ให้ ศูนย์ปฏิบัติการวิศวกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ
มก. ได้ดำเนินโครงการฯ บนพื้นที่ฝังกลบขยะ ขนาด 65 ไร่ ของบริษัทกลุ่ม 79 อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และก่อสร้างหลุมดูดก๊าซและระบบรวบรวมก๊าซ โดยเลือกเจาะในแนวตั้งเสร็จเรียบร้อย จำนวน 39 หลุม เพื่อรวบรวมก๊าซชีวภาพและนำไปเป็นเชื้อเพลิงป้อนให้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่ มก. ได้รับสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการจัดซื้อจากประเทศออสเตรเลีย แต่ปรากฏว่าปริมาณก๊าซชีวภาพที่ได้มีเพียง 180 m3/hr ไม่เพียงพอกับความต้องการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าฯ โดยปัญหาเกิดจากระดับน้ำชะขยะสูง (leachate) ในขณะที่กองขยะมีความสูงแค่ 10 เมตร ส่งผลให้ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีปริมาณน้อยเกินไป
จากปัญหาดังกล่าว มก. จึงขอรับความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญของ United States Environmental Protection Agency (USEPA) ประเทศสหรัฐอเมริกา มาให้คำแนะนำและร่วมปรับปรุงปริมาณและคุณภาพก๊าซ โดย มก. ได้รับการอนุญาตจากบริษัทกลุ่ม 79 ให้ใช้พื้นที่ฝังกลบขยะแห่งใหม่ อยู่ห่างจากหลุมเดิมประมาณ 3.6 กิโลเมตร ซึ่งมีความสูงของชั้นขยะ 18 เมตร และเมื่อทำการขุดเจาะสำรวจแนวนอน จำนวน 2 หลุม พบว่าได้ปริมาณก๊าซที่มีคุณภาพและใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ดังนั้น มก. จึงได้สร้างหลุมแนวนอนเพิ่มอีก 4 หลุม มีความยาวหลุมละ 100 เมตร ซึ่งมีปริมาณก๊าซเพียงพอที่จะเป็นแหล่งพลังงานให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 1 เครื่อง
มก. จึงได้จัดทำข้อเสนอโครงการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2544 (ครั้งที่ 52) และเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีข้อเสนอแนะประเด็นสำคัญคือ เนื่องจากโครงการนี้ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนทางด้านการเงินจาก 2 แหล่งเงินทุน คือ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจไม่ได้รับทุนสนับสนุนจาก GEF จนทำให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงมีมติให้ มก. แยกการดำเนินงานและงบประมาณที่ขอการสนับสนุนของแต่ละกองทุนฯ เป็นรายกิจกรรมให้ชัดเจน ไม่อนุมัติให้กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งใช้เงินจากงบประมาณทั้ง 2 แหล่ง
มติที่ประชุม
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ มก. ในวิธีการเจรจาเพื่อให้ได้รับเงินสนับสนุนจาก GEF
2. ให้ มก. แยกงานและเงินเป็นรายกิจกรรมให้ชัดเจน เพื่อมิให้มีการผูกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเข้ากับงบประมาณทั้งสองแหล่ง
3. ให้ มก. พิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการนี้ถ้าจะเปลี่ยนที่ตั้งโรงไฟฟ้าให้มาอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งรวบรวมก๊าซแห่งใหม่ แทนการเดินท่อก๊าชไปยังโรงไฟฟ้า ณ สถานที่เดิม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 9 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เทศบาลนครระยอง ได้ยื่นข้อเสนอโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2544 (ครั้งที่ 52) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะสาธิตนำร่องการแก้ไขปัญหาในเรื่องของผลกระทบที่เกิดจากการกำจัดมูลฝอย โดยจัดตั้งศูนย์สาธิตการแปรรูปมูลฝอยของชุมชน ซึ่งประกอบด้วย การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการคัดแยกมูลฝอย การคัดแยกวัสดุเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การแปรรูปมูลฝอยอินทรีย์ ด้วยการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) เพื่อให้ได้ก๊าซชีวภาพอันเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานและปุ๋ยอินทรีย์ การหมักปุ๋ย และการกำจัดโดยการฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาลให้อยู่ภายในบริเวณเดียวกัน เพื่อลดต้นทุนในการกำจัดและเกิดประสิทธิภาพในการบริหารและการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการกำจัดมูลฝอย
เทศบาลนครระยอง ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 167 ล้านบาท ประกอบด้วย
รายการ | งบประมาณ |
(1) อาคารและระบบรับและคัดแยกมูลฝอย | 32,637,250 |
(2) กระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) | 96,200,900 |
(3) งานปรับปรุงพื้นที่และระบบสาธารณูปโภค | 14,515,000 |
(4) อุปกรณ์และเครื่องจักร | 994,000 |
(5) ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด ประมาณ 5% ของรายการ 1-4 | 7,217,358 |
(6) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและจัดการ |
15,114,000 |
รวม | 166,678,508 |
คณะอนุกรรมการฯ เห็นควรให้เทศบาลนครระยองเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการฯ โดยให้ เทศบาลฯ รับภาระค่าใช้จ่ายในงานปรับปรุงพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคและค่าอุปกรณ์และเครื่องจักร ส่วนค่าเผื่อเหลือเผื่อขาดให้เทศบาลฯ สามารถนำมาใช้ได้ในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งต้องให้ สพช. เห็นชอบก่อนเบิกจ่ายทุกครั้ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและจัดการ เห็นควรให้การสนับสนุนไม่เกินวงเงินร้อยละ 5 ของ วงเงินรวมที่กองทุนฯ ให้การสนับสนุน ทั้งนี้คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ ภายในวงเงิน 142,858,283 บาท
มติที่ประชุม
ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ตรวจสอบความซ้ำซ้อนของแหล่งเงินทุน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 129 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 739,483 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่ง พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2544 และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เป็นเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในวงเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอ
เรื่องที่ 11 การส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ครบถ้วน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 กำหนดโทษผู้ประกอบการที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้า จะถูกดำเนินคดี โดยมีบทกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงสองปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสิบล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นการลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรงเกินมูลเหตุและเจตนาแห่งการกระทำผิด จึงเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในประเด็น ดังนี้
(1) ขอความเห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 58 ในส่วนของบทลงโทษ กรณีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้านั้น ให้กำหนดโทษให้เหมาะสมกับสภาพแห่งการกระทำผิด และคำนึงถึงมูลเหตุและเจตนาแห่งการกระทำของผู้ประกอบการและมูลค่าของเงินที่นำส่งเข้ากองทุนฯ ผิดพลาด โดยมอบหมายให้ สพช. และ พพ. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
(2) ขอความเห็นชอบในหลักการให้มีการวางเงินประกันการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้กรมสรรพสามิตเปิดบัญชีเงินฝากสำหรับเงินวางประกันของผู้ประกอบการแต่ละราย และให้อธิบดีกรมสรรพสามิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้ประกอบการรายที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนนั้น ตามจำนวนเงินที่ส่งขาดพร้อมเงินเพิ่ม แล้วให้กรมสรรพสามิตส่งเข้าบัญชีกองทุนฯ โดยมอบหมายให้ กรมสรรพสามิตและ สพช. รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 58 ในส่วนของบทลงโทษ กรณีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้านั้น ให้กำหนดโทษให้เหมาะสมกับสภาพแห่งการกระทำผิด และคำนึงถึงมูลเหตุและเจตนาแห่งการกระทำของผู้ประกอบการและมูลค่าของเงินที่นำส่งเข้ากองทุนฯ ผิดพลาด โดยมอบหมายให้ สพช. และ พพ. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. เห็นชอบในหลักการให้มีการวางเงินประกันการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้กรมสรรพสามิตเปิดบัญชีเงินฝากสำหรับเงินวางประกันของผู้ประกอบการแต่ละรายและถือเสมือนว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ผู้ประกอบการส่งเข้ากองทุนฯ ไว้ล่วงหน้า โดยให้อธิบดีกรมสรรพสามิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้ประกอบการรายที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนนั้น ตามจำนวนเงินที่ส่งขาดพร้อมเงินเพิ่ม แล้วให้กรมสรรพสามิตส่งเข้าบัญชีกองทุนฯ โดยมอบหมายให้ กรมสรรพสามิตและ สพช. รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
อนุ กอ. ครั้งที่ 2 - วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 2)
วันที่ 6 มีนาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เสนอ และได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาท) จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ให้ ปตท. เพื่อนำไปใช้ในโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้แต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น และเมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าว และได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
2. ปตท. ได้เสนอสาระสำคัญและขั้นตอนวิธีการดำเนินโครงการฯ ตามมติของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ซึ่งสรุปได้ดังนี้
2.1 ปตท. จัดตั้งกองทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV เพื่อขยายการใช้ NGV จำนวน 5,000 ล้านบาท และเงินทุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสมทบกองทุนหมุนเวียนฯ อีกจำนวน 2,000 ล้านบาท ปตท.จะเบิกเงินเป็นรายเดือนตามรายละเอียดการจ่ายจริง
2.2 ปตท. เชิญธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้าร่วมในโครงการให้สินเชื่อแก่เจ้าของยานยนต์ซึ่งมีความประสงค์ที่จะดัดแปลง และ/หรือ ติดตั้งอุปกรณ์ใช้ NGV โดย ปตท. จะนำเงินเข้าฝากในบัญชีที่ปตท.เปิดไว้กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงินให้เพียงพอกับวงเงินสินเชื่อที่ ธนาคาร/สถาบันการเงิน นั้นปล่อยกู้เพื่อโครงการ NGV
2.3 ปตท. กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อร่วมกับธนาคาร/สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
2.4 ทำการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ในการเข้าร่วมโครงการ
2.5 ปตท. โอนเงินไปฝากไว้ในบัญชีให้แต่ละธนาคาร/สถาบันการเงินตามที่ธนาคาร/สถาบันการเงินแจ้งประมาณการปล่อยสินเชื่อ
2.6 ธนาคาร/สถาบันการเงินจะดำเนินการปล่อยสินเชื่อตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับ ปตท.
2.7 ปตท. จัดทำรายละเอียดการเบิกจ่ายเงินจากกองทุนพร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าการปล่อยสินเชื่อโครงการให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบทุกไตรมาส
2.8 ปตท. จะชำระคืนเงินกองทุนเป็นรายไตรมาส พร้อมอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงิน และการคืนเงินกองทุนฯ เป็นการประมาณการ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามการเบิกจ่ายจริง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามข้อเสนอโครงการที่ ปตท. เสนอ ทั้งนี้ หากกองทุนฯ มีปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางด้านการเงินในปีแรก ปตท. จะต้องจ่ายเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการใช้เงินของธนาคาร ด้วย
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการดังกล่าว เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
3. กองทุนฯ ต้องไม่มีความเสี่ยงใดๆ ในการปล่อยกู้ หากมีหนี้สูญ ปตท. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด
4. มอบหมายให้ ปตท. สนพ. และกรมบัญชีกลางหารือเรื่องรายละเอียดการเบิกจ่ายเงิน และการส่งเงินคืนกองทุนฯ โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนฯ ด้วย
5. มอบหมายให้ สนพ. ศึกษาความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในระยะยาวหากมีการส่งเสริมให้มีการใช้ NGV อย่างแพร่หลาย
กอ. ครั้งที่ 25 - วันพุธที่ 19 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25)
วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2544 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
3. มาตรการประหยัดน้ำมันและไฟฟ้าสาธารณะ
4. ขอความเห็นชอบโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
8. ขออนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
11. โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า จากการก่อวินาศกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ท่านนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์พลังงานมาก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้ออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กำหนดให้เพิ่มอัตราสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อภาวะฉุกเฉินจากเดิม 3% เป็น 5% ของการใช้ภายใน 30 วัน นอกจากนี้ ประธานแจ้งให้ทราบถึงการเปิดตัวโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ และได้สั่งการให้ สพช. และ บก. พิจารณาถึงแนวทางในการที่จะปรับปรุงระเบียบการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้มีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่ 1 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 ได้พิจารณาโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง ที่เทศบาลนครระยอง ได้ยื่นข้อเสนอโครงการฯ เพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ไปทำการสาธิตนำร่องในการจัดการกับขยะมูลฝอยของเทศบาลฯ ด้วยวิธีการคัดแยกขยะ การนำกลับไปใช้ใหม่ และการแปรรูปขยะให้เป็นก๊าซชีวภาพ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงาน เป็นต้น แต่เนื่องจาก
ที่ประชุมเห็นว่าข้อเสนอโครงการยังขาดความชัดเจนเรื่องเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และเนื่องจากจังหวัดระยองเคยได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำแผนรวมของการกำจัดขยะมูลฝอยรวมของจังหวัดแล้ว ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ฝ่ายเลขานุการฯ ตรวจสอบว่ามีความซ้ำซ้อนของแหล่งเงินทุนหรือไม่ และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว สามารถสรุปได้ว่าในปี 2541 เทศบาลฯ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงแหล่งฝังกลบขยะ ในเรื่องมลภาวะที่เกิดจากการจัดการขยะ สผ. จึงได้ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่เทศบาลฯ เป็นเงินจำนวน 38 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าปรับปรุงสถานที่ในการฝังกลบและจัดซื้อเครื่องจักรในการฝังกลบให้ถูกต้องตามลักษณะสุขาภิบาล ซึ่งพื้นที่ฝังกลบดังกล่าวนี้ จะสามารถใช้งานได้ไปอีกประมาณ 3-5 ปี ดังนั้น เพื่อยืดเวลาให้สามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวได้อีกประมาณ 15-20 ปี เทศบาลฯ จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนในพื้นที่คัดแยกขยะอย่างถูกวิธีและเหลือกลับไปฝังกลบในพื้นที่ ไม่เกิน 30% ของปริมาณเดิม ซึ่งจากศักยภาพของมูลฝอยรวม 1 ตัน สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 230 kWhr และจากที่คาดว่าโครงการนี้จะมีมูลฝอยอินทรีย์เข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย 60 ตันต่อวัน ดังนั้น โครงการนี้ เทศบาลฯ จึงได้เลือกใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Biogas Engine) ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 330 kW จำนวน 2 เครื่อง เพื่อใช้กับก๊าซชีวภาพที่ได้จากหลุมขยะของโครงการฯ โดยคาดว่ามูลฝอยอินทรีย์เข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย 60 ตันต่อวันหรือ 20,000 ตันต่อปี จะทำให้ได้ก๊าซชีวภาพ 2.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 5,100 MWhr/year สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมของโครงการฯ 1,000 MWhr/year และเหลือขายเข้าระบบจำหน่ายของการไฟฟ้า 4,100 MWhr/year
