programmer_ener
กอ. ครั้งที่ 29 - วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2545(ครั้งที่ 29)
วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2545 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
4. ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2545
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ท่านประธานฯ ได้มีโอกาสเดินทางไปดูงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ที่เมืองไฟบวร์ก ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ซึ่งรัฐบาลเยอรมันกำลังสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ โดยทำจากวัสดุที่ไม่ใช่ซิลิกอน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวใกล้ที่จะนำมาใช้ผลิตขายเชิงพาณิชย์ได้แล้ว และรัฐบาลเยอรมันยังมีโครงการส่งเสริมการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน จำนวน 1 แสนหลัง โดยการออกกฎหมาย เพื่อสนับสนุนบ้านที่ผลิตไฟฟ้าได้จากเซลล์แสงอาทิตย์ให้สามารถจ่ายไฟฟ้าเชื่อมต่อสายส่งเพื่อขายได้ ท่านประธานฯ จึงมีความเห็นว่า ประเทศไทยควรจะทำการพัฒนาทางด้านเซลล์แสงอาทิตย์และสนับสนุนการนำเซลล์แสงอาทิตย์มาใช้ในการผลิตไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพื่อช่วยลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ ซึ่งจะทำให้การก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ลดลง หรือนำไปใช้ในเขตพื้นที่ห่างไกลสายส่ง เช่น ตามเกาะต่างๆ ที่สายส่งไม่สามารถเข้าถึง ทั้งนี้ กองทุนฯ ควรมีนโยบายที่จะให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงงบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่า มีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 30 เมษายน 2545 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น13,116,835,014.13 บาท
มติที่ประชุม
มติที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ สพช. ใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 2,060 ล้านบาท ภายใต้ "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เพื่อสนับสนุนให้มีการลงทุนผลิตและขายไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้อีกประมาณ 300 เมกะวัตต์
2. สพช. ได้เชิญชวนให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบหรือใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนดังกล่าว โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนกับผู้ที่มีข้อเสนอที่เหมาะสมและเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กไม่เกิน 0.36 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี ด้วยวิธีคัดเลือก และมีผู้สนใจยื่นข้อเสนอไว้กับ สพช. รวมทั้งสิ้น 43 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 775 เมกะวัตต์ คิดเป็นจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 6,400 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ สพช. กำหนดไว้
3. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ได้เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 28) เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 แล้ว และที่ประชุมได้มีมติดังนี้
(1) รับทราบและเห็นชอบผลการคัดเลือกข้อเสนอทั้ง 43 โครงการ ดังนี้
กลุ่มที่ 1 จะได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 17 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้า ที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 313 MW คิดเป็นเงินที่กองทุนฯ สนับสนุนทั้งสิ้นในวงเงิน 1,956 ล้านบาท
กลุ่มที่ 2 ข้อเสนอผ่านเกณฑ์การพิจารณาเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 แต่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนเนื่องจากวงเงิน 2,060 ล้านบาท ได้หมดลงก่อน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 20 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายเข้าระบบ 224.20 MW
กลุ่มที่ 3 ข้อเสนอที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา รวมทั้งสิ้น 6 ราย เนื่องจากได้รับคะแนน 0 หรือ 1 ในหัวข้อหนึ่งหัวข้อใดของข้อเสนอทางเทคนิค/ข้อเสนอทางการเงิน และมีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ ที่กำหนด
(2) เนื่องจากข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ นั้น มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด และเพื่อจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นดำเนินการคัดเลือกใหม่ คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้กับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน อีก 1,000 ล้านบาท เป็นวงเงินรวม 3,060 ล้านบาท เพื่อประกาศให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 โครงการ ได้มีสิทธิยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนใหม่ โดยเสนออัตราเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (เท่ากับอัตราสนับสนุนสูงสุดในกลุ่มที่ 1)
(3) อนุมัติให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายจากแผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในการติดตามดูแลและสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ได้โดยให้ สพช. จัดทำรายละเอียดแผนการใช้จ่ายเงินเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบเป็นระยะ
4. เนื่องจากสาธารณชนยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่สื่อให้ทราบถึงความเป็นมาและผลสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ที่ก่อเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม ทั้งในด้านนโยบาย วัตถุประสงค์และเหตุผลที่รัฐสนับสนุนให้มีการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือพลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งหากรัฐไม่เร่งดำเนินการให้เกิดการสื่อสารต่อประชาชนในเรื่องดังกล่าว อาจทำให้เกิดช่องว่างและมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในการดำเนินโครงการฯ สพช. จึงได้จัดทำ "กรอบโครงการประชาสัมพันธ์ภายใต้โครงการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ขึ้น เพื่อตอกย้ำข้อมูลข่าวสารและความทรงจำของกลุ่มเป้าหมาย และสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง โดย สพช. จะจัดจ้างผู้ที่มีความเป็นมืออาชีพมาเป็นผู้บริหารและดำเนินการโครงการฯ ให้เกิดผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ด้วยการบริหารแผนงานที่รัดกุม แบ่งเป็น 4 ระดับ ดังนี้
(1) งานบริหารโครงการประชาสัมพันธ์ : ภายใต้โครงการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดผลบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
(2) งานประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายหลัก : เป็นการสื่อสารให้ประชาชนในพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้รับทราบถึงความเป็นมาและเห็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยส่วนรวมในการที่รัฐได้สนับสนุนให้มีการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือพลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นและให้ความร่วมมือเพื่อดำเนินการให้เกิดโรงไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงในพื้นที่นั้นๆ
(3) งานสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรอง : เป็นการสื่อสารให้ประชาชนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้นำความคิด/ผู้ชี้นำทางสังคม สื่อมวลชน และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารโครงการฯ และเกิดแนวคิดที่ดีกับโครงการฯ ส่งผลให้การดำเนินงานได้รับความร่วมมือด้วยดี
(4) งานสื่อสารประชาสัมพันธ์ในกรณีเกิดวิกฤติการณ์ : งานในส่วนนี้จะมีการดำเนินกิจกรรมในกรณีที่มีเหตุที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเกิดขึ้น ซึ่งกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามแผนงานปกติอาจจะได้ผลช้าและไม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นได้ทันต่อเหตุการณ์
5. คณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบกรอบโครงการประชาสัมพันธ์ฯ และอนุมัติให้ สพช. ใช้เงินกองทุนฯ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 69.7 ล้านบาท เป็นค่าดำเนินการตามกรอบโครงการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว และให้ สพช. จัดจ้างผู้บริหารโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ โดยเมื่อผู้รับจ้างจัดทำ Terms of Reference (TOR) และหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์แต่ละกิจกรรม เรียบร้อยแล้ว ให้ สพช. เสนอคณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ ก่อนจัดจ้างผู้ดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์แต่ละกิจกรรม
6. ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 3,060 ล้านบาท เพื่อให้ สพช. นำมาใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเงินจำนวน 3,060 ล้านบาท ดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ สพช. กันเงินไว้ประมาณ 1,956 ล้านบาท สำหรับเป็นเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าของผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ และคณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบให้ สพช. กันเงินไว้ประมาณ 69.7 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าดำเนินการตามกรอบโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ดังนั้นวงเงินรวมของโครงการฯ ที่คงเหลืออยู่เพื่อนำมาจัดสรรให้กับผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาในกลุ่มที่ 2 จึงมีจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,035 ล้านบาท
7. เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2545 สพช. ได้เชิญผู้ยื่นข้อเสนอในกลุ่มที่ 2 ทั้ง 20 โครงการ มาประชุมเพื่อรับทราบสิทธิในการยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนใหม่ โดย สพช. ประกาศปิดรับซองข้อเสนอในวันที่ 15 พฤษภาคม 2545 และเมื่อครบกำหนดปิดรับซองข้อเสนอทางการเงิน ปรากฏว่ามีผู้มาใช้สิทธิรวมทั้งสิ้น 19 โครงการ (ยกเว้น RFP 00015 ห้างหุ้นส่วนจำกัดไพโรจน์ สมพงษ์พาณิชย์ ไม่ได้ใช้สิทธิในการยื่นข้อเสนอ) คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 223.3 MW และคิดเป็นเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,189,959,874.60 บาท
8. คณะอนุกรรมการฯ และคณะทำงานฯ ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2545 พิจารณาข้อเสนอทั้ง 19 โครงการ และสรุปผลการจัดเรียงลำดับข้อเสนอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ดังนี้
(1) มีข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณารวมทั้งสิ้น 17 โครงการ และเมื่อทำการจัดสรรเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้กับข้อเสนอที่เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยของเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) ที่ขายเข้าระบบของการไฟฟ้าตลอดอายุโครงการ (Average Levelized Adder) แล้วปรากฏว่าภายในวงเงิน 1,035 ล้านบาท มีข้อเสนอที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 14 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 198.1 MW และคิดเป็นวงเงินที่ขอรับการสนับสนุนจาก กองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 1,034,517,874.60 บาท โดยเงินกองทุนฯ ที่คงเหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้กับโครงการฯ ลำดับถัดไปได้
(2) มีข้อเสนอที่ไม่ผ่านการพิจารณารวมทั้งสิ้น 2 โครงการ
RFP 0018 บริษัทอุตสาหกรรมมิตรเกษตร จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในเรื่องการค้ำประกันซอง
RFP 0032 บริษัทน้ำตาลพิษณุโลก จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ปฏิบัติผิดเงื่อนไข โดยบริษัทฯ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงราคาเชื้อเพลิงที่รับซื้อในตารางคำนวณผลตอบแทนการลงทุนด้วย ซึ่งมีผลกระทบต่อปัจจัยการวิเคราะห์ทั้งระบบ
(3) ผลการพิจารณาข้อเสนอเพื่อจัดสรรเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าฯ (บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) รวม 2 ครั้ง สรุปได้ว่ามีข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้นประมาณ 511 MW และคิดเป็นวงเงินที่กองทุนฯ จะต้องสนับสนุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,991 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ในกลุ่มที่ 2 ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาเสนอมา โดยกองทุนฯ มีเงื่อนไขให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกในกลุ่มที่ 2 ทั้ง 14 รายต้องนำเสนอแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชน และให้ สพช. นำผู้แทนของกองทุนฯ เข้าไปในพื้นที่ตั้งโครงการฯ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้นและรายงานผลเป็นข้อสังเกตและความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ ต่อไป
2. ให้ สพช. ทำหน้าที่ประสานงานในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเกาะติดสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่และรายงานความเป็นไปให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งจัดตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้น โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักวิชาการอิสระ ผู้แทนจากชุมชน และเจ้าของโรงไฟฟ้า เพื่อมีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของโรงงานไฟฟ้าต่างๆ ในแต่ละพื้นที่
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 28) เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 ได้พิจารณา "แผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2545" ซึ่งเสนอโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) แล้วและที่ประชุมได้มีความเห็นว่า แผนงานดังกล่าวยังขาดความชัดเจนในเรื่องรายละเอียดของกิจกรรมรวมถึงวิธีการดำเนินการและกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ดังนั้นที่ประชุมได้มีมติ ให้ พพ. หารือร่วมกับ สพช. และ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ เพื่อกำหนดกรอบและวิธีการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. พพ. ได้หารือกับ สพช. และ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ตามมติของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว และนำมาสู่การปรับแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ฯ ของ พพ. และเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาดังนี้
(1) ตัดกลุ่มเป้าหมายรอง "กลุ่มประชาชนทั่วไป" ออกจากแผนฯ และเพิ่มกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ "โรงงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม" พร้อมทั้งปรับรายละเอียดและวิธีการดำเนินการของแต่ละกิจกรรมให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
(2) ปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงจาก 175 ล้านบาท คงเหลือเพียง 90.5 ล้านบาท ดังนี้
หน่วย: บาท
กิจกรรม | งบประมาณเดิม | งบประมาณใหม่ | เพิ่มขึ้น/(ลดลง) |
- กลยุทธ์ปฏิบัติการมวลชน | 133,000,000 | 56,000,000 | (77,000,000) |
- กลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมาย | 34,000,000 | 28,000,000 | (6,000,000) |
- การประเมินผลและยุทธ์ศาสตร์การวางแผน | 8,000,000 | 6,500,000 | (1,500,000) |
รวม | 175,000,000 | 90,500,000 | (84,500,000) |
3. ผู้แทน พพ. ได้สรุปสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการฯ ให้ที่ประชุมรับทราบเพิ่มเติมดังนี้
วัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์
(1) เพื่อเผยแพร่สาระของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ให้กลุ่มเป้าหมายทราบและเข้าใจอย่างทั่วถึง
(2) เพื่อสร้างทัศนคติและจิตสำนึกที่ดีด้านการอนุรักษ์พลังงานตามแผนงานภาคบังคับแก่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนในประเทศให้มากที่สุด
(3) เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงงานควบคุม อาคารควบคุม และอาคารของรัฐที่เข้าสู่ระบบการอนุรักษ์พลังงานตาม พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง และขยายผลสู่กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่เข้าสู่ระบบฯ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงาน
(4) เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายร่วมมืออนุรักษ์พลังงาน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในด้านการแข่งขันของประเทศให้มากที่สุด
(5) เพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ เพื่อทักษะและเตรียมความพร้อมบุคลากรที่จะต้องปฏิบัติงานด้านอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน และอาคารให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มเป้าหมาย
(1) กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม กลุ่มโรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม กลุ่มนักวิชาการ นิสิต นักศึกษา นักวิชาชีพด้านวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรม กลุ่ม ACs กลุ่ม RCs และรวมทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของ พพ.
(2) กลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ กลุ่มสื่อมวลชน
กลยุทธ์ของการประชาสัมพันธ์
เพื่อให้การประชาสัมพันธ์บังเกิดผลตามวัตถุประสงค์อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจึงได้มีการกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินการ เพื่อให้สอดคล้องกัน 2 กลยุทธ์ คือ
กลยุทธ์ที่ 1 ปฏิบัติการมวลชน เป็นการกระตุ้นความสนใจ เพื่อให้เกิดความตระหนักและ จิตสำนึกในการเข้าร่วมในการอนุรักษ์พลังงานในวงกว้าง
กลยุทธ์ที่ 2 เจาะกลุ่มเป้าหมาย เป็นการสนับสนุนให้กลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรม และมีส่วนร่วม ในการผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะใช้กิจกรรม การสื่อสารที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้โดยตรงมากขึ้น
กิจกรรมการประชาสัมพันธ์
(1) กิจกรรมประชาสัมพันธ์ในกลยุทธ์ที่ 1 ปฏิบัติการมวลชน
เป็นกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์เพื่อกระจายข้อมูลข่าวสารด้านการอนุรักษ์พลังงานตามแผนงานภาคบังคับให้เกิดผล ด้านการรับรู้ ความสนใจ ความตระหนัก และเกิดแนวร่วมจากกลุ่มเป้าหมายอย่างพร้อมเพรียงกันในวงกว้าง โดยประกอบด้วย กิจกรรมที่มุ่งสื่อสารผ่านสื่อมวลชนไปยังกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมและโรงงานนอกข่ายควบคุม
(2) กิจกรรมประชาสัมพันธ์ในกลยุทธ์ที่ 2 เจาะกลุ่มเป้าหมาย
เป็นการประชาสัมพันธ์เจาะจงถึงกลุ่มเป้าหมายหลักโดยตรง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมการสื่อสารที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มโดยตรงมากขึ้น อย่างสอดคล้องต่อเนื่อง และสนับสนุนกลยุทธ์ที่ 1
งบประมาณดำเนินการ
งบประมาณดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2545 รวมทั้งสิ้น 90,500,000 บาท (เก้าสิบล้านห้าแสนบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ พพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2545 โดยใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคบังคับ โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 ในวงเงิน 60,500,000 บาท (หกสิบล้านห้าแสนบาทถ้วน) ประกอบด้วย
กิจกรรม | งบประมาณ (ล้านบาท) | |
(1) กิจกรรมกลยุทธ์ปฏิบัติการมวลชน | 26.00 | |
(1.1) หมวดการประชาสัมพันธ์สนับสนุนผ่านสื่อมวลชน | 18.5 | |
- สื่อโทรทัศน์ เช่น สารคดีสั้น | 10.0 | |
- สื่อโทรทัศน์ เช่น ร่วมรายการโทรทัศน์ เป็นต้น | 3.5 | |
- สื่อวิทยุ เช่น สารคดีสั้น ร่วมรายการสนทนา สัมภาษณ์ เป็นต้น | 2.5 | |
- สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น สัมภาษณ์ รายงานข่าว รายงานพิเศษ เป็นต้น | 2.5 | |
(1.2) หมวดกิจกรรมและสื่อประชาสัมพันธ์อื่นๆ | 7.5 | |
- ข่าวและภาพประชาสัมพันธ์ | 0.5 | |
- สื่อมวลชนสัญจร | 1.2 | |
- กิจกรรมให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม | 5.0 | |
- แถลงข่าวประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการโรงงาน/อาคารควบคุม | 0.5 | |
- พัฒนาข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์ในสื่ออินเตอร์เน็ต | 0.3 | |
(2) กิจกรรมกลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมาย | 28.00 | |
- ทีมเผยแพร่ | 7.0 | |
- สัปดาห์อนุรักษ์พลังงาน | 4.0 | |
- ร่วมงานแสดงสินค้า | 6.0 | |
- สัมมนากลุ่มโรงงาน และนิทรรศการเคลื่อนที่ | 4.0 | |
- วารสารพลังงาน | 3.5 | |
- คู่มือและชุดความรู้ฯ | 3.0 | |
- พัฒนาศูนย์ข้อมูลและสายด่วน พพ. | 0.5 | |
(3) กิจกรรมการประเมินผลและยุทธศาสตร์การวางแผน | 6.5.00 | |
- การวิจัยปัญหาอุปสรรคการร่วมโครงการฯ และประเมินผลฯ | 2.0 | |
- ที่ปรึกษาด้านแผนการประชาสัมพันธ์ฯ | 4.5 | |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 60.50 |
เรื่องที่ 4 ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2545
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบแผนโครงการพัฒนาบุคลากรและงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงิน 1,688 ล้านบาท
2. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2545 ดังนี้
กิจกรรม | แผนการดำเนินงาน (ล้านบาท) |
ผลการดำเนินงาน (ล้านบาท) |
คงเหลือ (ล้านบาท) |
(1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน แบบเรียน คู่มือและเครื่องมือที่ใช้ประกอบการทำงาน | 190 | 252.79 | (62.79) |
(2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้น ในประเทศ | 63 | 66.07 | (3.07) |
(3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 5 | 0.84 | 4.16 |
(4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ | 50 | - | 50 |
(5) การให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 30 | 3.8 | 26.2 |
(6) อื่น ๆ | 5 | 68.30 | (63.30) |
รวม | 343 | 391.81 | (48.81) |
3. จากผลการดำเนินโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2545 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากร เป็นเงินทั้งสิ้น 391.81 ล้านบาท ทำให้งบประมาณติดลบเป็นจำนวนเงิน 48.81 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการเพิ่มขึ้นจากแผนงบประมาณเดิม เช่น โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดยกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ในวงเงิน 185 ล้านบาท และโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงานฯ ในวงเงิน 68.3 ล้านบาท ทำให้วงเงินงบประมาณเดิมภายใต้โครงการที่ได้รับอนุมัติไม่เพียงพอต่อการดำเนินงานตามแผนงานที่กำหนดไว้ ประกอบกับในปีงบประมาณ 2545 สพช. มีโครงการหลักๆ ที่คาดว่าจะอนุมัติได้ภายในปีงบประมาณ 2545 ในวงเงินรวม 524.18 ล้านบาท ดังนี้
(1) โครงการบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดย มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในวงเงิน 125 ล้านบาท
(2) โครงการศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน โดย พพ. ในวงเงิน 150 ล้านบาท
(3) โครงการภายใต้ความรับผิดชอบของ พพ. ซึ่งมีแผนที่จะดำเนินการในโครงการต่างๆ ในวงเงินรวม 56.09 ล้านบาท ดังนี้
โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ในวงเงิน 16.09 ล้านบาท
โครงการเสริมสร้างสื่อการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 20.00 ล้านบาท
โครงการฝึกอบรมตามแผนงานภาคบังคับ ในวงเงิน 20.00 ล้านบาท
(4) โครงการส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย สพช. ในวงเงิน 87 ล้านบาท
(5) โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงานฯ ในวงเงิน 30 ล้านบาท
(6) โครงการอื่นๆ ในวงเงิน 20 ล้านบาท
4. คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2545 (ครั้งที่ 95) เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้ สพช. ปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 จำนวน 524.25 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 867.25 ล้านบาท และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 เพื่อให้ สพช. ใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้การสนับสนุน สำหรับโครงการพัฒนาบุคลากร จำนวน 524,250,000 บาท (ห้าร้อยยี่สิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.1 เป็นเงินงบประมาณเพื่อให้ สพช. นำไปสมทบในส่วนที่มีการใช้จ่ายเงินเกินงบประมาณ เป็นจำนวนเงิน 48,810,000 บาท (สี่สิบแปดล้านแปดแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่การอนุมัติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 และวันที่ 10 มิถุนายน 2545
1.2 เป็นเงินงบประมาณสำหรับโครงการใหม่ที่ไม่ได้กำหนดไว้ในกรอบเดิม เป็นจำนวนเงิน 475,440,000 บาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบห้าล้านสี่แสนสี่หมื่นบาทถ้วน)
2. ให้ สพช. ใช้จ่ายเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ทั้งในส่วนงบประมาณเดิม (343 ล้านบาท) และส่วนที่ได้รับอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม (524.25 ล้านบาท) รวมเป็นเงิน 867.25 ล้านบาท โดยสามารถถัวจ่ายได้ระหว่างกิจกรรม ดังนี้
กิจกรรม ปีงบประมาณ 2545 |
รวมงบประมาณ (ล้านบาท) |
(1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน แบบเรียน คู่มือและ เครื่องมือที่ใช้ประกอบการงาน | 407.79 |
(2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ | 262.16 |
(3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 5.00 |
(4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ | 87.00 |
(5) การให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 7.00 |
(6) อื่น ๆ | 98.30 |
รวม | 867.25 |
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 2/2544 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อพิจารณาแนวทาง และกำกับดูแลการดำเนินงานโครงการปิดถนนฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และบรรลุเป้าหมาย
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ สำหรับโครงการปิดถนนฯ แก่ภูมิภาคต่างๆ ภายในวงเงินแห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ เป็นผู้พิจารณากลั่นกรอง และอนุมัติวงเงินตามแผนรายละเอียด ระยะเวลาการดำเนินงานและงบประมาณของโครงการปิดถนนฯ ที่ภูมิภาคต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปิดถนนฯ ในภูมิภาคนั้น โดยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานเป็นหลัก และรายงานผลการพิจารณาให้คณะกรรมการกองทุนทราบต่อไป
3. คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2545 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการปิดถนนฯ ได้แก่
(1) จังหวัดภูเก็ต บริเวณถนนถลาง ภายใต้ชื่อ "ไข่มุกอันดามัน 7 มหัศจรรย์ที่ภูเก็ต" ในวงเงิน 10 ล้านบาท
(2) จังหวัดลำปาง บริเวณถนนประสานไมตรี ภายใต้ชื่อ "มหัศจรรย์ก๋องปู่จา ล้านนาไทย" ในวงเงิน 7 ล้านบาท
(3) จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณถนนท่าแพ ภายใต้ชื่อ "10 มหัศจรรย์ล้านนาที่ท่าแพ" เพิ่มเติมในวงเงิน 6,175,836 บาท
4. จากการดำเนินโครงการปิดถนนฯ ที่ผ่านมา สามารถสรุปผลการดำเนินโครงการ ได้ดังนี้
(1) ประชาชนในท้องถิ่นเห็นความสำคัญของการประหยัดพลังงาน เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และเกิดแนวคิดในการประหยัดพลังงานอีกด้วย
(2) ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางจากปกติที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล
(3) ปริมาณมลพิษลดลง
(4) มีการขยายตัวของเศรษฐกิจชุมชน
(5) เป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีต่อสถาบันครอบครัว และเยาวชน เนื่องจากเป็นลานกิจกรรมของครอบครัว และการแสดงของเยาวชน นักเรียน นักศึกษา เพื่อช่วยให้เยาวชนห่างไกลจากอบายมุข
5. เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการที่รัฐบาลและ สพช. มีเป้าหมายที่จะดำเนินการต่อไปในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีความเหมาะสมและมีความพร้อม ประกอบกับจากการดำเนินงานที่ผ่านมาประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ มีความเข้าใจในแนวคิดของโครงการฯ มากขึ้น อีกทั้งหน่วยงานผู้รับผิดชอบสามารถเตรียมการโครงการฯ ให้เป็นไปในแนวทางที่จะเป็นถนนคนเดินที่ยั่งยืนได้ ทำให้การดำเนินการเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้นเพื่อความเหมาะสม จึงเห็นควรให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองรายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ แล้วเสนอข้อคิดเห็นต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติวงเงินในการดำเนินการโครงการฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 2/2544 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
2. เห็นชอบในการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ตามที่ สพช. เสนอมาและให้ฝ่ายเลขานุการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานคณะกรรมการกองทุนลงนามต่อไป
3. เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการปิดถนนฯ ที่แต่ละภูมิภาคเสนอมา แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เป็นผู้พิจารณาอนุมัติวงเงิน โดยให้อนุมัติวงเงินแห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท
อนุ กอ. ครั้งที่ 5 - วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 5)
วันที่ 14 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ 2550
2. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
3. รายงานความก้าวหน้าโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ตามที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้ง 3/2549 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 แล้วและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำใหม่ที่แสดงให้เห็นภาพรวมทั้งหมด โดยนำแผนงานที่เสนอของบประมาณแผ่นดินมารวมไว้ด้วย จะได้ทราบว่าแผนงานที่ใช้จ่ายจากเงินกองทุนฯ ได้ไปช่วยเสริมหรือสอดคล้องกับแผนงานตามงบประมาณในส่วนใด รวมถึงกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินงานในแต่ละแผนงานให้ชัดเจน และมีความคุ้มค่าในการลงทุน
ในการจัดทำแผนฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ นั้น ควรเพิ่มรายละเอียดของงานที่ยังไม่ชัดเจน และลดความซ้ำซ้อนของงานที่ดำเนินการโดยหลายหน่วยงาน เช่น งานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าหรือการติดฉลาก งานประชาสัมพันธ์ การเพิ่มเติมรายละเอียดของโครงการพัฒนาและส่งเสริมชีวภาพ เป็นต้น โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย คุณพรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ คุณจุลละพงศ์ จุลละโพธิ แล้วให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2549
2. คณะผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยอธิบดี พพ. และ ผอ.สนพ. ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2549 เพื่อดำเนินการตามที่คณะอนุกรรมการฯ มอบหมาย โดยการพิจารณาความเหมาะสมของกิจกรรม/งาน/โครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนตามที่เสนอมานั้น มีข้อจำกัดมาก ด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิทราบเป้าหมายโดยรวมเชิงนโยบาย แต่ในรายละเอียดของแผนงาน หน่วยงานไม่ได้เสนอการทบทวนงานที่ได้ทำไปแล้ว ผลสัมฤทธิ์ ปัญหาอุปสรรค ทั้งที่หน่วยงานดำเนินการเองและที่หน่วยงานอื่นหรือภาคเอกชนดำเนินการ นอกจากนั้นโครงการที่เสนอมาส่วนใหญ่ยังไม่ชัดเจนทั้งในรายละเอียดและตัวชี้วัดผลงาน คณะผู้ทรงคุณวุฒิจึงพิจารณาแบ่งเป็น
2.1 โครงการที่ควรมีรายละเอียดเพิ่มเติมให้ชัดเจน ทั้งด้านแผนงานวิธีดำเนินการ เป้าหมาย ตัวชี้วัด และรายละเอียดงบประมาณ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ พพ. เสนอในลักษณะที่มีโครงการย่อยรวมอยู่ด้วย มีเนื้องานที่ไม่ชัดเจน ไม่ได้แยกรายละเอียดงบประมาณแต่ละกิจกรรมและรายการ หรือมีงบประมาณประชาสัมพันธ์รวมอยู่ด้วยซึ่งอาจจะเร็วเกินไป จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดให้เรียบร้อยก่อนเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา หรืออาจจะเห็นชอบกรอบงานและกรอบเงินงบประมาณไปก่อน แล้วจัดทำรายละเอียดมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการ
2.2 โครงการที่ควรรอผลประเมินก่อนดำเนินการ ซึ่งเป็นโครงการที่ พพ. เสนอขอค่าใช้จ่ายเพื่อประเมินผลไว้ จึงเห็นว่าคณะอนุกรรมการฯ อาจเห็นชอบกรอบงานและกรอบเงินงบประมาณไปก่อน โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. ดำเนินการประเมินผลให้เรียบร้อย แล้วจัดทำรายละเอียดของแผนงานโครงการนั้นๆ ให้สอดคล้องกับผลประเมิน และให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบก่อนที่ พพ. จะดำเนินการโครงการนั้นต่อไป
2.3 โครงการที่ควรเพิ่มเติมข้อมูลงานศึกษาวิจัยที่มีผู้ดำเนินการไว้แล้ว เปรียบเทียบกับขอบเขตงานวิจัยที่ พพ. จะดำเนินการ ผลที่คาดว่าจะได้รับ การใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เป้าหมายและตัวชี้วัด แล้วเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบก่อนที่ พพ. จะดำเนินการโครงการนั้นต่อไป
2.4 โครงการที่ควรเพิ่มเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ โดยเฉพาะโครงการศึกษาเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มเติมในกลุ่มอุตสาหกรรม 3 ประเภท และโครงการนำร่องนำเกณฑ์มาตรฐานไปสาธิตการใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรม 9 ประเภท เพราะในปี 2550 เข้าใจว่า พพ. กำลังจะนำมาตรฐานการจัดการใช้พลังงานที่ศึกษาไว้เรียบร้อยแล้ว มาใช้ประเมินประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน/อาคาร
2.5 โครงการที่ไม่ควรสนับสนุนการดำเนินงาน เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่พิสูจน์ทราบแล้ว หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน ได้แก่ โครงการศึกษาการผลิตแก๊สเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าจากไม้โตเร็ว โครงการส่งเสริมเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม และโครงการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในรูปแบบการ์ตูน โครงการสนับสนุนการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูง
2.6 โครงการที่ พพ. และ สนพ. เสนอที่จะดำเนินการในลักษณะและเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน 4 โครงการ ดังนี้
- โครงการลดใช้พลังงานในภาครัฐ : พพ. และ สนพ. ได้ชี้แจงรายละเอียดของงานซึ่งไม่มีความเหลื่อมหรือซ้ำซ้อนกันคณะผู้ทรงคุณวุฒิทราบและเข้าใจเรียบร้อยแล้ว
- โครงการศึกษาการจัดการและจัดเตรียมเชื้อเพลิงชีวมวล : ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกันในส่วนของภาพรวม แต่เนื่องจากผลจากงานศึกษาของ สนพ. จะได้แนวทางที่ครอบคลุมถึงเสถียรภาพด้านเชื้อเพลิงและราคา โอกาสความเป็นไปได้ของระบบโซนนิ่งรวมถึงการจัดการระบบโลจิสติกส์ คณะผู้ทรงคุณวุฒิจึงเห็นว่าควรให้ สนพ. เป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการ
- โครงการที่เกี่ยวกับการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าหรือติดฉลากวัสดุ อุปกรณ์ : เห็นควรรอผลสรุปจากการประชุมของกระทรวงพลังงาน
- โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานทางเลือก: ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกัน เห็นควรให้คณะทำงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงานดูในรายละเอียดของทั้ง 2 หน่วยงาน ก่อนดำเนินการ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมให้งานประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพขึ้น
2.7 ควรมีการจัดระเบียบ รูปแบบ และหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อให้เกิดวินัย และใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพราะทุกโครงการของ พพ. ระบุว่า "สามารถดำเนินการโดยการว่าจ้าง หรือดำเนินการเอง หรือการให้การสนับสนุน หรือนำมาจัดสรร หรือดำเนินการหลายวิธีข้างต้นประกอบกันได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้แต่ละวิธีสามารถแยกดำเนินการได้หลายรายการ และหากมีความจำเป็น ให้ พพ. สามารถขยายเวลาได้ตามความเหมาะสม"
2.8 ไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องความเหมาะสมของวงเงินและการใช้ทรัพยากรได้ ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจัดสรรเงินที่ต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ได้เสนอขอไว้นั้นมีความเหมาะสม
2.9 รับทราบเรื่องที่ พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อขอใช้วงเงินที่ปรับลดลงจากโครงการต่างๆ ไปใช้ดำเนินการโครงการสาธิตผลิตไฟฟ้าโดยใช้ประโยชน์จากน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน
2.10 กระทรวงพลังงานได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านมาตรฐานการใช้พลังงาน ประกอบด้วย กฟผ. พพ. และ สนพ. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2549 เพื่อทราบงานที่แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการไว้ ความซ้ำซ้อนของงาน ปัญหาอุปสรรค และได้ปรับกระบวนการบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนให้งานมาตรฐานการใช้พลังงานมีความก้าวหน้าเร็วขึ้น ดังนี้
1) ให้ พพ. ศึกษาทบทวนและเร่งกำหนดกฎกระทรวงเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
2) ให้ กฟผ. มีหน้าที่ในการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง
3) ให้ พพ. มีหน้าที่ในการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้พลังงานอื่นๆ (ที่ไม่ใช่พลังไฟฟ้า) ประสิทธิภาพสูง และให้ สนพ. มอบงานติดฉลากเตาหุงต้ม LPG และฉลากรถยนต์ ในระยะต่อไปให้ พพ. รับไปดำเนินการ
4) ปรับปรุงองค์ประกอบคณะทำงานด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อทำหน้าที่พิจารณามาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน การติดฉลาก การส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย โดยมีปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นคณะทำงาน และ พพ. เป็นฝ่ายเลขานุการ
5) ให้ สนพ. ทำหน้าที่ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้คณะทำงานฯ คณะอนุกรรมการกองทุนฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ทราบความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ
6) ให้ พพ. และ สนพ. ปรับแผนงานและงบประมาณที่จะเสนอขอจัดสรรจากกองทุนฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานหรือการติดฉลากต่างๆ พร้อมนี้ได้ให้ พพ. เร่งส่งเสริมเผยแพร่การใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้แทนเตาหุงต้มแบบเดิม ที่ยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังด้วย
3. พพ. และ สนพ. ได้ปรับรายละเอียดกิจกรรม/งาน/โครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ตามที่คณะผู้ทรงคุณวุฒิให้คำแนะนำไว้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำมาเสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาโดยคาดว่าจากการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 209.37 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 25.7 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550 โดยมีตัวชี้วัดผลสำเร็จของการดำเนินงาน ดังนี้
ด้านเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
(1) กฎกระทรวงได้รับการแก้ไขให้สามารถเริ่มบังคับใช้กฎหมายควบคุมกับโรงงาน/อาคาร ที่อยู่ในข่ายควบคุมได้ ทั้งที่กำลังใช้งาน และออกแบบก่อสร้างใหม่
(2) ออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการจัดการพลังงานประกาศบังคับใช้ในโรงงานควบคุม ภายในปี 2550
(3) ร้อยละ 75 ของโรงงาน/อาคารที่อยู่ในข่ายควบคุมดำเนินการตามกฎหมาย จัดทำแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานส่งให้ พพ.
(4) กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จะมีการประกาศบังคับใช้กับ โทรทัศน์ หม้อหุงข้าว เครื่องทำน้ำอุ่น เตาหุงต้มที่ใช้ LPG เตาอบไมโครเวฟ
(5) ปรับระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นให้เข้มข้นขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการติดฉลากใหม่
(6) สามารถดำเนินการให้กฎหมายของ สมอ. พิจารณากำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรและเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วย โดยในปี 2550 ประกาศใช้มาตรฐานขั้นต่ำกับบัลลาสต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ และคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
(7) หน่วยงานรัฐที่ใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 10,000 หน่วย/ปี จำนวน 450 หน่วยงาน จาก 1,800 หน่วยงาน มีความเข้าใจในวิธีตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานและสามารถดำเนินการลดใช้พลังงาน
(8) ร้อยละ 80 ของจำนวนประชาชนที่สุ่มสัมภาษณ์ (1,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ) ที่รับรู้และเข้าใจถึงวิธีประหยัดพลังงาน ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการประหยัดพลังงานจนเป็นนิสัยมากขึ้น
ด้านพลังงานทดแทน
(1) สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 เป็น ร้อยละ 4
(2) ติดตั้งการใช้งานระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกล ให้กับ โรงเรียนชนบท ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ฐานปฏิบัติการทางทหารและตำรวจตระเวนชายแดน สถานีอนามัย ได้รวม 200 กิโลวัตต์
(3) ทราบศักยภาพพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า
(4) ทราบแผนที่ศักยภาพพลังงานลมเฉพาะแหล่งในการผลิตไฟฟ้า ที่มีข้อมูลเชิงวิศวกรรมมากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุน
(5) ทราบแนวทาง/กระบวนการรวบรวมวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลมาใช้งาน ที่คุ้มค่าในการลงทุน และแนวทางบริหารจัดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวล ตลอดจนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับชุมชน เพื่อนำไปสู่ตลาดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลในอนาคต
(6) มีการผลิตและใช้ไบโอดีเซลในชุมชนกว่า 400 แห่ง และมีเครื่องต้นแบบการนำผลพลอยได้ไปใช้ประโยชน์ รวมถึงได้เครื่องต้นแบบระบบบำบัดน้ำเสียที่มีคุณภาพเหมาะสมกับชุมชน
(7) ได้แนวทางการจัดการปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับระบบการเก็บผสมและการขนส่งเอทานอลของประเทศที่มีประสิทธิภาพและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำสุด ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการเอทานอลส่วนเกินจากความต้องการใช้ภายในประเทศ
(8) ร้อยละ 80 ของจำนวนประชาชนที่สุ่มสัมภาษณ์ (1,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ) รู้จักและมั่นใจการเลือกใช้เชื้อเพลิงอื่นเช่น NGV ก๊าซโซฮอล์ และ ไบโอดีเซล รวมถึงรู้จักพลังงานทางเลือกมากขึ้น ทราบวิธีการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกระบวนการผลิตและใช้พลังงาน และผ่อนคลายความกังวลที่มีต่อเชื้อเพลิงบางประเภท เช่น ถ่านหิน และอื่นๆ
4. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอนั้น คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,346,857,344 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 353.00 | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 216.00 | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 102.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,503.98 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 481.00 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 85.02 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 39.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 180.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
และประชาสัมพันธ์ | 151.00 | และประชาสัมพันธ์ | 180.00 | ||
1.4 งานบริหารแผนงาน | 32.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม 2,079.98 | รวม 1,079.85 | รวม 187.02 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง ดังนี้
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,610,482,500 | 644,850,000 | - | 2,255,332,500 |
2) สนพ. | 469,500,000 | 435,000,000 | 185,905,104 | 1,090,405,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,079,982,500 | 1,079,850,000 | 187,024,844 | 3,346,857,344 |
โดย สนพ. ลดงบประมาณลง 216 ล้านบาท และ พพ. ลดงบประมาณลง 100.22 ล้านบาท และ พพ. ของบประมาณใหม่สำหรับโครงการพลังน้ำและเผยแพร่เตาประสิทธิภาพสูง รวม 71.27 ล้านบาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำทางเลือกเพื่อปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จากเดิม 4 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 7 และ 10 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งจากทางเลือกต่างๆ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 7 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 6.3 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จะทำให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
มติที่ประชุม
1. ให้ พพ. และ สนพ. ปรับแผนอนุรักษ์พลังงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ตามการพิจารณาของที่ประชุม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดิมเก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร เป็น 7 สตางค์ต่อลิตร และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ค่าใช้จ่ายในงานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2549 โดยแต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เรื่องที่ 2 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว รวม 10 โครงการ ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 7 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการกำหนดเกณฑ์และจัดทำฉลากเตาหุงต้ม LPG ประสิทธิภาพสูง | มจธ. | กันยายน 2549 | กันยายน 2550 |
(2) | โครงการออกแบบประตูบานเกล็ดเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน | มจธ. | สิงหาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(3) | โครงการวิเคราะห์สมรรถนะของระบบทำน้ำร้อนแสงอาทิตย์ร่วมกับปั๊มความร้อนสำหรับอาคารที่อยู่อาศัย | มจธ. | พฤษภาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(4) | โครงการศึกษาศักยภาพการประหยัดพลังงานในพัดลมในเครื่องปรับอากาศแบบ Split Type | มจธ. | พฤษภาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(5) | โครงการศึกษาวัสดุระบบการก่อสร้างด้วยโฟมเพื่อใช้ในการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
(6) | โครงการศึกษาอิทธิพลการตกแต่งผิววัสดุในลักษณะต่างๆ ต่อภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
(7) | โครงการวัสดุผนังจากการเกษตร | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
* มจธ. = มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
2. ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการให้คำปรึกษา ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของเครือข่ายสารสนเทศด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (ระยะที่ 2) | มจธ. |
1) ขอขยายระยะเวลาจากมิถุนายน 2548 เป็นกันยายน 2549 2) ขอนำเงินจากหมวดค่าใช้สอย จำนวน 100,000 บาท ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างบุคลากรฯ ในช่วงที่ขยายเวลา |
(2) | โครงการจัดสร้างเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ | ม.เชียงใหม่ |
1) ขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ จากพฤศจิกายน 2549 เป็นพฤศจิกายน 2550 2) ขอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ จากเดิม จ่ายให้กับผู้ร่วมโครงการเพื่อจัดสร้างเตาเผาศพประหยัดพลังงานชนิดเผาศพมากต่อวัน จำนวน 1 เตา ในวงเงิน 250,000 บาท เป็น จ่ายให้กับผู้ร่วมโครงการเพื่อจัดสร้างเตาเผาศพประหยัดพลังงาน จำนวน 1 เตา ในวงเงิน 250,000 บาท |
(3) | โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อนกิจกรรม "ล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน" | สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา |
1) ขอเบิกค่าบริการล้างแอร์ของหน่วยงานราชการในเขต กฟน. เพิ่มจากเดิม 350 บาท/เครื่อง เป็น 400 บาท/เครื่อง รวม 4,350 เครื่อง คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 217,500 บาท |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ทั้ง 10 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
1. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รายงานความก้าวหน้าของความร่วมมือกับบริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด ในงานศึกษาวิจัยและพัฒนาการทดสอบการใช้งาน Vanadium Redox Flow ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์ไฟฟ้าเคมี โดยเก็บไว้ใน Vanadium Electrolyte เป็นของเหลวที่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ได้ทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าและอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่มาตรฐานที่มีการใช้งานอยู่ทั่วไป โดยทดสอบการใช้งาน 4 รูปแบบ คือ 1) ใช้เป็นอุปกรณ์เก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าในระบบสายส่งของไฟฟ้าสำหรับลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด (Load Leveling) 2) พัฒนาใช้เป็นเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรททดลองผลิตไฟฟ้าจากน้ำตาล 3) พัฒนาเพื่อเก็บสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก และ 4) พัฒนาเป็นแหล่งพลังงานในรถประจำทางไฟฟ้า เพื่อให้เป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานต่อไป
2. โครงการนี้ได้รับงบประมาณจากกองทุนฯ ในวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อดำเนินงาน 2 ส่วน
2.1 การศึกษาวิจัย ให้บริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการศึกษาวิจัยโดยต่อยอดจากสิทธิบัตรที่บริษัทได้รับมอบสิทธิ์จากเจ้าของสิทธิบัตร รวม 10 ฉบับ วงเงินรวม 175 ล้านบาท ศึกษาวิจัย 4 โครงการย่อย ดังนี้
(1) การลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด 60 ล้านบาท
(2) การเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท 65 ล้านบาท
(3) ระบบผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก 20 ล้านบาท (บริษัทฯ สมทบ 20 ล้านบาท)
(4) ทดสอบใช้กับรถประจำทางไฟฟ้า 30 ล้านบาท (บริษัทฯ สมทบเงิน 30 ล้านบาท)
2.2 การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการศึกษาวิจัย โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ก.วิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาในประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ
3. ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ
3.1 โครงการการลดกำลังภาระสูงสุด บริษัทฯ ยังไม่ได้ส่งรายงานทั้ง 2 งวด คือรายงานการพัฒนาพร้อมต้นแบบแบตเตอรี่ ขนาด 1-3 kW และรายงานการพัฒนาพร้อมต้นแบบแบตเตอรี่ ขนาด 4-10 kW เนื่องจากกำลังพัฒนาให้ได้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยต้นทุนต่ำและสะดวกในการผลิตปริมาณมาก โดยมีความก้าวหน้าดังนี้
(1) สามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้าในตัวแบตเตอรี่ได้มากกว่าที่เคยตั้งเป้าไว้เดิม 3 เท่า คือ จาก 400 แอมป์/ตารางเมตร เป็น 1,500 แอมป์/ตารางเมตร ทดสอบประสิทธิภาพโดย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัทฯ ได้นำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบไปใช้ในการออกแบบรายละเอียดและวางข้อกำหนดคุณสมบัติสำหรับการออกแบบด้านวิศวกรรม
(2) ออกแบบแบตเตอรี่ที่มี Cell ขนาดใหญ่ขึ้น จาก 200x200 มิลลิเมตร เป็น 400x400 มิลลิเมตร ได้แล้ว
(3) กำลังทำต้นแบบแรก ขนาด 1-3 kW ที่คาดว่าจะมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายและจะแล้วเสร็จไม่เกินเดือนมกราคม 2550 และจะส่งมอบต้นแบบโดยเร็ว
3.2 เซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท บริษัทฯ ยังไม่ได้ส่งรายงานทั้ง 2 งวด โดยแจ้งว่ากำลังศึกษา วิจัย Electrolyte ในแบตเตอรี่ให้สามารถทำงานได้ในขณะอุณหภูมิสูงขึ้น และได้พัฒนาจนสามารถทำงานได้ในอุณหภูมิที่สูงกว่า 60 องศาเซลเซียส ทำให้ประสิทธิภาพของเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรทสูงขึ้นกว่าเดิม โดย สวทช. ได้เข้าไปทดสอบผลการค้นคว้าวิจัยแล้ว และคาดว่าจะส่งรายงานมาได้ไม่เกินเดือนธันวาคม 2549 แต่ก็ยังไม่ได้มีการส่งงานแต่อย่างไร
มติที่ประชุม
รับทราบความก้าวหน้าโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow ตามที่ พพ. รายงาน
อนุ กอ. ครั้งที่ 6 - วันจันทร์ที่ 25 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2549 (ครั้งที่ 6)
วันที่ 25 ธันวาคม 2549 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2550-2554 แล้วและเห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2550-2554 โดยให้ปรับลดเป้าหมายพลังงานแสงอาทิตย์ลงเป็น 45 MW เพิ่มเป้าหมายของพลังงานลมเป็น 115 MW ปรับลดเป้า NGV เป็น 251,600 คัน สำหรับแนวทางดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในขนส่งนั้น เห็นชอบกรอบแผนงานตามที่เสนอ และเมื่อแผนงานทางกระทรวงคมนาคมชัดเจนขึ้นแล้ว คณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณารายละเอียดภายหลัง
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 แล้ว และได้อนุมัติตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ แต่เนื่องจากอาจมีโครงการที่บรรจุอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 อาจจะซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่หน่วยงานอื่นได้ดำเนินการแล้ว จึงเห็นควรให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณารายละเอียดโครงการอีกครั้ง ก่อนนำไปดำเนินการ โดยเชิญผู้แทนจาก 3 หน่วยงานได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เข้าร่วมให้ความเห็นด้วย ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้ผู้แทนจาก 3 หน่วยดังกล่าวที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ได้พิจารณาให้ความเห็นแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ด้วย
มติที่ประชุม
เห็นด้วยกับแผนปฏิบัติการการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว
กอ. ครั้งที่ 30 - วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 30)
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ท่านประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ท่านประธานได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานประกอบรถยนต์ของบริษัทฮอนด้า ซึ่งบนหลังคาอาคารสำนักงานของบริษัทได้ติดตั้งระผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในอาคาร โดยบริษัทเป็นผู้ลงทุนในการติดตั้งระบบเองทั้งหมด ท่านประธานจึงมีความเห็นว่ากองทุนฯ ควรมีมาตรการในการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ลงทุนทางด้านการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนด้วย เช่น การมอบรางวัลชมเชยให้แก่บริษัทที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นแรงจูงใจแก่บริษัทฯ และบริษัทอื่นๆ ที่สนใจจะเป็นใช้ตัวอย่างเพื่อพัฒนาด้านการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในองค์กร ฯ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่มีผู้สนใจจะลงทุนผลิตและขายไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง (Small Power Producer: SPP) จำนวน 43 ราย ได้ยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากอัตรารับซื้อของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามประกาศของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ใน "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" และคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 มีนาคม2545 และวันที่ 20 มิถุนายน 2545 ได้พิจารณาข้อเสนอทั้ง 43 ราย แล้ว สรุปผลได้ดังนี้
(1) มี SPP รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ ที่ผ่านการพิจารณาเบื้องต้น โดย SPP ทั้ง 31 ราย ต้องจัดทำแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชน และ สพช. จะต้องนำผู้แทนของกองทุนฯ เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้นและรายงานผลเป็นข้อสังเกตและความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ
(2) อนุมัติให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายในการติดตามดูแลและสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ จากกองทุนฯ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 69 ล้านบาท
(3) ให้ สพช. พิจารณากำหนดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและจริงจังและการจัดการกับ SPP ที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือข้อตกลงในการนำ กาก เศษวัสดุเหลือใช้ ขยะมูลฝอยหรือไม้ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กนั้น แล้วก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
(4) คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นควรจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเกาะติดสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่และรายงานความเป็นไปให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนให้ตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นโดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักวิชาการอิสระ ผู้แทนจากชุมชน และเจ้าของโรงไฟฟ้า เพื่อมีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าต่างๆ ในแต่ละพื้นที่
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมครั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ จะนำเสนอความก้าวหน้าของการดำเนินการโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 แผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ส่วนที 2 กรอบการพิจารณาแผนรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่
ส่วนที่ 3 กรอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงาน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
3. สพช. ได้ขออนุญาตต่อที่ประชุมให้ บริษัท ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ผู้บริหารงานประชาสัมพันธ์ของโครงการฯ ได้นำเสนอรายงานต่อที่ประชุมในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 สรุปได้ดังนี้
ส่วนที่ 1 แผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับทราบความเป็นมาและมีความเข้าใจที่ดีต่อโครงการ SPP โดยใช้กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ 3 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี กลยุทธ์การสร้างแนวร่วม และกลยุทธ์การสร้างแนวป้องกัน ซึ่งสามารถแปลงเป็นกิจกรรมการสื่อสารต่างๆ ได้ 4 กิจกรรม ดังนี้
(1) ศูนย์ประสานงานโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อดำเนินกลยุทธ์สร้างแนวร่วมและแนวป้องกัน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึก ติดตามการดำเนินการประชาสัมพันธ์ มวลชนสัมพันธ์ และเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างประชาชนในพื้นที่กับ SPP โดย สพช. ได้ว่าจ้างบริษัท ดีวายทู จำกัด ให้เป็นผู้ดำเนินการในวงเงิน 7,000,000 บาท
(2) ศูนย์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์และสร้างแนวร่วม เพื่อให้สื่อมวลชนทุกแขนงได้รับความรู้ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ที่ถูกต้องเป็นจริงและครบถ้วน
(3) ผู้ผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
(4) ผู้ผลิตสื่อและจัดกิจกรรมการสื่อสารในพื้นที่ เพื่อสร้างสร้างเครื่องมือในการสื่อสารเกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ไปสู่กลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับพฤติกรรมของประชาชนในแต่ละพื้นที่
สำหรับกิจกรรม (2)-(4) นั้นขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการเปิดให้ผู้สนใจรับ TOR และคาดว่าจะสามารถดำเนินการจัดจ้างผู้มาดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมได้ภายในเดือนตุลาคม 2545
ส่วนที่ 2 กรอบการพิจารณาแผนรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากแผนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในแต่ละพื้นที่ จะมีกิจกรรมที่หลากหลาย โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ดังนั้น สพช. จึงกำหนดกรอบการพิจารณาที่เป็นกลางขึ้นเป็นเครื่องมือในการประเมินระดับความพอใจที่มีต่อแผนการรับฟังความคิดเห็นให้การพิจารณาของ SPP ทั้ง 31 ราย ซึ่งสามารถแบ่งการพิจารณา ออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
(1) กรอบการพิจารณาแผนฯ
พิจารณาพื้นที่เป้าหมาย ต้องดำเนินกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นประชาชนโดยครอบคลุมพื้นที่ในรัศมี 10 กิโลเมตร ประกอบด้วย พื้นที่หลัก (0-3 กิโลเมตร จากที่ตั้งโรงไฟฟ้า) และพื้นที่รอง (3-10 กิโลเมตร)
พิจารณากลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ แผนต้องมีความชัดเจนที่จะดำเนินกิจกรรมชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นในทุกกลุ่มเป้าหมาย
พิจารณาเอกสารประกอบการชี้แจง ต้องมีเอกสารประกอบการชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นเพื่อสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายรับทราบ เช่น ข้อมูลพื้นฐานของโครงการผลิตไฟฟ้า ประโยชน์ของโครงการฯ
พิจารณาความชัดเจนของแผน แผนรับฟังความคิดเห็นต้องมีความชัดเจนของวัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินการรับฟังความคิดเห็น ข้อมูลที่จะจัดเก็บเพื่อจัดทำรายงานผลการรับฟังความคิดเห็น กระบวนการดำเนินงาน และปัจจัยประกอบอื่นๆ
ผลการพิจารณาแผนการรับฟังความคิดเห็น
สพช. ได้ส่งแผนการรับฟังความคิดเห็นของ SPP ทั้ง 17 ราย ให้บริษัท ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด รับไปพิจารณาตามกรอบที่กำหนดในข้อ (1) สรุปได้ว่า
มี SPP จำนวน 7 ราย ที่มีแผนการรับฟังความคิดเห็นที่ชัดเจน และเห็นควรให้ดำเนินการได้ตามแผนงานที่เสนอมา
มี SPP จำนวน 6 ราย ที่ควรปรับปรุงแผนตามคำแนะนำก่อนดำเนินการ เนื่องจากขาดรายละเอียดของความชัดเจนในบางประเด็น
มี SPP จำนวน 3 ราย ที่ควรจำทำแผนการรับฟังใหม่ และมี SPP จำนวน 1 ราย ที่ขอระงับโครงการฯ จึงไม่ได้เสนอแผน
(2) การเข้าร่วมสังเกตการณ์รับฟังความคิดเห็น
โดยกำหนดแนวทางการสังเกตการณ์ ประกอบด้วย การประเมินวิธีการดำเนินการเปรียบเทียบกับแผนฯ ประเมินวิธีการชี้แจงของ SPP ประเมินการตอบข้อซักถามของผู้เข้าร่วมประชุม และประเมินการคัดค้านของผู้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็น โดยกำหนดระดับการวัดผลเป็น 3 ระดับ คือ ชัดเจนดี พอใช้ และควรปรับปรุง
ผลการร่วมสังเกตการณ์การรับฟังความคิดเห็น
ในระหว่างเดือนมิถุนายน 2545 - สิงหาคม 2545 ผู้แทนจาก สพช. ได้ไปร่วมสังเกตการณ์การดำเนินกิจกรรมของ SPP จำนวน 8 ราย สรุปได้ว่ามี SPP จำนวน 3 ราย ที่อยู่ในระดับดี 4 รายอยู่ในระดับพอใช้ และ 1 รายที่ควรปรับปรุง
(3) การวิเคราะห์ผลการรับฟังความคิดเห็น
เมื่อ SPP แต่ละรายได้ดำเนินการกิจกรรมตามแผนรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนแล้วSPP จะจัดทำรายงานผลให้ สพช. ทราบ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา สพช. จึงกำหนดแนวทางในการประเมินความน่าเชื่อถือของรายงานที่ SPP จัดทำมา โดยแบ่งการพิจารณาเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 จากรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของ SPP ซึ่งประกอบด้วย รายงานผลการดำเนินการตามแผนรับฟังความคิดเห็น และรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของชุมชน
ส่วนที่ 2 ตรวจสอบโดย สพช. ซึ่งประกอบด้วย ผลการเข้าร่วมสังเกตการณ์รับฟังความคิดเห็น และผลการสำรวจข้อมูลเชิงลึกโดยศูนย์ประสานงานโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้จะต้องผ่านการเกณฑ์การพิจารณา ทั้ง 2 ส่วน จึงถือว่าผ่านการพิจารณา โดยมีเกณฑ์การพิจารณาในแต่ละส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 พิจารณาจากรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของ SPP ซึ่งดำเนินงานตามแผนฯ ที่เสนอ โดยต้องมีรายละเอียดครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ ประเด็นที่ชี้แจงครอบคลุมเนื้อหาที่สำคัญ และมีเอกสารหลักฐานประกอบรายงาน ส่วนผลการสำรวจความคิดเห็นชุมชน จะต้องมีวิธีการสำรวจความคิดเห็นเป็นไปตามหลักวิชาสถิติ เนื้อหาแบบสำรวจสะท้อนทัศนคติของชุมชนที่มีต่อโรงไฟฟ้า และผลการสำรวจความคิดเห็นมีผู้คัดค้านไม่เกินร้อยละ 20
ส่วนที่ 2 พิจารณาจากการตรวจสอบของ สพช. จากการร่วมสังเกตการณ์รับฟังความคิดเห็น โดยพิจารณาประเด็นการชี้แจงของ SPP ที่ครบถ้วนถูกต้อง การตอบข้อซักถามชัดเจน และมีผู้คัดค้านไม่เกินร้อยละ 20 รวมทั้งพิจารณาจากข้อมูลผลการสำรวจเชิงลึก
ผลการรับฟังความคิดเห็น
จากกรอบการประเมินผลตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น (ไม่รวมการสำรวจข้อมูลเชิงลึก) เมื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการประเมินผลความน่าจะเป็นที่ SPP ทั้ง 17 รายแรกได้ดำเนินการตามแผนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว สามารถสรุปได้ว่าโอกาสที่ SPP แต่ละราย จะสามารถสร้างโรงไฟฟ้า ดังนี้
น่าจะผ่าน | พยายามมากขึ้น | เสี่ยงสูง |
1. กฟผ. เขื่อนป่าสักชลสิทธ์ 2. กฟผ. เขื่อนคลองท่าด่าน 3. กฟผ. เขื่อนเจ้าพระยา 4. บริษัทอุตสาหกรรมโคราช 5. บริษัท ทีพีเคสตาร์ช นครราชสีมา 6. บริษัท พีอาร์จีพืชผล ปทุมธานี |
1. บริษัทเซ็นทรัลเอ็นเนอร์จี อยุธยา 2. บริษัทเซ็นทรัลเอ็นเนอร์จี อยุธยา 3. บริษัทเอทีไบโอพาวเวอร์ นครปฐม 4. บริษัทกัลฟ์อิเล็คทริค ตรัง 5. บริษัทเอ็นวาย ชูการ์ นครราชสีมา 6. บริษัทกัลฟ์อิเล็คทริค ยะลา |
1. บริษัทเอที ไบโอพาวเวอร์ นครสวรรค์ 2. บริษัทเอที ไบโอพาวเวอร์ สิงห์บุรี 3. บริษัทไบโอแมส เพาเวอร์ ชัยนาท 4. บริษัทวีโอกรีน เพาเวอร์ นครปฐม หมายเหตุ บริษัทอาร์วีกรีนเพาเวอร์ ขอระงับโครงการ |
(4) การสำรวจข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่
สพช. ได้จ้าง บริษัทดีวายทู จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจกรรม "ศูนย์ประสานงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยบริษัทฯ จะสำรวจข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ด้วยวิธีสัมภาษณ์ตัวต่อตัวแบบเดินชน และเลือกเก็บข้อมูลเฉพาะกลุ่ม โดยแบ่งข้อมูลออกเป็น ข้อมูลด้านความคิดเห็น ข้อมูลวัดผลการดำเนินกิจกรรม และข้อมูลเพื่อการตรวจสอบ ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจะนำไปเปรียบเทียบกับรายงานของ SPP รวมถึงใช้วัดผลสำเร็จของ SPP ด้วย
4. เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของ SPP ที่ได้รับสนับสนุนจากกองทุนฯ และรายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง และเพื่อป้องกัน/แก้ไขปัญหามลพิษที่อาจเกิดขึ้นจากการผลิตไฟฟ้าในโครงการฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม "คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ" และ "คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ได้มีการประชุมร่วมกัน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2545 และให้ความเห็นชอบกรอบแนวทางและเครื่องมือในการติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงานของแต่ละ SPP ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อย่างใกล้ชิด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ
5. สพช. ได้ขออนุญาตให้ บริษัท AEA Technology (Thailand) จำกัด ที่ปรึกษาโครงการ SPP นำเสนอกรอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงาน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
5.1 การจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น (จังหวัด) ผู้แทนจากชุมชนที่ตั้งโครงการ และผู้แทนจากผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้า ซึ่งคณะกรรมการฯ มีหน้าที่ ดังนี้
(1) หน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น (จังหวัด) เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคีดังกล่าว โดยมีผู้แทนจากทั้ง 3 ฝ่าย ในสัดส่วนที่เท่ากัน และควรมีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเข้าเป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการไตรภาคีด้วย เพื่อให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะด้านเทคนิค โดยให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการฯ ร่วมกันอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง เพื่อให้เป็นเวทีที่ชุมชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานรัฐ ได้รับทราบและร่วมกันพิจารณาแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า รวมทั้งเป็นอีกมิติหนึ่งของ "องค์กรชุมชน" ที่ประชาชนในชุมชนได้มีโอกาสรับรู้สิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในชุมชนและมีส่วนร่วมในการผลักดันแนวทางเพื่อพัฒนาชุมชนของตนเอง
(2) "คณะกรรมการไตรภาคี" มีสิทธิในการเข้าตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า และเสนอแนะแนวทางปฏิบัติสำหรับโรงไฟฟ้าเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบจากโครงการฯ รวมทั้งบังคับให้หยุดการผลิตไฟฟ้าในกรณีที่การผลิตไฟฟ้าดังกล่าวส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม
5.2 กำหนดรูปแบบการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการตรวจสอบประเมินผล เพื่อให้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาผลการดำเนินงานของโครงการฯ ให้กับคณะกรรมการไตรภาคี โดยมีขั้นตอนดังนี้
(1) ศึกษาความเหมาะสมและกำหนดรูปแบบการรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผล โดยมีรูปแบบเป็นการรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Report) ซึ่งประกอบด้วย
ดัชนีวัดสภาวะด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Conditioning Indicators) เป็นดัชนีที่ชี้ประเด็นความสำคัญของผลการดำเนินโครงการฯ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ โดยมีค่าชี้วัดจากความพึงพอใจของชุมชนและการสนองตอบต่อนโยบายระดับประเทศ เช่น ความพึงพอใจของชุมชนในรัศมี 5-10 กิโลเมตรรอบที่ตั้งโรงไฟฟ้า เป็นต้น โดยใช้แบบสำรวจมาตรฐานจำนวนประชากรที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากมลพิษที่เกิดจากโรงไฟฟ้า เช่น ฝุ่นขี้เถ้าเข้าตา ปริมาณก๊าซเรือนกระจก อัตราการจ้างงาน การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในท้องถิ่น และสถิติการก่อปัญหาอาชญากรรมเป็นต้น
ดัชนีวัดผลปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Indicators) เป็นดัชนีที่วัดผลการปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้า เช่น ความเข้มข้นของมลพิษที่ปล่อยจากปล่อง คุณภาพน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้า คุณภาพน้ำใต้ดิน เป็นต้น
(2) ศึกษาและประมวลข้อมูลเบื้องต้นของ SPP ที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด ทั้งด้านเทคนิค สถานที่ตั้ง ภูมิประเทศ และความหนาแน่นของชุมชนรอบข้าง เพื่อกำหนดแนวทางการลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก และรูปแบบของแบบสอบถามมาตรฐานที่ใช้ประเมินความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่อโครงการฯ รวมทั้งกำหนดแนวทางการประมวลผลข้อมูลที่จัดเก็บให้อยู่ในรูปแบบดัชนีที่เหมาะสมและง่ายต่อการทำความเข้าใจของคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งแต่ละโครงการฯ จะใช้ดัชนีที่เหมือนกันเพื่อให้สามารถประเมินเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของแต่ละโครงการฯ ได้
(3) จากข้อ (1) และ (2) จะเป็นแนวทางกำหนดขอบเขตงานให้หน่วยงานที่จะดำเนินการเก็บข้อมูลและจัดทำรายงานดังกล่าวเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการไตรภาคี และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง โดยมีความถี่ในการจัดเก็บข้อมูลและรายงานผลประมาณ 3-6 เดือน/ครั้ง โดย สพช. จะมีกรอบการคัดเลือกและจัดจ้างหน่วยงานที่จะดำเนินการเก็บข้อมูล โดยอาจแบ่งการดำเนินการออกเป็นภาคๆ (Zonal) และหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายต้องไม่มีส่วนร่วมรับผลประโยชน์หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการฯ
5.3 เพื่อให้คณะกรรมการกองทุนฯ สามารถตัดสินใจที่จะอนุมัติหรือไม่ควรอนุมัติเงินสนับสนุนให้กับแต่ละ SPP ได้อย่างชัดเจน ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรแต่งตั้งผู้แทนจากคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมเดินทางไปกับผู้แทนของคณะอนุกรรมการฯ คณะทำงานฯ และฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสังเกตการณ์ในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าเป็นรายโครงการ ซึ่งผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ จะได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกในแต่ละพื้นที่ สามารถเปรียบเทียบกับกระแสข่าวและรายงานผลที่ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ และเป็นผู้ให้ความเห็นต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ประกอบการตัดสินใจ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบกรอบการตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ สพช. เสนอและให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอความร่วมมือในการประสานงานกับหน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น (จังหวัด) ในการดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี ตามแนวทางที่กำหนดไว้
2. เห็นควรแต่งตั้งผู้แทนจากคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมเดินทางไปกับผู้แทนของคณะอนุกรรมการฯ คณะทำงานฯ และฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสังเกตการณ์และรับทราบข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า
เรื่องที่ 2 ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 1/2542 ลงวันที่ 5 เมษายน 2542 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน โดยมีนายสิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธานคณะอนุกรรมการดังกล่าว
2. นายสิปปนนท์ เกตุทัต ได้มีหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร 1041/1790 ลงวันที่ 12 เมษายน 2545 แจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ว่าขอลาออกจากประธานอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และบรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ 2535 สพช. จึงขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้
(1) | นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ | ประธานอนุกรรมการ |
(2) | นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
(3) | นายเทียนฉาย กีระนันทน์ | อนุกรรมการ |
(4) | นายมานิจ ทองประเสริฐ | อนุกรรมการ |
(5) | นายศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ | อนุกรรมการ |
(6) | ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | เลขานุการ |
มติที่ประชุม
เห็นชอบกับการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ สพช. เสนอและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมตามว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการวางเงินประกันการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้ถือว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ผู้ประกอบการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไว้ล่วงหน้า โดยมอบหมายให้กรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลางและ สพช. รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่อไป
2. กรมสรรพสามิต ได้จัดให้มีการประชุมผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน2544 เพื่อพิจารณาหาแนวทางแก้ไขในการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของบริษัทฯ น้ำมันส่งขาด โดยให้กรมสรรพสามิต เป็นผู้ร่างระเบียบฯ แล้วมอบให้ สพช. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบก่อนมีการประกาศ สพช.จึงได้เชิญผู้เกี่ยวข้อง คือ ผู้แทนกรมสรรพสามิต ผู้แทนกรมบัญชีกลาง และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาร่วมประชุมเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 เพื่อพิจารณาร่างระเบียบกรมสรรพสามิต และที่ประชุมได้มีมติให้กรมสรรพสามิตแก้ไขเพิ่มเติมร่างระเบียบในข้อ 8 และข้อ 9 ต่อไป
3. กรมสรรพสามิต ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค. 0713/21709 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2545 ถึง สพช. เพื่อนำส่งร่างระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการขอรับเงินคืนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และรายชื่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน ส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ครบถ้วน จำนวน 13 ราย เพื่อให้ ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาแนวทางผ่อนผันในการดำเนินคดีย้อนหลังให้กับผู้ค้าน้ำมันต่อไป โดยได้แจ้งสาเหตุการส่งเงินไม่ครบถ้วนเกิดจากกรณี ดังต่อไปนี้
3.1 เกิดจากการคำนวณปริมาณผิดพลาด เนื่องจาก
(1) ทางคลังน้ำมันต่างจังหวัดที่เป็นผู้จ่ายน้ำมันแจ้งยอดการจ่ายน้ำมันไม่ถูกต้องทำให้ทางสำนักงานใหญ่ที่เป็นผู้เสียภาษีชำระภาษีขาดไป แต่เมื่อบริษัทฯ ตรวจสอบพบเองก็ชำระเพิ่มเติมมา
(2) การจ่ายน้ำมันทางคลังจะวัดปริมาณที่อุณหภูมิปกติและจะต้องคำนวณปริมาณมาเป็นที่อุณหภูมิ 86F หรือ 30C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ใช้สำหรับเสียภาษี ทางคลังจะแจ้งตัวเลขปริมาณที่อุณหภูมิปกติซึ่งไม่ถูกต้อง
(3) โดยปกติบริษัทฯ จะยื่นชำระภาษีเป็นรายสัปดาห์หรือ 3 วันต่อครั้ง แต่รายละเอียดการนำน้ำมันออกจากคลังแต่ละวันเมื่อรวมยอดทั้งสัปดาห์รวมยอดขาดไปเนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์รวมยอดขาดไปหนึ่งวันทำให้ชำระภาษีขาดไปในงวดนั้น
3.2 เกิดจากการพิมพ์ตัวเลขสลับกัน เช่น ปริมาณรวมที่ต้องเสียภาษี 100,563 ลิตร แต่พิมพ์ตัวเลขในแบบรายการภาษีเป็น 100,536 ลิตร และคำนวณเสียภาษีขาดไป ทำให้การส่งเงินเข้ากองทุนขาดไปด้วย
3.3 เกิดจากการปัดเศษจากการคำนวณปริมาณสารเติมแต่งน้ำมันที่จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ปริมาณสารเติมแต่งที่ผสมเมื่อคำนวณตามสูตรแล้วจะเป็นเศษของลิตร การชำระภาษีสรรพสามิตการคำนวณเสียภาษีเศษของลิตรให้คิดเป็นหนึ่งลิตร แต่บางครั้งบริษัทฯ ปัดเศษขึ้นบ้างปัดเศษลงบ้าง เมื่อรวมปริมาณของทุกวันแล้วทำให้ปริมาณที่ยื่นชำระภาษีขาดไป เป็นเหตุให้ส่งเงินเข้ากองทุนขาดไป
4. จากเหตุผลตามที่กรมสรรพสามิต ได้นำเสนอในข้อ 3 เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงเบื้องต้นและพฤติกรรมการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ จะเห็นว่าผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ มิได้มีเจตนาจะหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด เป็นกรณีซึ่งผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ ตรวจสอบพบเองและได้ส่งเงินส่วนที่ขาดพร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 3 ต่อเดือนครบถ้วน โดยมิได้เกิดจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ เหตุปัญหาเกิดจากข้อผิดพลาดทางเทคนิค ผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯน่าจะได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาผ่อนผันการดำเนินคดีย้อนหลัง ประกอบกับพระราชบัญญัติเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ไม่ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจพิจารณาการผ่อนผันกรณีผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ ส่งเงินไม่ครบถ้วนไว้ ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้ว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการที่กรมสรรพสามิตยังหยุดยั้งอยู่ จึงเห็นควรนำส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาหาแนวทางผ่อนคลายปัญหาดังกล่าวให้กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันต่อไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบร่างระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และการขอรับเงินคืนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. เห็นชอบให้ สพช. ส่งเรื่อง ผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯส่งเงินไม่ครบถ้วน ไปหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาหาแนวทางผ่อนคลายปัญหาดังกล่าวกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตามที่กรมสรรพสามิตหารือมา
อนุ กอ. ครั้งที่ 7 - วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 7)
วันที่ 12 เมษายน 2550 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ความคืบหน้าการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
2. ความคืบหน้าการส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน
3. ความคืบหน้าในการกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน
4. ความคืบหน้าโครงการส่งเสริมไบโอดีเซล
5. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
6. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย"
7. ขอความเห็นชอบโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3
8. ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
9. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
10. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียด โครงการ กรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) รองผู้อำนวยการฯ รักษาราชการแทน ผอ.สนพ. อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความคืบหน้าการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดังต่อไปนี้
1. การดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
ณ วันที่ 10 เมษายน 2550 อาคารควบคุมที่กำลังใช้งานที่จะต้องดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมาย มีจำนวน 1,917 แห่ง ประกอบด้วย อาคารส่วนราชการ 800 แห่ง และเอกชน 1,117 แห่ง สำหรับโรงงานควบคุมที่กำลังใช้งานที่จะต้องดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน มีจำนวน 3,160 แห่ง ซึ่งเจ้าของอาคารควบคุม และเจ้าของโรงงานควบคุมได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามกิจกรรมต่างๆ ตามที่พระราชบัญญัติฯ และกฎกระทรวงกำหนด โดยนำมาสรุปได้ดังนี้
กิจกรรม | อาคารควบคุม (แห่ง) | โรงงานควบคุม (แห่ง) | ||||
ทั้งหมด | รับ | อนุมัติ | ทั้งหมด | รับ | อนุมัติ | |
การแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน | 1,917 | 1,749 | 1,598 | 3,160 | 2,623 | 2,253 |
ส่งข้อมูลการใช้พลังงาน | 1,917 | 1,777 | 1,743 | 3,160 | 2,702 | 2,587 |
รายงานเป้าหมายและแผนฯ | 1,917 | 1,532 | 1,384 | 3,160 | 2,055 | 1,598 |
2. การปรับปรุงแก้ไข พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ได้ใช้มาระยะหนึ่งแล้ว บทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงได้มีการปรับปรุงให้เหมาะสมครอบคลุมกิจกรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน โดยมีสาระสำคัญในการแก้ไขและความคืบหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
2.1 สาระสำคัญในการแก้ไข
(1) ขยายขอบเขตให้มีการอนุรักษ์พลังงานเพิ่มเติมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในภาคคมนาคมขนส่ง ที่อยู่อาศัย และการเกษตร ทั้งนี้เพราะเพื่อให้กฎหมายมีความเหมาะสม ครอบคลุมกิจกรรมการใช้พลังงานทุกภาคส่วน
(2) เปลี่ยนโครงสร้างการอนุรักษ์พลังงานไม่ให้เป็นภาระต่อผู้ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
(3) เปลี่ยนแปลงขั้นตอนการออก กฎ ระเบียบให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้ทันต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
2.2 ความคืบหน้าในการดำเนินการ
(1) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีมติเห็นชอบแล้ว เมื่อ 2 มีนาคม 2550
(2) คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการ เมื่อ 13 มีนาคม 2550
(3) ณ ปัจจุบัน (12 เมษายน 2550) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังพิจารณาแก้ไขถ้อยคำ และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการให้กระทรวงพลังงานเก็บรักษาเงินกองทุน
2.3 การดำเนินการในขั้นต่อไป
คาดว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ แล้วเสร็จในช่วงเดือนพฤษภาคม 2550 และจะส่งร่าง พ.ร.บ.ฯ คืนให้คณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นลำดับต่อไปได้ ภายในเดือนมิถุนายน 2550
2.4 การพัฒนากฎหมายลำดับรอง
ได้มีการแก้ไขและพัฒนากฎหมายลำดับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับ ร่าง พ.ร.บ.ฯ และคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาได้พร้อมกับ ร่าง พ.ร.บ.ฯ ในเดือนมิถุนายน 2550 ประกอบด้วย
(1) กฎกระทรวง ข้อกำหนดการจัดการพลังงาน ตามมาตรา 9 มาตรา 21
(2) กฎกระทรวง หลักเกณฑ์ วิธีการแจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบพลังงาน ตามมาตรา 9
(3) กฎกระทรวง ประเภทขนาดอาคารที่จะทำการก่อสร้างใหม่ ตามมาตรา 19
(4) กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพของเครื่องจักร /อุปกรณ์ ตามมาตรา 23
(5) กฎกระทรวง กำหนดคุณสมบัติผู้ตรวจประเมิน ตามมาตรา 48
ขั้นตอน ปี พ.ศ. 2550 | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. |
· ยกร่างกฎกระทรวง 5 ฉบับ | √ | |||||
· รับฟังความคิดเห็น | √ | |||||
· ปรับปรุงแก้ไขเสนอ อพพ. | √ | |||||
· เสนอคณะกรรมการพัฒนากฎหมายกระทรวงพลังงาน | √ | |||||
· เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | การนำเสนอขั้นตอนต่อจากนี้ ต้องรอให้ร่างกฎหมายหลักมีผลใช้บังคับแล้ว | |||||
· เสนอคณะรัฐมนตรี |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ พพ. รับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน
อธิบดี พพ. ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความคืบหน้าการดำเนินการส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
1. โครงอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม
เป็นการมุ่งเน้นให้เกิดผลการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการมีความรู้ความเข้าใจทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติด้วยตัวเองในการจัดการใช้พลังงานได้อย่างถูกวิธีและคุ้มค่า โดย พพ. จัดส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปให้ความรู้ความเข้าใจแก่ทีมงานอนุรักษ์พลังงานที่โรงงานและอาคารแต่ละแห่ง ช่วยหามาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน และผลักดันให้มีการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ซึ่ง พพ. ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 และมีผลการดำเนินงานดังนี้
ในช่วงปี 2545-2549 พพ. ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมไปแล้ว 2,027 แห่ง คาดว่าเกิดผลประหยัดพลังงานคิดเป็นมูลค่า 2,071 ล้านบาทต่อปี สำหรับในปี 2550 พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ 107,000,000 บาท มีเป้าหมายดำเนินการในโรงงานควบคุม 300 แห่ง และอาคารควบคุม 50 แห่ง คาดว่าจะลงนามในการจ้างที่ปรึกษาฯ เข้ามาดำเนินการได้ในเดือนเมษายน 2550
2. โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษี
เป็นการกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงการใช้พลังงาน โดยพิจารณาคืนภาษีของรายได้ส่วนที่เกิดจากการดำเนินการตามมาตรการอนุรักษ์พลังงานแก่โรงงานและอาคารเอกชน เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความคืบหน้า ณ เดือนมีนาคม 2550 ดังนี้
กิจกรรม | จำนวน | เงินสนับสนุนจากภาครัฐ | เงินลงทุนเอกชน | ผลประหยัด |
(แห่ง) | (ล้านบาท) | (ล้านบาท) | (ล้านบาท/ปี) | |
1) Performance Based | 76 | 44.4 | 582 | 408 |
(เห็นชอบการตรวจวัดแล้ว) | (55) | (29.4) | (358) | (226) |
2) Cost based | 94 | 112.4 | 597 | 375 |
ในปี 2550 พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ 140 ล้านบาท เพื่อดำเนินการกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงการใช้พลังงาน ตามแนวทาง Performance Based ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2550 อยู่ระหว่างการคัดเลือกบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการแทน พพ.
3. โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน
เป็นโครงการที่ช่วยส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นโรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน (Energy Service Company) และเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนในโครงการอนุรักษ์พลังงาน โดย พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการฯ ระยะที่ 1 (ปี 2546-2548) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท และระยะที่ 2 (ปี 2549-2551) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2550 ได้เกิดการลงทุนอนุรักษ์พลังงาน 153 โครงการ เป็นเงินให้กู้ดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนฯ 3,354 ล้านบาท สถาบันการเงินและภาคเอกชนลงทุนเอง 2,867 ล้านบาท ก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงานตลอดอายุการใช้งาน ประมาณ 36,094 ล้านบาท
อธิบดี พพ. แจ้งว่ายังมีผู้สนใจลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานอีกมาก พพ. จึงเสนอขอเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันบันการเงิน ระยะที่ 3 โดยจะเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาในระเบียบวาระการประชุมที่ 4.3 พร้อมด้วยรายละเอียดและตัวอย่างของมาตรการที่ภาคเอกชนลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว
4. การส่งเสริมธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO)
เป็นโครงการทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการเรื่องการขาดแหล่งเงินทุนและความเชื่อมั่นในการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงาน พพ. ได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเลือกใช้บริการของ ESCO โดยการให้ความรู้และจัดทำคู่มือการตรวจวัดและประเมินผล รวมทั้งรูปแบบสัญญาเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานระหว่างผู้ประกอบการ และ ESCO นอกจากนี้ ESCO ยังสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร หรือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในโครงการ และได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก BOI ได้อีกด้วย โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการ ดังนี้
(1) ปัจจุบันมีโครงการที่ได้รับความเห็นชอบให้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการด้านการจัดการพลังงาน (ESCO) แล้ว จำนวน 6 ราย ส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Cogeneration) นอกจากนี้ยังมีมาตรการการอนุรักษ์พลังงานอื่นๆ เช่น การปรับเปลี่ยน Chiller, การเปลี่ยน เชื้อเพลิงใน Boiler, การควบคุมระบบแสงสว่าง เป็นต้น จากจำนวน 6 โครงการนี้ จะมีการลงทุนทั้งสิ้น 557.69 ล้านบาท และเกิดผลการประหยัดพลังงานมีมูลค่าทั้งสิ้น ประมาณ 149.36 ล้านบาทต่อปี
(2) พพ. ได้ทำการจัดสรรงบประมาณจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์ เรื่องธุรกิจจัดการพลังงาน ภายใต้โครงการ ESCO Fair and Road Show 2007 ซึ่งจะมีการจัดการสัมมนาและนิทรรศการ เพื่อแสดงผลงานของธุรกิจบริษัทจัดการพลังงานที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการโรงงาน/อาคาร อีกทั้งยังมีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลบริษัทจัดการพลังงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหาข้อมูลของบริษัทจัดการพลังงาน และโครงการที่ผ่านมาเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเลือกใช้บริษัทจัดการพลังงาน โดยจะมีการจัดงาน ESCO Fair 2007 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ ในเดือน กรกฎาคม และจะมีการจัดสัมมนาในลักษณะ Road Show อีก 3 ครั้ง ในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง รวมทั้งจะมีการจัดตั้งเครือข่ายระหว่างบริษัทจัดการพลังงาน สถาบันการเงินและภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถติดต่อประสานงานกันได้สะดวกและกว้างขวางขึ้น
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ความคืบหน้าในการกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน
อธิบดี พพ. ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความคืบหน้าการดำเนินการกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน ดังนี้
1. การกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน
พพ. ได้จัดทำแผน 5 ปี (2550-2554) เพื่อออกกฎกระทรวงและกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) ตลอดจนแผนส่งเสริม (ติดฉลาก) เครื่องจักรและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง รวมถึงวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะดำเนินการรวมทั้งสิ้น 35 ผลิตภัณฑ์ (รวมรถยนต์ 1 ผลิตภัณฑ์) และจะนำมากำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพขั้นต่ำ (MEPs) รวม 21 ผลิตภัณฑ์ โดย พพ. ได้ประสานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์แล้ว เพื่อออกพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ
ในปี 2550 ระยะที่ 1 พพ. จะจัดทำร่างกฎกระทรวงให้แล้วเสร็จ จำนวน 10 ผลิตภัณฑ์ และดำเนินการติดฉลากได้ 10 ผลิตภัณฑ์ และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำได้ 9 ผลิตภัณฑ์ สำหรับระยะที่ 2 จะจัดทำร่างกฎกระทรวงอีก 11 ผลิตภัณฑ์ (ยังไม่มีงบประมาณ
2. การอนุรักษ์พลังงานในอาคารและบ้านที่อยู่อาศัย
พพ. จะออกกฎกระทรวงการใช้พลังงานในอาคารที่อยู่ในข่ายควบคุมที่จะขออนุญาตก่อสร้างใหม่ หรือดัดแปลง พื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป และจะส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารที่ไม่เข้าข่ายควบคุมและบ้านที่อยู่อาศัย โดยการติดฉลาก มีเป้าหมาย 200 แห่ง เป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปี (2550-2552) และในปี 2550 จะจัดหาผู้เข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 175 แห่ง และจะจัดประกวดบ้านจัดสรรอนุรักษ์พลังงานดีเด่น ปี 2550 ให้ผู้ประกอบการบ้านจัดสรรทั่วประเทศส่งบ้านเข้าประกวดไม่น้อยกว่า 90 แบบ
ความเห็นของที่ประชุม
ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานและมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้
1. ให้ พพ. รับไปหารือกับ กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ข้อกำหนดการใช้พลังงานในอาคารที่จะขออนุญาตก่อสร้างที่จะบังคับใช้กับอาคารขนาดพื้นที่รวมตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป ได้แก่ อาคารสำนักงานสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า สถานบริการ สถานพยาบาล โรงแรม อาคารชุด ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎกระทรวงนั้น ครอบคลุมถึงอาคารของส่วนราชการที่ออกแบบสร้างใหม่ด้วย
2. ให้ พพ. เร่งดำเนินการตามเป้าหมายการจัดทำร่างกฎกระทรวงฯ ที่จะดำเนินงานเป็นรายอุปกรณ์ พร้อมกำหนดแล้ว เสร็จ ระยะที่ 1 จำนวน 15 ผลิตภัณฑ์ ตามที่ พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุม ดังนี้
ลำดับที่ | เครื่องจักร/อุปกรณ์/วัสดุ ปี 2551 | ปี 2550 | ปี 2551 | ||
ก.ค. 50 | ต.ค.50 | ธ.ค. 50 | |||
1 | ตู้เย็น | √ | |||
2 | เครื่องปรับอากาศ | √ | |||
3 | พัดลมไฟฟ้า | √ | |||
4 | หม้อหุงข้าวไฟฟ้า | √ | |||
5 | กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า | √ | |||
6 | เครื่องทำน้ำอุ่น | √ | |||
7 | มอเตอร์ไฟฟ้า | √ | |||
8 | เตาแก๊ส | √ | |||
9 | อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบ | √ | |||
10 | หลอดฟลูออเรสเซนต์ | √ | |||
11 | บัลลาสต์แกนเหล็ก | √ | |||
12 | บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ | √ | |||
13 | โคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง | √ | |||
14 | หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนซ์ | √ | |||
15 | รถยนต์ | √ |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ พพ. รับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 4 ความคืบหน้าโครงการส่งเสริมไบโอดีเซล
การพัฒนาและส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอดีเซล เป็นแนวทางการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ซึ่ง สรุปความคืบหน้าได้ดังนี้
1. ปีงบประมาณ 2549 : พพ. ได้จัดทำต้นแบบ จำนวน 72 แห่ง โดยได้ติดตั้งระบบผลิตไบโอดีเซล พร้อมทั้งฝึกอบรมให้กับชุมชนได้ทราบถึง ขั้นตอนการผลิตไบโอดีเซล ตลอดจนการบริหารจัดการชุมชนเพื่อให้เกิดการใช้ไบโอดีเซลอย่างยั่งยืนต่อไป พร้อมทั้งได้สุ่มเก็บตัวอย่างไบโอดีเซลที่ผลิตได้จากชุมชนเพื่อตรวจสอบคุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของ ไบโอดีเซลสำหรับเครื่องยนต์การเกษตร (ไบโอดีเซลชุมชน) พ.ศ. 2549
2. ปีงบประมาณ 2550 : พพ. ได้ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการจากเดิมที่ได้สนับสนุนระบบผลิต ขนาดกำลังผลิต 100 ลิตรต่อวันให้กับชุมชน อบรมให้มีความรู้ด้านเทคนิคการผลิตไบโอดีเซลให้กับชุมชน และติดตามการดำเนินงานของชุมชนเพื่อผลิตไบโอดีเซลนั้น พพ. จะดำเนินการสนับสนุนเฉพาะความรู้ด้านเทคนิคการผลิตไบโอดีเซลให้กับชุมชนและติดตามการดำเนินงานของชุมชนเพื่อผลิตไบโอดีเซลให้มีคุณภาพ โดยเงินลงทุนระบบผลิตไบโอดีเซลนั้นทางชุมชนที่เข้าร่วมโครงการจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย โดยมีจำนวนชุมชนต้นแบบเพิ่มขึ้นเป็น 400 แห่ง ซึ่ง พพ. ได้รับงบจากกองทุนฯ ประมาณ 155,000,000 บาท เพื่อดำเนินโครงการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานด้วยไบโอดีเซลชุมชน ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อดำเนิน โครงการฯ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ พพ. รับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการ
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5" ที่สำนักการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ยื่นข้อเสนอ ไว้กับ สนพ. เพื่อขอสนับสนุนทุนดำเนินโครงการฯ จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) ภายในระยะเวลา 36 เดือน ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญของโครงการดังนี้
(1) วัตถุประสงค์โครงการฯ : เพื่อดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานของประเทศ อย่างยั่งยืนด้วยการปฏิบัติการในด้านต่างๆ ให้มีการยุติ การผลิต การนำเข้า (ด้านซัพพลาย) และยุติการใช้ (ด้านดีมานต์) หลอดอินแคนเดสเซนต์ (หลอดไส้) และส่งเสริมให้มีการใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) ทดแทน ตลอดไป
(2) สาระสำคัญของโครงการฯ : การบริหารจัดการทางการตลาดเพื่อยุติการผลิต การนำเข้า และการจำหน่ายหลอดไส้ และส่งเสริมการใช้หลอดตะเกียบ ดังนี้
- โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เกิดความต้องการใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ โดย กฟผ. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ในวงเงินประมาณ 50 ล้านบาท
- ประมาณเดือนมิถุนายน-กันยายน 2550 จัดซื้อหลอดตะเกียบจำนวน 800,000 หลอด เพื่อแจกจ่ายให้มีการเปลี่ยนในสถานที่สาธารณะ ให้เห็นผลประหยัดโดยชัดเจน โดย กฟผ. ขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นเงินให้เปล่า 48 ล้านบาท
- ในช่วงปี 2551-2553 จะดึงราคาตลาดหลอดตะเกียบให้ลดต่ำลงด้วยการจัดซื้อรวม 15 ล้านหลอด แล้วขายปลีกในราคาซื้อ 60 บาท/หลอด โดย กฟผ. ขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นเงินหมุนเวียนเพื่อซื้อหลอดตะเกียบ 3 ปี ในวงเงิน 32 ล้านบาท
- สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและอายุการใช้งานด้วยการกำหนดให้มีการรับประกัน 1 ปี
- เสนอการกำหนดมาตรการภาครัฐ ในด้านกฎระเบียบ และภาษีเพื่อให้เกิดผลอย่างยั่งยืน
(3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : เมื่อใช้หลอดตะเกียบ 15.8 ล้านหลอด แทนหลอดไส้
- ประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 536 ล้านหน่วย และลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้ 162 เมกะวัตต์
- ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 300,000 ตัน
- ลดการนำเข้า LNG เพื่อผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,106 ล้านบาท
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) รศ.ดร.อภิชิต เทอดโยธิน 3) ดร.ปีเตอร์ ดูปอง และ 4) นายเกชา ธีระโกเมน ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ กฟผ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ จึงได้ให้ผู้แทน กฟผ. ได้เข้าร่วมประชุมและให้รายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้
ประเด็นที่ 1: ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในมุมมองระดับประเทศและมุมของประชาชน
ข้อมูลเพิ่มเติม: เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในการใช้งานหลอดไส้เทียบกับหลอดตะเกียบ 1 หลอดที่มีการใช้งาน 6,000 ชั่วโมง หลอดตะเกียบมีค่าใช้จ่ายรวมเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของหลอดไส้ และมีระยะเวลาคืนทุนเพียง 1 ปี หากผู้บริโภคหันมาใช้หลอดตะเกียบจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหลอดไส้ มี B/C Ratio ของผู้บริโภคที่ 7.3 เท่า ส่วนในกรณีของประเทศนั้นหากคิดในกรณีแจกและจำหน่ายหลอด 15.8 ล้านหลอด ตั้งแต่ปี 2550-2553 (Base Case) จะลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุด 162 เมกะวัตต์ และลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 536 ล้านหน่วย โครงการให้ความคุ้มค่าสูง คือ B/C Ratio ของระบบที่ 6.5 เท่า และ โดยมีต้นทุนต่อหน่วยที่ประหยัดได้ 18.06 สตางค์/kWh และ 599.23 บาท/kW
ประเด็นที่ 2: วิธีทราบผลกระทบต่อผู้ประกอบการและนำผลที่รับทราบไปปรับปรุงการดำเนินการ
ข้อมูลเพิ่มเติม: กฟผ. จัดประชุมผู้ผลิต/ผู้นำเข้า เพื่อรับฟังความเห็นด้านต่างๆ โดยประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อเดือนมีนาคม 2550 ทราบว่ามีผู้ผลิตหลอดตะเกียบในประเทศ 2 ราย และได้เลิกกิจการไปแล้ว ดังนั้นหลอดตะเกียบในประเทศไทย จึงเป็นการนำเข้าทั้งหมด ผู้ผลิตและนำเข้าหลอดไฟฟ้ามีความเห็นในเชิงบวกและยินดีร่วมมือกับโครงการฯ โดยจะเสนอแนวทางเพื่อลดผลกระทบอันเกิดจากการยุติการผลิตหลอดไส้มาเสนอต่อ กฟผ. ในการประชุมครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นประมาณปลายเดือนเมษายน 2550
ประเด็นที่ 3: วิธีแจกและจำหน่ายหลอดตะเกียบ รวมถึงวิธีจัดการกับหลอดไส้ของเดิม
ข้อมูลเพิ่มเติม: กฟผ. จะโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เกิดความต้องการใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ พร้อมกับดึงราคาตลาดหลอดตะเกียบให้ลดต่ำลง ด้วยการจัดซื้อในปริมาณมาก ในช่วง 3 ปี ประมาณ 15.8 ล้านหลอด พร้อมทั้งการรับประกันการใช้งาน 1 ปี โดยใช้เงินที่จะขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 80 ล้านบาท
- เป็นเงินให้เปล่า 48 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบแจกฟรีสู่ชุมชนและชาวบ้าน จำนวน 800,000 หลอด สำหรับหลอดไส้ที่ปลดออก กฟผ. จะทำลายทิ้ง เพื่อไม่ให้มีการนำกลับไปใช้งานอีก
- เป็นเงินหมุนเวียน 32 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบจำหน่ายให้กับชุมชนและชาวบ้าน ในราคา 60 บาท/หลอด และ กฟผ. จะคืนเงินส่วนนี้ให้กองทุนฯ ในปี 2553
ประเด็นที่ 4: ความเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามแผนงานจะทำให้ราคาเฉลี่ยของหลอดตะเกียบในปีสุดท้ายของโครงการอยู่ที่ 60 บาท (± 10%)
ข้อมูลเพิ่มเติม: ด้วยประสบการณ์และความสำเร็จที่ กฟผ. ได้รับจากโครงการประชาร่วมใจประหยัดไฟฟ้า และแนวทางการดำเนินการด้านซัพพลายและดีมานต์ตามที่เสนอไว้โดยต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี กฟผ. เชื่อว่าราคาหลอดตะเกียบจะสามารถลดต่ำลงและกลไกตลาดจะทำงานต่อไปได้
สรุปความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิ
คณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่าโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่ดีและหากสามารถดำเนินการได้ตามที่เสนอไว้ จะก่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม จึงเห็นควรที่กองทุนฯ จะสนับสนุนให้ดำเนินการ โดยให้ กฟผ
(1) ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลในข้อเสนอโครงการฯ ให้ครบถ้วนและชัดเจนตามประเด็นต่างๆ ที่ได้ให้ไว้กับคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ดังรายละเอียดปรากฏในข้อ 2.2
(2) ระบุแนวทางที่จะนำเสนอให้รัฐมีมาตรการในการป้องกันไม่ให้ตลอดตะเกียบที่มีคุณภาพต่ำกระจายสู่ผู้บริโภคในประเทศ
(3) ระบุแนวทางที่จะศึกษาและเตรียมมาตรการรองรับกับผลกระทบที่อาจเกิดจากการรณรงค์เลิกใช้หลอดไส้ เพื่อให้มีคำแนะนำในการใช้งานเพื่อให้ถูกที่ถูกทาง คำแนะนำทางออกเพื่อแก้ปัญหาด้านการออกแบบตกแต่ง สถาปัตยกรรม
(4) ให้ สนพ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ เมื่อจะครบ18 เดือน
3. ที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ คุณบรรพต แสงเขียว ผู้ช่วยผู้ว่าการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า ผู้แทนจาก กฟผ. ได้นำเสนอรายละเอียดของโครงการ สรุปได้ดังนี้
3.1 แนวทางการดำเนินโครงการ
เพื่อให้โครงการนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์เป็นมาตรการประหยัดพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศ กฟผ. กำหนดแนวทางดำเนินการตามโครงสร้างดังนี้
กฟผ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาด้วยว่า ในการเปลี่ยนหลอดไส้ และนำหลอดตะเกียบไปใช้แทนนั้น บางรายอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนขั้วหลอดให้กับประชาชนด้วย จึงเสนอขอใช้เงินกองทุนแบบให้เปล่าเพิ่มอีก 2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าซื้อขั้วหลอดและการจัดกิจกรรมใน 5 จังหวัด เมื่อรวมกับงบประมาณเดิมที่ขอจากกองทุนฯ 48 ล้านบาท รวมเป็นเงินสนับสนุนแบบให้เปล่า 50 ล้านบาท
ภาพตัวอย่างรูปแบบกล่องหลอดตะเกียบของโครงการฯและแบบฟอร์มที่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าครัวเรือนแจ้งความจำนง
1. ชื่อ..........นามสกุล.................. 2. หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน............................. 3. บ้านเลขที่.................. หมู่......... หมู่บ้าน........... ถนน..............ตำบล............ อำเภอ........... จังหวัด.......... โทรศัพท์............................ |
4. หลอดตะเกียบเบอร์ 5 ที่ต้องการ 4.1 ขนาด __ 15 วัตต์ __ 20 วัตต์ 4.2 แสงไฟสี __ สีขาว __ สีเหลือง/ส้ม 5. มีหลอดไส้แลกคืน __ มี __ ไม่มี 6. ต้องการรับหลอดที่ __ ผู้ใหญ่บ้าน __ กำนัน __ อำเภอ __ ศาลากลางจังหวัด __ ตลาดสด...... |
3.2 แผนปฏิบัติการ
กฟผ. ได้นำเสนอขั้นตอนและแผนปฏิบัติการต่อที่ประชุมดังนี้
การพิจารณาของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ กฟผ. ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) โดย
- เป็นเงินให้เปล่า 48 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบแจกฟรีสู่ชุมชนและชาวบ้าน จำนวน 800,000 หลอด
- เป็นเงินหมุนเวียน 30 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบจำหน่ายให้กับชุมชนและชาวบ้าน ในราคา 60 บาท/หลอด และ กฟผ. จะคืนเงินส่วนนี้ให้กองทุนฯ ในปี 2553
- เป็นเงินให้เปล่า 2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าเปลี่ยนขั้วหลอดไส้และค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมรณรงค์เปลี่ยนหลอด 5 จังหวัด
2. ระบุแนวทางที่จะนำเสนอให้รัฐมีมาตรการในการป้องกันไม่ให้ตลอดตะเกียบที่มีคุณภาพต่ำกระจายสู่ผู้บริโภคในประเทศ รวมทั้งคำแนะนำในการใช้งานเพื่อให้ถูกที่ถูกทาง คำแนะนำทางออกเพื่อแก้ปัญหาด้านการออกแบบตกแต่ง สถาปัตยกรรม
3. ควรกำหนดกรอบระยะเวลาในการยกเลิกหลอดไส้ให้ชัดเจน และประสานงานกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อส่งเสริมการผลิตหลอดตะเกียบในประเทศ
4. เตรียมการจัดการให้เรื่องการกระจายหลอดตะเกียบไปยังกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
5. ให้ สนพ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ เมื่อจะครบ 18 เดือน
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโครงการสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5 " และ ให้ กฟผ. และกระทรวงพลังงานรับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" ที่ สนพ. เสนอขอจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อนำไปดำเนินโครงการดังนี้
วัตถุประสงค์ รวบรวมแนวพระราชดำริด้านพัฒนาพลังงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากข้อมูลของหลายหน่วยงานที่ได้มีโอกาสทำงานสนองพระราชดำริด้านการพัฒนาพลังงาน ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์สมบัติ และเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ที่เหมาะสม ให้พสกนิกร สถาบันการศึกษาทุกระดับ ภาครัฐ ภาคเอกชน ได้น้อมนำต้นแบบทางความคิดและเป็นแรงบันดาลใจในการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเองอย่างแท้จริง ตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตัวอย่างเนื้อหา "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย"
ขอบเขตงาน วางแผนเผยแพร่แนวพระราชดำริด้านพัฒนาพลังงานและพลังงานทดแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2550 โดยเสนอกลยุทธ์และงานสร้างสรรค์ที่สื่อสารเข้าถึงพสกนิกร ภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาทุกระดับ ได้อย่างเข้าใจและน้อมนำต้นแบบทางความคิด เป็นแรงบันดาลใจในการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเอง เช่น
- ผลิตและเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์ สปอตวิทยุ และสื่อต่างๆ
- ผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้น ทางสื่อโทรทัศน์ ไม่น้อยกว่า 25 ตอน
- การผลิตและเผยแพร่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือแนวคิดในการใช้สื่อรูปแบบใหม่
- การจัดกิจกรรมเผยแพร่ต่างๆ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางรายการเพื่อความเหมาะสม ฯลฯ
ผลที่จะได้รับ พสกนิกร นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ เอกชน ได้ทราบพระอัจฉริยภาพด้านพัฒนาพลังงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน้อมนำเป็นแนวทางให้รู้จักมองปัญหาและแก้ไขปัญหา โดยมองไปรอบๆ ตัวด้วยปัญญา และนำสิ่งที่มีอยู่มาพัฒนาใช้ให้เกิดประโยชน์ และทำให้ครบวงจร
ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อจัดจ้างผู้มีประสบการณ์ มีความชำนาญการเข้ามาดำเนินงาน โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกรายการและทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันได้หลายรายการตามความเหมาะสม
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. ในวงเงิน 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" โดยถัวจ่ายเงินกองทุนฯ จากแผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้ว มาสมทบในโครงการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานทางเลือก และให้ สนพ. รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ที่ พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท (หนึ่งพันล้านบาท) ซึ่ง พพ. เคยได้รับเงินจากกองทุนฯ นำไปใช้จ่ายในโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และส่งเสริมพลังงานทดแทน รวม 3 ครั้ง
(1) ระยะที่ 1 เมื่อ 11 ตุลาคม 2544 วงเงิน 2,000 ล้านบาท (เฉพาะอนุรักษ์ฯ)
(2) ระยะที่ 2 เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 วงเงิน 2,000 ล้านบาท (อนุรักษ์ฯ+ทดแทน)
