กบง. ครั้งที่ 20 - วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2559 (ครั้งที่ 20)
เมื่อวันพุธที่ 30 มีนาคม 2559
1. รายงานความคืบหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
2. สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
3. ความก้าวหน้า Roadmap การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
4. ความก้าวหน้าการรับฟังข้อคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยการดำเนินการระยะยาวได้มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการ ดังนี้ (1) ขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าเขาบ่อยา ให้มีกำลังนำเข้าสูงสุด 250,000 ตันต่อเดือน และก่อสร้างคลังและท่าเรือนำเข้าแห่งใหม่ มีกำลังนำเข้าสูงสุด 250,000 ตันต่อเดือน (2) ขยายระบบคลังจ่ายก๊าซ บ้านโรงโป๊ะ โดยการขยายกำลังการจ่ายทั้งทางรถยนต์และรถไฟ ซึ่งจะทำให้สามารถจ่าย LPG ได้ 276,000 ตันต่อเดือน (3) ขยายระบบคลังภูมิภาค ได้แก่ คลังก๊าซบางจาก คลังก๊าซขอนแก่น คลังก๊าซนครสวรรค์ คลังก๊าซสุราษฏร์ธานี และคลังก๊าซสงขลา (4) ขยายระบบขนส่งก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซฯ ไปคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะและคลังก๊าซเขาบ่อยา
2. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ครม. มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน โดยมีกรอบวงเงินการลงทุนเพื่อใช้ในการดำเนินการรวมทั้งสิ้น 48,599 ล้านบาท และแบ่งการลงทุนเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 ลงทุน 20,954 ล้านบาท และระยะที่ 2 ลงทุน 27,645 ล้านบาท
3. ความคืบหน้าในการก่อสร้าง ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ร้อยละ 98.89 และพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2559 โดยมีรายละเอียดของส่วนการขยายคลังก๊าซ ดังนี้ (1) งานขยายคลังก๊าซเขาบ่อยาและท่าเรือ ประกอบด้วย การก่อสร้างท่าเรือ สำหรับการรับก๊าซเพิ่ม 1 ท่า และสำหรับจ่ายก๊าซเพิ่ม
1 ท่า การก่อสร้างถังเก็บก๊าซทรงกลม ขนาด 2,000 ตันเพิ่ม 2 ถัง การก่อสร้างถังเย็นเก็บก๊าซขนาด 25,000 ตันเพิ่ม
2 ถัง การติดตั้งระบบท่อ อุปกรณ์รับก๊าซโปรเพน บิวเทน LPG การติดตั้งเครื่องสูบก๊าซโปรเพนและบิวเทน การติดตั้งชุด BOG compressor และ TR compressor และการติดตั้งเครื่องสูบก๊าซ LPG จากคลังก๊าซเขาบ่อยาไปคลังก๊าซ
บ้านโรงโป๊ะ (2) งานขยายคลังก๊าซบ้านโรงโป๊ะ เป็นการปรับปรุงระบบขนส่งทางรถไฟและจัดซื้อตู้รถไฟ (3) งานขยายคลังก๊าซภูมิภาค ประกอบด้วย คลังปิโตรเลียมขอนแก่น เพิ่มถังเก็บก๊าซทรงกลมขนาด 3,000 ตัน 1 ถัง และขยายลานบรรจุก๊าซเพิ่ม 4 ช่องจ่าย คลังปิโตรเลียมขอนแก่นขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง คลังปิโตรเลียมนครสวรรค์ ขยายลานบรรจุก๊าซเพิ่ม 2 ช่องจ่าย และขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง คลังปิโตรเลียมสุราษฎร์ธานี เพิ่มถังเก็บก๊าซทรงกลมขนาด 3,000 ตัน 1 ถัง และขนาด 1,000 ตัน 1 ถัง และขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง และคลังปิโตรเลียมสงขลา เพิ่มถังเก็บก๊าซทรงกลมขนาด 2,000 ตัน 1 ถัง ขยายลานบรรจุก๊าซเพิ่ม 1 ช่องจ่าย ขยายสะพานชั่งเพิ่ม 1 เครื่อง และติดตั้ง Marine Loading Arm เพิ่ม 1 ชุด
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันประเทศไทยมีความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านใน 2 รูปแบบ ได้แก่
(1) การซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการที่พัฒนาขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าผ่านสายส่งเชื่อมโยงระหว่างประเทศ เพื่อร่วมมือในการพัฒนาด้านพลังงานไฟฟ้ากับประเทศนั้นๆ และขายไฟฟ้าให้กับประเทศไทย ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) 7,000 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีน 3,000 เมกะวัตต์ และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และราชอาณาจักรกัมพูชา ไม่ระบุปริมาณรับซื้อไฟฟ้า และ (2) การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศผ่านการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากำลังระหว่างสองประเทศ (Grid to Grid) ปัจจุบันมีการแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (ฟฟล.) ซึ่งเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าแบบ Non-Firm นอกจากนี้ยังมีการขายพลังงานไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้ากัมพูชาเป็นปริมาณมากผ่านการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า จากสถานีไฟฟ้าแรงสูงวัฒนานครของ กฟผ. เข้าไปยังเมืองบันเตียนเมียนเจย (ศรีโสภณ) พระตะบอง และเสียมราฐ
2. สถานภาพการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้ (1) การซื้อขายไฟฟ้าฯ ปัจจุบัน กฟผ. ได้มีการตกลงซื้อขายไฟฟ้ากับผู้พัฒนาโครงการ กำลังผลิตรวม 5,421 เมกะวัตต์ และ (2) การแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าฯ ปัจจุบัน กฟผ. ได้มีการแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า ทั้งสิ้นจำนวน 5 จุด และ กฟภ.
มีจำนวนจุดซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศ ทั้งสิ้น 21 จุด (3) โครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาการรับซื้อไฟฟ้า
ซึ่งคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้มอบหมายให้ กฟผ. ไปดำเนินการเจรจาในรายละเอียดกับผู้พัฒนาโครงการ และให้นำผลการเจรจามารายงานและเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และ (4) โครงการที่มีศักยภาพ มีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ในการพัฒนาโครงการต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้ (1) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แก่ โครงการเซนาคาม โครงการเซกอง 4 โครงการเซกอง 5 และโครงการน้ำกง 1 กำลังผลิต 660 240 330 และ 75เมกะวัตต์ ตามลำดับ (2) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้แก่ โครงการมายตง โครงการมายกก โครงการเชียงตุง โครงการทะนินทะยี และโครงการมะริด กำลังผลิต 6,300 390 200-600 600 และ 1,200-2,000 เมกะวัตต์ ตามลำดับ และ
(3) ราชอาณาจักรกัมพูชา ได้แก่ โครงการสตึงมนัม กำลังผลิต 94 เมกะวัตต์
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ความก้าวหน้า Roadmap การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 กบง. ได้เห็นชอบในหลักการ เรื่อง Roadmap การดำเนินการเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG โดยมีแผนยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมการแข่งขันให้มีผู้นำเข้ามากกว่าหนึ่งราย มีขั้นตอนการดำเนินการเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการให้ผู้ค้าก๊าซ LPG รายอื่นนำเข้าระยะที่ 2 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้าให้ผู้ประกอบการรายอื่น (นอกเหนือจาก ปตท.) ด้วยระบบโควต้า โดยใช้ราคานำเข้าที่ CP+85 เหรียญสหรัฐต่อตันระยะที่ 3 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้าให้ผู้ประกอบการรายอื่น (นอกเหนือจาก ปตท.) ด้วยระบบโควต้า โดยใช้ราคานำเข้าที่ CP+X เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่ง X เป็นสูตรคงที่อ้างอิงกับดัชนีที่เหมาะสม สะท้อนต้นทุนการขนส่งและจัดหาซึ่งปรับตามตลาดโลกระยะที่ 4 เปิดการประมูลการนำเข้าก๊าซ LPG เมื่อมีผู้ค้ามาตรา 7 สามารถนำเข้าได้มากกว่าหนึ่งราย และประสงค์จะนำเข้ามากกว่าปริมาณนำเข้าที่ประเทศต้องการ
2. ดำเนินการยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งแล้วเสร็จ ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นที่ 2 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) ยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งทุกคลังทั่วประเทศ (2) ยกเลิกประกาศ กบง. ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 ฉบับที่ 20 พ.ศ. 2551 และฉบับที่ 91 พ.ศ. 2551 (3) กำหนดบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการกำกับดูแลราคา ณ คลังภูมิภาค สำหรับให้กระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นข้อมูลควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG
3. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 บริษัท พี เอ พี แก๊สแอนด์ออยล์ จำกัด ได้จัดทำหนังสือถึงกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อขอนำเข้าก๊าซ LPG มาจำหน่ายในประเทศปริมาณ 2,000 ตันต่อเดือน ตลอดปี 2559 ต่อมา
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2559 ธพ. แจ้งให้นำเข้าก๊าซ LPG ได้ในปริมาณ 2,000 ตันต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน
โดยเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 แต่ทั้งนี้ บริษัท พี เอ พี แก๊สแอนด์ออยล์ จำกัด ไม่สามารถดำเนินการนำเข้า
ตามแผนที่วางไว้ได้
4. เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2559 บริษัทสยามแก๊สฯ แอนด์ ปิโตรเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อขอนำเข้าก๊าซ LPG เป็นเวลา 3 เดือน โดยในแต่ละเดือนประสงค์จะนำเข้ามาในปริมาณเที่ยวละ 22,000 ตันจำนวนสองเที่ยว โดยจะเริ่มนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป แต่ ธพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้ชะลอคำขอการนำเข้าออกไปก่อน เนื่องจากต้องรอการพิจารณาอัตราค่าบริการและกฎระเบียบการใช้คลังก๊าซนำเข้าเขาบ่อยาที่เหมาะสม นอกจากนั้น ธพ. ได้มอบหมายให้ ปตท. นำเข้าก๊าซ LPG ในปี 2559 โดย ปตท. ได้ทำสัญญาระยะยาวในการซื้อก๊าซ LPG ก่อนที่ กบง. จะมีมติเห็นชอบเปิดเสรีให้มีการนำเข้ามากกว่าหนึ่งราย รวมถึงความต้องการใช้ก๊าซ LPG ของประเทศที่ลดลง ส่งผลให้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2559 นี้ เหลือปริมาณการนำเข้าที่สามารถนำมาประมูลได้ไม่เกินสองลำเรือขนาดลำละ 44,000 ตัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ความก้าวหน้าการรับฟังข้อคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 กบง. ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีการศึกษาแนวทางในการปฏิรูปบทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการประชุม
เพื่อร่วมพิจารณายกร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... จำนวน 4 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 -กุมภาพันธ์ 2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559 กบง. ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ โดยให้นำข้อสังเกตุของ กบง. ไปปรับปรุงให้เรียบร้อยก่อนและให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณา ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 กพช. ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ต่อไป
2. เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2559 สนพ. ได้ดำเนินการจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติฯ โดยได้เชิญหน่วยงานจากภาครัฐ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชน ที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมสัมมนารับฟังความคิดเห็น โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาจำนวนประมาณ 130 คน นอกจากนี้ สนพ. ยังได้นำร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว เผยแพร่ทางเว็บไซด์ของ สนพ. ตั้งแต่วันทื่ 14 มีนาคม 2559 – 28 มีนาคม 2559 และจัดพิมพ์เผยแพร่ให้แก่ผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็น เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ซึ่งปัจจุบันมีองค์กรต่างๆ ได้นำเสนอความเห็นเพิ่มเติม ได้แก่ สภาอุตสาหกรรม กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน สำนักงานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ
3. จากการเปิดรับฟังความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฯ จากช่องทางต่างๆ สามารถสรุปประเด็นหลักๆ ได้ ดังนี้ (1) ควรเพิ่มหลักการและเหตุผลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (2) ควรเพิ่มนิยามคำว่า วิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ชัดเจน (3) ในวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐานมีทั้งส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วยขอให้ดำเนินการโดยใช้งบประมาณแผ่นดิน (4) ในนิยามคำว่าโรงกลั่นน้ำมัน ไม่ควรรวมโรงอะโรเมติก และโรงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและสารละลาย มีทั้งส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยผู้ที่ไม่เห็นด้วย เห็นว่าจะทำให้เกิดการเพิ่มต้นทุนและลดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัทปิโตรเคมีขนาดกลาง (5) การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุน หรือการจ่ายชดเชย ควรดำเนินการเฉพาะน้ำมันที่จำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น ไม่ควรรวมถึงน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เองในขบวนการผลิต และที่ใช้เป็นวัตถุดิบ เนื่องจากอยู่ในกระบวนการผลิต และ (6) กองทุนควรมีมาตรการป้องกันการแทรกแซงจากภาคการเมือง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 14 - วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2559 (ครั้งที่ 14)
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.00 น.