โครงการนี้นอกจากการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 142.86 ล้านบาท แล้ว ยังมีหน่วยงานอื่นๆ ที่ให้การช่วยเหลือทางด้านงบประมาณกับเทศบาลฯ ด้วย ดังนี้
(ล้านบาท)
หน่วยงานที่สนับสนุน | รายละเอียด | จำนวนเงิน |
(1) เทศบาลนครระยอง |
|
20.00
5.00 (ต่อปี) |
(2) มูลนิธิเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและพลังงาน |
|
3.00 |
(3) บริษัท Skanska สวีเดน และบริษัท Fortum ประเทศฟินแลนด์ |
|
7.35 3.00 35.00 |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงานให้ เทศบาลนครระยอง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง ในวงเงิน 142,858,283 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบสองล้านแปดแสนห้าหมื่นแปดพันสองร้อยแปดสิบสามบาทถ้วน) ประกอบด้วย
รายละเอียด | จำนวนเงิน (ล้านบาท) |
งบประมาณก่อสร้างและการบริหารโครงการ | 142.86 |
(1)ค่าก่อสร้างอาคารและระบบรับและคัดแยกมูลฝอย | 32.64 |
(2) ค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างระบบกระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจนและระบบผลิตกระแสไฟฟ้า | 96.20 |
(3)ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด (ให้นำมาใช้ได้ในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ โดยต้องขอความเห็นชอบจาก สพช. ก่อนเบิกจ่ายแต่ละครั้ง | 7.22 |
(4)ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ไม่เกินร้อยละ 5 ของวงเงินรวมที่ได้รับจากกองทุนฯ | 6.80 |
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ เทศบาลนครระยอง ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(1) ปรับเพิ่มสัดส่วนการร่วมลงทุนในส่วนที่เทศบาลฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนในส่วนของค่าใช้จ่ายเฉพาะในค่าก่อสร้างอาคารและระบบรับและคัดแยกมูลฝอย ค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างระบบกระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด (ซึ่งให้สามารถนำมาใช้ได้ในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ โดยต้องขอความเห็นชอบจาก สพช. ก่อนเบิกจ่ายแต่ละครั้ง ) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและจัดการ ที่กองทุนฯ จะให้การสนับสนุนไม่เกินวงเงินร้อยละ 5 ของวงเงินรวมที่กองทุนฯ จะให้การสนับสนุนโครงการฯ ทั้งนี้ เทศบาลนครระยอง จะต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งจำนวนในส่วนของงานปรับปรุงพื้นที่และระบบสาธารณูปโภค และค่าอุปกรณ์และเครื่องจักร
(2) เพื่อให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จและมีความยั่งยืนอย่างจริงจัง เทศบาลนครระยองต้องทำให้กองทุนฯ เชื่อมั่นได้ว่า เทศบาลนครระยอง ยืนยันที่จะสนับสนุนค่าบริหารงานภายหลังการก่อสร้างและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ปีละ 5 ล้านบาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี และหากเทศบาลนครระยอง ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามที่เสนอไว้ โดยไม่มีเหตุผลอันควร กองทุนฯ จำเป็นต้องขอสงวนสิทธิเรียกเงินสนับสนุนคืนจากเทศบาลนครระยอง ตามสัดส่วนที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควร และหรือออกหนังสือแจ้งเวียนไปยังหน่วยที่สามารถให้ทุนสนับสนุนในโครงการต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานนั้น ระงับหรือยกเว้นมิให้การสนับสนุน เทศบาลนครระยอง ต่อไป
(3) เทศบาลนครระยองควรให้เจ้าของเทคโนโลยีรับประกันการทำงานของระบบให้สามารถใช้งานได้ตามที่กำหนดไว้ โดยควรมีระยะเวลาประกัน 3 ปีนับจากวันที่การก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบระบบแล้วเสร็จ
(4) ในด้านการบริหารจัดการตามที่ เทศบาลนครระยอง จะจัดจ้าง มูลนิธิเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและพลังงาน เข้ามาบริหารจัดการโครงการฯ ซึ่งมูลนิธิฯ ยังต้องมีการจ้างเอกชนรายอื่นเข้ามาทำงานด้วยนั้น ในส่วนนี้เทศบาลนครระยอง ควรระบุวิธีการควบคุมตรวจสอบการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ให้มีผลงานไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นและกำหนดมาตรการกำกับดูแลที่ไม่ให้มูลนิธิฯ จ้างผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับมูลนิธิฯ มาเป็นผู้รับดำเนินงาน
(5) เพิ่มเติมรายละเอียดและแนวทางการมีส่วนร่วมของบุคลากรจากเทศบาลนครระยอง และมูลนิธิฯ ในการดำเนินงานโครงการฯ ตั้งแต่การออกแบบก่อสร้างระบบ รวมทั้งกำหนดแผนการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทเจ้าของเทคโนโลยีให้แก่บุคลากรในโครงการฯ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสามารถของบุคลากรภายในประเทศให้สามารถดำเนินโครงการฯ ในลักษณะเดียวกันได้ต่อไป
(6) เพิ่มเติมแนวทางในการบริหารจัดการภายหลังที่โครงการฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จให้เกิดความยั่งยืน โดยเฉพาะการกำหนดบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เทศบาลที่มีความรับผิดชอบโดยตรงในการบริหารจัดการมูลฝอย รวมทั้งการกำหนดแนวทางการดำเนินการ และกำหนดผู้รับผิดชอบในการพัฒนา การจัดเก็บค่าธรรมเนียม และการพัฒนาการตลาดเพื่อจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์และกระแสไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นเป้าหมายของเทคโนโลยีที่จะดำเนินการในโครงการฯ
(7) เพิ่มเติมรายละเอียดของผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของการจัดการวัสดุรีไซเคิลของทางเทศบาลฯ พร้อมทั้งระบุรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ในการคัดแยกขยะมูลฝอยตั้งแต่แหล่งกำเนิดจนถึงโรงคัดแยกขยะ เช่น การนำรูปแบบของการบริหารจัดการขยะซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการชุมชน/สังคมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว
ซึ่งหากทำได้สำเร็จจะช่วยเป็นแนวทางที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับแหล่งชุมชนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี และการกำหนดแนวทางการจัดการแยกขยะโดยชุมชนเกิดประสิทธิภาพและทำให้ชุมชนปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลแก่ชุมชนเพื่อให้ทราบถึงประโยชน์และผลกระทบทางบวกที่จะเกิดขึ้นเมื่อทุกคนช่วยกันแยกขยะที่บ้าน เปรียบเทียบกับวิธีที่ทิ้งขยะรวมดังที่เคยปฏิบัติอยู่เดิม
(8) เพิ่มเติมรายละเอียดการประเมินรายได้ที่คาดว่าจะได้รับในโครงการฯ เช่น ค่าธรรมเนียม จำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ จำหน่ายกระแสไฟฟ้า วัสดุรีไซเคิล และการประหยัดพลังงาน รวมทั้งระบุถึงข้อมูลที่มาของรายได้ที่จะใช้ในการบริหารโครงการฯ เนื่องจากค่าบริหารงานที่เทศบาลฯ ตั้งงบประมาณไว้ปีละ 5 ล้านบาท ถือเป็นภาระผูกพันของเทศบาลฯ ทั้งนี้รายได้ในการบริหารงานดังกล่าวอาจมาจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ วัสดุรีไซเคิล และกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการฯ นอกจากนี้ยังมีรายจ่ายอื่นๆ ที่จะต้องดำเนินการอีก เช่น การจัดอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การประชาสัมพันธ์ การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
(9) เพิ่มเติมรายละเอียดการคำนวณผลตอบแทนทางด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR) โดยต้องระบุถึงเงื่อนไขของการคิดผลประโยชน์และต้นทุนให้ชัดเจนว่ามาจากแหล่งข้อมูลใด พร้อมทั้งการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ก่อนการดำเนินโครงการ หากกฎหมายกำหนด
(10) เพิ่มเติมการจัดทำการประชาพิจารณ์โครงการฯ เพื่อประเมินการยอมรับของประชาชนในพื้นที่ตั้งโครงการฯ ก่อนลงนามในหนังสือยืนยันการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำโครงการฯ
(11) ระบุรายละเอียดของหน้าที่ ความรับผิดชอบของคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลด้านการบริหารโครงสร้างองค์กร และแยกการทำงานของคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลฯ ออกจากคณะดำเนินงานให้ชัดเจน นอกจากนี้ควรพิจารณาเพิ่มเติมตัวแทนจากจังหวัด องค์กรอิสระ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลฯ โดยเทศบาลนครระยองต้องมีรายงานการประชุมสรุปความเห็นของคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลฯ ที่มีต่อโครงการฯ เสนอต่อ สพช. ก่อนการเบิกจ่ายเงินงวด 1 จากกองทุนฯ
(12) หาก เทศบาลนครระยอง สามารถดำเนินการตามข้อ (1) ถึงข้อ (11) ได้ครบถ้วนแล้ว เทศบาลนครระยอง ต้องปรับแผนงานโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
1. มอบหมายให้ สพช. ดูแลเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำกับดูแลด้านการบริหารและปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความชัดเจน
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) ได้พิจารณา โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ โครงการนี้จะเป็นการช่วยเหลืองานโครงการเดิมที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน มก. ไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ในปี 2538 เพื่อเป็นค่าจัดซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 435 kW จำนวน 2 เครื่อง แต่เนื่องจากปริมาณก๊าซไม่เพียงพอกับความต้องการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยปัญหาเกิดจากระดับน้ำชะขยะสูงส่งผลให้ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีน้อยเกินไป ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มก. ได้พยายามศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพก๊าซชีวภาพที่ได้จากหลุมขยะ โดยได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น USEPA จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ณ บัดนี้ มก. มีความมั่นใจในปริมาณและคุณภาพก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้น ว่ามีปริมาณที่เพียงพอต่อการเป็นแหล่งพลังงาน ให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่ได้จัดซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2538 แล้ว
มก. จึงได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา แต่เนื่องจากที่ประชุมเห็นว่าโครงการนี้ยังมีความไม่ชัดเจนในเรื่องวิธีการขอรับการสนับสนุนจาก 2 แหล่งทุน ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปประสานงานกับ มก. ในวิธีการเจรจาเพื่อให้ได้รับเงินสนับสนุนจาก GEF และเนื่องจากโครงการนี้มีความเสี่ยงสูงด้านการประสานงานกับ 2 แหล่งทุน ซึ่งอาจเกิดปัญหาในเรื่องเงื่อนเวลาการอนุมัติให้ใช้จ่ายเงิน ดังนั้น มก. ควรแยกงานและเงินเป็นรายกิจกรรมให้ชัดเจน เพื่อมิให้มีการผูกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเข้ากับงบประมาณทั้งสองแหล่ง และให้ มก. พิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการนี้ถ้าจะเปลี่ยนที่ตั้งโรงไฟฟ้าให้มาอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งรวบรวมก๊าซแห่งใหม่ แทนการเดินท่อก๊าชไปยังโรงไฟฟ้า ณ สถานที่เดิม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานงานกับ มก. แล้ว และนำมาสรุปประเด็นการนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ดังนี้
(1) การแยกงานและเงินที่จะขอรับสนับสนุนจาก 2 แหล่งทุน
ในขณะนี้ มก. ได้ดำเนินการตามกระบวนการขอทุนสนับสนุนจาก GEF ไปเกือบจะถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว โดยผ่านความเห็นชอบจาก สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม และ GEF สำนักงานในประเทศไทย และปัจจุบันข้อเสนอโครงการฯ ได้ไปถึง GEF สำนักงานกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพี่อพิจารณาในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุดังกล่าว มก. จึงไม่สามารถนำเรื่องกลับมาเพื่อเปลี่ยนแปลงจำแนกกิจกรรมและรายการใช้จ่ายเงินมิให้มีการผูกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเข้ากับงบประมาณ ทั้งสองแหล่ง ตามที่คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นไว้ เพราะ GEF อาจต้องเริ่มต้นพิจารณาใหม่ และอาจส่งผลให้โครงการนี้ล่าช้าออกไป
(2) ความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการฯ
เมื่อประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยใช้ฐานอัตราค่าไฟฟ้าที่ มก. ได้ชำระให้กับการไฟฟ้าในช่วงต้นปี 2544 ในอัตราหน่วยละ 2.74 บาท โดยพิจารณาตามสมมติฐานในการวิเคราะห์และผลการวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ จาก 3 แนวทาง ดังตารางต่อไปนี้
การวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ (หน่วย = บาท) | |||
รายละเอียด | แนวทางที่ 1 | แนวทางที่ 2 | แนวทางที่ 3 |
สมมติฐานการวิเคราะห์ | |||
จำนวนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ติดตั้ง |
2 เครื่อง |
2 เครื่อง |
1 เครื่อง |
สถานที่ติดตั้งเครื่องปั่นไฟฟ้า |
ตั้งอยู่ใน มก. | ย้ายไปยังบริเวณ ที่ฝังกลบขยะ |
ย้ายไปยังบริเวณ ที่ฝังกลบขยะ |
หน่วยงานที่ขายไฟฟ้าให้ |
ขายให้ มก. | ขายให้ มก. | ขายให้ กฟภ. |
การวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ (มูลค่าปัจจุบัน, หน่วย= บาท) | |||
(1) รายรับ (Energy Revenue) | 211,509,498 | 211,509,498 | 61,754,598 |
(2) เงินลงทุน (Capital Investment) | 38,073,720 | 36,193,270 | 17,880,000 |
(3) ค่าใช้จ่าย (Operating Expense) | 99,488,512 | 99,488,512 | 21,934,766 |
(4) ผลประโยชน์สุทธิของการลงทุน | 73,947,266 | 75,827,716 | 21,939,832 |
คำนวณจาก (1) - (2+3) | |||
(5) เงินสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์ฯ | 17,880,000 | 16,000,000 | 17,880,000 |
(6) เงินสนับสนุนจาก GEF | 39,000,000 | 39,000,000 | 0 |
จากสมมติฐานข้างต้น เมื่อพิจารณาค่าผลประโยชน์สุทธิที่มีความเหมาะสมแล้ว ในการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการฯ ต่อไปแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรเสนอแนวทางดำเนินงานให้ มก. เรียงตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
(1) แนวทางที่ 2 เป็นแนวทางแรก โดย มก. ควรย้ายโรงไฟฟ้าไปติดตั้ง ณ บริเวณหลุมขยะ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มบริษัท 79 จำกัด แล้วเดินระบบสายส่งไฟฟ้าจากบริเวณหลุมขยะ มายังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
(2) แนวทางที่ 1 พิจารณานำมาใช้เมื่อ มก. ดำเนินงานตามแนวทางที่ 2 ดังกล่าวแล้ว เกิดปัญหาทางเทคนิคในการปักเสาพาดสายไฟฟ้าแรงสูง
(3) แนวทางที่ 3 จะเป็นทางเลือกในกรณีที่โครงการนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนจาก GEF
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ ในวงเงิน 17,880,000 บาท (สิบเจ็ดล้านแปดแสนแปดหมื่นบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขให้ มก. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาปรับค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม ตามที่ รศ.ประสงค์ อิงสุวรรณ ได้ให้ความเห็นไว้ (เอกสารแนบวาระ 4.5.3 หน้า 5-8)
