มติกบง. (344)
กบง. ครั้งที่ 129 - วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 32/2555 (ครั้งที่ 129)
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 110.80, 124.32 และ129.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 0.20, 5.88 และ 1.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น และ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2555 ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2555 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,582 ล้านบาท หนี้สินรวม 24,607 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 19,025 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและดีเซลอยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร 95, 91 ลง 0.40 บาทต่อลิตร และเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 จึงขอปรับอัตราเงินชดเชยเพิ่ม 0.50 บาท/ลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 | +0.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.30 | 1.80 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.00 | -0.50 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.30 | -2.80 | -0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 | - |
น้ำมันดีเซล | -0.10 | +0.20 | +0.30 |
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 25.27 ล้านบาท จากติดลบวันละ 46.69 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 21.42 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.30 | 1.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.00 | -0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.30 | -2.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 |
น้ำมันดีเซล | -0.10 | +0.20 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 130 - วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 23/2555 (ครั้งที่ 130)
วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 23 ตุลาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.25, 118.4 และ 124.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 3.55, 6.18 และ 4.73 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 18 ตุลาคม 2555) จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2555 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,454 ล้านบาท หนี้สินรวม 23,693 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 19,239 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันทุกชนิด 0.50 บาท/ลิตร ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ที่เก็บในอัตราเดิม โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.50 | 8.00 | +0.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.20 | 6.70 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.80 | 2.30 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.50 | 0.00 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -2.30 | -+0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 | - |
น้ำมันดีเซล | 0.20 | 0.70 | +0.50 |
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 36.84 ล้านบาท จากติดลบวันละ 21.42 ล้านบาท เป็นบวกวันละ 15.42 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.50 | 8.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.20 | 6.70 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.80 | 2.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.50 | 0.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -2.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 |
น้ำมันดีเซล | 0.20 | 0.70 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 131 - วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 34/2555(ครั้งที่ 131)
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเลขานุการ
การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า วันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)ครั้งแรกในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และได้แนะนำเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานเกี่ยวกับ สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกว่า ปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก ได้แก่ ปริมาณความต้องการ ปริมาณการผลิต สภาพเศรษฐกิจ การเมือง และฤดูกาล ปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศจีน และทวีปยุโรป ยังอยู่ในสภาวะอ่อนแอ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันในตลาดโลก การคาดการณ์ความต้องการน้ำมันในปี 2013 จะเพิ่มขึ้นมากในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา (Non-OECD) ส่วนการจัดหาน้ำมันจะมาจาก 2 กลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มโอเปคจำนวน 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน และกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มโอเปคจำนวน 60 ล้านบาร์เรลต่อวัน สำหรับการกำหนดราคาน้ำมันในตลาดโลกจะมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ กลุ่มโอเปค ;กองทุนรวมในต่างประเทศ (Fund Flow) และปริมาณน้ำมันสำรองในตลาดโลก อย่างไรก็ตามกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คาดการณ์ว่าในปี 2013 เศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้นโดยมี GDP อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.6 และทำให้มีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 840,000 บาร์เรลต่อวัน ในปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบมีแนวโน้มที่ลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจของยุโรป แหล่งผลิตน้ำมันในทะเลเหนือกลับมาดำเนินการผลิต และการเพิ่มปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปคกว่า 60,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้มีการจัดหาเพียงพอต่อความต้องการ ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปเบนซินในตลาดสิงคโปร์มีแนวโน้มลดลง จากปริมาณการสำรองที่สูงขึ้นกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา และโรงกลั่นในประเทศเวียดนามเริ่มดำเนินการผลิตหลังการปิดปรับปรุง โดยราคาน้ำมันเบนซินในตลาดซื้อขายล่วงหน้าในเดือน ธันวาคม 2555 - กุมภาพันธ์ 2556 อยู่ที่ 112.67, 119.94 และ 110.00 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลในตลาดซื้อขายล่วงหน้าในเดือน ธันวาคม 2555 อยู่ที่ประมาณ 121 - 122 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากความต้องการใช้ทำความร้อนในฤดูหนาวของหลายประเทศ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 103.35, 1124.48 และ 120.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 3.90, 5.66 และ 3.49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 23 ตุลาคม 2555) จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,592 ล้านบาท หนี้สินรวม 24,047 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 19,455 ล้านบาท
จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาท/ลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน |
เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 8.00 | 8.00 | - |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.70 | 6.70 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.30 | 2.30 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.00 | 0.00 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอลE20 | -2.30 | -2.30 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอลE85 | -11.80 | -11.80 | - |
น้ำมันดีเซล | 0.70 | 1.20 | +0.50 |
กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 26.70 ล้านบาท จากวันละ 41.60 ล้านบาท เป็นวันละ 68.33 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ |
น้ำมันเบนซิน 95 | 8.00 | 8.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.70 | 6.70 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.30 | 2.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.00 | 0.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอลE20 | -2.30 | -2.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอลE85 | -11.80 | -11.80 |
น้ำมันดีเซล | 0.70 | 1.20 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่พฤศจิกายน 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 132 -วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 35/2555 (ครั้งที่ 132)
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน กรรมการ นายณอคุณ สิทธิพงศ์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอล
3. แผนปฏิบัติการการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91
เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกว่า ในช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส แม้ว่าจะเซ็นสัญญาหยุดยิงเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ยังคงสู้รบกันอยู่ และปัจจัยอื่นคือความตรึงเครียดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และสถานการณ์ในประเทศอียิปต์ ซึ่งหลังจากประธานาธิบดีของอียิปต์ออกพระราชกฤษฎีกาเพิ่มอำนาจให้ตนเอง ทำให้เกิดการประท้วงของประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งข่วแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ ระเบิดในอ่าวเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งภาพรวมราคาน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ในส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป โดยน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และโรงกลั่นมะละกาในมาเลเซียลดกำลังการผลิตลงเนื่องจากปัญหาทางด้านเทคนิค แต่ประเทศศรีลังกาและอินโดนีเซียยังคงนำเข้าน้ำมันเบนซินในปริมาณสูง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าเฉลี่ย 2.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นมะละกาของมาเลเซียส่งออกน้ำมันดีเซลลดลงและประเทศญี่ปุ่นมีความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้นในฤดูหนาว
เรื่องที่ 1การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 น้ำมันดิบดูไบน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 109.05, 121.33 และ 125.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.70 8.85 และ 4.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 5 พฤศจิกายน 2555) จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล 4 ครั้ง โดยมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลลง 0.50 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มขึ้นจำนวน 3 ครั้งที่อัตรา 0.50 0.60 และ 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,673 ล้านบาท หนี้สินรวม 23,752 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 18,079 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 26.70 ล้านบาท จากวันละ 68.33 ล้านบาทเป็นวันละ 41.63 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 1.20 บาทต่อลิตร เป็น 0.70 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติเป้าหมายในการรับจำนำมันสำปะหลังจำนวน 10 ล้านตัน ในปี 2555/56 โดยให้เริ่มดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2555 - 31 มีนาคม 2556 ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะสนับสนุนให้นำมันสำปะหลังไปผลิตเป็นเอทานอล ในปี 2556 โดยเพิ่มสัดส่วนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง คือร้อยละ 62 : 38 คิดเป็นปริมาณหัวมันสด 1.6 ล้านตันต่อปี ผลิตเอทานอลได้ 0.76 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 255.60 ล้านลิตรต่อปี
2. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และผู้ผลิตเอทานอล ให้ใช้สัดส่วนการใช้เอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลต่อสัดส่วนการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังเฉลี่ยเป็นร้อยละ 62 : 38 ซึ่งในไตรมาสแรกผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ได้ตกลงซื้อขายเอทานอลไปบางส่วนแล้ว จึงอาจทำให้สัดส่วนในไตรมาสแรกไม่เป็นไปตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด อย่างไรก็ตาม ธพ. เสนอว่าให้ใช้สัดส่วนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง เป็น ร้อยละ 62 : 38 โดยเฉลี่ยตลอดทั้งปี
3. เนื่องจากสูตรการคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงที่ใช้ในปัจจุบันเป็นราคาจริงตามข้อมูลการซื้อขาย เอทานอลระหว่างผู้ผลิตเอทานอล กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จากกรมสรรพสามิต ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการซื้อขายจริง โดยใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล ดังนี้
Eth คือ ราคาประกาศเอทานอลอ้างอิง (บาท/ลิตร) ประกาศทุกวันที่ 1 ของเดือนเช่น ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงสิ้นเดือน มกราคม 2555
คือ ปริมาณการขายเอทานอลที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาลขายให้กับบริษัทผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (ลิตร)
คือ ราคาขายเอทานอลที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาล ขายให้กับบริษัทผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (บาท/ลิตร)
คือ จำนวนรายการการจำหน่ายเอทานอล
4. ในปี 2556 กระทรวงพลังงานกำหนดเป้าหมายส่งเสริมให้ใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านลิตรต่อวัน และขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้นำเอทานอลผสมเป็นแก๊สโซฮอลโดยใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลและมันสำปะหลังในสัดส่วนร้อยละ 62 : 38 เพื่อให้สะท้อนต้นทุนราคาเอทานอลที่แท้จริงของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลโดยเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนปริมาณที่กระทรวงพลังงานกำหนด ตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2556 ดังนี้
Eth = (0.62 x Pmol)+ (0.38 x Pcas)
โดยที่
Eth คือ ราคาประกาศเอทานอลอ้างอิง (บาทต่อลิตร) ประกาศทุกวันที่ 1 ของเดือน เช่น ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงสิ้นเดือน มกราคม 2555
Pmol คือ ราคาขายเอทานอลที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลและไฮบริดขายให้กับบริษัทผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (ลิตร)
Pcas คือ ราคาขายเอทานอลที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังขายให้กับบริษัทผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (ลิตร)
ทั้งนี้ มอบหมายให้ ธพ. ดำเนินการตรวจสอบสัดส่วนปริมาณการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลและ มันสำปะหลังที่ใช้ผสมเป็นแก๊สโซฮอลรายเดือนของแต่ละบริษัทผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายแก๊สโซฮอล เพื่อควบคุมให้ทุกบริษัทผู้ค้าน้ำมันฯ ผสมเอทานอลตามสัดส่วนที่กำหนด โดยเฉลี่ยในปี 2556 เป็นร้อยละ 62 : 38
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลโดยเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนปริมาณที่กระทรวงพลังงานกำหนด ตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2556 โดยหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลเป็นดังนี้
Eth = (0.62 x Pmol) + (0.38 x Pcas)
โดยที่
Eth คือ ราคาประกาศเอทานอลอ้างอิง (บาท/ลิตร) ประกาศทุกวันที่ 1 ของเดือน
เช่น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2555
Pmol คือ ราคาขายเอทานอลที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลและไฮบริดขายให้กับบริษัทผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (ลิตร)
Pcas คือ ราคาขายเอทานอลที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังขายให้กับบริษัทผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (ลิตร)
ทั้งนี้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำรายงานผลการดำเนินการ และรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบเป็นรายไตรมาส
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานดำเนินการตรวจสอบสัดส่วนปริมาณการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลและมันสำปะหลังที่ใช้ผสมเป็นแก๊สโซฮอลรายเดือนของแต่ละบริษัทผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายแก๊สโฮอล เพื่อควบคุมให้ทุกบริษัทผู้ค้าน้ำมันฯ ผสมเอทานอลตามสัดส่วนที่กำหนด โดยเฉลี่ยในปี 2556 เป็นร้อยละ 62 : 38 และแจ้งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเป็นรายไตรมาส
3. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานประสานกรมการค้าภายในเพื่อตรวจสอบว่าผู้ผลิตเอทานอลใช้มันสำปะหลังในโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง โดยผู้ผลิตเอทานอลจากมันเส้น ให้ใช้มันเส้นจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ผู้ผลิตเอทานอลจากมันสดให้เปิดจุดรับซื้อมันสดที่หน้าโรงงาน และ ผู้ผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อยให้ถือว่าอยู่ในกลุ่มกากน้ำตาล พร้อมทั้งให้รวบรวมรายงานยอดการซื้อมันสำปะหลังของโรงงานเอทานอลรายเดือน และแจ้งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเป็นรายไตรมาส
เรื่องที่ 3 แผนปฏิบัติการการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 โดยเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไปและมอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปแก้ไขปัญหาการผลิตและการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน (G-Base) และนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2555 ซึ่งเห็นชอบให้เลื่อนการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเบนซินพื้นฐานที่ผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล ปัญหาจากโรงกลั่นน้ำมันบางโรงกลั่นหยุดการผลิต และปัญหาการนำเข้าน้ำมันเบนซินพื้นฐาน ดังนี้ (1) เลื่อนกำหนดการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ออกไปอีก 3 เดือน จากวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2556 (2) มอบหมาย กบง. ปรับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น (3) มอบหมายกระทรวงพลังงานเร่งประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้เกิดการยอมรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์และจักรยานยนต์ให้มากขึ้นและ (4) มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงานร่วมกันกำหนดทิศทางเกี่ยวกับพืชเกษตรที่สามารถนำมาเป็นพลังงานได้ โดยพิจารณาถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ในการผลิต
3. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และสำนักงานนโยบายพลังงาน (สนพ.) ได้ประชุมหารือเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
3.1 การเตรียมการยกเลิกเบนซิน 91 โดย ธพ. ได้ออกประกาศกำหนดมาตรฐานให้น้ำมันเบนซินเหลือเพียงชนิดเดียว (ยกเลิกเบนซิน 91) ให้มีผลบังคับใช้ ณ โรงกลั่นผู้ผลิต ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป และได้ออกหนังสือแจ้งผู้ค้าเพื่อผ่อนผันน้ำมันเบนซิน 91 ที่เหลืออยู่ที่คลังและสถานีบริการ ระยะเวลา 3 เดือน ในการจำหน่ายน้ำมันดังกล่าวให้หมดไป รวมทั้งได้กำหนดฝึกซ้อมแผนเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการจัดหาน้ำมันเบนซินพื้นฐาน (G-base) ในภาวะฉุกเฉิน ต่อมา กบง. ได้มีมติเห็นชอบปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อปรับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 จำนวน 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 13 และวันที่ 20 ตุลาคม 2555 โดยปัจจุบันราคาขายปลีกแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าแก๊สโซฮอล 91 อยู่ที่ลิตรละ 3 บาท
3.2 มาตรการบรรเทาผลกระทบ ดำเนินการดังนี้ (1) พพ. จัดทำโครงการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลผ่านสถาบันการศึกษาของรัฐ จำนวน 400,000 เครื่อง (ระยะที่ 1) และ (2) สนพ. ได้หารือกับผู้ค้ามาตรา 7 เกี่ยวกับการบรรเทาผลกระทบหลังการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ได้ผลสรุปว่าหลังจากยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 ในวันที่ 1 มกราคม 2556 จะยังคงมีปริมาณน้ำมันเบนซิน 91 ในสต๊อคที่คลังและสถานีบริการจำหน่ายได้อีกประมาณ 1 เดือน โดยจะค่อยๆ ทยอยลดลงจนหมด ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน 91 หันไปใช้น้ำมันเบนซิน 95 ซึ่งผู้ค้าน้ำมันเห็นว่าควรปล่อยให้การปรับราคาเป็นไปตามกลไกตลาด รัฐไม่ควรเข้าไปแทรกแซง โดยเมื่อน้ำมันเบนซิน 95 มีปริมาณการจำหน่ายมากขึ้นผู้ค้าน้ำมันจะปรับลดค่าการตลาดลงตามปริมาณการขายซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ปรับลดลงจนอยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ ธพ. จะมีการติดตามประเมินผลการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเป็นระยะและ พพ. จะเร่งรัดให้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อให้สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลได้โดยเร็ว
3.3 การประชาสัมพันธ์ ดำเนินการโดย (1) ประชาสัมพันธ์การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลและการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 โดยผู้บริหารกระทรวงพลังงาน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555 ถึงเดือนมกราคม 2556 (2) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนโดยการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 (เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการยกเลิกเบนซิน 91 และผลประโยชน์จากการเปลี่ยนไปใช้แก๊สโซฮอลผ่านทางสื่อต่างๆ รวมทั้งจัดงานเผยแพร่และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน) และ (3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ โดยใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3.4 โครงการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ผ่านทางสถาบัน การศึกษาของรัฐ ดำเนินการโดย พพ. มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 และเพื่อส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลให้เพิ่มขึ้น ลักษณะโครงการเป็นการฝึกอบรมผู้ดำเนินการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาจำนวน ไม่น้อยกว่า 100 คน และดำเนินการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้โดยบุคลากรวิทยาลัยอาชีวศึกษาโดยมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์การเกษตรที่ได้รับการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ฯ จำนวนรวม 400,000 คัน/เครื่อง แบ่งเป็นรถยนต์ 100,000 คัน รถจักรยานยนต์ 100,000 คัน และเครื่องจักรกลการเกษตร 200,000 เครื่อง ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 124,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 10 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนปฏิบัติการการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91
2. เห็นชอบในหลักการให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ผ่านทางสถาบันการศึกษาของรัฐ ระยะที่ 1 โดยให้จัดทำข้อเสนอโครงการเสนอต่อคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
กบง. ครั้งที่ 133 -วันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 36/2555 (ครั้งที่ 133)
วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลก ซึ่ง ปตท. ได้รายงานเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจโลกว่า ในช่วงสัปดาห์นี้เศรษฐกิจโลกยังรอการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหา Fiscal cliff ของสหรัฐอเมริกาว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งคาดว่าจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนขึ้นเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาถดถอย และในกลุ่มประเทศยุโรปมีแนวโน้มมีความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากขึ้น ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตลาดโลก ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.62 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก และคาดว่าแนวโน้มจะปรับตัวลดลงเนื่องจากสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ประเทศที่นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านสามารถดำเนินการได้อีก 6 เดือน และปัจจัยอื่นคือ ผลการประชุมโอเปคในวันที่ 12 ธันวาคม 2555 ซึ่งคาดว่าจะยังไม่มีการปรับระดับเพดานการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม ในส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันเบนซินได้ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 3.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันเบนซินสำรองที่ตลาดสิงคโปร์มีปริมาณสูงขึ้นอีก 634,000 บาร์เรล ปัจจุบันอยู่ที่ 10.08 ล้านบาร์เรล และจีนได้ผลิตน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นจากปี 2554 คิดเป็นร้อยละ 15.8 ส่วนราคาน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวลดลง เนื่องจากจีนมีการส่งออกน้ำมันดีเซลในปริมาณสูงถึง 2.25 - 2.63 ล้านบาร์เรลต่อวัน ปริมาณสำรองน้ำมันดีเซลในตลาดสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 1.55 ล้านบาร์เรล เป็น 11.48 ล้านบาร์เรล สูงสุดในรอบ 14 เดือน ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 104.57, 116.45 และ 121.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 4.48 4.88 และ 4.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555) จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลลง 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2555 ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2555 เป็นดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,499 ล้านบาท หนี้สินรวม 22,304 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 17,805 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.70 บาทต่อลิตร เป็น 1.20 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 25.90 ล้านบาท จากติดลบวันละ 2.37 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 23.53 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 8.00 | 8.50 | +0.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.70 | 7.20 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.30 | +0.50 | |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 0.00 | 0.50 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.30 | -1.80 | +0.50 |
น้ำมันดีเซล | 0.70 | 1.50 | 80 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการดำเนินงานโครงการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ ผ่านทางสถาบันการศึกษาของรัฐ (ระยะที่ 1) ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 และต่อมาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยให้เลื่อนกำหนดการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ออกไปอีก 3 เดือน จากวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2556 และให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ปรับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้นเพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 รวมทั้งให้กระทรวงพลังงานเร่งประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้เกิดการยอมรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ให้มากขึ้น
2. เมื่อยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 จะทำให้มีการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ปริมาณการใช้เอทานอลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ผลิตได้ในประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่จะมีผู้ใช้น้ำมันเบนซิน 91 ที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากเครื่องยนต์ไม่สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มรถยนต์ที่ผลิตก่อนปี 2538 เป็นรถยนต์ที่ไม่รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยจากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก มีรถยนต์ประมาณ 500,000 คัน ที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน (2) กลุ่มรถจักรยานยนต์ 2 จังหวะ ที่ผลิตก่อนปี 2543 ประมาณ 500,000 คัน และ (3) กลุ่มเครื่องยนต์การเกษตรขนาดเล็กที่ใช้น้ำมันเบนซิน ประมาณ 500,000 - 1,000,000 เครื่อง
3. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้จัดทำ "โครงการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ผ่านทางสถาบันการศึกษาของรัฐ" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงหลังการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 และเพื่อส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล ลักษณะโครงการเป็นการฝึกอบรมผู้ดำเนินการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาจำนวน ไม่น้อยกว่า 400 คน และดำเนินการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้โดยบุคลากรวิทยาลัยอาชีวศึกษา โดย พพ. จะขอรับเงินจัดสรรจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อสนับสนุนแก่เจ้าของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์การเกษตร ที่ไม่สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ผ่านทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเพื่อดำเนินโครงการ ดังนี้ (1) ประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลในการดำเนินการ (2) ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนวิทยาลัยอาชีวศึกษาเข้าร่วมโครงการ อย่างน้อย 200 แห่งทั่วประเทศ (3) จัดทำคู่มือการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ รวมถึงรายการชิ้นส่วนที่ควรเปลี่ยนและการประมาณการค่าใช้จ่าย (4) จัดอบรมบุคลากรผู้ปฏิบัติของวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ (5) กำกับการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลในวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ และ (6) เสนอสรุปรายงานการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานรายงานต่อ พพ. ทุกเดือน
4. วิทยาลัยอาชีวศึกษาที่เข้าร่วมโครงการมีหน้าที่ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือเครื่องยนต์การเกษตรที่ผู้ผลิตไม่รับรองว่าสามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ โดยการสนับสนุนค่าแรงงานในการปรับเปลี่ยนแก่เจ้าของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือเครื่องยนต์การเกษตร ส่วนเจ้าของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือเครื่องยนต์การเกษตรจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าอุปกรณ์เอง ในช่วงระยะเวลา 1 เดือนหลังจากการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ หากมีปัญหาเนื่องจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว วิทยาลัยอาชีวศึกษาจะรับผิดชอบดำเนินการปรับเปลี่ยนให้จนใช้งานได้ตามปกติ ทั้งนี้ ทุกรายการสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามที่ พพ. เห็นสมควร ภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ มีระยะเวลาดำเนินการ 10 เดือน นับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 124,000,000 บาท
5. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ พพ. ดำเนินงานโครงการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ผ่านทางสถาบันการศึกษาของรัฐ ระยะที่ 1 โดยให้จัดทำโครงการเสนอคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) เพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ต่อไป ซึ่ง พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงรายละเอียดโครงการและวงเงินงบประมาณให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และต่อมาเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555 อบน. ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการจัดตั้งศูนย์บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้แก๊สโซฮอลได้ ผ่านทางสถาบันการศึกษาของรัฐ (ระยะที่ 1)" ในวงเงิน 66,000,000 บาท (หกสิบหกล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินงาน 7 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2556
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 134 - วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 37/2555 (ครั้งที่ 134) 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
2. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
ประธานฯ ได้แจ้งที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ซึ่งกระทรวงพลังงานจะต้องมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเชิญประชุม กบง. เพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว
เรื่องที่ 1 แนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
1. คำแถลงนโยบายรัฐบาล เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง ส่วนการชดเชยราคาเชื้อเพลิงจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เห็นชอบให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน (18.13 บาทต่อกิโลกรัม) ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายในการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้สะท้อนต้นทุนที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซในปี 2556 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้า หาบเร่ แผงลอย
3. จากการสำรวจของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พบว่า โดยทั่วไปครัวเรือนจะใช้ก๊าซ ในการประกอบอาหารประมาณ 6 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไปสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซจะทำให้ประชาชนจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียงเดือนละประมาณ 60 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่น้อยมาก แต่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบร้านอาหารอาจฉวยโอกาสขึ้นราคาอาหาร ดังนั้น จึงได้กำหนดกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบที่ควรได้รับการช่วยเหลือ 2 กลุ่ม ดังนี้
3.1 กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย: สามารถใช้ข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่วนผู้ที่ไม่มีไฟฟ้าจะใช้วิธีเปิดลงทะเบียนโดยใช้ท้องถิ่นเป็นจุดลงทะเบียน โดยการช่วยเหลือจะชดเชยในปริมาณ 6 กิโลกรัมต่อเดือน ในอัตราชดเชยระหว่างส่วนต่างราคา 18.13 บาทต่อกิโลกรัม กับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น
จำนวนครัวเรือนผู้ใช้ไฟฟ้าแยกตามปริมาณการใช้ไฟฟ้า
หน่วย : ราย
ปริมาณการใช้ไฟฟ้า | กฟน. | กฟภ. | ไม่มีไฟฟ้าใช้ | รวม |
ไม่เกิน 50 หน่วย | 140,961 | 3,337,742 | 194,907 | 3,673,610 |
ไม่เกิน 65 หน่วย | 482,39 | 5,191,835 | 194 ,907 | 5,869,139 |
ไม่เกิน 90 หน่วย | 671,766 | 7,470,472 | 194 ,907 | 8,337,145 |
เกิน 90 หน่วย | 1,947,215 | 9,699,640 | 194 ,907 | 11,841,762 |
จำนวนครัวเรือน | 2,618,981 | 17,170,112 | 194 ,907 | 19,984,000 |
3.2 กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร :ในเบื้องต้นคาดว่ามีผู้ประกอบการร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ประมาณ 500,000 ราย มีการใช้ก๊าซ LPG ในการประกอบอาหารเฉลี่ยร้านค้าละประมาณ 150 กิโลกรัมต่อเดือน ดังนั้น เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมและชัดเจนควรจัดให้มีการลงทะเบียนและจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวในการประกอบอาหาร ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 77 จังหวัด
4. ประมาณการภาระการช่วยเหลือกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอย
หน่วย : ล้านบาท/ปี | ภาระการช่วยเหลือ | รวม | |
ครัวเรือน | ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร | ||
ไม่เกิน 50 หน่วย | 1,252 | 3,011 | 4,263 |
ไม่เกิน 65 หน่วย | 2,043 | 3 ,011 | 5,054 |
ไม่เกิน 90 หน่วย | 2,931 | 3 011 | 5,942 |
5. ฝ่ายเลขานุการได้เสนอการจัดทำฐานข้อมูล โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้
5.1 กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย : การกำหนดครัวเรือนรายได้น้อยจะอ้างอิงจากฐานข้อมูลครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หรือ 90 หน่วยต่อเดือน ซี่งจะใช้ฐานข้อมูลของ กฟน. และ กฟภ. ตามโครงการของรัฐบาลในการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยโดยจะให้ใช้ไฟฟ้าฟรี รวมถึงครัวเรือนรายได้น้อยที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ประมาณ 0.19 ล้านครัวเรือน ในส่วนนอกเขตเมืองจะใช้ฐานข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และเขตเมืองจะว่าจ้างผู้มีความเชี่ยวชาญในการจัดทำฐานข้อมูลและลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิในการช่วยเหลือ
5.2 ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร :เพื่อให้การจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มนี้มีความครอบคลุม ถูกต้อง ชัดเจน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการจัดจุดลงทะเบียน โดยว่าจ้างผู้มีความเชี่ยวชาญจัดทำฐานข้อมูลและลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิในการช่วยเหลือ
6. ในการจัดทำฐานข้อมูลจะต้องมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อดำเนินการในการจัดทำฐานข้อมูลและลงทะเบียนสำหรับกลุ่มครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าในเขตเมืองและกลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ทั่วประเทศจำนวน 77 จังหวัด ทั้งนี้ในการเตรียมการเพื่อให้มีการลงทะเบียนดังกล่าวจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้าถึงรายละเอียด หลักเกณฑ์ วัน เวลา สถานที่ลงทะเบียน และอื่นๆ ซึ่งได้มีการประมาณการค่าใช้จ่ายไว้เบื้องต้นในวงเงินประมาณ 50 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย โดยอิงจากฐานข้อมูลครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานในการดำเนินงาน โครงการจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร และครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพื่อรองรับการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เรื่องที่ 2 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
คำแถลงนโยบายรัฐบาล เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง ส่วนการชดเชยราคาเชื้อเพลิงจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
2. ตามคำสั่ง กพช. ครั้งที่ 4/2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในข้อ 3 (8) ได้กำหนดให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีอำนาจและหน้าที่ในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงาน ในหน้าที่ตามความจำเป็น
3. เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายในการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซในปี 2556 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ ภาคครัวเรือน
4.เพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้ (1) ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานอนุกรรมการ (2) หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน (3) ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (4) ผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน (5) ผู้แทนกรมการค้าภายใน (6) ผู้แทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (7) ผู้แทนการไฟฟ้านครหลวง (8) ผู้แทนกรมธุรกิจพลังงาน (9) ผู้แทนธนาคารกรุงไทย (10) ผู้แทนสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ลำดับที่ (2) ถึง (10) เป็นอนุกรรมการ (11) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ (12) รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (13) ผู้อำนวยการสำนักนโยบายปิโตรเลียมและปิโตรเคมี เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
โดยมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้ (1) กำหนดแนวทางการบรรเทาผลกระทบ หลักเกณฑ์และคุณสมบัติผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน (2) พิจารณาการจัดทำฐานข้อมูล การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน 3) มีอำนาจเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมพิจารณา รวมทั้งจัดหา รวบรวม จัดส่งหรือชี้แจงเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (4)ดำเนินการอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว> (LPG) ภาคครัวเรือน
กบง. ครั้งที่ 135 - วันอังคารที่ 8 มกราคม 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2556 (ครั้งที่ 135)
วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
2. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2556
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายณอคุณ สิทธิพงศ์ กรรมการ เป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อราคาน้ำมันตลาดโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาคือเรื่องหน้าผาการคลัง (Fiscal cliff) ของสหรัฐอเมริกา ที่ได้คลี่คลายในระดับหนึ่ง ส่วนในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญคือ สภาพเศรษฐกิจของจีนที่กำลังเติบโต และในเขตเอเชียเหนือ ได้แก่ จีน และเกาหลีมีอุณหภูมิลดต่ำมาก ทำให้ต้องใช้มาตรการพิเศษในการผลิตน้ำมัน ประกอบกับท่อขนส่งน้ำมันทางทะเล (Seaway) ในสหรัฐอเมริกาปรับเพิ่มกำลังขนส่งจากเขต Cushingในรัฐโอกลาโฮมา ไปยังโรงกลั่นทางตอนใต้ในเขต Gulf Coast รัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกาจาก 150,000 บาร์เรล เป็น 400,000 บาร์เรล ส่งผลให้ปริมาณสำรองลดลง จึงทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ในส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป แนวโน้มราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันในไต้หวันปิดปรับปรุง 3 เดือน ส่วนราคาน้ำมันดีเซลจากความต้องการใช้เพิ่มขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว และปริมาณสำรองในสิงคโปร์ปรับลดลงต่ำสุดในช่วง 2 สัปดาห์ สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2555 ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2556 อยู่ในระดับสูง
เรื่องที่ 2 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3cกำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 7 มกราคม 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 106.60, 121.01 และ125.47 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.48, 4.56 และ 3.76 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2555 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลขึ้น 2 ครั้ง ครั้งละ 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2555 และวันที่ 4 มกราคม 2556 ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 8 มกราคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 8 มกราคม 2556
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 6 มกราคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 6,075 ล้านบาท หนี้สินรวม 22,555 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 16,479 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 23.04 ล้านบาท จากวันละ 117.96 ล้านบาท เป็นวันละ 94.92 ล้านบาท
เห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 1.50 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2556 เป็นต้นไป
,a name=3>
เรื่องที่ 3 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2556
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณ นำระบบการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ซึ่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551
2. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2555 กรมบัญชีกลางได้จัดส่งกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2556 ให้ สนพ. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการประเมินผล ต่อมา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 สนพ. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กรมบัญชีกลาง และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2556 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานกับกรมบัญชีกลางและบริษัท ทริส เพื่อปรับปรุงเกณฑ์การประเมินผลฯ ให้สอดคล้องกับกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลฯ
ของกรมบัญชีกลาง และสถานการณ์ของกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบัน โดยสรุปเกณฑ์การประเมินผลฯ ได้ดังนี้
2.1 ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากความสามารถในการหาเงินกู้ของกองทุนฯ (2) อัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ และ (3) การจัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 170 ให้กรมบัญชีกลาง
2.2 ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) การรักษามาตรฐานระยะเวลาการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยตามประกาศ กบง. (2) การรักษามาตรฐานระยะเวลาในการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยก๊าซแอลพีจีนำเข้าจากต่างประเทศ และ (3) ร้อยละของการเผยแพร่ประมาณการรับ-จ่ายที่เกิดขึ้นตามประกาศ กบง. ทางเว็บไซต์ สบพน. ได้ภายในวันทำการถัดไปของวันที่มีผลปรับอัตราเงินชดเชย/เงินส่งเข้ากองทุน ตามประกาศ กบง.
2.3 การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ (2) ระดับความสำเร็จของการนำข้อคิดเห็นจากการสำรวจความพึงพอใจไปปรับปรุง
2.4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียนการบริหารความเสี่ยง (3) การควบคุมภายใน (4) การตรวจสอบภายใน (5) การบริหารจัดการสารสนเทศ และ (6) การบริหารทรัพยากรบุคคล
3. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 กรมบัญชีกลางได้แจ้งว่า คณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน กระทรวงการคลัง ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดเกณฑ์ชี้วัดของการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ตามที่ได้หารือเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 แล้ว และกรมบัญชีกลางจึงได้จัดส่ง "บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2556 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ให้ สนพ. เพื่อนำเสนอผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และส่งคืนกรมบัญชีกลางภายใน 30 วันนับจากวันที่กรมบัญชีกลางส่งบันทึกข้อตกลงฯ
4. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2555 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2556 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ เสนอให้ประธาน กบง. ลงนามเรียบร้อยแล้ว และได้จัดส่งบันทึกข้อตกลงดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางเพื่อดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ตาม ระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 หมวด 6 การตรวจสอบภายใน ข้อ 18 ให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุน อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 มีนาคม 2548 วรรคสาม- ให้แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. เป็นผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอให้ กบง. ทราบต่อไป
2. ในปีงบประมาณ 2555 ผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. ได้ดำเนินการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ พร้อมทั้งได้สรุปผลการตรวจสอบกับผู้รับผิดชอบและผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงานแล้ว จำนวน 3 กิจกรรม ดังนี้
2.1 ตรวจสอบการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2554 ทั้งหมด 512 รายการ จำนวนเงินทั้งสิ้น 715,773,250.33 บาท นำเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. เพื่อพิจารณาความถูกต้องของการบันทึกบัญชี และสอบทานระยะเวลาดำเนินการให้เป็นไปตามที่ระเบียบฯ กำหนด ดังนี้ (1) ระยะเวลาการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ระเบียบฯ กำหนดให้ส่งเงินเข้าบัญชีฯ อย่างช้าภายใน 2 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงิน จากการสอบทานเอกสารพบว่าทั้ง 512 รายการ มีการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ภายในระยะเวลาที่ระเบียบกำหนดไว้ และ (2) ระยะเวลาการจัดทำรายละเอียดพร้อมแนบสำเนาใบนำฝากเงิน (Pay-in-Slip) และสำเนาใบส่งเงินส่งให้ สบพน. ระเบียบฯ กำหนดภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่ได้นำเงินฝากเข้าบัญชี จากการสอบทาน พบว่า ไม่เป็นไปตามที่ระเบียบฯ กำหนด จำนวน 162 รายการ สาเหตุเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสรรพสามิตพื้นที่ต่างจังหวัด ต้องส่งเอกสารทางไปรษณีย์ จึงทำให้เอกสารมาถึง สบพน. ล่าช้า
2.2 ตรวจสอบการจ่ายเงินชดเชยก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนเมษายน 2555 จำนวนเงิน 24,935,251,017.83 บาท เสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. เพื่อพิจารณาให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่ระเบียบฯและมติของ กบง.
2.3 ตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเบิก - จ่ายเงิน ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2555 และโครงการต่อเนื่อง ระหว่างเดือนเมษายน 2554 - เดือนกรกฎาคม 2555 นำเสนอคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. ดังนี้ (1) โครงการที่ได้รับอนุมัติให้เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ และยังไม่ปิดโครงการ 19- โครงการ วงเงินอนุมัติ 1,137,470,229 บาท เบิกใช้จ่ายแล้ว 522,590,313.25 บาท คงเหลือ 614,879,913.75 บาท (2) โครงการที่ได้รับอนุมัติให้เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ที่ปิดโครงการแล้ว 15 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 526,668,315 บาท เบิกจ่ายแล้ว 308,878,381.47 บาท คงเหลือ 217,789,933.53 บาท ใช้จ่ายจริง 305,376,446.69 บาท คืนเงินต้นคงเหลือและดอกผลให้กองทุนน้ำมันฯ ภายใน 15 วัน ตามที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ และ (3) โครงการที่เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้วและมิได้จัดทำรายงานสรุปการรับ-จ่ายเงินกองทุนประจำเดือนส่งให้ สบพน. ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV (ธพ.) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ด้านนโยบายพลังงาน ระยะที่ 2 (สป.พน.) โครงการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน (สป.พน.) และโครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานระดับประเทศ (สป.พน.)
3. คณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. มีความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ (1) ให้ สบพน. แจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 กำหนดไว้ (2) หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ ควรขอเบิกเงินให้เป็นไปตามแผนการใช้เงิน ที่ได้รับอนุมัติจาก กบง. และหากเบิกเงินตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป ควรสรุปผลการใช้จ่ายเงินในงวดที่ผ่านมาให้กองทุนน้ำมันฯ รับทราบ (3) โครงการที่ไม่มีการดำเนินการ หรือผ่านมาหลายปีแล้ว ควรทำเรื่องเสนอให้ กบง. พิจารณาเพื่อยกเลิกโครงการดังกล่าว และ (4) การจัดทำร่างระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิก-จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ควรเพิ่มเติมรายละเอียดให้ครอบคลุมเกี่ยวกับระยะเวลาการเบิกเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินจากกองทุน น้ำมันฯ และควรระบุให้มีการสรุปผลการดำเนินโครงการว่าผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่อย่างไร พร้อมกับการส่งคืนเงินคงเหลือและดอกผลให้กองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 136 - วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2556 (ครั้งที่ 136)
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 110.59, 129.98 และ 131.76 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.99, 8.97 และ 6.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2556 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคา ขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลขึ้น 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2556 ปรับเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ปรับเพิ่มขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2556 มีทรัพย์สินรวม 5,724 ล้านบาท หนี้สินรวม 20,699 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 14,975 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 28.56 ล้านบาท จากติดลบวันละ 15.82 ล้านบาทเป็นติดลบวันละ 44.38 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จาก 1.10 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2555 ให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อดำเนินงานโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในวงเงิน 13,584,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 เดือน โดย ธพ. ได้มอบหมายให้งานปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปนม.ตร.) ดำเนินการ โดย ธพ. รวบรวมและแจ้งรายชื่อโรงบรรจุและสถานีบริการก๊าซเป้าหมายทั่วประเทศ จำนวน 578 ราย ที่มีปริมาณการจำหน่ายสูง หรือต่ำเกินไป ให้ ปนม.ตร. จัดส่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการไปเฝ้าระวัง สืบหาข่าว ติดตาม ตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำผิด ณ โรงบรรจุก๊าซหรือสถานีบริการก๊าซ และให้รายงานผลการดำเนินงานต่อ ธพ.
2. ปนม.ตร. รายงานผลการปฏิบัติงานตามโครงการฯ ประจำเดือนมิถุนายน – ตุลาคม 2555 ซึ่งได้ตรวจสอบทั้งสิ้น 532 ราย และจับกุมผู้กระทำผิดจำนวน 10 ราย ได้แก่
2.1 พบผู้กระทำผิดพยายามนำก๊าซฯ ออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 จำนวน 2 ราย คือ (1) นางสาวเอื้อมพร พอเหมาะ ผู้ต้องหารับสารภาพ ถูกปรับ ที่กรมศุลกากรแล้ว จึงระงับคดี (2) นายสุเทพ ตาคลี รับสารภาพ อยู่ระหว่างดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน
2.2 บริษัท เปี่ยมจินดาทรัพย์ จำกัด ประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยไม่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 ซึ่งฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ การรับหรือซื้อน้ำก๊าซฯ จากโรงบรรจุก๊าซ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 22(1) คือ เจ้าของสถานีบริการ ต้องไม่ซื้อหรือ รับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระวางโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 8 จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสารและขอหลักฐานเพิ่มเติมของอัยการ
2.3 บริษัท รัตนากร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด โดยนายจรูญ ศรีหะบุตร เป็นผู้ดูแลสถานีบริการรับน้ำก๊าซฯ จากโรงบรรจุก๊าซ ซึ่งฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 22(1) คือ เจ้าของสถานีบริการ ต้องไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระวางโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 8 จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน
2.4 ผู้บรรจุก๊าซ จำนวน 6 ราย บรรจุก๊าซข้ามยี่ห้อ ได้แก่ (1) บจ. ดี. เอส. ปิโตรเลียมแก๊ส อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน (2) หจก. นครพนมแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 3,000 บาท (3) บจ. นครอินดัสเตรียลแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 3,000 บาท (4) หจก. พุถ่องแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 1,000 บาท (5) บจ. แก๊สเซ็นเตอร์เลย อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน และ (6) หจก. บุรีรัมย์มิตรประชาแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 1,500 บาท ปนม.ตร. ได้เปรียบเทียบปรับโดยถือว่าเป็นการกระทำผิดด้านความปลอดภัย คือ กระทำการบรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืนตามข้อ 74 วรรค 3 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2529) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2514 “ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือตัวแทนค้าต่างต้องบรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันอื่น ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ค้าน้ำมันอื่นที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น หรือจากผู้ค้าน้ำมันที่เป็นตัวการและผู้ค้าน้ำมันอื่นที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นแล้วแต่กรณี” ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
มติของที่ประชุม
1. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่าย ก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปทบทวนกฎระเบียบในบทลงโทษและเร่งจัดทำมาตรการป้องกัน การลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศ เพื่อนบ้าน พร้อมทั้งออกระเบียบหรือกฎหมายเพื่อกำกับดูแลการดำเนินการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2555 คณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนาการทำเกษตรกรรมในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมียมที่เหมาะสม มีหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ได้มติเห็นชอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) พิจารณาแนวทางการสนับสนุนชดเชยการผลิตเอทานอลจากอ้อยเพื่อให้บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด สามารถรับซื้ออ้อยได้ในราคาทัดเทียมกับเกษตรกรที่ปลูกอ้อยส่งโรงงานผลิตน้ำตาลทั้งอ้อยในพื้นที่และนอกพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมียมและมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักนำข้อเสนอของคณะกรรมการฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555 กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือเรื่อง ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยให้ พพ. พิจารณาแนวทางการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิต เอทานอลให้สามารถรับซื้ออ้อยเพื่อผลิตเอทานอลได้ในราคาทัดเทียมกับอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 กระทรวงพลังงานได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการชดเชยพิเศษฯ ดังกล่าว ซึ่งกระทรวงพลังงานไม่เห็นด้วยกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยราคาอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล และเสนอให้กระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับเงินสนับสนุนต่อไป
3. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานโดย พพ. พิจารณาหาแนวทางการชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ภายใต้ขอบเขตที่กองทุนน้ำมันฯ สามารถดำเนินการได้โดยอ้างอิงการคำนวณเช่นเดียวกับมันสำปะหลังซึ่งนำไปผลิตเป็นเอทานอล พร้อมระบุหน่วยงานและสัดส่วนงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2555 พพ. ได้มีหนังสือหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากอ้อยในจังหวัดตาก ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือแจ้งว่าให้ พพ. เสนอปัญหาเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากอ้อยในจังหวัดตากให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาก่อน ตามขั้นตอนของการบริหารราชการแผ่นดิน
4. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555 พพ. ได้มีแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาหาแนวทางการชดเชยให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่โครงการฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก และพิจารณาสัดส่วนงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินชดเชยให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 11 และ 18 มกราคม 2556 คณะทำงานฯ ได้ประชุมเพื่อหารือและได้มีความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ เป็น 3 แนวทาง (จำนวนเงินที่จะชดเชย 78,643,406 บาท) ดังนี้ (1) ผู้แทนจังหวัดตาก กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัดและบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่าให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเงินให้เกษตรกร (2) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กรมควบคุมมลพิษ และบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเงินให้เกษตรกร และ (3) ผู้แทน สนพ. พพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ไม่เห็นด้วยในการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเงินให้เกษตรกรเนื่องจากการใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์กองทุนน้ำมันฯ และการชดเชยดังกล่าวเป็นการขอเพื่อชดเชยรายได้ให้เกษตรกรเพื่อให้ราคาอ้อยสำหรับผลิตเอทานอลมีราคาเท่ากับราคาอ้อยสำหรับผลิตเป็นน้ำตาล ทั้งนี้ คณะทำงานฯ มีความเห็นให้นำประเด็นข้อมูลและความเห็นจากการประชุมคณะทำงานฯ ข้างต้น เสนอ กบง. เพื่อประกอบการพิจารณาว่าจะสามารถชดเชยเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจังหวัดตากได้หรือไม่ ต่อไป
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีความเห็นดังนี้
5.1 ถึงแม้ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 7(5) กำหนดไว้ว่า กองทุนฯ อาจมีรายจ่ายเป็น “ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ” แต่อย่างไรก็ตาม ความเห็นของคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ จะต้องไม่ขัดต่อเจตนารมย์ของการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ ที่มีวัตถุประสงค์หลักคือรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และแก้ไขป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
5.2 อ้อยในโครงการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมใช้ผลิตเอทานอลไม่สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำตาล เพื่อบริโภคได้ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจังหวัดตาก ขอรับเงินชดเชยเพิ่มจากราคาประกันที่ บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ประกาศไว้เพิ่มอีก 200 บาทต่อตัน จาก 950 บาทต่อตัน เพิ่มเป็น 1,150 บาทต่อตัน เพื่อให้ราคาใกล้เคียงกับอ้อยที่นำไปผลิตน้ำตาลที่มีราคาประกาศที่ 1,000 บาทต่อตัน รวมค่าความหวานอีก 154 บาทต่อตัน เป็น 1,154 บาทต่อตัน ปริมาณอ้อย 3.9 แสนตัน คิดเป็นเงินที่ต้องใช้ชดเชยทั้งหมดประมาณ 78 ล้านบาท
5.3 การใช้เงินกองทุนฯ ไปจ่ายชดเชยให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยไม่สามารถกระทำได้และไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ในการแก้ไขป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะการขอรับเงินชดเชยเป็นการช่วยเหลือเพื่อยกระดับราคาอ้อยในโครงการฯ ให้เทียบเท่ากับราคาอ้อยที่นำไปผลิตเป็นน้ำตาล แม้ว่าจะใช้วิธีการเดียวกับการนำมันสำปะหลังไปผลิตเอทานอลและจำหน่ายให้ผู้ค้ามาตรา 7 นำไปผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล ก็ตาม ในขณะที่การชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังที่เคยดำเนินการเมื่อปลายปี 2555 นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการป้องกันการขาดแคลนเอทานอลที่ผสมน้ำมันแก๊สโซฮอลในระยะยาว และ เป็นการชดเชยระยะสั้นเพียง 5 เดือนเท่านั้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรองรับการใช้ เอทานอลที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลของนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2556
5.4 เพื่อเป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยโดยเร็ว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงมหาดไทย หารือสำนักงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการชดเชยราคาอ้อย ในพื้นที่โครงการฯ
มติของที่ประชุม
1. ภายใต้ขอบเขตการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่สามารถสนับสนุนชดเชยให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตากได้ เนื่องจากไม่อยู่ในขอบเขตและไม่ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น ในระยะสั้น (ปี 2556) ควรพิจารณาใช้เงินงบประมาณกลางในการชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ในลุ่มน้ำ แม่ตาว จังหวัดตากแทน
2. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ทำหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
กบง. ครั้งที่ 137 - วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2556 (ครั้งที่ 137)
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 112.66, 134.63 และ 134.87 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.07, 4.65 และ 3.11 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 ขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร และมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2556 ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556 มีทรัพย์สินรวม 4,960 ล้านบาท หนี้สินรวม 20,111 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,152 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 28.56 ล้านบาท จากติดลบวันละ 33.10 ล้านบาทเป็นติดลบวันละ 61.66 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลโดยการปรับลดอุณหภูมิการกลั่นน้ำมันดีเซล จาก 370 องศาเซลเซียส เป็น 357 องศาเซลเซียส มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 และลดปริมาณกำมะถันจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.5 หรือจาก 10000 ppm เป็น 5000 ppm มีผลตั้งแต่ 1 กันยายน 2536 ทำให้การคำนวณโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 5000 ppm บวกค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 0.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่อมาได้มีการปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลจากปริมาณกำมะถัน 5000 ppm เป็น 2500 ppm มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2539 ทำให้การคำนวณโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันดีเซลอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 5000 ppm บวกค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซล 0.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากนั้นได้มีการปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลจากปริมาณกำมะถัน 2500 ppm เป็น 500 ppm มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 และมีการคำนวณโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 5000 ppm บวกค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซล 1.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2547 ได้มีการปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลจากปริมาณกำมะถัน 500 ppm เป็น 350 ppm โดยมีหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันดีเซลโดยมีค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ให้กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทย ในอนาคตตามมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 4 โดยการปรับปรุงจากมาตรฐานคุณภาพน้ำมันที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน และให้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ปริมาณกำมะถันไม่สูงกว่า 50 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นเพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ของน้ำมันดีเซล ดังนี้
3. Platts ซึ่งเป็นผู้ประกาศราคาซื้อขายน้ำมันตลาดสิงคโปร์ที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ใช้ในการอ้างอิงราคาในการคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นได้แจ้งยกเลิกการประกาศราคาน้ำมันดีเซล กำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) ที่ สนพ. ใช้ในการอ้างอิงการคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซล โดยประกาศใช้ราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 500 ppm (0.05%s) เป็นตัวฐานในการซื้อขายน้ำมันดีเซลแทน ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2556
4. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2555 สนพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน และผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เกี่ยวกับค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการคำนวณโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซล โดยที่ประชุมได้มีข้อคิดเห็นดังนี้ (1) ปัจจุบันคุณภาพน้ำมันดีเซลของไทยเป็นมาตรฐานน้ำมัน ยูโร 4 โดย สนพ. ได้คำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลโดยใช้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากกำมะถัน 5000 ppm เป็นกำมะถัน 350 ppm ที่ 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และจากน้ำมันดีเซลกำมะถัน 350 ppm เป็นกำมะถัน 50 ppm ที่ 2.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล รวมค่าปรับคุณภาพอยู่ที่ 3.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยหากเปลี่ยนการอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์เป็นกำมะถัน 500 ppm จะต้องมีต้นทุนค่าปรับคุณภาพและค่าปรับอุณหภูมิการกลั่น เนื่องจากการกลั่นน้ำมันโรงกลั่นของไทยมีอุณหภูมิการกลั่นอยู่ที่ 3570C แต่โรงกลั่นสิงคโปร์มีอุณหภูมิการกลั่นที่ 3700C (2) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 Platts ได้ประมาณการส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันดีเซล กำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) กับกำมะถัน 500 ppm ในเดือนมกราคมถึง กุมภาพันธ์ 2556 อยู่ที่ 1.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และ (3) การเปรียบเทียบส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm กับกำมะถัน 500 ppm ตลาดสิงคโปร์ ในปี 2554 พบว่ามีส่วนต่างราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.663 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปี 2555 มีส่วนต่างราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.954 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
5. กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันได้เสนอปรับลดต้นทุนค่าปรับคุณภาพน้ำมันลง 1.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 2.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 Platts ได้ประกาศส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) กับกำมะถัน 500 ppm ช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2556 อยู่ที่ 1.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะทำให้มีค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งในระหว่างที่ยังไม่มีข้อสรุปจากการพิจารณาค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลจากการอ้างอิงฐานใหม่ สนพ. จึงได้ใช้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลที่ 2.88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (จากเดิม 3.90 หักลบด้วย 1.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามประกาศของ Platts) เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีมติใหม่
6. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ได้พิจารณาค่าปรับคุณภาพน้ำมันดังนี้
6.1 ในปี 2555 คุณภาพน้ำมันถูกกำหนดตามมาตรฐานน้ำมันยูโร 4 มีค่ากำมะถันที่ 50 ppm การคำนวณราคาน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่นที่อ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 5000 ppm มีค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 3.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งค่าปรับปรุงคุณภาพประกอบด้วยค่าลดกำมะถันจาก 5000 ppm เป็น 50 ppm 3.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และค่าปรับลดอุณหภูมิการกลั่นจาก 3700C เป็น 3570C อีก 0.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล การเปลี่ยนการใช้อ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์จากกำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) เป็นกำมะถัน 500 ppm เมื่อพิจารณาจากค่าปรับคุณภาพที่ผ่านมาพบว่าส่วนต่างค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm กับกำมะถัน 500 ppm อยู่ที่ 0.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้นการเปลี่ยนมาใช้การอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 500 ppm ค่าใช้จ่ายในการลดกำมะถันจะลดลง 0.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จาก 3.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็น 2.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้นการอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 500 ppm จึงมีค่าลดกำมะถัน 2.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และค่าปรับลดอุณหภูมิการกลั่นอีก 0.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล รวม 3.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
6.2 การเปรียบเทียบราคาอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ระหว่างกำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) กับกำมะถัน 500 ppm พบว่ามีส่วนต่างราคาเฉลี่ยปี 2011 อยู่ที่ 1.663 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปี 2012 อยู่ที่ 1.954 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และปี 2011 – 2012 อยู่ที่ 1.811 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยส่วนต่างราคาที่แตกต่างกัน ถูกกำหนดโดย 2 ปัจจัย คือ ต้นทุนค่าปรับคุณภาพน้ำมันและปริมาณการซื้อขายของน้ำมันดีเซลทั้ง 2 เกรด ณ ช่วงเวลานั้น จึงเห็นว่าการใช้ส่วนต่างราคาดังกล่าวไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กำหนดเป็นค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ในการคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของไทย
6.3 Platts มีประกาศราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 50 ppm แต่เนื่องจากมันดีเซลกำมะถัน 50 ppm ในตลาดสิงคโปร์มีปริมาณการซื้อขายน้อย มีเฉพาะประเทศไทยและสิงคโปร์ที่ใช้น้ำมันดีเซลคุณภาพกำมะถัน 50 ppm ทำให้ราคาอาจจะมีความผันผวนมากจึงเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นราคาอ้างอิงในการคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นของไทยในขณะนี้
6.4 จากการกำหนดค่าปรับคุณภาพของน้ำมันดีเซลที่ผ่านมา พบว่าการอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm เป็น 500 ppm มีค่าใช้จ่ายในการลดกำมะถันลดลงเพียง 0.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ถ้าพิจารณากำหนดค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลตามข้อเสนอของกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันที่ให้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลลดลง 1.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm กับ 500 ppm ที่ Platts มีประกาศที่ 1.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้น การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันดีเซลที่อ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 500 ppm ตลาดสิงคโปร์ จึงควรมีค่าปรับลดกำมะถันลงจากเดิม 1.02 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันอยู่ที่ 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้น้ำมัน โดยมอบหมายให้ สนพ. นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและขอให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2556
7. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซล ดังนี้
ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2556
มติของที่ประชุม
เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซล ดังนี้
ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2556
กบง. ครั้งที่ 138 - วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2556 (ครั้งที่ 138)
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 108.81, 130.91 และ 130.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลงจากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 เท่ากับ 3.85, 3.72 และ 4.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับ ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล จำนวน 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 ปรับขึ้นชนิดละ 0.50 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2556 ปรับขึ้นชนิดละ 0.60 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2556 มีทรัพย์สินรวม 4,297 ล้านบาท หนี้สินรวม 19,789 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,492 ล้านบาท
5. จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลปรับขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ใหม่ ดังนี้
จากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงประมาณวันละ 28.46 ล้านบาท จากติดลบวันละ 50.19 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 21.73 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป