Super User
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 1 ธันวาคม 2553
ครั้งที่ 50 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 13/2552 (ครั้งที่ 50)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กันยานยน 2550 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของการกำหนดราคา NGV ตามต้นทุน โดยให้ใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ณ ราคาก๊าซเฉลี่ย POOL 2 บวกด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งรวมค่าการตลาดแล้ว และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอในส่วนของค่าใช้จ่ายดำเนินการอีกครั้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 กพช. ได้มีมติมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาและให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์ใหม่ของหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นชอบในหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 สามารถสรุปโครงสร้างราคาขายปลีก NGV ได้ดังนี้
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 กพช. ได้เห็นชอบให้มีการปรับสูตรการคำนวณและแนวทางการกำกับดูแลราคาขายปลีก NGV โดยให้ กพช. กำกับดูแลต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติและให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณาหลักเกณฑ์การคำนวณราคาขายปลีก NGV และได้เห็นชอบให้มีการปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเพิ่มเติมนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)" เพื่อให้ราคาขายปลีก NGV ถูกกำกับดูแลภายใต้กรอบอันเดียวกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับภาคขนส่งชนิดอื่นๆ โดยให้ กบง. เป็นผู้พิจารณา ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีการจัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 โดยได้แก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" และเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์" เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนามต่อไป ดังนี้
3.1 แก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" จากเดิม "น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน และให้ความหมายรวมถึงก๊าซและยางมะตอยด้วย" เป็น "น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน และให้ความหมายรวมถึงก๊าซ ยางมะตอยและก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ด้วย"
3.2 เพิ่มเติมบทนิยาม "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งประกอบด้วยมีเทนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ"
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยแก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" และเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์" และให้ผนวกรวมร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 เข้าด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาความถูกต้องของร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
เรื่องที่ 2 แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยได้เห็นชอบหลักการการจัดสรรปริมาณก๊าซ LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ หลักการกำหนดส่วนต่างราคาระหว่างก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยกำหนดราคาขายปลีกเป็น 2 ราคาด้วยการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็น 2 อัตรา และแนวทางการทยอยปรับขึ้นราคาหลายครั้งเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน และยังได้เห็นชอบแนวทางในการแก้ไขและป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะในส่วนมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวน 20,000 คัน ในระยะเวลา 4 เดือน
2. เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าฯ ได้หารือกับผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการรถแท็กซี่ถึงแนวทางการช่วยเหลือให้รถแท็กซี่เปลี่ยนมาใช้ NGV จำนวน 20,000 คัน ซึ่งสมาคมฯ ยินดีเข้าร่วมโครงการ แต่ขอมีส่วนร่วมในการพิจารณาในส่วนของมาตรฐานของอุปกรณ์ NGV ที่จะนำมาติดตั้งและในการติดตามความก้าวหน้าของการขยายสถานีบริการ NGV และจำนวนรถที่ใช้ขนส่งก๊าซ
3. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้เห็นชอบแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ตามที่คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าฯ เสนอ และอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ในวงเงิน 88.8 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 ที่ให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน ส่งผลให้มาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวน 20,000 คัน ตามที่ กบง. ได้มีมติไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ไม่มีการดำเนินการ และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ในเรื่องมาตรการการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่จำนวน 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ คันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ให้มาใช้ NGV จะสามารถช่วยลดการใช้ก๊าซ LPG ได้ประมาณ 30,000 ตัน/เดือน และช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน ซึ่งจำนวนรถแท็กซี่ที่ติดตั้ง NGV สะสมถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2552 มีจำนวน 45,404 คัน จากที่มีใช้งานอยู่บนท้องถนนประมาณ 75,000 คัน (รถแท็กซี่จดทะเบียนสะสมกับกรมการขนส่งทางบก ณ สิ้นปี 2551 มีจำนวน 84,785 คัน)
4. ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ
4.1 กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
4.2 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สป.พน. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ปตท. และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ ในการเตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ (1) ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก (2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้เป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก (3) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง (4) ตรวจสอบความถูกต้องการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ (5) ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก และ (6) ติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้ สป.พน. และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) สป.พน. ธพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันในส่วนของการตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
4.3 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4.4 เพื่อให้การดำเนินการตามแผนดังกล่าวมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
4.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้ กบง. ทราบ เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
4.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น ระยะเวลาการประกวดราคา 2 เดือนระยะเวลาการติดตั้ง 4 เดือน และ ระยะเวลาตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
4.7 ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 4.2 เป็นจำนวนเงินรวม 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น 1) ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท และ 2) ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG จำนวน 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
4.8 แผนงานนี้ สำหรับใช้ในการสนับสนุนรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1,200,000,000 บาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ
1.1 กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
1.2 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ ในการเตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ
- ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก
- ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้เป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบกและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการรถแท็กซี่
- กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบกซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง
- ตรวจสอบความถูกต้องการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้
- ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก
- ติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และกรมธุรกิจพลังงาน ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันในส่วนของการตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
1.3 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
1.4 เพื่อให้กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
1.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
1.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น
- ระยะเวลาการประกวดราคา 2 เดือน
- ระยะเวลาการติดตั้ง 4 เดือน
- ระยะเวลาตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 1.2 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น
2.1 ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา จำนวน 3,400,000 บาท
2.2 ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG จำนวนประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
3. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200,000,000 บาท (หนึ่งพันสองร้อยล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ เมื่อติดตั้งครบ 30,000 คันแล้ว และมีเงินคงเหลือ หากมีรถแท๊กซี่ต้องการเปลี่ยนเป็น NGV เพิ่มเติม ก็ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้ ธพ. ในการดำเนินโครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย ในวงเงิน 2,600,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะ 1,160 คัน ที่จดทะเบียนในต่างจังหวัดนอกเขตกรุงเทพฯ เพื่อป้องกันอุบัติภัยอันอาจเกิดจากถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะในส่วนภูมิภาค ซึ่งมีจำนวนผู้ตรวจและทดสอบไม่เพียงพอ โดยจัดจ้างผู้ตรวจและทดสอบรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) เพื่อตรวจและทดสอบรถยนต์โดยสารสาธารณะ ในนาม ธพ.
2. ธพ. ได้จัดจ้างคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อดำเนินโครงการฯ โดยมีระยะเวลา 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา ซึ่งได้ครบหนดระยะเวลาดำเนินการในวันที่ 7 มีนาคม 2552 ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ มีปัญหาอุปสรรคทำให้เกิดความล่าช้า เนื่องจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำเป็นต้องมีการนัดหมายล่วงหน้ากับผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะเป็นเวลานาน และมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามความจำเป็นของผู้ประกอบการฯ ทำให้การตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะต้องล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ส่งมอบงานจ้างตามโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการ ตามการอนุมัติของกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้ว เป็นผลให้ ธพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายให้กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ฯ ได้
3. เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอขยายเวลาการดำเนินการ "โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย" ออกไปอีก 6 เดือน เป็นสิ้นสุดโครงการในวันที่ 7 กันยายน 2552
4. เนื่องจากฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเลื่อนวาระนี้มาจากการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 ทำให้ล่วงเลยเวลาที่ขอขยายเดิมแล้ว จึงเห็นควรให้ขยายเวลาสิ้นสุดโครงการเป็นวันที่ 30 กันยายน 2552
มติของที่ประชุม
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ในการดำเนินโครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย ของกรมธุรกิจพลังงาน ออกไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 ภายในกรอบวงเงินเดิม จำนวนเงิน 2,600,000 บาท (สองล้านหกแสนบาทถ้วน) ที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551
เรื่องที่ 4 แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณ 1.20 บาท/ลิตร และ (2) เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 30
2. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 22 กันยายน 2552 (ราคาเอทานอลตามประกาศ กบง.)