1. รายงานความก้าวหน้าโครงการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
2. ความก้าวหน้าโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน
3. Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
4. Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
5. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับปริมาณการใช้ ก๊าซ LPG ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยการดำเนินการระยะยาวได้มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการขยายระบบคลัง ท่าเรือนำเข้า และระบบคลังจ่ายก๊าซ ดังนี้ 1) ขยายระบบคลังและท่าเรือนำเข้าเขาบ่อยา 2) ขยายระบบคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะ 3) ขยายระบบคลังภูมิภาค และ 4) ขยายระบบขนส่งก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซฯ ไปคลังจ่ายก๊าซบ้านโรงโป๊ะและคลังก๊าซเขาบ่อยา
2. เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 ครม. มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทน การลงทุน ตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ โดยอยู่ในกรอบวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 48,599 ล้านบาท แบ่งเป็น ระยะที่ 1 ลงทุน 20,954 ล้านบาท และระยะที่ 2 ลงทุน 27,645 ล้านบาท
3. ความคืบหน้าในการก่อสร้าง ณ เดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ร้อยละ 97.66 โดยพร้อมที่จะเริ่มการดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2559 โดยมีรายละเอียดดังนี้ (1) งานขยายคลังและท่าเรือนำเข้า ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งประกอบด้วยการสร้างถังเย็น และ ท่าเรือ เพื่อรองรับการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นปัจจุบันการก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ 98 (2) งานขยายคลังก๊าซบ้านโรงโป๊ะ จังหวัดชลบุรีประกอบด้วยงานปรับปรุง ระบบขนส่งทางรถไฟ และงานจัดซื้อตู้รถไฟ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับการรถไฟฯ (3) งานขยายคลังก๊าซภูมิภาค จำนวน 4 คลัง เสร็จสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย คลังปิโตรเลียมขอนแก่น นครสวรรค์ สงขลา และสุราษฎร์ธานี (4) งานศึกษา Conceptual / LPG Optimization ได้ศึกษาเสร็จสิ้น และ (5) งานTechnical Assessment ได้ศึกษาเสร็จสิ้น
4. ความคืบหน้าในการพิจารณาการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 กพช. ได้มอบหมายให้ กบง. พิจารณากำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน LPG Facility รวมทั้งวิธีการจ่ายผลตอบแทน การลงทุนตามหลักเกณฑ์ที่ กพช. เห็นชอบ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ กบง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้มีการประชุมหารือกับ ปตท. เกี่ยวกับรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ (1) ผลตอบแทนการลงทุน (2) เงินลงทุนรวม (3) ระยะเวลาโครงการ (4) ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย ค่าบริหาร/ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย อัตราเงินเฟ้อ ค่าสาธารณูปโภค (5) ปริมาณการใช้ก๊าซ LPG (6) ค่าเสื่อมราคา (7) อัตราภาษี และ (8) วิธีการจ่ายผลตอบแทนการลงทุน
มติของที่ประชุม
รับทราบ
เรื่อง ความก้าวหน้าโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ครม. ได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 โดยมอบหมายให้ กบง. พิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร รวมทั้งอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ให้ สนพ. ดำเนินงานโครงการจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ฯ และครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่ง สนพ. ได้จัดทำ “โครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน” โดยจัดจ้างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) เป็นที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการฯ
2. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 ครม. ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยครัวเรือนรายได้น้อยช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน และร้านค้า หาบเร่ฯ ช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน
3. โครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ ดังนี้ (1) จำนวนผู้มีสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด 7,932,695 สิทธิ์ แบ่งเป็นครัวเรือนรายได้น้อย 7,569,867 สิทธิ์ และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร 362,828 สิทธิ์ ซึ่งตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการฯ จนถึงปัจจุบัน ได้มีผู้มาขอขึ้นทะเบียนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง (2) จำนวนร้านค้าก๊าซ LPG ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีร้านค้าก๊าซ LPG ทั้งหมด 47,417 ร้าน (3) ยอดการใช้สิทธิ์ ตั้งแต่เริ่มโครงการฯ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 มีการใช้สิทธิ์ซื้อก๊าซ LPG ผ่านระบบ SMS ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 9,979,420 ครั้ง โดยมีปริมาณก๊าซ LPG ที่ช่วยเหลือจำนวนรวม 194 ล้านกิโลกรัม (4) ภาระชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระช่วยเหลือทั้งสิ้น 348 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ปตท. มีภาระช่วยเหลือทั้งสิ้น 609 ล้านบาท และ (5) การชี้แจงและตอบข้อซักถามด้านการให้บริการข้อมูลแก่ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการรับเรื่องร้องเรียนและข้อติชมต่างๆ จะดำเนินการผ่าน www.lpg4u.net และศูนย์บริการร่วมกระทรวงพลังงาน
4. การดำเนินงานในระยะต่อไป บริษัท ปตท. ให้ความอนุเคราะห์รับผิดชอบการดำเนินโครงการฯ ต่อไปอีก 6 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2559 ในวงเงิน 500 ล้านบาท ส่วนผู้ดูแล ประสานงานโครงการฯ และเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมผู้บริหารกระทรวงพลังงานมีความเห็นว่า ควรอยู่ในความดูแลของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) โดย ธพ. ควรเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานและกำกับดูแลโครงการฯ ดังนั้น จึงเห็นควรเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยให้ ธพ. เป็นเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ แทน สนพ.
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการดำเนินงานโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนจนถึงสิ้นปี 2558 และการดำเนินงานโครงการฯในปี 2559
2. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคา ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และเห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบ จากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
เรื่อง Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และ วันที่ 3 เมษายน 2558 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและ แหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบ ถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน
2. การนำเข้าเพื่อใช้ในประเทศ ปัจจุบันมีเพียงบริษัท ปตท. รายเดียวที่นำเข้าก๊าซ LPG ด้วยปริมาณ ที่กำหนดจากกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อสมดุลการจัดหาต่อความต้องการภายในประเทศและป้องกันปัญหา การขาดแคลน การมีผู้นำเข้าเพียงรายเดียวทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน จึงมักเกิดคำถามถึงการผูกขาด ประสิทธิภาพการนำเข้าของ ปตท. เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอขั้นตอนเพื่อเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่า 1 ราย ดังนี้ (1) ระยะที่ 1 ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ไม่เอื้อต่อการให้ผู้ค้าก๊าซรายอื่นนำเข้า เช่น การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่ล่าช้า ความไม่พร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการนำเข้า และมาตรการชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาค (2) ระยะที่ 2 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้า ด้วยราคานำเข้าที่ CP+85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (3) ระยะที่ 3 เปิดส่วนแบ่งปริมาณนำเข้า ด้วยราคานำเข้าที่ CP+X เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และ (4) ระยะที่ 4 เปิดการประมูลการนำเข้าก๊าซ LPG เมื่อมีผู้นำเข้ามากกว่าหนึ่งรายและระบบธุรกิจพร้อมต่อการแข่งขันแล้ว ในระยะต่อไปจะเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในลักษณะเดียวกันกับธุรกิจน้ำมัน
3. หากเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG เลยในขณะนี้ อาจเกิดปัญหา (1) ด้านความมั่นคงด้านการจัดหาในส่วนการนำเข้า และ (2) ราคาตั้งต้นก๊าซ LPG ที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งในทางกลับกันหากดำเนินการตาม roadmap เพื่อเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่า 1 รายก่อนและรอ 1 ปีในการเปิดเสรี ผู้ค้าก๊าซจะมีเวลาในการเตรียมตัวในการเข้าสู่ระบบแข่งขันเสรี และประเทศจะมีความมั่นคงด้านการจัดหาในการนำเข้า LPG
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการตาม Roadmap การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่อง Roadmap การปรับราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากโครงสร้างราคา NGV ในปัจจุบันยังคงคำนวณตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งจากการที่ สนพ. ได้ทบทวนต้นทุนภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจากการติดตามต้นทุน NGV ของ ปตท. พบว่า ราคาขายปลีก NGV ที่ได้จากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยฯ และต้นทุนของ ปตท. อยู่ที่ 14.32 และ 16.97 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ นอกจากนี้สถาบันวิจัยฯ ได้มีการคิดค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่เป็นส่วนของ ปตท. และส่วนที่เป็นของเอกชน โดยมีการแบ่งสัดส่วนตามปริมาณขายระหว่างสถานีบริการนอกแนวท่อกับสถานีบริการบนแนวท่อในอัตรา 55:45 ซึ่งค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้การดำเนินการสถานีบริการก๊าซ NGV มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายดำเนินการมาคำนวณเฉพาะในส่วนที่เป็นของเอกชนอย่างเดียว โดยใช้สัดส่วนการดำเนินธุรกิจจากสถานีหลักไปสถานีลูกต่อสถานีแนวท่อตามจริงคือ 60:40 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉลี่ยที่คำนวณได้ลดลงจากเดิมที่ 3.7346 บาทต่อกิโลกรัม เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะภาคเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม
2. หลักเกณฑ์การคิดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบัน ปตท. มีการคิดต้นทุนในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งเป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ NGV ตามที่ สนพ. เสนอ โดยปัจจุบัน ปตท. ได้มีการคิดค่าขนส่งก๊าซ NGV สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ต้นทุนค่าขนส่งฯ จะอยู่ที่ 0.0167 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร แต่ปัจจุบัน สนพ. ได้มีการปรับปรุงต้นทุนค่าขนส่งฯ มาอยู่ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง ดังนั้น หากกำหนดให้ใช้อัตราค่าขนส่งฯ ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร จะส่งผลให้สถานีที่อยู่ไกลจากสถานีหลักมากที่สุด (จังหวัดเชียงราย) มีค่าขนส่งอยู่ที่ 6.67 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อรวมกับราคาก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตรแล้วจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 20.17 บาท ต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าควรให้มีการปรับค่าขนส่งฯจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยใช้อัตราค่าขนส่งฯ ที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในพื้นที่ห่างไกลจากแนวท่อสูงเกินไป
3. ตามที่ กบง. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ศึกษาเพิ่มเติมถึงความเป็นได้ ในการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนในส่วนของก๊าซ NGV ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบันได้มีการจัดสรรเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ที่ได้เห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (Cross Subsidy) ซึ่งต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูป และกลุ่มก๊าซ LPG และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การจัดสรรเงินประเดิมของกองทุนน้ำมันฯ ไม่มีเงินประเดิมในส่วนของก๊าซ NGV จึงไม่มีเงินประเดิมไว้ใช้สำหรับรักษาระดับราคาก๊าซ NGV โดยหากจะให้มีการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ได้จะต้องมีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้สำหรับก๊าซ NGV ซึ่งจะต้องผ่านการเห็นชอบจาก กบง. โดยอาจจะต้องจัดสรรจากเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เป็นส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซ LPG เพราะที่ผ่านมา กบง. ยังไม่เคยมีการประกาศเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากผู้ใช้ ก๊าซ NGV ดังนั้น หากจะต้องมีการชดเชยราคาก๊าซ NGV จะต้องใช้เงินที่มีการจัดสรรไว้แล้วสำหรับน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซ LPG ซึ่งถือเป็นการชดเชยข้ามกลุ่มประเภทเชื้อเพลิง และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
4. เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV สะท้อนต้นทุนการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ แนวทางที่ 1 ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน โดยให้ปรับไปตามประมาณการราคาของเดือนมกราคม 2559 จากเดิมที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.92 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป และตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน แนวทางที่ 2 คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัมต่อไปจนกว่าต้นทุนราคาก๊าซ NGV จะลดลงมาเท่ากับ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม จึงจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลให้สะท้อนต้นทุน ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน และ แนวทางที่ 3 ตั้งแต่ 21 มกราคม 2559 ถึง 15 กรกฎาคม 2559 ขอความร่วมมือ ปตท. กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ยกเลิกเพดานราคาและให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และให้มีการปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน สำหรับแนวทางที่ 1 แนวทางที่ 2 และ แนวทางที่ 3 ขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัมสำหรับในส่วนของราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะต่อไปและปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 บาทต่อเดือนเป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะเดิม ที่ได้รับ 35,000 บาทต่อเดือนเป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอความเห็นชอบการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยขอความร่วมมือ ปตท. ให้คิดค่าขนส่งโดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตรในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร แบบมีเงื่อนไข โดยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยในช่วงเวลาดังกล่าวหากต้นทุนราคา ก๊าซ NGV อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปลงเพื่อให้สะท้อนต้นทุน และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาขายปลีกก๊าซ NGV และในส่วนของต้นทุนของราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) ให้ใช้ราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมาในการคำนวณ และให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ของเดือนที่ผ่านมา ในทุกวันที่ 16 ของแต่ละเดือน
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้ ปตท. คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับในส่วนของราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะต่อไปและปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มรถสาธารณะเดิมที่ได้รับ 35,000 บาทต่อเดือนเป็น 40,000 บาทต่อเดือน โดยให้ช่วยเหลือรถโดยสารสาธารณะไปจนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป โดยให้ ปตท. ไปหารือร่วมกับ สนพ. ถึงแนวทางการทยอยปรับค่าขนส่งดังกล่าว เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 19 มกราคม 2559 ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 23.80 48.30 และ 33.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา วันที่ 19 มกราคม 2559 อยู่ที่ 36.4505 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 20 มกราคม 2559 อยู่ที่ 32.37 บาทต่อลิตร และราคาเอทานอล ณ เดือนมกราคม 2559 อยู่ที่ 23.82 บาทต่อลิตร
2. จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 มกราคม 2559 อยู่ในระดับต่ำ ดังนี้ 30.06 23.10 22.68 20.74 17.89 และ 19.29 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีการอ้างอิงราคาน้ำมัน ไม่ได้ลดลงตามราคาน้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ ฝ่ายเลขานุการพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซิน และ น้ำมันแก๊สโซฮอล อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเพื่อให้สามารถปรับภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรดำเนินการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อสะสมไว้สำหรับโอนเป็นภาษีสรรพสามิต ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำ หรือราคาปรับตัวลดลง ซึ่งในขณะนี้สามารถปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้นได้ 0.60 บาทต่อลิตร จาก 6.15 0.05 0.005 และ -0.02 บาทต่อลิตร เป็น 6.75 0.65 0.605 และ 0.58 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 ฝ่ายเลขานุการฯ จะประสานผู้ค้าปรับลดราคาขายปลีกลง 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 1,473 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายจ่าย 322 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 1,152 ล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มกราคม 2559 มีทรัพย์สินรวม 48,574 ล้านบาท หนี้สินรวม 6,349 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 42,225 ล้านบาท โดยแยกเป็นของน้ำมัน 34,944 ล้านบาท และก๊าซ LPG 7,281 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป