มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2556 (ครั้งที่ 136)
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 110.59, 129.98 และ 131.76 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.99, 8.97 และ 6.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2556 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคา ขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลขึ้น 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2556 ปรับเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ปรับเพิ่มขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2556 มีทรัพย์สินรวม 5,724 ล้านบาท หนี้สินรวม 20,699 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 14,975 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 28.56 ล้านบาท จากติดลบวันละ 15.82 ล้านบาทเป็นติดลบวันละ 44.38 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จาก 1.10 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2555 ให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อดำเนินงานโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในวงเงิน 13,584,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 เดือน โดย ธพ. ได้มอบหมายให้งานปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปนม.ตร.) ดำเนินการ โดย ธพ. รวบรวมและแจ้งรายชื่อโรงบรรจุและสถานีบริการก๊าซเป้าหมายทั่วประเทศ จำนวน 578 ราย ที่มีปริมาณการจำหน่ายสูง หรือต่ำเกินไป ให้ ปนม.ตร. จัดส่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการไปเฝ้าระวัง สืบหาข่าว ติดตาม ตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำผิด ณ โรงบรรจุก๊าซหรือสถานีบริการก๊าซ และให้รายงานผลการดำเนินงานต่อ ธพ.
2. ปนม.ตร. รายงานผลการปฏิบัติงานตามโครงการฯ ประจำเดือนมิถุนายน – ตุลาคม 2555 ซึ่งได้ตรวจสอบทั้งสิ้น 532 ราย และจับกุมผู้กระทำผิดจำนวน 10 ราย ได้แก่
2.1 พบผู้กระทำผิดพยายามนำก๊าซฯ ออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 จำนวน 2 ราย คือ (1) นางสาวเอื้อมพร พอเหมาะ ผู้ต้องหารับสารภาพ ถูกปรับ ที่กรมศุลกากรแล้ว จึงระงับคดี (2) นายสุเทพ ตาคลี รับสารภาพ อยู่ระหว่างดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน
2.2 บริษัท เปี่ยมจินดาทรัพย์ จำกัด ประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยไม่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 ซึ่งฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ การรับหรือซื้อน้ำก๊าซฯ จากโรงบรรจุก๊าซ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 22(1) คือ เจ้าของสถานีบริการ ต้องไม่ซื้อหรือ รับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระวางโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 8 จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสารและขอหลักฐานเพิ่มเติมของอัยการ
2.3 บริษัท รัตนากร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด โดยนายจรูญ ศรีหะบุตร เป็นผู้ดูแลสถานีบริการรับน้ำก๊าซฯ จากโรงบรรจุก๊าซ ซึ่งฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 22(1) คือ เจ้าของสถานีบริการ ต้องไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระวางโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 8 จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน
2.4 ผู้บรรจุก๊าซ จำนวน 6 ราย บรรจุก๊าซข้ามยี่ห้อ ได้แก่ (1) บจ. ดี. เอส. ปิโตรเลียมแก๊ส อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน (2) หจก. นครพนมแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 3,000 บาท (3) บจ. นครอินดัสเตรียลแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 3,000 บาท (4) หจก. พุถ่องแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 1,000 บาท (5) บจ. แก๊สเซ็นเตอร์เลย อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน และ (6) หจก. บุรีรัมย์มิตรประชาแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 1,500 บาท ปนม.ตร. ได้เปรียบเทียบปรับโดยถือว่าเป็นการกระทำผิดด้านความปลอดภัย คือ กระทำการบรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืนตามข้อ 74 วรรค 3 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2529) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2514 “ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือตัวแทนค้าต่างต้องบรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันอื่น ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ค้าน้ำมันอื่นที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น หรือจากผู้ค้าน้ำมันที่เป็นตัวการและผู้ค้าน้ำมันอื่นที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นแล้วแต่กรณี” ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
มติของที่ประชุม
1. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่าย ก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปทบทวนกฎระเบียบในบทลงโทษและเร่งจัดทำมาตรการป้องกัน การลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศ เพื่อนบ้าน พร้อมทั้งออกระเบียบหรือกฎหมายเพื่อกำกับดูแลการดำเนินการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2555 คณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนาการทำเกษตรกรรมในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมียมที่เหมาะสม มีหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ได้มติเห็นชอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) พิจารณาแนวทางการสนับสนุนชดเชยการผลิตเอทานอลจากอ้อยเพื่อให้บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด สามารถรับซื้ออ้อยได้ในราคาทัดเทียมกับเกษตรกรที่ปลูกอ้อยส่งโรงงานผลิตน้ำตาลทั้งอ้อยในพื้นที่และนอกพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมียมและมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักนำข้อเสนอของคณะกรรมการฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555 กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือเรื่อง ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยให้ พพ. พิจารณาแนวทางการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิต เอทานอลให้สามารถรับซื้ออ้อยเพื่อผลิตเอทานอลได้ในราคาทัดเทียมกับอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 กระทรวงพลังงานได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการชดเชยพิเศษฯ ดังกล่าว ซึ่งกระทรวงพลังงานไม่เห็นด้วยกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยราคาอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล และเสนอให้กระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับเงินสนับสนุนต่อไป
3. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานโดย พพ. พิจารณาหาแนวทางการชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ภายใต้ขอบเขตที่กองทุนน้ำมันฯ สามารถดำเนินการได้โดยอ้างอิงการคำนวณเช่นเดียวกับมันสำปะหลังซึ่งนำไปผลิตเป็นเอทานอล พร้อมระบุหน่วยงานและสัดส่วนงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2555 พพ. ได้มีหนังสือหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากอ้อยในจังหวัดตาก ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือแจ้งว่าให้ พพ. เสนอปัญหาเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากอ้อยในจังหวัดตากให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาก่อน ตามขั้นตอนของการบริหารราชการแผ่นดิน
4. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555 พพ. ได้มีแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาหาแนวทางการชดเชยให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่โครงการฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก และพิจารณาสัดส่วนงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินชดเชยให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 11 และ 18 มกราคม 2556 คณะทำงานฯ ได้ประชุมเพื่อหารือและได้มีความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ เป็น 3 แนวทาง (จำนวนเงินที่จะชดเชย 78,643,406 บาท) ดังนี้ (1) ผู้แทนจังหวัดตาก กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัดและบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่าให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเงินให้เกษตรกร (2) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กรมควบคุมมลพิษ และบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเงินให้เกษตรกร และ (3) ผู้แทน สนพ. พพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ไม่เห็นด้วยในการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเงินให้เกษตรกรเนื่องจากการใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์กองทุนน้ำมันฯ และการชดเชยดังกล่าวเป็นการขอเพื่อชดเชยรายได้ให้เกษตรกรเพื่อให้ราคาอ้อยสำหรับผลิตเอทานอลมีราคาเท่ากับราคาอ้อยสำหรับผลิตเป็นน้ำตาล ทั้งนี้ คณะทำงานฯ มีความเห็นให้นำประเด็นข้อมูลและความเห็นจากการประชุมคณะทำงานฯ ข้างต้น เสนอ กบง. เพื่อประกอบการพิจารณาว่าจะสามารถชดเชยเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจังหวัดตากได้หรือไม่ ต่อไป
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีความเห็นดังนี้
5.1 ถึงแม้ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 7(5) กำหนดไว้ว่า กองทุนฯ อาจมีรายจ่ายเป็น “ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ” แต่อย่างไรก็ตาม ความเห็นของคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ จะต้องไม่ขัดต่อเจตนารมย์ของการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ ที่มีวัตถุประสงค์หลักคือรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และแก้ไขป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
5.2 อ้อยในโครงการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมใช้ผลิตเอทานอลไม่สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำตาล เพื่อบริโภคได้ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจังหวัดตาก ขอรับเงินชดเชยเพิ่มจากราคาประกันที่ บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ประกาศไว้เพิ่มอีก 200 บาทต่อตัน จาก 950 บาทต่อตัน เพิ่มเป็น 1,150 บาทต่อตัน เพื่อให้ราคาใกล้เคียงกับอ้อยที่นำไปผลิตน้ำตาลที่มีราคาประกาศที่ 1,000 บาทต่อตัน รวมค่าความหวานอีก 154 บาทต่อตัน เป็น 1,154 บาทต่อตัน ปริมาณอ้อย 3.9 แสนตัน คิดเป็นเงินที่ต้องใช้ชดเชยทั้งหมดประมาณ 78 ล้านบาท
5.3 การใช้เงินกองทุนฯ ไปจ่ายชดเชยให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยไม่สามารถกระทำได้และไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ในการแก้ไขป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะการขอรับเงินชดเชยเป็นการช่วยเหลือเพื่อยกระดับราคาอ้อยในโครงการฯ ให้เทียบเท่ากับราคาอ้อยที่นำไปผลิตเป็นน้ำตาล แม้ว่าจะใช้วิธีการเดียวกับการนำมันสำปะหลังไปผลิตเอทานอลและจำหน่ายให้ผู้ค้ามาตรา 7 นำไปผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล ก็ตาม ในขณะที่การชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังที่เคยดำเนินการเมื่อปลายปี 2555 นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการป้องกันการขาดแคลนเอทานอลที่ผสมน้ำมันแก๊สโซฮอลในระยะยาว และ เป็นการชดเชยระยะสั้นเพียง 5 เดือนเท่านั้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรองรับการใช้ เอทานอลที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลของนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2556
5.4 เพื่อเป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยโดยเร็ว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงมหาดไทย หารือสำนักงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการชดเชยราคาอ้อย ในพื้นที่โครงการฯ
มติของที่ประชุม
1. ภายใต้ขอบเขตการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่สามารถสนับสนุนชดเชยให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตากได้ เนื่องจากไม่อยู่ในขอบเขตและไม่ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น ในระยะสั้น (ปี 2556) ควรพิจารณาใช้เงินงบประมาณกลางในการชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ในลุ่มน้ำ แม่ตาว จังหวัดตากแทน
2. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ทำหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป