กบง. ครั้งที่68 -วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561 พ.ศ. 2561
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 21/2561 (ครั้งที่ 68)
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561 เวลา 13.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
2. การขอนำส่งเงินและขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากโรงโอเลฟินส์
3. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. การขอผ่อนผันนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฝากกระทรวงการคลัง
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
สนพ. ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ มีทิศทางปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยหลักมาจากการที่ประเทศสหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันดิบของประเทศอิหร่านในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2561 ทำให้หลายประเทศเริ่มลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน เช่น ประเทศจีนลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบน้ำมันดิบจากจีนลงร้อยละ 50 และประเทศอินเดียหยุดการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านทั้งหมด ประกอบกับปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศเวเนซุเอลาส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ประเทศซาอุดิอาราเบียและประเทศรัสเซียได้ประกาศปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพื่อทดแทนปริมาณน้ำมันดิบที่หายไปจากมาตรการคว่ำบาตรประเทศอิหร่าน ทำให้มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในเดือนตุลาคม 2561 จะยังทรงตัวอยู่ที่ 83 – 88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) ราคาก๊าซ LPG มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรประเทศอิหร่านและสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีนและประเทศสหรัฐฯ โดยราคา CP เดือนตุลาคม 2561 อยู่ที่ 655 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เพิ่มขึ้น 37.5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จากเดือนก่อนหน้า (3) ราคา LNG เดือนกันยายน 2561 ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากหลายประเทศเพิ่มปริมาณการสำรองเพื่อรองรับความต้องการใช้ในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับแหล่งผลิตก๊าซ LNG Asgard และ Sakhalin ของประเทศรัสเซียและประเทศบรูไนหยุดผลิตฉุกเฉิน ส่วนราคาก๊าซ LNG เดือนตุลาคม 2561 คาดการณ์ว่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากประเทศจีนปรับเพิ่มภาษีนำเข้าก๊าซ LNG จากสหรัฐอเมริกา (4) ราคาถ่านหินมีทิศทางปรับตัวลดลง โดยเดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ 113.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากค่าเงินของประเทศผู้ผลิตถ่านหิน เช่น อินโดนีเซีย และจีน การอ่อนค่าลง รวมทั้งประเทศสหรัฐฯ ประสบปัญหาพายุเฮอร์ริเคนส่งผลกระทบต่อการส่งออกถ่านหิน รวมถึงนโยบายการควบคุมมลพิษของประเทศจีนทำให้มีส่งออกถ่านหินลดลง ทั้งนี้ ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคาถ่านหินในช่วงปลายปี คือ การเจรจาระหว่างผู้ผลิตถ่านหินจากประเทศออสเตรเลีย กับโรงไฟฟ้าประเทศญี่ปุ่น และ (5) โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2561 ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.24 บาทต่อลิตร ต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสมซึ่งอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 1.83 บาทต่อลิตร อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งอยู่ที่ 1.85 บาทต่อลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 1.53 บาทต่อลิตร อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดเฉลี่ยที่เหมาะสมประมาณ 0.32 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 มีมติเห็นชอบ การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรโดยโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น และราคาโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และกำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก จาก CP-20 เป็น CP เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2560 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (บริษัท PTTGC) ได้มีหนังสือสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) แจ้งว่า บริษัท PTTGC นำบิวทาไดอีนเหลว จากโรงโอเลฟินส์มาทำการผลิตเป็นก๊าซ LPG จำนวน 5,000 ตัน ในเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคม 2560 เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าเป็นครั้งแรก และขอสอบถามว่าบริษัท PTTGC เข้าข่ายที่จะต้องนำส่งเงินกองทุนน้ำมันฯ และได้รับเงินชดเชยเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 14 พ.ศ. 2560 หรือไม่ ทั้งนี้บริษัท PTTGC ได้นำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปก่อนตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 14 พ.ศ. 2560 ข้อ 3 (2) และขอสงวนสิทธิ์ในการขอคืนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ หากทราบความชัดเจนว่าไม่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
2. เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการนำส่งเงินและขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ กรณีการผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากโรงโอเลฟินส์ ดังนี้ (1) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงโอเลฟินส์ เท่ากับ CP เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิต ในราชอาณาจักรจากโรงโอเลฟินส์ เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นและโรงโอเลฟินส์ ทั้งนี้มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 17/2560 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักร จากโรงโอเลฟินส์ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 และ (2) มอบหมายให้ สนพ. หารือประเด็นปัญหาข้อกฎหมายไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เกี่ยวกับการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรจากโรงโอเลฟินส์ โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 อันมีผลทำให้โรงโอเลฟินส์มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมีสิทธิได้รับเงินชดเชยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้หรือไม่
3. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 สนพ. ได้มีหนังสือถึง สคก. เพื่อหารือประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าว ซึ่ง สคก. ได้มีหนังสือแจ้งผลตามบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 ว่าโรงโอเลฟินส์ไม่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนและไม่อาจได้รับเงินชดเชยในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 14 พ.ศ. 2560 และไม่มีเหตุที่ กบง.จะต้องออกประกาศให้โรงโอเลฟินส์นำส่งเงินเข้ากองทุนและมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากกองทุนในช่วงเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่3 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันที่ 28 กันยายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบแนวทาง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในอัตราไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท โดยสามารถชดเชยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยในอัตรา 0.30 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของบัญชีน้ำมัน เพื่อรายงาน กบง. ทราบทุกเดือน และต่อมาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561 กบง. ได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำแนวทางบรรเทาผลกระทบของราคาน้ำมันดิบต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยให้นำเสนอต่อ กบง. ในการประชุมครั้งถัดไป
2. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2561 มีดังนี้ (1) น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 82.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 93.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (3) น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 99.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (4) อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 33.0500 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ (5) ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 8-14 ตุลาคม 2561 ลิตรละ 22.69 บาท และ (6) ราคาเอทานอล ณ เดือนตุลาคม 2561 ลิตรละ 23.31 บาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2561 มีสินทรัพย์รวม 38,852 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,260 ล้านบาท ฐานะกองทุนสุทธิ 24,592 ล้านบาท โดยแยกเป็นบัญชีน้ำมัน 28,919 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 4,327 ล้านบาท จากสถานการณ์ราคาดังกล่าวข้างต้น ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2561 เป็นดังนี้ (1) ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 2.3601 1.8314 1.9988 2.3032 4.7209 1.2389 และ 1.2224 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 38.84 31.45 31.18 28.44 22.04 29.89 และ 26.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 รัฐยังคงชดเชยราคา แต่เข้าใกล้ ศูนย์-สุทธิ ในกลุ่มของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลแล้ว ดังนั้น ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ ประจำเดือนตุลาคม 2561 มีรายรับในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลประมาณ 41 ล้านบาทต่อเดือน ในขณะที่กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายจากกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1,869 ล้านบาทต่อเดือน โดยภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบ 1,817 ล้านบาทต่อเดือน
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในวงเงินไม่เกิน 16,200 ล้านบาท ดังนี้ (1) เมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าไม่เกิน 85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับเพิ่มอัตราการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 1.50 บาทต่อลิตร (2) เมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าอยู่ระหว่าง 85 – 87.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ โดยใช้อัตราการชดเชยที่ 1.50 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิม 29.89 บาทต่อลิตร เป็น 30.39 บาทต่อลิตร (3) เมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าอยู่ระหว่าง 87.5 - 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ โดยใช้อัตราการชดเชยที่ 1.50 บาทต่อลิตร ปรับเพิ่มราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิม 29.89 บาทต่อลิตร เป็น 30.39 บาทต่อลิตร และปรับลดภาษีสรรพสามิตลง 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิม 5.98 บาทต่อลิตร เป็น 5.48 บาทต่อลิตร และ (4) เมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเกิน 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หากดำเนินการตามแนวทางข้อ (1) – (3) แล้ว และวงเงินการช่วยเหลือของกองทุนน้ำมันฯ หมดแล้ว และราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้กองทุนน้ำมันฯ ทำการกู้เงินเพิ่ม 20,000 ล้านบาท และใช้กลไกการบรรเทาผลกระทบตามแนวทางข้อ (1) – (3) ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ดังนี้
1.1 กรณีราคาน้ำมันดิบดูไบไม่เกิน 87.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 1.50 บาทต่อลิตร
1.2 กรณีราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในช่วง 87.5 - 92.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยไม่เกิน 1.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 2.00 บาทต่อลิตร และ/หรือปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก 0.50 บาทต่อลิตร และ/หรือปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับกระทรวงการคลัง กรณีมีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
เรื่องที่4 การขอผ่อนผันนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฝากกระทรวงการคลัง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 ได้ออกประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง มาตรฐานการเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารพัสดุ การบัญชี การรายงานทางการเงิน และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 กำหนดให้ทุนหมุนเวียนดำเนินการเปิดบัญชีและนำเงินฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งรวมถึงกองทุนน้ำมันฯ ด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) ดำเนินการขอยกเว้นการเปิดบัญชีและนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และขอฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐต่อไป
2. เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กบง. ได้มีหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง เพื่อขอยกเว้นการเปิดบัญชีและการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และขอฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ตามมติ กบง. ต่อมา เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่า เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2561 คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนได้พิจารณาในเรื่องดังกล่าว และได้มีมติเห็นชอบให้นำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปจัดหาผลประโยชน์ได้ในวงเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อไว้ใช้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ สำหรับเงินส่วนที่เหลือให้นำฝากกระทรวงการคลัง ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนฯ
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้หารือกรมบัญชีกลางโดยแจ้งว่ามติคณะกรรมการนโยบายการบริหาร ทุนหมุนเวียนเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2561 นั้น ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ กบง. ที่ให้ขอยกเว้นการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปฝากกระทรวงการคลัง โดยหากนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปจัดหาผลประโยชน์ได้ทั้งหมด จะสามารถนำดอกเบี้ยที่ได้มาช่วยเพิ่มกรอบวงเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับใช้ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยในส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งต้องจัดสรรให้หน่วยงาน ที่ปฏิบัติงานสนับสนุนการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ได้แก่ สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. นอกจากนี้การรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ ของกองทุนน้ำมันฯ จะผันแปรไปตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งปัจจุบันมีความผันผวนและมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 24,592 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 2,986 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงเกิน 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล คาดว่ากองทุนน้ำมันฯ จะสามารถรักษาเสถียรภาพราคาได้ประมาณ 8 เดือน ดังนั้น กรมบัญชีกลางจึงได้มีข้อเสนอว่าให้ กบง. ทำหนังสือขอผ่อนผันนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ฝากกระทรวงการคลัง ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนฯ เพื่อกรมบัญชีกลางจะได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนพิจารณาในการประชุมช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2561
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง เพื่อขอผ่อนผันการเปิดบัญชีและนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง โดยให้สามารถฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
กบง. ครั้งที่67 -วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 20/2561 (ครั้งที่ 67)
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.30 น. น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานสถานการณ์ก๊าซ LPG ในรอบเดือนกันยายน - ตุลาคม 2561
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เห็นชอบแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วโดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในอัตราไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท และหากเกินวงเงินที่กำหนดให้นำเสนอ กบง.พิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง รวมทั้งมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของบัญชีน้ำมัน เพื่อรายงาน กบง. ทราบทุกเดือน
2. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 สนพ. ได้ดำเนินการออกประกาศ ดังนี้ (1) ประกาศ กบง. ฉบับที่ 62 ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลเป็น 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงเดิมที่ 29.89 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2561 (2) ประกาศ กบง. ฉบับที่ 63 ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลเป็น 0.90 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงเดิมที่ 29.89 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2561 และ (3) ประกาศ กบง. ฉบับที่ 64 ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลเป็น 1.00 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงเดิมที่ 29.89 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561 แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2561 มีดังนี้ (1) น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 84.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 93.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (3) น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 100.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (4) อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 32.7834 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ (5) ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 1-7 ตุลาคม 2561 ลิตรละ 22.97 บาท และ (6) ราคาเอทานอล ณ เดือน ตุลาคม 2561 ลิตรละ 23.31 บาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 มีสินทรัพย์รวม 25,142 ล้านบาท หนี้สินรวม 4,071 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 25,142 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 29,213 บาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 4,071 ล้านบาท
3. ผลของสถานการณ์ราคาดังกล่าวข้างต้น ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2561 เป็นดังนี้ (1) ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 2.9181 2.3812 2.5441 2.8440 5.0239 1.2013 และ 1.1523 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 39.34 31.95 31.68 28.94 22.34 29.89 และ 26.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 รัฐยังคงชดเชยราคา แต่เข้าใกล้ ศูนย์-สุทธิ ในกลุ่มของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลแล้ว ดังนั้น ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ ประจำเดือนตุลาคม 2561 มีรายรับในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลประมาณ 37 ล้านบาทต่อเดือน ในขณะที่กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายจากกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1,809 ล้านบาทต่อเดือน โดยภาพรวมกองทุนมีสภาพคล่องติดลบ 1,761 ล้านบาทต่อเดือน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในหลักการ Half – Half Concept โดยปรับเพิ่มอัตราการชดเชยราคาน้ำมันดีเซล จากเดิมชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 2.00 บาทต่อลิตร ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) แบบที่ 1 กองทุนช่วยก่อนในครั้งแรก ต่อไปหากราคายังสูงขึ้นให้ปรับราคาขายปลีกขึ้นสลับกันไป โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชย 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.40 บาทต่อลิตร ราคาขายปลีกคงเดิมที่ 29.89 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 จาก 3.10 บาทต่อลิตร เป็น 3.55 บาทต่อลิตร เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 3 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 723 ล้านบาทต่อเดือน จากติดลบ 1,761 ล้านบาทต่อเดือน เป็นติดลบ 2,484 ล้านบาทต่อเดือน (2) แบบที่ 2 กองทุนช่วยครึ่งหนึ่ง และราคาขายปลีกปรับขึ้นครึ่งหนึ่งทุกครั้ง โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชย 0.20 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.20 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร จาก 29.89 บาทต่อลิตร เป็น 30.09 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 จาก 3.10 บาทต่อลิตร เป็น 3.35 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 361 ล้านบาทต่อเดือน จากติดลบ 1,761 ล้านบาทต่อเดือน เป็นติดลบ 2,123 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำข้อเสนอแนวทางบรรเทาผลกระทบของราคาน้ำมันดิบต่อราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 2 รายงานสถานการณ์ก๊าซ LPG ในรอบเดือนกันยายน - ตุลาคม 2561
สรุปสาระสำคัญ
1. จากแนวโน้มสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG Cargo และค่าใช้จ่ายนำเข้า (X) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคานำเข้าก๊าซ LPG ที่ใช้คำนวณราคา ณ โรงกลั่น ช่วงวันที่ 25 กันยายน – 8 ตุลาคม 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 21.8774 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6663 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 21.7078 บาทต่อกิโลกรัม (660.0887 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) เป็น 22.3741 บาทต่อกิโลกรัม (681.9661 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) ทั้งนี้ จากสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น กองทุนน้ำมันฯ ได้มีการปรับเพิ่มการชดเชยจาก 6.9153 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชย 7.5816 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG (ก๊าซหุงต้ม) ขนาดถัง 15 กิโลกรัม อยู่ที่ 363 บาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายที่ 36.38 ล้านบาทต่อวัน
2. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 มีฐานะสุทธิ 25,142 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 29,213 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 4,071 ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมันฯ#1) มีรายรับ 48.36 ล้านบาทต่อวัน และในส่วนการจำหน่ายภาคเชื้อเพลิง (กองทุนน้ำมันฯ #2) มีรายจ่าย 84.74 ล้านบาทต่อวัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 36.38 ล้านบาทต่อวัน
3. ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ที่ผู้ค้ามาตรา 7 แจ้งต่อ สนพ. โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เปลี่ยนแปลงราคาจำหน่ายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ขนาด 15 กิโลกรัม ดังนี้ (1) เมื่อวันที่ 4 - 10 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 353 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้น 3 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 490.85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (2) เมื่อวันที่ 11 – 15 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 364 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้น 11 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 507.88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (3) เมื่อวันที่ 16 - 21 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 372 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้น 8 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 519.40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (4) เมื่อวันที่ 22 - 24 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 395 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้น 23 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 563.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (5) เมื่อวันที่ 25 -27 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 365 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับลดลง 30 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 563.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และ (6) ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม - 8 ตุลาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG คงระดับอยู่ที่ 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับลดลง 2 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2561 อยู่ที่ 559.00 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และ ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 645.15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