หมายเหตุ : ราคาเอทานอล 20.21 บาท/ลิตร
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 22 กันยายน 2552 (ราคาเอทานอลตามราคาซื้อ-ขายจริง)
หมายเหตุ : ราคาเอทานอล 25.00 บาท/ลิตร
จากโครงสร้างราคาน้ำมันที่ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 (22.72 บาท/ลิตร) ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (31.04 บาท/ลิตร) ร้อยละ 27 และที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยอยู่ 7.13 บาท/ลิตร ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ที่ 3.07 บาท/ลิตร แต่เนื่องจากโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลปัจจุบันคำนวณที่ราคาเอทานอล 20.21 บาท/ลิตร ซึ่งราคาเอทานอลซื้อ-ขายจริงอยู่ที่ 25 บาท/ลิตร ทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้ค่าการตลาดต่ำกว่าโครงสร้างที่ สนพ. เผยแพร่ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 จากประมาณร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ค้าน้ำมันให้ขยายโครงข่ายให้กว้างขวางมากขึ้น
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับกองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85
ยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ณ เดือนสิงหาคม 2552 มีปริมาณประมาณ 18,000 ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยในระดับ 7.13 บาท/ลิตร เทียบเท่า 128,340 บาท/เดือน หากปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร จะทำให้ภาระชดเชยเพิ่มขึ้นอีก 57,060 บาท/เดือน เป็นยอดชดเชยทั้งสิ้น 185,400 บาท/เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 40
2. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในอัตราลิตรละ 3.17 บาท จากเดิมชดเชย 7.13 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยให้รัฐบาลจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งทดแทนน้ำมันที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง) ในราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาท/ลิตร โดยจำหน่ายในพื้นที่ทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ยกเว้นรอบเกาะไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ทะเล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 โดยเพิ่มเติมในข้อ 2.1.1 ดังนี้ " กรณีพื้นที่ที่มีปัญหาในการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสะพานปลา ในการที่จะนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งเข้ามาจำหน่ายบริเวณใกล้ฝั่ง หรือสถานีที่องค์การสะพานปลากำกับดูแลบนฝั่ง" โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ไม่เกิน 15 ล้านลิตร/เดือน และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งออกไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 ) และเมื่อสิ้นสุดการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกตว่า ในการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือชาวประมง ต้องเกิดจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ปัจจุบันราคาน้ำมันไม่ได้เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชาวประมงให้เดือดร้อน แต่เป็นปัญหาจากราคาสัตว์น้ำที่ลดลง จึงควรจะใช้เงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ซึ่งเป็นเงินที่ใช้อุดหนุนเกษตรกร/ชาวประมงโดยตรง
3. กรมประมง ได้รายงานผลการดำเนินงานโครงการฯ ดังนี้ 1) การรับสมัครสมาชิกในโครงการฯได้ดำเนินการระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 โดยสมาชิกของโครงการฯ ที่แจ้งความจำนงไว้แล้วและผู้ที่จะเข้าร่วมใหม่สามารถสมัครได้ตามขั้นตอนและขบวนการเดิม และกรมประมงได้แจ้งให้หน่วยงานในภูมิภาคทราบและเริ่มดำเนินการโครงการฯ ต่อไปแล้ว และ 2) ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 มีสถานีจำหน่ายน้ำมันที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ 21 สถานี ใน 10 จังหวัด (จันทบุรี ตราด สงขลา ปัตตานี ชุมพร ชลบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สตูล และระนอง) จากเดิมที่เข้าร่วมโครงการฯ สั่งน้ำมันลงจำหน่าย 32 สถานี ใน 13 จังหวัด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พังงา ระยอง ระนอง สตูล สมุทรสงคราม สุราษฎร์ธานี และสมุทรสาคร) และในช่วงระยะเวลาโครงการฯ 6 เดือน (15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552) ขณะนี้ยังไม่มีสถานีจำหน่ายน้ำมันสั่งซื้อน้ำมันในโครงการฯ เพื่อจำหน่าย
4. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการโครงการ สรุปได้ดังนี้ 1) น้ำมันเขียวและน้ำมันในโครงการฯ มีราคาแตกต่างกันมาก เนื่องจากรัฐบาลปรับภาษีสรรพสามิตจึงทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นและสูงกว่าน้ำมันเขียวถึงลิตรละ 10 บาท ทำให้ชาวประมงบางส่วนไปเติมน้ำมันเขียวแทน 2) น้ำมันดีเซล B5 มีราคาต่ำกว่าน้ำมันในโครงการฯ ประมาณ 1 บาท/ลิตร ทำให้ชาวประมงบางส่วนเลือกใช้น้ำมันที่ถูกกว่า และสถานีบริการเลือกจำหน่ายน้ำมันดีเซล B5 มากกว่าเนื่องจากได้ค่าการตลาดมากกว่าน้ำมันดีเซลในโครงการฯ 3) ค่าการตลาดของน้ำมันในโครงการฯ ต่ำ ซึ่งเดิม สนพ. กำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันลิตรละ 1.50 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทำให้สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันได้รับค่าการตลาดที่เหมาะสม แต่โครงการฯ ในปัจจุบันไม่ได้กำหนดโครงสร้างชัดเจน แต่ให้ใช้โครงสร้างราคาน้ำมันดีเซล B2 แล้วลดลงอีก 2 บาท/ลิตร ทำให้ค่าการตลาดไม่คงที่ 4) น้ำมันในโครงการฯ จำหน่ายได้เฉพาะเรือประมง และควบคุมปริมาณการจำหน่าย และ 5) โครงการฯมีระยะเวลาสั้นเกินไป (6 เดือน) ทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุน
5. เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2552 คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการด้านการประมง ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เรื่อง โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยขอให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เข้ามาใช้ในโครงการฯ และให้ลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงอีก 2 บาท/ลิตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมง
6. ในช่วงที่ผ่านมา การใช้น้ำมันในโครงการฯ (น้ำมันม่วง) อยู่ประมาณ 1,000,000 ลิตร/เดือน โดยเมื่อเทียบกับโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 การใช้น้ำมันม่วงทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการชดเชยเป็น 1.92 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยประมาณ 1,920,000 บาท/เดือน ส่วนการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการชดเชยเป็น 3.54 บาท/ลิตร คิดเป็นประมาณ 3,540,000 บาท/เดือน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าโครงการฯ จะสิ้นสุดในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งเหลือระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งเป็นระยะสั้น ดังนั้น เพื่อให้โครงการฯ ดำเนินการต่อไปได้ ควรให้ใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการฯ และให้ลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงอีก 2 บาท/ลิตร จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ จากนั้นเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้ว ต่อไปให้พิจารณาความเหมาะสมของปัญหาว่าต้องเกิดจากปัญหาราคาน้ำมันแพงเท่านั้น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้นำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) โดยมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ปกติ 2 บาท/ลิตร จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2552 - 14 พฤศจิกายน 2552) โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2552 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการนำเรื่องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ต่อไป
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส ในเดือนสิงหาคม 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 71.34 และ 71.05 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.52 และ 6.95 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 68.38 และ 70.22 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 2.97 และ 0.83 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับข่าว U.S. Commodities Exchange (CME) กำหนดปริมาณซื้อขายในสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ประกอบกับ Petrobras ของบราซิลผลิตน้ำมันดิบในเดือนกันยายน 2552 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1.98 ล้านบาร์เรล/วัน
ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนสิงหาคม 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 82.11, 80.13 และ 79.02 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.28, 9.29 และ 7.94 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.27, 75.53 และ 75.60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 4.84, 4.60 และ 3.42 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและอินโดนีเซียมีแผนลดปริมาณนำเข้าน้ำมันเบนซินในเดือนตุลาคม 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองในประเทศยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินบริเวณ Amsterdam Rotterdam Antwerps สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 กันยายน 2552 ปรับสูงขึ้น อยู่ที่ 6.97 ล้านบาร์เรล
2. จากมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ได้มีมติให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 2.00 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 ลง 0.40 บาท/ลิตร ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2552 จากมาตรการดังกล่าวและสถานการณ์ราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E85 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.20 บาท/ ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร และในช่วงวันที่ 1-21 กันยายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 , แก๊สโซฮอล 95 E10, E20 , แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 1.10 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงลด 0.90 และ 1.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการปรับราคา ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 อยู่ที่ระดับ 40.24, 34.64, 31.04, 28.74, 22.72, 30.24, 26.79 และ 25.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนกันยายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 75 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 577.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ปรับตัวสูงสุดในรอบ 11 เดือน ตามราคาน้ำมันดิบและราคาแนฟทาที่ปรับตัวสูงขึ้น และจากความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเชียมีจำนวนมากโดยเฉพาะจากจีนและอินโดนีเซีย ที่ระดับราคา LPG ณ โรงกลั่น 332.75 เหรียญสหรัฐ/ตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนสิงหาคม 2552 ที่ 34.1566 บาท/เหรียญสหรัฐ ทำให้ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 11.3658 บาท/กิโลกรัม แต่รัฐได้กำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตก๊าซ LPG ในประเทศ 0.0665 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้ ได้มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เมษายน 2551 - 20 กันยายน 2552 รวมทั้งสิ้น 831,117 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 10,451 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 13 ราย มีปริมาณการผลิตจริง 1.02 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนกันยายน ปี 2552 อยู่ที่ 20.21 บาท/ลิตร ในเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1 - 12 กันยายน 2552 มีปริมาณการจำหน่าย 11.50 และ 11.70 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการ 4,210 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.25 และ 0.24 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 233 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาท/ลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 4.45 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 อยู่ที่ 1.6 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1 - 27 กันยายน 2552 อยู่ที่ 27.31 และ 28.04 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนสิงหาคม และในช่วงวันที่ 1-12 กันยายน 2552 ปริมาณจำหน่าย 22.29 และ 21.73 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,466 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.40 บาท/ลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,647 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 12,762 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 12,425 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 336 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 18,886 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการมอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้มีอำนาจสั่งการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ ภายใต้ กบง. แทนคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ให้รายงานผลให้คณะกรรมการฯ ทราบ ในการประชุมภายหลัง
