กบง.ครั้งที่75 -วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2562 (ครั้งที่ 75)
วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.00 น.
2. การให้ความช่วยเหลือราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ
3. สรุปผลการตรวจสอบการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
4. การขอผ่อนผันนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฝากกระทรวงการคลัง
5. แนวทางการดำเนินการกับกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ระบบ Cogeneration ที่สิ้นสุดอายุสัญญา
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ได้มีมติเห็นชอบ
ขอความร่วมมือให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคา
ขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน (ครัวเรือนรายได้น้อย ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร และอื่นๆ) ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีแนวทางอื่นมาทดแทน ต่อมา กบง. เมื่อวันที่
8 พฤศจิกายน 2561 มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ขอความร่วมมือ ปตท. ให้ขยายเวลาการสนับสนุนโครงการบรรเทาผลกระทบฯ เฉพาะกลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ออกไปอีก 6 เดือน คือ ตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ภายในกรอบวงเงิน 250 ล้านบาท และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอแนวทางช่วยเหลือกลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหารที่เหมาะสม ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป
2. เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 ธพ. ได้มีหนังสือถึง ปตท. เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้ ปตท. ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายโครงการบรรเทาผลกระทบฯ เฉพาะกลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 และต่อมาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ปตท. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน แจ้งมติคณะกรรมการ ปตท. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 เห็นชอบให้ขยายเวลาการสนับสนุนโครงการบรรเทาผลกระทบฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 ภายในกรอบวงเงิน 125 ล้านบาท ทั้งนี้
ความช่วยเหลือของ ปตท. จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2562 ธพ. จะขอความอนุเคราะห์ ปตท. ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561
3. ตามที่ กบง. ได้มอบหมาย สนพ. ให้นำเสนอแนวทางช่วยเหลือในส่วนของก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน สนพ. ขอเรียนว่า ในร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ในวัตถุประสงค์ ข้อที่ 3 บรรเทาผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส ที่กระทรวงพลังงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2559 ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) เสร็จ
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2561 ได้ตัดวัตถุประสงค์ข้อนี้ออก ส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ นี้ ไม่สามารถช่วยเหลือก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนได้ ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือต่อไปกระทรวงพลังงานต้องผลักดันให้ช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่อไป
มติของที่ประชุม มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานขอความร่วมมือบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ขยายระยะเวลาการสนับสนุนโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน เฉพาะกลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561
เรื่องที่ 2 การให้ความช่วยเหลือราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ
สรุปสาระสำคัญ 1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ได้มีมติเห็นชอบ
ให้ปรับราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ จากเดิมอยู่ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.62 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2561 และขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ (ในเขตกรุงเทพฯ/ปริมณฑล: รถแท็กซี่/ตุ๊กตุ๊ก/รถตู้ ร่วม ขสมก. ในต่างจังหวัด: รถโดยสาร/มินิบัส/สองแถว ร่วม ขสมก. รถโดยสาร/รถตู้ ร่วม บขส. และรถแท็กซี่) ที่ 10.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็นระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2561 และเมื่อครบ 1 ปีแล้ว ให้ปรับราคาขายปลีก NGV ให้สะท้อนต้นทุน ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ปตท. ได้มีหนังสือว่าคณะกรรมการ ปตท. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาการให้ส่วนลดราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ภายในกรอบวงเงิน 2,900 ล้านบาท
2. เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้มีหนังสือ
ขอความร่วมมือให้ ปตท. ขยายระยะเวลาการให้ส่วนลดราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะออกไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ปตท. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน แจ้งว่าคณะกรรมการ ปตท. ได้มติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการให้ส่วนลดราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 ภายในกรอบวงเงิน 1,050 ล้านบาท และให้ยุติการสมัครเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป โดย ปตท. จะขอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงพลังงานและภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือและเร่งกำหนดแนวทางทดแทนการช่วยเหลือรูปแบบเดิม
มติของที่ประชุม 1. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ขอความร่วมมือบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ขยายระยะเวลาการให้ส่วนลดราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะออกไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561
2. มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือต่อไป
เรื่องที่ 3 สรุปผลการตรวจสอบการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
สรุปสาระสำคัญ 1. ระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. 2556 ข้อ 26 กำหนดให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุน การรับ-จ่ายและการควบคุมภายในของโครงการที่ได้รับเงินจากกองทุนแล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงาน อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง เพื่อนำเสนอคณะกรรมการทราบ และคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) เป็นผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ เพื่อตรวจสอบการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
2. เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 สบพน. ได้รายงานสรุปผลการตรวจสอบการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2561 ต่อปลัดกระทรวงพลังงาน สรุปได้ดังนี้ (1) การเบิก-จ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของกรมสรรพสามิต พบว่าได้ดำเนินการตามขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินให้ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือเงินคืน
แต่สรุปไม่ได้ระบุอัตราและประกาศ กบง. ไว้ ซึ่ง สบพน. ได้ประสานขอข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการเบิกจ่ายเงินแล้ว (2) การเบิกจ่ายและติดตามการใช้จ่ายเงินงบบริหารของ สบพน. และกรมสรรพสามิต พบว่าการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับอนุมัติ และมีการส่งคืนเงินเหลือจ่ายพร้อมดอกผลให้กองทุนน้ำมันฯ ภายในระยะเวลาตามที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ (3) การเบิกจ่ายและติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการ ของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รวม 7 โครงการ ได้แก่ โครงการที่ได้รับอนุมัติปีงบประมาณ 2561 จำนวน 4 โครงการ โดยมี ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบ 3 โครงการ มีการทำสัญญาจ้างและเบิกจ่ายเงินแล้ว มีโครงการที่ สนพ. รับผิดชอบ 1 โครงการ ปัจจุบันอยู่ระหว่างขอยกเลิกโครงการ และโครงการที่สิ้นสุดโครงการและส่งเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ แล้ว 3 โครงการ แบ่งเป็นโครงการที่ ธพ. รับผิดชอบ1 โครงการ และ สนพ. รับผิดชอบ 2 โครงการ มีการเบิกจ่ายเงินและส่งคืนดอกผลให้กองทุนน้ำมันฯ แล้ว (4) หน่วยงานที่ได้รับเงินจากกองทุนน้ำมันฯ มีการจัดทำรายงานการรับ-จ่ายเงินส่งให้ สบพน. ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปเป็นประจำทุกเดือน ตามที่ระเบียบฯ กำหนด (5) มีการบันทึกบัญชีการเบิก-จ่ายเงิน และการคืนเงินคงเหลือพร้อมดอกผลของงบบริหารและงบโครงการ การบันทึกรายการเข้าระบบ GFMIS ซึ่งเป็นไปตาม ที่กรมบัญชีกลางกำหนดไว้ และ (6) มีระบบการควบคุมภายในเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินงบบริหารและโครงการที่เหมาะสม ดังนั้น ผลการตรวจสอบในภาพรวมสรุปได้ว่า กองทุนน้ำมันฯ มีการเบิกเงินงบบริหารและโครงการเป็นไปตามแผนการใช้เงินที่ได้รับอนุมัติ มีการปฏิบัติงานเป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน ด้านการเงิน และด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบอยู่ในระดับต่ำ และ มีการควบคุมภายในด้านการเบิก-จ่ายเงินและติดตามการใช้จ่ายเงินอยู่ในระดับที่เหมาะสม
มติของที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 การขอผ่อนผันนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฝากกระทรวงการคลัง สรุปสาระสำคัญ 1. คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ได้ออกประกาศกำหนดให้ทุนหมุนเวียน
เปิดบัญชีและนำเงินฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งรวมถึงกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อมาเมื่อวันที่
8 มิถุนายน 2561 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) ขอยกเว้นการเปิดบัญชีและนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปฝากที่กรมบัญชีกลาง และขอฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐต่อไป และเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กบง. ได้มีหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง เพื่อขอยกเว้นการเปิดบัญชีและการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปฝากที่กรมบัญชีกลาง และขอฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ตามมติ กบง. ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่าเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2561 คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนได้มีมติเห็นชอบให้นำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปจัดหาผลประโยชน์ได้ในวงเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อไว้ใช้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ สำหรับเงินส่วนที่เหลือให้นำฝากกระทรวงการคลัง และ กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2561 ได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำหนังสือขอผ่อนผันการเปิดบัญชีและนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปฝากที่กรมบัญชีกลาง โดยให้สามารถฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
2. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561 สนพ. ได้มีหนังสือถึงกรมบัญชีกลางเพื่อขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2561 โดยได้ชี้แจงว่า กองทุนน้ำมันฯ มีภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ กรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ หากสามารถนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ทั้งหมดไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแทนการฝากเงินกับกรมบัญชีกลาง จะทำให้มีรายรับจากดอกเบี้ยเงินฝากมาช่วยเพิ่มฐานะกองทุนน้ำมันฯ ให้มีกรอบวงเงินสำหรับการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเพิ่มขึ้น ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2561 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่าเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561 คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ได้มีมติเห็นชอบให้ผ่อนผันการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ฝากกระทรวงการคลัง โดยให้ สบพน. สามารถนำเงินกองทุนไปฝากธนาคารประเภทประจำ 3 เดือน ตามแผนการจัดหาประโยชน์ที่ดำเนินการอยู่ได้ และให้ สบพน. แจ้งแผนการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปจัดหาผลประโยชน์ส่งให้กรมบัญชีกลางพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนวันครบกำหนดการฝากเงินในแต่ละรายการ ทั้งนี้ สนพ. ได้มีหนังสือแจ้ง สบพน. แล้วเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2562
มติของที่ประชุม ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ 1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 ได้พิจารณา
แนวทางการดำเนินการกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญา และได้มีมติเห็นชอบหลักการและแนวทางการดำเนินการกับ SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560 - 2568 และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ไปพิจารณาดำเนินการในรายละเอียด ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่ 1 ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2560 - 2561 (ต่ออายุสัญญา) และกลุ่มที่ 2 ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2562 - 2568 (ก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่) โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการลังงาน (กกพ.) พิจารณาปรับปรุงรูปแบบสัญญา Firm ของ SPP ระบบ Cogeneration ให้สามารถลดปริมาณการขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ และพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การขอลดปริมาณการขายไฟฟ้าเข้าระบบล่วงหน้า ทบทวนการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับ IPP และ SPP และหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำรองให้มีความเหมาะสม
2. เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของ กลุ่มที่ 1 จากเดิมตั้งแต่ปี 2560 - 2561 เป็น 2559 - 2561 และราคารับซื้อไฟฟ้ากรณี SPP ระบบ Cogeneration ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง กลุ่มที่ 1 (ต่ออายุสัญญา) และกลุ่มที่ 2 (สร้างโรงไฟฟ้าใหม่) โดยใช้ราคาถ่านหินอ้างอิงตามประกาศของ กฟผ. ณ อัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ สำหรับเงื่อนไขอื่น ให้ยึดตามมติ กพช. วันที่ 30 พฤษภาคม 2559 และ SPP ระบบ Cogeneration สามารถใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมที่ได้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงก่อนวันสิ้นสุดอายุสัญญา หรือสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าให้ทัดเทียมกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ โดยไม่ต้องก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด แต่จะต้องดำเนินการตามข้อกำหนดเหมือนกับกรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ และจะไม่ได้รับอัตรารับซื้อไฟฟ้าในส่วนของค่าพลังไฟฟ้า (CP1= 0) ทั้งนี้ มอบ กกพ. สามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินการได้ ในกรณีมีปัญหาในทางปฏิบัติ ยกเว้นเฉพาะเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้าหากจะมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องนำเสนอ กพช. ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของ SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่ 1 (ต่ออายุสัญญา) จากเดิมสิ้นสุดสัญญาภายในปี 2560 - 2561 เป็นภายในปี 2559 - 2561 และมอบหมายให้ กกพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนหลักการพร้อมทั้งเสนอราคาและแนวทางที่เหมาะสมในการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่ 2 (ก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่) ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2562 - 2568 ทั้งเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน และนำเสนอ กบง. ก่อนเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ กบง. เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2561 ได้มีมติยืนยันมติ กบง. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 เรื่องการปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของกลุ่มที่ 1 (ต่ออายุสัญญา) และเห็นชอบแนวทางการต่ออายุสัญญาจำนวน 25 โรง ปริมาณรับซื้อไฟฟ้ารวมไม่เกิน 704 MW และมอบหมายให้ กกพ. และ สนพ. ร่วมกันกำหนดแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ทั้ง 25 โรง ตามประเภทเชื้อเพลิง และนำเสนอ กพช. ต่อไป
3. เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561 กกพ. ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2561 เรื่องการปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของ SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่ 1 (ต่ออายุสัญญา) และเห็นชอบแนวทางการดำเนินการกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ระบบ Cogeneration ที่สิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2562-2568 (ก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่) ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 พบว่ามีโรงไฟฟ้าที่เข้าเงื่อนไขจำนวน 16 โรง นอกจากนี้โรงไฟฟ้าที่กำลังจะหมดอายุสัญญา และไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ทัน เห็นควรมอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการต่ออายุสัญญาภายใต้หลักการตามมติ กพช. วันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ในกลุ่มที่ 1 (ต่ออายุสัญญา)
มติของที่ประชุม เห็นชอบแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่สิ้นสุดอายุสัญญา ดังนี้
1. กลุ่มต่ออายุสัญญา สำหรับโรงไฟฟ้า SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2560 – 2561
1.1เห็นควรให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาการปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของ SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มต่ออายุสัญญาให้ครอบคลุม SPP ระบบ Cogeneration เป็นปี 2559 – 2561 เพื่อให้สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม
1.2เห็นควรให้กำหนดโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าให้สอดคล้องกับเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า และให้ใช้โครงสร้างราคารับซื้อสำหรับโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 และเสนอให้ กพช. พิจารณา
2. กลุ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ สำหรับโรงไฟฟ้า SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2562 – 2568
2.1เห็นควรให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ โดยใช้เชื้อเพลิงตามสัญญาเดิมและได้รับอัตรารับซื้อไฟฟ้าสอดคล้องกับประเภทเชื้อเพลิง ทั้งนี้ สำหรับโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติให้ได้รับอัตรารับซื้อตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 และเห็นควรให้ใช้โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าที่ใช้
ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ตามที่ กบง. ได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 และเสนอให้ กพช. พิจารณา
2.2สำหรับโรงไฟฟ้าที่กำลังจะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2562 - 2564 และไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ทัน เห็นควรเสนอ กพช. พิจารณามอบหมายคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาต่ออายุสัญญาโรงไฟฟ้าภายใต้หลักการตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 เพื่อให้สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ตามมติดังกล่าว