(3) ระยะที่ 1 เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 วงเงิน 1,000 ล้านบาท (เฉพาะทดแทน)
การใช้จ่ายเงินดังกล่าว พพ. ได้ให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกของ พพ. นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน นำไปใช้ในการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงิน ปล่อยกู้ภายใน 3 ปี และส่งคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินฯ จะจ่ายดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของเงินกองทุนฯ ที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นค่าเสียโอกาสในส่วนดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนฯ ได้รับเป็นประจำ
2. ปัจจุบัน มีสถาบันการเงินเข้าร่วมโครงการฯ 11 ธนาคาร ได้แก่ ทหารไทย กรุงเทพ ไทยธนาคาร นครหลวงไทย กรุงศรีอยุธยา ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงไทย ยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ (ไทย) และ SMEs Bank ซึ่งสรุปผลงานโดยรวมของโครงการเงินหมุนเวียนเพื่ออนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 1 และ 2 ได้ปล่อยกู้รวม 153 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 1,908 ล้านบาท +1,446 ล้านบาท รวม 3,354 ล้านบาท รวมผลประหยัด 2,660 ล้านบาท/ปี ดังนี้
ประเภทจำนวน (ข้อเสนอ) |
เงินลงทุน (ล้านบาท) |
วงเงินสนับสนุนที่ พพ. อนุมัติ (ล้านบาท) |
ผลประหยัดไฟฟ้า (ล้านหน่วย/ปี) |
ผลประหยัดเชื้อเพลิง (เทียบเท่าน้ำมันเตา) (ล้านลิตร/ปี) |
รวมผลประหยัด (ล้านบาท/ปี) |
|
อาคาร | 22 | 256 | 221 | 26 | 1 | 77 |
โรงงาน | 129 | 5,787 | 3,075 | 376 | 162 | 2,477 |
ESCO | 2 | 178 | 58 | 11 | 8 | 106 |
รวม | 153 | 6,221 | 3,354 | 413 | 171 | 2,660 |
3. เหตุผลและความจำเป็นที่ พพ. ต้องขอสนับสนุนจากกองทุนฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท เนื่องจากมีเอกชนให้ความสนใจยื่นขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนด้านพลังงานไว้กับสถาบันการเงินกว่า 80 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,350 ล้านบาท และมีข้อเสนอโครงการอีก 20 ราย ที่ พพ. อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติมูลค่ารวม 567.2 ล้านบาท ขณะที่วงเงินหมุนเวียน ระยะที่ 1 คงเหลืออยู่ 96 ล้านบาท จะครบกำหนดเวลาปล่อยกู้ในวันที่ 29 เมษายน 2550 และระยะที่ 2 คงเหลืออยู่ 554 ล้านบาท เท่านั้น
4. เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของกองทุนฯ โดยอยู่บนฐานของรายได้เฉลี่ยปีละ 1,400 ล้านบาท และประมาณการรายจ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท หากมีการจัดสรรเงินเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. รับไปดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 3 จะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่จะขาดดุลในปีงบประมาณ 2551 และ 2552 วงเงิน 610 ล้านบาท และ 281 ล้านบาท ตามลำดับ และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยแสดงรายการได้ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 4,915 |
2.ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 1,795 | 2,149 | 2,198 | 2,248 | 2,299 | 10,688 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
รวมรับ | 2,208 | 3,086 | 3,277 | 3,233 | 3,235 | 4,351 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 2,244 | 3,644 | 2,000 | 2,000 | 2,600 | 12,488 |
รวมจ่าย | 5,884 | 4,935 | 2,948 | 2,768 | 2,676 | 19,212 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 742 | 742 |
5. อธิบดี พพ. ได้ยกตัวอย่างมาตรการและความสำเร็จที่ได้รับจากการดำเนินโครงการฯ เช่น
- เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ เปลี่ยน Boiler จากเชื้อเพลิงน้ำมันเตา เป็น Boiler เชื้อเพลิงจากขี้เลื่อย/เศษฟืน เงินลงทุน 10.6 ล้านบาท ประหยัด 6.3 ล้านบาท/ปี คืนทุน 1.7 ปี
- นันยางการทออุตสาหกรรม เปลี่ยนเครื่องจักร (เครื่องย้อม) ประสิทธิภาพสูง เงินลงทุน 47ล้านบาท ประหยัด 11 ล้านบาท/ปี คืนทุน 4.3 ปี
- ฟิวเจอร์เท็กซ์ เปลี่ยนหม้อต้มไอน้ำมันร้อนโดยใช้เชื้อเพลิงขี้เลื่อยและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรทดแทนน้ำมันเตา เงินลงทุน 10 ล้านบาท ประหยัด 13 ล้านบาท/ปี คืนทุน 0.8 ปี
- ไทยเพิ่มพูนอุตสาหกรรม ติดตั้งเครื่องอบกากอ้อยเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเตา เงินลงทุน 9.2 ล้านบาท ประหยัด 5.2 ล้านบาท/ปี คืนทุน 1.8 ปี
ภาพรวมความสำเร็จของโครงการฯ ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 สรุปได้ว่าเกิดผลประหยัดพลังงานมากกว่า 2,660 ล้านบาทต่อปี นอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานตลอดอายุอุปกรณ์กว่า 32,000 ล้านบาท และลดการนำเข้าน้ำมันดิบ 171 ล้านลิตร/ปี ชะลอการลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้า 1,885 ล้านบาท แล้วยังลดปัญหาด้านมลภาวะที่เกิดจากการใช้พลังงานอีกด้วย รวมถึงได้ช่วยกระตุ้นสถาบันการเงิน 11 แห่งให้ความสนใจในตลาดสินเชื่อด้านอนุรักษ์พลังงาน โดยได้ใช้เงินของสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อไปมากกว่า 15,000 ล้านบาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบการดำเนิน "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ตามที่ พพ. เสนอขอมา โดยให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยเสนอขอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 3,000 ล้านบาท มาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของฐานะการเงินของกองทุนฯ ทำให้มีศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
2. ในระหว่างที่รอปรับฐานะการเงินของกองทุนฯ ให้ พพ. ขยายกรอบการใช้เงิน "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ 1" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานได้ด้วย โดยมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 2 และให้รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
เรื่องที่ 8 ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ที่ พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม ในวงเงิน 87,000,000 บาท (แปดสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ซึ่งโครงการนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 เคยมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. ไปดำเนินการจัดหา ติดตั้ง กังหันลมระบบมีเกียร์ เพื่อสาธิตการผลิตไฟฟ้า ขนาด 1.5 MW บริเวณพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. จะต้องดำเนินการพิจารณาทบทวนรายละเอียดของโครงการให้มีความชัดเจนก่อน ในประเด็น ดังนี้
- การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโครงการ
- ประสานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อทำการกำหนดแนวทางการคำนวณผลตอบแทนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินโครงการ ให้มีสมมติฐานในการคำนวณแบบเดียวกัน
- พิจารณาทบทวน ชนิด และขนาดของกังหันลมให้มี Power Curve เหมาะสมกับความเร็วลมเฉลี่ยในพื้นที่ที่ติดตั้ง รวมถึงทบทวนการติดตั้งกังหันลมทั้งในด้านเทคนิค ศักยภาพการผลิตไฟฟ้า ที่ตั้ง เพื่อให้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
- พพ. จะต้องดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ และจะต้องรายงานความก้าวหน้าของผลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ
2. พพ. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในวงเงิน 498,000 บาท ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และได้ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์แล้วเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2549 สรุปได้ดังนี้
- ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพทางด้านลบในระดับ "น้อย" ขณะที่คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับ "มาก"
- จัดรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ มีผู้เข้าร่วม 113 คน โดยร้อยละ 98.7 เห็นด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นแหล่งพลังงาน แหล่งท่องเที่ยวใหม่และช่วยนำรายได้เข้าสู่ท้องถิ่น ส่วนร้อยละ 1.3 มีความกังวลในเรื่องเสียงรบกวน ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และผลกระทบต่อการทำมาหากิน (ผลกระทบกับนกนางแอ่น ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจประจำท้องถิ่น) แล้ว
3. เหตุผลและความจำเป็นที่ พพ. เสนอโครงการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีกครั้ง เพราะจากการดำเนินการจัดหาผู้ติดตั้งระบบฯ ตามขั้นตอนของระเบียบพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามประกาศลงวันที่ 11 กันยายน 2549 กำหนดให้ยื่นเอกสาร 21 กันยายน 2549 ปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเพียง 1 ราย พพ. จึงยกเลิกการจัดหาเมื่อ 26 กันยายน 2549 เป็นเหตุให้ พพ. ไม่สามารถจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติไว้
โครงการมีความก้าวหน้าไปพอสมควรแล้ว และได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นเป็นอย่างดี เพื่อให้มีทางเลือกในการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ทดแทนพลังงานสิ้นเปลือง พพ. จึงเสนอขอที่จะดำเนินการโครงการดังกล่าวต่อ โดยใช้เงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550
4. อธิบดี พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า เนื่องจากการติดตั้งกังหันลมฯ 1 ชุด จะเสียค่าใช้จ่าย Overhead ไม่ต่างกับการติดตั้ง Wind Farm (ตั้งแต่ 5 ชุดขึ้นไป) ดังนั้นวงเงิน 86,502,000 บาท ที่เสนอไว้อาจจะเป็นราคาที่ไม่จูงใจให้ผู้ประกอบการเข้ามาดำเนินการ พพ. จึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ในวงเงิน 119 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ให้ พพ. จัดทำสรุปการใช้จ่ายเงินตามแผนงานฯ ปี 2550 และพิจารณาโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายบางรายการไปเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ในวงเงิน 119 ล้านบาทหากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 มีข้อผูกพันครบถ้วนแล้วไม่สามารถโอนเปลี่ยนแปลงรายการได้ ก็ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 9 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอที่ประชุมพิจารณาเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการฯ จากที่ได้รับอนุมัติไว้ รวม 14 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 9 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการนำร่องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซล เป็น NGV | บริษัท ปตท. จำกัด | ธันวาคม 2549 | มิถุนายน 2550 |
(2) | โครงการวิจัยการนำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ใน HEAT PROCESS | ม.เชียงใหม่ | ธันวาคม 2549 | มิถุนายน 2550 |
(3) | โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการปลูกไม้โตเร็วเพื่อเป็นพลังงานชีวมวล | ม.สุรนารี | สิงหาคม 2549 | สิงหาคม 2550 |
(4) | โครงการเทคโนโลยีการอบไม้สวนป่าโดยใช้เศษวัสดุเหลือใช้จากสวนป่าเป็นพลังงาน | ม.เกษตรศาสตร์ | ตุลาคม 2549 | กุมภาพันธ์ 2550 |
(5) | โครงการศึกษาการใช้ประโยชน์จากเครื่องยนต์ ก๊าซชีวภาพ | ม.เชียงใหม่ | มีนาคม 2550 | กันยายน 2550 |
(6) | โครงการพัฒนาความรู้ด้านพลังงานทดแทนสู่ชุมชน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2550 | พฤษภาคม 2551 |
(7) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงาน กับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สพภ. 1 สพภ. 2 สพภ. 7 สพภ. 8 และ สพภ. 11 |
เมษายน 2550 เมษายน 2550 เมษายน 2550 เมษายน 2550 เมษายน 2550 |
กันยายน 2550 กันยายน 2550 มิถุนายน 2550 สิงหาคม 2550 กันยายน 2550 |
(8) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. | - | - |
(9) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา 2 ราย | พพ. | - | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 6 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สพภ. 3 สพภ. 9 และ สพภ. 10 |
1) สพภ. 3 ขอขยายระยะเวลาจากเมษายน 2550 เป็นพฤษภาคม 2550 และขอนำเงินจากหมวดบริหารโครงการฯ มาจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ (Notebook) จำนวน 3 เครื่อง เครื่องละ 33,000 บาท รวมเป็นเงิน 99,000 บาท 2) สพภ. 9 ขอขยายระยะเวลาจากเมษายน 2550 เป็นพฤษภาคม 2550 และ ขอนำเงินจากหมวดบริหารโครงการฯ มาจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ (Notebook) จำนวน 4 เครื่อง เครื่องละ 24,500 บาท รวมเป็นเงิน 98,000 บาท 3) สพภ. 10 ขอขยายระยะเวลาจากเมษายน 2550 เป็นมิถุนายน 2550 และ ขอนำเงินจากหมวดบริหารโครงการฯ มาจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ (Notebook) จำนวน 3 เครื่อง เครื่องละ 33,000 บาท รวมเป็นเงิน 99,000 บาท |
(2) | โครงการค่ายอนุชนพลังงานกับมหาวิทยาลัยในฝัน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี |
1) ขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ จากพฤษภาคม 2549 เป็นเดือนกรกฎาคม 2550 2) ปรับกลุ่มเป้าหมาย จากเดิม เป็นนักเรียนจากโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร และโรงเรียนจังหวัดแม่ฮ่องสอน น่าน สกลนคร ฉะเชิงเทรา ราชบุรี และกาญจนบุรี เป็น นักเรียน และครู จากโรงเรียนที่สนใจทั่วประเทศ |
(3) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | ม. ธรรมศาสตร์ | * ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย จำนวน 3 โครงการ |
* หมายเหตุ (1) ชื่อเดิม เรื่อง "แนวทางการประเมินและการออกแบบการระบายอากาศด้วยวิธีธรรมชาติ สำหรับอาคารบ้านพักอาศัยโดยอิทธิพลของช่องเปิด" เป็น "การออกแบบและการประเมินการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติในบ้านพักอาศัยด้วยอิทธิพลของการใช้ช่องเปิด" (2) ชื่อเดิม เรื่อง "แนวทางการสร้างแบบประเมินค่าการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติ เนื่องจากการจัดสภาพแวดล้อมของผังบริเวณ" เป็น "แนวทางการออกแบบการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติในบ้านพักอาศัยด้วยองค์ประกอบทางภูมิสถาปัตยกรรม" (3) ชื่อเดิม เรื่อง "การศึกษาคุณสมบัติของผังบังแดดพันธุ์พืช" เป็น "ประสิทธิภาพของผนังไม้เลื้อยในการลดการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังอาคาร" |
|||
(4) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. |
ขอระงับทุนการศึกษาของนายอุทัย ม่วงศรีเมือง ศึกษาต่อที่ The University of Surrey ประเทศ สหราชอาณาจักร ระดับปริญญาเอก สาขา Energy Economics & Policy เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จการศึกษาได้ในเวลาที่กำหนด |
(5) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ | ม. เกษตรศาสตร์ |
1) ขอขยายเวลาการศึกษาให้กับนายอุ่นกัง แซ่ลิ้ม ถึง พฤษภาคม 2550 2) ขอใช้เงินคงเหลือจากงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้ ในวงเงิน 135,776.85 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาเพิ่มเติมอีก 1 ภาคการศึกษา |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
เรื่องที่ 10 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียด โครงการ กรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล
1. อธิบดี พพ. ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการ กรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล" ที่ พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 9,985,500 บาท (เก้าล้านเก้าแสนแปดหมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยทำหนังสือยืนยันการขอรับทุนฯ ไว้กับ สนพ. เมื่อปีงบประมาณ 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นโครงการนำร่องการใช้ไบโอดีเซลในรถยนต์ในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งจะพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไบโอดีเซลผสมกับน้ำมันดีเซลอย่างยั่งยืน ตลอดจนจะทดสอบไบโอดีเซลผสมกับน้ำมันดีเซล เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน รณรงค์สร้างการยอมรับเกี่ยวกับการใช้เชื้อเพลิงไบโอดีเซล
2. พพ. ได้ตั้งสถานีจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล (B5) ใน กทม. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548 และได้สร้างความเข้าใจจนมีความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในตลาดเพิ่มขึ้น จนเกิดการผลิตของภาคเอกชนและพัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะดำเนินการงานทดสอบสมรรถนะของรถทั้งก่อนและหลังใช้ไบโอดีเซล ประกอบกับการตรวจสอบมลภาวะอากาศใน กทม. จากการใช้ไบโอดีเซลได้มีการดำเนินการโดยหน่วยงานอื่นแล้ว เช่น กรมธุรกิจพลังงาน กรมควบคุมมลพิษ และกรมอู่ทหารเรือ เป็นต้น
3. พพ. ได้ดำเนินการเผยแพร่และส่งเสริมระบบผลิตไบโอดีเซลไประยะเวลาหนึ่ง พบว่าในกระบวนการผลิตไบโอดีเซลจะเกิดน้ำเสียที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหากจัดการไม่เหมาะสม ซึ่งระบบของโครงการฯ ยังไม่มีการบำบัดน้ำเสีย
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการผลิตไบโอดีเซลแบบครบวงจรและเป็นแนวทางที่ พพ. จะนำไปเผยแพร่และส่งเสริมต่อชุมชนและภาคเอกชนได้ต่อไปนั้น พพ. จึงขอปรับปรุงการดำเนินกิจกรรมของโครงการฯ โดยการตัดลด(ยกเลิก)กิจกรรมที่ พพ. เห็นว่าหมดความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการดังนี้
1) การตรวจสมรรถนะและมลพิษของรถก่อนใช้น้ำมันไบโอดีเซล
2) การสาธิตการใช้ไบโอดีเซล B5 กับรถ ขสมก. รถร่วมเอกชน รถกรมการพลังงานทหาร และรถประชาชนทั่วไป
3) การตรวจสอบมลภาวะทางอากาศใน กทม.
และนำเงินส่วนที่เหลือในวงเงิน 4,364,533 บาท ไปใช้จ่ายในการจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย โดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมดังนี้
กิจกรรม | งบประมาณ (บาท) |
งบประมาณ ที่ใช้ไป (บาท) |
หมายเหตุ |
1. การสาธิตการใช้ไบโอดีเซลในกรุงเทพมหานคร | 5,850,000 | 3,328,467 | ติดตั้งระบบผลิตไบโอดีเซลและระบบกลั่นกลีซอรีนเรียบร้อยแล้ว |
2. ค่าจัดทำประชาสัมพันธ์ | 2,300,000 | 1,031,625 | ผูกพันในสัญญาอีก 1,260,875 บาท |
3. การตรวจมลพิษและสมรรถนะ | 1,210,000 | - | ขอเปลี่ยนแปลงไปใช้ในการสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งงบประมาณที่เหลือจากกิจกรรมอื่นๆ |
4. ค่าจัดทำรายงาน | 150,000 | - | |
5. ค่านักวิจัยและบริหารโครงการ 5% | 475,500 | - | |
รวมทั้งสิ้น | 9,985,500 | 4,360,092 | เหลืองบประมาณที่มิได้ผูกพันรวม 4,364,533 บาท |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
- ความคืบหน้าการปฏิบัติตาม พรบ
- การอนุรักษ์พลังงาน
- การกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์
- โครงการส่งเสริมไบโอดีเซล
- ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการ
- โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
- ขอความเห็นชอบ
- โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
- โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
- โครงการกรุงเทพฯฟ้าใสด้วยไบโอดีเซล
กอ. ครั้งที่ 31 - วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2545(ครั้งที่ 31)
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2545 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ผลการศึกษาการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ
2.รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. โครงการการแก้ไขปัญหาจราจรคับคั่งในระบบทางด่วนขั้นที่ 1
4. โครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณฯ
7. ขออนุมัติโครงการศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภายในอาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ผลการศึกษาการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 ได้พิจารณาเรื่องมาตรการป้องกันการนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้ใหม่อีกในกรณีการปรับปรุงอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในโครงการอาคารของรัฐ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน โครงการอาคารของรัฐ ซึ่งดำเนินการโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน แล้วที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ พพ. ประสานงานกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินในเรื่องการไม่ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการอาคารของรัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน โดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศ โอนเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกไปให้ส่วนราชการอื่นที่ยังขาดแคลนและมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ
2. เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับในแนวทางในการทำลายหรือจัดการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี พพ. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ทำการศึกษาแนวทางการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ ซึ่ง มจธ. ดำเนินการศึกษาในเรื่องดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว และ พพ. ได้นำผลการศึกษาดังกล่าว เสนอต่อคณะที่ปรึกษาของ พพ. พิจารณาตรวจรับเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้นำผลการศึกษาดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อรับทราบผลการศึกษาดังกล่าวแล้ว ซึ่งสามารถสรุปผลการศึกษาและแนวทางการดำเนินการได้ ดังนี้
2.1 เครื่องปรับอากาศที่หมดสภาพการใช้งานที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ให้เจ้าของอาคารแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่าย
2.2 เครื่องปรับอากาศที่ใช้งานตั้งแต่อายุ 7-10 ปี มอบให้สถานศึกษาเพื่อเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน
2.3 การ Combination โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องปรับอากาศโดยการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ระหว่างเครื่องปรับอากาศเก่าด้วยกัน (นำคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศขนาดทำความเย็น 12,000 BTU และ 18,000 BTU นำไปติดตั้งใช้งานกับชุดคอยล์ร้อนและคอยล์เย็นของเครื่องปรับอากาศขนาด 24,000 BTU และ 36,000 BTU) ซึ่งในเรื่องดังกล่าว คณะที่ปรึกษา พพ. ได้ให้ความเห็นที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านเทคนิค ดังนี้
(1) อายุเครื่องปรับอากาศตามที่ทำการศึกษา ได้ใช้อ้างอิงว่ามีอายุ 15 ปีนั้น เป็นอายุการใช้งานที่ใช้สำหรับการให้การบริการบำรุงรักษา (Service Life) ไม่ใช่อายุการใช้งานจริงๆ ของเครื่องปรับอากาศ ดังนั้น ควรระบุให้ชัดเจน
(2) การนำ Compressor ขนาดเล็กไปใช้กับเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้โดยเฉพาะเมื่อท่อน้ำยามีความยาวมาก
(3) การเพิ่มพื้นที่ของ Fan Coil Unit จะมีผลต่ออุณหภูมิทางด้าน Suction ซึ่งไม่ควรเกิน 45°F
(4) ในปัจจุบันสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อยู่ในระหว่างการดำเนินการจะบังคับให้เครื่องปรับอากาศที่ใช้งานในอนาคตจะต้องมีค่า EER ไม่ต่ำกว่า 9.6 BTU/hr/w ดังนั้น หากทำการปรับปรุงแล้วทำให้ค่า EER ไม่ถึงที่กำหนด จึงไม่สมควรนำกลับมาใช้ใหม่
สรุปผลจากการดำเนินการ Combination ปรากฏว่า มีผลตอบแทนการลงทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง (EIRR)น้อยกว่าร้อยละ 9 ที่ราคาค่าไฟฟ้าของส่วนราชการปัจจุบัน คือ 2.47 บาท/หน่วย ซึ่งไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
2.4 ด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับน้ำยา R-22 ให้มีการกักเก็บสารทำความเย็น R-22 เพื่อมิให้มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมค่าใช้จ่ายประมาณ 655 บาท/เครื่อง
2.5 แนวทางดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ จากผลการศึกษาของ มจธ. เห็นควรนำมาดำเนินการในโครงการอาคารของรัฐ ดังต่อไปนี้
(1) เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกจากโครงการอาคารของรัฐในการดำเนินการในปีงบประมาณ 2543 ประมาณ 3,000 ตัว ซึ่งรอผลการศึกษาของ พพ. อยู่ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรนั้นเห็นควรให้เจ้าของอาคารดำเนินการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศกลุ่มนี้ตามระเบียบพัสดุต่อไป
(2) เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544 เป็นต้นไป ให้เจ้าของอาคารดำเนินการ คือ เครื่องปรับอากาศที่หมดสภาพการใช้งานที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ให้เจ้าของอาคารแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่าย และสำหรับเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานตั้งแต่อายุ 7-10 ปี มอบให้สถานศึกษาเพื่อเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน
2.6 พพ. ได้นำผลการศึกษาเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2545 ที่ประชุมได้รับทราบผลการศึกษาดังกล่าวและแนวทางดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ และที่ประชุมได้เสนอความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
(1) เพื่อเป็นการป้องกันการนำเครื่องปรับอากาศที่หมดสภาพการใช้งานที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ที่เจ้าของอาคารแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่ายนำกลับมาใช้ใหม่ ควรจะให้ดำเนินการทำลายคอมเพรสเซอร์ไม่ให้สามารถใช้งานได้ก่อนแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่าย เพื่อไม่ให้นำมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้อีก จึงมีความเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ ดังนี้
(2) เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกจากโครงการอาคารของรัฐ ในการดำเนินการในปีงบประมาณ 2543 ประมาณ 3,000 ตัว ซึ่งรอผลการศึกษาของ พพ. นั้น เห็นควรให้เจ้าของอาคารดำเนินการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศกลุ่มนี้ตามระเบียบพัสดุต่อไป โดยก่อนจำหน่ายให้ดำเนินการทำลายคอมเพรสเซอร์ไม่ให้สามารถใช้งานได้อีก
(3) เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544 เป็นต้นไป ให้เจ้าของอาคารดำเนินการตามข้อเสนอของ มจธ. ดังนี้
เครื่องปรับอากาศที่หมดสภาพการใช้งานที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ให้เจ้าของอาคารแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่าย โดยก่อนจำหน่ายให้ดำเนินการทำลายคอมเพรสเซอร์ไม่ให้สามารถใช้งานได้อีก
เครื่องปรับอากาศที่ใช้งานตั้งแต่อายุ 7-10 ปี มอบให้สถานศึกษาเพื่อเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน
(4) ในกรณีที่จะขอสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากเงินกองทุนฯ เพื่อดำเนินการกักเก็บสารทำความเย็น R-22 มิให้มีผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 655 บาท/เครื่อง ควรจะระบุด้วยว่าเป็นการกักเก็บเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะสามารถลดการนำเข้าสารทำความเย็น R-22 ได้ พร้อมทั้งแสดงข้อมูลความคุ้มทุนหรือไม่ ในการให้การสนับสนุนของกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544-31 กรกฎาคม 2545 เงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2545 12,512,832,069.89 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการการแก้ไขปัญหาจราจรคับคั่งในระบบทางด่วนขั้นที่ 1
1. คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ได้มีหนังสือที่ นร 0404/0892 ลงวันที่ 12 กันยายน 2545 ความว่า คจร. ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2545 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 ได้พิจารณาเรื่อง การแก้ไขปัญหาจราจรคับคั่งในระบบทางด่วนขั้นที่ 1 ซึ่งปัจจุบันระบบทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 มีปริมาณการจราจรสูงมาก ขณะที่ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D ต่อสายรามอินทรา-อาจณรงค์ ซึ่งเป็นโครงข่ายเดียวกันมีปริมาณจราจรน้อย สาเหตุสำคัญมาจากอัตราค่าผ่านทางที่แตกต่างกัน จึงได้มีมติให้ทดลองลดค่าผ่านทางจากดินแดง-บางนา (ขาออก) และจาก บางนา-ดินแดง (ขาเข้า) เป็นเวลา 3 เดือน โดยให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ในการทดลองลดค่าผ่านทางดังกล่าวเพื่อกระจายปริมาณการจราจรบนระบบทางด่วน ในวงเงินเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 9,000,000 บาท เพื่อชดเชยรายได้ให้แก่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติทีประชุม
อนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการอื่นๆ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการการแก้ไขปัญหาจราจรคับคั่งในระบบทางด่วนขั้นที่ 1 ภายในวงเงิน 9,000,000 บาท (เก้าล้านบาทถ้วน)
เรื่องที่ 4 โครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณฯ
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2545 (ครั้งที่ 29)เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2545 ได้มีมติอนุมัติให้ สพช. เพิ่มวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่าย โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 จำนวน 524.25 ล้านบาท รวมเป็นงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ทั้งสิ้น 867.25 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ในวงเงิน 262.16 ล้านบาท ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากรหมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ปีงบประมาณ 2545 ไปแล้ว เป็นจำนวน 70,122,448 บาท คงเหลือ 192,037,552 บาท
2. มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนเมือง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้มีหนังสือที่ มสวพ. 530/2545 ลงวันที่ 10 กันยายน 2545 ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณฯ เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานการอนุรักษ์พลังงานและลดปริมาณขยะภายในชุมชน ในวงเงิน 15,877,650 บาท
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอ คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 12/2545 (ครั้งที่ 101) เมื่อวันอังคารที่ 10 กันยายน 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ปีงบประมาณ 2545 ให้มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนเมือง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ในวงเงิน 15,877,650 บาท ทั้งนี้ ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในวงเงินที่อนุมัติ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ต่อไป ดังนั้นฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 หลักการและเหตุผล
เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณสยามมกุฎราชกุมาร มีพระชนมายุครบ 50 พรรษา มูลนิธิฯ ร่วมกับ ประชาชนทั่วไป และองค์กรเอกชน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องในเขตชุมชน มูลนิธิฯ ได้เห็นความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณฯ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ดังนี้
(1) โครงการธนาคารขยะ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนในเขตชุมชนเห็นความสำคัญต่อการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่เป็นวิธีหนึ่งในกระบวนการลดปัญหามลพิษด้านสิ่งแวดล้อม เพราะนอกจากเป็นการลดขยะแล้ว ยังลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ลดการใช้พลังงานและลดมลพิษต่างๆ ที่เกิดจากการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติมาผลิตใหม่อีก
(2) โครงการลานกิจกรรม* เป็นการจัดบริเวณ และสถานที่สำหรับเยาวชนและประชาชนในชุมชนในการใช้เป็นสถานที่เล่นกีฬา แสดงดนตรี หรือลานเอนกประสงค์สำหรับกิจกรรมสันทนาการ
(3) โครงการสวนสุขภาพ* เป็นการจัดพื้นที่สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ
หมายเหตุ * เป็นโครงการที่ดำเนินการภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากแหล่งอื่น
3.2 วัตถุประสงค์
(1) เพื่อถวายแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องใน วโรกาสมหามงคลสมัย มีพระชนมายุครบ 50 พรรษา
(2) เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน
(3) เพื่อเสริมสร้างความรู้และปลูกจิตสำนึกให้แก่เด็กและเยาวชน ชุมชน ในการมีส่วนร่วมเรื่องการคัดแยกขยะ และดำเนินการธนาคารขยะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อม
(4) เพื่อลดปริมาณขยะและรักษาสิ่งแวดล้อมภายในชุมชนให้ดีขึ้น
3.3 กลุ่มเป้าหมาย
เด็ก เยาวชน และประชาชนในชุมชน ซึ่งมีจำนวน 53,138 คน คิดเป็นจำนวน 60% ของจำนวนประชากรทั้งหมดใน 85 ชุมชน 17 เขต ซึ่งมีถึง 88,564 คน
3.4 เป้าหมายของโครงการ
(1) จัดให้มีศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้ให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อม ไม่น้อยกว่า 12 แห่ง
(2) จัดตั้งธนาคารขยะ 50 แห่ง ในพื้นที่ 85 ชุมชน 17 เขต ดังนี้
(3) ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บขยะหน่วยงานของรัฐได้ประมาณปีละ 4,051,683 บาท
3.5 ระยะเวลาในการดำเนินงาน 12 เดือน
3.6 กลยุทธ์ในการดำเนินงาน
(1) รณรงค์โดยผ่านสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ วีดิทัศน์ โปสเตอร์ แผ่นพับ จดหมายข่าว ป้ายผ้า ให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงการคัดแยกขยะก่อนไปจำหน่าย หรือวัสดุเหลือใช้กลับมา รีไซเคิล
(2) การจัดฝึกอบรมให้เกิดความรู้ความเข้าใจประเภทขยะ การคัดแยกขยะ การลดปริมาณขยะ วิธีการอนุรักษ์พลังงาน ประโยชน์ของขยะ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(3) การศึกษาดูงาน เพื่อให้ทราบถึงการคัดแยกขยะ รู้ถึงประเภทของขยะที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา และขั้นตอนในการจัดตั้งรูปแบบวิธีการในการบริหารจัดการธนาคารขยะ
(4) การคัดเลือกชุมชนต้นแบบ เพื่อเป็นชุมชนนำร่องที่เป็นแบบอย่างการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพแก่ชุมชนอื่น โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานธนาคารขยะ ที่ปริมาณขยะได้นำไปสู่ขบวนการกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น สมาชิกที่เพิ่มขึ้น มีความแตกต่างจากที่ยังไม่เริ่มโครงการ
(5) การจัดตั้งศูนย์เผยแพร่ความรู้เรื่องการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(6) การติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการ
3.7 แผนงานและขั้นตอนดำเนินงาน
(1) ศึกษาข้อมูลแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่เกี่ยวข้อง การเตรียมความพร้อมในแต่ละพื้นที่ ติดต่อประสานงานร้านรับซื้อของเก่า และออกแบบและผลิตสื่อประชาสัมพันธ์
(2) การศึกษาดูงาน ที่ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ทราบถึงการคัดแยกขยะ ขั้นตอน และ รูปแบบวิธีการบริหารการจัดการธนาคารขยะ ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 1 วัน และการอบรม โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคณะผู้ทำงานธนาคารขยะ อบรม 1 วัน จำนวน 2 รุ่น และกลุ่มเด็กเยาวชน และประชาชนที่อยู่ในชุมชน อบรม 1 วัน จำนวน 5 รุ่น
(3) ก่อสร้างสำนักงานธนาคารขยะ 50 แห่ง และเตรียมอุปกรณ์ในการเปิดธนาคารขยะฯ เปิดดำเนินการธนาคารขยะ รับสมัครสมาชิกธนาคารขยะ จัดกิจกรรมของธนาคารขยะ ประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่โครงการ คัดเลือกชุมชน แถลงข่าวเปิดโครงการ และจัดตั้งศูนย์เผยแพร่ความรู้เรื่องการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3.8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
(1) ชาวชุมชนที่อาศัยอยู่บนที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อถวายแด่พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกกุฎราชกุมาร เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยมีพระชนมายุครบ 50 พรรษา รวมทั้งได้ช่วยประหยัดทรัพยากร ธรรมชาติและยังช่วยการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน
(2) เยาวชนและประชาชนได้รับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและเกิดแนวคิดที่ดีต่อการจัดการขยะมูลฝอย/เป็นการฝึกนิสัยการออมทรัพย์/เป็นการปลูกจิตสำนึกที่ดีในการจัดการสิ่งแวดล้อม
(3) ชุมชนมีองค์กรที่สามารถดำเนินการธนาคารขยะ ทำให้ชุมชนสะอาด สวยงาม และเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าอยู่และน่าอาศัย รวมทั้งทำให้เยาวชนและคนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจาการนำขยะมาฝากธนาคารขยะและสามารถนำรายได้ไปใช้ในกิจกรรมอื่นๆต่อไป
(4) ปริมาณขยะมูลฝอยที่จะนำไปกำจัดมีปริมาณลดลงสามารถช่วยหน่วยงานที่รับผิดชอบประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะมูลฝอยและลดปัญหามลภาวะภายในชุมชน
3.9 การติดตามและประเมินผลโครงการ
การติดตาม ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการทำงาน ทำการติดตามผลการดำเนินงานของชุมชนทุกๆ 6 เดือน โดยให้ ชุมชนรายงานผลการดำเนินงานและสถานะการเงินของธนาคารขยะให้สถาบันฯ รับทราบประจำทุกเดือนเพื่อเป็นการชี้แจงผลการดำเนินงานของธนาคารขยะ โดยพิจารณาจากปริมาณขยะ/จำนวนสมาชิก และสภาพแวดล้อมภายในชุมชนที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น นอกนี้สถาบันฯ จัดทำสรุปผลการดำเนินงานของโครงการธนาคารขยะในแต่ละไตรมาสเพื่อจัดส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
การประเมินผลโครงการ
(1) การประเมินผลเชิงปริมาณ โดยมีดัชนีชี้วัดคือ ปริมาณขยะ จำนวนสมาชิกของธนาคาร ผลการดำเนินงานของสมาชิก
(2) การประเมินผลเชิงคุณภาพ จัดทำแบบประเมินผล เพื่อเก็บข้อมูลด้านทัศนคติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ โดยจัดทำแบบสอบถามผู้เข้าร่วมการอบรม/ศึกษาดูงาน แบบสอบถามความคิดเห็นของคณะผู้ตรวจเยี่ยมโครงการ แบบประเมินผลโครงการ และแบ่งการประเมินผลเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ระหว่างดำเนินโครงการ 12 เดือน โดยออกประเมินผลในพื้นที่ของโครงการ และจัดส่งแบบประเมินผล
ระยะที่ 2 หลังจากเสร็จสิ้นโครงการแล้ว 6 และ 12 เดือน โดยประเมินผลในพื้นที่
3.10 ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการ ประกอบด้วยดัชนีชี้วัดทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ
3.11 งบประมาณ ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จำนวน 15,877,650 บาท
มติที่ประชุม
เห็นควรอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนเมือง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ในวงเงิน 15,877,650 บาท ทั้งนี้ ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในวงเงินที่อนุมัติ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมา หรือไม่
1. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 28) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2545 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในวงเงิน 184,466,341 บาท และสำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนการบริหารจัดการศูนย์ฯ ให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ประสานงานกับกองบัญชาการฯ เพื่อให้เพิ่มเติมรายละเอียดของการดำเนินงานในการบริหารการจัดกิจกรรมของศูนย์ ให้ชัดเจน
2. สพช. ได้รับแจ้งจากกองบัญชาการฯ ว่ากองบัญชาการฯ ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้จัดตั้งมูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธรขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเพื่อบริหารศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดยกองบัญชาการฯ เห็นว่าคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการบริหารองค์กร จึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การดำเนินงานของศูนย์ฯ บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่ง สพช. พิจารณาแล้วเห็นชอบตามแนวคิดที่จะให้มูลนิธิฯ เป็นผู้รับผิดชอบบริหารศูนย์ฯ และให้มูลนิธิฯ เป็นผู้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารศูนย์ด้วย
3. มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ได้มีหนังสือที่ มอนส 3/2545 ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2545 เพื่อส่งข้อเสนอโครงการบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ที่ได้ปรับปรุงและเพิ่มเติมรายละเอียด ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ แล้ว โดยเสนอขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 115,373,704 บาท โดยมูลนิธิฯ ได้เพิ่มเติมรายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ เพื่อให้มีความสมบูรณ์และชัดเจนมากขึ้นในประเด็นต่างๆ ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว และฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2545 (ครั้งที่ 98) เมื่อวันพุธที่ 17 กรกฎาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นว่ามูลนิธิฯ ได้เพิ่มเติมรายละเอียดในประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างชัดเจนเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แก่มูลนิธิฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการศูนย์ฯ ดังกล่าว ในวงเงิน 115,373,704 บาท และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญของข้อเสนอโครงการที่ได้ปรับปรุงแล้ว ดังนี้
3.1 หลักการและเหตุผล
ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ตั้งอยู่ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ค่ายพระรามหก อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การจัดให้มีการจัดกิจกรรมเผยแพร่ที่ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยคาดว่าผู้ที่เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการ รวมทั้งผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ จะสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งจะมีส่วนในการช่วยประเทศชาติประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
3.2 วัตถุประสงค์
เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อม เผยแพร่ความรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียนรวมถึงการสาธิตและเปรียบเทียบวิธีการใช้พลังงานที่ขาดประสิทธิภาพกับวิธีการใช้พลังงานที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตน ในการมีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขการสูญเสียพลังงานในทุกขั้นตอนการผลิตและการบริโภค
3.3 หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
3.4 แผนการดำเนินงาน
ในการดำเนินงานของศูนย์ มีแผนการจัดกิจกรรม ประกอบด้วยแผนงาน ดังนี้
3.4.1 การบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม
การบริหารและดำเนินการที่เน้นความคล่องตัวในการดำเนินงานและการแก้ปัญหาในแต่ละช่วงเวลา โดยมีการบริหารจัดการในรูปขององค์กรที่อิสระจากกรอบและระเบียบแบบแผนที่ยุ่งยาก และเป็นองค์กรที่มีคณะทำงานที่มีความสามารถในการดำเนินการงานชุมชน งานประสานงานกับองค์กรส่วนท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานราชการ รวมทั้งมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาองค์กร ดังนั้น สพช. และ ตชด. จึงเห็นควรให้มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นผู้บริหารงาน โดยมูลนิธิฯ จะจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการ ขึ้นมา 1 คณะ มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลการดำเนินงานของศูนย์ฯ คณะกรรมการฯ จะประกอบด้วยผู้แทน สพช. ตชด. และผู้ชำนาญการทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อระดมความคิดที่หลากหลาย และส่งเสริมบทบาทและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการจัดตั้งและพัฒนาศูนย์ฯ แห่งนี้ คณะกรรมการดำเนินการโครงการ จะเป็นผู้จ้างองค์กรหรือบุคคลที่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ต่างๆ ของศูนย์และติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
3.4.2 การจัดทำนิทรรศการและการสาธิต
เป็นการจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน โดยการจัดนิทรรศการทั้งในอาคารและนอกอาคาร ที่เน้นการนำเสนอในลักษณะของ two ways communication โดยนิทรรศการดังกล่าวนี้ จะเป็นศูนย์รวมของมัลติมีเดีย ข้อมูล แบบจำลอง หุ่นจำลอง การสาธิต และการทดลองทำ ที่มีการประยุกต์ให้มีความเหมาะสมของการจัดระหว่างเทคโนโลยี ธรรมชาติ และพลังงาน โดยศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม จะมีการเผยแพร่ความรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เข้าค่ายได้เรียนรู้และเกิดความเข้าใจในความสัมพันธ์ของพลังงานกับสิ่งแวดล้อม รู้วิธีการอนุรักษ์พลังงานที่สามารถปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน เห็นผลเป็นรูปธรรม และเป็นสิ่งที่ใกล้ตัว
3.4.3 การจัดทำค่ายฝึกอบรม
การจัดทำค่ายฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์พลังงานของศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมประกอบด้วยกิจกรรมที่มีการนำวิธีการบริโภคและการใช้พลังงานที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆโดยเฉพาะเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน ไปสู่การสัมผัสและเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมาย จากการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบภายในค่าย ที่เน้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้โดยการได้ยิน เห็น สัมผัส และทดลองจากของจริง ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมกิจกรรมสามารถเรียนรู้ทำความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
3.4.4 ห้องสมุดพลังงาน
ภายใต้ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ได้มีแนวคิดในการจัดตั้งห้องสมุดพลังงานและ สิ่งแวดล้อมขึ้น เพื่อเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการเป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมสำหรับเยาวชนและครูในโรงเรียนทั่วประเทศ โดยจะดำเนินการรวบรวมสื่อการเรียนการสอน สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโสตทุกๆ ด้านที่ได้มีการผลิตมาแล้วเพื่อใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน รวมถึงผลิตสื่อใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของครูผู้สอนและนักเรียน
3.5 ระยะเวลาการดำเนินงาน
โครงการเผยแพร่ความรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียนของศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม จะมีการดำเนินงานเผยแพร่อย่างถาวรและต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้นจะขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ เพื่อใช้จ่ายในการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยภายในระยะเวลา 5 ปี ดังกล่าว จะมีการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมที่มุ่งไปในทิศทางที่จะทำให้สามารถมีรายได้จากหน่วยงานของรัฐ บริษัทเอกชน เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศที่ต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเผยแพร่การอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในระยะต่อไปอย่างถาวร และภายหลังระยะเวลา 5 ปีไปแล้วจะลดการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ลงมาให้เหลือน้อยที่สุด หรืองดการขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ
2.6 เป้าหมายการดำเนินงาน
(1) จัดฝึกอบรมให้กับกลุ่มเป้าหมายปีละประมาณ 1,200 คน
(2) เปิดให้ประชาชนเข้าชมนิทรรศการและใช้บริการของศูนย์ฯ ปีละประมาณ 50,000-100,000 คน
2.7 งบประมาณ
งบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพิ่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในวงเงิน 115,373,704 บาท
มติที่ประชุม
เห็นควรอนุมติการสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้แก่มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในวงเงิน 115,373,704 บาท ทั้งนี้ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ได้ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมา
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ตามความในมาตรา 21 ได้กำหนดให้เจ้าของอาคารควบคุมต้องอนุรักษ์พลังงาน ตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของตนให้เป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง และระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ ขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนจากกองทุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2539 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ สำหรับเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในการศึกษา วางแผนและการลงทุนในการอนุรักษ์พลัง
4. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อพิจารณา ดังนี้
(1) พพ. นำอาคารการสื่อสารแห่งประเทศไทย (บางรัก) เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 5/2545 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรร ให้แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทย สำหรับอาคารการสื่อสารแห่งประเทศไทย (บางรัก) เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 11,850,369 บาท (สิบเอ็ดล้านแปดแสนห้าหมื่นสามร้อยหกสิบเก้าบาทถ้วน) โดยจำแนกเป็นรายมาตรการ ดังนี้
มาตราการ | วงเงินลงทุนที่เห็นชอบ (บาท) |
(1) การติดตั้งฉนวนใยแก้ว | 447,367 |
(2) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง | 4,215,272 |
(3) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิด VRV ทดแทนเครื่องทำน้ำเย็นเดิม | 5,832,190 |
(4) การใช้โคมชนิดประสิทธิภาพการสะท้อนแสงสูง | 994,340 |
(5) การใช้บัลลาสต์ชนิดการสูญเสียต่ำ | 361,200 |
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น | 11,850,369 |
(2) พพ. ได้นำอาคารมหาวิทยาลัยแม่โจ้ อาคารคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอาคารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสนอต่อเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 6/2545 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการทั้ง 3 ราย เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 64,980,631 บาท (หกสิบสี่ล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกร้อยสิบเอ็ดบาทถ้วน) ตามรายเชื่ออาคารและวงเงินอนุมัติค่าใช้จ่ายเป็นรายมาตรการ ดังนี้
มาตราการ | วงเงินลงทุนที่เห็นชอบ (บาท) | |
(1) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยแม่โจ้ | 14,817,829 | |
มาตรการที่ต้องปรับปรุง | ||
การใช้เครื่องปรับอาการชนิดประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงฉนวนกันความร้อน การปรับปรุงระบบแสงสว่าง |
526,000 |
|
(2) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับอาคารคณะแพทยศาสตร์ | 20,442,674 | |
มาตรการที่ต้องปรับปรุง | ||
การหุ้มฉนวนอุปกรณ์ที่ใช้ความร้อน การนำคอนเดนเสทกลับมาใช้ การปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้ของหม้อไอน้ำ การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงฉนวนกันความร้อน การปรับปรุงแสงสว่าง |
29,935 |
|
(3) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | 29,720,128 | |
มาตรการที่ต้องปรับปรุง | ||
การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงฉนวนกันความร้อน การปรับปรุงแสงสว่าง |
508,900 |
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน 4 ราย เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,831,000 บาท (เจ็ดสิบหกล้านแปดแสนสามหมื่นหนึ่งพันบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอในข้อ 2 หรือไม่ โดยมีรายชื่ออาคารควบคุมทั้ง 4 ราย และวงเงินที่ได้รับการสนับสนุนในแต่ละราย ดังต่อไปนี้
ชื่ออาคารควบคุม | วงเงินสนับสนุน (บาท) |
(1) การสื่อสารแห่งประเทศไทย สำหรับอาคารการสื่อสารแห่งประเทศไทย (บางรัก) | 11,850,369 |
(2) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยแม่โจ้ | 14,817,829 |
(3) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับอาคารคณะแพทยศาสตร์ | 20,442,674 |
(4) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | 29,720,128 |
รวมเป็นเงิน | 76,831,000 |
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2545 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2545 ได้มีมติอนุมัติให้ สพช. เพิ่มวงเงินงบประมาณแผนงานสนับสนุนค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 จำนวน 524.25 ล้านบาท รวมเป็นงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ทั้งสิ้น 867.25 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ในวงเงิน 262.16 ล้านบาท
2. กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้มีหนังสือที่ วว 0406/3020 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2545 ขอรับการสนับสนุนในโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน และโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรม และการให้บริการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และประชาชนทั่วไปในด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในวงเงิน 151,090,000 บาท และสพช. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2545 ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาโครงการฯ ประกอบด้วย ศ.ดร. สุรพงศ์ จิระรัตนานนท์ รศ.ดร. อภิชิต เทอดโยธิน รศ.ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ และ รศ.ดร. ศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณาข้อเสนอโครงการฯ แล้ว มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะให้ พพ. ดำเนินการปรับปรุงและเพิ่มรายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ ในประเด็นสำคัญบางประเด็น
3. พพ. ได้มีหนังสือที่ วว 0406/15882 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2545 ได้ชี้แจงข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญในประเด็นต่างๆ และฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 10/2545 (ครั้งที่ 99) เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอโครงการที่ พพ. ปรับปรุงแล้วและมีข้อสังเกต ดังนี้
(1) เห็นควรให้ พพ. ปรับลดงบประมาณสำหรับการจัดทำเอกสารและฝึกอบรมการสาธิต และใช้งานอุปกรณ์และพื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยี จำนวน 3,644,000 บาท
(2) ปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดข้อเสนอโครงการในส่วนของการจัดจ้างที่ปรึกษาภายนอกในการบริหารงานแบบมืออาชีพ ควรมีแผนงานที่สามารถแสดงให้ทราบถึงแนวทางการดำเนินงานและงบประมาณให้ชัดเจน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อเสนอดังกล่าว เสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 10/2545 (ครั้งที่ 99) เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์เทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน และโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน และเห็นควรให้ พพ. ปรับลดงบประมาณสำหรับการจัดทำเอกสารและฝึกอบรมการสาธิต และใช้งานอุปกรณ์และพื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยี จำนวน 3,644,000 บาท และปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดข้อเสนอโครงการในส่วนของการจัดจ้างที่ปรึกษาภายนอกในการบริหารงานแบบมืออาชีพ ควรมีแผนงานที่สามารถแสดงให้ทราบถึงแนวทางการดำเนินงานและงบประมาณให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการที่ได้ปรับปรุง ซึ่งสรุปสาระสำคัญของโครงการฯ ได้ดังนี้
4.1 วัตถุประสงค์
เพื่อเป็นอาคารตัวอย่างที่เน้นความคิดเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และเป็นสัญญาลักษณ์ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคาร การออกแบบก่อสร้างอาคารที่ใช้เทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานที่ทันสมัย โดยใช้ระบบธรรมชาติตามสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ร่มเย็น รวมทั้งการออกแบบระบบภายในอาคาร และการเลือกใช้วัสดุที่สามารถสกัดกั้นความร้อนและความชื้นจากภายนอกได้ดี เพื่อลดการใช้พลังงานของอาคารให้เหลือน้อยที่สุด โดยที่ยังรักษาคุณค่าและสุนทรียภาพของงานสถาปัตยกรรมไว้
4.2 บทบาทและหน้าที่ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน
(1) เป็นศูนย์กลางด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างครบวงจร เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการสาธิต การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ และการให้บริการปรึกษาด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานแก่ภาคอุตสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจ และสาธารณชนทั่วไปในการที่จะนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้งานเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานอย่างมีประสิทธิผล
(2) เป็นศูนย์กลางด้านการอนุรักษ์พลังงานระดับนานาชาติ ซึ่งแสดงถึงความคิดริเริ่ม และความเป็นผู้นำของประเทศไทยในด้านการอนุรักษ์พลังงานของประเทศไทยในภูมิภาคแก่นานาชาติ
(3) เป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการอนุรักษ์พลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เก็บรวบรวมข้อมูลเทคโนโลยีด้านการอนุรักษ์พลังงาน ติดตามความก้าวหน้าเทคโนโลยี และเผยแพร่แก่ผู้สนใจ และกลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศไทย และนอกประเทศไทยโดยใช้สื่อประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ
(4) เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับกิจกรรมและการพัฒนาบุคลากรด้านการอนุรักษ์พลังงาน เนื่องจากลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของอาคาร ด้านอาคารตัวอย่างด้านการอนุรักษ์พลังงาน พื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ส่วนห้องฝึกอบรม ส่วนห้องประชุมสัมมนา
4.3 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ประโยชน์ในศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน
(1) ผู้ประกอบการ ได้แก่ เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าของอาคารที่สามารถนำความรู้และเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อไปพิจารณาลงทุนหรือปรับปรุงระบบในกิจกรรมของตนเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต
(2) วิศวกร สถาปนิก แลผู้ที่เกี่ยวข้องในการออกแบบระบบหรือกระบวนการต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมและอาคาร ออกแบบอาคาร และบ้านอยู่อาศัย
(3) วิศวกร ช่างเทคนิค และช่างซ่อมบำรุง ที่รับผิดชอบในการใช้งานและบำรุงรักษาระบบต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม และอาคาร
(4) นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ซึ่งสามารถนำความรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานในการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ และใช้งานระบบต่างๆ อย่างเหมาะสม เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบ้านอยู่อาศัย
4.4 การดำเนินงานโครงการ
การดำเนินโครงการแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะคือ
(1) การจัดทำแนวคิดและข้อกำหนดทางเทคนิค : ของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย
การประชุมหารือกับคณะทำงานของ พพ. เพื่อกำหนดความต้องการพื้นฐานสำหรับการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน
การศึกษาการใช้พลังงานของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทย และเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานที่เหมาะสมกับประเทศไทย สำหรับการนำมาสาธิตและจัดแสดง
การคัดเลือกเทคโนโลยีสำหรับจัดแสดงในศูนย์เทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานและการกำหนดรูปแบบเบื้องต้นของการจัดแสดง จำนวน 54 เทคโนโลยี
การออกแบบพื้นที่จัดแสดงเบื้องต้น แบ่งออกเป็น ศูนย์แสดงเทคโนโลยีภาคอุตสหกรรม ขนาดพื้นที่ 1,200 ตารางเมตร ภาคอาคารธุรกิจขนาดพื้นที่ 900 ตารางเมตร ภาคบ้านอยู่อาศัยขนาดพื้นที่ 350 ตารางเมตร
การจัดทำข้อกำหนดความต้องการระบบบริการและระบบสาธารณูปโภคสำหรับพื้นที่จัดแสดง ได้แก่ ระบบปรับอากาศ ระบบแสงสว่าง ระบบจ่ายกำลังไฟฟ้า อุปกรณ์ปรับสภาพไฟฟ้า ความแข็งแรงและการรับน้ำหนักของพื้น ระบบจ่ายน้ำ ระบบระบายอากาศทิ้ง ระบบประชาสัมพันธ์ทางเสียง และระบบป้องกันไฟไหม้
การจัดทำข้อกำหนดและขอบเขตงาน รวมทั้งงบประมาณสำหรับการออกแบบ รายละเอียดศูนย์
(2) การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design) : และจัดทำข้อกำหนดรายละเอียด (Detailed Specification) ของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ใช้งบประมาณ 20,000,000 บาท โดยได้รับงบประมาณจากเงินกองทุนฯ ประกอบด้วย
การจัดทำแนวคิดสำหรับการออกแบบตกแต่งพื้นที่จัดแสดง (Theme Design) การออกแบบพื้นที่ให้สอดคล้องกับเนื้อหาของการจัดแสดง
การออกแบบอุปกรณ์จัดแสดงเทคโนโลยีและการจัดหมวดหมู่ของเทคโนโลยีที่จัดแสดง จากการศึกษาและวิเคราะห์รายละเอียดและกลุ่มเทคโนโลยี
การออกแบบตกแต่งภายในของพื้นที่จัดแสดง (Interior Design)
การจัดทำภาพจำลอง 3 มิติ บนคอมพิวเตอร์สำหรับพื้นที่ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ที่แสดงถึงผลการดำเนินการออกแบบทั้งหมดในขั้นตอนที่ผ่านมา
การจัดทำข้อกำหนดรายละเอียด (Detailed Specification) สำหรับอุปกรณ์จัดแสดงและพื้นที่จัดแสดง
การจัดทำบัญชีรายการจัดซื้ออุปกรณ์และแหล่งผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย และการประมาณราคา โดยจัดทำบัญชีรายการของอุปกรณ์จัดแสดงทั้งหมดของศูนย์ ดำเนินการติดต่อจัดหาผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ซึ่งทำให้ได้การประมาณด้านราคา และระยะเวลาการดำเนินงาน สำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์มากกว่า 200 ราย
(3) การก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้าย (Construction Installation and Commissioning) ของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน เป็นส่วนที่ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากการดำเนินการออกแบบรายละเอียดศูนย์ฯ เพื่อดำเนินการจัดซื้อ จัดหาอุปกรณ์ และดำเนินการก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของอุปกรณ์และพื้นที่จัดแสดงของศูนย์เทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานและห้องฝึกอบรม
4.5 ระยะเวลาการดำเนินโครงการ 33 เดือน
4.6 งบประมาณ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 147,446,000 บาท เพื่อดำเนินการ 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 : งบประมาณสำหรับการว่าจ้างก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 135,000,000 บาท ซึ่งประกอบด้วย
ส่วนที่ 1-1 งบประมาณจำนวน 115,000,000 บาท สำหรับค่าวัสดุ อุปกรณ์ และค่าแรงในการก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของวัสดุ อุปกรณ์ ระบบต่างๆ ทั้งหมดในพื้นที่ของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภาคอุตสาหกรรม ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภาคอาคารธุรกิจ ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภาคบ้านอยู่อาศัย ห้องฝึกอบรมระบบทำความเย็นและระบบปรับอากาศ และห้องฝึกอบรมระบบไฟฟ้าแสงสว่าง
ส่วนที่ 1-2 งบประมาณจำนวน 20,000,000 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของผู้รับเหมาหลัก (Main Contractor) ในการดำเนินการบริหารการจัดซื้ออุปกรณ์ บริหารควบคุมผู้รับเหมาและผู้จำหน่ายอุปกรณ์รายย่อย บริหารควบคุมงานก่อสร้าง ติดตั้งและทดสอบการทำงานขั้นสุดท้าย รวมทั้งค่าใช้จ่ายโครงการอื่นๆ ได้แก่ ค่าพาหนะขนส่ง ค่าที่พักบริเวณพื้นที่หน้างาน ค่าใช้จ่ายสำนักงาน
ส่วนที่ 2 : งบประมาณสำหรับการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน 12,446,000 บาท ประกอบด้วย
ส่วนที่ 2-1 งบประมาณจำนวน 8,935,000 บาท สำหรับการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ พพ. ในการประเมินคัดเลือกผู้รับเหมาหลัก และตรวจสอบคุณภาพและความก้าวหน้าของผู้รับเหมาหลักในการก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของศูนย์ฯ และห้องฝึกอบรม
ส่วนที่ 2-2 งบประมาณจำนวน 3,511,000 บาท สำหรับการจัดทำเอกสารและฝึกอบรมการสาธิต และใช้งานอุปกรณ์และพื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยี สำหรับศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภาคอุตสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจ และภาคบ้านอยู่อาศัย ห้องฝึกอบรมระบบทำความเย็นและระบบปรับอากาศ และห้องฝึกอบรมระบบไฟฟ้าแสงสว่าง แก่บุคลากรที่จะเข้ามาบริหารจัดการศูนย์ฯ
มติที่ประชุม
อนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน และโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน ในวงเงิน 147,446,000 บาท โดยแบ่งเป็น
ส่วนที่ 1 : งบประมาณสำหรับการว่าจ้างก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 135,000,000 บาท
ส่วนที่ 2 : งบประมาณสำหรับการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ในวงเงิน 12,446,000 บาท
1. การบริหารงานงบประมาณ การเงิน การบัญชี และพัสดุของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้จัดจ้างที่ปรึกษามารับผิดชอบในการบริหารงาน ให้เป็นไปตามระเบียบกองทุนฯ ระเบียบกระทรวงการคลัง และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีภาระงานต้องดำเนินงานตามแผนต่างๆ เป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมา สพช. ได้มีการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวเข้ามารับผิดชอบดำเนินการ ก็มีปัญหาเรื่องการปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่บ่อยครั้งมาก เนื่องจากค่าตอบแทนต่ำ ทำให้ลูกจ้างเหล่านี้จะลาออกระหว่างปี ทำให้ต้องฝึกคนใหม่ตลอดเวลานอกจากนั้นการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวในอัตราเงินเดือนต่ำ ทำให้ได้บุคลากรที่ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญด้านระเบียบการเงิน การบัญชี และการพัสดุอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับ สพช. ได้ผลักดันโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปี ของการเริ่มดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน การดำเนินงานด้านการเงิน การบัญชี การพัสดุ จึงล่าช้าและขาดตอนไม่ต่อเนื่องสม่ำเสมอทำให้เกิดผลเสียต่องานในภาพรวม สพช. จึงได้ปรับวิธีการทำงานโดยเป็นการจัดจ้างที่ปรึกษา ซึ่งมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เกี่ยวกับระเบียบของทางราชการ มติ ครม. และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆ การแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้สามารถสนับสนุนให้การดำเนินงานของกองอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน บริหารงานได้รวดเร็วมากขึ้น ในภาพรวมการบริหารจัดการของบริษัทที่ปรึกษาอยู่ในระดับที่มีคุณภาพดี สามารถจัดซื้อ จัดจ้าง และเบิกจ่ายเงิน ได้ตามกำหนดเวลา ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ เน้นหลักการให้บริการด้วยความเสมอภาคและโปร่งใส
2. กรมบัญชีกลางได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค. 0505.5/22084 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2545เรื่อง งบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2542 และ 2543 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มาเพื่อทราบและดำเนินการตามที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เสนอแนะ พร้อมทั้งให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบตามระเบียบกองทุนฯ ผลเป็นประการใดให้แจ้งกรมบัญชีกลาง และ สตง ทราบต่อไป ซึ่งต่อมา สตง. ได้ตรวจสอบและรับรอง งบการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2542 และ 2543 เรียบร้อยแล้ว โดยมีข้อสังเกตประกอบการสอบบัญชีและข้อเสนอแนะดังนี้
2.1 การเบิกจ่ายเงินลูกหนี้เงินยืมนอกงบประมาณไม่เป็นไปตามระเบียบของกองทุนฯ
ปีงบประมาณ 2543 สพช. เบิกจ่ายเงินลูกหนี้เงินยืมนอกงบประมาณ (เงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนการบริหารตามกฎหมาย) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการ ประชุม อบรม สัมมนา ปรากฏว่ามีการส่งใช้เงินยืมล่าช้ากว่ากำหนดเวลา มีการส่งใช้เป็นเงินสดจำนวนมาก และมีการให้ยืมรายใหม่โดยยังไม่ส่งใช้รายเก่า ขอให้กองทุนฯ
2.2 การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายของผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่หน่วยงานของต่างประเทศจัด
เจ้าหน้าที่ สพช. ได้เดินทางไปเข้ารับการฝึกอบรม ณ ประเทศสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 25 มิถุนายน 2543 ปรากฎว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ เป็นเงินจำนวน 30,274.56 บาท ขอให้กองทุนฯ ดำเนินการ เรียกเงินจากผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 30,274.56 บาท แล้วนำส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว สำหรับการอนุมัติให้ข้าราชการเดินทางไปศึกษาหรือฝึกอบรมในต่างประเทศโดยใช้เงินกองทุนฯ นั้น ให้พิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นและความต้องการความรู้ที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติงานในภารกิจตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ
2.3 การดำเนินการตามข้อสังเกตปีก่อน
สตง. เคยมีข้อสังเกตในกรณีที่ สพช. ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อปฏิบัติงานประจำ ด้านการบริหารเงินงบประมาณ การเงิน การบัญชี การพัสดุ และการบริหารระบบฐานข้อมูล โดยทำสัญญาจ้างเป็นรายปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2541-2543 ในวงเงินค่าจ้างตามสัญญา 5.94 ล้านบาท 4.2 ล้านบาท และ 4.99 ล้านบาท ตามลำดับ (ในปี 2544 ได้รับอนุมัติวงเงินงบประมาณ 7 ล้านบาท) ซึ่ง สตง. มีความเห็นว่า การจ้างที่ปรึกษาควรเป็นการจ้างงาน/โครงการที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง มีระยะเวลาดำเนินการสิ้นสุดแน่นอน มิใช่เป็นการจ้างต่อเนื่องเป็นประจำปีและเมื่อเปรียบเทียบกิจกรรมเดียวกันที่ดำเนินการโดยข้าราชการและลูกจ้างภายใต้การกำกับดูแลของผู้บริหารหน่วยงานของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานเป็นการควบคุมภายในที่เหมาะสมรัดกุมและประหยัดกว่ามาก ซึ่ง สพช. ได้ชี้แจงตามหนังสือที่ นร 0905/2262 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2543 ถึงเหตุผลความจำเป็นในการจ้างที่ปรึกษามาปฏิบัติงานประจำดังกล่าว เนื่องจากปริมาณงานมากและข้อจำกัดด้านอัตรากำลังและการจ้างได้ถือปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค 0526.5/ว.131 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2541 และ ที่ กค 0502/ว.101 ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2533
สตง. เห็นว่า ตามหลักการบริหารงานประจำที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลังและการบริหารทรัพย์สินของรัฐ ต้องมีระบบควบคุมภายในที่ดีเหมาะสมและรัดกุม การจ้างบริษัทเอกชนมาปฏิบัติงานน่าจะทำให้เกิดความเสี่ยงสูง เพราะหากดำเนินการผิดพลาดจะส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อกองทุนฯ อีกทั้งตามหนังสือกระทรวงการคลังที่อ้างถึงก็มิได้ระบุประเภทของงานที่สามารถจ้างเอกชนดำเนินการได้ไว้ชัดเจนนัก สตง. จึงขอให้ สพช. พิจารณาทบทวนข้อสังเกตดังกล่าว ทั้งนี้ หากเห็นด้วยกับการจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อปฏิบัติงานประจำด้านการเงิน การคลัง และการพัสดุ เช่นที่ สพช. ได้ดำเนินการแล้ว ขอให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติเพื่อกำหนดเป็นหลักการ พร้อมทั้งนำเสนอขอความเห็นชอบกับกระทรวงการคลัง เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 ซึ่งกำหนดว่า หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเรื่องการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายเงินและพัสดุ ที่มิได้กำหนดในระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
3. การดำเนินงานและข้อเสนอของ สพช.
3.1 ตามที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้ตั้งข้อสังเกตว่า สพช. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านงบประมาณ การเงิน บัญชี และพัสดุ โดยทำสัญญาเป็นระบุปี ตั้งแต่ปี 2541-2543 มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
(1) เป็นการปฏิบัติงานลักษณะประจำด้านการคลังของส่วนราชการ
(3) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) มีกิจกรรมใกล้เคียงกันกับ สพช. ใช้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างชั่วคราวมีค่าใช้จ่ายเป็นเงินเดือน และค่าจ้างที่น้อยมาก
สพช. ได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อคราวประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 20) ที่ประชุมได้มีมติให้รอผลประเมินด้านการบริหารงานกองทุนฯ ซึ่งคณะกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ได้ประเมินเรียบร้อยแล้ว ผลการประเมินพบว่าในภาพรวมการใช้เงินกองทุนฯ ตามที่กำหนดไว้ตามกฎหมายของ สพช. พพ. และบก. เป็นไปตามที่ระบุไว้ในกฎหมายครบถ้วน ทั้ง 3 หน่วยงานได้พยายามใช้จ่ายเงินโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของรัฐ มีความชัดเจนในการใช้งบประมาณ มีเหตุผลสนับสนุนที่ชัดเจนในการตัดสินใจใช้งบประมาณ
เมื่อพิจารณาจากผลการประเมินฯ จะเห็นว่าบริษัทที่ปรึกษาสามารถปฏิบัติงานด้านการเงิน การบัญชี การพัสดุ ได้เรียบร้อย และรวดเร็วในภาพรวมการบริหารจัดการของบริษัทที่ปรึกษาอยู่ในระดับที่มีคุณภาพปานกลางค่อนข้างดี และจากการเปรียบเทียบปริมาณงานตามโครงการต่างๆ ในระยะ 3 ปี (2542-2544) ที่ สพช. รับผิดชอบในการตรวจสอบพิจารณาอนุมัติการเบิก-จ่าย รวมทั้งการติดตามให้คำปรึกษาแนะนำให้แก่ หน่วยงานต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ จะเห็นว่ามีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการบริหารงานด้านการเงิน การบัญชี การพัสดุ ต้องใช้ความละเอียด แม่นยำ และรวดเร็ว ในการปฏิบัติงานหากมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติอยู่เพียง 3 อัตรา ก็ไม่สามารถปฏิบัติงานให้สำเร็จลุล่วงได้ตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ
3.2 ตามเหตุผลดังกล่าว สพช. ยังมีความจำเป็นจะต้องจ้างที่ปรึกษาที่มีความสามารถ และประสบการณ์งานมาให้คำปรึกษา และดำเนินการในการบริหารเงินกองทุนฯ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วถูกต้องตามระเบียบของทางราชการและสามารถสนองนโยบายรัฐบาลในด้านการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้ประชาชนหันมาร่วมมือกับทางราชการ และตามที่ สตง. ตั้งข้อสังเกตและเสนอแนะไว้นั้น สพช. เห็นด้วยและพร้อมที่จะปฏิบัติตามหากมีการเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้เหมาะสมกับปริมาณงานที่ สพช. มีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ
แต่ปัจจุบันนี้ สพช. มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานดังกล่าวเพียง 3 อัตรา (ระดับ 7 จำนวน 1 อัตรา ระดับ 3 จำนวน 1 อัตรา ลูกจ้างชั่วคราว จำนวน 1 อัตรา) ซึ่งไม่สามารถปฏิบัติงานตามแผนงานต่างๆ ที่ สพช.รับผิดชอบให้สำเร็จลุล่วงได้เรียบร้อย รวดเร็ว และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯได้ ประกอบกับตามแผนการปฏิรูประบบส่วนราชการ ในปี 2546 จะต้องโอนงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปอยู่ที่กระทรวงพลังงาน แต่ขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อโอนงานกองทุนฯด้านการเงิน การบัญชี และการพัสดุ คาดว่าไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้โดยเร็ว และการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่การเงิน การบัญชี ของกระทรวงพลังงานอาจจะไม่พร้อมที่จะบริหารงานเงินกองทุนฯได้ทันที ดังนั้นเพื่อให้การบริหารงานเงินกองทุนฯ ด้านการเงิน การบัญชีและการพัสดุ สามารถดำเนินการได้อย่างเรียบร้อย รวดเร็ว ในระหว่างที่การโอนงานเงินกองทุนฯยังไม่เสร็จสิ้น สพช. จึงยังมีความจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านงบประมาณ การเงิน การบัญชี และการพัสดุ ต่อไปอีก
มติที่ประชุม
1. รับทราบข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของ สตง. ตามที่เสนอ ซึ่ง สพช. ได้กำชับให้ผู้รับผิดชอบถือปฏิบัติตามระเบียบฯ โดยเคร่งครัดด้วยแล้ว
2. ให้ความเห็นชอบเป็นหลักการให้ สพช. จัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านการเงิน การบัญชี และการพัสดุได้ สำหรับการดำเนินงานตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป จนกว่าจะหมดความจำเป็น
อนุ กอ. ครั้งที่ 8 - วันพุธที่ 25 เมษายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 8)
วันที่ 25 เมษายน 2550 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม อาคาร 2 กระทรวงพลังงาน
1. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
2. ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ"
3. ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ"
4. ขอความเห็นชอบ ขยายระยะเวลา โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)
5. ความคืบหน้า และขอปรับแผนงาน โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
6. ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนชื่อ "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5"
7. ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2550 โดยสรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
(1) เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 เพื่อบังคับให้โรงงานควบคุม 3,110 แห่ง อาคารควบคุม 1,115 แห่ง (ไม่รวมอาคารของรัฐ 800 แห่ง) ดำเนินการตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่เสนอไว้กับ พพ. อย่างจริงจัง โดยแก้ไขกฎกระทรวง ใช้มาตรการส่งเสริม สนับสนุนและจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางภาษี และคำแนะนำทางด้านเทคนิค
(2) ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยงานราชการและอาคารของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีกับประชาชน คาดว่าในปี 2550 จาก 1,800 หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 10,000 หน่วย/ปี จะลดใช้พลังงาน 38 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 1,187 ล้านบาท/ปี
(3) เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงเพื่อให้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการผลิตและประชาชนนิยมใช้เป็นที่แพร่หลาย คาดว่าจะก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงาน 120 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 3,493 ล้านบาท/ปี
(4) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการกำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) และใช้เงินจากกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท/ปี) เพื่อให้เอกชนที่จะลงทุนด้านพลังงานทดแทนได้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะช่วยทำให้เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 4.7 คาดว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจาก 2,055 MW เป็น 2,233 MW เพิ่มการใช้ในกระบวนการความร้อนจาก 1,789 ktoe เป็น 2,217 ktoe และเพิ่มการใช้เอทานอล 0.4 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.9 ล้านลิตร/วัน และใช้ไบโอดีเซล 0.3 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.5 ล้านลิตร/วัน
(5) การกระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ถ่านหิน นิวเคลียร์ เป็นต้น
(6) เห็นชอบจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,484,538,344 บาท ประกอบด้วย
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,597,552,500 | 697,350,000 | - | 2,294,902,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,127,052,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,484,538,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
คาดว่าในปี 2550 จะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 541 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 550 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550
2. คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติให้ สนพ. และ พพ. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสรุปรายงานคณะอนุกรรมการฯ ทุก 3 เดือน และคณะกรรมการกองทุนฯ ทุก 6 เดือน บัดนี้ครบกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2550 แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงสรุปความคืบหน้ามาเพื่อโปรดทราบ ดังต่อไปนี้
2.1 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
- มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการรวม 56 โครงการ ลงนามในสัญญาและเริ่มงานแล้ว 10 โครงการ คาดว่าจะลงนามในไตรมาสที่ 3 และ 4 จำนวน 38 โครงการ และ 8 โครงการ ตามลำดับ
2.2 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ
- มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการ 259 รายการ ลงนามในสัญญาแล้ว 43 รายการ คาดว่าจะลงนามในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ได้อีก 16 รายการ 161 รายการ และ 39 รายการ ตามลำดับ โดย พพ. คาดว่าสามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินงานได้ครบทั้ง 259 รายการ ภายในเดือนมิถุนายน 2550
มติที่ประชุม
ให้ พพ. และ สนพ. ปรับปรุงเอกสารประกอบการรายงานความก้าวหน้าให้มีรายละเอียดและข้อมูลที่ชัดเจนมากพอเพื่อคณะอนุกรรมการฯ จักได้สามารถเปรียบเทียบกับเป้าหมายและแผนงานที่เข้าใจง่าย และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบความเป็นมาของโครงการนี้ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ที่ได้กำหนดให้รถยนต์ราชการที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) โดยให้ บริษัท ปตท. (มหาชน) จำกัด ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้กระทรวงการคลังกำหนดระเบียบการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการเพื่อคืนให้ ปตท. โดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซธรรมชาติอีกกิโลกรัมละ 5 บาท เป็น 9.53 + 5.00 บาท = 14.53 บาท
มีส่วนราชการ 20 กระทรวง ขอติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการรวม 1,708 คัน แต่ส่วนราชการไม่มีงบประมาณรายจ่ายเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ NGV และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ ในเรื่องการเบิกจ่ายวัสดุ (ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) ไม่เอื้อต่อการติดตั้งอุปกรณ์ไปก่อนและผ่อนชำระคืนผู้รับจ้าง
ปตท. จึงยื่นข้อเสนอ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" ขอใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ของราชการ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อ 25 สิงหาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2548 ให้ ปตท. ในวงเงิน 110 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาใช้เงินทั้งหมดคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยให้ ปตท. หารือกับกรมบัญชีกลางเรื่องระเบียบวิธีการเบิกจ่ายและเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ
กระทรวงการคลังเห็นว่าส่วนราชการไม่สามารถผ่อนชำระค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ได้ทันภายในปีงบประมาณ และการผูกพันเงินงบประมาณในปีต่อไปต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2548 จึงได้อนุมัติหลักการให้ทุกส่วนราชการที่นำรถยนต์ราชการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในการผ่อนชำระคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ สนพ. เป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ เพื่อผูกพันงบประมาณโดยรวม
ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ( ธันวาคม 2548 ถึง ธันวาคม 2549) ปตท. ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้รถยนต์ราชการรวม 1,209 คัน คาดว่าจะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาครัฐคิดเป็นมูลรวม 32,358,856 บาท/ปี โดย ปตท. มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ผ่านเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย รวม 66,091,653 บาท (หกสิบหกล้านเก้าหมื่นหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) และ สนพ. เตรียมตั้งเป็นรายจ่ายในงบประมาณประจำปี 2551 เสนอสำนักงบประมาณเพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ ต่อไป
กรมธุรกิจพลังงานเห็นว่ายังมีรถยนต์ราชการจำนวน 1,200 คัน ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ยังไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV จึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนฯ 100 ล้านบาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ยสำหรับสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับหน่วยงานดังกล่าว โดยในครั้งนี้กรมธุรกิจพลังงานจะเป็นเป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรวงเงินดังกล่าวให้กรมธุรกิจพลังงานแล้วในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549
2. กระทรวงพลังงานได้เสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับทั้ง 2 โครงการข้างต้น โดยให้ใช้ในลักษณะ "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย" โดยมีเหตุผลดังนี้
2.1 ในช่วงเวลาที่พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 นั้น สถานการณ์พลังงานของประเทศอยู่ในช่วงเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆ กันทุกด้าน ฐานะของกองทุนฯ จึงขาดสภาพคล่อง แต่เพื่อให้มาตรการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่งดำเนินการไปได้โดยไม่หยุดชะงัก สนพ. จึงได้เสนอขอให้การสนับสนุนฯ โครงการดังกล่าวในรูปของเงินยืมเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย และให้ ปตท. เร่งคืนเงินกองทุนฯ โดยเร็ว
2.2 ด้วยรัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมากในการผลักดันงานและโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาและสร้างความมั่นคงของประเทศ ประกอบกับปัจจุบันฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเมื่อจัดสรรเงินตามประมาณการรายจ่ายตามแผนงาน 2550-2554 แล้วยังอยู่ในลักษณะสมดุล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มจะสามารถชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระและหนี้ชดเชยราคา LPG ได้หมดภายในสิ้นปี 2550 การโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนมาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ก็จะเพิ่มศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
2.3 สนพ. จึงขอเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อโปรดพิจารณาการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" ของ ปตท. และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ของกรมธุรกิจพลังงาน ดังต่อไปนี้
(1) ให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" เปลี่ยนแปลงเป็น "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ที่ต้องคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10"
(2) จากข้อ (1) สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ไม่ต้องตั้งรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ
(3) เปลี่ยนชื่อ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วจากมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" และให้กรมธุรกิจพลังงานปรับแผนงานโครงการฯ ให้สอดรับกับการดำเนินงานสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ แบบให้เปล่า
มติที่ประชุม
เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมาในข้อ 2.3 และให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ในวงเงิน 20 ล้านบาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ตามมติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 โดยมีวัตถุประสงค์จะจ้างผู้เข้ามาดำเนินการล้างถังน้ำมันของปั้มอิสระ 2,200 ปั้มๆ ละ 7,000 บาท คิดเป็นเงินค่าล้างถังรวม 15,400,000 บาท และเป็นค่าดำเนินการและจัดสัมมนา 4,600,000 บาท
2. กรมธุรกิจพลังงานได้ขอเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงานโดยขอให้สำนักงานพลังงานภูมิภาคทั้ง 12 แห่งเข้ามาร่วมดำเนินการและเป็นผู้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ โดยตรงจาก สนพ. ทั้งนี้ให้บริหารจัดการภายในวงเงินรวม 20 ล้านบาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว และขอปรับเปลี่ยนเป้าหมายของโครงการฯ เป็นล้างถังน้ำมันของปั้มอิสระ 1,400 ปั้ม โดยมีเหตุผลและความจำเป็นดังนี้
2.1 กรมธุรกิจพลังงานได้ทราบว่าการล้างถังมีด้วยกัน 2 วิธี คือ (1) ล้างด้วยเครื่อง (Flushing) โดยใช้เครื่องดูดทั้งน้ำมัน พร้อมตะกอนสิ่งสกปรกออกมาผ่านตัวกรองในลักษณะหมุนเวียนจนกว่าจะได้น้ำมันมันที่สะอาด ไม่มีตะกอน-สารแขวนลอย ไม่มีน้ำ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 6,000-20,000 บาท/ถัง/ครั้ง และ (2) ใช้คนล้าง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงประมาณ 10,000-38,000 บาท/ถัง/ครั้ง โดยค่าจ้างล้างถังขึ้นอยู่กับขนาดและสภาพถัง ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับทำให้ทราบว่ากรมธุรกิจพลังงานได้ประมาณการค่าล้างถังน้ำมันไว้ที่ 7,000 บาท/รายนั้น เป็นอัตราค่าจ้างที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
2.2 จำนวนผู้รับจ้างล้างถังและสนใจเข้าร่วมโครงการฯ มี 6 ราย หากกรมธุรกิจพลังงานเป็นหน่วยงานเดียวที่ดำเนินการทั่วประเทศ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ซึ่งมีผลกระทบต่อการกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้เร็วขึ้นจึงขอให้สำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12 ร่วมเป็นเจ้าของโครงการฯ ล้างถังให้กับปั๊มอิสระในพื้นที่รับผิดชอบ
2.3 กรมธุรกิจพลังงานเสนอขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการดำเนินโครงการฯ ดังนี้
(1) ขอเปลี่ยนแปลงเจ้าของโครงการฯ โดยประกอบด้วย กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12
(2) กรมธุรกิจพลังงาน รับผิดชอบในการกำหนดรายละเอียดขอบเขตงานจ้างผู้ประกอบการล้างถัง จัดทำทะเบียนผู้ประกอบการ แจ้งรายชื่อปั๊มอิสระให้สำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12 และคุณสมบัติและเงื่อนไขของปั๊มอิสระที่จะเข้าร่วมโครงการฯ จัดทำราคากลางค่าจ้างล้างถัง ตามวิธีล้าง ขนาด ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จัดทำเกณฑ์หรือแนวทางในการตรวจสอบคุณภาพงานของผู้รับจ้าง โดยรับจัดสรรเงินกองทุนฯ จาก สนพ. ในวงเงิน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน)
(3) สำนักงานพลังงานภูมิภาคแต่ละแห่ง รับผิดชอบในการจัดจ้างผู้รับจ้างล้างถังจากรายชื่อที่กรมธุรกิจพลังงานขึ้นทะเบียนไว้ ล้างถังกับปั๊มอิสระในพื้นที่รับผิดชอบตามขอบเขตงานและปริมาณงานที่กรมธุรกิจพลังงานแจ้งให้ทราบ โดยให้ สพภ. รับจัดสรรเงินกองทุนฯ โดยตรงจาก สนพ. ในวงเงินรวมทั้ง 12 สพภ. ไม่เกิน 19,800,000 บาท (สิบเก้าล้านแปดแสนบาทถ้วน) สำหรับการจ่ายค่าจ้างล้างถังให้ผู้รับจ้าง แต่ละ สพภ. จะจ่ายตามจำนวนถังที่ได้รับการล้างจริง และจะนำเงินส่วนที่เหลือส่งคืนกองทุนฯ
(4) กำหนดวิธีล้างถังน้ำมันไว้ทั้ง 2 วิธี เพื่อเปิดกว้างให้ผู้รับจ้างล้างถังน้ำมันสามารถเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับสภาพจริงของถังน้ำมันของปั๊มที่เข้าร่วมโครงการฯ
(5) ขอเปลี่ยนแปลงราคากลางค่าจ้างล้างถังจากเดิมที่เสนอไว้ 7,000 บาท/ถัง/ครั้ง โดยให้กรมธุรกิจพลังงานจัดทำราคากลางตามขนาดและสภาพถังของปั๊ม เพื่อเป็นเกณฑ์ให้ สพภ. 1-12 ใช้เป็นหลักในการพิจารณาราคาที่เหมาะสม โดยในเบื้องต้นกำหนดราคากลางที่ 12,000 บาท/ถัง/ครั้ง
(6) จากอัตราค่าล้างถังน้ำมันที่อาจเปลี่ยนแปลงตามข้อ (5) และจะทำให้เป้าหมายของโครงการฯ เปลี่ยนแปลงลดลง ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนปั๊มที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ที่แน่นอน จึงขอเสนอดังนี้
- กรณีมีปั๊มสมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่า 1,400 ราย จะล้างถังให้ปั๊มที่มีขนาดความจุถังมากก่อน และจำแนกพื้นที่ตามสำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 1-12
- กรณีปั๊มสมัครเข้าร่วมโครงการน้อยกว่า 1,400 ราย จะขอเบิกจ่ายค่าล้างถังตามจำนวนที่ล้างจริง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียด "โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ" จากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการฯ ไว้แล้ว ตามที่กรมธุรกิจพลังงานเสนอ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความเป็นมาของ "โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)" เป็นการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 21 ธันวาคม 2547 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ตามที่กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เสนอ โดยให้บริษัททางยกระดับฯ ปรับลดราคาค่าผ่านทางตลอดสาย ทางยกระดับอุตราภิมุข เป็นระยะเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548) ในอัตรา 20 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์ไม่เกิน 4 ล้อ และไม่เกิน 50 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์ที่เกินกว่า 4 ล้อ กรณีที่รายได้จากค่าผ่านทางของบริษัททางยกระดับฯ ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท รัฐจะต้องชดเชยในส่วนต่างให้กับบริษัททางยกระดับฯ ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง โดยให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินชดเชยให้ โดยให้กรมทางหลาวงจัดทำเรื่องเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
หลังการทดลองปรับลดค่าผ่านทาง 90 วัน (ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548) กรมทางหลวงได้ตรวจสอบค่าผ่านทางและพบว่ามีรายได้ 258,745,192 บาท หรือเฉลี่ยวันละ 2.87 ต่อวัน เท่ากับรายได้ลดลงรวม 297,000,000 บาท - 258,745,192 บาท = 38,254,807 บาท ซึ่งรัฐต้องจ่ายชดเชยในวงเงิน 30,603,845 บาท (ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง) และกรมทางหลวงได้มีหนังสือที่ คค 0637/ฝส./10614 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 ขอให้ สนพ. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่รัฐต้องชดเชยค่าผ่านทางยกระดับอุตราภิมุขตลอดสายเนื่องจากรายได้จากค่าผ่านทางของบริษัททางยกระดับฯ ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อ 10 มีนาคม 2549 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ปี 2549 ให้แก่กรมทางหลวง ในวงเงิน 30,603,845 บาท เพื่อนำไปจ่ายชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) โดยให้กรมทางหลวงรวบรวมเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ครบถ้วนตามจำนวนเงิน 30,603,845 บาท พร้อมรับรองความถูกต้องในเอกสารที่ขอเบิกทุกฉบับ และให้กรมทางหลวงคำนวณผลประหยัดพลังงานและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ในช่วงดังกล่าวส่งให้ สนพ. ด้วย
2. กรมทางหลวงได้ คำนวณผลประหยัดและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ โดยสรุปได้ว่าในช่วงทดลอง 90 วัน มีรถยนต์เปลี่ยนมาใช้ทางยกระดับมากขึ้น 37,081 คันต่อวัน (เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 70,000 คันต่อวัน บริษัทฯ จึงมีรายได้ลดลงจากเดิม) และความเร็วเฉลี่ยบนถนนวิภาวดีรังสิตเพิ่มขึ้นเป็น 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มูลค่าผลประหยัดที่ได้จากโครงการประมาณ 134,778,565 บาท โดยแบ่งเป็น
บนถนนวิภาวดี | บนทางยกระดับดอนเมือง | รวมผลประหยัด | |
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถ (Vehicle Operating Cost) ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น ยางรถ อะไหล่ และ ค่าซ่อมบำรุง |
32,167,613 บาท | 31,824,882 บาท | 63,992,495 บาท |
ประหยัดเวลาในการเดินทาง (Vehicle Operating Time) ค่าเสียเวลา คิดจากรายได้เฉลี่ยของผู้ใช้รถ แยกตามประเภทยานพาหนะ |
38,521,726 บาท | 32,264,344 บาท | 70,786,070 บาท |
3. กรมทางหลวงได้มีหนังสือที่ คค 0637/ฝส./00107 ลงวันที่ 23 มกราคม 2550 ขอขยายระยะเวลาโครงการฯ ออกไป 1 เดือนเป็นสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยเหตุแห่งความล่าช้าเกิดจากการคำนวณผลประหยัดพลังงานและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ต้องตรวจสอบจากข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และต้องใช้เวลาในการดำเนินงานมากกว่าแผนงานที่กำหนดไว้
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ที่ประชุมไม่มีข้อขัดข้องในประเด็นการขอขยายระยะเวลาโครงการฯ เพราะกรมทางหลวงมีเหตุผลที่จำเป็นในการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548 และกระบวนการตรวจสอบรับรองความถูกต้องของข้อมูลก่อนนำมาประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ซึ่งผู้แทนของกรมทางหลวงได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าปัจจุบันเอกสารหลักฐานได้ส่งให้ สนพ. เรียบร้อยแล้ว คงเหลือเพียงเอกสารหลักฐานด้านการเงินของเดือนธันวาคม 2548 ที่พร้อมจะจัดส่งให้ สนพ. แล้ว และเพื่อความรอบคอบในการพิจารณาเห็นควรให้กรมทางหลวงจัดส่งสัญญาที่กรมทางหลวงได้จัดทำกับบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ให้ที่ประชุมได้พิจารณาในรายละเอียดก่อนเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาโครงการฯ
2. เรื่องดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงคมนาคมดำเนินการโดยผิดขั้นตอน ที่เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบก่อนผ่านความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ จึงทำให้ขาดการเตรียมข้อมูลหรือเอกสารหลักฐาน ที่นำมาซึ่งปัญหาของงานที่ล่าช้าในปัจจุบัน จึงได้ฝากผู้แทนจากกรมทางหลวงไว้หากมีงาน/โครงการที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีกในอนาคต ก็ขอให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนก่อนดำเนินการด้วย
มติที่ประชุม
เห็นควรให้กรมทางหลวงจัดส่งสัญญาที่กรมทางหลวงได้จัดทำกับบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อนำเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 2) เมื่อ 9 มีนาคม 2548 ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นผู้ดำเนินการในวงเงินรวม 60 ล้านบาท (หกสิบล้านบาทถ้วน) มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์และนำเสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหาด้านพลังงานของประเทศ โดยการส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยเชิงนโยบายบนพื้นฐานของการประเมินศักยภาพ และความเป็นไปได้ของแหล่งพลังงานหมุนเวียน ศักยภาพในการประหยัดพลังงาน และการประเมินเทคโนโลยีพลังงานแต่ละด้านทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงเศรษฐศาสตร์ การจัดลำดับความสำคัญของทางเลือก แหล่งพลังงาน เทคโนโลยีพลังงาน และมาตรการที่เหมาะสม การเสนอแนะแผนงานวิจัยและพัฒนาและแผนงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านพลังงาน
2. ผู้แทนจาก สกว. ได้รายงานต่อที่ประชุมเพื่อทราบความคืบหน้าของการดำเนินงาน ซึ่งมีคณะกรรมการกำกับทิศทาง คณะกรรมการที่ปรึกษา การจัดตั้งสำนักประสานงานชุดโครงการวิจัยเชิงนโยบายขึ้นที่บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อทำหน้าที่กำหนดกรอบและเงื่อนไขการวิจัย (TOR) ของแต่ละหัวข้อตลอดจนกำกับดูแล ประสานงาน ให้มีการดำเนินการตามกรอบที่กำหนด โดยแบ่งกลุ่มวิจัยออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
(1) กลุ่มพลังงานหมุนเวียนประเภทชีวมวล ขยะและก๊าซชีวภาพ
(2) กลุ่มพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ นอกเหนือจาก (1)
(3) กลุ่มประหยัดพลังงาน
(4) กลุ่มผลกระทบเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมของประเทศ
การดำเนินงานวิจัยได้เกิดหัวข้อวิจัย 25 หัวข้อ เป็นการทำงานร่วมกันของนักวิจัยกว่า 50 คน ผู้ช่วยนักวิจัยกว่า 30 คน และผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ 10 คน
ผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงาน โดยในระยะเวลา 5-10 ปีข้างหน้า หากมีการใช้พลังงานหมุนเวียนและประหยัดพลังงานเต็มศักยภาพซึ่งต้องอาศัยมาตรการที่เข้มข้นและต่อเนื่อง อาจช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานและทดแทนพลังงานรูปแบบปกติได้ถึง 15-20%
(1) การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนผลิตไฟฟ้า
- ปรับปรุงมาตรการ VSPP ใหม่ ด้วยการเพิ่มค่า Adder สำหรับกรณีที่ไม่คุ้มทุน เช่น Biomass ผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว ขยะ ลม และ PV
- กำหนดอัตรารับซื้อให้สะท้อน avoided cost โดยปรับปรุงมาตรการ "Adder" ในปัจจุบันเพื่อสร้างความมั่นใจมากขึ้น เช่น ใช้หลักการให้ผู้ลงทุนอยู่ได้ ( IRR ที่ยอมรับได้) แต่ไม่ควรเกิน External benefit)
- กำหนดให้มีระยะเวลาสนับสนุนให้นานพอสมควร (15-20 ปี) และให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มผ่าน Ft
(2) การส่งเสริมการใช้เพลิงทดแทนภาคขนส่ง : ควรมีการกำหนดกลไกประสานงานงานและแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างครบวงจรในรูปของ "cluster" ที่ประกอบด้วย multi-stakeholders เพื่อพิจารณา : ราคา วัตถุดิบ ตลาด กฎหมาย เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และกำลังคน
(3) การส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- ควรเพิ่มความเข้มการบังคับใช้มาตรฐานและฉลากประสิทธิภาพพลังงานของอุปกรณ์/เครื่องใช้ อาคาร และเครื่องจักร รวมทั้งยานยนต์
- ควรกำหนดให้มีกลไกที่สามารถดำเนินการด้านการจัดการอุปสงค์ การเดินทาง (Travel Demand Management ) อย่างเป็นรูปธรรม
- ควรเร่งรัดการบังคับใช้ข้อกำหนดด้านพลังงานของอาคาร (Energy Building Code) การจัดทำดัชนีการใช้พลังงานของแต่ละสาขาอุตสาหกรรม (Specific Energy Consumption) รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมวิศวกรรมและการผลิตในประเทศ
(4) ควรกำหนดนโยบายและกลยุทธ์การส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาระดับชาติ โดยควรจัดให้มีองค์ทีรับผิดชอบการบริการจัดการในเรื่องดังกล่าว "National programs" และ "Key national facilties"
3. สกว. ได้ดำเนินการครอบคลุมขอบเขตและเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและข้อมูลที่มีอยู่ ทำให้ผลการวิจัยในบางเรื่องยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สกว. จึงขอขยายระยะเวลาโครงการไปสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2551 เพื่อศึกษาในรายละเอียดและเชิงลึกเพิ่มเติม ได้แก่
3.1 ประเด็นเชิงนโยบายที่ต้องการข้อยุติเร่งด่วน (ภายในประมาณ 4 เดือน)
(1) การใช้ทรัพยากรแหล่งน้ำ เพื่อการผลิตไฟฟ้า
(2) การใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
(3) โอกาสความเป็นไปได้ในการเพิ่มศักยภาพพืชน้ำมันสำหรับการผลิตไบโอดีเซล
(4) มาตรการการคิด Carbon tax เป็นส่วนหนึ่งของ Avoided cost เพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง (กรณีการกำหนด Emission tax)
(5) การบังคับใช้ Building Energy Code
(6) การประเมินผลกระทบของ SPP ต่อการส่งเสริม CHP ที่ผ่านมาและแนวทางการปรับปรุงระเบียบ SPP ในอนาคต
3.2 ประเด็นที่ต้องการการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ผลของการศึกษาระยะที่ 1 มีความครบถ้วนสมบรูณ์ยิ่งขึ้น (ใช้เวลาประมาณ 1 ปี)
3.2.1 ด้านการประเมินศักยภาพ
(1) การประเมินศักยภาพที่อาจมีเพิ่มเติมของแหล่งพลังน้ำขนาดเล็ก เช่น การใช้น้ำทิ้งท้ายเขื่อน การสร้างเขื่อน Run-of-river แบบขั้นบันได (Cascade) ปรับปรุงนิยามของ "พลังน้ำขนาดเล็ก" หรือ "Small hydro" โดยรวมเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่เลือกใช้เทคโนโลยีสร้างเขื่อนประเภทที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เป็นต้น
(2) การประเมินความเป็นไปได้ของการใช้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อปลูกไม้โตเร็ว
(3) การประเมินความเป็นไปได้ในการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลังและปาล์มน้ำมัน
(4) การประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานเฉพาะอุตสาหกรรมบางสาขาที่มีการใช้พลังงานมาก (industry/process-specific)
3.2.2 ด้านการประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์
(1) การประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการเก็บรวบรวมและใช้วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรประเภทยอดและใบอ้อย และฟางข้าว เพื่อผลิตความร้อนและไฟฟ้า
(2) การประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการผลิตก๊าซชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร และ Energy crop
(3) การพัฒนากระบวนการและเครื่องมือการประเมินแนวทางการจัดการพลังงานชีวภาพในแนวทางที่ยั่งยืนในเบื้องต้น โดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์การใช้ทรัพยากรชีวมวลเพื่อพลังงานอย่างคุ้มค่าและลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2
3.2.3 ด้านมาตรการเชิงนโยบาย
(1) การศึกษานโยบายการกำหนดราคาของเอทานอลและไบโอดีเซลที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย
(2) การประเมิน Cost-effectiveness ของการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงาน ในภาพรวมของประเทศ
(3) การพัฒนาและสาธิตกระบวนการเพื่อปรับปรุงการวางแผนการสร้างโรงไฟฟ้าในระยะยาวของประเทศแบบบูรณาการ โดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน และความมีส่วนร่วมของประชาชน
(4) การพัฒนากรอบและแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการประเมินศักยภาพและติดตามผลกระทบของทางเลือกการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง
การพิจารณาของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการศึกษาของโครงการฯ ตามที่ผู้แทน สกว. รายงาน โดยมีข้อสังเกตว่า การศึกษาของ สกว. เป็นการศึกษาศักยภาพทางด้านเทคนิค เท่านั้น และเงื่อนไขและข้อสมมุติฐานที่นำมาใช้ในการศึกษาในแต่ละภาคส่วน ข้อมูลบางตัวอ้างอิงเป้าหมายเดิมที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นปัจจุบัน ข้อมูลบางส่วนต่างไปจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอุรักษ์พลังงาน บางตัวก็อ้างอิงจากต่างประเทศ จึงทำให้ผลการศึกษาอาจคลาดเคลื่อนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ระดับความลึกของรายละเอียดของข้อมูลอาจไม่เท่ากันด้วย เช่น สัดส่วนความยืดหยุ่นการใช้พลังงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทย สมมุติฐานการคำนวณ Externality cost ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน สมมุติฐานในการคำนวณศักยภาพพลังงานทดแทนอื่นๆ เป็นต้น ประกอบกับเอกสารงานวิจัยของ สกว. มีเป็นจำนวนมาก คณะอนุกรรมการฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาในรายละเอียด
มติที่ประชุม
ให้ สนพ. และ พพ. ประชุมกับ สกว. เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลและปรับตัวเลขเป้าหมายของการศึกษาให้ตรงกัน และพิจารณาประเด็นงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติมเพื่อลดความซ้ำซ้อนของงานและกำหนดขอบเขตงานวิจัยให้ สกว. เพื่อให้ผลการศึกษาได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนชื่อ "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5"
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุม ทราบว่า ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 ได้เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5 " มีวัตถุประสงค์ที่จะดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานของประเทศด้วยการปฏิบัติการให้มีการยุติการผลิต การนำเข้าและการใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์ (หลอดไส้) และส่งเสริมให้มีการใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) ทดแทน
2. กฟผ. ได้มีหนังสือที่ กฟผ.982000/15642 ลงวันที่ 17 เมษายน 2550 ขอเปลี่ยนแปลงชื่อโครงการเป็น "โครงการ เพื่อชาติ เลิกหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5" และขอเปลี่ยนกำหนดเวลาดำเนินงานโครงการฯ ตามตารางต่อไปนี้
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ กฟผ. เปลี่ยนแปลงชื่อโครงการเป็น "โครงการ เพื่อชาติ เลิกหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5" และเปลี่ยนกำหนดเวลาดำเนินงานโครงการฯ ได้ตามที่เสนอมา
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ที่ พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม ในวงเงิน 119 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาด 1.5 MW บริเวณพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
2. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 8) เมื่อ 12 เมษายน 2550 ได้พิจารณาโครงการนี้ไปแล้ว โดยมีมติไม่มีข้อขัดข้องที่ พพ. จะดำเนินโครงการฯ แต่อาจมีบางรายการของวงเงินที่ได้รับจัดสรรงบประมาณปี 2550 สามารถเปลี่ยนแปลงงบประมาณมาใช้กับโครงการนี้ได้ จึงให้ พพ. พิจารณาใช้จ่ายเงินเพื่อโครงการนี้จากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้และอาจเหลือจ่ายดังกล่าวก่อน หากไม่เพียงพอให้นำเสนอที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง
3. พพ. ได้ดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้วและพบว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ที่ พพ. ได้รับจัดสรรไว้ได้มีการทำข้อผูกพันไว้ครบถ้วนแล้วและไม่มีเงินเหลือจ่ายที่จะเปลี่ยนแปลงมาใช้กับ "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" พพ. จึงขอเสนอโครงการฯ มาเพื่อโปรดพิจารณาอีกครั้ง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 119,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ตามรายละเอียดแผนงานที่ พพ. เสนอมา
- ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
- ขอความเห็นชอบ
- การใช้จ่ายเงินกองทุน
- โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
- โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ
- โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทาง
- โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบาย
- โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
- โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
กอ. ครั้งที่ 32 - วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 6/2545(ครั้งที่ 32)
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2545 เวลา 14.45 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำไตรมาสที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544-31 ธันวาคม 2544 ให้ที่ประชุมทราบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2544 มีเงินกองทุนฯ คงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร 13,219,883,566.48 บาท
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการใน ปีงบประมาณ 2543-2547 มีวงเงินรวม 3 แผนงาน เป็นเงิน 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ และการจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ พพ. บก. และ สพช. สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท | ||||||
ปีงบประมาณ | ||||||
2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | รวม | |
พพ. | 484.12 | 569.27 | 555.89 | 529.19 | 534.08 | 2,672.55 |
บก. | 0.75 | 0.92 | 0.98 | 0.98 | 0.98 | 4.61 |
สพช. | 112.05 | 100.00 | 105.95 | 113.50 | 120.65 | 552.15 |
รวม | 596.92 | 670.19 | 662.82 | 643.67 | 655.71 | 3,229.31 |
2. พพ. บก. และ สพช. ได้ดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ที่ได้รับมอบหมายในปี 2545 โดยประมาณว่ามีค่าใช้จ่ายและเงินคงเหลือของปีงบประมาณ 2545 ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 ดังนี้
หน่วย : บาท | ||||
งบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ปี 2545 |
เบิกจ่ายแล้ว และประมาณว่า จะเบิกจ่ายทั้งสิ้น |
คงเหลือ | ||
พพ. | 405,529,120.00 | 237,960,154.00 | 167,568,966.00 | |
บก. | 974,970.00 | 768,610.00 | 206,360.00 | |
สพช. | 149,822,760.00 | 143,541,288.20 | 6,281,471.80 | |
รวม | 556,326,850.00 | 382,270,052.20 | 174,056,797.80 |
3. เพื่อให้ พพ. บก. และ สพช. สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบตามแผนอนุรักษ์พลังงานได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2546 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 ในโครงการบริหารงานตามกฎหมาย โดยฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำงบประมาณรายจ่ายฯ ของทั้ง 3 หน่วยงาน เข้าพิจารณาในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนแล้ว
4. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2545 ได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 ของ พพ. บก. และ สพช. แล้ว มีมติเห็นชอบในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 ของ บก. ในวงเงิน 643,060.00 บาท และ สพช. ในวงเงิน 98,865,470.00 บาท สำหรับงบประมาณรายจ่ายของ พพ. ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายรายการค่าวัสดุโฆษณา และเผยแพร่ ลงจำนวน 570,000.00 บาท โดย ให้ไปของบประมาณในโครงการประชาสัมพันธ์ ของ พพ. แทน
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2546
หน่วย : บาท
พพ. | บก. | สพช. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 25,548,960 | 486,960 | 4,005,120 | 30,041,040 |
2. ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ | 29,304,872 | 156,100 | 10,822,000 | 40,282,972 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 7,746,520 | - | 2,500,000 | 10,246,520 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง | 22,107,560 | - | 3,104,350 | 25,211,910 |
5. รายจ่ายอื่น | 326,337,240 | - | 78,434,000 | 404,771,240 |
รวม | 411,045,152 | 643,060 | 98,865,470 | 510,553,682 |
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ พพ. บก. และ สพช. ในปีงบประมาณ 2546 ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเสนอมา ดังนี้
1. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2546 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ พพ. ในวงเงิน 411,045,152 บาท (สี่ร้อยสิบเอ็ดล้านสี่หมื่นห้าพันหนึ่งร้อยห้าสิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.1.1 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการ ที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. งบประมาณค่าใช้จ่าย บก.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2546 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก. ในวงเงิน 643,060 บาท (หกแสนสี่หมื่นสามพันหกสิบบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.1.2 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2546 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ สพช. ในวงเงิน 98,865,470 บาท ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.1.3 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ พพ. บก. และ สพช. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2546 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการ และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงิน 750 ล้านบาท และในการประชุมเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 ในวงเงิน 200 ล้านบาท
2. สพช. ได้พิจารณาคัดเลือกผู้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2545 ไปแล้ว 22 กิจกรรม รวมเป็นจำนวนเงิน 192,378,117.33 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ7,621,882.67 บาท ซึ่งได้ดำเนินกิจกรรมที่เน้นการรณรงค์ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน โดยเสนอวิธีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยวิธีง่ายๆ รวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงบทบาทของตนที่มีส่วนสำคัญในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งของตนเองและของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการใช้กิจกรรมรณรงค์สนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงาน โดยสรุปกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่ สพช. ดำเนินการในปี 2545 ได้ดังนี้
ลำดับ | ประเภทกิจกรรม | ชื่อกิจกรรม | งบประมาณ(ล้านบาท) |
1. | การประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์ วิทยุ น.ส.พ. นิตยสาร และกิจกรรมรณรงค์ |
โครงการเสริมสร้างความเข้าใจถึงผลของการประหยัดพลังงานที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ โครงการรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน ระยะที่ 2 โครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ ระยะที่ 2 โครงการประหยัดน้ำมันและพลังงาน ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ |
158 |
2. | การผลิตเอกสารเผยแพร่ |
ผลิตคอลัมน์ประชาสัมพันธ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ผลิตคู่มือประหยัดน้ำมัน "รวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน" การผลิตเอกสารคู่มือสาระน่ารู้ การจัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์และฐานข้อมูล |
6 |
3. | ผลิต และเผยแพร่สารคดี |
ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ในรายการสารคดีสั้นทางโทรทัศน์ ชุด "คลื่นอนาคต" กิจกรรมผลิตและเผยแพร่รายการเพื่อเยาวชน ในรายการ "เพื่อนแก้ว" ผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นทางสถานีโทรทัศน์ ชุด "กระจิบข่าวหาร 2" |
19 |
4. | เว็บไซต์ |
การพัฒนา Web Pages และการซื้อมีเดีย Banner Online |
1 |
5. | ศูนย์ประชาสัมพันธ์ |
ศูนย์ประชาสัมพันธ์ รวมพลังหาร 2 |
8 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 192 |
ผลการประเมินโครงการประชาสัมพันธ์
การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 และการประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานตามมาตรการประหยัดพลังงาน จัดทำโดยหลักสูตรการจัดการสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สรุปได้ว่า "โครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ" และ "โครงการรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน" ประสบความสำเร็จในการสร้างความเข้าใจ เชิญชวน กระตุ้นเตือน และให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายทุกระดับรายได้ การศึกษา อายุ และเพศ ทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจวิธีการประหยัดพลังงานในหลายประเด็น และปฏิบัติถูกต้องเกี่ยวกับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นอกจากนี้ยังพบว่าในกรณีการใช้ไฟฟ้าพฤติกรรมประหยัดจะมีมากในบุคคลที่มีรายได้และการศึกษาสูง ประมาณการการประหยัดไฟฟ้าทั่วประเทศคือ 892 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 10,706 ล้านบาทต่อปี สำหรับ 12,611,941 ครัวเรือน ทั่วประเทศ และในส่วนของการประหยัดน้ำมัน ประมาณการประหยัดทั่วประเทศคือ 524 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 6,288 ล้านบาทต่อปี
ข้อเสนอแนะที่สำคัญของการประเมินในครั้งนี้คือการประชาสัมพันธ์รณรงค์ควรจะทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อย้ำเตือนกลุ่มเป้าหมายตลอดเวลา และควรจัดสรรงบประมาณจำนวนมากอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่ให้รู้จักใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า ไม่ให้เกิดความสูญเปล่า สำหรับกลยุทธ์ที่ควรนำมาใช้คือ การยกย่องบุคคลที่ได้รับความนิยมในสังคมให้เป็นตัวอย่าง (Role Model) ในการเผยแพร่และให้ความรู้เรื่องวิธีประหยัดพลังงาน ที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ จากการประเมินผลยังพบอีกด้วยว่า สื่อมวลชนและประชาชนกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ของ โครงการฯ ไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ดังนั้นการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2546 จึงจะเน้นการประชาสัมพันธ์ผลงานของกองทุนฯ ด้วย โดยจัดทำสารคดีสั้นเพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาของกองทุนฯ เพื่อเผยแพร่ผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ วิทยุโทรทัศน์ อย่างต่อเนื่อง
3. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 3 กันยายน 2545 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 ซึ่งมีประเด็นหลักคือ การใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ โครงการน้ำและพลังงานหาร 2โครงการรีไซเคิลเพื่อประหยัดพลังงาน โครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยได้เห็นชอบให้สานต่อการประชาสัมพันธ์ในประเด็นที่ได้เคยรณรงค์เอาไว้แล้วเพื่อเป็นการตอกย้ำและกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติอย่าง ต่อเนื่อง โดยให้ทำการประเมินผลการรณรงค์และนำผลมาปรับแผนปฏิบัติการในการดำเนินโครงการรณรงค์ต่อไป ซึ่งสรุปรายละเอียดได้ดังนี้
แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังาน ปีงบประมาณ 2546
แผนงานโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 จะมุ่งสานต่อการดำเนินการของโครงการรวมพลังหาร 2 โดยเน้นการรณรงค์เพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจวิธีประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าการเดิม และพยายามเชื่อมโยงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการประหยัดพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ทรัพยากรน้ำ และส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายนำวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งควรทำการประชาสัมพันธ์ผลงานด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้เป็นที่แพร่หลาย ทั้งนี้แผนงานโดยละเอียดสรุปได้ดังนี้
แนวทางการดำเนินงาน เน้นการเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปทราบถึงประเด็นหลัก ดังนี้
ความสำคัญและผลกระทบของการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคมและ สิ่งแวดล้อม
วิธีการประหยัดพลังงานที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันและมีการลงทุนต่ำ หรือไม่มีเลย แต่มีผลต่อการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน
ผลสำเร็จและผลตอบแทนการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น จึงได้กำหนดแนวทางไว้ดังนี้
1) สร้างกระแส และค่านิยมของการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน
2) ประชาสัมพันธ์ประเด็นที่สอดคล้องและทันกับสถานการณ์
3) ขยายกลุ่มเป้าหมายการรณรงค์ประหยัดพลังงานจากครัวเรือนไปสู่สถาบันการศึกษา
4) จัดทำสารคดีสั้น เพื่อเสนอแนะวิธีประหยัดพลังงานและเผยแพร่ในสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง
วัตถุประสงค์
1) เพื่อสานต่อการประชาสัมพันธ์แนวทางการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่กลุ่มเป้าหมายสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน
2) เพื่อผลิตและเผยแพร่สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่วงเวลาและความถี่ที่เหมาะสม เพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพในการสื่อสารสูงสุด
3) เพื่อเชิญชวนให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อม
4) เพื่อสร้างกระแส ค่านิยมในการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
5) เพื่อประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายหลัก : ประชาชนทั่วประเทศ และเยาวชน
กลุ่มเป้าหมายรอง : ผู้นำทางความคิด นักบริหาร นักการเมือง ผู้ที่มีบทบาทกำกับดูแลนโยบายพลังงาน
กลุ่มเป้าหมายสนับสนุน : สื่อมวลชน องค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษา
กลยุทธ์
ประเด็นหลัก : การใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย โครงการ น้ำและพลังงานหาร 2 (ระยะที่ 2)
โครงการรีไซเคิลเพื่อประหยัดพลังงาน และโครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
และเนื่องจากกิจกรรมในโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานปี 2546 จะครอบคลุมหลายด้านและสัมพันธ์กับกิจกรรมที่หลายหน่วยงานกำลังดำเนินการอยู่ ดังนั้น กลยุทธ์ในการดำเนินงานจึงเน้นการประสานความร่วมมือเพื่อให้การสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1) ดำเนินการโฆษณาประชาสัมพันธ์เชิงรุกถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้สื่อผสมผสาน และวางแผนการใช้สื่ออย่างเป็นระบบ
2) กิจกรรมประชาสัมพันธ์จะเน้นกลุ่มเยาวชนและผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
3) จัดกิจกรรมรณรงค์ เปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม ได้ทดลองวิธีการประหยัดพลังงานด้วยตนเอง
4) ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้รูปแบบที่มีเอกลักษณ์ เข้าใจง่ายสำหรับกลุ่มเป้าหมาย ทุกระดับ
5) สื่อสารประเด็นหลัก ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์สัญลักษณ์โครงการรวมพลังหาร 2 และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
6) ประสานงานจัดทำโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดเอกภาพและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
งบประมาณในวงเงิน 200 ล้านบาท ประกอบด้วย
(ล้านบาท)
ลำดับ | ชื่อกิจกรรม | งบประมาณ |
1 | การรณรงค์สร้างค่านิยมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและพลังงาน
1.1 โครงการน้ำและพลังงานหาร 2 ระยะที่ 2 ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ จัดทำกิจกรรมรณรงค์ จัดทำสื่อสนับสนุนกิจกรรมรณรงค์ 1.2 โครงการรีไซเคิล เพื่อประหยัดพลังงาน ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ จัดทำกิจกรรมรณรงค์ จัดทำสื่อสนับสนุนกิจกรรมรณรงค์ จัดทำสกู๊ปพิเศษประชาสัมพันธ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ |
110 |
2 | การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2.1 โครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ผลิตสารคดีสั้นนำเสนอผลงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เผยแพร่ทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ วิทยุโทรทัศน์ สื่ออินเตอร์เน็ต (Web Pages รวมพลังหาร 2) |
25 |
3 | กิจกรรมสนับสนุนเพื่อสร้างจิตสำนึก
3.1 พัฒนาและประชาสัมพันธ์ Web pages 3.2 ผลิตและเผยแพร่วัสดุประชาสัมพันธ์ 3.3 นิทรรศการพลังงานหาร 2 |
10 |
4 | การประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
4.1 ซื้อพื้นที่เผยแพร่/เวลาออกอากาศสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และสื่อโทรทัศน์ 4.2 เปิดประเด็นนโยบายและสถานการณ์พลังงาน มาตรการอนุรักษ์พลังงาน 4.3 ผลิตและเผยแพร่สารคดี 4.4 ผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์เพื่อเยาวชน |
35 |
5 | การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน
5.1 ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 |
10 |
6 | อื่นๆ | 10 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 200 |
หมายเหตุ : ประเด็นที่จะสื่อสารในแต่ละปี สพช. จะได้มีการปรับปรุง โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ อาทิ นโยบายของรัฐบาล กระแสสังคม พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ สถานการณ์พลังงาน สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ และสังคม ณ เวลานั้น รวมถึงจะนำผลการประเมินในปีที่ผ่านมา มาเป็นปัจจัยในการปรับปรุงแผนปฏิบัติการ และประเด็นหลักที่จะสื่อสารเพื่อให้การสื่อสารทรงประสิทธิภาพ และคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของราชการสูงสุด
มติที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 192,378,117.33 บาท
2. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2546 ในวงเงิน 200 ล้านบาท
3. ให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญา ในกรณีที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 10 ล้านบาท
อนุ กอ. ครั้งที่ 9 - วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 9)
วันที่ 11 มิถุนายน 2550 เวลา 10.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
2. ขอความเห็นชอบ โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน
3. ขอความเห็นชอบ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์"
4. ขอความเห็นชอบ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก"
5. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2550 โดยสรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
(1) เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อบังคับให้โรงงานควบคุม 3,110 แห่ง อาคารควบคุม 1,115 แห่ง (ไม่รวมอาคารของรัฐ 800 แห่ง) ดำเนินการตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่เสนอไว้กับ พพ. อย่างจริงจัง
(2) ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยงานราชการและอาคารของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีกับประชาชน คาดว่าในปี 2550 จาก 1,800 หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 10,000 หน่วย/ปี จะลดใช้พลังงาน 38 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 1,187 ล้านบาท/ปี
(3) เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงเพื่อให้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการผลิตและประชาชนนิยมใช้เป็นที่แพร่หลาย คาดว่าจะก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงาน 120 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 3,493 ล้านบาท/ปี
(4) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการกำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) และใช้เงินจากกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท/ปี) เพื่อให้เอกชนที่จะลงทุนด้านพลังงานทดแทนได้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะช่วยทำให้เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 4.7 คาดว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจาก 2,055 MW เป็น 2,233 MW เพิ่มการใช้ในกระบวนการความร้อนจาก 1,789 ktoe เป็น 2,217 ktoe และเพิ่มการใช้เอทานอล 0.4 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.9 ล้านลิตร/วัน และใช้ไบโอดีเซล 0.3 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.5 ล้านลิตร/วัน
(5) การกระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ถ่านหิน นิวเคลียร์ เป็นต้น
(6) เห็นชอบจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,484,538,344 บาท ประกอบด้วย
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,597,552,500 | 697,350,000 | - | 2,294,902,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,127,052,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,484,538,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
คาดว่าในปี 2550 จะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 541 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 550 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550
2. คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติให้ สนพ. และ พพ. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสรุปรายงานคณะอนุกรรมการฯ ทุก 3 เดือน และคณะกรรมการกองทุนฯ ทุก 6 เดือน บัดนี้ครบกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2550 แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงสรุปความคืบหน้ามาเพื่อโปรดทราบ ดังต่อไปนี้
2.1 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการรวม 56 โครงการ ลงนามในสัญญาและเริ่มงานแล้ว 10 โครงการ คาดว่าจะลงนามในไตรมาสที่ 3 และ 4 จำนวน 38 โครงการ และ 8 โครงการ ตามลำดับ โดยการดำเนินงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบยังคงเป็นไปตามแผน
2.2 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ
มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการ 121 รายการ ลงนามในสัญญาแล้ว 52 รายการ คาดว่าจะลงนามในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ได้อีก 17 รายการ 23 รายการ และ 29 รายการ ตามลำดับ โดย พพ. คาดว่าสามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินงานได้ครบทั้ง 121 รายการ ภายในเดือนมิถุนายน 2550
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ขอความเห็นชอบ โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พน 0506/276 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน" เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 150 ล้านบาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานตามข้อเสนอดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
(1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
พพ. ได้ดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำระดับหมู่บ้าน ในรูปแบบความร่วมมือกับราษฎร รวม 90 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 2,920.50 กิโลวัตต์ ซึ่งต่อมา กฟภ. ได้ขยายเขตระบบจำหน่ายสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเข้าไปถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงเลิกใช้ไฟฟ้าจากโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำ จึงมีเพียง 40 โครงการที่ยังคงใช้งานอยู่ ขนาดกำลังผลิตรวม 1,202 กิโลวัตต์ ดังนั้น พพ. จึงมีแผนพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน ใช้เวลา 24 เดือน ปรับปรุงโรงไฟฟ้าที่ชาวบ้านเลิกใช้งานแต่ยังมีศักยภาพ 25 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 970 กิโลวัตต์ พัฒนาเป็น 1,500 กิโลวัตต์ และเชื่อมโยงกับระบบจำหน่ายของ กฟภ. โดย พพ. จะปรับปรุงเครื่องกังหันน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า พร้อมทั้งอุปกรณ์ประกอบและระบบผันน้ำ-ระบบส่งน้ำ ระบบสายส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับการเชื่อมโยงขนานเข้าระบบ คาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 100,000 บาทต่อกิโลวัตต์
(2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ
รายการ | จำนวน | ต่อโครงการ | รวมทั้งสิ้น | |
(โครงการ) | (บาท) | (บาท) | ||
1 | งานบริหารโครงการ | 25 | 480,000 | 12,000,000 |
ค่าตอบแทน ควบคุมงาน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก | ||||
ค่าใช้สอย ว่าจ้าง ค่าซ่อม ยานพาหนะ เครื่องจักรกลหนัก | ||||
ค่าวัสดุ ในการสำรวจ ออกแบบ น้ำมันเชื้อเพลิง อื่นๆ | ||||
2 | ค่าจ้างปรับปรุงทางด้านโยธา | 25 | 2,640,000 | 66,000,000 |
จ้างปรับปรุง ฝาย ประตูระบายตะกอน ระบบปันน้ำ ระบบส่งน้ำ อาคารโรงไฟฟ้า | ||||
3 | ค่าจ้างปรับปรุงด้านไฟฟ้าและเครื่องกล | 25 | 2,880,000 | 72,000,000 |
ระบบสายส่งไฟฟ้า เสาไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า พร้อมอุปกรณ์ยึดโยงและเชื่อมโยงเข้าระบบ กฟภ. | ||||
ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวม 25 โครงการ | 6,000,000 | 150,000,000 |
(3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน
- เพิ่มพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานทดแทนเข้าสู่ระบบ 1,500 ล้านหน่วย และช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับระบบสายส่งของการไฟฟ้า และเพิ่มอัตถประโยชน์ในแต่ละชุมชนหมู่บ้านจากการได้กระแสไฟฟ้าไปใช้
- มีการใช้พลังงานน้ำที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สูญเปล่า ทำให้เกิดการรักษาป่าไม้ที่เป็นต้นน้ำ และทำให้น้ำใต้ดินมีความชุ่มชื้นทำให้ป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ผศ.ดร.อุดมเกียรติ นนทแก้ว 2) ดร.ธานี มนต์ไตรเวศย์ และ 3) คุณประหยัด เครื่องประดิษฐ์ ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญที่เห็นควรให้ผู้แทน พพ. ได้เข้าร่วมประชุมและแสดงรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น
(1) ความเชื่อมั่น (ด้านปริมาณน้ำ) โอกาสในการพัฒนา (ความพร้อมของชุมชน) แนวโน้มในการเชื่อมโยง (ระยะห่างจากเครื่องกำเนิดถึงระบบของ กฟภ.)
(2) การวิเคราะห์ทางเลือกและความเหมาะสมของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าพลังน้ำ ที่จะเลือกใช้ INDUCTION GENERATOR
(3) แนวทางในการขยายกำลังการผลิต จะเป็นการเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือ เป็นการเสริมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพิ่มเติมจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ รวมถึงโอกาสที่จะขยายกำลังการผลิตจากเดิมที่เข้าใจว่าออกแบบไว้ประมาณ 80% ของปริมาณน้ำทั้งปี ให้เต็มศักยภาพ
(4) แนวทางบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า อย่างยั่งยืน
(5) แนวทางบริหารจัดการรายได้ที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำภายใต้โครงการ
3. ผู้แทนของ พพ. ได้เข้าร่วมประชุมและให้ข้อมูลรายละเอียดแนวทางการดำเนินงานเพิ่มเติมต่อ ผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว คณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่าโครงการนี้ก่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวมทั้งด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การรักษาและฟื้นฟูป่าไม้ แหล่งต้นน้ำ จึงเห็นควรที่กองทุนฯ จะสนับสนุนให้ พพ. ดำเนินโครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน โดยให้ พพ.