2. ในช่วงปี 2551 - ปัจจุบัน ประธาน กบง. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. จำนวน 7 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า 2) คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน 3) คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 4) คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต 5) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 6) คณะอนุกรรมการพิจารณาการชดเชยราคา NGV และ 7) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย
3. นอกจากนี้ในปี 2552 กบง. ได้มีมติแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อรองรับการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องต่างๆ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ 1) คณะทำงานพิจารณาชดเชยเงินให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน และ 2) คณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 48 - วันอังคาร ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2552 (ครั้งที่ 48)
เมื่อวันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2552 นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้กระทรวงพลังงาน รับไปดำเนินการจัดทำมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชน กระทรวงพลังงานจึงได้จัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลขึ้น ซึ่งครอบคลุมภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคการผลิต และภาคครัวเรือน โดยมุ่งเน้นการลดค่าครองชีพของประชาชนเป็นหลัก รวมทั้งการลดต้นทุนการผลิตเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย
2. ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบจากแหล่งเวสต์เท็กซัส เบรนท์ และดูไบ ในช่วงของต้นปี 2552 ได้ปรับตัวอยู่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง 75 - 90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จนถึงสิ้นปี 2552 โดยมีเหตุผลมาจากกองทุนการเก็งกำไรที่คาดการณ์ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว และระดับราคาของน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 90 - 95 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จนถึงสิ้นปี 2552 หรือเทียบเท่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันดีเซลในประเทศในระดับที่สูงขึ้นจากปัจจุบัน 31 และ 29 บาท/ลิตร ตามลำดับ เป็นประมาณ 32 - 34 บาท/ลิตร
3. ปัจจุบันโครงสร้างราคาน้ำมันมีการจัดเก็บภาษี และเก็บเงินส่งเข้ากองทุนประเภทต่างๆ ดังนี้ 1) ภาษีประเภทต่างๆ ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 2) กองทุนประเภทต่างๆ ได้แก่ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่จัดเก็บเป็น 2 ส่วน คือ เก็บเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยจัดเก็บน้ำมันเบนซิน และดีเซลทุกชนิดอัตรา 0.25 บาท/ลิตร และ เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง โดยเก็บเฉพาะน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล อัตรา 0.50 บาท/ลิตร
4. กระทรวงพลังงานอาศัยกลไกของกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารและจัดการตามนโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทนและนโยบายการส่งเสริมการผลิตพลังงานให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันประเภทต่างๆ ในระดับที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นการส่งเสริมและจูงใจ เช่น การส่งเสริมการใช้เอทานอลและไบโอดีเซล จะกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนของน้ำมันที่มีเอทานอลหรือไบโอดีเซลมากในระดับที่ต่ำกว่าน้ำมันที่มีเอทานอลหรือไบโอดีเซลน้อย
5. ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2552 กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกองทุนสุทธิ 16,863 ล้านบาท (ไม่รวมเงินที่กระทรวงการคลังจะต้องจ่ายคืนให้แก่กองทุนน้ำมันฯ จากการดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ของรัฐบาลประมาณ 2,166 ล้านบาท) และมีเงินสดหมุนเวียนสุทธิ 3,104 ล้านบาท/เดือน ส่วนกองทุนอนุรักษ์ฯ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2552 มีเงินสดเหลือ 14,856 ล้านบาท (แยกเป็น เงินสำหรับการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 7,260 ล้านบาท และเงินสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 7,596 ล้านบาท) มีเงินสดหมุนเวียนสุทธิ 1,026 ล้านบาท/เดือน (แยกเป็น เงินสดหมุนเวียนสุทธิสำหรับการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 537 ล้านบาท/เดือน และสำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบขนส่ง 489 ล้านบาท/เดือน)
6. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ดังนี้
6.1 ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 2.00 บาท/ลิตร โดยอาศัยกลไกของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานควบคู่ไปกับกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ด้วยการบริหารและจัดการ ดังนี้
(1) ยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง ของทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันเก็บอยู่อัตรา0.50 บาท/ลิตร และให้โอนเงินที่ได้จัดเก็บไว้แล้วในส่วนนี้ประมาณ 7,596 ล้านบาท มาสมทบกับเงินสำหรับส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และลดอัตราจัดเก็บเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลสำหรับส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานจากที่เก็บอยู่ 0.25 บาท/ลิตร เหลือ 0.05 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2553 หลังจากนั้นให้กลับมาจัดเก็บในอัตราเดิม คือ 0.25 บาท/ลิตร รวมลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซล 0.70 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงได้ประมาณ 0.75 บาท/ลิตร
(2) ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 1.17 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 1.70 บาท/ลิตร เป็น 0.53 บาท/ลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงประมาณ 1.25 บาท/ลิตร โดยที่การยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ เพื่อทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงได้ประมาณ 0.75 บาท/ลิตร ตามข้อ (1) ควบคู่ไปกับการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อทำให้ราคาขายปลีกลดลงประมาณ 1.25 บาท/ลิตร ตามข้อ (2) รวมกันแล้วจะทำให้สามารถลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงได้ 2.00 บาท/ลิตร ทั้งนี้การดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 1.17 บาท/ลิตร จะส่งผลทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง ประมาณ 856 ล้านบาท/เดือน
(3) เพื่อจูงใจและส่งเสริมผู้ผลิต โดยให้มีค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 สูงกว่าน้ำมันดีเซล รวมทั้งจูงใจผู้ใช้น้ำมัน โดยทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล จึงจำเป็นต้องปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 อีก 0.58 บาท/ลิตร จากปัจจุบันซึ่งชดเชยอยู่ 0.23 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.81 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล 1.20 บาท/ลิตร ทั้งนี้การดำเนินการปรับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณ 421 ล้านบาท/เดือน
(4) เพื่อไม่ให้การดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ จึงต้องปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และน้ำมันเบนซิน 91 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 5.70 บาท/ลิตร เป็น 6.20 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับสูงขึ้นประมาณ 123 ล้านบาท/เดือน โดยที่การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันทั้ง 2 ประเภท จะไม่ส่งผลทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการปรับเพิ่มจะทำพร้อมไปกันกับการยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งของน้ำมันเบนซิน ในอัตรา 0.50 บาท/ลิตร เช่นเดียวกัน ทั้งนี้การดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 และปรับเพิ่มเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ดังกล่าว ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับรวมลดลงประมาณ 1,154 ล้านบาท/เดือน
6.2 ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG เป็นระยะเวลา 1 ปี (สิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553 ) กระทรวงพลังงานได้อาศัยกลไกการกำหนดราคาขายส่งให้คงที่ในระดับ 330 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือเทียบเท่า 10.99 บาท/กก. เพื่อทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG คงที่ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศต่ำกว่าต้นทุนการนำเข้าที่ปัจจุบันอยู่ในระดับประมาณ 550 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือเทียบเท่า 18.59 บาท/กก. ทำให้ผู้ผลิตและผู้ค้าก๊าซ LPG ขาดแรงจูงใจในการจัดหาและจำหน่ายก๊าซ LPG ในประเทศ และทำให้ปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ที่ระดับ 350,000 ตัน/เดือน จะไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ ในระดับประมาณ 74,000 ตัน/เดือน โดยเป็นภาระของกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเฉลี่ยประมาณ 10.00 บาท/กก. ทั้งนี้การดำเนินการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ต่อไปอีก 1 ปี คาดว่าจะเป็นภาระของกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 740 ล้านบาท/เดือน
6.3 มาตรการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ กระทรวงพลังงานได้จัดทำมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นทางเลือก โดยเฉพาะในกลุ่มของรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ในปัจจุบัน จำนวนรถแท็กซี่ที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป็น NGV ประมาณ 30,000 คัน โดยรถแท็กซี่ที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนส่วนใหญ่เป็นรถแท็กซี่ LPG กระทรวงพลังงานจึงเห็นควรกำหนดให้มีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่จำนวนประมาณ 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณคันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้การดำเนินการปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ให้มาใช้ NGV จะสามารถช่วยประเทศในการลดการใช้ก๊าซ LPG ได้ประมาณ 30,000 ตัน/เดือน คิดเป็นเงินที่สามารถช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน
6.4 ตรึงราคา NGV เป็นระยะเวลา 1 ปี (สิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553 ) กระทรวงพลังงานพิจารณาแล้วเห็นว่า NGV เป็นต้นทุนที่สำคัญต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งผลต่อค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนที่สำคัญต่อภาคขนส่ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับ ปัจจุบันราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จึงได้มอบหมายให้ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดและจัดทำแผนการขยายเครือข่ายรวมทั้งส่งเสริมการใช้ NGV อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ NGV เป็นทางเลือกของประชาชนอย่างยั่งยืน ซึ่งได้พิจารณาแล้วเห็นควรที่จะตรึงราคาขายปลีก NGV ไว้ที่ระดับ 8.50 บาท/กก. ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี (ส.ค. 52 - ส.ค. 53)
เพื่อไม่ให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว กระทบต่อแผนการขยายเครือข่ายและส่งเสริมการใช้ NGV ประกอบกับมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550 ได้ให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV โดยขอความร่วมมือจาก ปตท. ให้มีการกำหนดราคา NGV ในปี 2550 - 2551 ในระดับ 8.50 บาท/กก. แล้วจึงปรับราคา NGV ขึ้นแบบขั้นบันไดให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยในปี 2552 ปรับได้ไม่เกิน 12 บาท/กก. ปี 2553 ปรับได้ไม่เกิน 13 บาท/กก. และ ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไปจึงปรับตามต้นทุนที่แท้จริง กระทรวงพลังงานพิจารณาแล้วเห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานรับไปดำเนินการชดเชยราคาขายปลีก NGV จากการที่ ปตท. ต้องขาย NGV ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ในลักษณะเดียวกันกับแนวทางการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า นอกจากนั้นในการดำเนินการชดเชยดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550 ด้วย และมอบหมายให้ ปตท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการขยายเครือข่ายรวมทั้งส่งเสริมการใช้ NGV เพื่อให้ NGV เป็นทางเลือกของประชาชนโดยเร็ว ทั้งนี้การดำเนินการตรึงราคา NGV คาดว่าจะเป็นภาระต่อกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาขายปลีก NGV ที่ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน
6.5 มาตรการตรึงค่า Ft จนถึงเดือนสิงหาคม 2553 ปัจจุบันค่า Ft ที่ประชาชนต้องจ่ายจะอยู่ในระดับ 92.55 สตางค์/หน่วย ซึ่งประกอบด้วย ค่า Ft คงที่ 46.83 สตางค์/หน่วย และค่า Ft ที่เปลี่ยนแปลงไป (เดลต้า Ft) 45.72 สตางค์/หน่วย โดยปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับภาระค่า Ft แทนประชาชนประมาณ 20,000 ล้านบาท กระทรวงพลังงานจึงเสนอให้มีมาตรการตรึงค่า Ft เพื่อเป็นการลดภาระของประชาชน และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมตามที่ภาคอุตสาหกรรมได้ร้องขอ โดยกระทรวงพลังงานจะประสานการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รับไปดำเนินการในรายละเอียดกับ กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งในทางปฏิบัติก็สามารถดำเนินการได้โดยการขยายเวลาการจ่ายคืนภาระค่า Ft ให้กับ กฟผ. การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวจะทำให้สามารถคงค่า Ft ในระดับ 92.55 สตางค์/หน่วย ได้จนถึงเดือนสิงหาคม 2553 ทั้งนี้การตรึงค่า Ft จนถึงเดือนสิงหาคม 2553 โดยการขยายเวลาการจ่ายคืนภาระค่า Ft ให้กับ กฟผ. คิดเป็นวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท
6.6 การตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ การดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะในประเด็นการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ เพื่อทำให้ราคาน้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง 2 บาท/ลิตร และ 0.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ จำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมัน และสถานีบริการ เนื่องจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง ผู้ผลิตจะส่งเงินเข้ากองทุนฯ พร้อมกับชำระภาษีสรรพสามิต ก่อนที่จะมีการขนส่งไปจำหน่ายในคลังน้ำมันและสถานีบริการทั่วประเทศ ดังนั้น น้ำมันที่จำหน่ายและคงเหลืออยู่ในคลังน้ำมันและสถานีบริการ จึงเป็นน้ำมันที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ แล้วทั้งสิ้น เมื่อมีการลดอัตราเงินกองทุนฯ จะไม่มีผลย้อนหลังไปยังน้ำมันที่จำหน่ายและคงเหลืออยู่ในคลังน้ำมัน และสถานีบริการ ซึ่งส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไปแล้วในอัตราเดิม ทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเกิดผลการขาดทุนจากน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาสูง มาลดราคาจำหน่ายตามอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ที่ลดลง ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการจะลดปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาเก่าให้เหลือน้อยที่สุด หรือหยุดจำหน่ายชั่วคราว อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันได้
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จะต้องมีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่มีผลบังคับใช้ และมีการชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ โดยใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ซึ่งกรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ../2552 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับไปดำเนินการต่อไป
7. สรุปประมาณการวงเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะใช้วงเงินเพื่อการสนับสนุน ดังนี้ 1) กองทุนน้ำมันฯ จำนวนทั้งสิ้น 27,530 ล้านบาท แบ่งเป็น ลดราคาน้ำมันดีเซล 1,154 ล้านบาท/เดือน ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG 740 ล้านบาท/เดือน ตรึงราคา NGV 300 ล้านบาท/เดือน และโครงการเปลี่ยนแท็กซี่ เป็น NGV 30,000 คัน ภายใน 4 เดือน 300 ล้านบาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีเงินหมุนเวียนสุทธิ 3,104 ล้านบาท/เดือน ในกรณีที่ต้องสนับสนุนมาตรการดังกล่าวข้างต้น ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง 2,494 ล้านบาท/เดือน เหลือเงินหมุนเวียนสุทธิ 610 ล้านบาท/เดือน และ 2) กฟผ. รับภาระการยืดเวลาการจ่ายคืนค่า Ft ของประชาชนประมาณ 10,000 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 2.00 บาท/ลิตร โดยอาศัยกลไกของกองทุนอนุรักษ์ฯ ควบคู่กับกลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารและจัดการ ดังนี้
1.1 ยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งของทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ในอัตรา 0.50 บาท/ลิตร และลดอัตราจัดเก็บเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลสำหรับส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน เหลือ 0.05 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2553 หลังจากนั้นให้กลับมาจัดเก็บในอัตราเดิม คือ 0.25 บาท/ลิตร
1.2 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 1.17 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 1.70 บาท/ลิตร เป็น 0.53 บาท/ลิตร
1.3 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 อีก 0.58 บาท/ลิตร จากปัจจุบันซึ่งชดเชยอยู่ 0.23 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.81 บาท/ลิตร
1.4 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และน้ำมันเบนซิน 91 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 5.70 บาท/ลิตร เป็น 6.20 บาท/ลิตร
1.5 มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับไปดำเนินการ ตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่มีผลบังคับใช้ และมีการชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
2. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล อยู่ที่ 7 บาท/ลิตร ขณะที่มาตรการตามข้อ 1 กำหนดให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 เป็น 7.50 บาท/ลิตร จึงไม่สามารถดำเนินการได้ ดังนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงาน ตามนโยบายของรัฐบาลได้ จึงเห็นควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และเบนซิน 91 เพิ่มขึ้นชนิดละ 0.50 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร ดังนั้น จากข้อ 1 และ ข้อ 2 อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะเป็นดังนี้
อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
หน่วย : บาท/ลิตร
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง +/- |
เบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 | +0.50 |
เบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 | +0.50 |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.27 | 2.27 | - |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.67 | 1.67 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E20 | -0.46 | -0.46 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E85 | -7.13 | -7.13 | - |
ดีเซลหมุนเร็ว B2 | 1.70 | 0.53 | -1.17 |
ดีเซลหมุนเร็ว B5 | -0.23 | -0.81 | -0.58 |
3. จากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง ส่งผลทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเกิดผลการขาดทุนจากน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาก่อนปรับลดราคาขายปลีกมาจำหน่ายตามอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ที่ลดลง ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการจะลดปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาเก่าให้เหลือน้อยที่สุด หรือหยุดจำหน่ายชั่วคราว อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมัน จึงเห็นควรให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ออกประกาศ กำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงทั่วประเทศ และอัตราเงินชดเชย ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็น 27.69, 2.00 และ 2.00 บาท/ลิตร ตามลำดับ และสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 เป็น 26.49, 0.40 และ 0.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. จากการชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลดให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ ตามข้อ 3 คาดว่าจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระในการชดเชยประมาณ 1,406 ล้านบาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอดังนี้
5.1 เห็นควรปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากเดิม 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อ 2
5.2 เห็นควรให้ชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลดให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ จากมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ตามข้อ 3 ให้มีผลบังคับใช้ในวันเดียวกันกับวันที่ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเห็นชอบให้ปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากเดิม 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป
2. เห็นชอบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
หน่วย : บาท/ลิตร
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง +/- |
เบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 | +0.50 |
เบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 | +0.50 |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.27 | 2.27 | - |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.67 | 1.67 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E20 | -0.46 | -0.46 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E85 | -7.13 | -7.13 | - |
ดีเซลหมุนเร็ว B2 | 1.70 | 0.53 | -1.17 |
ดีเซลหมุนเร็ว B5 | -0.23 | -0.81 | -0.58 |
3. เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนการปรับลดราคาขายปลีก ให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ จากมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ในวันเดียวกันกับวันที่ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหนึ่งในมาตรการดังกล่าว คือ การลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลง โดยการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ และให้ชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ โดยจะต้องมีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ มีผลบังคับใช้ โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปดำเนินการ
2. กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ในน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลบังคับใช้ตามอัตราชดเชยที่ประกาศโดย สนพ. และเพื่อให้แน่ใจว่าปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้รับเงินชดเชยเป็นปริมาณที่ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศ สนพ. มีผลใช้บังคับ ถึงเวลา 06.00 น. ของวันถัดมา ดังนี้
2.1 คลังน้ำมันทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน
2.2 สถานีบริการน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจ
2.3 สถานีบริการน้ำมันในเขตต่างจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจัดตั้งคณะทำงานของแต่ละจังหวัด ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจ
ทั้งนี้ ในคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เป็นผู้แจ้งให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบถึงจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิแต่ละชนิดคูณด้วยอัตราเงินชดเชยที่ประกาศโดย สนพ.
3. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินการดังกล่าว จำนวนเงินรวม 6,153,420 บาทแบ่งเป็น (1) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี และระยอง (เจ้าหน้าที่ ธพ. ดำเนินการเอง) จำนวน 63,020 บาท (2) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ และคลังน้ำมันในจังหวัดอื่นๆ นอกเหนือจากข้อ (1) จำนวน 5,522,400 บาท และ (3) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ จัดทำเอกสาร และส่งหนังสือทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ จำนวน 568,000 บาท
4. จากการดำเนินการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือดังกล่าว ธพ. ได้มีข้อเสนอดังนี้
4.1 ขอความเห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ให้ ธพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันในวงเงิน 6,153,420 บาท (หกล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบบาท)
4.2 ขอความเห็นชอบให้ ธพ. เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ โดยให้สามารถเบิกถัวจ่ายระหว่างรายการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการให้เบิกจ่ายเป็นการเหมาได้ ตามอัตราในระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ พ.ศ.2550 ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2552 งบค่าใช้จ่ายอื่น ให้กรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน ในวงเงิน 6,153,420 บาท (หกล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2. เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้สามารถเบิกถัวจ่ายระหว่างรายการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการให้เบิกจ่ายเป็นการเหมาได้ ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 20 สิงหาคม 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 19 สิงหาคม 2552
ครั้งที่ 49 - วันพฤหัสบดี ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2552 (ครั้งที่ 49)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
3. การจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
4. แผนงานการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์
5. แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
6. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552
7. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. จากความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ส่งผลให้มีการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ โดยการนำเข้าที่คลังก๊าซ LPG เขาบ่อยา ของ ปตท. และส่งต่อให้กับลูกค้าในประเทศต่อไป แต่เนื่องจากคลังก๊าซเขาบ่อยาสามารถรับก๊าซที่นำเข้าได้สูงสุดไม่เกิน 60,000 ตัน/เดือน ถ้ามีความต้องการนำเข้าก๊าซ LPG เกิน 60,000 ตัน/เดือน ในส่วนที่เกินจะไม่สามารถนำเข้าได้ เพราะไม่มีคลังก๊าซรองรับ ซึ่งจะทำให้ก๊าซ LPG ในประเทศขาดแคลน
2. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้าก๊าซ LPG ในรูป Refrigerated Propane (C3) และ Butane (C4) โดยการใช้คลังลอยน้ำ (Floating Storage Unit: FSU) ชั่วคราวครั้งละประมาณ 15 - 30 วัน โดย ปตท. จะขนถ่ายก๊าซ LPG จากเรือ Refrigerated ที่นำเข้าลงเรือลำเลียงทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนที่จะนำก๊าซส่วนที่เหลือสูบขึ้นถัง ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา จากนั้นเรือ Refrigerated จะเดินทางกลับออกไปต่างประเทศเมื่อทำการสูบถ่ายก๊าซหมด ซึ่งปัญหาในการใช้คลังลอยน้ำ มีดังนี้ (1) กฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่มีในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการทำ Ship to Ship Operation (STS) กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ยังไม่มีระเบียบปฏิบัติ (2) ค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU
3. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับก๊าซ LPG ของคลังนำเข้าและขยายขีดความสามารถของการขนส่งและการกระจายก๊าซ LPG ของคลังภูมิภาค โดยมอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการเรื่องการใช้คลังลอยน้ำ (Floating Storage) และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปประสานกับกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สามารถผสมและถ่ายลำกลางทะเลในเขตน่านน้ำไทยได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2552 สนพ. ได้ประชุมร่วมกับ กรมธุรกิจพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมเห็นว่า การเช่าเรือ Refrigerated มาเพื่อใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU ชั่วคราว ครั้งละประมาณ 15 - 30 วัน เป็นวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการได้มากกว่าการเช่าเรือ Refrigerated มาจอดทิ้งสมอเป็นเวลานาน อีกทั้งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมีเวลาดำเนินการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อรองรับการทำงาน ซึ่งคาดว่าจะเสร็จได้ทันในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2552
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้า ดังนี้
4.1 ให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมให้การสนับสนุน ดังนี้ (1) กรมศุลกากร เกี่ยวกับการกำหนดระเบียบปฏิบัติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการทำ STS เพื่อขนถ่าย LPG จาก FSU และอนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี รวมทั้งกำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS
(2) กรมสรรพสามิต เกี่ยวกับการอนุญาตให้ผลิต (ผสม) C3/C4 เป็น LPG ในเรือลำเลียง (อนุญาตให้ FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นโรงอุตสาหกรรมตามกฎหมายสรรพสามิต) หรือใช้วิธีดำเนินการอื่นที่สามารถดำเนินการได้และกำหนดระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการผลิต LPG ขณะที่เรือจอดกลางทะเล และอนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี รวมทั้งกำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS และ (3) กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม เกี่ยวกับการอนุญาตให้ ปตท. นำ FSU ไปจอดในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการทำ STS กรณีที่เรือลำเลียง LPG ที่ใช้ในประเทศไม่สามารถทำ STS ได้ อนุญาตให้นำเรือต่างชาติมาใช้เป็นเรือชายฝั่ง
4.2 เห็นชอบค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU โดยมอบหมายให้ สนพ. พิจารณาปรับเพิ่มหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่ายและการลงทุนในการดำเนินการนำเข้าโดยการใช้ FSU และการขนถ่ายระหว่างเรือ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมให้การสนับสนุน ดังนี้
- กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง
- กำหนดระเบียบปฏิบัติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการทำ STS เพื่อขนถ่าย LPG จาก FSU
- อนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี
- กำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS
- กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง
- อนุญาตให้ผลิต (ผสม) C3/C4 เป็น LPG ในเรือลำเลียง (อนุญาตให้ FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นโรงอุตสาหกรรมตามกฎหมายสรรพสามิต) หรือใช้วิธีดำเนินการอื่นที่สามารถดำเนินการได้และกำหนดระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการผลิต LPG ขณะที่เรือจอดกลางทะเล
- อนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี
- กำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS
- กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม
อนุญาตให้ ปตท. นำ FSU ไปจอดในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการทำ STS
กรณีที่เรือลำเลียง LPG ที่ใช้ในประเทศไม่สามารถทำ STS ได้ อนุญาตให้นำเรือต่างชาติมาใช้เป็นเรือชายฝั่ง
2. เห็นชอบค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU และค่าใช้จ่ายอื่นในการดำเนินการ โดยมอบหมายให้ สนพ. พิจารณาปรับเพิ่มหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเพิ่มเติมให้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่ายและการลงทุนในการดำเนินการนำเข้าโดยการใช้ FSU และการขนถ่ายระหว่างเรือ ตามที่เกิดขึ้นจริง
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. ได้มีมติเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินการตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 โดยให้คงราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับ ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 ของเดือนมีนาคม 2551 ไว้ จนถึงเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากนั้น ให้พิจารณาปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ (2) เห็นชอบให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ ณ ระดับราคาตามราคาอิงตลาดโลกในข้อ (1) แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระหนี้เงินชดเชยการนำเข้าก๊าช LPG จากต่างประเทศ และลดความต้องการใช้ก๊าช LPG โดยให้ ธพ. รับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติต่อไป (3) เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณสัดส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป (4) มอบหมายให้ ธพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ รวมทั้งการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการใช้ก๊าซ LPG ที่มิใช่การใช้ในภาคครัวเรือน โดยให้ ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้ สบพน. เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย (5) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราเงินชดเชยและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิต จำหน่ายและนำเข้ามาใช้ในประเทศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป และ (6) มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ตามข้อ (1) ข้อ (2) และข้อ (3) ได้ตามความเหมาะสม
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำและเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว ซึ่งจะเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ หากสถานการณ์ราคาน้ำมันได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ สนพ. นำมาพิจารณาในที่ประชุมใหม่อีกครั้ง และมอบหมายให้ สนพ. ไปพิจารณาแนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 กบง.ได้มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กบง. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ในประเด็น "การปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG" (2) เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้ ธพ. กรมสรรพสามิต และ สบพน. ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้ สนพ. นำเสนอ กบง.พิจารณาใหม่อีกครั้ง และ (3) มอบหมายให้ สบพน. พิจารณาจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG จากการนำเข้าในปี 2551 เป็นจำนวนเงินประมาณ 7,948 ล้านบาท ระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยภายใน 2 ปี โดยให้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชย หลังจากสิ้นสุดมาตรการการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ บรรเทาผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
3. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่องการปรับราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยที่ผ่านมาผู้ผลิตในประเทศทั้งจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงกลั่นน้ำมันต้องแบกภาระทั้งจากการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ และจากการกำหนดราคา ณ โรงกลั่นในประเทศต่ำกว่าราคาตลาดโลกเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ต้องจัดหาวัตถุดิบในราคาสอดคล้องกับราคาตลาดโลก ปตท. จึงขอให้มีการใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัวโดยใช้ค่าเฉลี่ยในแต่ละเดือนของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น (10.9960 บาท/กก.) เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงไป และจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามอัตราแลกเปลี่ยนด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะไม่ให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG เปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้ามาบริหารจัดการ ดังนี้
3.1 กรณี 1 หากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยอยู่ระดับ 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ จะไม่ส่งผลกระทบต่อกองทุนน้ำมันฯ และรายได้ของผู้ผลิตก๊าซ LPG จะอยู่ที่ระดับเดิม
3.2 กรณี 2 หากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยอยู่ระดับต่ำกว่า 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้จากการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น แต่ผู้ผลิตก๊าซ LPG จะมีรายได้จากการผลิตก๊าซ LPG ลดลงจากเดิม
3.3 กรณี 3 หากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยอยู่ระดับสูงกว่า 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ส่งผลให้รายได้ของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง แต่ผู้ผลิตก๊าซ LPG จะมีรายได้จากการผลิตก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นจากเดิม
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอ ดังนี้ (1) เห็นควรให้คงอัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ สำหรับใช้คำนวณราคา ก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเหมือนเดิม หรือ (2) เห็นควรให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยย้อนหลัง 1 เดือน สำหรับใช้คำนวณราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ กบง. มีมติเห็นชอบเป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อยู่ที่ระดับ 332.7549 เหรียญสหรัฐ/ตัน
2. เห็นชอบให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว สำหรับคำนวณราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในแต่ละเดือน โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยย้อนหลังในเดือนที่ผ่านมา 1 เดือน ของอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
3. เห็นชอบให้รักษาระดับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นสำหรับก๊าซ LPG และราคาขายก๊าซ LPG ณ คลังก๊าซเท่ากันทั่วประเทศ โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกลไกในการบริหารจัดการ
4. มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ต่อไป
ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2552 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 การจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. ได้มติให้จ่ายชดเชยราคานำเข้าก๊าซ LPG ตามปริมาณส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งในเดือนมีนาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถนำเข้าก๊าซ LPG ในปริมาณส่วนที่ขาดได้ จึงต้องนำก๊าซ LPG ที่โรงกลั่นน้ำมันใช้เอง (own use) ออกจำหน่าย และให้โรงกลั่นน้ำมันเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนก๊าซ LPGเช่น ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมันเตา โดย ธพ. ได้เจรจากับโรงกลั่นซึ่งยินดีให้ความร่วมมือ โดยขอให้ภาครัฐจ่ายเงินชดเชยราคาต้นทุนที่สูงขึ้นจากการใช้เชื้อเพลิงที่นำมาทดแทนก๊าซ LPG ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการจ่ายชดเชยราคาของเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้ ธพ. และ สนพ. รับไปพิจารณากำหนดแนวทางการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการชดเชยราคาก๊าซ LPG ให้ กบง. ทราบทุกครั้งในการประชุมด้วย
2. เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด (ARC) (ปัจจุบันแยกเป็น 2 บริษัท คือ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด) ได้มีหนังสือ ถึง ธพ. เรื่องการขอรับเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนก๊าซ LPG เพื่อนำก๊าซ LPG ออกมาจำหน่ายในประเทศ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลน LPG ในประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 และเพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 ธพ. สนพ. และ ARC ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG จากการนำก๊าซ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่น (own use) ออกจำหน่าย ซึ่งสามารถสรุปหลักเกณฑ์การคำนวณได้ดังนี้
จำนวนเงินชดเชย = Qlpg * (Pdiff + DC + T)
โดย Qlpg = ปริมาณก๊าซ LPG ที่จะขอชดเชยจากการนำ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่นออกมาจำหน่าย คำนวณจาก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศจริง หัก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศตามแผน
Pdiff = ผลต่างระหว่างราคาก๊าซธรรมชาติและราคา LPG
DC = ค่าสำรองความต้องการใช้ก๊าซ (Demand Charge)
T = ค่าขนส่ง LPG ทางเรือจากโรงกลั่นไปยังแหลมฉบัง ซึ่งทางโรงกลั่นต้องรับภาระในการขนส่งไปยังคลังก๊าซ LPG เท่ากับ 485 บาทต่อตัน
3. หลักเกณฑ์การคำนวณตามข้อ 2 สามารถนำมาคำนวณสรุปเงินชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 - สิงหาคม 2551 เป็นจำนวนเงินชดเชยทั้งสิ้น 200,988,012 บาท (เดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2551 ไม่มีการนำก๊าซ LPG ออกมาจำหน่ายในประเทศ เนื่องจากบริษัทฯ ประสบปัญหา LPG offspec จึงต้องนำไปเผาในกระบวนการกลั่น) และเมื่อเปรียบเทียบจำนวนเงินพบว่าภาระจากการชดเชยจากนำก๊าซธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ในโรงกลั่นน้ำมัน น้อยกว่า ภาระที่จะต้องชดเชยกรณีมีการนำเข้า LPG ได้ถึง 341,011,262 บาท ตามตารางดังนี้
ปริมาณ ที่ขอชดเชย (ตัน) |
ราคานำเข้า LPG รวมค่าขนส่ง (บาท/ตัน) |
ราคา LPG ในประเทศ (บาท/ตัน) |
ผลต่างราคา LPG (บาท/ตัน) |
มูลค่าชดเชย กรณีมีการนำเข้า (บาท) |
มูลค่าชดเชย จากการใช้ NG แทน LPG ในโรงกลั่น (บาท) |
|
มี.ค. 51 | 6,520 | 27,390.92 | 10,995.92 | 16,395.00 | 106,895,369 | 26,405,087 |
เม.ย. 51 | 522 | 27,095.44 | 10,995.92 | 16,099.52 | 8,403,948 | 2,244,548 |
ก.ค. 51 | 11,820 | 32,547.24 | 10,995.92 | 21,551.32 | 254,736,593 | 91,492,474 |
ส.ค. 51 | 8,511 | 31,200.76 | 10,995.92 | 20,204.84 | 171,963,364 | 80,845,904 |
รวม | 541,999,274 | 200,988,012 | ||||
ลดภาระการนำเข้า LPG ได้ (บาท) | 341,011,262 |
หมายเหตุ : ใช้ข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนกลาง (บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนมีนาคม เมษายน กรกฎาคม และสิงหาคม 2551 ของธนาคารแห่งประเทศไทย
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอคือ เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณปริมาณก๊าซ LPG ที่จะนำมาคำนวณเงินชดเชยและหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ตามข้อ 2 และ 3 และเห็นควรอนุมัติค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามข้อ 3 จำนวน 200,988,012 บาท โดยแบ่งเป็นบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 100,494,006 บาท และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด จำนวน 100,494,006 บาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณปริมาณก๊าซ LPG ที่จะนำมาคำนวณเงินชดเชยและหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ซึ่งสามารถสรุปหลักเกณฑ์การคำนวณได้ดังนี้
จำนวนเงินชดเชย = Qlpg * (Pdiff + DC + T)
โดย Qlpg = ปริมาณก๊าซ LPG ที่จะขอชดเชยจากการนำ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่นออกมาจำหน่าย คำนวณจาก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศจริง หัก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศตามแผน
Pdiff = ผลต่างระหว่างราคาก๊าซธรรมชาติและราคา LPG
DC = ค่าสำรองความต้องการใช้ก๊าซ (Demand Charge)
T = ค่าขนส่ง LPG ทางเรือจากโรงกลั่นไปยังแหลมฉบัง ซึ่งทางโรงกลั่นต้องรับภาระในการขนส่งไปยังคลังก๊าซ LPG เท่ากับ 485 บาทต่อตัน
2. อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จำนวน 200,988,012 บาท (สองร้อยล้านเก้าแสนแปดหมื่นแปดพันสิบสองบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็นบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 100,494,006 บาท (หนึ่งร้อยล้านสี่แสนเก้าหมื่นสี่พันหกบาทถ้วน) และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด จำนวน 100,494,006 บาท (หนึ่งร้อยล้านสี่แสนเก้าหมื่นสี่พันหกบาทถ้วน)
เรื่องที่ 4 แผนงานการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้พลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ และกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ สนพ. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้เอทานอล โดย สนพ. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลตั้งแต่ปี 2550 เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในรถยนต์ ยังผลให้เดือนมกราคม 2552 ปริมาณการใช้เอทานอลเพิ่มเป็น 1.27 ล้านลิตร/วัน ต่อมาเดือนมิถุนายน 2552 สนพ. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะที่ใช้น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 เปลี่ยนทัศนคติมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91
2. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2552 สนพ. ได้ว่าจ้าง บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ ในวงเงิน 19 ล้านบาท โดยมีแนวทางประชาสัมพันธ์ ดังนี้ 1) ภาคประชาชน : เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ หันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 โดยประชาสัมพันธ์ให้รับทราบข้อดีของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 2) ภาคผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง : เพื่อสร้างความมั่นใจต่อกลุ่มเป้าหมาย และ 3) ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ : เพื่อร่วมสร้างความมั่นใจ และตอกย้ำ ให้กลุ่มเป้าหมายเชื่อมั่นว่าการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ไม่มีผลกระทบกับเครื่องยนต์
3. ปัจจุบัน บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างดำเนินงานในโครงการ โดยแบ่งเป็น 1) แผนงานประชาสัมพันธ์และกิจกรรมที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ การผลิต และเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ ชุด "2 ล้อหน้าใส หัวใจโซฮอล" การผลิต Standee 500 ชิ้น และอยู่ระหว่างกระจายไปยังร้านจักรยานยนต์ทั่วประเทศ การผลิตและติดตั้งป้ายคัทเอ้าท์หน้า สนพ. จำนวน 2 ป้าย การผลิตของที่ระลึกโครงการ 30,700 ชิ้น และการจัดกิจกรรมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการฯ (Press Preview) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน รวมทั้งการจัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ และคอนเสิร์ตศิลปินที่ จ.นครราชสีมา 2) แผนงานประชาสัมพันธ์และกิจกรรมที่อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการ ได้แก่ สัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านสื่อโทรทัศน์ 1 ครั้ง ผ่านสื่อวิทยุ 4 ครั้ง และสัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ 4 ครั้ง
