Super User
กบง. ครั้งที่ 13 - วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2559 (ครั้งที่ 13)
วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 14.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมกราคม 2559
2. Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
3. การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
4. แนวทางดำเนินการโครงการนำร่องการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเสรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมกราคม 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนมกราคม 2559 อยู่ที่ 363 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 103 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 36.1761 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ 0.2395 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 1.5501 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.5051 บาทต่อกิโลกรัม (459.2837 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 14.9550 บาทต่อกิโลกรัม (413.3943 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง ดังนี้ (1) คงราคาขายปลีกไว้ที่ 22.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1.5501 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.2331 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 2 ล้านบาทต่อเดือน และ (2) ปรับลดราคาขายปลีกลง 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ ลง 0.9240 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.3170 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.3930 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 21.62 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 225 ล้านบาท ต่อเดือน ทั้งนี้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,495 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.2331 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
เรื่อง Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV โดยมีเป้าหมายให้ราคาขายปลีกเป็นไปตามกลไกตลาด ดังนี้ (1) ปรับเพิ่มราคาก๊าซ NGV สำหรับรถส่วนบุคคล 1 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 10.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 11.50 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ให้คงราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่อมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีการพิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV จำนวนทั้งสิ้น 4 ครั้ง ได้แก่ (1) วันที่ 30 กันยายน 2557 (2) วันที่ 2 ธันวาคม 2557 (3) วันที่ 30 มกราคม 2558 และ (4) วันที่ 7 กันยายน 2558 โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2558 ได้เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2558 เป็นต้นไป
2. โครงสร้างราคาก๊าซ NGV ปัจจุบันยังคงคำนวณตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากการที่ สนพ. ได้ทบทวนต้นทุนภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากการติดตามต้นทุน NGV ของ ปตท. พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ได้จากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยฯ และต้นทุนของ ปตท. อยู่ที่ 14.32 และ 16.97 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ นอกจากนี้สถาบันวิจัยฯ ยังได้มีการคิดค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่เป็นส่วนของ ปตท. และส่วนที่เป็นของเอกชน โดยมีการแบ่งสัดส่วนตามปริมาณขายระหว่างสถานีบริการนอกแนวท่อกับสถานีบริการบนแนวท่อ ในอัตรา 55:45 ซึ่งค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินการสถานีบริการก๊าซ NGV มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายดำเนินการมาคำนวณเฉพาะในส่วนที่เป็นของเอกชนอย่างเดียว โดยใช้สัดส่วนการดำเนินธุรกิจจากสถานีหลักไปสถานีลูกต่อสถานีแนวท่อตามจริงคือ 60:40 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่คำนวณได้ลดลงจากเดิมที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะภาคเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม
3. เนื่องจากราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันยังไม่สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน โดยให้ปรับไปตามประมาณการราคาของเดือนมกราคม 2559 จากเดิมที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.62 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2558 เป็นต้นไป และตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน โดยในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน โดยขอความร่วมมือ ปตท. พิจารณาให้ส่วนลดสำหรับการขายส่งก๊าซ NGV จากแนวท่อ (Ex-Pipeline) สำหรับลูกค้าที่เป็นคู่สัญญาของ ปตท. นับตั้งแต่วันที่ ปตท. เริ่มมีการขายส่งก๊าซ NGV จากแนวท่อไปยังลูกค้าดังกล่าว3.2 แนวทางที่ 2 ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปจนกว่าต้นทุนราคา ก๊าซ NGV จะลดลงมาเท่ากับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม จึงจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน โดยในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ย Pool Gas ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือนโดยทั้ง 2 แนวทางจะขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไว้ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม และให้ปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ จากเดิม 9,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะจาก 35,000 บาทต่อเดือน เป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน รับไปศึกษาเพิ่มเติมความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนราคาก๊าซ NGV โดยให้คำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในอดีตด้วย และให้นำกลับมารายงานอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่อง การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 และเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
2. ปัจจุบันประกาศกรมธุรกิจพลังงานได้กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยกำหนดว่าต้องมีสัดส่วนการผสมพลังงานทดแทนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9.0 9.0 19.0 75.0 และ 6.5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 10.0 10.0 20.0 E85 (ไม่ได้กำหนด) และ 7.0 ตามลำดับ ทั้งนี้จากการที่ราคาพลังงานทดแทนมีราคาสูงกว่าพลังงานจากฟอสซิล ทำให้ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงผสมพลังงานทดแทน ในสัดส่วนที่ต่ำสุดตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานเพื่อให้มีต้นทุนต่ำ ดังนั้น เพื่อให้หลักเกณฑ์สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยให้ใช้สัดส่วนการผสมในอัตราต่ำตามประกาศกรมธุรกิจพลังงานในการแทนค่าในการคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
3. ผลจากการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น จะทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลง โดยจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และ E85 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.5352 1.4357 1.2728 และ 3.3237 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ 1.6347 1.5380 1.3707 4.3416 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ค่าการตลาดคงเดิมอยู่ที่ 2.5471 และ 1.6242 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานผู้ค้าเพื่อปรับราคาขายปลีกให้เหมาะสมต่อไป
เรื่อง แนวทางดำเนินการโครงการนำร่องการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาเสรี
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เห็นชอบข้อเสนอโครงการปฏิรูปเร็ว (Quick win) เรื่อง โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร) ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการฯ โดยเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่
การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้น้อยที่สุด โดยราคารับซื้อไฟฟ้าต้องไม่ก่อภาระต่อประชาชน และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการฯ โดยให้ดำเนินการในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน และให้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ให้ กบง. ทราบเป็นระยะต่อไป
2. พพ. ได้ประชุมหารือแนวทางดำเนินโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนด แนวทางการดำเนินโครงการ Pilot Project สรุปได้ดังนี้
2.1 แนวคิดการดำเนินโครงการได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายโครงการ กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่เป้าหมาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง และรูปแบบโครงการ2.2 ระเบียบที่ใช้รองรับโครงการ สามารถนำระเบียบเดิมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง ว่าด้วยข้อกำหนดการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า พ.ศ. 2551 มาปรับใช้กับการดำเนินโครงการ ซึ่งปัจจุบัน การไฟฟ้าฯ และ กกพ. อยู่ระหว่างการปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า2.3 ขั้นตอนดำเนินการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลักคือ การปรับปรุงกฎระเบียบ การประกาศเปิด รับสมัคร การพิจารณาตอบรับเข้าร่วมโครงการ การติดตั้งระบบ และตรวจสอบระบบเชื่อมต่อ2.4 ข้อจำกัดทางเทคนิค การไฟฟ้าฯ ได้ให้ข้อมูลเรื่อง ข้อจำกัดทางเทคนิคที่ต้องคำนึงในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณกำลังไฟฟ้า และข้อจำกัดปริมาณการติดตั้ง2.5 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการให้บรรลุผลสำเร็จ มีประเด็นที่ควรพิจารณา ประกอบด้วย รูปแบบการสนับสนุน การกำกับดูแล การติดตามผล การตรวจวัดข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการสมัครเข้าร่วมโครงการ2.6 พื้นที่และปริมาณการติดตั้ง ในขั้นโครงการระยะนำร่อง ได้กำหนดปริมาณการติดตั้งที่ 100 MWp ตามลำดับการยื่นขอ จนกว่าจะครบ 100 MWp โดยติดตั้งในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ.2.7 แผนการดำเนินงานโครงการ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี โดยมีแผนการดำเนินงานดังนี้ (1) เดือนมกราคม 2559 นำเสนอแนวทางดำเนินโครงการต่อ กบง. (2) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 กกพ. พิจารณากำหนดแนวทางหรือระเบียบการติดตั้ง (3) เดือนมีนาคม 2559 กฟน. และ กฟภ. ประชาสัมพันธ์โครงการและเปิด รับสมัคร (4) เดือนเมษายน 2559 ติดตั้งโซลาร์รูฟเสรีในระยะนำร่อง จนครบปริมาณ 100 MWp และ (5) สิ้นปี 2559 ติดตามและประเมินผลกระทบต่อความมั่นคงระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการส่งเสริมในระยะต่อไป
มติของที่ประชุม
รับทราบ
กบง. ครั้งที่ 21 - วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2559 (ครั้งที่ 21)
เมื่อวันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 14.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2559
2. ยกเลิกการชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม
3. ความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้มาประชุม
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
9. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนเมษายน 2559 อยู่ที่ 332 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก
เดือนก่อน 30 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ราคาก๊าซ LPG นำเข้า และราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน อยู่ที่ 417 และ 312 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ โดยราคาก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และราคาก๊าซ LPG จาก ปตท. สผ. อยู่ที่ 436 และ 432 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 4.47 และ 4.4262 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนเมษายน 2559 อยู่ที่ 35.4031 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนมีนาคม 2559 เท่ากับ 0.3664 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากต้นทุนก๊าซ LPG ดังกล่าว ส่งผลให้ราคา ณ
โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.6826 บาทต่อกิโลกรัม (382.5221 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 14.0285 บาทต่อกิโลกรัม (396.2513 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ วันที่ 27 มีนาคม 2559 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,244
ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ 1 คงราคา
ขายปลีกไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ อีก 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม
จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.7095 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 263 ล้านบาทต่อเดือน และแนวทางที่ 2 ปรับเพิ่มราคาขายปลีกขึ้น 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยกองทุนลง 0.2802 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.0834 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 20.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.96 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาท/ถัง 15 กก.) ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 30 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.7095 บาทต่อกิโลกรัม โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
6 เมษายน 2559 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 ยกเลิกการชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม
สรุปสาระสำคัญ
1. ช่วงปี 2553 การใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มีปริมาณ 457 พันตันต่อเดือน และการผลิตในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 314 พันตันต่อเดือน ซึ่งทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 110 - 154 พันตันต่อเดือน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 1,606 - 2,017 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันฯ รัฐจึงมีนโยบายเพิ่มปริมาณการจัดหาภายในประเทศ โดยมาตรการหนึ่งคือเพิ่มการผลิตไฟฟ้า
จากโรงไฟฟ้าขนอม เพื่อให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 4 (ขนอม) สามารถเดินเครื่องผลิตก๊าซ LPG ได้เพิ่มขึ้น
แต่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าขนอมเดินเครื่องไม่เต็มกำลัง เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพต่ำ และมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สูง ดังนั้นการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอมจะทำให้ค่าไฟฟ้าที่ผลิตสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนค่า Ft รัฐจึงเห็นควรให้จ่ายชดเชยโดยลดราคาก๊าซธรรมชาติให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าขนอม ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กบง. ได้พิจารณาการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซ LPG ในประเทศ และมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมและวิธีการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินชดเชย โดยให้เริ่มจ่ายเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2553
2. วันที่ 19 มกราคม 2553 – เดือนมกราคม 2559 โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 4 (ขนอม) สามารถผลิต
ก๊าซ LPG ได้จำนวน 993,836 ตัน และกองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินชดเชยมูลค่าส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับการผลิตก๊าซ LPG ดังกล่าวจำนวน 2,634 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในช่วงเวลาเดียวกันจำนวนเงินชดเชยดังกล่าวคิดเป็นเงินจำนวน 14,523 ล้านบาท ดังนั้น มาตรการการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอมสามารถประหยัดเงินชดเชยจากการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ถึง 11,890 ล้านบาท แต่เนื่องจากโรงไฟฟ้าทดแทนขนอม ชุดที่1 ที่สร้างขึ้นใหม่ขนาด 930 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เดิมจะเริ่มการทดสอบการทำงานทั้งระบบ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 ส่งผลให้มีการเรียกปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติเพียงพอที่จะทำให้โรงแยกก๊าซขนอมสามารถเดือนเครื่องได้เอง ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ จึงไม่มีความจำเป็นต้องชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ยกเลิกชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติ
จากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม รอบเดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม นับจากวันที่โรงไฟฟ้าทดแทนขนอม ชุดที่ 1 ผลิตพลังงานไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date)
เป็นต้นไป
เรื่องที่3 ความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะพลาสติก คือ อัตราเงินชดเชย = 14.50 – ราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 14.50 บาทต่อลิตร จะไม่มีการชดเชยต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะ
โดยให้มีระยะเวลาชดเชย 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561 และให้ สนพ. พิจารณาทบทวนต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกทุกๆ 1 ปี โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561
2. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 เป็นต้นมา สนพ. ได้ดำเนินการออกประกาศกำหนดอัตราเงินชดเชยฯ
ทุกเดือน และข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มีโรงกลั่นฯ มายื่นขอรับเงินชดเชยจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) จำนวน 1 ราย ได้แก่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งรับซื้อน้ำมันที่ได้มาจากการแปรรูปขยะพลาสติกของโรงงานแปรรูปขยะเทศบาลหัวหิน ในปริมาณทั้งหมด 216,114 ลิตร และได้ใช้เงินชดเชยไปทั้งสิ้น 956,785 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 20 - วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2559 (ครั้งที่ 20)
เมื่อวันพุธที่ 30 มีนาคม 2559
1. รายงานความคืบหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
2. สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
3. ความก้าวหน้า Roadmap การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
4. ความก้าวหน้าการรับฟังข้อคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยการดำเนินการระยะยาวได้มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการ ดังนี้ (1) ขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าเขาบ่อยา ให้มีกำลังนำเข้าสูงสุด 250,000 ตันต่อเดือน และก่อสร้างคลังและท่าเรือนำเข้าแห่งใหม่ มีกำลังนำเข้าสูงสุด 250,000 ตันต่อเดือน (2) ขยายระบบคลังจ่ายก๊าซ บ้านโรงโป๊ะ โดยการขยายกำลังการจ่ายทั้งทางรถยนต์และรถไฟ ซึ่งจะทำให้สามารถจ่าย LPG ได้ 276,000 ตันต่อเดือน (3) ขยายระบบคลังภูมิภาค ได้แก่ คลังก๊าซบางจาก คลังก๊าซขอนแก่น คลังก๊าซนครสวรรค์ คลังก๊าซสุราษฏร์ธานี และคลังก๊าซสงขลา (4) ขยายระบบขนส่งก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซฯ ไปคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะและคลังก๊าซเขาบ่อยา
2. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ครม. มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน โดยมีกรอบวงเงินการลงทุนเพื่อใช้ในการดำเนินการรวมทั้งสิ้น 48,599 ล้านบาท และแบ่งการลงทุนเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 ลงทุน 20,954 ล้านบาท และระยะที่ 2 ลงทุน 27,645 ล้านบาท
3. ความคืบหน้าในการก่อสร้าง ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ร้อยละ 98.89 และพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2559 โดยมีรายละเอียดของส่วนการขยายคลังก๊าซ ดังนี้ (1) งานขยายคลังก๊าซเขาบ่อยาและท่าเรือ ประกอบด้วย การก่อสร้างท่าเรือ สำหรับการรับก๊าซเพิ่ม 1 ท่า และสำหรับจ่ายก๊าซเพิ่ม
1 ท่า การก่อสร้างถังเก็บก๊าซทรงกลม ขนาด 2,000 ตันเพิ่ม 2 ถัง การก่อสร้างถังเย็นเก็บก๊าซขนาด 25,000 ตันเพิ่ม
2 ถัง การติดตั้งระบบท่อ อุปกรณ์รับก๊าซโปรเพน บิวเทน LPG การติดตั้งเครื่องสูบก๊าซโปรเพนและบิวเทน การติดตั้งชุด BOG compressor และ TR compressor และการติดตั้งเครื่องสูบก๊าซ LPG จากคลังก๊าซเขาบ่อยาไปคลังก๊าซ
บ้านโรงโป๊ะ (2) งานขยายคลังก๊าซบ้านโรงโป๊ะ เป็นการปรับปรุงระบบขนส่งทางรถไฟและจัดซื้อตู้รถไฟ (3) งานขยายคลังก๊าซภูมิภาค ประกอบด้วย คลังปิโตรเลียมขอนแก่น เพิ่มถังเก็บก๊าซทรงกลมขนาด 3,000 ตัน 1 ถัง และขยายลานบรรจุก๊าซเพิ่ม 4 ช่องจ่าย คลังปิโตรเลียมขอนแก่นขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง คลังปิโตรเลียมนครสวรรค์ ขยายลานบรรจุก๊าซเพิ่ม 2 ช่องจ่าย และขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง คลังปิโตรเลียมสุราษฎร์ธานี เพิ่มถังเก็บก๊าซทรงกลมขนาด 3,000 ตัน 1 ถัง และขนาด 1,000 ตัน 1 ถัง และขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง และคลังปิโตรเลียมสงขลา เพิ่มถังเก็บก๊าซทรงกลมขนาด 2,000 ตัน 1 ถัง ขยายลานบรรจุก๊าซเพิ่ม 1 ช่องจ่าย ขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง และติดตั้ง Marine Loading Arm เพิ่ม 1 ชุด
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันประเทศไทยมีความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านใน 2 รูปแบบ ได้แก่
(1) การซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการที่พัฒนาขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าผ่านสายส่งเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เพื่อร่วมมือในการพัฒนาด้านพลังงานไฟฟ้ากับประเทศนั้นๆ และขายไฟฟ้าให้กับประเทศไทย ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) 7,000 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีน 3,000 เมกะวัตต์ และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และราชอาณาจักรกัมพูชา ไม่ระบุปริมาณรับซื้อไฟฟ้า และ (2) การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศผ่านการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากำลังระหว่างสองประเทศ (Grid to Grid) ปัจจุบันมีการแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (ฟฟล.) ซึ่งเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าแบบ Non-Firm นอกจากนี้ยังมีการขายพลังงานไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้ากัมพูชาเป็นปริมาณมากผ่านการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า จากสถานีไฟฟ้าแรงสูงวัฒนานครของ กฟผ. เข้าไปยังเมืองบันเตียนเมียนเจย (ศรีโสภณ) พระตะบอง และเสียมราฐ
2. สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้ (1) การซื้อขายไฟฟ้าฯ ปัจจุบัน กฟผ. ได้มีการตกลงซื้อขายไฟฟ้ากับผู้พัฒนาโครงการ กำลังผลิตรวม 5,421 เมกะวัตต์ และ (2) การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าฯ ปัจจุบัน กฟผ. ได้มีการแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า ทั้งสิ้นจำนวน 5 จุด และ กฟภ.
มีจำนวนจุดซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศ ทั้งสิ้น 21 จุด (3) โครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาการรับซื้อไฟฟ้า
ซึ่งคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้มอบหมายให้ กฟผ. ไปดำเนินการเจรจาในรายละเอียดกับผู้พัฒนาโครงการ และให้นำผลการเจรจามารายงานและเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และ (4) โครงการที่มีศักยภาพ มีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ในการพัฒนาโครงการต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้ (1) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แก่ โครงการเซนาคาม โครงการเซกอง 4 โครงการเซกอง 5 และโครงการน้ำกง 1 กำลังผลิต 660 240 330 และ 75เมกะวัตต์ ตามลำดับ (2) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้แก่ โครงการมายตง โครงการมายกก โครงการเชียงตุง โครงการทะนินทะยี และโครงการมะริด กำลังผลิต 6,300 390 200-600 600 และ 1,200-2,000 เมกะวัตต์ ตามลำดับ และ
(3) ราชอาณาจักรกัมพูชา ได้แก่ โครงการสตึงมนัม กำลังผลิต 94 เมกะวัตต์
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ความก้าวหน้า Roadmap การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 กบง. ได้เห็นชอบในหลักการ เรื่อง Roadmap การดำเนินการเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG โดยมีแผนยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมการแข่งขันให้มีผู้นำเข้ามากกว่าหนึ่งราย มีขั้นตอนการดำเนินการเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการให้ผู้ค้าก๊าซ LPG รายอื่นนำเข้าระยะที่ 2 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้าให้ผู้ประกอบการรายอื่น (นอกเหนือจาก ปตท.) ด้วยระบบโควต้า โดยใช้ราคานำเข้าที่ CP+85 เหรียญสหรัฐต่อตันระยะที่ 3 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้าให้ผู้ประกอบการรายอื่น (นอกเหนือจาก ปตท.) ด้วยระบบโควต้า โดยใช้ราคานำเข้าที่ CP+X เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่ง X เป็นสูตรคงที่อ้างอิงกับดัชนีที่เหมาะสม สะท้อนต้นทุนการขนส่งและจัดหาซึ่งปรับตามตลาดโลกระยะที่ 4 เปิดการประมูลการนำเข้าก๊าซ LPG เมื่อมีผู้ค้ามาตรา 7 สามารถนำเข้าได้มากกว่าหนึ่งราย และประสงค์จะนำเข้ามากกว่าปริมาณนำเข้าที่ประเทศต้องการ
2. ดำเนินการยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งแล้วเสร็จ ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นที่ 2 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) ยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งทุกคลังทั่วประเทศ (2) ยกเลิกประกาศ กบง. ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 ฉบับที่ 20 พ.ศ. 2551 และฉบับที่ 91 พ.ศ. 2551 (3) กำหนดบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการกำกับดูแลราคา ณ คลังภูมิภาค สำหรับให้กระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นข้อมูลควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG
3. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 บริษัท พี เอ พี แก๊สแอนด์ออยล์ จำกัด ได้จัดทำหนังสือถึงกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อขอนำเข้าก๊าซ LPG มาจำหน่ายในประเทศปริมาณ 2,000 ตันต่อเดือน ตลอดปี 2559 ต่อมา
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2559 ธพ. แจ้งให้นำเข้าก๊าซ LPG ได้ในปริมาณ 2,000 ตันต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน
โดยเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 แต่ทั้งนี้ บริษัท พี เอ พี แก๊สแอนด์ออยล์ จำกัด ไม่สามารถดำเนินการนำเข้า
ตามแผนที่วางไว้ได้
4. เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2559 บริษัทสยามแก๊สฯ แอนด์ ปิโตรเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อขอนำเข้าก๊าซ LPG เป็นเวลา 3 เดือน โดยในแต่ละเดือนประสงค์จะนำเข้ามาในปริมาณเที่ยวละ 22,000 ตันจำนวนสองเที่ยว โดยจะเริ่มนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป แต่ ธพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้ชะลอคำขอการนำเข้าออกไปก่อน เนื่องจากต้องรอการพิจารณาอัตราค่าบริการและกฎระเบียบการใช้คลังก๊าซนำเข้าเขาบ่อยาที่เหมาะสม นอกจากนั้น ธพ. ได้มอบหมายให้ ปตท. นำเข้าก๊าซ LPG ในปี 2559 โดย ปตท. ได้ทำสัญญาระยะยาวในการซื้อก๊าซ LPG ก่อนที่ กบง. จะมีมติเห็นชอบเปิดเสรีให้มีการนำเข้ามากกว่าหนึ่งราย รวมถึงความต้องการใช้ก๊าซ LPG ของประเทศที่ลดลง ส่งผลให้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2559 นี้ เหลือปริมาณการนำเข้าที่สามารถนำมาประมูลได้ไม่เกินสองลำเรือขนาดลำละ 44,000 ตัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ความก้าวหน้าการรับฟังข้อคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 กบง. ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีการศึกษาแนวทางในการปฏิรูปบทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการประชุม
เพื่อร่วมพิจารณายกร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... จำนวน 4 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 -กุมภาพันธ์ 2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559 กบง. ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ โดยให้นำข้อสังเกตุของ กบง. ไปปรับปรุงให้เรียบร้อยก่อนและให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณา ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 กพช. ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ต่อไป
2. เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2559 สนพ. ได้ดำเนินการจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติฯ โดยได้เชิญหน่วยงานจากภาครัฐ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชน ที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมสัมมนารับฟังความคิดเห็น โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาจำนวนประมาณ 130 คน นอกจากนี้ สนพ. ยังได้นำร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว เผยแพร่ทางเว็บไซด์ของ สนพ. ตั้งแต่วันทื่ 14 มีนาคม 2559 – 28 มีนาคม 2559 และจัดพิมพ์เผยแพร่ให้แก่ผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็น เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ซึ่งปัจจุบันมีองค์กรต่างๆ ได้นำเสนอความเห็นเพิ่มเติม ได้แก่ สภาอุตสาหกรรม กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน สำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ
3. จากการเปิดรับฟังความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฯ จากช่องทางต่างๆ สามารถสรุปประเด็นหลักๆ ได้ ดังนี้ (1) ควรเพิ่มหลักการและเหตุผลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (2) ควรเพิ่มนิยามคำว่า วิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ชัดเจน (3) ในวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐานมีทั้งส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วยขอให้ดำเนินการโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน (4) ในนิยามคำว่าโรงกลั่นน้ำมัน ไม่ควรรวมโรงอะโรเมติก และโรงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและสารละลาย มีทั้งส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วย เห็นว่าจะทำให้เกิดการเพิ่มต้นทุนและลดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัทปิโตรเคมีขนาดกลาง (5) การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุน หรือการจ่ายชดเชย ควรดำเนินการเฉพาะน้ำมันที่จำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น ไม่ควรรวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เองในขบวนการผลิต และที่ใช้เป็นวัตถุดิบ เนื่องจากอยู่ในกระบวนการผลิต และ (6) กองทุนควรมีมาตรการป้องกันการแทรกแซงจากภาคการเมือง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 17 - วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2559 (ครั้งที่ 17)
เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
2.รายงานความเคลื่อนไหวราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ
3.ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ...
4.โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2559
5.แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 มีมติเห็นชอบแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558-2579 (Gas Plan 2015) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้มีการทบทวนแผนฯเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของแแผนฯอย่างมีนัยสำคัญ และให้หน่อยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนฯต่อ กบง. ทุก 3 เดือน และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนฯ ตามมติ กพช. ดังกล่าว
2.การจัดทำแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan 2015) ให้รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ให้มีเพียงพอในอนาคต ได้ กำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน 4 ด้านสำคัญ คือ (1) ลดการใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งมีต้นทุน สูงขึ้นรวดเร็วจากการนำเข้า LNG (2) ยืดอายุแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติโดยกระตุ้นการสำรวจและพัฒนา แหล่งในประเทศและการใช้เทคโนโลยี เพื่อรักษาระดับการจัดหาให้ยาวนานขึ้น (3) การหาแหล่งและการบริหาร จัดการ LNG ที่มีประสิทธิภาพ และ (4) มีโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางด้านการแข่งขัน ทั้งทางกายภาพ และกติกา ที่สอดรับกับแผนจัดหา รวมทั้งวางกรอบแนวทางการจัดหาและบริหารจัดการ LNG ในอนาคตให้เกิดการแข่งขัน และเพื่อให้สอดคล้องกับแผน PDP 2015 จึงได้จัดทำคาดการณ์การใช้และการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว ภายใต้ แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 – 2579 ใน 3 กรณี คือ (1) กรณีฐาน – คาดว่าความต้องการใช้
ก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (2) กรณีคิดความเสี่ยงด้านความต้องการใช้จากการชะลอโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน และความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผน AEDP และ EEDP ทำได้ 70% และ (3) กรณีสัมปทานที่จะสิ้นสุดอายุในปี 2565 และ 2566 ผลิตไม่ต่อเนื่อง
3.แผนดำเนินงานเพื่อรองรับแผนการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติระยะยาว จะดำเนินการใน 4 ด้าน คือ
3.1 ลดการใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งมีต้นทุนสูงขึ้นรวดเร็วจากการนำเข้า LNG โดย (1) ส่งสัญญาณ
ของราคา รวมถึงการปรับ Pool Pricing เพื่อให้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายใหม่ๆ พิจารณาต้นทุนเศรษฐศาสตร์
ของโครงการจากราคาก๊าซธรรมชาติที่อิงกับราคาก๊าซ LNG (2) ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากการกระจายเชื้อเพลิงตามแผน PDP 2015 ลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า โดยดำเนินการพัฒนาโรงไฟฟ้า
ตามแผน PDP 2015 (3) เร่งมาตรการประหยัดพลังงานของก๊าซธรรมชาติเพื่ออุตสาหกรรมตามแผน EEP 2015 และ (4) ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) สำหรับรถยนต์ขนส่งสาธารณะและรถบรรทุก
3.2 รักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศให้ยาวนานขึ้น โดยกระตุ้นการสำรวจและพัฒนาแหล่งในประเทศและการใช้เทคโนโลยี โดย (1) เปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ เพื่อสำรวจหาปิโตรเลียมอย่างต่อเนื่อง (2) บริหารจัดการสัญญาสัมปทานที่จะสิ้นสุด เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้คงที่อย่างต่อเนื่อง และ (3) บริหารจัดการแหล่งก๊าซในอ่าวไทย ในระยะสั้นจะจัดทำแผนการลดปริมาณ Bypass Gas ที่โรงแยกก๊าซเพื่อช่วยยืดอายุแหล่งผลิตแหล่งในประเทศและใช้ประโยชน์ก๊าซจากอ่าวไทยให้ได้ประโยชน์สูงสุด และ (4) พิจารณาพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน
3.3 การหาแหล่งและการบริหารจัดการ LNG ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ (1) เพิ่มจำนวนผู้จัดหาและจำหน่ายเพื่อสร้างการแข่งขันภายในประเทศ (2) เสริมสร้างความร่วมมือในการจัดหาก๊าซธรรมชาติระดับ AEC ผ่านทาง ASCOPE รวมทั้งพิจารณาจัดตั้ง AEC LNG Buyer Club และ (3) จัดตั้งสำนัก LNG เพื่อสนับสนุน และดูแลความเสี่ยงการจัดหา รวมถึงการจัดสร้างฐานข้อมูล และเครื่องมือการวิเคราะห์ในระยะ 20 ปีข้างหน้า รวมทั้งแนวนโยบายส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในด้านการจัดหา LNG ส่งผลให้จำนวนผู้จัดหาและผู้จำหน่ายเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงต้องมีแนวทางกำกับด้านการจัดหาและบริหารจัดการ LNG ที่เหมาะสม
3.4 มีโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางด้านการแข่งขันทั้งทางกายภาพ (โครงข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติและท่าเรือรับ LNG) และกติกาที่สอดรับกับแผนจัดหา (Third Party Access, TPA) เพื่อให้สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติเพียงพอต่อความต้องการใช้ในอนาคต
ทั้งนี้ การดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 – 2579 Gas Plan 2015 จะมีโครงการ/กิจกรรม ที่คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายใน ปี 2559 – 2560 ดังนี้ (1) การคาดการณ์ความต้องการใช้ก๊าซปี 59 เพื่อติดตามการใช้ก๊าซให้เป็นไปตามแนวแนวทางการชะลอการเติบโตของความต้องการใช้ก๊าซ (2) การบริหารจัดการแปลงสัมปทานที่จะหมดอายุ ในปี 2565-2566 เพื่อให้การผลิตก๊าซธรรมชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง (3) การเปิดให้ยื่นขอสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ (4) การบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวให้มีประสิทธิภาพ ลดก๊าซจากอ่าวที่ไม่ผ่านโรงแยกฯ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (5) การศึกษาแนวทางการกำกับดูแลด้าน LNG เพื่อให้มีแนวทางการบริหารจัดการและกำกับดูแล LNG อย่างเหมาะสม และสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในธุรกิจ LNG และ (6) LNG Terminal
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความเคลื่อนไหวราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล โดยให้ใช้ราคาเอทานอลอ้างอิงจากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุด ระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตรายงานต่อกรมสรรพสามิตกับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการ ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
2.สถานการณ์ราคาเอทานอลปัจจุบัน มีรายละเอียดดังนี้ (1) ราคาเอทานอลรายงานจากกรมสรรพสามิต อยู่ที่ 22.94 บาทต่อลิตร (2) ข้อมูลราคาเอทานอลรายงานจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 อยู่ที่ 23.82 บาทต่อลิตร (3) ราคาเอทานอลอ้างอิงจากการนำเข้าจากประเทศบราซิล อยู่ที่ 22.35 บาทต่อลิตร (4) ราคาเอทานอล คำนวณจากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 22.08 บาทต่อลิตร โดยพิจารณาราคากากน้ำตาล 3.95 บาทต่อกิโลกรัม และราคามันสดที่ 2.05 บาทต่อกิโลกรัม ราคาเอทานอลอ้างอิงในเดือนมีนาคม 2559 อยู่ที่ 22.94 บาทต่อลิตร
3.ราคาไบโอดีเซลที่ใช้ในสูตรการคำนวณจะใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก(เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 ราคาไบโอดีเซลปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาผลปาล์มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงปิดฤดูกาลโดยในเดือนมกราคม 2559 ผลปาล์มทะลายเฉลี่ยขึ้นไปถึง 5.40 บาทต่อกิโลกรัม และ CPOเฉลี่ยจากกรมการค้าภายในปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 29.63 บาทต่อกิโลกรัม จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ราคาไบโอดีเซลเริ่มจะลดลง เนื่องจากผลปาล์มเริ่มเปิดฤดูกาล โดยราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 2559 ลิตรละ 31.76 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนลิตรละ 1.20 บาท และสต๊อค CPO เดือน มกราคม 2559 มีปริมาณ 260,856 ตัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 กบง. ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และได้มีมติมอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และนำเสนอต่อที่ประชุม กบง. ในการประชุมวันที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอ กพช. ต่อไป
2. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการปรับร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามมติที่ประชุม กบง. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 ดังนี้ (1) วัตถุประสงค์ข้อ (1) (2) (3) (5) และ (6) ยังคงเหมือนเดิม แต่เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้นจึงได้เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ข้อ (4) ลงทุนการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ สำหรับสนับสนุนการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำมาใช้ในกรณีวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อประโยชน์ความมั่นคงทางด้านพลังงาน (2) องค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับเปลี่ยน ประธานกรรมการจากปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยตัดผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และปรับลดจำนวนผู้ทรงคุณวุฒิจากจำนวน 5 คน เป็นจำนวน 4 คน และ (3) โอนอำนาจหน้าที่ของ กบง. ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงมาอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตาม พ.ร.บ. นี้
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นำร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2559
สรุปสาระสำคัญ
1.กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนมีนาคม 2559 อยู่ที่ 302 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 35.7695 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.5566 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.0480 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.7306 บาทต่อกิโลกรัม (377.9808 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 13.6826 บาทต่อกิโลกรัม (382.5221 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2.เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,188 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับลดการชดเชยกองทุนน้ำมันฯลง 0.0480 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.4116 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายประมาณ 130 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.3636 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 5 แนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สรุปสาระสำคัญ
1.เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบ Adder เป็น Feed-in Tariff (FiT) และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานรับไปดำเนินการตามแนวทาง ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศว่าด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (ไม่รวมพลังงานแสงอาทิตย์) ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากแบบ Adder เป็น FiT พ.ศ. 2558 (ประกาศ กกพ.) และประกาศ กกพ. (เพิ่มเติม) เพื่อดำเนินการตามมติ กพช. ดังกล่าว
2.สมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลและเครือข่าย (สมาคมฯ) ได้ร้องเรียนต่อประธาน กพช. ถึงความไม่เป็นธรรมจากมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่มีมติให้ปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder เป็นรูปแบบ FiT ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดเล็กมาก (VSPP) กลุ่มที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว ในรูปแบบ Adder เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเปลี่ยนเป็น FiT ได้ โดยสมาคมฯ มีข้อเสนอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ โดยการให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากที่ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลทุกรายที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบ Adder มีสิทธิเปลี่ยนเป็นแบบ FiT และได้รับอัตรา FiT ตามตาราง (FiT+FiT Premium)
3.ต่อมา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ กบง. รับข้อเสนอของสมาคมฯ ไปศึกษาข้อเท็จจริง ตลอดจนชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนและข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ได้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน และเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2558 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล (คณะอนุกรรมการฯ) เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอของสมาคมโรงไฟฟ้าชีวมวลดังกล่าว
4.คณะอนุกรรมการฯ ได้ประชุมเพื่อจัดทำข้อสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยมีการประชุมรวม 6 ครั้ง ในระหว่างวันที่ 20 มกราคม 2559 – 23 กุมภาพันธ์ 2559 โดยมีข้อสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาฯ ดังนี้ (1) มติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการกลุ่มที่จะอยู่ในระบบ Adder ตามเดิม โดยพิจารณาตามหลักปฏิบัติตามสัญญา (2) การดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลปัจจุบันกำลังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนการดำเนินการและค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (3) แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม ประกอบด้วย อาทิ 1) ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) สามารถเลือกที่จะอยู่ในรูปแบบ Adder อย่างเดิมต่อไปได้ตามเงื่อนไขเดิม หรือ 2) สามารถเลือกที่จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT (FiT+FiT Premium) ได้ โดยมีเงื่อนไข เช่น ได้รับอัตรา FiT และ FiT Premium ตามที่ กพช. ได้มีมติไว้ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 และมีอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าคงเหลือในรูปแบบ FiT เท่ากับอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กำหนดไว้ 20 ปี หักลดด้วยระยะเวลาที่ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ไปแล้วและหักลดระยะเวลาการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 3 ปี เป็นต้น
5.เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวลในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ จึงเห็นควรมอบหมายให้ กกพ. ในฐานะผู้กำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เป็นผู้จัดทำระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องรองรับการเปลี่ยนรูปแบบจาก Adder เป็น FiT ตามแนวทางของคณะอนุกรรมการฯ พร้อมทั้งให้กำหนดช่วงเวลาที่จะดำเนินการปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบ FiT ให้ชัดเจน หากพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าว สิทธิในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายไฟฟ้าเป็นอันสิ้นสุดไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อีก รวมทั้งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการกับ VSPP ภายหลังสิ้นสุดอายุสัญญาว่า ในอนาคตการต่อหรือไม่ต่อสัญญา VSPP ภาครัฐควรพิจารณาในกรอบผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ โดยมีทางเลือกในการดำเนินการ ดังนี้ (1) ไม่ต่ออายุสัญญาและยุติการดำเนินโครงการ หรือ (2) ต่ออายุสัญญา โดยให้โครงการขายไฟฟ้าในอัตราที่ไม่มากกว่าอัตราดังต่อไปนี้
1) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลประเภท VSPP ในรูปแบบ FiT ณ ช่วงเวลาดังกล่าว2) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลประเภท VSPP ในรูปแบบ Adder ณ ช่วงเวลาดังกล่าว 3) อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ย ณ ช่วงเวลาดังกล่าว เพื่ิอประโยชน์สูงสุดของภาครัฐ
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำแนวทางในการพิจารณาจำนวน 3 แนวทาง ดังนี้ (1) ตามข้อสรุป
ของคณะอนุกรรมการฯ สามารถเลือกเปลี่ยนจาก Adder เป็น FiT(สัญญาลด 3 ปี) (2) ให้ยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่เกี่ยวกับช่วงการเปลี่ยนผ่าน (กลุ่ม 2 เฉพาะเชื้อเพลิงชีวมวล) ให้เปลี่ยนกลับมาเป็นระบบ Adder ทั้งหมดและ (3) ให้รอผลคำตัดสินของศาล และดำเนินการ
ตามแนวทางคำตัดสิน และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
กบง. ครั้งที่ 15 - วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2559 (ครั้งที่ 15)
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นตอนที่ 2
4. หลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบ แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558- 2579 (Oil Plan 2015) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ พร้อมทั้ง ได้เสนอแนะว่าควรมีการทบทวนแผนฯ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของแผนฯ อย่างมีนัยสำคัญ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนฯ ต่อ กบง. ทุก 3 เดือน และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนฯ ตามมติ กพช. ดังกล่าว
2. การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการบูรณาการระหว่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558 - 2579 กับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 โดยเริ่มกระบวนการจัดทำแผนจากการพยากรณ์ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเดียวกับแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยจะมีการประเมินความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีฐาน (Business as Usual: BAU) ว่าในปี 2579 จะมีความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง 65,459 ktoe โดยตามแผนได้กำหนดแนวทางมาตรการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่งแบ่งแนวทางดำเนินการออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) กำกับราคาเชื้อเพลิงในภาคขนส่งให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง (2) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในยานยนต์ (3) ส่งเสริมการบริหารจัดการการใช้รถบรรทุกและรถโดยสาร และ (4) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง
3. จากการพยากรณ์ข้อมูลปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของปี 2569 และ 2579 พบว่า ความต้องการพลังงานในกรณีปกติ (Business-asusual : BAU) ของสาขาขนส่งจะอยู่ที่ 44,937 และ 65,459 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และรวมทุกสาขาจะอยู่ที่ 56,985 และ 79,338 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ แต่ทั้งนี้หากมีแผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan : EER 100%) ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของปี 2569 และ 2579 ของสาขาขนส่งจะอยู่ที่ 29,602 และ 35,246 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และรวมทุกสาขาจะอยู่ที่ 41,650 และ 49,125 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ จากข้อมูลดังกล่าวกรมธุรกิจพลังงานจึงได้นำมาบริหารจัดการ โดยกำหนดเป็นหลักการจัดทำแผน 5 หลักการ ดังนี้ (1) สนับสนุนมาตรการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558 - 2579 (Energy Efficiency Plan: EEP 2015) (2) บริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม (3) ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม (4) ผลักดันการใช้เชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 (Alternative Energy Development Plan: AEDP2015) และ (5) สนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
รับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นตอนที่ 2
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและ แหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้มีการทบทวนต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) ต้นทุนจากโรงแยกฯ เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2559 ลดลง 0.3079 บาทต่อกิโลกรัม จาก 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.4542 บาทต่อกิโลกรัม (2) คงต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก อ้างอิงราคาตลาดโลกที่ CP-20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากเป็นต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงฯ เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 10.0623. บาทต่อกิโลกรัม (3) คงต้นทุนก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ CP + 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 13.8766 บาทต่อกิโลกรัม และ (4) ต้นทุนบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2559 อยู่ที่ 15.30 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 297 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนมกราคม 2559 จำนวน 66 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือน กุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 36.3261 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมกราคม 2559 จำนวน 0.15 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 1.2244 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 14.9550 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 13.7306 บาทต่อกิโลกรัม
2. กบง. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ เรื่อง Roadmap การดำเนินการ เพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในขั้นต้นเป็นการส่งเสริมการแข่งขันให้เกิดขึ้นในส่วนของการนำเข้า โดยเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่าหนึ่งรายนอกเหนือไปจาก ปตท. ซึ่งการดำเนินการในระยะที่ 1 คือ ลดอุปสรรคของการนำเข้า ก๊าซ LPG ที่ผู้ประกอบการรายอื่นเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วยมาตรการ ดังนี้ (1) เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่ล่าช้า (2) มอบหมายให้ ปตท. เปิดบริการโครงสร้างพื้นฐาน LPG (ท่าเรือนำเข้า คลัง ท่อ) แก่ผู้นำเข้ารายอื่น (3) ยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม Roadmap การดำเนินการเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในระยะที่ 1 ตามมติ กบง. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค ดังนี้ (1) ปรับลดการชดเชยค่าขนส่ง ในเดือนที่ราคาก๊าซ LPG Pool หรือราคา ณ โรงกลั่นซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นปรับตัวลดลง และ (2) มีบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG เพื่อใช้ในการกำกับ ติดตามและดูแลราคาก๊าซ LPG ในพื้นที่ต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ปรับตัวลดลง 1.2244 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ลง 0.6447 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.2331 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.4116 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 2 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.29 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 30 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 157 ล้านบาทต่อเดือน (ไม่มีการชดเชย ค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาคแล้ว) และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม Roadmap ในระยะที่ 1 ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ LPG อิงตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซ ไปยังคลังก๊าซต่างๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยกำหนดให้ค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ ลำปาง ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และสงขลา อยู่ที่ 1.0100 2.0100 1.4030 0.3357 และ 0.3561 บาทต่อกิโลกรัม โดยหลังยกเลิกการชดเชยค่าขนส่ง ยังคงควบคุมให้ราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซภูมิภาคในแต่ละพื้นที่ เพิ่มขึ้นจากเดิมได้ไม่เกินไปกว่าอัตราค่าขนส่งที่ระบุไว้ในบัญชีค่าขนส่ง ต่อไปอีกเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งหากปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ลง 0.6447 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไม่ปรับตัวสูงขึ้นหลังยกเลิกการชดเชยค่าขนส่ง โดยในพื้นที่ที่ไม่มีการชดเชยค่าขนส่ง ราคาขายปลีกจะลดลง 2.00 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.29 บาท ต่อกิโลกรัม (หรือ 30 บาท/ถัง 15 กก.) ส่วนในพื้นที่ที่เคยได้รับการชดเชย ราคาขายปลีกจะปรับลงลดหลั่นกันไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
1.1 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 15.4542 บาทต่อกิโลกรัม1.2 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน1.3 กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน1.4 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 15.30 บาทต่อกิโลกรัมโดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.4116 บาท
3. เห็นชอบยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งทุกคลังทั่วประเทศ
4 เห็นชอบยกเลิกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
4.1 ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ลงวันที่ 18 สิงหาคม 25464.2 ฉบับที่ 20 พ.ศ. 2551 เรื่อง การกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 31 มกราคม 25514.3 ฉบับที่ 91 พ.ศ. 2551 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551
5. เห็นชอบบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังต่างๆ เพื่อประกอบการกำกับดูแลราคา ณ คลังภูมิภาค เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นข้อมูลควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG ดังนี้
คลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ กิโลกรัมละ 1.0100 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดลำปาง กิโลกรัมละ 2.0100 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดขอนแก่น กิโลกรัมละ 1.4030 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี กิโลกรัมละ 0.3357 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดสงขลา กิโลกรัมละ 0.3561 บาท
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันสูตรที่กระทรวงพลังงานใช้ในการคำนวณราคาเอทานอลมาจากมติ กบง. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ที่ได้เห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล โดยให้ใช้ราคา เอทานอลอ้างอิงจากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุด ระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตรายงานต่อกรมสรรพสามิตกับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการ ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
2. ราคาเอทานอลเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 22.90 บาทต่อลิตร เป็นราคาจากกรมสรรพสามิต ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีต่างๆ ที่เคยใช้คิดสูตรราคาของทางกระทรวงพลังงานพบว่าใกล้เคียงกันไม่ว่าวิธีไหน โดยหากคิด Cost Plus ต้นทุนกลับไปเมื่อคิดแล้ววัตถุดิบราคาเอทานอลจากมันสำปะหลัง 22.64 บาทต่อลิตร คิดเป็นราคามันสดที่ 2.35 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ (2.24 บาทต่อกิโลกรัม) และราคาเอทานอลจากกากน้ำตาล 23.03 บาทต่อลิตร คิดเป็นราคากากน้ำตาล 4.05 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาส่งออกน้ำตาลของทางศุลกากร (4.01 บาทต่อกิโลกรัม) โดยข้อมูลราคาเอทานอลของผู้ค้าน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 23.82 บาทต่อลิตร และราคาที่ประเทศบราซิลอยู่ที่ประมาณ 18.35 บาทต่อลิตร รวมค่าขนส่งมาถึงประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 22.35 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากราคาเอทานอลมากที่สุด ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ติดตาม และตรวจสอบ และมอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการวิจัยพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง ตลอดจนวิธีการปลูก และดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่สูงสุดต่อไป
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ติดตาม และตรวจสอบ เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากราคาเอทานอลมากที่สุดและมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการวิจัยพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง ตลอดจนวิธีการปลูก และดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่สูงสุดต่อไป
เรื่อง หลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และวันที่ 27 มกราคม 2559 คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้า จากขยะอุตสาหกรรมได้ประชุม เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การคัดเลือก กำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม และพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม โดยมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ ดังนี้ (1) ผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมต้องตั้งโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม ตาม พ.ร.บ. การนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 หรือเขตประกอบการอุตสาหกรรม ตามมาตรา 30 ของ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 (2) สามารถนำขยะอุตสาหกรรมจากนิคมอุตสาหกรรมอื่นหรือจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม เข้ามากำจัดร่วมได้โดยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่ (3) นิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งโครงการต้องสามารถเชื่อมโยงระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าตามศักยภาพของระบบไฟฟ้า (4) สำหรับโครงการที่มีการกำจัดกากขยะอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายเป็นสิ่งปฏิกูลและวัสดุไม่ใช้แล้ว ต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ภายใน 12 เดือนนับจากวันตอบรับซื้อ (5) ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจะต้องเสนอรายละเอียดเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในโครงการ โดยต้องเป็นเทคโนโลยีที่สามารถจัดการขยะอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและควบคุมมลพิษที่เกิดขึ้นได้ (6) หลังจากเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ หากมีผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนยื่นเสนอ เกินกำลังการผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ ให้พิจารณาคัดเลือกตามความพร้อม โดยเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ รวมทั้งมีขอบเขตระยะเวลาในการก่อสร้างภายในปี 2562 และ (7) สำหรับประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริมมีดังนี้ 1) ขยะอุตสาหกรรม ตามคำนิยามของ “ขยะหรือกากอุตสาหกรรม” ทั้งที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย และ 2) ห้ามนำขยะชุมชนเข้ามากำจัดรวมในโครงการยกเว้นของเสียอันตรายจากชุมชน
2. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 กพช. ได้เห็นชอบให้การรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงจากขยะและพลังงานน้ำขนาดเล็ก ให้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแข่งขันด้านราคา (Competitive Bidding) โดยให้ กกพ. เร่งดำเนินการออกประกาศรับซื้อและคัดเลือกโครงการไฟฟ้าจากขยะ (ชุมชนและอุตสาหกรรม) ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ เห็นควรเสนอให้ปรับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม ตามคำสั่ง กบง. ที่ 5/2558 ในข้อ (1) “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” โดยปรับเป็น “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกสำหรับพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” เพื่อให้สอดคล้องกับมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ที่ระบุให้ กกพ. เป็นผู้คัดเลือกโครงการโรงไฟฟ้าจากขย
มติของที่ประชุม
2.1 รับทราบผลการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม รวมทั้งประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม
2.2 ให้ปรับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมตามคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานที่ 5/2558 ในข้อ (1) “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” โดยปรับเป็น “ออกหลักเกณฑ์ การคัดเลือกสำหรับพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” เพื่อให้ กกพ. นำหลักเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมกำหนด ไปใช้ประกอบในการออกประกาศรับซื้อและพิจารณาคัดเลือกโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมต่อไป
กบง. ครั้งที่ 14 - วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2559 (ครั้งที่ 14)
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.00 น.
1. รายงานความก้าวหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
2. ความก้าวหน้าโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน
3. Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
4. Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
5. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับปริมาณการใช้ ก๊าซ LPG ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยการดำเนินการระยะยาวได้มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการขยายระบบคลัง ท่าเรือนำเข้า และระบบคลังจ่ายก๊าซ ดังนี้ 1) ขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าเขาบ่อยา 2) ขยายระบบคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะ 3) ขยายระบบคลังภูมิภาค และ 4) ขยายระบบขนส่งก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซฯ ไปคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะและคลังก๊าซเขาบ่อยา
2. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ครม. มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทน การลงทุน ตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ โดยอยู่ในกรอบวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 48,599 ล้านบาท แบ่งเป็น ระยะที่ 1 ลงทุน 20,954 ล้านบาท และระยะที่ 2 ลงทุน 27,645 ล้านบาท
3. ความคืบหน้าในการก่อสร้าง ณ เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ร้อยละ 97.66 โดยพร้อมที่จะเริ่มการดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2559 โดยมีรายละเอียดดังนี้ (1) งานขยายคลังและท่าเรือนำเข้า ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งประกอบด้วยการสร้างถังเย็น และ ท่าเรือ เพื่อรองรับการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นปัจจุบันการก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ 98 (2) งานขยายคลังก๊าซบ้านโรงโป๊ะ จังหวัดชลบุรีประกอบด้วยงานปรับปรุง ระบบขนส่งทางรถไฟ และงานจัดซื้อตู้รถไฟ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับการรถไฟฯ (3) งานขยายคลังก๊าซภูมิภาค จำนวน 4 คลัง เสร็จสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย คลังปิโตรเลียมขอนแก่น นครสวรรค์ สงขลา และสุราษฎร์ธานี (4) งานศึกษา Conceptual / LPG Optimization ได้ศึกษาเสร็จสิ้น และ (5) งานTechnical Assessment ได้ศึกษาเสร็จสิ้น
4. ความคืบหน้าในการพิจารณาการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 กพช. ได้มอบหมายให้ กบง. พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทน การลงทุนตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ กบง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้มีการประชุมหารือกับ ปตท. เกี่ยวกับรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ (1) ผลตอบแทนการลงทุน (2) เงินลงทุนรวม (3) ระยะเวลาโครงการ (4) ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย ค่าบริหาร/ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย อัตราเงินเฟ้อ ค่าสาธารณูปโภค (5) ปริมาณการใช้ก๊าซ LPG (6) ค่าเสื่อมราคา (7) อัตราภาษี และ (8) วิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน
มติของที่ประชุม
รับทราบ
เรื่อง ความก้าวหน้าโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ครม. ได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 โดยมอบหมายให้ กบง. พิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร รวมทั้งอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ให้ สนพ. ดำเนินงานโครงการจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ฯ และครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่ง สนพ. ได้จัดทำ “โครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน” โดยจัดจ้างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) เป็นที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการฯ
2. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 ครม. ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยครัวเรือนรายได้น้อยช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน และร้านค้า หาบเร่ฯ ช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน
3. โครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ ดังนี้ (1) จำนวนผู้มีสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด 7,932,695 สิทธิ์ แบ่งเป็นครัวเรือนรายได้น้อย 7,569,867 สิทธิ์ และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร 362,828 สิทธิ์ ซึ่งตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ จนถึงปัจจุบัน ได้มีผู้มาขอขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง (2) จำนวนร้านค้าก๊าซ LPG ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีร้านค้าก๊าซ LPG ทั้งหมด 47,417 ร้าน (3) ยอดการใช้สิทธิ์ ตั้งแต่เริ่มโครงการฯ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีการใช้สิทธิ์ซื้อก๊าซ LPG ผ่านระบบ SMS ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 9,979,420 ครั้ง โดยมีปริมาณก๊าซ LPG ที่ช่วยเหลือจำนวนรวม 194 ล้านกิโลกรัม (4) ภาระชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระช่วยเหลือทั้งสิ้น 348 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ปตท. มีภาระช่วยเหลือทั้งสิ้น 609 ล้านบาท และ (5) การชี้แจงและตอบข้อซักถามด้านการให้บริการข้อมูลแก่ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการรับเรื่องร้องเรียนและข้อติชมต่างๆ จะดำเนินการผ่าน www.lpg4u.net และศูนย์บริการร่วมกระทรวงพลังงาน
4. การดำเนินงานในระยะต่อไป บริษัท ปตท. ให้ความอนุเคราะห์รับผิดชอบการดำเนินโครงการฯ ต่อไปอีก 6 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2559 ในวงเงิน 500 ล้านบาท ส่วนผู้ดูแล ประสานงานโครงการฯ และเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมผู้บริหารกระทรวงพลังงานมีความเห็นว่า ควรอยู่ในความดูแลของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) โดย ธพ. ควรเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานและกำกับดูแลโครงการฯ ดังนั้น จึงเห็นควรเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยให้ ธพ. เป็นเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ แทน สนพ.
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการดำเนินงานโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนจนถึงสิ้นปี 2558 และการดำเนินงานโครงการฯในปี 2559
2. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคา ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และเห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบ จากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
เรื่อง Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และ วันที่ 3 เมษายน 2558 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและ แหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบ ถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน
2. การนำเข้าเพื่อใช้ในประเทศ ปัจจุบันมีเพียงบริษัท ปตท. รายเดียวที่นำเข้าก๊าซ LPG ด้วยปริมาณ ที่กำหนดจากกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อสมดุลการจัดหาต่อความต้องการภายในประเทศและป้องกันปัญหา การขาดแคลน การมีผู้นำเข้าเพียงรายเดียวทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน จึงมักเกิดคำถามถึงการผูกขาด ประสิทธิภาพการนำเข้าของ ปตท. เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอขั้นตอนเพื่อเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่า 1 ราย ดังนี้ (1) ระยะที่ 1 ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการให้ผู้ค้าก๊าซรายอื่นนำเข้า เช่น การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่ล่าช้า ความไม่พร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการนำเข้า และมาตรการชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาค (2) ระยะที่ 2 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้า ด้วยราคานำเข้าที่ CP+85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (3) ระยะที่ 3 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้า ด้วยราคานำเข้าที่ CP+X เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และ (4) ระยะที่ 4 เปิดการประมูลการนำเข้าก๊าซ LPG เมื่อมีผู้นำเข้ามากกว่าหนึ่งรายและระบบธุรกิจพร้อมต่อการแข่งขันแล้ว ในระยะต่อไปจะเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในลักษณะเดียวกันกับธุรกิจน้ำมัน
3. หากเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG เลยในขณะนี้ อาจเกิดปัญหา (1) ด้านความมั่นคงด้านการจัดหาในส่วนการนำเข้า และ (2) ราคาตั้งต้นก๊าซ LPG ที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งในทางกลับกันหากดำเนินการตาม roadmap เพื่อเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่า 1 รายก่อนและรอ 1 ปีในการเปิดเสรี ผู้ค้าก๊าซจะมีเวลาในการเตรียมตัวในการเข้าสู่ระบบแข่งขันเสรี และประเทศจะมีความมั่นคงด้านการจัดหาในการนำเข้า LPG
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการตาม Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่อง Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากโครงสร้างราคา NGV ในปัจจุบันยังคงคำนวณตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากการที่ สนพ. ได้ทบทวนต้นทุนภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากการติดตามต้นทุน NGV ของ ปตท. พบว่า ราคาขายปลีก NGV ที่ได้จากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยฯ และต้นทุนของ ปตท. อยู่ที่ 14.32 และ 16.97 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ นอกจากนี้สถาบันวิจัยฯ ได้มีการคิดค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่เป็นส่วนของ ปตท. และส่วนที่เป็นของเอกชน โดยมีการแบ่งสัดส่วนตามปริมาณขายระหว่างสถานีบริการนอกแนวท่อกับสถานีบริการบนแนวท่อในอัตรา 55:45 ซึ่งค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินการสถานีบริการก๊าซ NGV มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายดำเนินการมาคำนวณเฉพาะในส่วนที่เป็นของเอกชนอย่างเดียว โดยใช้สัดส่วนการดำเนินธุรกิจจากสถานีหลักไปสถานีลูกต่อสถานีแนวท่อตามจริงคือ 60:40 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่คำนวณได้ลดลงจากเดิมที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะภาคเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม
2. หลักเกณฑ์การคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบัน ปตท. มีการคิดต้นทุนในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งเป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ NGV ตามที่ สนพ. เสนอ โดยปัจจุบัน ปตท. ได้มีการคิดค่าขนส่งก๊าซ NGV สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ต้นทุนค่าขนส่งฯ จะอยู่ที่ 0.0167 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร แต่ปัจจุบัน สนพ. ได้มีการปรับปรุงต้นทุนค่าขนส่งฯ มาอยู่ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง ดังนั้น หากกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งฯ ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร จะส่งผลให้สถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุด (จังหวัดเชียงราย) มีค่าขนส่งอยู่ที่ 6.67 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมกับราคาก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตรแล้วจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 20.17 บาท ต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าควรให้มีการปรับค่าขนส่งฯจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยใช้อัตราค่าขนส่งฯ ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในพื้นที่ห่างไกลจากแนวท่อสูงเกินไป
3. ตามที่ กบง. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ศึกษาเพิ่มเติมถึงความเป็นได้ ในการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนในส่วนของก๊าซ NGV ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบันได้มีการจัดสรรเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่ได้เห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (Cross Subsidy) ซึ่งต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูป และกลุ่มก๊าซ LPG และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การจัดสรรเงินประเดิมของกองทุนน้ำมันฯ ไม่มีเงินประเดิมในส่วนของก๊าซ NGV จึงไม่มีเงินประเดิมไว้ใช้สำหรับรักษาระดับราคาก๊าซ NGV โดยหากจะให้มีการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ได้จะต้องมีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้สำหรับก๊าซ NGV ซึ่งจะต้องผ่านการเห็นชอบจาก กบง. โดยอาจจะต้องจัดสรรจากเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เป็นส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซ LPG เพราะที่ผ่านมา กบง. ยังไม่เคยมีการประกาศเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากผู้ใช้ ก๊าซ NGV ดังนั้น หากจะต้องมีการชดเชยราคาก๊าซ NGV จะต้องใช้เงินที่มีการจัดสรรไว้แล้วสำหรับน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซ LPG ซึ่งถือเป็นการชดเชยข้ามกลุ่มประเภทเชื้อเพลิง และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
4. เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ แนวทางที่ 1 ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน โดยให้ปรับไปตามประมาณการราคาของเดือนมกราคม 2559 จากเดิมที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.92 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป และตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน แนวทางที่ 2 คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัมต่อไปจนกว่าต้นทุนราคาก๊าซ NGV จะลดลงมาเท่ากับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม จึงจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน และ แนวทางที่ 3 ตั้งแต่ 21 มกราคม 2559 ถึง 15 กรกฎาคม 2559 ขอความร่วมมือ ปตท. กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ยกเลิกเพดานราคาและให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และให้มีการปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน สำหรับแนวทางที่ 1 แนวทางที่ 2 และ แนวทางที่ 3 ขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัมสำหรับในส่วนของราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะต่อไปและปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 บาทต่อเดือนเป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะเดิม ที่ได้รับ 35,000 บาทต่อเดือนเป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอความเห็นชอบการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยขอความร่วมมือ ปตท. ให้คิดค่าขนส่งโดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตรในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร แบบมีเงื่อนไข โดยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยในช่วงเวลาดังกล่าวหากต้นทุนราคา ก๊าซ NGV อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปลงเพื่อให้สะท้อนต้นทุน และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาขายปลีกก๊าซ NGV และในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับในส่วนของราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะต่อไปและปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะเดิมที่ได้รับ 35,000 บาทต่อเดือนเป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป โดยให้ ปตท. ไปหารือร่วมกับ สนพ. ถึงแนวทางการทยอยปรับค่าขนส่งดังกล่าว เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 19 มกราคม 2559 ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 23.80 48.30 และ 33.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา วันที่ 19 มกราคม 2559 อยู่ที่ 36.4505 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 20 มกราคม 2559 อยู่ที่ 32.37 บาทต่อลิตร และราคาเอทานอล ณ เดือนมกราคม 2559 อยู่ที่ 23.82 บาทต่อลิตร
2. จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 มกราคม 2559 อยู่ในระดับต่ำ ดังนี้ 30.06 23.10 22.68 20.74 17.89 และ 19.29 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีการอ้างอิงราคาน้ำมัน ไม่ได้ลดลงตามราคาน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ฝ่ายเลขานุการพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซิน และ น้ำมันแก๊สโซฮอล อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเพื่อให้สามารถปรับภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรดำเนินการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อสะสมไว้สำหรับโอนเป็นภาษีสรรพสามิต ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำ หรือราคาปรับตัวลดลง ซึ่งในขณะนี้สามารถปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้นได้ 0.60 บาทต่อลิตร จาก 6.15 0.05 0.005 และ -0.02 บาทต่อลิตร เป็น 6.75 0.65 0.605 และ 0.58 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 ฝ่ายเลขานุการฯ จะประสานผู้ค้าปรับลดราคาขายปลีกลง 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 1,473 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายจ่าย 322 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 1,152 ล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มกราคม 2559 มีทรัพย์สินรวม 48,574 ล้านบาท หนี้สินรวม 6,349 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 42,225 ล้านบาท โดยแยกเป็นของน้ำมัน 34,944 ล้านบาท และก๊าซ LPG 7,281 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป