![Super User](http://www.gravatar.com/avatar/8f29cc35bfcee5e137109c704783b4c7?s=100&default=https%3A%2F%2Feppo.go.th%2Fepposite%2Fcomponents%2Fcom_k2%2Fimages%2Fplaceholder%2Fuser.png)
Super User
การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน 19 พฤษภาคม 2559
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 8 มิถุนายน 2559
ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบผู้ไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันของการจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารสื่อมวลชนสัมพันธ์และบริหารศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ประกาศ / ประกาศผล ¦ เอกสารประกวดราคา
¦ TOR
¦ ราคากลาง
รัฐมนตรีพลังงาน และผู้บริหารสูงสุดของ สพช. / สนพ.
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับราชการ สพช.
Minister to the Prime Minister's Office
1.นายศุลี มหาสันทนะ
2.ดร. ไพจิตร เอื้อทวีกุล
3.นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์
4.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์
5.ดร. สาวิตต์ โพธิวิหค
6.นายจาตุรนต์ ฉายแสง
7.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
The Minister of Energy
1.นาย พงศ์เทพ เทพกาญจนานายแพทย์
2.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดชนาย
3.วิเศษ จูภิบาลดร
4.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์
5.พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ
6.นายแพทย์ วรรณรัตน์ ชาญนุกูล
7.นายพิชัย นริพทะพันธุ์
8.นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์
9.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
10.นายณรงค์ชัย อัครเศรณีปัจจุบัน
11.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์
12.นายศิริ จิระพงษ์พันธ์
13.นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
Director General of EPPO
1.เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คนแรก
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์
First NEPO Secretary General
Dr. Piyasvasti Amranand
2.เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คนที่สอง
นายภิรมย์ศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ
ดำรงตำแหน่ง 2 ตุลาคม 2543 - 30 เมษายน 2544
Second NEPO Secretary General
Mr. Piromsakdi Laparojkit
3.เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์
Third NEPO Secretary General
พ้นจากตำแหน่ง มิถุนายน 2545
4.ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
นายเมตตา บันเทิงสุข
First EPPO Director General
Mr. Metta Banturngsuk
5.นายวีระพล จิรประดิษฐกุล
Mr Viraphol Jirapraditkul
พ้นจากตำแหน่ง 18 มีนาคม 2554
6.นายบุญส่ง เกิดกลาง
ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
Mr.Boonsong Kerdklang
ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 24 มีนาคม 2554 - 28 เมษายน 2554
7.นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
Mr.Suthep Liumsirijarern
ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 28 เมษายน 2554 - 30 กันยายน 2556
8.นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ
Mr.Samerjai Suksumek
เข้าสู่ตำแหน่งตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2556 - มิถุนายน 2557
9.นายชวลิต พิชาลัย
Mr. Chavalit Pichalai
เข้าสู่ตำแหน่งตั้งแต่ 7 กรกฎาคม 2557 - กรกฎาคม 2558
10.นายทวารัฐ สูตะบุตร
Mr. Twarath Sutabutr
เข้าสู่ตำแหน่งตั้งแต่ 14 กรกฎาคม 2558 - กันยายน 2561
11.นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท
Mr.Wattanapong Kurovat
เข้าสู่ตำแหน่งตั้งแต่ 6 เมษายน 2562 - ปัจจุบัน
ประกาศกบง.ฉบับที่ 14 พ.ศ. 2559
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 7 มิถุนายน 2559
กบง. ครั้งที่ 12 - วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2558 (ครั้งที่ 12)
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.00 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2558 ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 31.71 52.62 และ 43.27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 23 ธันวาคม 2558 อยู่ที่ 36.2308 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 24 ธันวาคม 2558 อยู่ที่ 29.37 บาทต่อลิตร และราคาเอทานอล ณ เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 25.00 บาทต่อลิตร ลดลง 3.11 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 12 มกราคม 2558
2. จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2558 อยู่ในระดับต่ำ ดังนี้ 30.76 23.80 23.38 21.44 18.79 และ 20.59 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีการอ้างอิงราคาน้ำมัน ไม่ได้ลดลงตามราคาน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.25 บาทต่อลิตร ต่ำกว่าน้ำมันเบนซินอยู่ 1.35 บาทต่อลิตร จึงเป็นโอกาสในการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ของน้ำมันดีเซลให้ใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซิน โดยไม่ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถ ปรับภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรดำเนินการ 2 ช่วง ดังนี้
2.1 ช่วง 1 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อสะสมไว้สำหรับ โอนเป็นภาษีสรรพสามิต ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำหรือราคาปรับตัวลดลง ซึ่งในขณะนี้สามารถ ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้นได้ 0.70 บาทต่อลิตร จาก 0.05 บาทต่อลิตร เป็น 0.75 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 1,235 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายจ่าย 198 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 1,037 ล้านบาทต่อเดือน2.2 ช่วงที่ 2 ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1 บาทต่อลิตร จาก 4.25 บาทต่อลิตร เป็น 5.25 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.18 บาทต่อลิตร ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต 1 บาทต่อลิตร ภาษีเทศบาล 0.10 บาทต่อลิตร และภาษีมูลค่าเพิ่ม 0.08 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น เห็นควรให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันดีเซลลดลง 1.10 บาทต่อลิตร จาก 0.75 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.35 บาทต่อลิตร พร้อมกับวันที่มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2558 มีทรัพย์สินรวม 49,301 ล้านบาท หนี้สินรวม 6,680 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 42,621 ล้านบาท โดยแยกเป็นส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิง 35,014 ล้านบาท และก๊าซ LPG 7,607 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพิ่มขึ้น 0.70 บาทต่อลิตร จาก 0.05 บาทต่อลิตร เป็น 0.75 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2558 และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เกี่ยวกับการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรืออัตราเงินชดเชย โดยกำหนดให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป (Finished Products) ที่มีคุณภาพเป็นไปตามที่กรมธุรกิจพลังงานประกาศกำหนด
2. เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลงเท่ากับภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาลที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลคงเดิม ในกรณีที่น้ำมันดีเซลคงเหลือ ณ คลังน้ำมันได้มีการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้เกินให้สามารถขอคืนได้ โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้วันเดียวกับการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล
เรื่อง การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวล
สรุปสาระสำคัญ
1. สมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลและเครือข่ายได้ร้องเรียนต่อประธานกรรมการนโยบายแห่งชาติ ถึงความไม่เป็นธรรมจากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่มีมติให้ปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในระบบ Adder เป็นระบบ Feed-in Tariff (FiT) ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในรูปแบบ Adder ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น FiT ได้ ซึ่งสมาคมฯ มีข้อเสนอให้แก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ โดยการให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลทุกรายที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบ Adder มีสิทธิเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT
2. ต่อมา ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลฯ เสนอต่อ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ซึ่ง กพช. มีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับข้อเสนอของสมาคมฯ ไปศึกษาข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ได้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน ดังนั้น เพื่อให้ข้อร้องเรียนดังกล่าวได้รับการแก้ไข ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ ตรวจสอบและศึกษาข้อเท็จจริงของข้อร้องเรียนดังกล่าว ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอของสมาคมฯ เพื่อให้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาต่อ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ เสนอคำสั่งให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
กบง. ครั้งที่ 11 - วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2558 (ครั้งที่ 11)
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.00 น.
1. รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
2. ความคืบหน้าการหารือโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG และค่าขนส่งก๊าซ NGV
3. การนำส่งเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
5. แผนการดำเนินงานหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในปี 2559
6. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนธันวาคม 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. นายวัชระ เพชรทอง ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ต่อศาลปกครองกลาง เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อประชาชนและไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคทั้งประเทศ โดยขอให้เพิกถอนมติ กบง. ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 และขอให้ศาลไต่สวนและกำหนดวิธีการชั่วคราวเพื่อระงับการประกาศใช้มติ กบง. ดังกล่าวไว้ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีไปให้ถ้อยคำต่อศาลในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและพิจารณาคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของผู้ถูกฟ้องคดี
2. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ กบง. ได้มอบหมายให้รองผู้อำนวยการ สนพ. (นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ) เป็นผู้ให้ถ้อยคำต่อศาล ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 แทน เนื่องจากติดราชการสำคัญ โดยยืนยันว่า การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดสาธารณประโยชน์ สร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุกภาคส่วน ยกเลิกการบิดเบือนราคา ลดการชดเชยจากน้ำมันประเภทอื่น (cross subsidy) และทำให้การผลิต การบริโภค และการลงทุนเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างที่ควรจะเป็น
3. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล คดีหมายเลขดำที่ 348/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 561/2558 โดยศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากผู้ฟ้องคดียังไม่ถือว่าเป็นผู้เดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงไม่เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานผลคดีดังกล่าวต่อ กบง. เพื่อทราบแล้วเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558 ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้อง เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ในขั้นตอนต่อไปศาลปกครองจะได้มีหมายแจ้งคำสั่งศาลถึงผู้ถูกฟ้องคดี (กบง.) เพื่อให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง ความคืบหน้าการหารือโครงสร้างต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG และค่าขนส่งก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ประธานฯ ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ LPG และก๊าซ NGV และให้นำเสนอให้ที่ประชุมทราบในการประชุมครั้งถัดไป ดังนั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 สนพ. ได้มีการประชุมร่วมกับ ปตท. เพื่อหารือเกี่ยวกับต้นทุนก๊าซ LPG ซึ่งมาจาก 4 แหล่ง และมีต้นทุนฯ ดังนี้ (1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยต้นทุนโรงแยกฯ เดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงมกราคม 2559 อยู่ที่ 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม (2) โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก ต้นทุนฯ อ้างอิงราคาตลาดโลก CP-20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แต่กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอขอต้นทุนราคาก๊าซ LPG ไม่ต่ำกว่า CP Flat ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาด้านปริมาณก๊าซ LPG จากโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้น (3) นำเข้า ต้นทุนจากการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับสูตรราคาเดิมที่ราคา LPG ตลาดโลก (CP)+85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยต้นทุนการนำเข้า ก๊าซ LPG ในปี 2557 และปี 2558 อยู่ที่ 85 และ 103 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่ง สนพ. ได้ทำหนังสือขอให้ ปตท. ชี้แจงข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายในแต่ละรายการเพื่อใช้ในการตรวจสอบแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอข้อมูล และ (4) บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด ต้นทุนก๊าซ LPG จาก บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด เดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงมกราคม 2559 อยู่ที่ 15.30 บาทต่อกิโลกรัม
2. ส่วนต้นทุนราคาก๊าซ NGV ปัจจุบันคำนวณภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย สนพ. ได้มีการทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ NGV เป็นรายเดือน รวมถึงมีการติดตามต้นทุนก๊าซ NGV ของ ปตท. ด้วย ซึ่งจากผลการศึกษาต้นทุนก๊าซ NGV ของสถาบันวิจัยฯ พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ณ เดือนตุลาคม 2558 อยู่ที่ 14.51 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาขายปลีกก๊าซ NGV จากข้อมูลต้นทุนก๊าซ NGV ตามจริงของ ปตท. ในปี 2557 อยู่ที่ 17.79 บาทต่อกิโลกรัม
3. หลักเกณฑ์การคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบัน ปตท. มีการคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร เช่น ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในสถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุดที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงรายนั้นอยู่ที่ 15.34 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี อบจ.) ในขณะที่ผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยฯ พบว่า ต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักจะอยู่ที่ 0.0167 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร แต่ปัจจุบัน สนพ. ได้มีการปรับปรุงต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก มาอยู่ที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง ดังนั้น หากกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้สถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุด (จังหวัดเชียงราย) ซึ่งมีระยะทางในการขนส่งก๊าซ NGV เท่ากับ 465.62 กิโลเมตร มีค่าขนส่งอยู่ที่ 6.72 บาทต่อกิโลกรัม (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 20.22 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม การกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก โดยใช้ต้นทุนค่าขนส่งจริงที่ 0.0151 บาทต่อกิโลกรัม จะเป็นการช่วยสนับสนุนให้โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพอัด (Compressed Biogas: CBG) ในพื้นที่ห่างไกลสถานีหลักก๊าซ NGV มีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น
4. การส่งเสริมการผลิตก๊าซ CBG สนพ. ได้มีการพิจารณาต้นทุนก๊าซ CBG เพื่อมาเปรียบเทียบกับต้นทุนก๊าซ NGV ซึ่งผลที่ได้ในเบื้องต้นโดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พบว่า ต้นทุนการผลิตและขนส่งก๊าซ CBG จนถึงสถานีจำหน่าย NGV จากน้ำเสียจะอยู่ที่ 8.63 – 12.97 บาทต่อกิโลกรัมไบโอมีเทน ซึ่งหากต้องการที่จะส่งเสริมก๊าซ CBG ก็จำเป็นต้องพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลตอบแทนทางการเงินเพื่อจูงใจนักลงทุน ซึ่งจากผลการศึกษา ค่า financial rate of return ของ CBG ที่หน้าสถานีบริการ ต้องอยู่ที่ราคา 20 บาทต่อกิโลกรัมไบโอมีเทน จึงจะใกล้เคียงกับราคาก๊าซชีวภาพที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้ราคาก๊าซ CBG สามารถแข่งขันในตลาดได้ รัฐควรมีนโยบายส่งเสริม ดังนี้ (1) สนับสนุนด้านเงินลงทุน (2) สนับสนุนเงินทุนในการทดสอบคุณภาพของก๊าซ CBG (3) สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และ (4) เพื่อไม่ให้เกิดค่าขนส่ง สถานีบริการก๊าซ CBG ควรตั้งอยู่ที่เดียวกับโรงงานที่ผลิต
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง การนำส่งเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. ในช่วงปี 2555-2556 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งผลิตก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และโรงอะโรเมติกส์ ได้ยื่นเอกสารต่อกรมสรรพสามิต เพื่อขอรับเงินเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับ ก๊าซ LPG ที่ผลิตภายในประเทศ ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบตามระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและ การเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 และได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อขอเบิกจ่ายเงินชดเชยให้แก่บริษัทฯ สบพน. จึงได้จ่ายเงินชดเชยให้กรมสรรพสามิตเพื่อจ่ายให้บริษัทฯ แล้ว แต่เนื่องจากบริษัทฯ เห็นว่าการจำหน่าย ก๊าซ LPG จากโรงอะโรเมติกส์ไม่เข้าข่ายที่จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ จึงขอส่งเงินดังกล่าวคืน โดยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 กรมสรรพสามิตได้นำเช็คฝากเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ แล้ว จำนวน 216,491,329.78 บาท
2. ต่อมา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อสอบถามเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ดังนี้ (1) วิธีการและหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบว่าบริษัทฯ ส่งเงินคืนครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ (2) การตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีบริษัทอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายได้รับเงินชดเชยตามประกาศ กบง. หรือไม่ และ (3) การเบิกจ่ายเงินชดเชยในช่วงดังกล่าว เป็นช่วงที่กองทุนน้ำมันฯ ขาดสภาพคล่อง และได้กู้เงินจากสถาบันการเงิน ทำให้มีต้นทุนดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส สบพน. ได้มีการรายงานผลเสียหายที่เกิดขึ้นต่อ กบง. หรือไม่ ซึ่งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 สบพน. ได้รายงานเรื่องที่บริษัทฯ ส่งเงินคืนจำนวน 216,491,329.78 บาท ให้ กบง. ทราบแล้ว และมีการตอบบันทึกข้อความของ สตง. แล้ว
3. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 สบพน. ได้หารือกับ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสนพ. เพื่อสรุปแนวทางในการดำเนินการตามที่ สตง. สอบถาม ซึ่งผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นว่าหากบริษัทฯ ชดใช้เงินก็ถือว่ากองทุนไม่เสียหาย รวมทั้งตามระเบียบคำสั่งไม่ได้ระบุการเรียกค่าเสียหายจากกรณีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สบพน. ได้คำนวณต้นทุนเงินกู้และค่าเสียโอกาสจากการลงทุนอันเกิดจากการเบิกจ่ายเงินชดเชยของบริษัทฯ พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 8,190,110.76 บาท โดยแบ่งเป็น ช่วงที่มีภาระหนี้เงินกู้ 5,236,680.50 บาท และช่วงที่ไม่มีภาระหนี้เงินกู้ 2,953,430.26 บาท ซึ่ง สบพน. ได้ประสานกับ สนพ. เพื่อหารือเกณฑ์การคำนวณดังกล่าว และได้แจ้งให้สรรพสามิตพื้นที่ระยองแจ้งให้บริษัทฯ ทราบ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2558 กรมสรรพสามิต ได้ส่งสำเนาเอกสารการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของบริษัทฯ จำนวน 8,190,110.76 บาท เรียบร้อยแล้ว และเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 กรมสรรพสามิต ได้มีหนังสือถึง สบพน. เพื่อชี้แจงวิธีการตรวจสอบและสรุปผลการตรวจสอบการขอรับเงินของบริษัทฯ และการตรวจสอบเพิ่มเติมกับบริษัทอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ตามประกาศ กบง. เรียบร้อยแล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 หมวด 7 การตรวจสอบภายใน ข้อ 26 ให้ สบพน. จัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงาน การรับ-จ่ายและการควบคุมภายในของโครงการที่ได้รับเงินจากกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานต่อปลัดกระทรวงพลังงาน (ปพน.)อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งตามคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ ลงวันที่ 23 มีนาคม 2548 ให้ สบพน. แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายใน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานต่อ ปพน. เพื่อนำ กบง. ต่อไป
2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. ได้ปฏิบัติงานในด้านการตรวจสอบการเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการและงบบริหารที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ โดยการสอบทานเอกสารและสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย (1) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) (2) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) (3) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) (4) สบพน. (5) กรมสรรพสามิต และ (6) กรมศุลกากร และได้รายงานผลการตรวจสอบต่อผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานที่ได้รับการตรวจสอบ รวมทั้งรายงานต่อผู้อำนวยการและคณะกรรมการตรวจสอบของ สบพน. พิจารณาเห็นชอบแล้ว โดยมีการตรวจสอบดังนี้ (1) การเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการ ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2558 และโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า (2) การเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินงบบริหาร ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2558 (3) การบันทึกบัญชี เข้าระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลาง (4) การจัดทำรายงาน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ตามระยะเวลาที่ระเบียบกระทรวงพลังงานฯ กำหนดไว้ และ(5) การควบคุมภายใน เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินโครงการและงบบริหารที่เหมาะสม
3. ในภาพรวมการเบิก-จ่ายเงินเป็นไปตามแผนการใช้เงินที่ได้รับอนุมัติ และการปฏิบัติงานเป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงานฯ มีเพียงบางหน่วยงานที่ไม่พบการบันทึกบัญชีและจัดส่งรายงานการเงินประจำเดือนล่าช้ากว่าที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ ซึ่งได้แจ้งให้ผู้ที่รับผิดชอบรับทราบ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขแล้ว โดยสรุป มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk) ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ (Compliance Risk) และความเสี่ยงทางด้านการเงิน (Financial Risk) อยู่ในระดับต่ำ มีการควบคุมภายในด้านการเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินอยู่ในระดับที่เหมาะสม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง แผนการดำเนินงานหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในปี 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะทำงานจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าได้หารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรื่องแผนการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ ประจำปี 2559 ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงระบบไฟฟ้า เพื่อนำมาจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความมั่นคงในระบบ สรุปสาระสำคัญของแผนการดำเนินงานและผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ได้ดังนี้