4. สนพ. ได้จัดทำ "แผนงานการประชาสัมพันธ์น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยนต์ 4 จังหวะ (ต่อเนื่อง) โดยขอรับเงินสนับสนุนจากเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 21,000,000 บาท มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งสร้างการจดจำ และตอกย้ำความมั่นใจในการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ตลอดจนนำแนวคิด Music Marketing สานต่อกิจกรรมรณรงค์ในรูปแบบคอนเสิร์ตไปยังกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ให้เกิดการสร้างกระแสการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลกับกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนให้ความรู้ ความเข้าใจในน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ มีระยะเวลาดำเนินการ 6เดือน จะดำเนินการดังนี้ (1) ซื้อเวลารายการโทรทัศน์ ช่อง 3 5 7 9 และ NBT เพื่อนำภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์เผยแพร่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง (งบประมาณ 10.5 ล้านบาท) (2) จัดกิจกรรมรณรงค์ในรูปแบบคอนเสิร์ต 4 จังหวัดที่มีปริมาณรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ จำนวนมาก (งบประมาณ 10 ล้านบาท) และ (3) ดำเนินงานด้านสื่อมวลชนสัมพันธ์ อาทิ จัดสัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์อย่างเหมาะสม (งบประมาณ 0.5 ล้านบาท)
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 21,000,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
เรื่องที่ 5 แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. แนวคิดหลักในการจัดการขยะโดยทั่วไป ได้แก่ ทำการฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะอินทรีย์เป็นปุ๋ยหมัก (Organic Fertilizer) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะเป็นเชื้อเพลิง (Turn Waste into Energy) การคัดแยกเพื่อนำวัสดุไปแปรรูปในกระบวนการรีไซเคิล (Recycle) และการใช้เตาเผา (Incineration) ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมด้านต่างๆ อาทิ ประเภทของขยะ สถานที่ที่ใช้ในการจัดการขยะ ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และความพร้อมด้านการลงทุน แต่ปรากฏว่ามีขยะประเภทพลาสติกตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ
2. กระทรวงพลังงานได้สนับสนุนการแปรรูปขยะเป็นพลังงาน ในรูปแบบการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงแล้ว อัตรา 2.50 บาท/หน่วย โดยที่ยังมีปัญหาทางด้านขยะ ด้านการจัดหาพลังงานทดแทนน้ำมัน และต้นทุนที่แท้จริง รวมถึงความคุ้มค่าการลงทุนทั้งทางเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม สนพ. จึงเห็นควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด ยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" ที่เป็นการเผาในภาวะไร้อากาศจนได้น้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยมีการใช้ขยะพลาสติกเป็นวัตถุดิบ โดยมีแนวทางการส่งเสริม ดังนี้ (1) การกำหนดส่วนเพิ่ม (Adder) ราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ เป็นมาตรการจูงใจด้านราคาแก่ผู้สนใจลงทุนแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง และ (2) การสนับสนุนงานศึกษาวิจัยพัฒนาและสาธิต "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง" เพื่อเป็นโครงการนำร่อง
3. สำหรับเทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่ 1) กระบวนการแปรรูปขยะพลาสติกให้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการสลายโครงสร้างโมเลกุลพลาสติกที่อุณหภูมิสูง (Depolymerization) มีเทคโนโลยีที่ใช้ในต่างประเทศ 5 เทคโนโลยี คือ Pyrolysis Depolymerization, Thermal Depolymerization, Catalytic Depolymerization, Patented Fractional Depolymerization และ Thermo fuel System ซึ่งเทคโนโลยีที่มีโอกาสจะพัฒนาได้มากที่สุด คือ Pyrolysis Depolymerization เนื่องจากมีขั้นตอนที่ซับซ้อนน้อย และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ รวมทั้งลงทุนน้อยที่สุด ด้วยระบบการทำงานที่อุณหภูมิและความดันต่ำ 2) ระบบการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมัน ประกอบด้วย ระบบ Front End สำหรับจัดการขยะ คัดแยก และทำการผลิตเป็น RDF (การผลิตเชื้อเพลิงขยะจากขยะพลาสติก : Refuse Derived Fuel) และระบบเตาปฏิกรณ์แปรรูปพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง (Pyrolysis Depolymerization)
4. เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2551 คณะอนุกรรมการกองทุนอนุรักษ์ฯ ได้มีมติเรื่อง "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" โดยเห็นชอบการกำหนดส่วนเพิ่ม (Adder) ราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากแปรรูปจากขยะ โดย 1) เห็นควรเพิ่มแรงจูงใจให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ โดยนำเงินกองทุนน้ำมันฯมาอุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ 2) จากการประเมินเงินลงทุนการแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน พบว่ามีค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท หากจำหน่ายน้ำมันที่ผลิตได้ในราคา 22 บาท/ลิตร จะมีระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 5 ปี (ราคาน้ำมันดิบในวันที่ 14 มกราคม 2551 อยู่ที่ 86.92 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือ 18.18 บาท/ลิตร อัตราแลกเปลี่ยน 33.2618 บาท/เหรียญสหรัฐฯ) 3) หลักเกณฑ์การคำนวณเงินอุดหนุนราคาน้ำมันที่ได้จากแปรรูปขยะ ใช้ราคาน้ำมันดิบดูไบเป็นเกณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีราคา 18.18 บาท/ลิตร เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันที่ได้จากการแปรรูปขยะ อัตราเงินอุดหนุนหรือเงินส่วนเพิ่มควรเริ่มตั้งแต่ 4 บาท/ลิตร ขึ้นไป แต่เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในช่วงแรกและช่วยบรรเทาภาวะความเสี่ยงในการลงทุนด้านเทคโนโลยีและคุณภาพน้ำมันที่จะได้รับ เห็นควรกำหนดราคาส่วนเพิ่มที่อัตรา 7 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาคืนทุนลดลงเหลือ 4 ปี และ 4) มอบหมายให้ สนพ. เสนอ กบง. ขอความเห็นชอบการกำหนดอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดิบให้โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในอัตรา 7 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยน้ำมันดิบที่โรงกลั่นรับซื้อและขอเงินอุดหนุนต้องมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าคุณภาพน้ำมันดิบดูไบ และให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. กำหนดอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ
5. เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 กบง. ได้เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน และให้มีการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ในอัตราไม่เกิน 7 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี แต่เนื่องจากนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ตามข้อ 2 ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ได้หมายความรวมถึงน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ดังนั้น เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ กบง. จึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนรัฐบาล จึงยังมิได้ดำเนินการแก้ไขนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ในคำสั่งนายกรัฐมนตรี จึงทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะได้
6. จากหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะในอัตราไม่เกิน 7 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันดิบต้องไม่ต่ำกว่า 85 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะจึงจะสามารถแข่งขันได้ แต่ราคาน้ำมันได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และอยู่ในระดับต่ำ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 สนพ. ได้พิจารณาเรื่อง นโยบายการกำหนดส่วนเพิ่ม (adder) ราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยพิจารณาทบทวนต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะ และหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากขยะ ซึ่งสรุปค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการดำเนินการ ประกอบด้วย 1) เงินลงทุนรวม 8.00 ล้านบาท/ตันขยะพลาสติก ได้แก่ เงินลงทุนระบบแปรรูป 5.60 ล้านบาท/ตัน และเงินลงทุนระบบคัดแยก 2.40 ล้านบาท/ตัน และ 2) ค่าใช้จ่ายดำเนินการ 1.45 ล้านบาท/ตัน/ปี ซึ่งได้แก่ ค่าคัดแยกขยะ ค่า Catalyst ค่าพลังงาน และค่าแรงงาน เป็นต้น และจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการดำเนินการดังกล่าว ในอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 6.5 ระยะเวลาโครงการ 15 ปี และความสามารถผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกได้ 0.225 ล้านลิตร/ตัน/ปี (ประสิทธิภาพร้อยละ 60 และความหนาแน่น 0.8) สามารถคำนวณต้นทุนในการผลิตน้ำมันจากขยะตามกรณีต่างๆ ได้ดังนี้
หน่วย : บาท/ลิตร
กรณีระยะเวลา | ต้นทุน การผลิต |
ต้นทุนการผลิตรวมค่าขยะ (บาท/ตัน) | ||||
1,000 | 2,000 | 5,000 | 6,000 | 10,000 | ||
คืนทุน 15 ปี | 10.230 | 11.564 | 12.897 | 16.897 | 18.231 | 23.564 |
คืนทุน 6 ปี | 13.711 | 15.044 | 16.378 | 20.378 | 21.711 | 27.044 |
คืนทุน 5 ปี | 14.909 | 16.242 | 17.575 | 21.575 | 22.909 | 28.242 |
คืนทุน 4 ปี | 16.711 | 18.044 | 19.378 | 23.378 | 24.711 | 30.044 |
จากตารางข้างต้นพบว่า ระดับราคาขยะพลาสติกมีผลต่อการคำนวณต้นทุนน้ำมันจากขยะพลาสติกค่อนข้างมาก จากการสำรวจราคาขยะพลาสติกที่ซื้อขายสำหรับรีไซเคิลอยู่ที่ 5,000-6,000 บาท/ตัน (5-6 บาท/กิโลกรัม) อย่างไรก็ตาม ราคาขยะพลาสติกที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 2,000 บาท/ตัน เนื่องจากเป็นระดับราคาของการจัดการขยะพลาสติกจากหลุมฝังกลบและไม่กระทบต่อกระบวนการรีไซเคิล ทั้งนี้หากกำหนดระยะเวลาการสนับสนุน 5 ปี โดยคิดราคาขยะที่ระดับ 2,000 บาท/ตันขยะพลาสติก พบว่าต้นทุนน้ำมันจากขยะพลาสติกที่ควรนำมาใช้กำหนดโครงสร้างไม่ควรเกิน 18 บาท/ลิตร
7. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอว่า 1) เห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยให้ อัตราเงินชดเชย เท่ากับ 18 ลบด้วย ราคาน้ำมันดิบ (บาท/ลิตร) โดยที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 18 บาท/ลิตร จะไม่มีการชดเชย โดยมีระยะเวลาการชดเชย 5 ปี 2) ให้จำหน่ายให้เฉพาะโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยมอบหมายให้ สนพ. ธพ. ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะ และโรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ รับไปศึกษารายละเอียดคุณภาพน้ำมันจากขยะเพื่อใช้ในการซื้อขาย และการกำกับดูแลเพื่อมิให้จำหน่ายผิดประเภท และ 3 ) ขอความเห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ดังนี้
อัตราเงินชดเชย = 18 - ราคาน้ำมันดิบ
โดยที่ อัตราเงินชดเชย = อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ (บาท/ลิตร)
น้ำมันดิบ = ราคา FOB ของน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้า (บาท/ลิตร)
อัตราแลกเปลี่ยน = อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (บาท/เหรียญสหรัฐ)
ทั้งนี้หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 18 บาท/ลิตร จะไม่มีการชดเชย โดยมีระยะเวลาการชดเชย 5 ปี
2. ให้จำหน่ายให้เฉพาะโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะ และโรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ รับไปศึกษารายละเอียดคุณภาพน้ำมันจากขยะเพื่อใช้ในการซื้อขาย และการกำกับดูแลเพื่อมิให้จำหน่ายผิดประเภท
3. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยให้รอผลการพิจารณา เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้าง NGV เพื่อจะได้แก้ไขนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ไปในคราวเดียวกัน และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
เรื่องที่ 6 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการนำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนด้วย ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้พิจารณาเห็นชอบให้ทุนหมุนเวียนที่อยู่ในกำกับของกระทรวงพลังงาน คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. ในปี 2551 บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) ร่วมกับกรมบัญชีกลางได้ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยได้ติดตามและประเมินผลเฉพาะที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการในส่วนของรายรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่มี สบพน. เป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น ต่อมาคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนได้พิจารณาผลการประเมินการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ในปีงบประมาณ 2551 แล้วได้มีความเห็นว่า ควรประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านนโยบายบริหารกองทุนน้ำมันฯ ที่มี กบง. เป็นผู้กำกับดูแลด้วย
3. เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2552 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่ากองทุนน้ำมันฯ ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง ประจำปีบัญชี 2552 พร้อมทั้งได้จัดส่งบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ มาให้ และขอให้นำเสนอผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
4. เกณฑ์วัดผลการดำเนินงานประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ 1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัดย่อย ได้แก่ ร้อยละของการจัดหาเงินได้ตามความต้องการของกองทุนฯ ร้อยละของหนี้ค้างชำระเงินชดเชยลดลง และอัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ 2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ตัวชี้วัด คือ ระยะเวลาในการจ่ายเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุนฯ 3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตัวชี้วัด คือ ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ 4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัดย่อย ได้แก่ ระดับรายละเอียดของข้อมูลเงินส่งเข้ากองทุนฯ ร้อยละของบุคลากรที่เข้าร่วมพัฒนาบุคลากรตามแผนได้อย่างน้อย 6 หลักสูตร ร้อยละของบุคลากรที่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลการพัฒนาบุคลากรตามที่กำหนดไว้ และบทบาทของผู้บริหารกองทุนฯ
5. การประเมินบทบาทและการทำหน้าที่ของผู้บริหารกองทุนน้ำมันฯ ประกอบด้วย คณะกรรมการฯ 2 คณะ คือ กบง. และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ซึ่งพิจารณาจาก 2 ตัวชี้วัดย่อย ดังนี้ 1) บทบาทของคณะกรรมการฯ จากการดำเนินการ 2 กิจกรรม ภายในปีบัญชี 2552 ประกอบด้วย ร้อยละของจำนวนการประชุมคณะกรรมการฯ และมีมติที่เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการ และบทบาทของคณะกรรมการฯ ในการกำกับดูแลให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการฯ ภายในปีบัญชี 2552 ให้มีการรายงานเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม และ 2) บทบาทของคณะกรรมการฯ 2 คณะ ในด้านการกำกับดูแล โดยพิจารณาจากร้อยละของการดำเนินงานตามมติของที่ประชุม ที่มอบหมายให้ดำเนินการในปีบัญชี 2552
6. เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 อบน. ได้มีมติเห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 และเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 เสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานกับกรมบัญชีกลาง เพื่อปรับแก้เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2552 ตามข้อคิดเห็นของ อบน. ในส่วนตัวชี้วัดที่ 4.2 และ 4.3 เรื่อง ร้อยละของบุคลากรที่เข้าร่วมพัฒนาบุคลากรและผ่านเกณฑ์การประเมินผลการพัฒนาตามที่กำหนด โดยในปีบัญชี 2552 ให้ดำเนินการเฉพาะในส่วนบุคลากรของ สบพน. และ อบน. ได้มีข้อคิดเห็นว่าในปีต่อไป ควรมีการพิจารณาเกณฑ์การประเมินผลของกองทุนน้ำมันฯ โดยการหารือร่วมกันทุกฝ่ายก่อน หรือจัดตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สนพ. สบพน. และกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาเกณฑ์ประเมินผลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์กองทุนน้ำมันฯ ต่อไป
7. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอดังนี้ เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ เสนอประธาน กบง. ลงนามต่อไป และ เห็นชอบร่างคำสั่งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
2. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 7 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-24 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 71.46 และ 70.87 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.64 และ 6.77 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอยู่ที่ 1.416 เหรียญสหรัฐ/ยูโร และรัฐมนตรีน้ำมันเยเมน รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในปี 2552 จะเฉลี่ยที่ระดับ 287,000 บาร์เรล/วัน ลดลง ร้อยละ 4.3 จากปี 2551 ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-24 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 82.39, 80.40 และ 79.15 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.56, 9.55 และ 8.07 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่านนำเข้าน้ำมันเบนซินปริมาณ 4.43 ล้านบาร์เรล (147,000 บาร์เรล/วัน) ส่งมอบเดือนกันยายน 2552 ประกอบกับโรงกลั่น 16 แห่งในประเทศจีนมีแผนลดอัตราการกลั่นในเดือนสิงหาคม 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 88.6 จากระดับร้อยละ 90.4 ในเดือนกรกฎาคม 2552 ก่อนปิดซ่อมบำรุง รวมทั้งโรงกลั่น Balongan (125,000 บาร์เรล/วัน) ของ Pertamina ของอินโดนีเซีย ขยายเวลาซ่อมแซมถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2552
2. จากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ได้มีมติให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ลง 2.00 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 ลง 0.40 บาท/ลิตร ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2552 จากมาตรการดังกล่าวและสถานการณ์ราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E85 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.20 บาท/ ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็ว ลงลด 0.40 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 41.34, 35.74, 32.14, 29.84, 22.72, 31.34, 27.69 และ 26.49 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนสิงหาคม 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 14 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 502.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบและ Arbitrage ส่งออก LPG จากตะวันออกกลางไปยุโรปปิด จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนกันยายน 2552 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 545 - 555 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากผู้ผลิตปิโตรเคมีในเอเชียเหนือ เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น มีความต้องการก๊าซ LPG เพื่อใช้ในการผลิตมากขึ้นเนื่องจากความแตกต่างของราคาแนฟทากับ LPG สูงขึ้น ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาท/กิโลกรัม และราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 14.6443 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - 25 สิงหาคม 2552 รวมทั้งสิ้น 764,269 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 9,820 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนมิถุนายน 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตจริง 11 ราย และมีปริมาณผลิตจริง 2.57 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ เดือนสิงหาคม ปี 2552 อยู่ที่ 21.29 บาท/ลิตร ในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม 2552 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 11.70 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการรวม 4,216 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.23 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 228 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาท/ลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 5.60 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ 1.57 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 27.27 บาท/ลิตร ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม 2552 ปริมาณจำหน่าย 22.27 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,455 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.20 บาท/ลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2552 มีเงินสดในบัญชี 29,801 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 11,235 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,899 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 336 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 18,566 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 47 - วันพุุธ ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 10/2552 (ครั้งที่ 47)
เมื่อวันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมงบประมาณ ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 3
1. แนวทางการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันขึ้นในช่วงเวลานี้ กระทรวงพลังงานเห็นว่าควรใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงได้เชิญกรรมการมาประชุมเร่งด่วนในวันนี้
เรื่องที่ 1 แนวทางการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
ประธานฯ ได้ชี้แจงว่าขอให้การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมลับ เนื่องจากคาดการณ์ว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ รัฐบาลอาจมีความจำเป็นต้องออกพระราชกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยปัจจุบันเพดานภาษีสรรพสามิตน้ำมันอยู่ในระดับเต็มพิกัดตามที่กฎหมายเดิมกำหนดไว้ ซึ่งภาครัฐต้องการขยายเพดานภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อเรียกเก็บเพิ่มขึ้นสำหรับเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ โดยยังไม่ได้กำหนดอัตราที่จะ เรียกเก็บเพิ่มขึ้นที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม หากปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่มขึ้น แล้วปล่อยให้เป็นไปตาม กลไกตลาด ราคาขายปลีกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นและจะต้องมีการตรวจสต็อกน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมทั้งอาจมีการกักตุนและเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมันขึ้นได้
กระทรวงพลังงานจึงขอหารือเพื่อหาแนวทางในการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่จะปรับเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยการปรับลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ เท่ากับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้น แล้วจึงทยอยปรับเพิ่มอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ภายหลัง จนครบจำนวนที่ปรับลดลง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพื่อมิให้ราคาขายปลีกน้ำมันเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานสั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศต่อไป
2. หากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในช่วงขาลง มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ไม่เกินครั้งละ 0.80 บาทต่อลิตร ถ้าหากกรณีมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมัน ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาอีกครั้ง