Energy for Tomorrow
วันพุธที 26 ตุลาคม 2565 หนังสือพิมพ์มติชน จัดงานสัมมนา “Energy for Tomorrow วาระโลก -วาระประเทศไทย 2023”
ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ โดยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ “พลังงาน : วาระโลก
วาระประเทศไทย 2023” ซึ่งในงานนี้ นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ร่วมบรรยายพิเศษ เรื่อง “Road Map พลังงานไทย” นอกจากนี้ยังมี ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นายสุโรจน์ แสงสนิท รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ค่ายเอ็มจี (MG) และ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมบรรยายพิเศษในงานครั้งนี้อีกด้วย
ผอ.สนพ. ได้กล่าวถึง Road Map พลังงานไทย ว่า โลกของเรากำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งประเทศไทยเองก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงทิศทางของพลังงานโลกได้ ปัจจัยการขับเคลื่อนพลังงานหนีไม่พ้น เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งทั่วโลกกำลังพยายามที่จะลดการปลดปล่อยเรื่องของก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งการเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานฟอสซิลที่ใช้พลังงานไฟฟ้า มาเป็นพลังงานไฟฟ้าที่มีคาร์บอนต่ำ หรือใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ รวมทั้งใช้พลังงานไฮโดรเจนเป็นพลังงานสะอาดแต่ต้นทุนอาจจะสูง ซึ่งนานาประเทศทั่วโลกจึงร่วมดำเนินมาตรการลดการปลดปล่อยGHG ให้เหลือ 0 ในปี 2100 (กรณีควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิให้ต่ำกว่า2℃ ) ลดการปลดปล่อย GHG ให้เหลือ 0 ในปี 2070
สำหรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศไทย ด้วยแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) โดยกระทรวงพลังงานซึ่งคาดว่าจะมีการนำมาใช้ในปี 2566 นั้น มี 4 แนวทางหลัก คือ
1.เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่ โดยมีสัดส่วน RE ไม่น้อยกว่า 50% ให้สอดคล้องกับแนวโน้มต้นทุน RE ที่ต่ำลงโดยพิจารณาต้นทุน ESS ร่วมด้วย และไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในระยะยาวสูงขึ้น
2. ปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานไฟฟ้าสีเขียว ผ่าน EV ตามนโยบาย 30@30 เพื่อเพิ่มความสามารถในการลดการปลดปล่อย GHG ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคขนส่งให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
3. ปรับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน มากกว่า 30%นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการบริหารจัดการพลังงานสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพลังงาน
4. ปรับโครงสร้างกิจการพลังงานรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) ตามแนวทาง 4D1E
อย่างไรก็ตามการบริหารจัดการพลังงานจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (Smart Infrastructure) เข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งปะรเทศไทยต้องมีการพัฒนาอย่างแน่นอน อีกทั้งพลังงานในอนาคตเป็นเรื่อง “พลังงานไฟฟ้า” โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ สำหรับพลังงานสะอาดที่จะสอดคล้องกับเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ และอนาคตตลาดพลังงานอาจจะมีการแข่งขันมากขึ้นเสรีมากขึ้น แต่หากไม่มีการปรับโครงสร้างราคาไฟฟ้าอาจจะมีผลกับเรื่องของค่าไฟในอนาคตของประเทศ ซึ่งทั้งหมดจะมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ตอบโจทย์เรื่องของพลังงานมากขึ้น นอกจากนี้ภาครัฐจะต้องมีการส่งเสริมตลาดการผลิตเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เพื่อให้สามารถเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
และวันนี้กระทรวงพลังงานได้มีการประกาศใช้ “แผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดของประเทศไทย” โดยจะมีความสำคัญและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบไฟฟ้าในอนาคต ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศให้สามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานแบบกระจายศูนย์ (DERs) ประเภทต่างๆ ที่จะเติบโตตามแนวโน้มของโลก เพื่อช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งไปสู่พลังงานสะอาดและลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 ตามที่นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเจตจำนงในการประชุม COP26 และเกิดประโยชน์ในมิติของความสมดุลด้านพลังงาน (Energy Trilemma) มีความสอดคล้องกับหลักการเสริมสร้างความยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ของด้านความมั่นคง ด้านความมั่งคั่ง และด้านความยั่งยืน
โดยภาพรวมแล้วประเทศไทย โดยเฉพาะภาคพลังงานที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่เรื่องของพลังงานสะอาดนั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสิ่งสำคัญ คือ การสนับสนุนทางด้านทางการเงิน เทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้านพลังงาน ที่จะทำให้เรื่อง “แผนพลังงานชาติ” เปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่พลังงาน และสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายต่อไป
***************************