(2) เพิ่มเติมข้อมูลของวิธีการจัดการฝังกลบขยะที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น การคัดแยกขยะ (Pre Process) การฝังกลบขยะเป็นชั้นๆ แล้วใช้พลาสติกหรือดินคลุมแยกระหว่างชั้น เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ไม่เกิดปัญหาในระหว่างการดำเนินโครงการฯ เหมือนในช่วงที่ผ่านมา มก. จะต้องดำเนินการฝังกลบขยะด้วยวิธีการที่ถูกต้องสำหรับหลุมขยะใหม่ พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการเปลี่ยนที่ตั้งโรงไฟฟ้าจากที่เดิมมาตั้งในบริเวณใกล้หลุมขยะแทน
(3) เนื่องจากโครงการฯ จะต้องมีการดำเนินการนานถึง 12 ปี ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการอีก 1 ชุด เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและอนุมัติงบประมาณประจำปี โดยคณะกรรมการฯ ดังกล่าวควรประกอบด้วยบุคลากรทั้งภายใน มก. และผู้แทนจากหน่วยงานภายนอก ที่เกี่ยวข้อง เช่น สพช. สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่หลุมฝังกลบตั้งอยู่ เป็นต้น
(4) เพิ่มเติมวิธีการที่จะทำให้สามารถรวบรวมก๊าซหลุมขยะได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากหลุมขยะจะเกิดก๊าซมากในช่วง 3-5 ปีแรก หลังจากนั้นจะน้อยลงเรื่อยๆ และการคาดเดา Performance ทำได้ยาก ซึ่งหากสัดส่วนของก๊าซมีเทนต่ำลงกว่าจุดที่จะเผาไหม้เองได้ จะต้องมีระบบทำให้ก๊าซบริสุทธิ์ขึ้นโดยการแยกคาร์บอนไดออกไซด์ออก และจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่ระบบทำความสะอาดก๊าซหลุมขยะในโครงการฯ ตามที่ออกแบบจะเป็นการแยกบ่อน้ำและกรองก๊าซหลุมขยะเท่านั้น ทำให้ก๊าซชีวภาพที่ได้ยังมีคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่เท่าเดิม
(5) เพิ่มเติมการเปรียบเทียบเทคโนโลยีที่สามารถใช้ประโยชน์จากหลุมขยะ และชี้แจงความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีของโครงการฯ เนื่องจากข้อมูลในต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าการผลิตก๊าซจากหลุมขยะใหม่ๆ ไม่เป็นที่น่าสนใจมากนักทางเศรษฐกิจ แต่จะให้ความสนใจในการใช้วิธีอื่นมากกว่า เช่น การแยกขยะตั้งแต่ต้นทางแล้วนำขยะอินทรีย์ไปหมักทำปุ๋ยซึ่งเป็นวิธีที่ดี มีประโยชน์และไม่เกิดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ นอกจากนี้กฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่ควบคุมการจัดการหลุมขยะ ก็เคร่งครัดมากขึ้นเรื่องๆ ทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างหลุมขยะสูงขึ้นด้วย
(6) เพิ่มเติมแผนการดำเนินการโครงการฯ หลังจากการติดตั้งระบบเสร็จสมบูรณ์พร้อมดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงแผนการจัดการกับผลประโยชน์ที่ได้จากการขายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการฯ ให้กับมหาวิทยาลัยภายหลังโครงการฯ สิ้นสุด โดยคณะทำงานที่ มก. จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าวอาจเปลี่ยนเป็นหน่วยงานในสังกัดของ มก. ดูแลในช่วงต่อไปเอง
(7) ตรวจสอบและยืนยันถึงหนังสือข้อตกลงต่างๆ ที่เคยจัดทำขึ้นในโครงการฯ เช่น หนังสือยินยอมการให้ใช้พื้นที่ของ กลุ่ม บริษัท 79 และหนังสือตกลงการรับซื้อไฟฟ้าของมหาวิทยาลัย เป็นต้น
(8) หาก มก. สามารถดำเนินการตามข้อ (1) ถึงข้อ (7) ได้ครบถ้วนแล้ว มก. ต้องปรับแผนงานโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
2. มอบหมายให้ สพช. ประสานงานกับ มก. ในการปรับปรุงประมาณการรายจ่ายและแนวทางดำเนินงาน โดยพิจารณาจากค่าผลประโยชน์สุทธิที่มีความเหมาะสมในการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการฯ ต่อไป ที่เรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้
(1) กรณีได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
แนวทางที่ 1 ให้ มก. ย้ายเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้ง 2 เครื่อง (435 kW x 2 ) ไปติดตั้ง ณ บริเวณหลุมขยะแห่งใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มบริษัท 79 จำกัด แล้วเดินระบบสายส่งไฟฟ้าจากบริเวณหลุมขยะ ไปใช้ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
แนวทางที่ 2 เมื่อ มก. ดำเนินงานตามแนวทางที่ 1 แล้ว เกิดปัญหาทางเทคนิคในการปักเสาพาดสายไฟฟ้าแรงสูง ก็ให้ มก. ตั้งเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้ง 2 เครื่อง (435 kW x 2 ) ไว้ ณ ที่บริเวณเดิม และผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ผลการประสานงานตามแนวทางที่ 1 หรือแนวทางที่ 2 ให้ สพช. เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาให้ความเห็นชอบ และ มก. ต้องแสดงหลักฐานต่อ สพช. เพื่อยืนยันการได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ก่อนลงนามในหนังสือยืนยันการรับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(2) กรณีที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
ให้ มก. ปรับแผนการดำเนินงานและค่าใช้จ่าย โดยนำเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ขนาด 435 kW จำนวน 1 เครื่อง ไปติดตั้งภายในบริเวณหลุมขยะ ในพื้นที่บริษัทกลุ่ม 79 เพื่อผลิตไฟฟ้าและขายไฟฟ้าให้กับระบบจำหน่ายของ กฟภ. แล้ว ให้ สพช. เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ
เรื่องที่ 3 มาตรการประหยัดน้ำมันและไฟฟ้าสาธารณะ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสถานการณ์น้ำมันโลก จึงใคร่ขอเสนอมาตรการเร่งด่วนที่ไม่รุนแรง เพื่อรวบรวมความเห็นจากคณะกรรมการฯ ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป ในการลดการใช้พลังงานที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที เพื่อรองรับวิกฤติการณ์ด้านพลังงานที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเสนอมาตรการออกเป็น 3 ประเภท คือ มาตรการรณรงค์ มาตรการบังคับ และมาตรการอื่น
มติที่ประชุม
1. ให้กรมบัญชีกลางออกระเบียบเพื่อบังคับให้รถในส่วนราชการทั้งหมดใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทน 91
2. ให้ฝ่ายเลขานุการจัดเตรียมข้อมูลของมาตรการต่างๆ ให้เป็นขั้นตอน โดยในขั้นต้นที่ประชุมได้เห็นชอบให้ดำเนินการในมาตรการต่างๆ ดังต่อไปนี้
ปิดสถานบริการน้ำมันในเขตเมือง ระหว่าง 24.00-05.00 น. แต่ยังคงให้เปิดสถานีบริการบนถนนสายหลักระหว่างเมืองได้
ปิดไฟป้ายโฆษณา ไฟส่องป้ายโฆษณา และไฟส่องตึก ภายหลังเวลา 24.00 น.
ปิดไฟถนนที่ไม่มีรถคับคั่งตลอดสาย และเปิดไฟถนนเฉพาะบริเวณทางแยก หลัง 24.00 น.
ปิดไฟสนามกอล์ฟหลัง 22.00 น.
ปิดห้างสรรพสินค้า ในช่วง 22.00 น.-10.00 น.
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้ หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม (ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่) มาตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปัจจุบัน นั้น กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 130,492,419 ล้านบาท โดยระบบทั้งหมดที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สามารถบำบัดน้ำเสียจากคอกสุกรได้ 300,000 ตัว ผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนเทียบเท่า LPG ได้ 153 ล้านกิโลกรัม หรือเทียบเท่าน้ำมันเตา 183 ล้านลิตร หรือสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 12.3 GWh/year
ผลการสำรวจและจัดทำแผนที่ไบโอก๊าซของประเทศไทย (Biogas Map) พบว่ามีฟาร์มขนาดใหญ่ ประมาณ 140 ฟาร์ม มีสุกรประมาณ 1.5 ล้านตัว มีศักยภาพที่จะติดตั้งระบบฯ ได้ประมาณ 200,000 ลบ.ม. และมีฟาร์มขนาดกลางจำนวน 1,600 ฟาร์ม มีสุกรประมาณ 2 ล้านตัว ที่ติดตั้งระบบฯ ได้ประมาณ 330,000 ลบ.ม. ซึ่งจะเห็นว่ายังมีฟาร์มเลี้ยงสัตว์อีกเป็นจำนวนมากที่สามารถเข้าไปส่งเสริมให้ติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพเพื่อช่วยแก้ปัญหาการจัดการน้ำเสีย และจะได้ก๊าซชีวภาพที่สามารถนำไปใช้ทดแทน LPG หรือนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย
มช. จึงได้เสนอโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 เพื่อขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ในวงเงิน 853,079,794 บาท โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินงานภายในเวลา 7 ปี และจะติดตั้งระบบเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ ให้สามารถรองรับของเสียจากสุกรขุนได้ถึง 2 ล้านตัว หรือคิดเป็น 70-80% ของปริมาณสุกรที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ และเนื่องจากปริมาณฟาร์มขนาดกลางนั้นมีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อให้การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเป็นไปได้ด้วยความคล่องตัว รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สนองตอบได้ทันต่อความต้องการของเจ้าของฟาร์ม มช. จึงได้แยกแผนงานออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ส่งเสริมในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ ส่วนที่ 2 ส่งเสริมในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลาง และส่วนที่ 3 การจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศ "Center of Execllence"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2544 (ครั้งที่ 54) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 เพื่อพิจารณาโครงการฯ แล้ว และเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่าการนำเสนอแผนงานของโครงการฯ ในระยะที่ 3 นี้ ยังขาดความชัดเจนในเรื่องแผนการดำเนินงานที่จะสะท้อนให้เห็นอนาคตของการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินงานในปีที่ 7 ว่าผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมด้านอื่นๆ ด้วย ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับเจ้าของโครงการฯ เพื่อทำให้ประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจน และเนื่องจาก มจธ. เป็นผู้ประเมินโครงการนี้ในระยะแรก ที่ประชุมจึง มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือ และสอบถามความเห็นจาก มจธ. ด้วย เพื่อให้โครงการฯ ระยะที่ 3 มีแผนงานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน ซึ่ง มช. ได้ทราบและนำไปปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ แล้ว ดังนี้
(1) ประเด็นด้านการเผยแพร่องค์ความรู้ ภายใต้โครงการนี้ มช. ได้วางแผนพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพไว้แล้ว ด้วยศักยภาพที่ มช. ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนฯ ให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง ทั้งในด้านโครงสร้างของบุคลากร อาคารสำนักงาน อาคารปฏิบัติการ เครื่องมือทดสอบ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ และงานเผยแพร่และส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพในกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน โดยได้ตั้งแผนปฏิบัติการที่จะเชิญชวนอาจารย์ในภาควิชาและคณะที่เกี่ยวข้องต่างๆ ทั้งในส่วนของความเกี่ยวข้องในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และในส่วนของการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเสริมของโครงการฯ มาร่วมเป็นที่ปรึกษาของโครงการฯ เพื่อที่จะทำให้โครงการฯ มีมุมมองของระบบความคิดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจะเปิดกว้างทั้งใน มช. และสถาบันอื่นๆ การดำเนินการดังกล่าว อาจก่อให้เกิดหัวข้อวิจัยให้กับนักศึกษา เพื่อสนับสนุนโครงการฯ ให้พัฒนาไปข้างหน้า ช่วยทำให้เกิดการเชื่อมโยงการร่วมมือกันทำงานระหว่างโครงการฯ กับคณะและภาควิชาต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
(2) ประเด็นการลดภาระหรือบทบาทของภาครัฐในการให้ทุนสนับสนุน มช. ได้แสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่กองทุนฯ ให้การสนับสนุนเจ้าของฟาร์มในแต่ละช่วงได้ลดลงเป็นลำดับ โดยในระยะที่ 1 ให้การสนับสนุน 47% ของเงินลงทุนก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพ ต่อมาในระยะที่ 2 ให้การสนับสนุน 33% ของเงินลงทุนก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพ และในระยะที่ 3 ให้การสนับสนุน 18% ของเงินลงทุนก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพ ซึ่งในอนาคต รัฐอาจปล่อยให้กลไกของการส่งเสริมเป็นไปตามระบบตลาด แต่หากมีแหล่งเงินทุนฯ ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ ก็จะเป็นมาตรการจูงใจให้เจ้าของฟาร์มเร่งตัดสินใจลงทุนติดตั้งระบบฯ ได้เร็วขึ้น ซึ่งส่งผลการประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับภาครัฐเร็วขึ้นเช่นกัน ทั้งค่าใช้จ่ายในด้านพลังงานและการรักษาสิ่งแวดล้อมกลไกการสร้างคน สร้างเอกชนมืออาชีพและมีคุณภาพ หรือการเผยแพร่เทคโนโลยีให้มีความเข้มแข็งในเชิงพาณิชย์ ที่จะนำไปสู่การลดภาระหรือบทบาทของภาครัฐในการให้ทุนสนับสนุน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ในวงเงิน 853,079,794 บาท (แปดร้อยห้าสิบสามล้านเจ็ดหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่บาทถ้วน) ประกอบด้วย
รายการ | ฟาร์มขนาดใหญ่ | ฟาร์มขนาดกลาง | รวม (บาท) |
งบจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศ |
85,664,000 | 85,664,000 | |
งบบริหารโครงการฯ งบสนับสนุนทีมที่ปรึกษาฟาร์มขนาดกลาง งบสนับสนุนค่าก่อสร้างและติดตั้งระบบแก่เกษตรกร |
201,957,000 - 146,640,000 |
117,618,794 132,000,000 169,200,000 |
319,575,794 132,000,000 315,840,000 |
งบประมาณรวมที่ขอรับการสนับสนุน |
348,597,000 | 418,818,794 | 853,079,794 |
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ มช. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังนี้
(1) ให้ มช. จำแนกค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ให้ชัดเจน โดยแบ่งเป็นงานในส่วนด้านการบริหารงาน และเป็นเงินสนับสนุนให้เจ้าของฟาร์มทางอ้อม เช่น ค่าบริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีของระบบฯ ค่าออกแบบระบบและค่าติดตามดูแลการทำงานของระบบฯ เป็นต้น เพื่อกองทุนฯ จะได้พิจารณาได้ว่า การใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ นั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่
(2) หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ ควรจะหารือกับผู้บริหารของ มช. เพื่อแสดงความมีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดย มช. อาจจะสามารถจัดสรรงบประมาณบางส่วนสมทบกับเงินของกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสำนักงานของโครงการฯ
(3) หาก มช. สามารถดำเนินการข้อ (1)-ข้อ (2) ได้ครบถ้วนแล้ว มช. ต้องปรับแผนงานโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีก
2. ให้ สพช. เสนอผลการดำเนินโครงการฯ เมื่อ มช. ดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสามารถของบุคลากรภาคปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม ให้มีความรู้ความสามารถทางวิศวกรรมศาสตร์ให้ดีขึ้น พร้อมทั้งนำความรู้ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับงานจริงให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การเรียนรู้ด้วยตนเอง การทำงานร่วมกับผู้อื่น การวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดผู้ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิตของพนักงานภาคปฏิบัติการในโรงงาน เพื่อพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) โดยโครงการนี้ใช้งบประมาณทั้งสิ้นในการดำเนินงาน จำนวน 71,281,830 บาท โดย มจธ. ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 21,371,010 บาท ส่วนที่เหลือบริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะให้การสนับสนุน
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์ และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2544 ให้ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม ในวงเงิน 21,371,010 บาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 มีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ สพช. บก. และ พพ.
สพช. บก. และ พพ. ได้ดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ที่ได้รับมอบหมายในปี 2544 โดยประมาณว่ามีค่าใช้จ่ายและเงินคงเหลือของปีงบประมาณ 2544 ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ดังนี้
หน่วย : บาท | ||||
งบประมาณ |
เบิกจ่ายแล้ว และประมาณว่าจะเบิกจ่ายทั้งสิ้น |
คงเหลือ |
||
สพช. | 143,405,720.00 | 141,174,683.08 | 2,231,036.92 | |
บก. | 646,320.00 | 520,565.05 | 125,754.95 | |
พพ. | 558,627,378.00 | 416,541,070.00 | 142,086,308.00 | |
รวม | 702,679,418.00 | 558,236,318.13 | 144,443,099.87 |
ดังนั้นเพื่อให้ สพช. บก. และ พพ. สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบตามแผนอนุรักษ์พลังงานได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2545 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2545 ในโครงการบริหารงานตามกฎหมาย โดยฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำงบประมาณรายจ่ายฯ ของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณากลั่นกรอง ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ในการประชุมครั้งที่ 12/2544 (ครั้งที่ 86) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2545 ของ สพช. บก. และ พพ. โดยสรุปได้ดังนี้
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2545
หน่วย : บาท
สพช. | บก. | พพ. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 4,093,680 | 410,640 | 24,618,480 | 29,122,800 |
2. ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ | 13,343,960 | 418,330 | 25,944,310 | 39,706,600 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 4,400,000 | - | 5,901,520 | 10,301,520 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง | 3,681,100 | 146,000 | 15,256,610 | 19,083,710 |
5. รายจ่ายอื่น | 124,304,020 | - | 333,808,200 | 458,112,220 |
รวม | 149,822,760 | 974,970 | 405,529,120 | 556,326,850 |
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอนำงบประมาณรายจ่ายของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. บก. และ พพ. ในปีงบประมาณ 2545 ดังนี้
1. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ สพช. ในวงเงิน 149,822,760 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าล้านแปดแสนสองหมื่นสองพันเจ็ดร้อยหกสิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก. ในวงเงิน 974,970 บาท (เก้าแสนเจ็ดหมื่นสี่พันเก้าร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ พพ. ในวงเงิน 405,529,120 บาท (สี่ร้อยห้าล้านห้าแสนสองหมื่นเก้าพันหนึ่งร้อยยี่สิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ สพช. บก. และ พพ. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2545 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ที่มีสาระสำคัญว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติแล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการของแต่ละโครงการ บางครั้งจะพบกับปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงาน โดยเจ้าของโครงการฯ ไม่มีเจตนาที่จะไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดของโครงการฯ และการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ซึ่งการปรับแผนของโครงการฯ ในแต่ละครั้ง จะต้องขออนุมัติการเปลี่ยนแปลง
ตามลำดับขั้นตอน ด้วยการเสนอคณะอนุกรรมการฯ และหรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน เจ้าของโครงการฯ จึงจะดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นการใช้ระยะเวลาพอสมควร อาจส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโครงการฯ โดยภาพรวม
ในช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้อนุมัติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน(ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ จำนวน 11 ราย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นเป็นกรณีพิเศษหรือเร่งด่วน (Fast Track) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,260.54 ล้านบาท และได้อนุมัติให้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) บริหารงานในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน แล้ว 7 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 21.4 ล้านบาท แต่เนื่องจากหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการ Fast Track หลายหน่วยงานได้ว่าจ้าง IA เพื่อบริหารโครงการฯ แล้ว และมีความเป็นไปได้ว่ามี IA บางแห่ง ดำเนินงานไม่แล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จะขอขยายระยะเวลาการจ้างออกไปอีก ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการ Fast Track มีเพื่อความคล่องตัว คณะอนุกรรมการฯ จึงเสนอให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจอนุมัติในเรื่องดังกล่าว
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2544 พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการ Fast Track เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีความคล่องตัว ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานเป็นกรณีพิเศษ (Fast Track) เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารงาน ในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในโครงการ Fast Track โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้อธิบดี พพ. มีอำนาจอนุมัติให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานเป็นกรณีพิเศษ (Fast Track) เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารงานในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ในโครงการ Fast Track โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เสนอ
2. อธิบดี พพ. ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ทราบหรือรับรองการอนุมัติของอธิบดี พพ. ในการประชุมเป็นคราวๆ ไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 118 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 768,356.60 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงิน 13,933,056 บาท และ พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 20) เมื่อวันพุธที่ 5 กันยายน 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. นำไปจัดสรรให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในวงเงิน 13,933,056 บาท (สิบสามล้านเก้าแสนสามหมื่นสามพันห้าสิบหกบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. นำไปจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในวงเงิน 13,933,056 บาท (สิบสามล้านเก้าแสนสามหมื่นสามพันห้าสิบหกบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2541 จึงได้มีมติอนุมัติให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลงและอนุมัติให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุด มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด ที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการที่ได้กำหนดไว้ในรายละเอียดข้อเสนอของแต่ละโครงการ บางครั้งเจ้าของโครงการฯ จะพบกับปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงาน โดยเจ้าของโครงการฯ ไม่มีเจตนาที่จะไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดของโครงการฯ และการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง เช่น โครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากระบบบำบัดน้ำเสียแบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ชนิดไม่ใช้อากาศ และโครงการศึกษาการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้เซลล์เชื้อเพลิงแบบเกลือคาร์บอเนตหลอม ซึ่งดำเนินการโดย มจธ. และการดำเนินงานของทั้ง 2 โครงการ เกิดปัญหาอุปสรรคในระหว่างดำเนินโครงการฯ มจธ. จึงขอปรับแผนการดำเนินโครงการทั้ง 2 โครงการ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 และครั้งที่ 9/2544 ตามลำดับ โดยผลจากการเปลี่ยนแปลงแผนการดำเนินงานของทั้ง 2 โครงการ ไม่กระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติ แต่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในกรณีเช่นนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ มิได้มอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุดมีอำนาจอนุมัติการเปลี่ยนแปลงไว้
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงแผนงานของทั้ง 2 โครงการ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้มีความเห็นชอบไว้ดังกล่าวแล้ว และขออำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของโครงการฯ จากคณะกรรมการกองทุนฯ เพิ่มเติม โดยให้คณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง หรือหากผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ก็ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ และรายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมเป็นคราวๆ ไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบและอนุมัติให้ มจธ. เปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน โครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากระบบบำบัดน้ำเสียแบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ชนิดไม่ใช้อากาศ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบไว้
2. รับทราบและอนุมัติให้ มจธ. เปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน โครงการศึกษาการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้เซลล์เชื้อเพลิงแบบเกลือคาร์บอเนตหลอม ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2544 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบไว้
3. มอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) ให้มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด ที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
(2) ให้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับ ดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด เป็นกรณีๆ ดังต่อไปนี้
(2.1) การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง ทั้งกรณีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป
(2.2) การเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ผลที่ คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง กรณีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ และกรณีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป ให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองเพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
(2.3) การเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และทำหรือไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง กรณีวงเงินรวมหลังเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ และกรณีมีวงเงินรวมหลังเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป ให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองเพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
กรณีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมเป็นคราวๆ ไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 129 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 739,483 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่ง พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2544 และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เป็นเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในวงเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอ
เรื่องที่ 11 โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 ได้เห็นชอบในข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการยื่นข้อเสนอที่ สพช. กำหนดใน "เอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" และมอบหมายให้ "คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือแต่งตั้งขึ้น ทำหน้าที่ประเมินข้อเสนอทั้งทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงิน สพช. จึงได้มีประกาศลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 เรื่อง การสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อเชิญชวนให้ผู้สนใจลงทุนและ SPP ที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบหรือใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ได้ยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีกำหนดเวลาให้ผู้สนใจติดต่อขอซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ได้ที่ อาคารสำนักงาน สพช. ระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 ถึง 17 สิงหาคม 2544 และกำหนดยื่นซองข้อเสนอต่อ สพช. ในวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ระหว่างเวลา 13.00-16.30 น.
เมื่อครบกำหนดวันที่ 17 สิงหาคม 2544 แล้ว ปรากฏว่ามีผู้สนใจซื้อเอกสารเชิญชวนฯ รวมทั้งสิ้น 66 ชุด ประกอบด้วยผู้สนใจทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวม 49 ราย แต่เนื่องจากมีผู้สนใจลงทุนหลายรายที่ไม่สามารถซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ได้ทันภายในวันที่ 17 สิงหาคม 2544 ดังนั้น คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน จึงได้มีการประชุมร่วมกัน เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2544 ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 3 อาคาร สพช. เพื่อหารือในประเด็นดังกล่าว และที่ประชุมมีความเห็นว่าเพื่อเปิดโอกาสให้มีผู้สนใจลงทุนสามารถยื่นข้อเสนอได้มากรายยิ่งขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม จึงเห็นควรให้มีการขยายระยะเวลาการขอซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ออกไปจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2544
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นอนุมัติให้มีการขยายระยะเวลาการขอซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ออกไปจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2544 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
กอ. ครั้งที่ 26 - วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26)
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2544 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
2. ความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3. โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
6. โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในวงเงิน 90 ล้านบาท (เก้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำการวิจัยในเรื่องการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ขึ้นในประเทศไทย ตลอดจนวิธีการประกอบแผง การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขนาดย่อมเชิงสาธิต (Pilot Plant) โดยมีประมาณการผลิตที่ 150 kW เป็นแนวทางการผลิตเต็มรูปแบบในเชิงพาณิชย์ และเผยแพร่สู่สาธารณชนต่อไปในอนาคต
การดำเนินงานของโครงการดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมานั้น มีความล่าช้าและไม่เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ แต่ สวทช. ได้ดำเนินการปรับแผนการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวให้สอดคล้องกับสถานภาพของโครงการ ในปัจจุบันแล้ว โดยในปัจจุบันนี้ สวทช. ได้ทำการทดลองผลิตเซลล์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิกอน และสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของเซลล์ได้ที่ระดับ 7.3 % และ สวทช. คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้ถึง 10% โดย สวทช. ได้ใช้จ่ายเงินลงทุนไปในโครงการนี้ไปแล้วทั้งสิ้น 148 ล้านบาท ประกอบด้วยงบประมาณจาก สวทช. 58 ล้านบาท และงบสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าครุภัณฑ์และวัสดุประกอบการผลิตเซลล์ 90 ล้านบาท
เนื่องจาก สวทช. ประสบปัญหาที่ไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อนำมาสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานที่ได้เคยเสนอไว้กับกองทุนฯ ทำให้ สวทช. ไม่สามารถจัดซื้อวัสดุที่จำเป็นเพื่อนำมาวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ได้ทั้งหมด สวทช. จึงได้มีหนังสือที่ วว 5201/2619 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2544 เพื่อขอปรับแผนการดำเนินงานโดย สวทช. จะขอทำการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์แล้วจะร่วมมือกับ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และกรมโยธาธิการ ในการนำไปติดตั้งทดสอบการใช้งาน โดยในการปรับแผนงานครั้งนี้ สวทช. ขอเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 29,587,500 บาท (ยี่สิบเก้าล้านห้าแสน แปดหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สวทช. พพ. และ กรมโยธาธิการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมร่วมกับผู้แทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 ณ อาคารสำนักงาน สพช. เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยสรุปความเห็นของที่ประชุมได้ดังนี้
1. ที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันว่า แม้นว่าเซลล์แสงอาทิตย์ที่ สวทช. เลือกผลิตนั้น เป็นเซลล์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิกอน ซึ่งมีเทคโนโลยีแบบฟิล์มบางแบบอื่นที่น่าสนใจมากกว่า เช่น Copper Indium Diselenide (CIS) และมีแนวโน้มจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเทคโนโลยีที่ สวทช. พัฒนาอยู่ก็ตาม แต่การที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน สวทช. เพื่อพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ตามเทคโนโลยีที่ สวทช. เลือกใช้ นั้น ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของการสร้างภูมิความรู้ในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทย โดย สวทช. สามารถ ออกแบบสภาพเครื่องจักรและดำเนินการประกอบเครื่องจักรได้เอง นอกจากนี้โครงการนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากรด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อรองรับงานวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ในอนาคตอีกด้วย
2. ที่ประชุมได้มีความเห็นเพื่อให้ สวทช. นำไปปรับปรุงรายละเอียดของแนวทางและวิธีการดำเนินงานศึกษาวิจัยให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ดังนี้
(1) กองทุนฯ ควรให้การสนับสนุนโครงการวิจัยนี้ โดยสนับสนุนเพียงเฉพาะในส่วนของค่าวัสดุในการวิจัยและพัฒนา และ สวทช. ควรพยายามเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีในประเทศไทยก่อน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาที่ต้องใช้ไปในการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศ
(2) นักวิจัยที่เป็นพนักงานของ สวทช. และได้รับผลตอบแทนจาก สวทช. อยู่แล้ว ไม่ควรได้รับค่าตอบแทนจากโครงการนี้เพิ่มเติม แต่ในส่วนของลูกจ้างชั่วคราวมีสัญญาเป็นรายปีซึ่งมีหน้าที่ดูแลการทำงานของเครื่องจักรและกระบวนการผลิต ประกอบกับ สวทช. มีพนักงานเพียง 2 คน เท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะดำเนินโครงการฯ ได้ ดังนั้น ที่ประชุมเห็นควรให้มีการว่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้
(3) ควรสนับสนุนให้มีการนำเซลล์ที่ สวทช. ผลิตได้ไปติดตั้งทดสอบการใช้งาน แม้ว่าจะไม่ได้มีการทดสอบอายุการใช้งานอย่างแน่ชัด เพื่อจะได้มีการเก็บข้อมูลและวัดประสิทธิภาพเพื่อนำไปสู่การวิจัยและพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงขึ้นต่อไปในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม สวทช. ต้องมีแผนงานการดำเนินงาน ในแต่ละขั้นตอนที่ชัดเจน และในขั้นต้นนี้ก่อนที่ สวทช. จะนำเซลล์ที่ผลิตได้ส่งมอบให้ พพ. และกรมโยธาธิการ นำไปใช้งานนั้น สวทช. ต้องมีการทดสอบเซลล์แสงอาทิตย์นั้นให้เป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานเซลล์แสงอาทิตย์ของประเทศไทย ที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน สวทช. เป็นผู้รวบรวมและจัดทำข้อกำหนดมาตรฐานดังกล่าวไว้แล้วด้วย
(4) สวทช. ควรร่วมกับหน่วยงานต่างๆ นำเซลล์ที่ผลิตได้ในโครงการฯ ไปใช้ โดยในขั้นแรกอาจร่วมงานกับ พพ. และ กรมโยธาธิการ ก่อนได้ โดยทางหน่วยงานที่ทำการติดตั้งจะต้องบันทึกและประเมินผลเซลล์แสงอาทิตย์ของโครงการฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นข้อมูลในการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ของโครงการฯ ต่อไป
(5) สวทช. ควรปรับปรุงรายละเอียดของโครงการฯ ที่เสนอมาให้มีความชัดเจน ทั้งในด้านแผนงาน ขั้นตอน กิจกรรม กำหนดเวลาและเงื่อนไขต่างๆ ในการดำเนินงานวิจัย การผลิตต้นแบบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ การติดตั้งสาธิต ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการฯ วิธีการตรวจวัด วิธีการประเมินผล โครงสร้างการบริหาร แนวทางการบริหาร การประสานงานและการควบคุมงบประมาณ ระหว่าง สวทช. และหน่วยงานที่จะดำเนินการติดตั้งทดสอบ โดย สวทช. ควรกำหนดแผนที่มีความรอบคอบและรัดกุมในทุกๆ ด้าน และมีรายละเอียดที่ชัดเจนมากกว่าที่เสนอมา
ฝ่ายเลขานุการฯ จะประสานงานกับ สวทช. เพื่อปรับปรุงรายละเอียดของแผนงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของที่ประชุมดังกล่าว และจะได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2544 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,278.90 ล้านบาท
การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระหว่างปีงบประมาณ 2538 - 2544 ได้มีการใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้วรวมทั้งสิ้น 11,531.40 ล้านบาท ซึ่งผลที่ได้รับนั้น เฉพาะในส่วนงานโครงการอาคารของรัฐ และโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ซึ่งคาดว่าจะลดการใช้พลังงานลงได้ คิดเป็นเงินประมาณ 812.93 ล้านบาท/ปี และชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,844.5 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นจำนวนเงินได้ เช่น การสร้างเสริมประสบการณ์และให้ความรู้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมและชำนาญการทางเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น การปลูกจิตสำนึกให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
นอกจากนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าผลการประเมินการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1 ปีงบประมาณ 2538-2542 ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการจะจัดสัมมนาเพื่อระดมความคิดเห็นก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ สพช. ได้รับมอบหมายให้ทำการรณรงค์ ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน และมีความเห็นว่ามาตรการปิดถนนบางส่วน ในบางช่วงเวลาในเขตกรุงเทพมหานครเป็นมาตรการที่สามารถลดการใช้พลังงานลงได้ และ สพช. ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญ และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือและพิจารณาถึงความเป็นไปได้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปิดถนนบางส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จัดทำแผนการดำเนินงานและให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการ เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณารายละเอียดการดำเนินงานของโครงการและกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างรัดกุมและคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินการโครงการ
มจธ. ได้ยื่นข้อเสนอโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อ ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 37,156,820 บาท ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อเสนอโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 14/2544 (ครั้งที่ 88) ที่ประชุมได้พิจารณาในรายละเอียดของโครงการแล้วเห็นว่าควรปรับกิจกรรมการประชาสัมพันธ์ให้เหมาะสมเนื่องจากลักษณะของพื้นที่สามารถทำการโฆษณาในรูปแบบของการบอกต่อได้ และสำหรับกิจกรรมที่จะมีตลอดแนวพื้นที่ปิดถนนนั้น ควรจะสนับสนุนเรื่องการประหยัดพลังงานด้วย เช่น มีการขายของที่ประหยัดพลังงานหรือขายอาหารที่เน้นการบริโภคแบบประหยัดพลังงาน ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ที่วัดผลได้ทั้งในด้านพลังงานและลดมลพิษ โดยคาดว่าจะได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจในพื้นที่เป็นอย่างดี และเห็นว่าโครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเห็นความสำคัญในการลดการใช้ยานพาหนะส่วนบุคคล โดยหันมาเดินทางโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ จักรยานและการเดินทางด้วยเท้า เพื่อประหยัดน้ำมันและลดมลพิษในท้องถนน จึงมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ เห็นควรให้ มจธ. ปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเป็น 10% โดยไม่เห็นควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทัศนศึกษา จึงทำให้ งบประมาณในการดำเนินงานโครงการลดลง เป็นภายในวงเงิน 33,073,000 บาท และให้นำเสนอ คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ซึ่ง มจธ. ได้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบไว้แล้วสำหรับแผนงานสนับสนุน ในส่วนของงบประมาณปี 2545 ให้กับ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและส่งเสริมการท่องเที่ยว ในวงเงิน 33,073,000 บาท โดยให้ มจธ. ทำรายละเอียดการดำเนินงานเสนอคณะอนุกรรมการอำนวยการโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม ครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และมอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการ ในปีงบประมาณ 2543-2547 ซึ่งมีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย โดยโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ได้รับจัดสรรงบประมาณ ในวงเงิน 13,542 ล้านบาท
จากผลการดำเนินโครงการฯ ของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ที่ผ่านมามีปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่ทำให้การดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุมและโรงงานควบคุมไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วงที่ผ่านมานั้น พพ. ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ไปบ้างแล้วบางส่วน ดังนี้
1. ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้ศึกษาถึงแนวทางปรับปรุงและแก้ไขกฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ระเบียบการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อเอื้อให้การดำเนินงานของ พพ. มีความคล่องตัวมากขึ้น และได้มีการจัดประชุมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้วหลายครั้ง คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายนนี้
2. ปรับปรุงขั้นตอนและแยกสิทธิในการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ออกจากการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานตาม พ.ร.บ.ฯ ให้ชัดเจน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในครั้งนี้ด้วย
3. ว่าจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ
พพ. ได้ดำเนินการปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ปีงบประมาณ 2545-2547 เพื่อให้สอดคล้องในทางปฏิบัติและสามารถบรรลุตามเป้าหมายของโครงการที่ตั้งไว้ในแต่ละปี โดย พพ. ได้นำแผนดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 21) เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2544 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป โดยการปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ปีงบประมาณ 2545-2547 สรุปได้ดังนี้
1. แผนการดำเนินงานที่ปรับปรุงใหม่ในส่วนของอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2545-2547
การดำเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ | ปี 2545 | ปี 2546 | ปี 2547 | รวม 2545-2547 | ||||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
(1). การตรวจสอบฯ เบื้องต้น | 160 | 43.0 | 50 | 17.0 | 50 | 17.0 | 260 | 77.0 |
- เอกชน | 115 | 11.5 | 30 | 3.0 | 30 | 3.0 | 175 | 17.5 |
- ราชการ | 45 | 31.5 | 20 | 14.0 | 20 | 14.0 | 85 | 59.5 |
(2). การจัดทำเป้าหมายและแผนฯ | 220 | 258.2 | 200 | 230.0 | 72 | 58.4 | 490 | 546.6 |
- เอกชน | 106 | 53.0 | 100 | 50.0 | 52 | 26.0 | 258 | 129.0 |
- ราชการ | 114 | 205.2 | 100 | 180.0 | 18 | 32.4 | 232 | 417.6 |
(3) การลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | 60 | 770.0 | 150 | 1,990.0 | 150 | 1,990.0 | 360 | 4,750.0 |
- เอกชน | 10 | 20.0 | 20 | 40.0 | 20 | 40 | 50 | 100.0 |
- ราชการ | 50 | 750.0 | 130 | 1,950.0 | 130 | 1,950.0 | 310 | 4,650.0 |
(4). การบริหารและสนับสนุนโครงการ | - | 155.0 | - | 205.0 | - | 135.0 | - | 495.0 |
รวม | - | 1,226.2 | - | 2,442.0 | - | 2,200.4 | - | 5,868.6 |
2. แผนการดำเนินงานที่ปรับปรุงใหม่ในส่วนของโรงงานควบคุม ปีงบประมาณ 2545-2547
การดำเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ | ปี 2545 | ปี 2546 | ปี 2547 | รวม 2545-2547 | ||||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
(1) การตรวจสอบฯ เบื้องต้น | 400 | 40 | 230 | 23 | 50 | 5 | 680 | 68 |
(2) การจัดทำเป้าหมายและแผนฯ | 152 | 76 | 150 | 75 | 200 | 100 | 502 | 251 |
(3) การลงทุนตามแผนฯ | 25 | 150 | 75 | 450 | 80 | 480 | 180 | 1,080 |
(4) การบริหารและสนับสนุนโครงการ | - | 1,185 | - | 1,095 | - | 115 | - | 2,395 |
รวม | - | 1,451 | - | 1,643 | - | 700 | - | 3,794 |
โดยมีกลยุทธ์ในการดำเนินการตามแผนที่ปรับปรุงใหม่ มีดังนี้
(1) ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับว่าประหยัดพลังงานได้จริงและคุ้มค่าต่อการลงทุน (Standard Measure)
(2) ศึกษาการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนให้เป็นแหล่งเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ
(3) ส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจประเภทบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO)
(4) เร่งรัดโครงการอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีพิเศษ (Fast Track) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
(5) ให้มีการนำมาตรฐานการอนุรักษ์พลังงานไปใช้ในการออกแบบก่อสร้างอาคารของภาครัฐ
(6) ส่งเสริมการสาธิตโรงงานต้นแบบด้านอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรมแต่ละประเภท (Best Practice)
(7) เร่งรัดให้มีการใช้มาตรการลงโทษตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ฯ ตลอดจนให้มีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้า
(8) สนับสนุนให้มีการประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อกระตุ้นให้อาคารและโรงงานควบคุมดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน
(9) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้มีความเหมาะสมและจูงใจมากขึ้น
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ พพ. ปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในปีงบประมาณ 2545-2547 ได้ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เสนอมา
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การดำเนินงานตามวิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุนโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ที่ผ่านมาก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ พพ. จึงได้ดำเนินการปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อให้มีการแยกหน้าที่ที่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติและสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ โดย พพ. ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 20) เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2544 ดังนี้
1. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุน สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน แผนงานภาคบังคับ โดยกำหนดให้เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม สามารถดำเนินการตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ได้แก่ การส่งรายงานผลการศึกษาการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้ พพ. ได้ก่อน แล้วจึงขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในภายหลังภายในระยะเวลาที่กำหนด
2. ในการดำเนินการตามข้อ 1. จะต้องนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อขอยกเว้นการใช้เอกสารแบบคำขอรับการสนับสนุนและหนังสือยืนยันการขอรับการสนับสนุน ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 11 และข้อ 16 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2539 ข้อ 4
3. ขอให้ใช้แผนการใช้จ่ายเงินประจำแต่ละงวดของปี ในการเบิกจ่ายเงินจากกรมบัญชีกลางแทนมติการอนุมัติแบบคำขอรับการสนับสนุนตามวิธีปฏิบัติเดิม เพื่อให้มีความคล่องตัวมากขึ้น
4. ขอยกเลิกการจ่ายเงินสนับสนุนสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใชัพลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานจากเดิม ที่ให้แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ให้เป็นการจ่ายเงินเพียงงวดเดียว
5. ในกรณีที่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้ยื่นแบบคำขอรับการสนับสนุนไว้ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติให้ดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่แล้ว ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามระเบียบและขั้นตอนเดิมจนกว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จ หรือจะดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่ก็ได้
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีมติเห็นชอบตามที่ พพ. เสนอและให้ พพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547 ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ
2. เห็นชอบให้ พพ. ยกเว้นการใช้เอกสารแบบคำขอรับการสนับสนุนและหนังสือยืนยันการขอรับการสนับสนุน สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 11 และข้อ 16 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2539 ข้อ 4
3. เห็นชอบให้ พพ. ใช้แผนการใช้จ่ายเงินประจำแต่ละงวดของปี ในการเบิกจ่ายเงินจากกรมบัญชีกลางแทนมติการอนุมัติแบบคำขอรับการสนับสนุนตามวิธีปฏิบัติเดิม
4. เห็นชอบให้ พพ. ยกเลิกการจ่ายเงินสนับสนุนสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใชัพลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน จากเดิมที่ให้แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ให้เป็นการจ่ายเงินเพียงงวดเดียว
5. ในกรณีที่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้ยื่นแบบคำขอรับการสนับสนุนไว้ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติให้ดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่แล้ว ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามระเบียบและขั้นตอนเดิมจนกว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จ หรือจะดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่ก็ได้
เรื่องที่ 6 โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (The Industrial Finance Corporation of Thailand : IFCT) ได้นำเสนอโครงการกองทุนหมุนเวียนอนุรักษ์พลังงาน โดยจะเข้ามารับบริหารเงินกองทุนหมุนเวียนเพื่ออนุรักษ์พลังงาน จำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในโครงการอนุรักษ์พลังงานและจ่ายคืนกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามระยะเวลาที่กำหนด โดยมีหลักการดังต่อไปนี้
1. IFCT เป็นผู้พิจารณาและอนุมัติเงินกู้ตามกรอบ/หลักเกณฑ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ
2. IFCT เป็นผู้ประกันความเสี่ยงเงินกู้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. IFCT คิดค่าบริหารเป็นจำนวน ร้อยละ 4 โดยเก็บจากผู้กู้ในลักษณะดอกเบี้ย และมีอายุเงินกู้ไม่เกิน 7 ปี
4. IFCT จะขอเบิกเงินเป็นงวดๆ โดยเริ่มจากงวดแรก 500 ล้านบาท และจะขอเบิกงวด ต่อไป หลังจากที่ได้มีการจัดสรรเงินกู้ไปแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 เพื่อมาสมทบ
5. IFCT จะส่งคืนดอกเบี้ยเงินฝากคืนกองทุนฯ เฉพาะในส่วนของเงินที่ยังมิได้จัดสรรให้ เจ้าของโรงงานและอาคารไปใช้ และในส่วนของเงินที่เก็บคืนมาแล้วจากผู้กู้
6. โครงการที่มีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุน ต้องเป็นโครงการอนุรักษ์พลังงานที่มีวงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท หากเกินวงเงินดังกล่าว IFCT ต้องขออนุมัติจากคณะอนุกรรมการฯ ก่อน
พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 20) เมื่อวันพุธที่ 5 กันยายน 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติให้จัดตั้งโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน เพื่อเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยใช้เงินโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) ระยะเวลา 3 ปี โดยที่ประชุมมีข้อสังเกต ดังนี้
1. การตั้งโครงการกองทุนหมุนเวียน ไม่น่าจะสามารถดำเนินการได้ ตามมาตรา 24 ของ พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดังนั้น จึงสมควรให้เปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการเงินหมุนเวียน"
2. โครงการฯ ดังกล่าวนี้เป็นโครงการที่ดีสมควรจะดำเนินการ แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานมากขึ้น จึงควรให้สถาบันการเงินต่างๆ มีโอกาสเข้ามาแข่งขันเพื่อบริหารโครงการมากขึ้น โดยให้ พพ. เชิญสถาบันการเงินอื่นๆ นอกเหนือจาก IFCT อย่างเป็นทางการเพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางของ IFCT และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันที่มีข้อเสนอโครงการฯ ดีที่สุดเป็นผู้บริหารโครงการ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. ให้จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอมา โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ พพ. เสนอซึ่งอาจจะมากว่า 1 แห่งมาเป็นตัวแทนในการปล่อยเงินกู้ เรียกเก็บ และประกันเงินกู้ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว ให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบครอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
2. อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือก นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ
อนุ กอ. ครั้งที่ 3 - วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2549 (ครั้งที่ 3)
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. เห็นชอบผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ปีที่ 2 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 3
2. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 1 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 2
3. พิจารณาการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
4. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เรียนให้ที่ประชุมทราบว่า ตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 หมวด 4 มาตรา 27 ที่ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ร่วมเป็นเป็นกรรมการ ให้มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ และด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 7 ท่าน ได้หมดวาระลง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้จัดทำรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่เสนอรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล) ประธานกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 โดยมีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว ตามรายนามดังต่อไปนี้
(1) นายปิยะวัติ บุญ-หลง
(2) นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์
(3) นายกฤษณพงศ์ กีรติกร
(4) นายอรรจน์ เศรษฐบุตร
(5) นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์
(6) คุณพรทิพย์ จาละ
(7) นายพรายพล คุ้มทรัพย์
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทราบแล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานของ "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2444 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ในวงเงินรวม 853,079,794 บาท มีเป้าหมายดำเนินงานภายในเวลาระยะเวลา 8 ปี (มิถุนายน 2545 ถึงธันวาคม 2553) จะติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพให้สามารถรองรับของเสียจากสุกรขุนได้ 2 ล้านตัว หรือคิดเป็น 70-80% ของปริมาณสุกรที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลงานแต่ละปี ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ทราบและเห็นชอบก่อนเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในปีถัดไป
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 7/2547 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2547 ได้รับทราบผลงานปีที่ 1 และเห็นชอบให้ สนพ.เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปีที่ 2 ในวงเงิน 43,718,818 บาท ซึ่งบัดนี้ มช. ได้การดำเนินงานตามแผนงานปีที่ 2 ครบเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว โดย ณ ปัจจุบัน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คณะนี้ไว้เพื่อพิจารณากลั่นกรองงาน ในการนี้ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำผลการดำเนินงานของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ปีที่ 2 ที่ดำเนินการมาตั้งแต่มิถุนายน 2545 ถึงธันวาคม 2548 มารายงานดังต่อไปนี้
2.1 ผลการดำเนินโครงการฯ ปีที่ 2
ส่วนที่ 1: ฟาร์มขนาดใหญ่ เป้าหมายรวมของโครงการฯ คือ 130,000 ลบ.ม โดยกองทุนฯ สนับสนุนในอัตรา 1,128 บาท/ลบ.ม. (ร้อยละ 18ของราคาระบบ) ผลการดำเนินงาน 43 เดือน มีฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ รวม 24 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 82,700 ลบ.ม คาดว่าจะผลิตก๊าซชีวภาพได้ 66,160 ลบ.ม. สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ 15 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงิน 37 ล้านบาทต่อปี
ส่วนที่ 2: ฟาร์มขนาดกลาง เป้าหมายรวมของโครงการฯ คือ 150,000 ลบ.ม โดยกองทุนฯ สนับสนุนในอัตรา 965 บาท/ลบ.ม. (ร้อยละ 18 ของราคาระบบ) ผลการดำเนินงาน 25 มีฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ รวม 46 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 36,500 ลบ.ม คาดว่าจะผลิตก๊าซชีวภาพได้ 29,200 ลบ.ม. สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ 5.8 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงิน 14.6 ล้านบาทต่อปี
ส่วนที่ 3: งานวัยพัฒนา ได้พัฒนาถังหมัก H-UASB รูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้แบบวิศวกรรมที่ง่ายต่อการก่อสร้าง, ราคาลดลง, และมีประสิทธิภาพสูง ผู้ปฏิบัติงานมีความสะดวก และมีความเข้าใจในแบบที่ถูกต้องตรงกัน โดยคาดว่าจะลดภาระค่าก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพได้ถึงร้อยละ 42 ที่ประสิทธิภาพการย่อยสลายสารอินทรีย์คงเดิม และได้มีการพัฒนาเพื่อนำก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ ปรับปรุงคาร์บูเรเตอร์สำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ก๊าซชีวภาพ งานวิจัยโครงการพัฒนาเครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงคู่ (ก๊าซชีวภาพ/น้ำมันดีเซล) การสาธิตการใช้ประโยชน์จากความร้อนร่วมของการใช้ก๊าซชีวภาพ ใช้ก๊าซชีวภาพสำหรับรถจักรยานยนต์ รถอีแต๋น และรถยนต์ งานวิจัยการศึกษาการเผากระเบื้องเคลือบโดยใช้ก๊าซชีวภาพ งานวิจัยการปรับปรุงคุณภาพก๊าซชีวภาพ ลดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์โดยใช้ Biofilter เป็นต้น
2.2 ผลการประเมินโครงการฯ
สนพ. ได้ว่าจ้าง บริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ทั้งด้านเทคโนโลยี ผลตอบแทนการลงทุน ความสามารถในการประหยัดพลังงาน หรือความสามารถในการทดแทนเชื้อเพลิงประเภทอื่น ตรวจสอบความสามารถของผู้เจ้าของโครงการฯ ความเหมาะสมในการบริหารงบประมาณและทรัพยากรของโครงการ ประเมินปัญหาอุปสรรค ประเมินผลกระทบของโครงการฯ ที่มีต่อปัจจัยอื่นๆ ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเลือกตัวแทนของฟาร์มขนาดใหญ่ ได้แก่ วีระชัยฟาร์ม ต.วังมะนาว จ.ราชบุรี และปากช่องฟาร์ม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตัวแทนของฟาร์มขนาดกลาง ได้แก่ ฟาร์มไทยรุ่งโรจน์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี, จักกริชฟาร์ม อ.บ้างบึง จ.ชลบุรี และฟาร์มเรืองศิริ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น โดยมีผลสรุปว่า มช. ได้ดำเนินงานครบถ้วนตามแผนงานที่เสนอแล้ว พร้อมทั้งมีการประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง สำหรับปัญหาอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา มช. ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว ดังนี้
(1) การขอปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในฟาร์มขนาดกลางในช่วงแรก ทำให้งานล่าช้าไป 18 เดือน
(2) จำนวนฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการฯ เริ่มแรกมี 232 ฟาร์ม คิดเป็น 183,350 ลบ.ม. เมื่อเวลาผ่านไปด้วยปัญหาต่างๆ เช่น ฟาร์มมีพื้นที่ไม่เพียงพอ ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ไม่พร้อมด้านการเงิน ฯลฯ จึงทำให้เหลือฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ 46 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 36,500 ลบ.ม
(3) มีคู่แข่งเทคโนโลยี คือ ระบบบ่อหมักแบบ Anaerobic Lagoon แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากโครงการฯ ไปค่อนข้างมาก มช. ได้พยายามประชาสัมพันธ์ถึงข้อดีและข้อเสียของทั้งสองระบบฯ เปรียบเทียบกัน เพื่อให้ฟาร์มได้รับความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
(4) เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างและติดตั้งระบบฯ ซึ่งมีเหตุจากเจ้าของฟาร์มส่วนใหญ่จะดำเนินการก่อสร้างเอง ทำให้ มช. ไม่สามารถเร่งงานก่อสร้างให้เป็นไปตามกำหนดได้
3. แผนการดำเนินงานระยะที่ 3 ปีที่ 3
3.1 ฟาร์มขนาดใหญ่ : ติดตามประเมินผลการทำงานของระบบที่ได้ก่อสร้างในรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 งานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 4 แล้วเสร็จและสามารถเดินระบบได้ ปริมาตรของระบบก๊าซชีวภาพรวมไม่น้อยกว่า 90,000 ลบ.ม. และงานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 5 ปริมาตรรวม 40,000 ลบ.ม.
3.2 ฟาร์มขนาดกลาง : ก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 3 ปริมาตรรวม 30,000 ลบ.ม. แล้วเสร็จ และสามารถเดินระบบได้ ปริมาตรของระบบก๊าซชีวภาพรวมไม่น้อยกว่า 55,000 ลบ.ม. และเริ่มงานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 4 ปริมาตรรวม 30,000 ลบ.ม.
3.3 การพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ : สร้างอาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ และจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์บางส่วน ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์งานวิจัยและพัฒนาทางด้านการหมักย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากก๊าซชีวภาพ
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมว่า ผลงานของ มช. ในปีที่ 2 อาจล่าช้ากว่าแผนงานที่เสนอไว้บ้าง แต่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ด้วยเหตุเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ผู้ร่วมโครงการฯ ขอเลื่อนกำหนดการก่อสร้างระบบ ทั้งเพราะขาดสภาพคล่องของเงินทุน ขาดแรงงาน ปัญหาเรื่องฤดูกาล เป็นต้น ซึ่งมิได้เกิดจากเจตนาของ มช. ที่จะไม่ดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ซึ่งผลงาน ณ เดือนตุลาคม 2549 มช. ได้มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ฟาร์มใหญ่ครบตามเป้าหมายแล้ว และได้ร่วมมือกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ เบทาโกรฟาร์ม เพื่อลดข้อจำกัดผู้เข้าร่วมโครงการฯ ฟาร์มขนาดกลาง ที่ไม่มีความพร้อมด้านการเงิน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ มช. ดำเนินโครงการฯ ตามแผนฯ ในปีที่ 3 ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา และเห็นชอบการสนับสนุนเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. รวม 78,143,841 บาท ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ฟาร์มขนาดใหญ่ ในวงเงิน 60,623,000 บาท และส่วนที่ 2 ฟาร์มขนาดกลาง ในวงเงิน 17,520,841 บาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงความเป็นมาของโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (มิถุนายน 2548-มิถุนายน 2552) โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนในปีที่ 2-5 จะพิจารณาอนุมัติจัดสรรปีต่อ
2. มช. ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ตามแผนงานปีที่ 1 ในวงเงิน 9,996,000 บาท ซึ่งบัดนี้ มช. ได้ดำเนินงานครบตามแผนแล้ว โดยฝ่ายเลขานุการฯ สรุปได้ดังนี้
2.1 การคัดเลือกสายพันธ์ : คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น จาก 4 พันธุ์ คือ พันธุ์สุราษฎร์ธานี 1 และ 2 พันธุ์เดลี่-ลาเม่ และพันธุ์เดลี่-ไนจีเรีย โดยใช้ระยะปลูก 9X9X9 เมตร และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น จาก 6 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกตามแหล่งต่างๆ คือ สตูล กำแพงแสน กาญจนบุรี ปราจีนบุรี ชัยภูมิ และ ตากฟ้า ในระยะปลูก 3X3 เมตร
2.2 การปลูกปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ
(1) ปลูก ในแปลงวิจัย จะเป็นพื้นที่ที่ควบคุมดูแลการเจริญเติบโต โดยปลูกในพื้นที่ของ มช. 2 แห่ง รวม 155 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 120 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 35 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% ปัจจุบันปาล์มน้ำมัน อายุ 14 เดือน สามารถออกดอกเกสรตัวผู้และตัวเมียแล้ว
(2) ปลูกในแปลงสาธิต เป็นพื้นที่ปลูกตามสภาวะแวดล้อมปกติ โดยอบรมให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ปลูกและมอบสายพันธุ์ปาล์มน้ำมันและสบู่ดำให้นำกลับไปปลูกในพื้นที่ โดยแนะนำให้ปลูกเป็นพืชแซมในไร่สับปะรด ที่รกร้างในนาข้าว ในสวนลำไย
- ปาล์มน้ำมัน มี 2 พื้นที่ คือ ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 270 ต้น ที่กองพันสัตว์ต่าง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 80 ต้น พื้นที่ของเกษตรกรคือ นายไพฑูรย์ หล้าโสด อ.เมือง จ.ลำพูน 90 ต้น และนายรังสรรค์ สุรินทร์ ต.น้ำดิบ อ.เมือง จ.ลำพูน 54 ต้น
- สบู่ดำ มี 3 พื้นที่ คือ บ้านร้องวัวแดง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ขนาด 20 ไร่, บ้านแม่กรณ์ อ.เมือง จ.เชียงราย 10,000 ต้น และพื้นที่ในหมู่บ้านของ นายไพฑูรย์ ล่าโสต ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน 10 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการและจัดเก็บข้อมูลการปลูก
2.3 งานด้านวิศวกรรม : พัฒนาออกแบบเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำแบบสกรู ขนาด 3 กิโลกรัมต่อชั่วโมง หีบน้ำมันได้ 30% ของเมล็ดสบู่ดำ ที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส ที่ราคา 35,000 บาทต่อเครื่อง ขณะที่ราคาในท้องตลาดประมาณ 60,000 บาทต่อเครื่อง โดยจะสร้างเครื่องสกัดและสาธิตใช้งานร่วมกับเกษตรกรหลังจากที่เก็บผลผลิตสบู่ดำได้ในปีที่ 2 ซึ่งจะได้เครื่องที่เหมาะสมจะนำไปส่งเสริมในชุมชนได้
2.4 งานด้านเศรษฐกิจ สังคม และ ICT :
การประชุมสำรวจความเห็นของประชาชนในพื้นที่รอบแปลงสาธิตจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เกี่ยวกับการผลิตและใช้ไบโอดีเซล พบว่าส่วนมากรู้จักนโยบายของรัฐ และเห็นด้วยกับการส่งเสริมการผลิตและใช้ ตลอดจนยินดีที่จะทดลองใช้น้ำมันไบโอดีเซล แต่อยากให้ภาครัฐและบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รับรองและชี้แจงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์เมื่อใช้น้ำมันไบโอดีเซลด้วย ตลอดจนพัฒนาศูนย์เผยแพร่ข้อมูลการปลูกพืชน้ำมัน โดยจัดทำสื่อสารสนเทศเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชน้ำมัน ประกอบด้วย จัดทำ Website www.thaiodiesel.com และ www.thaibioenergy.com พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลความรู้การปลูกพืชน้ำมันโดยสื่อสิ่งพิมพ์เช่นนิตยสาร หนังสือพิมพ์ รายการโทรทัศน์ และรายการวิทยุ
3. ผลการประเมินโครงการฯ คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์ ในการประชุมครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 ได้รับทราบผลประเมินโครงการฯ โดยด้านประสิทธิผล อยู่ในระดับ 4 คือ ดีมาก ด้านประสิทธิภาพ อยู่ในระดับ 3 คือ ดี และที่ปรึกษาประเมินผลฯ ได้มีข้อเสนอแนะดังนี้
(1) การศึกษาวิจัยการปลูกสบู่ดำ สามารถทราบผลวิจัยได้ภายใน 2 ปี เนื่องจากเป็นพืชที่ให้ผลผลิตเร็ว ภายในระยะเวลาดังกล่าวผู้ร่วมโครงการฯ ควรสรุปผลการวิจัยการปลูกสบู่ดำในเขตภาคเหนือได้
(2) การศึกษาวิจัยการปลูกปาล์มน้ำมัน จะใช้เวลาในการสรุปผลวิจัยมากกว่า 5 ปี ดังนั้นระยะเวลาของโครงการอาจไม่เพียงพอที่จะสรุปผลการวิจัยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาวิจัยการปลูกในเขตภาคเหนือ ซึ่งมีสภาพพื้นที่และสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม
(3) การศึกษาวิจัยการปลูกสบู่ดำและปาล์มน้ำมัน ควรเพิ่มดัชนีชี้วัดการเจริญเติบโตและผลผลิตที่ชัดเจนในแต่ละปีที่ดำเนินการวิจัย
4. แผนการดำเนินงาน ปีที่ 2
4.1 งานด้านเกษตรกรรม
(1) วิจัย เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผลการเจริญเติบโตปาล์มและสบู่ดำต่อเนื่องจากปีที่ 1
(2) ขยายพื้นที่ปลูกปาล์มที่สถานีวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน อีก 230 ไร่ เป็นพื้นที่เพาะพันธุ์ และเน้นเป็นระบบกึ่งควบคุมจัดการน้ำและปล่อยตามฤดูกาลปกติ ซึ่งจะเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ชุมชนและเกษตรกรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยมากขึ้น
4.2 งานด้านวิศวกรรม
(1) ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องหีบน้ำมันสบู่ดำ และสาธิตใช้งานในเครื่องยนต์การเกษตร
(2) วิจัยและสร้างเครื่องผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์ม และน้ำมันสบู่ดำในระดับชุมชน
(3) พัฒนาระบบการใช้ประโยชน์จากกลีเซอรีน
4.3 งานด้านเศรษฐกิจ สังคมและ ICT
(1) เก็บและจัดทำข้อมูลด้านสภาพแวดล้อม การเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตพืช ต่อเนื่องจากปีที่ 1 เพื่อทำแบบจำลอง Process-base ตลอดจนการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ และสังคม
(2) จ้ดตั้งศูนย์ให้บริการแนะนำส่งเสริมและแก้ปัญหาการปลูกพืช ปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำในสวนครบวงจร
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนิน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 1 และเห็นชอบแผนดำเนินงานของโครงการฯ ในปีที่ 2 ตามที่ มช.เสนอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2549 ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ดังกล่าว ในวงเงินรวม 8,346,000 บาท
เรื่องที่ 3 พิจารณาการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2547 (ครั้งที่ 39) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 มีมติให้ยกเลิกการสนับสนุนฯ ในส่วนเงินผูกพันภายใต้แผนงานภาคบังคับที่เป็นเงินลงทุนกับหน่วยงานภาครัฐที่ยังไม่ได้มีการลงทุน และคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2548 มีมติให้ระงับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานแก่เจ้าของอาคารควบคุมในกรณีที่ยังไม่ดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2548 เป็นต้นไป พพ. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินงานภายใต้แผนงานภาคบังคับ ที่จะสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จึงได้เร่งออกหนังสือแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่ พพ. ได้แจ้งยืนยันไปแล้วว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ขอให้หน่วยงานนั้นๆ เร่งดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างพร้อมส่งคู่สัญญาจ้างให้ พพ. ตามระยะเวลาที่ระบุในหนังสือแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุน
2. มีหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงานจาก พพ. แล้ว แต่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ ให้กับผู้รับจ้างได้ เนื่องจาก
2.1 กรณีจังหวัดกระบี่ : พพ. ได้แจ้งให้จังหวัดกระบี่ ทราบการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,256,294 บาท โดยจังหวัดกระบี่ได้ว่าจ้าง บริษัท เค แอนด์ พี ซินเซียริตี้ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 แต่ พพ. ไม่ได้รับคู่สัญญาจ้าง จึงได้แจ้งยกเลิกการสนับสนุนฯ ซึ่งเมื่อจังหวัดกระบี่ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและพบว่า มีการผิดพลาดในการจัดส่งสำเนาสัญญาจ้างให้ พพ. เพราะเจ้าหน้าที่ของจังหวัดได้จัดส่งเรื่องดังกล่าวไปผิดที่ โดยส่งไปที่ สำนักงานโครงการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงสาธารณสุข
2.2 กรณีกรมยุทธโยธาทหารบก : พพ. ได้แจ้งให้กรมยุทธโยธาทหารบก ทราบการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงาน วงเงินรวม 3,914,238 บาท สำหรับ 2 อาคาร คือ
- มณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น โดยว่าจ้าง บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด ในวงเงิน 3,189,000 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามสัญญาเลขที่ อ.14/2547 ลงนาม 14 ม.ค. 2548 ส่งให้ พพ. 18 ม.ค. 2548
- กรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี โดยว่าจ้าง บริษัท จินตรงค์ จำกัด ในวงเงิน 719,967 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามสัญญาเลขที่ อ. 25/2547 ลงนาม 24 ม.ค. 2548 ส่งให้ พพ. 10 ก.พ. 2548
แต่ พพ. ไม่ได้รับคู่สัญญาจ้างทั้ง 2 สัญญา จึงได้แจ้งยกเลิกการสนับสนุนฯ
บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท จินตรงค์ จำกัด ได้ร้องเรียนต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และมีผลสรุปการวินิจฉัยว่า ผู้รับจ้างทั้ง 2 ราย ได้ลงนามในสัญญากับกรมยุทธโยธาฯ ก่อนที่ พพ. จะบอกยกเลิกการสนับสนุน ทำให้เกิดความผูกพันทางนิติกรรมระหว่างคู่สัญญาแล้ว ขณะที่เมื่อกรมยุทธโยธาฯ ขอเปลี่ยนแปลงมาตรการของอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2548 พพ. มิได้ทักท้วงแต่อย่างใด ประกอบกับงานที่ปรับปรุงได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่เป็นธรรมกับผู้ร้องเรียนทั้งสองซึ่งได้ดำเนินการตามสัญญาครบถ้วนแล้ว จึงเสนอแนะต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เพื่อเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้ร้องเรียนทั้งสองต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้จังหวัดกระบี่ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
2. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น ในวงเงิน 3,189,000 บาท ตามสัญญาเลขที่ อ. 11/2547 ลงวันที่ 14 มกราคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
3. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ในวงเงิน 719,967 บาท (เจ็ดแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันเก้าร้อยหกสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามสัญญาเลขที่ อ. 25/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้ว
4. เห็นชอบให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนฯ ตามข้อ 1 ถึง ข้อ 3 โดยให้สามารถเบิกจ่ายเงินภายในระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
5. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำมติของอนุกรรมการฯ ข้อ 1ถึง ข้อ 4 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 4 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 เห็นชอบระบบการบริหารงานของกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยภารกิจในเรื่องที่มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แล้ว หากจะเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้เห็นชอบหรืออนุมัติไว้ ให้ดำเนินการโดยการประชุมคณะอนุกรรมการฯ และเสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ
3. มีหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว รวม 18 โครงการ ดังนี้
3.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 16 โครงการ คือ
โครงการ | เจ้าของโครงการ | |
(1) | โครงการการใช้ก๊าซชีวภาพผลิตไฟฟ้าและทำความเย็นในโรงเลี้ยงสุกร | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(2) | โครงการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 | สนพ. |
(3) | โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพจากระบบจัดการน้ำเสียโรงฆ่าสัตว์ | มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม |
(4) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนในโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(5) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม | พพ. |
(6) | โครงการสาธิตเตาเผาอิฐแบบประหยัดพลังงาน | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
(7) | โครงการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอนด้านพลังงาน ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา | มูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย |
(8) | โครงการศูนย์เผยแพร่ความรู้ด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ | สนพ. |
(9) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. |
(10) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ | สนพ. |
(11) | โครงการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(12) | โครงการวิจัยการนำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ในใหม่ใน Heat Processes | มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ |
(13) | โครงการปรับปรุงระบบงานฐานข้อมูลอนุรักษ์พลังงาน | พพ. |
(14) | โครงการปรับปรุงโปรแกรมประยุกต์และฐานข้อมูลการอนุรักษ์พลังงาน | พพ. |
(15) | โครงการ (ร่าง) กฎกระทรวงมาตรฐานการจัดการพลังงาน | พพ. |
(16) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา | 7 หน่วยงาน |
3.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
โครงการ | เจ้าของโครงการ | |
(1) | โครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร | กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) |
(2) | โครงการเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า | สนพ. |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตามข้อ 3.1 และ 3.2 รวม 18 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ไม่เห็นชอบให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนใช้เงินเหลือจ่ายของโครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ไปใช้ในการสร้างอาคารบ้านพัก ตามที่ขอมาในข้อ 3.2 (1) ทั้งนี้เพราะเห็นว่า ตชด. มีบ้านพักเพียงพอรับรองวิทยากรและพนักงานแล้ว
กอ. ครั้งที่ 27 - วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2545(ครั้งที่ 27)
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
3. ผลการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 ปี 2538-2542
4. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (ระยะที่ 2)
5. ขออนุมัติปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
7. ขอทบทวนและแก้ไขมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26)
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานโครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ ว่า นับแต่โครงการฯ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2544 ถึงเดือนธันวาคม 2544 ได้มีครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้รวมทั้งสิ้น 1,010,045,314 หน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 3,138,424,460 บาท โดยกองทุนฯ จ่ายเงินส่วนลดให้แก่ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 623,683,967 บาท
เรื่องที่ 1 รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำไตรมาสที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544-31 ธันวาคม 2544 ให้ที่ประชุมทราบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2544 มีเงินกองทุนฯ คงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร 13,219,883,566.48 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2544 ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและใหญ่ ระยะที่ 3 ซึ่งเสนอโดย หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และที่ประชุมได้มีมติอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. ในวงเงิน 853,079,794 บาท โดยที่ประชุมได้มีเงื่อนไขให้ มช. ปรับปรุงรายละเอียดแผนงานโครงการฯ ดังนี้
(1) ให้หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ มช. จำแนกค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ให้ชัดเจน โดยแบ่งเป็นเงินในส่วนด้านการบริหารงาน และเป็นเงินสนับสนุนให้เจ้าของฟาร์มทางอ้อม เช่น ค่าบริการให้คำปรึกษา ค่าออกแบบระบบและค่าติดตามดูแลระบบฯ เป็นต้น เพื่อกองทุนฯ จะได้พิจารณาว่าการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ นั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่
(2) หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ ควรจะหารือกับผู้บริหารของ มช. เพื่อแสดงความมีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดย มช. อาจจะสามารถจัดสรรงบประมาณบางส่วนสมทบกับเงินของกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสำนักงานของโครงการฯ
มช. ได้รับทราบความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ ข้างต้นแล้ว และได้ชี้แจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ มาเพื่อโปรดทราบ โดยสรุปได้ดังนี้
(1) ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ : ค่าบริหารโครงการฯ ทั้งหมด จำนวนเงิน 319,575,794 บาท ประกอบด้วย เงินสนับสนุนเกษตรกรโดยอ้อม ในวงเงิน 292,030,540 บาท (คิดเป็นร้อยละ 91 ของค่าบริหารโครงการฯ) และ ค่าบริหารจัดการโครงการฯ ในวงเงิน 27,545,254 บาท (คิดเป็นร้อยละ 9 ของค่าบริหารโครงการฯ)
(2) ค่าใช้จ่ายสมทบจาก มช. ในการบริหารโครงการฯ : มช. ได้อนุญาตให้หน่วยบริการก๊าซชีวภาพใช้พื้นที่ว่างในบริเวณสถานีวิจัยและฝึกอบรมฯ ประมาณ 6 ไร่ เป็นที่ตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจนและการผลิตก๊าซชีวภาพ พร้อมทั้งรับภาระค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อระบบสาธารณูปโภคต่างๆ กับอาคารใหม่ คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,590,000 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบกับรายละเอียดค่าบริหารโครงการฯ ตามที่ มช. เสนอมา
เรื่องที่ 3 ผลการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 ปี 2538-2542
บริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด ได้รายงานสรุปผลการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 ให้ที่ประชุมทราบว่า จากผลการประเมินโครงการย่อยในโครงการหลักของแผนงานรอง ทั้ง 3 แผนงาน ของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1 ได้สะท้อนถึงประสิทธิผลและประสิทธิภาพของแผนงานอนุรักษ์พลังงานโดยรวมได้ค่อนข้างชัดเจนว่ามีประสิทธิผลอยู่ในระดับสูง และบรรลุผลด้านเทคโนโลยีในระดับปานกลาง สำหรับด้านประสิทธิภาพของโครงการนั้น พบว่าอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งในด้าน B/C ratio IRR และ Cost Effectiveness Analysis ส่วนผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมพบว่าอยู่ในระดับปานกลาง จึงสรุปได้ว่าผลการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์ ระยะที่ 1 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างดี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินการประเมินผลในครั้งนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พยายามที่จะควบคุมคุณภาพของผู้ประเมิน และปรับปรุงถ้อยคำภาษาให้การประเมินครั้งนี้ ให้เป็นการเสนอแนะ ในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะเป็นการจับผิดหรือกล่าวโทษ และได้นำผลการประเมิน เสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณาแล้ว และคณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบตามที่บริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด เสนอ โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
(1) การทำงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นการประเมินผลเพื่อวิเคราะห์การดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอแนะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงทางการดำเนินงานให้สามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้เร็วขึ้น และลดการใช้งบประมาณลง
(2) คณะอนุกรรมการฯ เลือกที่จะใช้ผู้เชี่ยวชาญในการประเมินจากหน่วยงานภายนอก และเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในขบวนการประเมินผลด้วย เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าใจผิดของผู้ประเมิน โดยคณะอนุกรรมการฯ ไม่มีความประสงค์จะจับผิด เพียงแต่ต้องการเสนอแนะวิธีการดำเนินงานที่ดีกว่าเดิม
(3) คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบกับผลการประเมินที่คณะที่ปรึกษาเสนอ และเห็นชอบข้อเสนอแนะ ที่ได้จากการสัมมนาฯ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้
การอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง มีศักยภาพสูง จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ และ สพช. ให้ความสำคัญในสาขานี้ ทั้งในด้านการกำหนดนโยบาย และการให้การส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน
เห็นควรให้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ (Strategic Plan) และกำหนดเป้าหมายและดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนทั้งระดับโครงการและแผนงาน
การประสานงานระหว่าง กฟผ. กฟภ. และกองทุนฯ ในการส่งเสริม SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง จะทำให้การต่อเชื่อมระบบมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่ต้องมีการปรับแรงดันไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น (Step up หรือ Step down) อันจะเกิดการสูญเสียในระบบ
การส่งเสริมการศึกษาวิจัย (Basic และ Applied Research) ควรประสานงานกับ สกว. ซึ่งมีความชำนาญในด้านนี้ ส่วนการศึกษาเพื่อการพัฒนาและการนำผลการวิจัยสู่การใช้เชิงพาณิชย์ (Improvement และ Implementation) สพช. มีความชำนาญสูงอยู่แล้ว สามารถดำเนินการต่อไปได้
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบกับผลการประเมินที่บริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด ได้นำเสนอ และเห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปปรับในกรอบแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานและการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2540 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การสนับสนุน สำนักงานวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน 4,774,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการนำร่องติดตั้งระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน จำนวน 10 หลังคาเรือน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ โดยกองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนเงินค่าติดตั้งให้กับเจ้าของบ้านที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ เป็นเงินให้เปล่า ในอัตราร้อยละ 45.70 ของเงินลงทุนทั้งระบบ (ประมาณ 212,500 บาท/ระบบ) ส่วนที่เหลือเจ้าของบ้านผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะรับภาระค่าใช้จ่ายเอง
โครงการดังกล่าวได้เสร็จสมบูรณ์แล้วและ กฟผ. ได้เก็บข้อมูลประเมินผลการทำงานหลังการติดตั้งระบบฯ 1 ปี โดยระบบฯ สามารถทำงานได้ตามประสิทธิภาพ และเจ้าของระบบฯ สามารถดูแลการใช้งานของระบบฯ ด้วยตนเองได้เป็นอย่างดี กฟผ. จึงได้จัดทำแบบสอบถามประชาชนทั่วไปจำนวนทั้งสิ้น 400 ราย เพื่อประเมินความสนใจที่จะนำระบบฯ ไปติดตั้งใช้งาน ซึ่งมีผู้สนใจขอเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 100 ราย
กฟผ. จึงได้ยื่นข้อเสนอที่จะดำเนินการโครงการฯ ระยะที่ 2 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับบ้านพักอาศัย จำนวน 100 หลังคาเรือน โดยแบ่งเป็นระบบฯ ชุดเล็กขนาด 2.10 kWp จำนวน 60 หลังคาเรือน และระบบฯ ชุดใหญ่ขนาด 3.15 kWp จำนวน 40 หลังคาเรือน โดยงบประมาณรวมทั้งหมดของโครงการฯ ในวงเงิน 71,437,000 บาท ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อเสนอโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (ระยะที่ 2) เสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 9/2544 (ครั้งที่ 54) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยมีเงื่อนไขให้ กฟผ. ต้องปรับปรุงรายละเอียดของแผนงานฯ ในบางประเด็น เช่น ลดจำนวนการสนับสนุนลงเหลือเพียง 50 ราย และปรับลดอัตราการสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ควรเกินอัตราที่เคยให้การสนับสนุนในระยะที่ 1 เป็นต้น
กฟผ. ได้ปรับปรุงแผนงานโครงการฯ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยเฉพาะในประเด็นหลักนั้น กฟผ. ได้ปรับปรุงแผนงานโครงการฯ ดังนี้
(1) ปรับลดจำนวนเป้าหมายที่จะติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับบ้านพักอาศัย คงเหลือเพียงจำนวน 50 หลังคาเรือน
(2) ปรับขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์เหลือเพียง 1 ขนาด คือ ขนาดไม่ต่ำกว่า 3.15 kWp และไม่เกิน 3.20 kWp เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์ส่วนควบที่เกี่ยวข้องทดแทนกันได้
(3) กฟผ. เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ยื่นข้อเสนอราคาให้ กฟผ. พิจารณาคัดเลือก ก็จะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและส่งผลให้ราคาเซลล์แสงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงลดลงได้อีก กฟผ. จึงได้ยืนราคาต้นทุนเซลล์แสงอาทิตย์ของโครงการฯ ไว้ที่อัตรา 170 บาท/วัตต์
(4) กฟผ. ได้ปรับลดอัตราเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อช่วยเหลือค่าติดตั้งระบบฯ ให้กับเจ้าของบ้านที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ เป็นเงินให้เปล่าในอัตราร้อยละ 45.70 ของเงินลงทุนทั้งระบบฯ ซึ่งเท่ากับอัตราเดิมที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนเจ้าของบ้านที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ ในระยะแรก
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (ระยะที่ 2) ในวงเงิน 24,268,324 บาท (ยี่สิบสี่ล้านสองแสนหกหมื่นแปดพันสามร้อยยี่สิบสี่บาทถ้วน)
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในวงเงิน 90,000,000 บาท (เก้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อครุภัณฑ์ ประกอบด้วย เครื่อง Large Area Multi-Chamber Plasma Enhanced Chemical Vapor Deposition System (PECVD) และ Sputtering System โดย สวทช. กำหนดจะติดตั้งเครื่องจักรดังกล่าวที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และภายในปี 2544 สวทช. จะพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีกำลังการผลิต 75 กิโลวัตต์ต่อปี
ปัจจุบันนี้ สวทช. ได้ทำการทดลองผลิตเซลล์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิกอน และสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของเซลล์ได้ที่ระดับ 7.3 % และ สวทช. คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้ถึง 10% โดย สวทช. ได้ใช้จ่ายเงินลงทุนไปในโครงการนี้ไปแล้วทั้งสิ้น 148 ล้านบาท ประกอบด้วยงบประมาณจาก สวทช. 58 ล้านบาท และงบสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าครุภัณฑ์และวัสดุประกอบการผลิตเซลล์ 90 ล้านบาท
การดำเนินโครงการฯ ในช่วงที่ผ่านมา สวทช. ประสบปัญหาที่ไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อนำมาสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานที่ได้เคยเสนอไว้กับกองทุนฯ ทำให้ สวทช. ไม่สามารถจัดซื้อวัสดุที่จำเป็นเพื่อนำมาวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ได้ทั้งหมด สวทช. จึงขอปรับแผนการดำเนินงานโดย สวทช. จะขอทำการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์แล้วจะร่วมมือกับ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และกรมโยธาธิการ ในการนำไปติดตั้งทดสอบการใช้งาน โดยในการปรับแผนงานครั้งนี้ สวทช. ขอเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 29,587,500 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สวทช. พพ. และ กรมโยธาธิการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว ที่ประชุมเห็นควรให้ สวทช. ปรับปรุงรายละเอียดของแนวทางและวิธีการดำเนินงานศึกษาวิจัยให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา สวทช. ได้ปรับรายละเอียดของแผนงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของที่ประชุมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 แล้ว โดย สวทช. ขอขยายระยะเวลาโครงการสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 และขอเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 30,882,694 บาท (สามสิบล้านแปดแสนแปดหมื่นสองพันหกร้อยเก้าสิบสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สวทช. พพ. และ กรมโยธาธิการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวพร้อมกับความเห็นจากที่ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 12/2544 (ครั้งที่ 57) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ แล้ว มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ สวทช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ในวงเงิน 30,882,694 บาท (สามสิบล้านแปดแสนแปดหมื่นสองพันหกร้อยเก้าสิบสี่บาทถ้วน) และอนุมัติให้ สวทช. ปรับแผนดำเนินโครงการฯ ได้ตามที่เสนอมา
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในบางกรณีโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน และเมื่อ สพช. ได้ทำหนังสือขอเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายโครงการฯ งวดที่ 1 จากกรมบัญชีกลาง (บก.) จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของ บก. ว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนได้ เนื่องจากผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ ซึ่งเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19
การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา
เพื่อลดขั้นตอนในการบริหารงานและเพื่อแก้ไขปัญหาการที่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับกองทุนฯ ได้ทัน ภายในเวลา 30 วัน ตามที่ระเบียบฯ ได้กำหนดไว้ และคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2542 จึงได้มีมติ ดังนี้
(1) มอบอำนาจให้ สพช. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในเหตุผลที่เจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วจากคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ โดยการล่าช้านั้นต้องไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
(2) มอบอำนาจให้ สพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก
สพช. ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีบางโครงการที่มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ และแม้ว่า สพช. จะแจ้งเหตุผลอันสมควรที่เจ้าของโครงการไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาได้ภายในกำหนด ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้มอบอำนาจไว้ให้แล้ว แต่เมื่อทำหนังสือขอเบิกเงินให้กับเจ้าของโครงการฯ จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของ บก. ว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบฯ และ บก. เห็นว่าคณะอนุกรรมการฯ ไม่สามารถมอบอำนาจดังกล่าวให้กับ สพช. ตามที่ประชุมได้ สพช. จึงต้องนำโครงการที่มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ กลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ รับรองก่อนการเบิกจ่ายเงินจาก บก. เป็นคราวๆ ไป
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2544 ได้พิจารณาถึงประเด็นปัญหาของความล่าช้าในการลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาของโครงการฯ แล้ว และเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ผู้แทนจาก บก. จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขข้อความที่กำหนดไว้ในระเบียบฯ หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19 ให้มีความคล่องตัว เป็นดังนี้
(1) โครงการฯ ที่คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติให้เงินสนับสนุน (เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2544) โดยมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการฯ ไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ นั้น เมื่อเจ้าของโครงการฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงตามมติคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ให้ สพช. แจ้งให้เจ้าของโครงการทราบ เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้ทราบ หากเจ้าของโครงการฯ ไม่มาติดต่อเพื่อทำหนังสือยืนยันหรือตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันสมควรให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
(2) การอนุมัติให้เงินสนับสนุนในครั้งต่อๆ ไป (หลังจากวันที่ 23 มกราคม 2544) หากมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นให้เรียบร้อยก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา คณะอนุกรรมการฯ ควรมีมติให้ชัดเจน ดังนี้
(2.1) โครงการที่มีการปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญเล็กน้อย คณะอนุกรรมการฯ จะมอบให้ สพช. ไปดำเนินการ
(2.2) โครงการที่มีปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ เมื่อเจ้าของโครงการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ให้นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 ได้พิจารณาแล้วและเห็นชอบให้ สพช. แก้ไขข้อความที่ปรากฏในระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา โดยให้แก้ไขตามที่ คณะอนุกรรมการฯ ได้มีความเห็นไว้ และหลังจากที่ได้มีการแก้ไขระเบียบฯ เพื่อแก้ปัญหาการที่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับกองทุนฯ ได้ทันภายในเวลา 30 วัน ดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่ามีกรณีที่ผู้ได้รับ จัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในหนังสือยืนยัน/สัญญาการขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ กับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ ที่กรมบัญชีกลางไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ทั้ง 2 โครงการ คือ
(1) โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 1 (โครงการแม่ฮ่องสอน 2) โดยมี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นเจ้าของโครงการฯ
(2) โครงการศึกษาคุณสมบัติของสารเติมแต่งในน้ำมันเบนซินในการรักษาความสะอาดวาล์วไอดีและหัวฉีดของเครื่องยนต์เบนซิน (ระยะที่ 1) โดยมี กรมทะเบียนการค้า เป็นเจ้าของโครงการฯ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเจ้าของโครงการฯ มีเหตุผลอันสมควรที่ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยัน/สัญญาการขอรับการสนับเงินจากกองทุนฯ ได้ภายในเวลาที่ระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ได้กำหนดไว้ และแม้ว่า สพช. จะได้รับมอบอำนาจจากคณะอนุกรรมการฯ ในการเป็นผู้พิจารณาให้ความ เห็นชอบในเหตุผลที่เจ้าของโครงการฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันการขอรับทุนจากกองทุนฯ ได้ภายในเวลาที่กำหนด และแม้ว่าจะมีการแก้ไขระเบียบฯ เพื่อให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ข้างต้น แต่เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในอำนาจของการวินิจฉัยให้ความเห็นชอบในเหตุผลที่เจ้าของโครงการฯ ที่ไม่สามารถลงนามในสัญญา/หนังสือยืนยันการขอรับทุนจากกองทุนฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรอาศัยอำนาจตามข้อ 4 แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ที่กำหนดว่า กรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้คงมติของคณะกรรมการกองทุนฯ ตามหนังสือเวียน ด่วนที่สุด ที่ นร 0905/2148 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2443 ที่ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 1 (โครงการแม่ฮ่องสอน 2) ในวงเงิน 168,468,825 บาท (หนึ่งร้อยหกสิบแปดล้าน สี่แสนหกหมื่นแปดพันแปดร้อยยี่สิบห้าบาทถ้วน) และถือว่ามีผลใช้กับการลงนามตามหนังสือยืนยันการขอรับทุนสนับสนุน ที่ กอ.ร 09/2543 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
2. อนุมัติให้คงมติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 47) เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ที่ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ กรมทะเบียนการค้า เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาคุณสมบัติของสารเติมแต่งในน้ำมันเบนซินในการรักษาความสะอาดวาล์วไอดีและหัวฉีดของเครื่องยนต์เบนซิน (ระยะที่ 1) ในวงเงิน 4,028,550 บาท (สี่ล้านสองหมื่นแปดพันห้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน) และถือว่ามีผลใช้กับการลงนามตามหนังสือยืนยันการขอรับทุนสนับสนุน ที่ กอ.ร 09/2544 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544
3. เห็นชอบให้ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ หรือคณะอนุกรรมกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ หรือคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน มีอำนาจวินิจฉัยในเหตุผลที่เจ้าของโครงการไม่สามารถติดต่อลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายในกำหนดเวลาตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2544 หมวด 5 การทำสัญญา ทั้งนี้ให้คณะอนุกรรมการแต่ละคณะมีอำนาจวินิจจัยเรื่องดังกล่าวครอบคลุมทั้งโครงการที่ได้รับอนุมัติสนับสนุนเงินกองทุนฯ ก่อนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 ด้วย
เรื่องที่ 7 ขอทบทวนและแก้ไขมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานภายใต้แผนงานภาคบังคับ ตามที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา 2 เรื่อง คือ (1) การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลัง และ (2) โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ให้ พพ. ทราบแล้ว และต่อมา พพ. ได้มีหนังสือที่ วว 0406/21609 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2544 และ วว 0406/21526 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 เพื่อขอทบทวนและแก้ไขมติ คณะกรรมการกองทุนฯ ดังนี้
1. การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
มติที่ประชุม "อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547 ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ"
- พพ. ขอแก้ไขเป็น "อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ"
2. โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
(1) มติที่ประชุม "เห็นชอบให้ พพ. จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่เสนอมา โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ ดีที่สุดเป็นผู้บริหารโครงการฯ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าวให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ"
พพ. ขอแก้ไขเป็น "เห็นชอบให้ พพ. ให้จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่เสนอมา โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ พพ. เสนอ ซึ่งอาจจะมากกว่า 1 แห่ง มาเป็นตัวแทนในการปล่อยเงินกู้ เรียกเก็บ และประกันเงินกู้ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว ให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบครอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ"
(2) มติที่ประชุม "อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ พพ. กำหนด นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินนั้นจะต้องจ่ายเงินดังกล่าวคืนกองทุนฯ ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากกองทุนฯ"
พพ. ขอแก้ไขเป็น "อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ พพ. กำหนด นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ"
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้แก้ไขมติที่ประชุมในการพิจารณาเรื่อง "การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้ "อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ"
2. อนุมัติให้แก้ไขมติที่ประชุมในการพิจารณาเรื่อง "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" โดยใช้ข้อความดังต่อไปนี้
2.1 เห็นชอบให้ พพ. ให้จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่ได้เสนอไว้ ในคราวประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในหารดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ พพ. เสนอ ซึ่งอาจจะมากกว่า 1 แห่ง มาเป็นตัวแทนในการปล่อยเงินกู้ เรียกเก็บ และประกันเงินกู้ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว ให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบครอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ"
2.2 อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ พพ. กำหนด นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ"
3. มติคณะกรรมการกองทุนฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26 ) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 เรื่อง "การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" และเรื่อง "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน" ที่ไม่มีการขอแก้ไข ก็ให้มีผลบังคับใช้ตามข้อความเดิม