1.1 แผนการทำงานการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ ในปี 2559 ที่มีผลกระทบต่อภาคไฟฟ้าปี 2559 ได้แก่ (1) แหล่งยาดานา มีแผนหยุดการผลิตในเดือนมีนาคม 2559 เป็นเวลา 4 วัน ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 1,070 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (2) แหล่งซอติก้า มีแผนการหยุดผลิตระหว่างวันที่ 19 – 28 มีนาคม 2559 ส่งผลต่อการลดปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 640 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (3) แหล่งเยตากุน มีแผนการหยุดผลิต ระหว่างวันที่ 10 – 18 เมษายน 2559 ส่งผลต่อการลดปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันตกประมาณ 570 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (4) แหล่ง JDA-A18 มีแผนการหยุดซ่อมบำรุงในเดือนเมษายน 2559 เป็นเวลา 12 วัน ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันออก และพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาประมาณ 420 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งผลกระทบให้ ปตท. ต้องหยุดจ่ายก๊าซฯ ให้แก่โรงไฟฟ้าและสถานี NGV จะนะ และ (5) แหล่งสินภูฮ่อม มีแผนหยุดซ่อมบำรุงระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน 2559 ส่งผลต่อปริมาณการจ่ายก๊าซฯ ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือให้แก่โรงไฟฟ้าและสถานี NGV น้ำพอง รวมประมาณ 150 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่ง ปตท. ได้ประสานงานกับ กฟผ. ในการกำหนดช่วงเวลาซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้าให้สอดคล้องกับแผนการทำงาน ของผู้ผลิตก๊าซฯ เพื่อลดผลกระทบ1.2 กฟผ. ได้พิจารณาแผนหยุดจ่ายก๊าซฯ ผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า และแผนการดำเนินงานของ กฟผ. แล้ว สรุปได้ว่า (1) เสนอให้เลื่อนการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ จากแหล่งสินภูฮ่อมจากเดิมระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน 2558 เป็นวันที่ 17-26 กันยายน 2558 เพื่อให้ตรงกับแผนหยุดซ่อมบำรุงประจำปีของโรงไฟฟ้า (2) การหยุดจ่ายก๊าซฯ จาก JDA-A18 ในเดือนเมษายน 2559 (12 วัน) จะไม่มีผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าภาคใต้ และยังคงสามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับมาตรฐานความมั่นคง N-1 ได้ แต่จะมีผลทำให้การใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จำนวน 12 และ 16 ล้านลิตร ตามลำดับ (3) การหยุดจ่ายก๊าซฯ จากสหภาพ เมียนมาร์ (ยาดานา เยตากุน และซอติก้า) ในช่วงวันที่ 19-28 มีนาคม 2559 และ 9-18 เมษายน 2559 จะไม่มีผลกระทบต่อระบบไฟฟ้านครหลวงและยังคงสามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับมาตรฐานความมั่นคง N-1 ได้ แต่จะมีผลทำให้ต้องใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลเพิ่มในเดือนเมษายน 2559 จำนวน 6 และ 1.3 ล้านลิตร ตามลำดับ
2. ตามแผนการทำงานของผู้ผลิตก๊าซฯ ข้างต้น อาจทำให้มีความจำเป็นต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมันในปริมาณค่อนข้างสูงซึ่งจะมีผลกระทบต่อ Ft งวดเดือนมกราคม – เมษายน 2559 ดังนั้น ปตท. และ กฟผ. จึงอยู่ระหว่างเจรจาปรับเปลี่ยนกำหนดการหยุดซ่อมเพื่อลดผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า โดย กฟผ.ได้เสนอกรอบเวลาที่เหมาะสม ดังนี้ (1) ปรับเลื่อนกำหนดการหยุดผลิตของแหล่งยาดานาซึ่งจะส่งผลให้ต้องหยุดจ่ายก๊าซฯ จากสหภาพ เมียนมาร์ทุกแหล่ง จากเดือนมีนาคม 2559 เป็น 12-18 เมษายน 2559 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แหล่งเยตากุนหยุดผลิต และ (2) ปรับเลื่อนกำหนดการหยุดผลิตของแหล่ง JDA-A18 จากช่วงเดือนเมษายน 2559 เป็นระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม 2559 (12 วัน) สำหรับกระทรวงพลังงานมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ (1) กระทรวงพลังงานร่วมกับ กฟผ. และ บมจ. ปตท. ดำเนินงานหารือแผนการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติร่วมกันเพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ให้ได้ข้อยุติและรายงาน กบง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ และ (2) สนพ. และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานจัดเตรียมมาตรการรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น การรณรงค์การลดใช้พลังงานไฟฟ้า และมาตรการ Demand Response เป็นต้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนธันวาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 466 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2558 จำนวน 55 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2558 อยู่ที่ 35.9366 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2558 ที่ 0.0614 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.7040 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.8011 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 16.5051 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.04 บาทต่อกิโลกรัม
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันฯ ก๊าซ LPG ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,937 ล้านบาท จึงขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 3 แนวทาง ดังนี้ (1) คงราคาขายปลีกไว้ที่ 22.29 บาท ต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ 0.7040 บาทต่อกิโลกรัม จาก 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 557 ล้านบาทต่อเดือน (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ อีก 0.0778 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.6908 บาทต่อกิโลกรัมซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 22.96 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 333 ล้านบาท/เดือน และ (3) คงอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.6130 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.04 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 11.30 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 312 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 1.3170 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 13 - วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2559 (ครั้งที่ 13)
วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 14.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมกราคม 2559
2. Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
3. การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
4. แนวทางดำเนินการโครงการนำร่องการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเสรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมกราคม 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนมกราคม 2559 อยู่ที่ 363 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 103 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 36.1761 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ 0.2395 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 1.5501 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.5051 บาทต่อกิโลกรัม (459.2837 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 14.9550 บาทต่อกิโลกรัม (413.3943 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง ดังนี้ (1) คงราคาขายปลีกไว้ที่ 22.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1.5501 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.2331 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 2 ล้านบาทต่อเดือน และ (2) ปรับลดราคาขายปลีกลง 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ ลง 0.9240 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.3930 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 21.62 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 225 ล้านบาท ต่อเดือน ทั้งนี้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,495 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.2331 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
เรื่อง Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV โดยมีเป้าหมายให้ราคาขายปลีกเป็นไปตามกลไกตลาด ดังนี้ (1) ปรับเพิ่มราคาก๊าซ NGV สำหรับรถส่วนบุคคล 1 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 10.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 11.50 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ให้คงราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่อมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีการพิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV จำนวนทั้งสิ้น 4 ครั้ง ได้แก่ (1) วันที่ 30 กันยายน 2557 (2) วันที่ 2 ธันวาคม 2557 (3) วันที่ 30 มกราคม 2558 และ (4) วันที่ 7 กันยายน 2558 โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2558 ได้เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2558 เป็นต้นไป
2. โครงสร้างราคาก๊าซ NGV ปัจจุบันยังคงคำนวณตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากการที่ สนพ. ได้ทบทวนต้นทุนภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากการติดตามต้นทุน NGV ของ ปตท. พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ได้จากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยฯ และต้นทุนของ ปตท. อยู่ที่ 14.32 และ 16.97 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ นอกจากนี้สถาบันวิจัยฯ ยังได้มีการคิดค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่เป็นส่วนของ ปตท. และส่วนที่เป็นของเอกชน โดยมีการแบ่งสัดส่วนตามปริมาณขายระหว่างสถานีบริการนอกแนวท่อกับสถานีบริการบนแนวท่อ ในอัตรา 55:45 ซึ่งค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินการสถานีบริการก๊าซ NGV มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายดำเนินการมาคำนวณเฉพาะในส่วนที่เป็นของเอกชนอย่างเดียว โดยใช้สัดส่วนการดำเนินธุรกิจจากสถานีหลักไปสถานีลูกต่อสถานีแนวท่อตามจริงคือ 60:40 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่คำนวณได้ลดลงจากเดิมที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะภาคเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม
3. เนื่องจากราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันยังไม่สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน โดยให้ปรับไปตามประมาณการราคาของเดือนมกราคม 2559 จากเดิมที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.62 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2558 เป็นต้นไป และตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน โดยในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน โดยขอความร่วมมือ ปตท. พิจารณาให้ส่วนลดสำหรับการขายส่งก๊าซ NGV จากแนวท่อ (Ex-Pipeline) สำหรับลูกค้าที่เป็นคู่สัญญาของ ปตท. นับตั้งแต่วันที่ ปตท. เริ่มมีการขายส่งก๊าซ NGV จากแนวท่อไปยังลูกค้าดังกล่าว3.2 แนวทางที่ 2 ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปจนกว่าต้นทุนราคา ก๊าซ NGV จะลดลงมาเท่ากับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม จึงจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน โดยในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ย Pool Gas ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือนโดยทั้ง 2 แนวทางจะขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไว้ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม และให้ปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ จากเดิม 9,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะจาก 35,000 บาทต่อเดือน เป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน รับไปศึกษาเพิ่มเติมความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนราคาก๊าซ NGV โดยให้คำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในอดีตด้วย และให้นำกลับมารายงานอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่อง การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
2. ปัจจุบันประกาศกรมธุรกิจพลังงานได้กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยกำหนดว่าต้องมีสัดส่วนการผสมพลังงานทดแทนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9.0 9.0 19.0 75.0 และ 6.5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 10.0 10.0 20.0 E85 (ไม่ได้กำหนด) และ 7.0 ตามลำดับ ทั้งนี้จากการที่ราคาพลังงานทดแทนมีราคาสูงกว่าพลังงานจากฟอสซิล ทำให้ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงผสมพลังงานทดแทน ในสัดส่วนที่ต่ำสุดตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานเพื่อให้มีต้นทุนต่ำ ดังนั้น เพื่อให้หลักเกณฑ์สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยให้ใช้สัดส่วนการผสมในอัตราต่ำตามประกาศกรมธุรกิจพลังงานในการแทนค่าในการคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
3. ผลจากการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น จะทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลง โดยจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.5352 1.4357 1.2728 และ 3.3237 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ 1.6347 1.5380 1.3707 4.3416 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ค่าการตลาดคงเดิมอยู่ที่ 2.5471 และ 1.6242 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานผู้ค้าเพื่อปรับราคาขายปลีกให้เหมาะสมต่อไป
เรื่อง แนวทางดำเนินการโครงการนำร่องการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเสรี
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เห็นชอบข้อเสนอโครงการปฏิรูปเร็ว (Quick win) เรื่อง โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร) ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการฯ โดยเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่
การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้น้อยที่สุด โดยราคารับซื้อไฟฟ้าต้องไม่ก่อภาระต่อประชาชน และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการฯ โดยให้ดำเนินการในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน และให้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ให้ กบง. ทราบเป็นระยะต่อไป
2. พพ. ได้ประชุมหารือแนวทางดำเนินโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนด แนวทางการดำเนินโครงการ Pilot Project สรุปได้ดังนี้
2.1 แนวคิดการดำเนินโครงการได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายโครงการ กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่เป้าหมาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง และรูปแบบโครงการ2.2 ระเบียบที่ใช้รองรับโครงการ สามารถนำระเบียบเดิมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง ว่าด้วยข้อกำหนดการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า พ.ศ. 2551 มาปรับใช้กับการดำเนินโครงการ ซึ่งปัจจุบัน การไฟฟ้าฯ และ กกพ. อยู่ระหว่างการปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า2.3 ขั้นตอนดำเนินการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลักคือ การปรับปรุงกฎระเบียบ การประกาศเปิด รับสมัคร การพิจารณาตอบรับเข้าร่วมโครงการ การติดตั้งระบบ และตรวจสอบระบบเชื่อมต่อ2.4 ข้อจำกัดทางเทคนิค การไฟฟ้าฯ ได้ให้ข้อมูลเรื่อง ข้อจำกัดทางเทคนิคที่ต้องคำนึงในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณกำลังไฟฟ้า และข้อจำกัดปริมาณการติดตั้ง2.5 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการให้บรรลุผลสำเร็จ มีประเด็นที่ควรพิจารณา ประกอบด้วย รูปแบบการสนับสนุน การกำกับดูแล การติดตามผล การตรวจวัดข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการสมัครเข้าร่วมโครงการ2.6 พื้นที่และปริมาณการติดตั้ง ในขั้นโครงการระยะนำร่อง ได้กำหนดปริมาณการติดตั้งที่ 100 MWp ตามลำดับการยื่นขอ จนกว่าจะครบ 100 MWp โดยติดตั้งในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ.2.7 แผนการดำเนินงานโครงการ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี โดยมีแผนการดำเนินงานดังนี้ (1) เดือนมกราคม 2559 นำเสนอแนวทางดำเนินโครงการต่อ กบง. (2) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 กกพ. พิจารณากำหนดแนวทางหรือระเบียบการติดตั้ง (3) เดือนมีนาคม 2559 กฟน. และ กฟภ. ประชาสัมพันธ์โครงการและเปิด รับสมัคร (4) เดือนเมษายน 2559 ติดตั้งโซลาร์รูฟเสรีในระยะนำร่อง จนครบปริมาณ 100 MWp และ (5) สิ้นปี 2559 ติดตามและประเมินผลกระทบต่อความมั่นคงระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการส่งเสริมในระยะต่อไป
มติของที่ประชุม
รับทราบ
กบง. ครั้งที่ 21 - วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2559 (ครั้งที่ 21)
เมื่อวันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 14.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2559
2. ยกเลิกการชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม
3. ความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้มาประชุม
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
9. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนเมษายน 2559 อยู่ที่ 332 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก
เดือนก่อน 30 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ราคาก๊าซ LPG นำเข้า และราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน อยู่ที่ 417 และ 312 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ โดยราคาก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และราคาก๊าซ LPG จาก ปตท. สผ. อยู่ที่ 436 และ 432 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 4.47 และ 4.4262 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนเมษายน 2559 อยู่ที่ 35.4031 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนมีนาคม 2559 เท่ากับ 0.3664 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากต้นทุนก๊าซ LPG ดังกล่าว ส่งผลให้ราคา ณ
โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.6826 บาทต่อกิโลกรัม (382.5221 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 14.0285 บาทต่อกิโลกรัม (396.2513 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ วันที่ 27 มีนาคม 2559 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,244
ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ 1 คงราคา
ขายปลีกไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ อีก 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม
จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.7095 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 263 ล้านบาทต่อเดือน และแนวทางที่ 2 ปรับเพิ่มราคาขายปลีกขึ้น 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยกองทุนลง 0.2802 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.0834 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 20.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.96 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาท/ถัง 15 กก.) ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 30 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.7095 บาทต่อกิโลกรัม โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
6 เมษายน 2559 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 ยกเลิกการชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม
สรุปสาระสำคัญ
1. ช่วงปี 2553 การใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มีปริมาณ 457 พันตันต่อเดือน และการผลิตในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 314 พันตันต่อเดือน ซึ่งทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 110 - 154 พันตันต่อเดือน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 1,606 - 2,017 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันฯ รัฐจึงมีนโยบายเพิ่มปริมาณการจัดหาภายในประเทศ โดยมาตรการหนึ่งคือเพิ่มการผลิตไฟฟ้า
จากโรงไฟฟ้าขนอม เพื่อให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 4 (ขนอม) สามารถเดินเครื่องผลิตก๊าซ LPG ได้เพิ่มขึ้น
แต่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าขนอมเดินเครื่องไม่เต็มกำลัง เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพต่ำ และมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สูง ดังนั้นการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอมจะทำให้ค่าไฟฟ้าที่ผลิตสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนค่า Ft รัฐจึงเห็นควรให้จ่ายชดเชยโดยลดราคาก๊าซธรรมชาติให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าขนอม ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กบง. ได้พิจารณาการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซ LPG ในประเทศ และมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมและวิธีการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินชดเชย โดยให้เริ่มจ่ายเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2553
2. วันที่ 19 มกราคม 2553 – เดือนมกราคม 2559 โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 4 (ขนอม) สามารถผลิต
ก๊าซ LPG ได้จำนวน 993,836 ตัน และกองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินชดเชยมูลค่าส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับการผลิตก๊าซ LPG ดังกล่าวจำนวน 2,634 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในช่วงเวลาเดียวกันจำนวนเงินชดเชยดังกล่าวคิดเป็นเงินจำนวน 14,523 ล้านบาท ดังนั้น มาตรการการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอมสามารถประหยัดเงินชดเชยจากการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ถึง 11,890 ล้านบาท แต่เนื่องจากโรงไฟฟ้าทดแทนขนอม ชุดที่1 ที่สร้างขึ้นใหม่ขนาด 930 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เดิมจะเริ่มการทดสอบการทำงานทั้งระบบ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 ส่งผลให้มีการเรียกปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติเพียงพอที่จะทำให้โรงแยกก๊าซขนอมสามารถเดือนเครื่องได้เอง ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ จึงไม่มีความจำเป็นต้องชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ยกเลิกชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติ
จากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม รอบเดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม นับจากวันที่โรงไฟฟ้าทดแทนขนอม ชุดที่ 1 ผลิตพลังงานไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date)
เป็นต้นไป
เรื่องที่3 ความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะพลาสติก คือ อัตราเงินชดเชย = 14.50 – ราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 14.50 บาทต่อลิตร จะไม่มีการชดเชยต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะ
โดยให้มีระยะเวลาชดเชย 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561 และให้ สนพ. พิจารณาทบทวนต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกทุกๆ 1 ปี โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561
2. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 เป็นต้นมา สนพ. ได้ดำเนินการออกประกาศกำหนดอัตราเงินชดเชยฯ
ทุกเดือน และข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มีโรงกลั่นฯ มายื่นขอรับเงินชดเชยจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) จำนวน 1 ราย ได้แก่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งรับซื้อน้ำมันที่ได้มาจากการแปรรูปขยะพลาสติกของโรงงานแปรรูปขยะเทศบาลหัวหิน ในปริมาณทั้งหมด 216,114 ลิตร และได้ใช้เงินชดเชยไปทั้งสิ้น 956,785 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