(1) ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลในข้อเสนอโครงการฯ ให้ครบถ้วนและชัดเจนตามที่ได้ให้ไว้กับคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ดังรายละเอียดปรากฏในข้อ 3 ของรายงานการประชุม
(2) เห็นด้วยกับทางเลือกที่จะเสนอเป้าหมายของโครงการฯ ที่ พพ. จะสำรวจออกแบบโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้าน โดยชื่อหรือจำนวนโครงการอาจเปลี่ยนแปลงไปจากรายการที่เสนอมา ซึ่ง พพ. จะปรับปรุงให้โครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำจากที่สำรวจออกแบบไว้ให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ในกำลังการผลิตรวมไม่น้อยกว่า 1,500 kW หรือมากกว่า ทั้งนี้จนหมดวงเงินที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 150 ล้านบาท
หาก พพ. ดำเนินการปรับปรุงได้กำลังการผลิตรวมไม่น้อยกว่า 1,500 kW และหมดวงเงินแล้ว ยังมีโครงการฯ ที่มีศักยภาพเหลืออยู่ พพ. จะได้นำไปเสนอของบประมาณมาดำเนินการต่อไป
(3) ระบุที่มาของการประเมินศักยภาพในการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านที่ พพ. คาดว่าจะสามารถปรับปรุงให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ในกำลังการผลิตรวม 1,500 kW
(4) ปรับประมาณการค่าการลงทุนพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้าน ที่ พพ. เสนอไว้ในเบื้องต้น 100,000 บาท/kW โดยควรจำแนกเป็นราคาต่อหน่วยให้สอดคล้องกับงานในแต่ละด้าน เช่น งานด้านไฟฟ้าจัดทำเป็นราคาต่อกิโลวัตต์ และงานด้านโยธาจัดทำเป็นราคาต่อกิโลเมตร ฯลฯ เพื่อเป็นหลักในการพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการลงทุน
(5) พิจารณาระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสมกับปริมาณงาน เพราะจากการศึกษาสำรวจออกแบบ และจ้างผู้เข้าไปดำเนินการเป็นรายโครงการฯ พพ. จะดำเนินการได้ไม่ทันภายในเวลา 24 เดือน
(6) ให้ สนพ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ และนำคณะผู้ทรงคุณวุฒิไปเยี่ยมชมผลสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่ต่างๆ ด้วย
พพ. ได้ปรับแผนงานของโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะของคณะผู้ทรงคุณวุฒิข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ตามรายละเอียดปรากฏตามเอกสารประกอบวาระ 4.1 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน" ในวงเงิน 150 ล้านบาท ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.1
2. ให้ พพ. ทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับวิธีการนำรายได้ที่เกิดจากการขายไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ช่วงก่อนที่ พพ. จะโอนโรงไฟฟ้าให้แก่ท้องถิ่น นำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แทนการนำส่งกระทรวงการคลัง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า พพ. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พน.0509/273 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท (สิบแปดล้านแปดแสนบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานตามข้อเสนอดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
(1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
ในช่วงปี 2543-2548 พพ. ได้จัดทำร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ไว้แล้ว คือ กระจก ตู้แช่ เตารีดไฟฟ้า เครื่องซักผ้า เตาไฟฟ้า เตาอบไมโครเวฟ กาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า ฉนวนใยแก้ว เครื่องอบผ้า เตาอบไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำเย็น ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของแต่ละผลิตภัณฑ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วจำเป็นต้องทบทวนร่างกฎกระทรวงฯ ให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน เพื่อประกาศใช้ในการส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย ตลอดจนจัดทำร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ประสิทธิภาพขั้นต่ำ) เพื่อส่งให้ สมอ. ดำเนินการต่อไป
(2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่าย | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 6,337,550 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายประชุม-สัมมนา | 1,450,000 บาท |
3. ค่าใช้จ่ายทดสอบผลิตภัณฑ์ | 4,950,000 บาท |
4. ค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ | 5,092,100 บาท |
5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 972,100 บาท |
* ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ | 18,800,000 บาท |
(3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน :ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน คาดว่าการออกกฎกระทรวงของอุปกรณ์ 11 ประเภท จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.อภิชิต เทอดโยธิน ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ
(1) การทบทวนงานที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึง พพ. ที่ได้ดำเนินการศึกษาไว้แล้ว เพื่อศึกษาแนวทาง กระบวนการที่จะผลักดันให้งานจัดทำมาตรฐานประสิทธิภาพ ประสพความสำเร็จ
(2) การทบทวนผลการดำเนินงานศึกษาร่างกฎกระทรวงที่ พพ. ดำเนินการผ่านมา เพื่อบ่งชี้ให้เห็นปัญหาอุปสรรคที่ พพ. ไม่สามารถนำร่างกฎกระทรวงของอุปกรณ์ที่ได้ศึกษาไว้ทั้ง 24 ชนิด มาประกาศใช้ และระบุกระบวนการหรือแนวทางที่จะเชื่อมั่นได้ว่าการศึกษาครั้งนี้ จะผ่านอุปสรรคเดิมและสามารถประกาศกฎกระทรวงได้
(3) การอ้างอิงถึงกระบวนการพิจารณาถึงความเหมาะสมที่แจ้งว่าผลการศึกษาเดิม (ปี 2543-2548) ไม่เป็นปัจจุบัน จำเป็นต้องศึกษาใหม่ ทั้ง 11 อุปกรณ์
(4) เหตุผลที่ต้องศึกษาเพื่อกำหนดค่ามาตรฐานโดยแยกเป็นรายอุปกรณ์ เพราะอุปกรณ์บางชนิดไม่มีความซับซ้อนและเทคโนโลยีไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น กระติกน้ำร้อน กาต้มน้ำร้อน เตาอบไมโครเวฟ เป็นต้น หรือความจำเป็นที่ต้องกำหนดมาตรฐานในอุปกรณ์บางชนิดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ออกรุ่นใหม่ๆ มาเสมอ เช่น เครื่องซักผ้า และมีแนวทางจะกำหนดมาตรฐานอย่างไรกับอุปกรณ์ลักษณะนี้
(5) ความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดำเนินการแทนในทุกรายการ เพราะการทบทวนกฎกระทรวงฯ ไม่น่าจะจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษามาให้ความเห็นทุกอุปกรณ์ บุคลากรของหน่วยงานเจ้าของโครงการ น่าจะดำเนินการเองได้ เพราะต้องมีความชำนาญการในเรื่องนี้มากกว่าที่ปรึกษาเพื่อการกำกับดูแลคุณภาพงานจะได้เป็นไปด้วยความครบถ้วน
(6) ที่มาของผลการประหยัดพลังงานที่ระบุไว้ หากมีการประกาศใช้กฎกระทรวงของ 11 ผลิตภัณฑ์ จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
(7) ยังไม่ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพราะเป้าหมายของโครงการฯ เป็นเรื่องทางเทคนิคที่ยังไม่มีผลเป็นนามธรรมหรือจับต้องได้
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. ด้วยกระทรวงพลังงานเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว พพ. จึงได้จัดทำข้อเสนอ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2" ที่ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 และเสนอต่อคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท โดยก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พพ. จะต้องปรับขอบเขตงานประชาสัมพันธ์ และงบประมาณในส่วนการประชาสัมพันธ์ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า พพ. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พน.0509/273 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" (เอกสารแนบวาระ 4.3.1) เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท (ยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงาน โดยสรุปได้ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
โรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วประเทศ มีประมาณ 36,000 แห่ง ที่ต้องการความรู้ความเข้าใจวิธีการอนุรักษ์พลังงานอย่างถูกต้องและเป็นระบบ ในช่วงปี 2548 และ 2549 พพ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเข้าไปดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว 700 แห่ง เกิดผลประหยัดพลังงาน 8.366 ktoe และเพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง พพ. จึงจะว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการต่อในปี 2550 อีก 100 แห่ง
2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 22 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่ายต่อกลุ่ม (กลุ่มละ 25 แห่ง) | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 3,306,000 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายอื่น | 1,835,250 บาท |
3. ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 | 359,888 บาท |
รวม | 5,501,138 บาท |
ขอตั้งงบประมาณ ต่อกลุ่ม | 5,500,000 บาท |
รวมงบประมาณ 100 แห่ง (แบ่ง 4 กลุ่มๆ ละ 25 แห่ง) | 22,000,000 บาท |
3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : ระยะเวลา 8 เดือน คาดว่าจะมีผลประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี หรือเมื่อจบโครงการแล้วจะเกิดผลประหยัดรวมไม่น้อยกว่า 500 toe/ปี ระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ
(1) การทบทวนการทำงานโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม ที่ พพ. ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 การที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่ พพ. ได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงาน จำแนกกลุ่มของสถานประกอบการที่เข้าไปดำเนินการมาแล้ว แสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งด้านพลังงานและมาตรการที่เกิดขึ้น ระบุประเด็นปัญหาหรือข้อจำกัด ที่นำมาสู่การทำโครงการตามที่เสนอมาในครั้งนี้ โดยระบุให้ชัดเจนว่าจะเลือกเข้าไปดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายใน sector ใดบ้าง ด้วยเหตุผลอะไร
(2) ปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ที่ไม่ใช่การดำเนินการผ่านระบบที่ปรึกษา แต่ควรมุ่งเน้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนโดยปลูกฝังพัฒนาไว้ที่บุคลากรของสถานประกอบการ เช่น การนำองค์ความรู้ที่ได้จากการดำเนินงานที่ผ่านมาที่ พพ. จัดทำไว้ในรูปแบบเอกสารเผยแพร่ หรือ VDO อยู่มากนั้น ไปขยายผลด้วยวิธีที่เข้าถึงสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานกว่า 20,000 แห่ง ได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ทรัพย์สินที่ลงทุนไว้แล้ว เช่น ศูนย์ให้คำปรึกษา ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น หรือหากต้องการให้มีที่ปรึกษาเข้าไปช่วยให้คำแนะนำ ก็ควรให้เจ้าของสถานประกอบการนั้นออกค่าใช้จ่ายด้วยส่วนหนึ่ง
(3) พิจารณาปรับตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ จากที่จะประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี โดยน่าจะเพิ่มการวัดผลที่ความยั่งยืนที่สถานประกอบการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่องด้วย
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. ด้วยกระทรวงพลังงานเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อช่วยผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน พพ. จึงได้จัดทำข้อเสนอ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" ที่ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 และเสนอต่อคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในแต่ละปีประเทศไทยต้องจ่ายเงินหลายแสนล้านบาทเพื่อนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป ดังนั้น ทางออกทางหนึ่งของการลดใช้น้ำมัน คือ การส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะ "น้ำมันแก๊สโซฮอล์" กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายจะส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เพิ่มมากขึ้น และตั้งเป้าหมายการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ได้ 8 ล้านลิตรต่อวันภายในสิ้นปี 2550 ดังนั้น สนพ. จึงได้ดำเนินการโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนสร้างกระแสการรับรู้ที่ดี ลดอคติ ไม่กล่าวโทษปัญหาของรถยนต์ว่าเป็นผลมาจากการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ และมุ่งหวังให้ประชาชนเปลี่ยนทัศนคติมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ในที่สุด ถึงแม้ว่าปัจจุบันราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์จะมีส่วนต่างกับน้ำมันเบนซินถึง 3.30 บาทต่อลิตร และการดำเนินการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์แบบครบวงจร แต่ปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ก็ยังไม่มีทีท่าจะขยับตัวเร็วในระดับที่เชื่อมั่นได้ว่าจะไปถึงเป้าหมายที่ภาครัฐได้ตั้งไว้ที่ 8 ล้านลิตรต่อวันภายในสิ้นปี 2550
2. สนพ. จึงเห็นควรรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2 เพื่อเร่งสร้างความมั่นใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างโอกาสให้ผู้ใช้รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ได้ทดลองเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์เพื่อให้เห็นผลว่าไม่ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจะขอความร่วมมือบริษัทผู้ค้าน้ำมันอีกครั้งให้ยืนยันและรับประกันชดใช้ความเสียหายหากพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายของเครื่องยนต์มาจากนำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหันมาเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์อย่างถาวร
2.1 วัตถุประสงค์
เพื่อตอกย้ำให้ประชาชนลดอคติและเพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภคที่มีต่อน้ำมันแก๊สโซฮอล์ว่าไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์แต่อย่างใด และสร้างความมั่นใจว่าการหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (E10) ทดแทนน้ำมันเบนซินก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ภายใต้แนวคิด "ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ มั่นใจได้ในคุณภาพ ไม่กระทบต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ และประหยัดค่าน้ำมันจริง ใช้แล้วคุณจะติดใจ"
2.2 ขอบเขตงาน
วางแผนงานโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยเสนอกลยุทธ์เชิงรุก ผ่านงานสร้างสรรค์ที่สามารถสื่อสารในวงกว้างเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึง ตลอดจนสร้างกระแสต่อเนื่องของการรณรงค์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เชิญชวนให้ผู้ที่ยังไม่กล้าทดลองใช้ให้หันมาเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ทันที โดยมีการขยายประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ด้วย อาทิ
- ผลิตและเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์, สปอตวิทยุ และสื่อต่างๆ
- ผลิตและเผยแพร่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือแนวคิดในการใช้สื่อที่ทันสมัย
- จัดกิจกรรมเผยแพร่ต่างๆ ที่เอื้อต่อการทดลองใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
- จัดทำแผนงานประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นสื่อมวลชนให้เผยแพร่ข้อเท็จจริงสู่ภาคประชาชน
- การจัดกิจกรรมเผยแพร่ต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางรายการเพื่อความเหมาะสม ฯลฯ
2.3 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ประชาชนผู้ขับขี่มีความมั่นใจในคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และเข้าใจว่าการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะของรถยนต์
ประชาชนผู้ใช้รถยนต์ตัดสินใจทดลองเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในทันที ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้หันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อย่างถาวร
2.4 งบประมาณ
ขอใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) เพื่อจัดจ้างเอกชนเข้ามาเป็นผู้ดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและสามารถสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกรายการและทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันได้หลายรายการตามความเหมาะสม
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในวงเงิน 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2" โดยให้ สนพ. รับข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ ไปดำเนินการในโครงการดังกล่าวด้วย
2. เห็นชอบให้ถัวจ่ายเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ในวงเงิน 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) มาสมทบในโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเก๊สโซฮอล์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2
อนุ กอ. ครั้งที่ 10 - วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2550 (ครั้งที่ 10)
วันที่ 25 มิถุนายน 2550 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบ โครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
2. ขออนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อคืนเงินภาษีโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
3. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ขอความเห็นชอบ โครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน2549 เห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยในแผนการจัดหาพลังงาน ได้กำหนดให้มีการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเร่งรัดการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) และต่อมา กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2007) ซึ่งกำหนดให้มีการจัดหาไฟฟ้าจาก IPP ด้วย และ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 ได้พิจารณาเรื่องการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และ ได้มีมติดังนี้
(1) เห็นชอบในหลักการแนวทางการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) สำหรับจัดหาไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2555-2557 และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ดำเนินการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ต่อไป
(2) เห็นชอบให้ สนพ. สามารถนำรายได้จากการจำหน่ายเอกสารเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP (RFP Package) ค่าธรรมเนียมการประเมินและคัดเลือก (Evaluation Fee) และค่าธรรมเนียมการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Contract Finalization Fee) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างที่ปรึกษาตลอดจน การดำเนินการประเมินคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอจนลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วเสร็จ และหากมีรายได้คงเหลือให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
โดยในการออกประกาศเชิญชวน สนพ. จะเป็นผู้ดำเนินการออกประกาศเชิญชวนฯ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2550 และจะจำหน่ายเอกสาร RFP Package ในราคาชุดละ 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ซึ่งผู้สนใจสามารถซื้อเอกสารดังกล่าวและยื่นข้อเสนอมายัง สนพ. ได้ภายในระยะเวลา 4 เดือน นับจากวันที่เริ่มขายเอกสารฯ และ สนพ. จะจัดการสัมมนาเพื่อตอบข้อซักถามเกี่ยวกับเงื่อนไขการประมูล (Pre-Bid Meeting) ประมาณ 1 เดือนหลังจากวันเริ่มจำหน่ายเอกสารฯ ทั้งนี้ ณ วันที่ยื่นข้อเสนอ ผู้ยื่นข้อเสนอโครงการจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการประเมินและคัดเลือก (Evaluation Fee) จำนวน 2,000,000 บาท และหลังจากประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพื่อดำเนินการในขั้นตอนการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Contract Finalization Fee) จำนวนรายละ 4,000,000 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน)
2. คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอที่ได้รับจากการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และดำเนินการเจรจาเพื่อจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ยื่นข้อเสนอและเสนอผลการเจรจาและคัดเลือกต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้ความเห็นชอบ เพื่อให้ กฟผ. ดำเนินการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ยื่นข้อเสนอต่อไป โดยการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ สามารถจัดจ้างที่ปรึกษาทางด้านเทคนิค กฎหมาย และการเงิน ตลอดจนจ้างบุคลากรเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ได้
3. เพื่อให้การออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และการดำเนินการของคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแล้วเสร็จตามแผนการดำเนินงานที่กำหนด ทำให้สามารถจัดหาไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้องการในแผน PDP 2007 สนพ. จึงมีความจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาโครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ สนพ. และ อนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในช่วงเตรียมและช่วงการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ดังนั้น สนพ. ใคร่ขอเสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
1) วัตถุประสงค์
(1) เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินการช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน ในโครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
(2) เพื่อให้การจัดหาไฟฟ้าโดยการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ การประเมินคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้า และการเจรจาร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แล้วเสร็จและสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้ทันตามกำหนดการในแผน PDP 2007 ภายใต้กฎเกณฑ์และเงื่อนไขการประมูล ที่มีความชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรมต่อผู้ลงทุน
2) ขอบเขตงาน
แผนการดำเนินงานเป็น 4 ระยะ (Phase) โดยแต่ละระยะจะมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องและมีความจำเป็นต้องจัดจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิค ด้านระบบส่ง ด้านการเงิน ด้านราคาเชื้อเพลิง และด้านกฎหมาย ได้แก่
ระยะ | รายละเอียด | กำหนดเวลา |
ระยะที่ 1:(Pre-RFP Release) | เตรียมการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าจาก IPP | มิ.ย. 50 |
ระยะที่ 2:(Solicitation) | ระหว่างออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP | ก.ค.-ต.ค. 50 |
ระยะที่ 3:(Evaluation) | ประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน | พ.ย.-ธ.ค. 50 |
ระยะที่ 4:(Contract) | เจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ/ถ่านหิน (Power Purchase Agreement: PPA) สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลัก (Master Gas Sale Agreement: MGSA) และกฎระเบียบหรือข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | ม.ค.-มิ.ย. 51 |
3) ผลที่คาดว่าจะได้รับ : ผลการศึกษาที่ได้รับจะทำให้การจัดหาไฟฟ้าสามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้า ตามแผน PDP 2007 สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2555-2557 และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในกิจการผลิตไฟฟ้า กล่าวคือการจัดหาไฟฟ้าด้วยวิธีประมูลแข่งขัน ผู้ผลิตไฟฟ้าจะต้องผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่ำ และสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นๆ จึงต้องมีการเลือกใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และต้นทุนต่อหน่วยต่ำ ซึ่งก่อให้เกิดการประหยัด และเป็นการอนุรักษ์พลังงาน นอกจากนี้การเปิดประมูลแข่งขันครั้งนี้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะต้องดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่กำหนด ซึ่งเป็นการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย
2.4 งบประมาณ
ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 37,000,000 บาท (สามสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) โดยจำแนกรายละเอียดงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนตามขอบเขตการดำเนินงาน ได้ดังนี้
รายการ | จำนวนเงิน (บาท) |
1. ค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ | 34,000,000 |
1.1 ระยะที่ 1 : ก่อนการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP (จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษา วิเคราะห์ และให้คำปรึกษาต้นทุนระบบส่ง) | 1,500,000 |
1.2 ระยะที่ 2 : การยื่นข้อเสนอ (จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษา วิเคราะห์ ต้นทุนระบบส่ง ด้านราคาเชื้อเพลิง ด้านเทคนิค ด้านการเงิน และด้านกฎหมาย) | 14,000,000 |
1.3 ระยะที่ 3 : การประเมินและคัดเลือก IPP (จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษา วิเคราะห์ ต้นทุนระบบส่ง ด้านราคาเชื้อเพลิง ด้านเทคนิค ด้านการเงิน และด้านกฎหมาย) | 18,500,000 |
2. ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ (จัดจ้างลูกจ้างโครงการ บริหารโครงการ จัดสัมมนารับฟังความเห็น ศึกษาดูงาน ประชาสัมพันธ์และอื่นๆ) |
3,000,000 |
รวมทั้งสิ้น | 37,000,000 |
หมายเหตุ: ค่าใช้จ่ายดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงการประมาณการค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเบิกจ่ายในวงเงินที่ขอรับการสนับสนุน และตามที่ได้จ่ายไปจริงในการดำเนินงานโครงการฯ โดยสามารถถัวจ่ายได้ทุกรายการ
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่" ในวงเงิน 37 ล้านบาท (สามสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ สนพ. สามารถถัวจ่ายได้ทุกรายการตามความเหมาะสม ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.1
เรื่องที่ 2 ขออนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อคืนเงินภาษีโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2549 ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ และมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับเป็นเงินคืนภาษีให้แก่สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยในการดำเนินการโครงการดังกล่าว มีขั้นตอนการขอรับการสนับสนุนฯ สรุปได้ ดังนี้
(1) สถานประกอบการยื่นใบสมัครพร้อมเอกสารประกอบต่อ พพ. คณะกรรมการฯ พิจารณาเอกสารและกำหนดผู้ตรวจสอบ และ พพ. แจ้งผลไปยังสถานประกอบการ
(2) สถานประกอบการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน และอำนวยความสะดวกให้ผู้ตรวจสอบ ได้ตรวจสอบการวัดการใช้พลังงานในสถานประกอบการ ทั้งก่อนและหลังการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานหรือติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
(3) สถานประกอบการ ดำเนินการจัดทำรายงานฯ และให้ผู้ตรวจสอบลงนามเห็นชอบการตรวจวัด และจัดส่งรายงานฯ มายัง พพ. เพื่อกลั่นกรองและนำเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการฯ
(4) สถานประกอบการ นำหลักฐานการเสียภาษี พร้อมทั้งเอกสารการอนุมัติเงินคืนภาษี จาก พพ. มายื่นขอรับเงินภาษีคืน
2. ความก้าวหน้าในการดำเนินการและปัญหาอุปสรรค : จากผลการดำเนินการโครงการฯ มีสถานประกอบการที่ดำเนินตามขั้นตอน โดยคณะกรรมการพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีฯ ได้ให้ความเห็นชอบในวิธีการตรวจวัด และได้เห็นชอบคืนเงินภาษี ให้แก่ ผู้ประกอบการ จำนวน 75 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 43 ล้านบาท และสามารถกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ลงทุนในมาตรการอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงิน 546.23 ล้านบาท โดยมีผลประหยัดพลังงานรวม 401.54 ล้านบาท/ปี ประกอบด้วย
(1) ผลประหยัดทางด้านไฟฟ้า (75 มาตรการ) ประมาณ 41.23 ล้านหน่วย/ปี คิดเป็นเงิน 117.27 ล้านบาท/ปี
(2) ผลประหยัดทางด้านความร้อน (34 มาตรการ) 712.32 ล้านเมกะจูล/ปี คิดเป็นเงิน 284.27 ล้านบาท/ปี
โดยการดำเนินการในขั้นตอนการเห็นชอบการจ่ายเงินคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการฯ นั้น จะสามารถกระทำได้หลังจากที่สถานประกอบการได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน และมีการพิสูจน์ผลการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควร และได้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีฯ เห็นชอบการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานหลังปรับปรุงอุปกรณ์ฯ (Post Audit) และเห็นชอบให้คืนเงินภาษีในช่วงระหว่างเดือน ต.ค. 2549 - ก.พ. 2550 ส่งผลให้ พพ. ก่อหนี้ผูกพันไม่ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับ อนุมัติ (ปีงบประมาณ 2549) ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินฯ ข้อ 16 จึงทำให้ พพ. ไม่สามารถนำเงินกองทุนฯ ที่ พพ. ได้รับในปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงานจ่ายคืนเงินภาษีให้สถานประกอบการฯ ได้
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ และมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ในวงเงิน 140 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 โดยประกอบด้วยค่าใช้จ่าย 2 ส่วนดังนี้
(1) ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการฯ และเพื่อทำการตรวจสอบการตรวจวัดและพิสูจน์ผลการอนุรักษ์พลังงาน ประมาณ 40 ล้านบาท โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษา
(2) ค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสถานประกอบการ (โรงงานและอาคารที่เข้าร่วมโครงการ) ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งการสนับสนุนเงินในส่วนนี้ เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนการดำเนินการของโครงการฯ ประกอบกับข้อมูลการดำเนินการที่ผ่านมาแล้ว จะไม่สามารถผูกพันงบประมาณได้ทั้งหมดภายในปีงบประมาณ 2550 โดยคาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายคืนเงินภาษีให้แก่ สถานประกอบการในปีงบประมาณ 2551
ดังนั้น เพื่อให้ พพ. สามารถดำเนินการจ่ายคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่สถานประกอบการที่ได้มีการเห็นชอบคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว และอยู่ในขั้นตอนยื่นขอรับคืนภาษีจาก พพ. อยู่ในขณะนี้ จำนวน 75 ราย ในวงเงินรวมประมาณ 43 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกองทุนฯ ไว้แล้วในปีงบประมาณ 2549 แต่ไม่สามารถผูกพันงบประมาณได้ทันภายในปีงบประมาณได้ พพ. จึงเห็นควรนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้ พพ. ใช้เงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามข้อ 3 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว เพื่อคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการดังกล่าว ในวงเงิน 43 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับเงินสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 2 ให้นำเสนอของบประมาณจากเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว ในวงเงิน 43 ล้านบาท (สี่สิบสามล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินคืนภาษีให้แก่สถานประกอบการที่ได้รับอนุมัติคืนเงินภาษีในโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์ พลังงานแล้ว จำนวน 75 ราย ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารแนบ 3.2.5
เรื่องที่ 3 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 30 โครงการ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 21 โครงการ คือ
โครงการ | เดิม | ขยายถึง | |
1) | โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียอุตสาหกรรมเพื่อใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบ UASB หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมโรงงานอุตสาหกรรม |
เมษายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
2) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | ||
หน่วยงานรับผิดชอบ : สำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 4, 7, 9, และ 12 | สพภ. 4 ,12 เมษายน 2550 |
สิงหาคม 2550 | |
สพภ. 7 มิถุนายน 2550 |
สิงหาคม 2550 | ||
สพภ. 9 พฤษภาคม 2550 |
สิงหาคม 2550 | ||
3) | โครงการศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม และสำรวจออกแบบเพื่อก่อสร้างสถานีขนส่งทางลำน้ำเพื่อการประหยัดพลังงาน หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี |
มกราคม 2550 | ธันวาคม 2550 |
4) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 2 หน่วยงาน | ||
- กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (นายดุสิต สินสุข) | มีนาคม 2550 | พฤศจิกายน 2550 | |
- วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา (นายปราการรัตน์ ขันธทัต และ นายจีระศักดิ์ สิทธิ) | มีนาคม 2550 | มีนาคม 2551 | |
5) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 1 หน่วยงาน หน่วยงานรับผิดชอบ : การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค |
กุมภาพันธ์ 2550 | มิถุนายน 2550 |
6) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 7 ราย หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน |
- | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติให้ขยายระยะเวลา |
7) | โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศร้อนชื้น หน่วยงานรับผิดชอบ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ |
กรกฎาคม 2550 | ธันวาคม 2550 |
8) | โครงการศึกษา จัดทำ และปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานโลก หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
พฤษภาคม 2550 | พฤศจิกายน 2550 |
9) | โครงการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานชุดโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียโรงงานอุตสาหกรรม หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
มกราคม 2550 | มกราคม 2551 |
10) | โครงการผลิตภัณฑ์ปูนฉาบฉนวนกันความร้อนมวลเบา หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
มีนาคม 2549 | มิถุนายน 2549 |
11) | โครงการศึกษาอิทธิพลการบังเงาต่อการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังทึบ หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
มกราคม 2550 | เมษายน 2550 |
12) | โครงการศึกษาการถ่ายเทความร้อนและปริมาณแสงผ่านกระจกสองชั้นชนิดต่างๆ หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
มกราคม 2550 | เมษายน 2550 |
13) | โครงการ Ceramic Coating หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
มกราคม 2550 | เมษายน 2550 |
14) | โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ดินเป็นตัวระบายความร้อนทิ้งของเครื่องปรับอากาศในประเทศไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยมหิดล |
มีนาคม 2548 | พฤษภาคม 2550 |
15) | โครงการศึกษาและวิจัยเพื่อการทำความเย็นจากรั้วบ้าน หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
พฤศจิกายน 2549 | พฤษภาคม 2550 |
16) | โครงการศึกษาอิทธิพลของตัวแปรที่มีผลต่อการนำแสงธรรมชาติทางด้านข้างมาใช้ในอาคาร หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ธันวาคม 2548 | กันยายน 2550 |
17) | โครงการออกแบบบ้านประหยัดพลังงานประเภททาวน์เฮ้าส์ กรณีศึกษา : สงขลาหรือจังหวัดใกล้เคียง หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล |
มกราคม 2550 | มิถุนายน 2550 |
18) | โครงการพัฒนาอิฐก่อสร้างเพื่อการประหยัดพลังงาน หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
ธันวาคม 2548 | กันยายน 2550 |
19) | โครงการศึกษาวัสดุระบบการก่อสร้างด้วยโฟมเพื่อใช้ในการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ธันวาคม 2549 | มีนาคม 2550 |
20) | โครงการศึกษาอิทธิพลการตกแต่งผิววัสดุในลักษณะต่างๆ ต่อภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
มีนาคม 2550 | เมษายน 2550 |
21) | โครงการการปรับปรุงหลังคาเพื่อลดปริมาณความร้อนเข้าสู่อาคาร (โดยสีเคลือบหลังคา) หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยรังสิต |
กันยายน 2549 | มกราคม 2550 |
2. ขอปรับรายละเอียดโครงการ และ/หรือ เปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงิน 9 โครงการ คือ
โครงการ | ขอเปลี่ยนแปลง | |
1) | โครงการการจัดการพลังงานพลังงานทั่วทั้งองค์กรสำหรับโรงแรมและการบริหารเปลี่ยนแปลง
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
1) ขอปรับการรายงานความก้าวหน้าในงวดที่ 1 จากเดิมรายงานผลการอบรมผู้บริหารโรงแรม 45 ราย เป็น 36 ราย
2) โดยที่เหลืออีก 6 ราย จะไปรายงานในงวดถัดไป |
2) | โครงการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านพลังงานเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุครบ 70 พรรษา
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย |
1) ขอเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบโครงการฯ
2) เปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินของโครงการ 3) ขยายเวลาการรับสมัครขอรับทุนการศึกษาโครงการฯ ออกไปอีก 1 ปี |
3) | โครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : กองบัญชาการตำรวจตะเวนชายแดน |
ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบการติดตั้งสายเมนระบบไฟฟ้าแรงสูง พร้อมสายเมนระบบโทรศัพท์ และท่อเมนระบบประปา จากระบบเคเบิลใต้ดินเป็นระบบเคเบิลบนดิน |
4) | โครงการบริหารสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ฯ |
ขออนุมัติเพิ่มบุคลาการในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษทางวิชาการ เพื่อให้เป็นไปตามมติ คณะกรรมการอำนวยการโครงการอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร |
5) | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการอบแห้งกุนเชียง
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่ดำเนินงานโครงการ โดยปรับลดโรงงานร่วมโครงการในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จาก 2 แห่ง เหลือ 1 แห่ง และเพิ่มโรงงานในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างจาก 2 แห่ง เป็น 3 แห่ง |
6) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา จำนวน 1 หน่วยงาน
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
1) ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย ปีงบประมาณ 2549 2) ขอเปลี่ยนชื่อผู้วิจัยในโครงการ |
7) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 2 หน่วยงาน - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์) - สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายสุรพล ศรีเฮือง) |
1) สผ. ขอขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงิน ให้แก่ นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์
2) สคช. ขออนุมัติเพิ่มวงเงิน ให้กับ นายสุรพล ศรีเฮือง เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สำหรับการเดินทางกลับ |
8) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 ฟาร์มใหญ่
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
เพื่อขอขออนุมัติปรับแผนการขอซื้อรถยนต์ตรวจการณ์ (4WD) เป็น รถยนต์ตรวจการณ์ (รถตู้) ในวงเงินเดิมที่กำหนด |
9) | โครงการเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
1) ขอเพิ่มวงเงินในการจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการเงิน และเทคนิค 2) ขอปรับปรุงระยะเวลาการดำเนินการ ทั้งโครงการจากแผนการดำเนินงาน ซึ่งปรับปรุงครั้งที่ 2 ซึ่งกำหนดไว้ 42 เดือน เป็น 36 เดือน 3) ขอปรับแผนการเบิกจ่ายเงินโครงการเตรียมการจัดตั้งฯ เพื่อให้สอดคล้อง กับการปรับปรุงกิจกรรมการดำเนินงานในข้อ 1 |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ทั้ง 30 โครงการ ตามข้อ 1และ ข้อ 2 ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป