Super User
ครั้งที่ 89 - วันศุกร์ ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 31/2554 (ครั้งที่ 89)
เมื่อวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
ทั้งนี้ ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่านายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 และคำสั่งดังกล่าว ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2554 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2554 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีฐานะเบื้องต้นสุทธิติดลบ 524 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลดลง โดย ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 107.19 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 122.56 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 126.49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากราคาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2554 ซึ่งใช้อ้างอิงในการประชุมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2554 เท่ากับ 4.39, 6.74 และ 3.47 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลงตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2554 อยู่ที่ 1.7802 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.4224 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดภาระและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ให้ดีขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จาก 1.30 บาทต่อลิตร เป็น 1.70 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.3802 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.3424 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 22 ล้านบาท จากเงินไหลเข้าวันละ 21.6 ล้านบาท เป็นเงินไหลเข้าวันละ 43.7 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 1.30 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.90 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2554 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมและได้มีมติเห็นชอบ ดังนี้
1.1 เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรม ตามระยะเวลาและอัตราดังต่อไปนี้
(1) ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2554 - 30 กันยายน 2554 ในอัตรากิโลกรัมละ 2.8037 บาท (2) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2554 ในอัตรากิโลกรัมละ 5.6075 บาท (3) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 - 31 มีนาคม 2555 ในอัตรากิโลกรัมละ 8.4112 บาท และ (4) ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป ในอัตรากิโลกรัมละ 11.2150 บาท
1.2 มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปหารือกับผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างประกาศเพื่อให้มีความถูกต้องและรอบคอบ ซึ่งหากไม่มีประเด็นสำคัญที่ต้องขอความเห็น กบง. ให้ สนพ. ดำเนินการออกประกาศให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2554 และนำมาเสนอ กบง. เพื่อทราบต่อไป แต่ถ้าหากมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม ให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
1.3 มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการลักลอบการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท แล้วให้รายงานผลการดำเนินการเสนอ กบง. เพื่อทราบต่อไป
2. สนพ. ได้นำร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้โรงงานอุตสาหกรรม ส่งให้ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คือ นายนิพนธ์ ฮะกีมี ตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) ตรวจสอบความถูกต้อง ต่อมา สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 106 พ.ศ. 2554 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 14 ตุลาคม 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 16 พฤศจิกายน 2552
ครั้งที่ 88 - วันจันทร์ ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 30/2554 (ครั้งที่ 88)
เมื่อวันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ ในภาคอุตสาหกรรม
3. การปรับโครงสร้างราคาอ้างอิงเอทานอล
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
ทั้งนี้ ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่านายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 และคำสั่งดังกล่าว ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2554 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2554 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีฐานะเบื้องต้นสุทธิติดลบ 600 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 111.58 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 129.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 129.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันที่ 7 กรกฎาคม 2554 เท่ากับ 3.26, 3.96 และ 3.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 11 กรกฎาคม 2554 อยู่ที่ 0.7310 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.1979 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดต้นทุนราคาน้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร เป็น 1.30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.2310 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.2979 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงวันละ 28 ล้านบาท จากเงินไหลเข้าวันละ 49 ล้านบาท เป็นเงินไหลเข้าวันละ 21 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.30 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ ในภาคอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 ได้มีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการชดเชยราคาก๊าซ LPG ดังนี้
(1) เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนและขนส่ง จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2554 (2) เห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม และ (3) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปจัดทำแนวทางการปรับราคา LPG ภาคอุตสาหกรรม เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาให้ความเห็นชอบและนำเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป
2. เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2554 กบง. ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม และมีมติเห็นชอบเฉพาะประเด็นร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 และได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2554 เล่มที่ 128 ตอนพิเศษ 76 ง
3. เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2554 กรมธุรกิจพลังงานได้ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สนพ. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) และผู้ค้าน้ำมันมาตรา 7 เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมฯ เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป
4. สนพ. ได้กำหนดแนวทางในการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมโดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรมอีกไตรมาสละ 2.8025 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นไตรมาสละ 3 บาทบาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้สามารถเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรมได้อีกไตรมาสละ 2.8025 บาทต่อกิโลกรัม
5. ปัจจุบันก๊าซ LPG ที่โรงกลั่นน้ำมันส่งไปยังโรงแยกก๊าซจังหวัดระยองเพื่อส่งผ่านทางท่อไปคลังก๊าซจังหวัดชลบุรีต้องจ่ายเงินส่งเข้ากองทุน และต้องจ่ายเงินส่งเข้ากองทุนอีกครั้งหลังออกจากคลังก๊าซจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการจ่ายเงินเข้ากองทุนซ้ำซ้อน เพื่อมิให้เป็นการจ่ายเงินซ้ำซ้อน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอเพิ่มข้อความ "ก๊าซที่ส่งไปยังโรงแยกก๊าซจังหวัดระยอง" ในข้อ 2 (1) ในประกาศ กบง. เพื่อยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนในกรณีก๊าซที่ส่งไปยังโรงแยกก๊าซจังหวัดระยองโดยส่งผ่านทางท่อไปยังคลังก๊าซจังหวัดชลบุรี
6. เพื่อให้การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรมอีกไตรมาสละ 2.8025 บาทต่อกิโลกรัม ตามข้อ 4 และการจ่ายเงินส่งเข้ากองทุนจากโรงกลั่นน้ำมันส่งไปยังโรงแยกก๊าซจังหวัดระยองในข้อ 5 ดังนั้น สนพ. จึงขอเสนอแก้ไขประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซมาเพื่อพิจารณา
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรม ตามระยะเวลาและอัตรา ดังต่อไปนี้
ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2554 - 30 กันยายน 2554 ในอัตรากิโลกรัมละ 2.8037 บาท
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2554 ในอัตรากิโลกรัมละ 5.6075 บาท
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 - 31 มีนาคม 2555 ในอัตรากิโลกรัมละ 8.4112 บาท
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป ในอัตรากิโลกรัมละ 11.2150 บาท
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปหารือกับผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับร่างประกาศเพื่อให้มีความถูกต้องและรอบคอบ ซึ่งหากไม่มีประเด็นสำคัญที่ต้องขอความเห็นคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณา ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2554 และนำมาเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อทราบต่อไป แต่ถ้าหากมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม ให้นำกลับมาเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
3. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการลักลอบการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท แล้วให้รายงานผลการดำเนินการเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อทราบต่อไป
เรื่องที่ 3 การปรับโครงสร้างราคาอ้างอิงเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้พิจารณาเรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างราคาเอทานอลเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล และได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล ดังนี้ อ้างอิงภายในประเทศจากราคานำเข้า (Import Parity)
ราคาเอทานอล = ราคาเอทานอลตลาดบราซิล + Freight + Insurance + Loss + Survey
โดยตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2552 ไม่มีรายงานข้อมูลราคาเอทานอลตลาดบราซิล ส่งผลให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไม่สามารถคำนวณราคาเอทานอลเพื่อใช้ในการออกประกาศราคาอ้างอิงเอทานอลได้ กบง. จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 เห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลเป็นการชั่วคราว 6 เดือน (Cost Plus) ซึ่งต่อมา กบง. ได้อนุมัติให้ขยายระยะเวลาเรื่อยมา จนเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 กบง. ได้เห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต ต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และมอบให้ สนพ. นำเสนอผลการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงต่อ กบง. ภายในเดือนมิถุนายน 2554
2. เนื่องจากผลการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงยังไม่แล้วเสร็จ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตออกไปอีก 3 เดือน จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2554
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตต่อไปอีก 3 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 13 ตุลาคม 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 13 พฤศจิกายน 2552
ครั้งที่ 87 - วันจันทร์ ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 29/2554 (ครั้งที่ 87)
เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิติดลบ 1,132 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 105.91 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 123.37 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 124.11 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันที่ 24 มิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นฐานที่ใช้ในการคำนวณเพื่อปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ครั้งที่แล้ว เท่ากับ 3.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นเท่ากับ 8.30 และ 5.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 อยู่ที่ 0.5385 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.0875 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดต้นทุนราคาน้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.60 บาทต่อลิตร จาก 2.40 บาทต่อลิตร เป็น 1.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.1385 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.2075 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงวันละ 33 ล้านบาท จากเงินไหลเข้าวันละ 82 ล้านบาท เป็นวันละ 49 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.60 บาท ต่อลิตร จาก 2.40 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป