มติกบง. (344)
ครั้งที่ 34 - วันศุกร์ ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2551 (ครั้งที่ 34)
วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดราชการ จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม และประกอบกับปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพลังงานเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จึงได้ขอเชิญประชุมครั้งนี้
เรื่องที่ 1 การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล เพิ่มอีก 1.50 บาทต่อลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาทต่อลิตร เป็น 4.00 บาทต่อลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งละไม่เกิน 0.50 บาทต่อลิตร เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอประธาน กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบแทนคณะกรรมการฯ
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วมาก ในขณะที่การปรับราคาขายปลีกลงไม่ทัน ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันฯ ในประเทศอยู่ในระดับที่สูง ทำให้สามารถดำเนินการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.30 บาทต่อลิตร ได้โดยไม่ส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ (ยกเว้นน้ำมันเบนซิน 95 ปรับเพิ่มได้เพียง 0.25 บาทต่อลิตร เนื่องจากติดเพดานที่ กบง. เคยเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549) และภายหลังเมื่อปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเป็นประมาณวันละ 52.4 ล้านบาท หรือ 1,572 ล้านบาทต่อเดือน
3. เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ สามารถบริหารจัดการให้ปริมาณรายรับสมดุลกับรายจ่าย ฝ่ายเลขานุการฯขอเสนอให้มีการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 0.25 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 0.25 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 33 - วันจันทร์ ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2551 (ครั้งที่ 33)
วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากกรณีที่พนักงานการรถไฟหยุดงาน
2. การยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดราชการ จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากกรณีที่พนักงานการรถไฟหยุดงาน
สรุปสาระสำคัญ
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2551 พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยได้หยุดงานและรถไฟได้หยุดการเดินรถทั่วประเทศ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค
1.1 เนื่องจากการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังคลังภูมิภาค และสถานีบริการต่างๆ ในเขตภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นการขนส่งทางเรือ สำหรับภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางจะเป็นการขนส่งทางท่อไปยังคลังลำลูกกาและคลังสระบุรีของบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย และคลังบางปะอินของบริษัทขนส่งน้ำมัน ทางท่อ โดยที่การขนส่งทางรถไฟจะส่งไปยังคลังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีปริมาณประมาณร้อยละ 15 ของความต้องการใช้ในภาคหรือประมาณ 2 ล้านลิตรต่อวัน โดยปริมาณน้ำมันสำรอง ณ คลังน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการมีเพียงพอใช้ได้ประมาณ 3 - 5 วัน สำหรับการแก้ไขปัญหาการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถใช้การขนส่งทางรถยนต์แทนการขนส่งทางรถไฟได้ ซึ่งคิดเป็นจำนวนรถยนต์ที่ต้องใช้ประมาณ 55 คัน (รถยนต์ขนส่งน้ำมันความจุคันละ 36,000 ลิตร) ดังนั้น การหยุดเดินรถของการรถไฟฯ จะไม่ก่อให้เกิดการขาดแคลนน้ำมัน
1.2 การขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภาคกลางซึ่งเป็นการขนส่งทางรถยนต์ ส่วนภาคใต้จะเป็นการขนส่งทางเรือ และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดเดินรถไฟคือภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบันมี ปตท. เพียงรายเดียวที่ดำเนินการขนส่งทางรถไฟไปยังพื้นที่ดังกล่าว แต่เนื่องจากนโยบายของรัฐ ที่ต้องการให้มีราคาขายส่งราคาเดียวกัน จึงกำหนดให้ ปตท. เป็นผู้ได้รับชดเชยการนำเข้าและขนส่งแต่เพียง ผู้เดียว ทำให้ผู้ค้าก๊าซ LPG รายอื่นต้องพึ่งพา ปตท. ในการจัดหาก๊าซ LPG และต้องรับก๊าซ LPG จากคลังภูมิภาคของ ปตท. สำหรับการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นได้ขอความร่วมมือให้ผู้ค้าก๊าซ LPG ที่มีรถบรรทุกช่วยขนส่งก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาคแทนรถไฟ โดยจะสามารถเพิ่มศักยภาพการขนส่งได้ 755 ตันต่อวัน แต่ยังมีข้อจำกัดของขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ทางรถยนต์จากคลังต้นทาง คือ คลังบ้านโรงโป๊ะของ ปตท. ที่มี bay รับรถบรรทุกเพียง 5 bay ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทดแทนการขนส่งทางรถไฟ ทำให้การจัดส่งก๊าซ LPG ไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้อีกประมาณ 900 ตันต่อวัน แต่ ปตท. จะนำก๊าซ LPG จากแหล่งลานกระบือเข้ามาเสริมอีก 200 ตันต่อวัน จึงทำให้การขาดแคลนลดลงเหลือ 700 ตันต่อวัน
2. การดำเนินการในช่วงแรกสามารถนำก๊าซ LPG สำรอง ณ คลังนครสวรรค์และคลังลำปาง ออกมาจ่ายชดเชยในส่วนที่ขาด ซึ่งจะเพียงพอใช้ได้เพียง 3 วัน แต่หากการหยุดเดินรถของการรถไฟฯ ยืดเยื้อ ซึ่งอาจทำให้ภาคเหนือจะเริ่มเกิดการขาดแคลนได้ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2551 สำหรับคลังขอนแก่นได้เริ่มเกิดปัญหาการขาดแคลนตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2551 เป็นต้นมา เนื่องจากกำลังซ่อมแซมถังก๊าซ LPG จำนวน 1 ถัง ทำให้ปริมาณสำรองอยู่ในระดับต่ำ 800 ตัน ขณะที่มีความต้องการจ่ายจากคลังแห่งนี้วันละ 1,000 ตัน ซึ่งได้แก้ปัญหาโดยประสานผู้ค้ารายอื่นให้ขนก๊าซ LPG ขึ้นไปด้วยตนเองบางส่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
3. เพื่อแก้ไขปัญหาคอขวดในการจ่ายก๊าซที่คลังบ้านโรงโป๊ะ จังหวัดชลบุรี โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซทางรถยนต์ ซึ่งใช้คลังก๊าซของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เอกชนที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่ง เช่น คลังบางปะกง คลังบางจะเกร็ง และคลังในกรุงเทพฯ เพื่อขนส่งก๊าซ LPG ทางเรือไปที่คลังเอกชนและจ่ายก๊าซทางรถยนต์ไปยังภูมิภาค ซึ่งสามารถทำให้เกิดความเพียงพอที่จะทดแทนการขนส่งทางรถไฟได้ทั้งหมด แต่ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นคือการขนส่งก๊าซ LPG จากคลังต้นทางที่เป็นของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เอกชนรายอื่น จะไม่ได้รับชดเชยค่าขนส่งเช่นเดียวกับการขนส่งจากคลังต้นทางของ ปตท. ที่บ้านโรงโป๊ะไปยังคลังก๊าซ ปตท. ในภูมิภาค
4. ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ใช้อยู่ปัจจุบันได้กำหนดให้จ่ายชดเชยได้เฉพาะกรณีการขนส่งที่คลังต้นทางของ ปตท. ในจังหวัดชลบุรีไปยังคลังปลายทางของ ปตท. เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถจ่ายชดเชยค่าขนส่งจากคลังชายฝั่งของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 รายอื่นที่รับก๊าซ LPG ทางเรือจากคลังเขาบ่อยาเพื่อขนส่งทางรถยนต์ต่อไปยังคลังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ คลังบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา คลังบางจะเกร็ง จังหวัดสมุทรสงคราม และคลังในกรุงเทพฯ ได้ จึงจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจาก กบง. ดังนี้
1) เห็นชอบให้มีการจ่ายชดเชยค่าขนส่งให้กับ ปตท. จากคลังต้นทางใน จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดสมุทรสงครามและกรุงเทพฯ
2) เห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศต่อไป
3) มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานเป็นผู้รับรองการจ่ายก๊าซ LPG จากคลังต้นทางและกำหนดให้รถขนส่งก๊าซ LPG ต้องไปแสดงตัว ณ คลังปลายทางของ ปตท. ที่จังหวัดขอนแก่น นครสวรรค์ และลำปาง (เช่นเดียวกับกรณีโอนคลัง)
4) เห็นชอบให้ประธาน กบง. เป็นผู้ประกาศกำหนดเวลาสิ้นสุดมาตรการ
5) มอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานรับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์การจ่ายชดเชยค่าขนส่ง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการจ่ายชดเชยค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จากคลังจังหวัดฉะเชิงเทรา คลังจังหวัดสมุทรสงครามและคลังในกรุงเทพมหานครโดยรถยนต์ เนื่องจากพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยหยุดงานประท้วงรัฐบาล ทำให้รถไฟทั่วประเทศไม่สามารถให้บริการได้และส่งผลกระทบต่อการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ไปยังคลังภูมิภาค
2. เห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ (เพิ่มเติม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้ประกาศกำหนดเวลาสิ้นสุดมาตรการเมื่อสถานการณ์การรถไฟแห่งประเทศไทยหยุดเดินรถไฟคลี่คลายลงและบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถดำเนินการขนส่งทางรถไฟได้
เรื่องที่ 2 การยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 กบง. ได้มีมติจัดสรรน้ำมันดีเซลราคาถูกที่ได้รับการช่วยเหลือจาก โรงกลั่นน้ำมัน จำนวน 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) โดยมีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร ให้กระทรวงคมนาคม จำนวน 1 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อช่วยเหลือรถหมวด 1 (รถโดยสารในเมือง เช่น ขสมก. และรถร่วมบริการ) และหมวด 4 (รถโดยสารในเขตจังหวัด(ชานเมือง)) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน จำหน่ายผ่านจุดจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริหารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยให้การช่วยเหลือจนกว่าได้ข้อยุติของศาลปกครองในกรณีขอปรับขึ้นค่าโดยสารหรือจำนวนน้ำมันที่ได้รับการจัดสรรหมดลง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน
2. ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณากรณีนายบุญชัย รุ่งเรืองไพศาลสุข ยื่นฟ้องคดีคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบก เป็นจำเลยที่ 1 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นจำเลยที่ 2 และขออำนาจศาลปกครองชั้นต้นเพื่อคุ้มครองชั่วคราว ระงับการขึ้นค่าโดยสารของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ตามคดีดำหมายเลข 811/2551 เป็นต้นมา ต่อมาศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งที่ 505/2551 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2551 กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ยกคำขอทุเลาการบังคับเฉพาะที่เกี่ยวกับการกำหนด (ปรับปรุง) อัตราค่าโดยสารประจำทางหมวด 1 ในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงที่มีเส้นทางต่อเนื่อง และหมวด 4 กรุงเทพมหานคร ทำให้ ขสมก. สามารถปรับขึ้นค่าโดยสารได้
3. ต่อมา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือแจ้งว่าหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งข้างต้น ปตท. ได้ดำเนินการยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 32 - วันศุกร์ ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2551 (ครั้งที่ 32)
วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
- 1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (1- 18 สิงหาคม 2551)
- 2. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
- 3. การทบทวนการกำหนดประเภท ขนาด โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กและโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่ต้องจัดทำ EIA ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม
- 4. การกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ (Code of Practice) เพื่อลดและติดตาม ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดราชการ จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (1- 18 สิงหาคม 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยวันที่ 1 - 18 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 114.03 และ 116.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 17.24 และ 16.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิรักมีแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบ 500,000 บาร์เรลต่อวัน ภายในระยะเวลา 2 ปี และ Energy Information Administration ได้รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ วันที่ 1 สิงหาคม 2551 เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 296.9 ล้านบาร์เรล รวมทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 1.4948 เหรียญสหรัฐฯต่อยูโร
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยวันที่ 1 - 18 สิงหาคม อยู่ที่ระดับ 116.24, 114.77 และ 134.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 19.04, 19.93 และ 31.34 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและอุปทานในตลาดมีปริมาณมากจากไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีนส่งออก ประกอบกับข่าวโรงกลั่น Port Dickson (125,000 บาร์เรล/วัน) ของมาเลเซียกลับมาดำเนินการหลังจากเสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุง นอกจากนี้ประเทศจีน อินโดนีเซียและชิลี ได้ลดปริมาณนำเข้าน้ำมันดีเซลในช่วงครึ่งหลังปี 2551 เนื่องจากความต้องการใช้ภายในประเทศชะลอตัว
3. วันที่ 1 - 19 สิงหาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.70 บาทต่อลิตร, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 4.90 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 5.10 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 37.69, 36.29, 28.79, 27.49, 27.99, 33.04 และ 32.34 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. ช่วงเดือนสิงหาคม 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง 51.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อยู่ที่ระดับ 872.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบและต้นทุนค่าขนส่งทางเรือจากตะวันออกกลางมายังภูมิภาคลดลง และซาอุดิอาระเบียมีแผนผลิต LPG ในปี 2552 ปริมาณ 50 ล้านตัน โดยได้เพิ่มปริมาณการส่งออกมายังภูมิภาค อยู่ที่ระดับ 25 ล้านตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนกันยายน 2551 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 875 - 885 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยที่ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นวันที่ 1 สิงหาคม 2551 อยู่ในระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไทยได้นำเข้าก๊าซ LPG (วันที่ 10 - 31 กรกฎาคม 2551) ปริมาณ 84,941 ตัน โดยราคาก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 34.3921 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 23.3961 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 1,987.29 ล้านบาท ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ในภาคครัวเรือน จากเดิมในเดือนกรกฎาคมออกไปอีก 6 เดือน จนถึงเดือนมกราคม 2552
5. เดือนกรกฎาคม 2551 ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 8.0 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสถานีบริการ 4,079 แห่ง และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 28.79 และ 27.99 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ในเดือนกรกฎาคม 2551 มีปริมาณการจำหน่าย 92,000 ลิตรต่อวัน สถานีบริการ 94 แห่ง และราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 27.49 บาทต่อลิตร และกำลังการผลิตรวมและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 0.96 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงเพียง 9 ราย ราคาเอทานอลแปลงสภาพในไตรมาส 3 ปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 18.01 บาท
6. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน จากผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน 9 ราย และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม อยู่ที่ 40.07 และ 42.35 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2551 จำนวน 10.69 และ 9.82 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 อยู่ที่ 32.34 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 17,237 ล้านบาท หนี้สิน ค้างชำระ 17,342 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 129 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 8,087 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 105 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องสุทธิประมาณวันละ 17 ล้านบาท โดยมีรายรับจากปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลง และรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว บี5 ซึ่งส่งผลทำให้สภาพคล่องสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 17,237 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 17,342 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการที่ได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท และหนี้เงินชดเชยราคาจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต 3,414 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 105 ล้านบาท
2. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน โดยเฉพาะมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อทำให้ราคาขายปลีกไม่เพิ่มขึ้นตามตลาดโลกมากนักและจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตได้ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระชดเชยส่วนต่างภาษีประมาณ 3,413 ล้านบาท โดยที่เรียกคืนไม่ได้ 2,168 ล้านบาท และเนื่องจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายชดเชยให้เสร็จภายใน 90 วัน ทำให้ในช่วง 3 เดือนข้างหน้ากองทุนน้ำมันฯจะประสบกับปัญหาการขาดสภาพคล่อง
3. ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2551 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 109 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลง และราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดจรสิงคโปร์อยู่ที่ระดับ 112.71 และ 127.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลง
4. เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ สามารถบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลของรายรับและรายจ่าย โดยเฉพาะรายจ่ายในการส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานทดแทนเพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน ดังนี้
4.1 การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล โดยใช้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการรักษาระดับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอลให้ถูกกว่าน้ำมันเบนซิน ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ประมาณ 28.13 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่รายจ่ายเงินชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลประมาณ 0.66 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งในระยะต่อไปปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 คาดว่าจะลดลงเป็นลำดับ และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 จะหมดไปประมาณสิ้นปี 2551 ส่วนน้ำมันเบนซิน 91 จะลดลงมาก จนทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อมาชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลไม่เพียงพอ
4.2 การส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 โดยใช้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการรักษาระดับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ และการส่งเสริมการผลิตน้ำมันในประเทศให้มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 โดยชดเชยส่วนต่างราคาให้แก่ผู้ผลิตที่ดำเนินการผลิตน้ำมันให้มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 ก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 ประมาณ 3.08 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่ต้องจ่ายเงินชดเชยประมาณ 12.76 ล้านบาทต่อวัน และจ่ายเงินชดเชยการส่งเสริมการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 อีกประมาณ 3.52 ล้านบาท ต่อวัน ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยสุทธิประมาณ 16.28 ล้านบาทต่อวัน และในอนาคตคาดว่าการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 และการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
5. จากรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานทดแทนเพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอขอความเห็นชอบให้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.30 บาทต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซล เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ สามารถบริหารจัดการให้ปริมาณรายรับสมดุลกับรายจ่ายได้ จากการประมาณการ พบว่ากองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องสุทธิเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 17 ล้านบาท เป็นวันละ 34.4 ล้านบาท หรือ 1,031 ล้านบาทต่อเดือน โดยทั้งนี้ค่าการตลาดการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงและเป็นในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ดังนั้น การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน และเพื่อให้การบริหารกองทุนน้ำมันฯ มีความคล่องตัวมากขึ้น บางครั้งอาจจำเป็นต้องปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว จึงเห็นควรให้ กบง. อนุมัติในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม แล้วรายงานให้ กบง. ทราบในภายหลัง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.30 บาทต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
2. เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ครั้งละไม่เกิน 0.50 บาทต่อลิตร โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำเสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2537 คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม ต่อมาเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 ในการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ครั้งที่ 1/2551 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้เสนอให้มีการทบทวน "การกำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องเสนอ EIA ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม ที่กำหนดให้โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝายน้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 200 ล้านบาท (ไม่รวมค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า) ต้องจัดทำ EIA" เป็น "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่มีกำลังผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ไม่ต้องจัดทำ EIA เพื่อให้สอดคล้องกับการกำหนดขนาดของโครงการ VSPP" ซึ่งที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ พพ. ประสานสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และกรมป่าไม้ พิจารณาให้ได้ข้อยุติและนำเสนอผลต่อที่ประชุมครั้งต่อไป ก่อนนำเสนอ กบง. เพื่อเสนอ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบและกำหนดบังคับใช้ ต่อไป
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2551 คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานได้พิจารณาเรื่อง ทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมติ ครม. เมื่อวันที่13 กันยายน 2537 และได้มีมติ ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (13 กันยายน 2537) เกี่ยวกับประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และ 2) มอบหมาย พพ. และกรมชลประทานจัดทำรายละเอียดเหตุผลในการขอปรับปรุงมติ ครม. เกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (13 กันยายน 2537) ส่งให้กระทรวงพลังงานเพื่อรวบรวมเสนอ สผ. นำเสนอต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณาให้ความเห็น และส่งให้กระทรวงพลังงานนำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. เป็นผู้นำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและ ครม. ตามขั้นตอน ต่อไป
3. ประเด็นและเหตุผลที่ขอปรับปรุงมติ ครม. เกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม
3.1 โครงการที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้แก่
1) มติ ครม. ข้อ 1.1 จากเดิม "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 200 ล้านบาท" แก้ไขเป็น "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำหรืออ่างเก็บน้ำหรือการชลประทานที่มีปริมาตรเก็บกักตั้งแต่ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมีพื้นที่อ่างเก็บน้ำตั้งแต่ 3,500 ไร่ ขึ้นไป ทั้งนี้ ให้คิดสัดส่วนของพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ไปด้วย" (ข้อเสนอกรมชลประทาน) และ
2) มติ ครม. ข้อ 1.5 จากเดิม "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝายน้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 200 ล้านบาท (ไม่รวมค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า)" แก้ไขเป็น "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝาย น้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำที่มีกำลังผลิตตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ขึ้นไป" (ข้อเสนอ พพ.)
3.2 โครงการที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) ได้แก่
1) มติ ครม. ข้อ 2.1 จากเดิม "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท หรือมีระยะเวลาก่อสร้างเกิน 1 ปี" แก้ไขเป็น "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีปริมาตรเก็บกักตั้งแต่ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ไม่เกิน 30 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมีพื้นที่พื้นที่อ่างเก็บน้ำตั้งแต่ 2,000 ไร่ แต่ไม่เกิน 3,500 ไร่ ทั้งนี้ ให้คิดสัดส่วนของพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ไปด้วย" (ข้อเสนอกรมชลประทาน)
2) มติ ครม. ข้อ 2.5 จากเดิม "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝายน้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท (ไม่รวมค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า)" แก้ไขเป็น "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝายน้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีกำลังผลิตตั้งแต่ 200 กิโลวัตต์ แต่ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์" (ข้อเสนอ พพ.)
3) มติ ครม. ข้อ 2.6 โครงการฝายน้ำล้นเพื่อการเกษตร กรมชลประทานขอเสนอให้ตัดออก
3.3 โครงการที่ต้องจัดทำรายการข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อมโดยจัดทำตามแบบฟอร์มที่กำหนด ได้แก่
1) มติ ครม. ข้อ 3.1 "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีวงเงินค่าก่อสร้างไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือมีระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 1 ปี" แก้ไขเป็น "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีปริมาตรเก็บกักต่ำกว่า 10 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมีพื้นที่พื้นที่อ่างเก็บน้ำน้อยกว่า 2,000 ไร่ ทั้งนี้ ให้คิดสัดส่วนของพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ไปด้วย" (ข้อเสนอกรมชลประทาน)
2) มติ ครม. ข้อ 3.5 "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีวงเงินค่าก่อสร้างไม่เกิน 50 ล้านบาท (ไม่รวมค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า)" แก้ไขเป็น "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีกำลังผลิตต่ำกว่า 200 กิโลวัตต์" (ข้อเสนอ พพ.) และเพิ่มข้อ 3.9 เป็น "โครงการฝายน้ำล้นเพื่อการเกษตร" (ข้อเสนอกรมชลประทาน)
4. เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ได้พิจารณาข้อเสนอการขอปรับปรุงมติ ครม. เกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (วันที่ 13 กันยายน 2537) เกี่ยวกับประเภทและขนาดโครงการที่ต้องมีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดย คชก. มีความเห็นว่าการขอปรับปรุงมติ ครม. เกี่ยวกับประเภทและขนาดของโครงการที่จะต้องจัดทำรายงานการศึกษาสิ่งแวดล้อมในระดับต่างๆ ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมเป็นเรื่องระดับนโยบาย โดยไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คชก. จึงไม่สามารถรับไว้พิจารณาได้และเห็นควรนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณา
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการการทบทวนการกำหนดประเภท ขนาด โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กฯ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำส่งผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ มอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการทบทวนฯ ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบต่อไปด้วย
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานได้มีนโยบายและมาตรการเร่งด่วนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเพื่อทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมและภาคการขนส่ง ซึ่งประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในการวางท่อก๊าซธรรมชาติไปยังโรงงานอุตสาหกรรม หรือสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ผู้ประกอบการจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการนาน และเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2549 ได้มีการประชุมการดำเนินโครงการด้านพลังงานที่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาปัญหาการส่งเสริมการใช้ NGV ของประเทศ และได้มีมติให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สผ. และ ธพ. ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำหลักเกณฑ์การปฏิบัติ (Code of Practice : COP) สำหรับโครงการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อเพื่อทดแทนการจัดทำวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยให้พิจารณาขนาดและความยาวท่อที่ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงประเภทและขนาดของท่อก๊าซธรรมชาติที่ควรทำรายงาน EIA และให้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับการศึกษาเพื่อร่วมพิจารณาผลการศึกษาสำหรับเป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายในอนาคต โดยมี ธพ. สผ. ปตท. และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้ชำนาญการด้านพลังงานร่วมเป็นกรรมการ
2. เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ได้พิจารณาผลการศึกษาการจัดทำ COP เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบกเพื่อทดแทนการจัดทำรายงาน EIA และได้มีมติดังนี้ 1) เห็นชอบให้ ธพ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการอนุมัติโครงการที่ใช้ COP และบังคับใช้ COP และ 2) มอบหมายให้ ธพ. ร่วมกับ สผ. นำเสนอคณะกรรมการกำกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ COP สำหรับโครงการระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ เพื่อพิจารณาทบทวนลักษณะของโครงการและพื้นที่ที่สามารถใช้ COP แทนการจัดทำ EIA ให้ได้ข้อยุติ ตลอดจนศึกษาการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอต่อคณะอนุกรรมการประสานฯ ให้ความเห็นชอบ ก่อนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาเพื่อให้สามารถนำไปใช้ภายในกลางปี 2551 ต่อไป
3. คณะกรรมการกำกับการศึกษาฯ พิจารณาทบทวนลักษณะของโครงการและพื้นที่ที่สามารถใช้ COP แทนการจัดทำ EIA และการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อยุติเพื่อนำเสนอต่อการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมฯ ครั้งที่ 2/2551 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2551 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการใช้ COP เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก และเห็นชอบการแก้ไขกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้ปรับแก้รายละเอียดบางประการ พร้อมมอบหมาย สผ. นำเสนอร่าง COP ที่ได้รับความเห็นชอบแล้วต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณา ก่อนส่งให้กระทรวงพลังงานนำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบ และให้ สผ. เป็นผู้นำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแก้กฎหมายและสามารถนำ COP ไปใช้ได้ภายในปี 2551 ต่อไป
4. หลักเกณฑ์การปฏิบัติ (COP) เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก ซึ่งประกอบด้วย 1) หลักเกณฑ์การปฏิบัติในการป้องกันแก้ไข ลด และติดตามตรวจสอบผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และ 2) หลักเกณฑ์การปฏิบัติในการลดผลกระทบด้านวิศวกรรม ซึ่งลักษณะโครงการและพื้นที่ที่สามารถนำ COP ไปใช้แทนการจัดทำรายงาน EIA โดยการจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Report ; ER) แทน ได้แก่
4.1 โครงการระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ ที่มีความดันใช้งานสูงสุดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 20 บาร์ และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่าหรือเท่ากับ 16 นิ้ว ใช้ได้ทุกพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่ที่มีมติคณะรัฐมนตรีหรือกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
4.2 ระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่มีความดันใช้งานสูงสุดมากกว่า 20 บาร์ และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 16 นิ้ว ใช้ได้ในพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยนิคมอุตสาหกรรม โดยเจ้าของโครงการจะต้องให้นิติบุคคลที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับ ธพ. เป็นผู้จัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม (ER) เสนอ ธพ. ให้ความเห็นชอบแล้วจึงสามารถดำเนินการขออนุญาตเพื่อก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้
5 การจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม (ER) จะต้องแสดงรายละเอียดข้อมูลของโครงการซึ่งประกอบด้วย 1) ผลการศึกษาแนวทางเลือกในการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 2) ข้อมูลการออกแบบท่อก๊าซฯ 3) แผนการก่อสร้างและดำเนินการโครงการ 4) โครงข่ายระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่มีอยู่เดิมในบริเวณใกล้เคียง 5) ตำแหน่งที่ตั้งโครงการ แนวระบบท่อ รวมทั้งต้องระบุพื้นที่ที่ไวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อม 6) การประกันภัยบุคคลที่สาม ทั้งในระยะก่อสร้างและดำเนินการโครงการ และ 7) กำหนดเป็นมาตรการป้องกันแก้ไข ลด และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งในระยะก่อนก่อสร้าง ระยะก่อสร้าง และระยะดำเนินการ
6. การจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการ (Monitoring Report ; MR) เจ้าของโครงการจะต้องให้นิติบุคคลที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับ ธพ. (แต่ต้องไม่เป็นนิติบุคคลเดียวกับที่จัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม) จัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการเสนอต่อ ธพ. เพื่อจัดส่งให้หน่วยงานผู้ให้อนุญาต นับจากวันที่เปิดใช้งานไม่เกิน 1 เดือน
7. COP สามารถทำการเปลี่ยนแปลงทบทวนให้เหมาะสมกับเทคโนโลยี มาตรฐานด้านความปลอดภัย ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สะดวกและมีประสิทธิภาพในการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเห็นควรให้ศึกษาทบทวนทุก 3 ปี หรือตามความเหมาะสมใน 3 ประเด็น คือ ประเภทและขนาดโครงการ ประสิทธิภาพ และมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผู้มีสิทธิ์จัดทำรายงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์ประกอบของรายงาน
8. การแก้ไขกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยได้แก้ไข/เพิ่มเติมประกาศกระทรวงทรัพยากรฯ เพื่อขอให้ลักษณะโครงการและพื้นที่ที่กำหนดได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA โดยจะต้องกำหนด บทเฉพาะกาลให้ใช้อำนาจตามกฎหมายของ สผ. ควบคุมกำกับดูแลไปจนกว่ากฎหมายกระทรวงพลังงานจะมีผลบังคับใช้ และประกาศใช้ประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและมาตรฐานความปลอดภัยของระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่มีลักษณะโครงการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำ EIA ต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้ COP แทนได้ โดยให้ ธพ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
9. เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 สผ. ได้นำเสนอการกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติฯ ในการประชุมคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณารายงาน EIA ด้านโครงการพลังงาน โดยได้มีมติรับทราบการจัดทำคู่มือการกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ (Code of Practice) เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ 1) คำว่า "Code of Practice" สภาวิศวกรได้มีการบัญญัติคำในภาษาไทยไว้โดยให้ชื่อว่า "ประมวลหลักการปฏิบัติงาน" และ 2) การจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการ (Monitoring Report ; MR) ธพ. ควรพิจารณาว่าจะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด หรือจะดำเนินการโดยว่าจ้างในบางส่วนและดำเนินการในบางส่วนร่วมด้วย ซึ่งการดำเนินงานในส่วนนี้จะช่วยให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยลงและยังเพิ่มประสบการณ์ รวมทั้งเป็นการพัฒนาองค์กรด้วย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการต่อรายละเอียด COP เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก และข้อเสนอของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณา EIA ด้านโครงการพลังงาน ในการเปลี่ยนคำแปลของ "Code of Practice : COP" เป็น "ประมวลหลักการปฏิบัติงาน" พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำส่งผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแก้กฎหมายและสามารถนำ COP ไปใช้ได้ภายในปี 2551 ต่อไป
ทั้งนี้ มอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการพิจารณา COP ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบต่อไป
ครั้งที่ 31 - วันศุกร์ ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2551 (ครั้งที่ 31)
วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก
3. การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - กรกฎาคม 2551)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศเริ่มคลี่คลาย ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ตรึงราคาไว้ก่อน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของคณะทำงานกระทรวงพลังงาน นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี85 แล้ว และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีรับที่จะเป็นประธานการประชุม กพช. ในเรื่องนี้ ขณะนี้กรมธุรกิจพลังงาน ปัจจุบันได้ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานเกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี85 เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล พ.ศ. 2551 โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป พร้อมทั้ง ปตท. และ บ.บางจาก ได้เตรียมการเพื่อรองรับเรื่องนี้ด้วย
เรื่องที่ 1 การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบให้โอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานปกติ และเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ดังนี้ 1) ให้เพิ่มอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลจาก 0.07 บาทต่อลิตร เป็น 0.25 บาทต่อลิตร สำหรับแผนงานปกติ และประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลลดลง 0.18 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 และ 2) ให้เพิ่มอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ อีก 0.50 บาทต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล เป็น 0.75 บาทต่อลิตร สำหรับโครงการลงทุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง เมื่อหนี้สินสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงเป็น 0 แล้ว และให้เพิ่มการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ อีก 0.20 บาทต่อลิตร เป็น 0.95 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 โดยให้มีการประกาศลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในอัตราเท่ากันและในวันเดียวกัน
2. สำหรับขั้นตอนการออกประกาศ กพช. กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ จะต้องนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งการดำเนินการอาจล่าช้ากว่ากำหนดเวลาบังคับในวันที่ 17 ธันวาคม 2550 ตามมติ กพช. ประกอบกับจากประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะเป็นบวกและสามารถโอนอัตราเงินให้แก่กองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 0.50 บาท/ลิตร (ครั้งที่ 1) ได้ประมาณวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ดังนั้น เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2550 กพช. จึงได้เห็นชอบให้โอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับแผนงานปกติและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ครั้งที่ 1 ไปพร้อมกัน ดังนี้ 1) ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 จาก 0.07 บาทต่อลิตร เป็น 0.75, 0.25, 0.75 และ 0.25 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป และ 2) ให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพิ่มขึ้นอีก 0.20 บาทต่อลิตร เป็น 0.95, 0.45, 0.95 และ 0.45 บาทต่อลิตร ตามลำดับ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
3. เพื่อการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับแผนงานปกติและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ตามมติ กพช. ในข้อ 1 ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้ 1) เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลง 0.6800, 0.1870, 0.6800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ และ 2) เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลงอีก 0.20 บาทต่อลิตร โดย ให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ (ประมาณเดือนตุลาคม 2551) ทั้งนี้ มอบให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ต่อไป
4. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551 กพช. ได้มติเห็นชอบมาตรการระยะสั้นในการแก้ไขผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมอบให้กระทรวงพลังงานรับไปดำเนินการ ดังนี้ 1) เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบันยังมีรายรับสูงกว่ารายจ่ายอยู่ในระดับ 33 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งส่วนนี้เตรียมไว้เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลและไบโอดีเซล โดยสามารถนำรายได้จากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้เพื่อบริหาร ซึ่งสามารถชะลอการขึ้นราคาน้ำมันดีเซลได้ 0.40 บาทต่อลิตร และ 2) ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลในส่วนที่เก็บไว้สำหรับโครงการระบบขนส่งรางคู่ลง 0.50 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2551 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป และจากการดำเนินการดังกล่าวสามารถนำเงินของทั้ง 2 กองทุนมาชะลอการปรับราคาของน้ำมันดีเซลได้สูงสุด 0.90 บาทต่อลิตร และหากปรับลดลง 0.90 บาทต่อลิตร แล้วราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นอีก จะปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดโลก โดยจะไม่มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาระดับราคาและจะไม่นำเงินคงเหลือที่อยู่ในกองทุนทั้ง 2 มาใช้รักษาระดับราคาอีกด้วย
5. ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องสุทธิประมาณวันละ 1.70 ล้านบาท ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลง แต่รายจ่ายจากการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 มีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,868 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 13,614 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการที่ได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,254 ล้านบาท
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล กลับไป ณ อัตราเดิมตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551 ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯมีสภาพคล่องสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.70 ล้านบาทต่อวัน เป็น 16.10 ล้านบาทต่อวัน หรือ 484 ล้านบาทต่อเดือน และปัจจุบัน ค่าการตลาดการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูงและอยู่ในช่วงราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ดังนั้นการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน พร้อมทั้ง เห็นควรยกเลิกค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่งฯ ของกองทุนอนุรักษ์ฯ และให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ในส่วนนี้ทั้งหมดคืนให้แก่กองทุนน้ำมันฯ เนื่องจากเงินสนับสนุนโครงการดังกล่าวยัง ไม่มีการนำไปใช้จ่าย และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล 0.40 บาทต่อลิตรกลับไปอยู่ในอัตราเดิมคือจาก -0.30 บาทต่อลิตร เป็น 0.10 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 0.20 บาทต่อลิตร จาก -1.50 บาทต่อลิตร เป็น -1.30 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ได้คำนึงถึงการกำหนดให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 มีส่วนต่างจาก 0.50 บาทต่อลิตร เป็น 0.70 บาทต่อลิตร เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
2. เนื่องจากเงินสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง จากเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้เรียกเก็บจากน้ำมันดีเซลและเบนซินในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร นั้น ทางภาครัฐยังไม่มีนโยบายนำไปใช้จ่ายแต่อย่างใด คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานจึงเห็นชอบให้ยกเลิกการค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่งจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนนี้ทั้งหมดคืนให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากในการกำหนดอัตราเงินกองทุนดังกล่าวเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงเห็นควรให้กระทรวงพลังงานนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 2 การขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 กบง. ได้มีมติเรื่อง แนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง ดังนี้ 1) รับทราบผลการช่วยเหลือที่กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือกับ 4 โรงกลั่น ในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้แก่ โรงกลั่นพีทีทีเออาร์ โรงกลั่นไออาร์พีซี โรงกลั่นไทยออยล์ และโรงกลั่นบางจาก ได้ร่วมกันบริจาคโดยจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท โดย กบง. เป็นผู้พิจารณาจัดสรรแทนกระทรวงพลังงาน และให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ และได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประสานงานกับโรงกลั่นทั้ง 4 แห่ง ในการจัดสรรน้ำมันดังกล่าว และ 2) เห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือประชาชน จากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ เช่น กลุ่มประมง เกษตรกร และผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ ที่ได้รับความเดือดร้อนติดต่อมาที่ สนพ. หรือหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ และให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอขอรับความช่วยเหลือต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบไปแล้ว กบง. จะพิจารณาติดตามและประเมินผลทุกๆ เดือน
2. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2551 ได้มีมติรับทราบมติของ กบง. ซึ่งได้กำหนดแนวทางในการช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง โดยให้ความช่วยเหลือ ดังนี้ 1) ให้กลุ่มผู้เดือดร้อนทำหนังสือร้องขอความช่วยเหลือผ่านกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากลั่นกรองและเสนอความเห็นต่อกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอต่อ กบง. พิจารณาต่อไป 2) ผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการที่ถูกรัฐบาลควบคุมรายได้ จนไม่สามารถปรับราคาได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันแพงได้ และกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ และได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และ 3) ต้องแสดงวิธีการจัดสรรน้ำมันให้ชัดเจนว่า น้ำมันราคาถูกจะต้องส่งผ่านไปถึงผู้เดือดร้อนจริง ไม่รั่วไหลไปทางอื่น
3. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2551 ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่อง ขอการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับเรือประมง เพื่อขอให้พิจารณาการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับเรือประมง และต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 ได้มีหนังสือเพื่อขอรับการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับชาวประมงและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยที่ 1) กลุ่มประมงชายฝั่ง จากโครงการจำหน่ายน้ำมันม่วงได้จำหน่ายน้ำมันดีเซลในราคา ต่ำกว่าบนบก 2 บาทต่อลิตร แต่จากสภาวะวิกฤตราคาน้ำมันที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ชาวประมงประสบการขาดทุนอย่างต่อเนื่องและต้องหยุดกิจการ ปัจจุบันมีเรือประมงประเภทที่ใช้น้ำมันมาก หยุดทำการประมงแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 - 60 โดยชาวประมงขาดทุนสุทธิประมาณ 100,000 - 200,000 บาทต่อเดือนต่อลำ และ 2) กลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งรายย่อย จากปัจจัยการผลิตทั้งด้านอาหารสัตว์น้ำ และน้ำมันเชื้อเพลิง มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ราคากุ้งตกต่ำลง ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งประสบการขาดทุนต้นทุนด้านพลังงาน ถึงร้อยละ 15 - 20 และขาดทุนสุทธิไร่ละ 12,000 บาท
4. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการด้านการประมง และผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงเสนอมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือดังนี้
4.1 การสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกเพื่อใช้ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) โดยให้สามารถลดราคาน้ำมันในโครงการฯ ได้ไม่ต่ำกว่า 5 บาทต่อลิตร (จากเดิมไม่ต่ำกว่า 2 บาทต่อลิตร) ปริมาณน้ำมันของโครงการช่วยเหลือชาวประมงที่ขอรับการสนับสนุนประมาณ 15 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือเรือประมงประมาณ 23,000 ลำ (ที่ใช้น้ำมันดีเซลและ ไม่สามารถออกไปซื้อน้ำมันเขียวได้) จำหน่ายผ่านสถานีบริการภายใต้การกำกับดูแลขององค์การสะพานปลาประมาณ 98 สถานี โดยมีการสมัครเข้าร่วมโครงการ และให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลยอดการจำหน่ายน้ำมันขององค์การสะพานปลาใน 2 ระดับ คือ 1) ส่วนกลาง ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 2) ระดับจังหวัด เป็นหน่วยงานภายในจังหวัด เพื่อป้องกันการรั่วไหล
4.2 การสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับผู้เพาะเลี้ยงกุ้งรายย่อยในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลปกติลิตรละ 3 บาท ปริมาณน้ำมันประมาณ 7 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งรายย่อยประมาณ 25,000 ราย โดยจัดสรรน้ำมันจำนวน 160 ลิตรต่อเดือนต่อปริมาณลูกกุ้งที่ปล่อย 100,000 ตัว และจำหน่ายผ่านสถานีบริการน้ำมันขององค์การสะพานปลา จำนวน 98 สถานี มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมงในส่วนกลางและระดับจังหวัด เพื่อดูแลยอดการจำหน่ายน้ำมันขององค์การสะพานปลา
5. กระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2551 ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงานเรื่อง ขอรับการจัดสรรน้ำมันในราคาพิเศษ เพื่อขอสนับสนุนการจัดสรรน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันในการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจำนวนมาก แต่มีงบประมาณในการจัดซื้อน้ำมันจำนวนจำกัด คือ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วจำนวน 2,255,000 ลิตรต่อปี และน้ำมันเบนซินออกเทน 95 จำนวน 77,000 ต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้จัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นโดยมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร มาจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งจำนวน 15 ล้านลิตรต่อเดือน (แทนการจัดหาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในราคาต่ำกว่าราคาดีเซลปกติ 2 บาทต่อลิตร โดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวบริหารและจัดการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551) และเกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยงกุ้งจำนวน 7 ล้านลิตรต่อเดือน รวมเป็น 22 ล้านลิตรต่อเดือน โดยให้มีมาตรการในการตรวจสอบและควบคุมเป็นไปตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด
2. เห็นชอบให้มีการขยายหลักเกณฑ์การช่วยเหลือกลุ่มผู้เดือดร้อนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2551 ให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานของรัฐที่มีความเดือดร้อน โดยหน่วยงานของรัฐที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่หน่วยงานที่ดำเนินโครงการหรือแผนงานที่เกี่ยวกับการบริการสาธารณะซึ่งหากไม่ดำเนินการจะส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชนโดยตรง
3. เห็นชอบให้มีการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นให้หน่วยงานของรัฐ คือ กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีเป็นหน่วยงานนำร่อง เพื่อนำไปใช้ในการขุดลอกร่องน้ำ จำนวนประมาณ 1,500 ลิตรต่อเดือน และหากหน่วยงานราชการอื่นที่ได้รับความเดือดร้อนและมีแผนงานหรือโครงการในลักษณะดังกล่าวตามข้อ 2 สามารถขอรับการสนับสนุนน้ำมันราคาถูกจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้
เรื่องที่ 3 การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในปัจจุบัน) ร่วมกับ กรมการค้าภายใน และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) ได้จัดทำบัญชีความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค พ.ศ 2544 เพื่อใช้ในการกำกับดูแลการกำหนดราคาของสถานีบริการในต่างจังหวัดแทนบัญชีความแตกต่างฯ พ.ศ 2538 โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดและสำนักงานการค้าภายในจังหวัดใช้บัญชีความแตกต่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง กรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาคฯ เป็นคู่มือสำหรับคำนวณราคาขายปลีกที่เหมาะสมของจังหวัดนั้น โดยจะใช้ราคากรุงเทพฯ บวกด้วยความแตกต่างราคาฯของจังหวัดนั้น
2. เดือนพฤษภาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันได้ขอให้มีการทบทวนบัญชีความแตกต่างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพฯ กับส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2544 เนื่องจากการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สอดคล้องกับการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่บัญชีความแตกต่างฯ พ.ศ. 2544 ใช้ราคาน้ำมันดีเซลที่ 12.5 บาทต่อลิตร แต่ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นจากเดิม อยู่ที่ระดับ 20 - 29 บาทต่อลิตร รวมทั้งต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางการขนส่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 ได้มีคำสั่งกระทรวงพลังงานที่ 34/2548 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพฯ กับส่วนภูมิภาค โดยมีหน้าที่กำกับศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่างฯ โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) เป็นประธานคณะทำงาน
3. คณะทำงานฯ ได้มอบให้สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยศึกษาบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกฯ เป็นการชั่วคราว โดยใช้สมมติฐาน ณ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 24 บาทต่อลิตร และสัดส่วนของขนาดรถบรรทุกน้ำมันระหว่าง 15,000 ลิตร และ 30,000 ลิตร คือ 70:30 ในขณะที่ตัวแปรอื่นๆ คงที่เท่ากับบัญชีความแตกต่างฯ พ.ศ. 2544 และเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2549 สนพ. ร่วมกับกรมการค้าภายใน สถาบันปิโตรเลียมฯ และผู้ค้าน้ำมัน ได้เริ่มดำเนินการปรับเพิ่มอัตราบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคที่ใช้เป็นอัตราความแตกต่างชั่วคราว โดยได้ดำเนินการปรับเพิ่มอัตราบัญชีค่าความแตกต่างของราคาฯ ในช่วงที่ราคาขายปลีกลดลง เพื่อไม่ทำให้ราคาขายปลีกโดยรวมเพิ่มขึ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
4. ต่อมาคณะทำงานฯ ได้มอบให้สถาบันปิโตรเลียมฯ ศึกษาบัญชีความแตกต่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพฯ กับส่วนภูมิภาคใหม่ โดยศึกษาระบบการขนส่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน และสร้างแบบจำลองในการคำนวณค่าขนส่งที่ครอบคลุมปัจจัยหรือตัวแปรต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่ง โดยเฉพาะการทบทวนข้อสมมติฐานราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่เดิมกำหนดไว้ในบัญชีความแตกต่างฯ ชั่วคราวที่ระดับราคา 24 บาทต่อลิตร เป็นระดับราคา 33 บาทต่อลิตร สำหรับบัญชีฯ ใหม่ ซึ่งเป็นการคำนวณตามมติคณะทำงานฯ ที่กำหนดให้ใช้ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี ต่อมาคณะทำงานฯ ได้เห็นชอบบัญชีความแตกต่างฯ ใหม่ เพื่อเป็นบัญชีที่ สนพ. และกรมการค้าภายใน จะใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการปรับส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพฯ (ที่ปัจจุบัน สนพ.ประกาศเป็นราคาอ้างอิงที่ กทม.) และราคาขายปลีกต่างจังหวัดที่เปลี่ยนแปลงไป ตามราคาอ้างอิงที่ กทม.
5. ผลการปรับบัญชีค่าความแตกต่างฯ ส่งผลให้สะท้อนต้นทุนค่าขนส่งที่แท้จริง ลดปัญหาค่าการตลาดของสถานีบริการในส่วนภูมิภาคที่อยู่ในระดับต่ำจนขาดทุนและเลิกกิจการ ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันในบางพื้นที่ ขณะเดียวกันการปรับอัตราค่าขนส่งจะทำให้ประชาชนในพื้นที่บางอำเภอรับภาระค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทำการทบทวนบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคใหม่ และนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - กรกฎาคม 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2551 อยู่ที่ระดับ 127.82 และ 133.93เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 8.32 และ 8.55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเหตุสหภาพคนงานบริษัทน้ำมันไนจีเรีย (PENGASSAN) นัดหยุดงานประท้วงบริษัท Chevron ในไนจีเรียและประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปมีมติคว่ำบาตรอิหร่านหลังอิหร่านปฏิเสธข้อเสนอการปรับเปลี่ยนแผนโครงการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ตามที่สหประชาชาติเสนอ ทั้งนี้ประธานโอเปคแถลงว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบรวมทั้งข่าวค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง ต่อมาในช่วงวันที่ 1-15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 137.83 และ 141.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำมันของประเทศจีนและอินเดียอยู่ในระดับสูง และหลังจากวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงวันที่ 16-30 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 125.45 และ 126.89 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก IEA ได้ปรับคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2551 ลงประมาณร้อยละ 51 รวมทั้งข่าวอิหร่านกับกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกทั้ง 6 ประเทศอาจบรรลุข้อตกลงด้วยการยอมรับข้อเสนอของทั้งสองฝ่าย
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2551 อยู่ที่ระดับ 140.30, 138.78 และ 166.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.17, 8.72 และ 7.83 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าวโรงกลั่นบริเวณ Port Dickson มาเลเซียมีแผนปิดซ่อมบำรุง ส่งผลให้มาเลเซียนำเข้าน้ำมันเบนซินปริมาณ 500,000 บาร์เรล ต่อมาในช่วงวันที่ 1-15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 144.22, 143.63 และ 174.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้จากจีนยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่อุปทานในภูมิภาคตึงตัว และหลังจากวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยในช่วงวันที่ 16-30 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 127.32, 126.76 และ 158.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากต้นเดือน 16.90, 16.87 และ 16.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากอุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากไม่มีแรงซื้อจากประเทศจีนและเวียดนามที่มีการปรับขึ้นราคาขายปลีกร้อยละ 31 ทำให้อัตราการบริโภคในประเทศลดลง
3. เดือนมิถุนายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 2.00 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล 95 (อี10), เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 2.80 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 (อี20) เพิ่มขึ้น 3.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 3.60 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ครม. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงโดยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 ถึง 31 มกราคม 2552 ประกอบด้วย (1) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล อี20, อี85 จากเดิมเรียกเก็บในอัตรา 3.3165 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 0.0165 บาทต่อลิตร ซึ่งมีผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดลดลง 3.88 บาทต่อลิตร (2) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว จากเดิม 2.3050 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 0.005 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 2.71 บาทต่อลิตร และ (3) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 จากเดิม 2.1898 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 0.0898 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 2.47 บาทต่อลิตร จากการลดภาษีสรรพสามิตและสถานการณ์ราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลงทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (อี10), (อี20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 131 กรกฎาคม อยู่ที่ระดับ 39.39, 37.99, 30.49, 29.19, 29.69, 37.94 และ 37.44 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. ช่วงเดือนกรกฎาคม 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 923.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกประกอบกับความต้องการใช้ในภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจปิโตรเคมีและการใช้ก๊าซ LPG เพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมัน โดยที่ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเดือนกรกฎาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไทยได้นำเข้า ก๊าซ LPG (วันที่ 10-30 กรกฎาคม 2551) ปริมาณ 84,941 ตัน โดยราคาก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 34.3921 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 23.3961 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 1,987.29 ล้านบาท ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้ชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ในภาคครัวเรือน จากเดิมในเดือนกรกฎาคมออกไปอีก 6 เดือนจนถึงเดือนมกราคม 2552
5. เดือนกรกฎาคม 2551 ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 7.7 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสถานีบริการ 4,079 แห่ง และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 30.49 และ 29.69 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ในเดือนกรกฎาคม 2551 มีปริมาณการจำหน่าย 89,000 ลิตรต่อวัน สถานีบริการ 94 แห่ง และราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 29.19 บาทต่อลิตร และกำลังการผลิตรวมและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 0.96 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย โดยผลิตเพียง 9 ราย ราคาเอทานอลแปลงสภาพในไตรมาส 3 ปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 18.01 บาท
6. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน จากผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน 9 ราย และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม อยู่ที่ 40.07 และ 42.35 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2551 จำนวน 10.69 และ 9.69 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 37.44 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.50 บาทต่อลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,868 ล้านบาท หนี้สิน ค้างชำระ 13,614 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 129 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 4,359 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,254 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 30 - วันพฤหัสบดี ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2551 (ครั้งที่ 30)
วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (พฤษภาคม - 13 มิถุนายน 2551)
2. แนวทางการจัดสรรน้ำมันเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) นัดพิเศษครั้งแรกไปได้ประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือน้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาถูกให้กับรถโดยสารประจำทาง (ขสมก.) ซึ่งได้ช่วยคลี่คลายความเดือดร้อนของประชาชนได้ระดับหนึ่ง และในช่วงที่ผ่านมาได้มีหลายกลุ่มอาชีพที่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันแพงได้มาขอความช่วยเหลือเพื่อรับการจัดสรรน้ำมันราคาถูก จึงทำให้ต้องรบกวนเชิญประชุมครั้งนี้
อนึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ข้อเสนอของกลุ่มรถบรรทุกที่มายื่นหนังสือต่อกระทรวงพลังงานเพื่อให้ช่วยเหลือเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ โดยมีข้อเสนอ 3 ข้อ ดังนี้ 1) ให้ช่วยเหลือลดราคาขายน้ำมันดีเซลลิตรละ 3 บาท 2) เรื่องแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำสำหรับการเปลี่ยนไปใช้ NGV และ 3) เร่งรัดให้ ปตท.ดำเนินการติดตั้งสถานีบริการ NGV โดยที่ข้อเสนอ ในข้อ 2 และข้อ 3 จะมีคณะกรรมการที่ดูแลอยู่ ส่วนประเด็นราคาน้ำมันถูกจะเกี่ยวข้องหลายกระทรวง เห็นควรให้นำข้อเสนอดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาก่อน
เรื่องที่ 1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (พฤษภาคม - 13 มิถุนายน 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 119.5 และ 125.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 16.09 และ 12.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากไนจีเรียเลื่อนการส่งออกน้ำมันดิบ Qua lboe ปริมาณ 950,000 บาร์เรล จากเดือนมิถุนายนเป็นเดือนกรกฎาคม 2551 และจากข่าวชาวประมงฝรั่งเศสประท้วงปิดท่าขนส่งน้ำมัน Port-la-Nouvelle และ La Rochelle เพื่อเรียกร้องรัฐบาลให้ความช่วยเหลือที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และต่อมาในช่วงวันที่ 1-13 มิถุนายน 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 124.92 และ 131.44 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 5.43 และ 6.06 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากตลาด ที่ยังกังวลต่ออุปทานน้ำมันตึงตัวหลังกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 มิถุนายน 2551 ลดลง 4 สัปดาห์ต่อเนื่องปริมาณรวม 24 ล้านบาร์เรล ต่ำกว่าช่วงเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ 14 ประกอบกับข่าวเหตุเพลิงไหม้แหล่งผลิตน้ำมันดิบ Oseberg A Oilfield ของนอร์เวย์ รวมทั้งข่าวการหยุดงานประท้วงการแปรรูปของคนงานท่าเรือ Fos-Lavera ในฝรั่งเศสส่งผลให้เรือบรรทุกน้ำมันจำนวน 17 ลำ ไม่สามารถขนส่งน้ำมันได้ตามปกติ
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 131.13, 130.06 และ 158.62 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 13.05, 12.97 และ 20.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าวบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซียมีแผนนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมัน Balongan มีแผนปิดซ่อมบำรุงและจากข่าวรัฐบาลอินโดนีเซียมีแผนขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศประมาณร้อยละ 16-22 และจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในจีนในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค และต่อมาในช่วงวันที่ 1-13 มิถุนายน 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 139.29, 137.63 และ 164.62 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 8.16, 7.57 และ 5.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและบริษัท Pak-Arab Refinery Co ของปากีสถานจะงดส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนมิถุนายน 2551 เป็นเดือนที่สองติดต่อกันเพื่อลดภาวะอุปทานตึงตัวจากโรงกลั่นภายในประเทศลดอัตราการกลั่นและความต้องการใช้ในประเทศอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความต้องการจากจีนและอินโดนีเซียมีมาก
3. เดือนพฤษภาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 3.50, 2.80 และ 5.10 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-16 มิถุนายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 2.00, 2.00 และ 2.80 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2551 อยู่ที่ระดับ 42.09, 40.99, 37.39, 36.09, 36.59, 41.84 และ 41.14 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนมิถุนายน 2551 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนในทิศทางที่สูงขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 125 - 135 และ 130 - 140 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของจีนและอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการจากประเทศในตะวันออกกลาง และจากความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในไนจีเรีย การเมืองในอิรักและกรณีพิพาทระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ เกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 135 - 145 และ 160 - 170 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและการเข้ามาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าของกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าจากภาวะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
5. สำหรับสถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนมิถุนายน 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 54 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 905 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลกและอุปทานในภูมิภาคตึงตัว ขณะที่ความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและเวียดนามต้องการนำเข้าก๊าซ LPG ในเดือนกรกฎาคม 2551 ปริมาณ 22,000 ตัน ตลอดจนประเทศไทยได้มีการสั่งนำเข้าก๊าซ LPG เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคาดการณ์ตัวเลขการนำเข้ารวมในปี 2551 ประมาณ 200,000 ตัน โดยที่ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนกรกฎาคม 2551 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 925 - 935 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในช่วงต้นปี 2551 มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 7.4 ล้านลิตรต่อวัน ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2551 มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 8.1 และ 7.6 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการ 4,022 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 42.09 และ 36.59 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เริ่มจำหน่ายเดือนมกราคม 2551 โดยบริษัทบางจาก และ ปตท. มีสถานีบริการจำนวน 20 แห่ง และ 66 แห่ง ตามลำดับ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2551 ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอยู่ที่ระดับ 63,000 ลิตรต่อวัน และราคาขายปลีกอยู่ที่ 36.09 บาทต่อลิตร และกำลังการผลิตและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 0.89 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย แต่ผลิตเพียง 8 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 2 ในปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 17.54 บาท
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนพฤษภาคม 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน จากผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน 9 ราย และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม อยู่ที่ 40.94, 38.29 และ 37.59 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมีนาคม เมษายน และพฤษภาคม 2551 มีจำนวน 7.52 8.30 และ 9.56 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 41.14 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,557 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 12,808 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 258 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 3,360 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 390 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,749 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 แนวทางการจัดสรรน้ำมันเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ได้มีมติ เรื่องแนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยรับทราบผลการช่วยเหลือที่กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือกับ 4 โรงกลั่นในเครือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันบริจาค โดยการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมมูลค่า 2,196 ล้านบาท โดย กบง. เป็นผู้พิจารณาจัดสรรแทนกระทรวงพลังงาน และให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำและได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และ กลุ่มผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยให้ ปตท. เป็นผู้ประสานงานกับโรงกลั่นทั้ง 4 แห่ง ในการจัดหาน้ำมันดังกล่าว
นอกจากนี้ได้เห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำได้รับความเดือดร้อน ติดต่อมาที่ สนพ. หรือหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ และให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอขอรับความช่วยเหลือต่อ กบง. โดยข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบไปแล้ว กบง. จะติดตามและประเมินผลทุกๆ เดือน
2. ความก้าวหน้าในการจัดสรรน้ำมัน สำหรับกลุ่มผู้เดือดร้อนที่ได้รับการพิจารณาจัดสรรแล้วเป็นกลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้รับการจัดสรรเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 โดย กบง. ได้เห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมด้วยการช่วยเหลือลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้กับรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน หรือประมาณ 30 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน มีราคาถูกกว่าราคาจำหน่ายปกติ 3.00 บาทต่อลิตร โดยผ่านจุดจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการ ขสมก. นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ จนกว่าจะได้ข้อยุติของศาลปกครองในกรณีการขอปรับขึ้นค่าโดยสารหรือเท่ากับที่จำนวนน้ำมันที่ ขสมก. ได้รับการจัดสรรประมาณ 180 ล้านลิตรหมดลง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน พร้อมทั้งได้มอบให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เป็นผู้ประสานกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามมติข้างต้น
3. กลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ประกอบด้วยกลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
3.1 กลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม ได้แก่ 1) สมาคมผู้ประกอบการรถบรรทุกสินค้าภาคอีสาน ได้มีหนังสือขอรับความช่วยเหลือเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2551 ในประเด็นให้ช่วยเหลือลดราคาขายน้ำมันดีเซลลิตรละ 3.00 บาท และเรื่องแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำสำหรับการเปลี่ยนไปใช้ NGV พร้อมทั้งเร่งรัดให้ ปตท. ดำเนินการติดตั้งสถานีบริการ NGV และ 2) กลุ่มแท็กซี่จากโครงการพัฒนาแท็กซี่ไทย (แท็กซี่เอื้ออาทร) เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2551 กลุ่มแท็กซี่ฯ จำนวนประมาณ 300 คัน ได้มีหนังสือขอรับความช่วยเหลือ โดยขอให้จัดสรรหาเชื้อเพลิงราคาถูกให้ตามสถานีบริการ ที่กำหนดให้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และขอให้จัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์และติดตั้งเครื่องยนต์ NGV
3.2 นอกจากนั้น สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 โดยสมาชิกจำนวน 9 สมาคมฯ และ 4 ชมรม ได้มีหนังสือขอรับความช่วยเหลือ ดังนี้ คือ 1)ขอให้จัดหาน้ำมันราคาพิเศษให้ภาคขนส่งทางบกโดยเร่งด่วน ควรจะนำเข้าคณะรัฐมนตรีอนุมัติ 2) การแปลงทรัพย์สินเป็นทุน (รถบรรทุก) หลักทรัพย์ประกันสินเชื่อหรือเงินกู้ 3) ขอสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 0.5 ต่อปี เพื่อการใช้พลังงานทดแทน 4) การลดภาษีรถบรรทุกใหม่เครื่องยนต์ NGV เหลือร้อยละ 10 (นโยบายภาษี) มีกำหนดระยะเวลาและจำนวนรถ 5) ขอเงินสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อใช้ปรับปรุงเครื่องยนต์หรือเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็น NGV 6) ขอให้สร้างสถานี NGV ครอบคลุมแต่ละภูมิภาค และมีความเพียงพอสำหรับรถบรรทุก และ 7) ขอให้มีการปรับปรุงคุณภาพของ NGV ให้มีความสะอาดและมีมาตรฐานค่าความร้อนคงที่
3.3 กลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ เกษตรกร ผู้เลี้ยงกุ้ง เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2551 กรมประมงได้มีหนังสือเพื่อขอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง โดยขอให้มีการนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) เพื่อมาจำหน่ายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง โดยขอให้ใช้หลักเกณฑ์ วิธีการเช่นเดียวกัน
4. เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ กบง. เรื่องแนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงในข้อ 1 กระทรวงพลังงานได้มีหนังสือลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ถึงกระทรวงที่รับผิดชอบทั้งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรฯ เพื่อให้ดำเนินการพิจารณาประเด็นดังนี้คือ กลุ่มผู้ร้องดังกล่าวเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำซึ่งมีความเดือดร้อนที่สมควรได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐหรือไม่ หากกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ากลุ่มดังกล่าวมีความเดือนร้อนสมควรดำเนินการช่วยเหลือ ขอให้ทั้ง 2 กระทรวงจัดทำประมาณความต้องการน้ำมันดีเซลราคาถูก แนวทางการดำเนินการจัดสรรน้ำมัน รวมทั้งการกำหนดให้มีจุดจ่ายน้ำมันที่ชัดเจนในภาคการปฏิบัติ และการป้องกันการรั่วไหล รวมทั้งมอบหมายให้มีหน่วยงานรับผิดชอบในการติดตามและตรวจสอบ เพื่อนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดแนวทางในการช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงในอนาคต โดยการให้ความช่วยเหลือจะพิจารณา ดังนี้
1.1 ให้กลุ่มผู้เดือดร้อนทำหนังสือร้องขอความช่วยเหลือผ่านกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณากลั่นกรองและเสนอความเห็นต่อกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป
1.2 ผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการที่ถูกรัฐบาลควบคุมรายได้จนไม่สามารถปรับรายได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันแพงได้ และกลุ่มที่มีรายได้ต่ำและได้รับผลกระทบ จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
1.3 ต้องแสดงวิธีการจัดสรรน้ำมันให้ชัดเจนว่า น้ำมันราคาถูกจะต้องส่งผ่านไปถึงผู้เดือดร้อนจริง ไม่รั่วไหลไปทางอื่น
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการช่วยเหลือประชาชนโดยใช้น้ำมันราคาถูกจากโรงกลั่นในบางสาขาอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
3. เห็นควรให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณากลั่นกรองกลุ่มที่ควรได้รับความช่วยเหลือ และจัดทำกรอบระยะเวลาและจำนวนที่ต้องการให้การช่วยเหลือ รวมทั้งรายละเอียดการบริหารจัดการและตรวจสอบในการจัดสรรน้ำมันให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้การช่วยเหลือได้ส่งผ่านถึงกลุ่มผู้เดือดร้อนจริง
ครั้งที่ 29 - วันจันทร์ ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2551 (ครั้งที่ 29)
วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่าการประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมนัดพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ทั้งนี้เนื่องจาก สนพ. ได้รายงานให้ทราบ เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกับราคาน้ำมันดิบ ในช่วงปี 2549 - 2550 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ จึงได้หารือกับโรงกลั่นในเครือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่าจะมีแนวทางช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างไร ซึ่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของโรงกลั่นได้มาพบและรายงานให้ทราบถึงแนวทางการช่วยเหลือที่กลุ่มโรงกลั่นในเครือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถช่วยเหลือกับประชาชน โดยมีรายละเอียดคือ โรงกลั่นทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ โรงกลั่นพีทีทีเออาร์ โรงกลั่นไออาร์พีซี โรงกลั่นไทยออยล์ และโรงกลั่นบางจาก จะร่วมกันบริจาคโดยจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปริมาณ 122 ล้านลิตร/เดือน เป็นเวลา 6 เดือนรวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติในอัตรา 3 บาท/ลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท โดยน้ำมันดังกล่าวจะช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ และได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น ซึ่งในรายละเอียดของแนวทางการช่วยเหลือจะขอนำมาปรึกษาหารือในวันนี้ และในนามของกระทรวงพลังงาน ขอขอบคุณโรงกลั่นทั้ง 4 แห่งในเครือของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
เรื่องที่ 1 แนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 119.46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม 2551 จำนวน 32.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยครึ่งหนึ่งของจำนวนที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึง 16.05 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สาเหตุจากประเทศจีนต้องนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนการใช้ถ่านหิน อันเนื่องจากเหมืองหลายแห่งปิดทำการด้วยเหตุแผ่นดินไหว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 158.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยของเดือนมกราคม 2551 จำนวน 52.93 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สูงกว่าน้ำมันดิบที่สูงขึ้นเพียง 32.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากจีนได้เพิ่มปริมาณการนำเข้าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมากขึ้นเพื่อใช้แทนน้ำมันเตาและถ่านหิน ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95, 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของไทยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 40.09, 38.99, 35.39, 34.59 และ 39.04 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
2. กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนในบางสาขาอาชีพที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมันแพงแล้ว ดังนี้
2.1 กลุ่มเรือประมง โดยกลุ่มเรือประมงชายฝั่งจะใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อลดราคาน้ำมันม่วงให้ต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบนบกลิตรละ 2 บาท ส่วนกลุ่มเรือประมงน้ำลึกจะจำหน่ายน้ำมันเขียวในราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลบนบกสำหรับเรือประมงขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ในบริเวณเขตต่อเนื่องซึ่งห่างจากชายฝั่ง 12-24 ไมล์ทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ทั้งนี้ราคาน้ำมันเขียวจะได้รับการยกเว้นภาษีอากร และไม่เก็บเงินเข้ากองทุนต่างๆ ทำให้ราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินบนบกลิตรละ 5-6 บาท
2.2 กลุ่มธุรกิจการขนส่ง รถกระบะและรถตู้ที่ไม่สามารถดัดแปลงหรือปรับแต่งเครื่องยนต์ให้เปลี่ยนไปใช้ NGV ยังสามารถเลือกใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้ซึ่งกระทรวงพลังงานจะใช้การบริหารกองทุนน้ำมันฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.70 บาท
2.3 กลุ่มเกษตรกร ส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลิตรละ 0.70 บาท ให้มีการจำหน่ายอย่างทั่วถึงในสถานีบริการของ ปตท. และ บางจาก รวมทั้งส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอดีเซลชุมชนสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตรในพื้นที่ชนบททั่วไป
3. แนวทางการช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง
3.1 แนวทางการจัดหาน้ำมัน จากสถานการณ์ราคาน้ำมันพบว่าราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและลดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือกับ 4 โรงกลั่นในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้แก่ โรงกลั่นพีทีทีเออาร์ โรงกลั่นไออาร์พีซี โรงกลั่นไทยออยล์ และโรงกลั่นบางจาก ร่วมกันจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น
3.2 แนวทางดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับความเดือดร้อนโดยสามารถติดต่อมาที่ สนพ. หรือหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ และให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอขอรับความช่วยเหลือต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบจาก กบง. ไปแล้ว กบง. จะพิจารณาติดตามและประเมินผลทุกๆ เดือน และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และ สนพ. เป็นผู้ประสานการดำเนินงาน
4. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 ผู้แทนกระทรวงคมนาคมได้ยื่นข้อเสนอทางวาจาต่อกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ กบง. พิจารณา ช่วยเหลือลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้กับรถหมวด 1 (รถโดยสารในเมือง เช่น ขสมก. และรถร่วมบริการ) และหมวด 4 (รถโดยสารในเขตจังหวัด (ชานเมือง)) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 14,636 คัน ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน โดยผ่านจุดจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เท่านั้น อันเนื่องจากศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้ทุเลาการปรับขึ้นราคาค่าโดยสารชั่วคราว จึงทำให้รถโดยสารหยุดเดินรถประท้วง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้รถโดยสาร
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมข้างต้นแล้วเห็นควรให้ความช่วยเหลือ โดยมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือ ดังนี้
5.1 การจัดหาน้ำมัน : กระทรวงพลังงานโดย ปตท. จัดหาน้ำมันดีเซลจำนวนประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน ตามที่กระทรวงคมนาคมร้องขอ ให้กับรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายเป็นน้ำมันดีเซลคุณภาพปกติที่จำหน่ายในสถานีบริการทั่วไป และถูกกว่าราคาจำหน่ายในสถานีบริการปกติ 3.00 บาท/ลิตร มีปริมาณการจำหน่ายประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ จนกว่าจะได้ข้อยุติของศาลปกครองในกรณีการขอปรับขึ้นค่าโดยสาร
5.2 การจัดสรรน้ำมัน จะจัดสรรให้กับรถ ขสมก. และ รถร่วม ขสมก. เฉพาะรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,636 คัน หรือคิดเป็นประชาชนที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน โดยมีปริมาณความต้องการใช้น้ำมันประมาณ 30 ล้านลิตรต่อเดือน โดยมอบให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินงาน ติดตาม และกำกับดูแลการจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการของ ขสมก. ให้กับรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,636 คัน
5.3 เนื่องจากจุดจำหน่ายน้ำมันในปัจจุบันของ ขสมก. มี 24 แห่งสามารถรองรับความต้องการใช้ได้น้ำมันดีเซลได้ 0.4 ล้านลิตรต่อวัน แต่จากการที่กระทรวงพลังงานมีแนวทางช่วยเหลือ รถหมวด 1 และ หมวด 4 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านลิตรต่อวัน และต้องมีรถขนส่งน้ำมันวิ่งในช่วงกลางวัน จึงมีความจำเป็นต้องขออนุญาตสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นกรณีพิเศษให้รถขนส่งน้ำมันสามารถวิ่งนอกช่วงเวลาที่กฎหมายกำหนดได้
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการช่วยเหลือที่กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือกับ 4 โรงกลั่นในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้แก่ โรงกลั่นพีทีทีเออาร์ โรงกลั่นไออาร์พีซี โรงกลั่นไทยออยล์ และโรงกลั่นบางจาก ได้ร่วมกันบริจาค โดยการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท โดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาจัดสรรแทนกระทรวงพลังงาน และให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำและได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประสานงานกับโรงกลั่นทั้ง 4 แห่ง ในการจัดหาน้ำมันดังกล่าว
2. เห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ เช่น ชาวประมง เกษตรกร และ ผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับความเดือดร้อนติดต่อมาที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหรือหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ และให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอขอรับความช่วยเหลือต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบไปแล้ว คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานจะพิจารณาติดตามและประเมินผลทุกๆ เดือน
ทั้งนี้ มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานและสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นผู้ประสานการดำเนินงาน
3. เห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม โดยให้ความช่วยเหลือลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้กับรถหมวด 1 (รถโดยสารในเมือง เช่น ขสมก. และรถร่วมบริการ) และหมวด 4 (รถโดยสารในเขตจังหวัด (ชานเมือง)) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน โดยผ่านจุดจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ดังนี้
3.1 การจัดหาน้ำมัน : กระทรวงพลังงานโดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดหาน้ำมันจำนวนประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน ตามที่กระทรวงคมนาคมร้องขอให้กับรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
3.2 ราคาน้ำมันดีเซล : น้ำมันดีเซลที่จำหน่ายเป็นน้ำมันดีเซลคุณภาพปกติที่จำหน่ายในสถานีบริการทั่วไป และถูกกว่าราคาจำหน่ายในสถานีบริการปกติ 3.00 บาทต่อลิตร
3.3 ปริมาณการจำหน่าย : ประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ จนกว่าจะได้ข้อยุติของศาลปกครองในกรณีการขอปรับขึ้นค่าโดยสารหรือเท่าที่จำนวนน้ำมันที่ได้รับการจัดสรรหมดลง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน
3.4 การจัดสรรน้ำมัน : จัดสรรให้กับรถ ขสมก. และ รถร่วม ขสมก. เฉพาะรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน หรือคิดเป็นประชาชนที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน โดยมีปริมาณความต้องการใช้น้ำมันประมาณ 30 ล้านลิตรต่อเดือน
3.5 การบริหารจัดการ : มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินงาน ติดตาม และกำกับดูแลการจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการของ ขสมก. หรือสถานีบริการที่ ขสมก. รับรอง ให้กับรถหมวด 1 และหมวด 4 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน
3.6 มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามมติข้างต้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และให้นำผลการดำเนินงานเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมครั้งต่อไป
ครั้งที่ 28 - วันศุกร์ ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/255 (ครั้งที่ 28)
วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มีนาคม - 9 พฤษภาคม 2551)
2. รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน
3. หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า
4. แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่าจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2551 ซึ่งกระทรวงพลังงานจะได้นำเสนอเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาพลังงาน เช่น เรื่องการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งปัจจุบันยังขาดการสนับสนุนทางด้านแรงจูงใจ มาตรการแก้ไขปัญหา NGV และการส่งเสริมการใช้ E85 ให้เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มีนาคม - 9 พฤษภาคม 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 96.76 และ 103.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.74 และ 8.53 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวและข่าวกลุ่มคนร้ายติดอาวุธได้ลอบวางระเบิดท่อส่งน้ำมันในประเทศอิรัก ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันของอิรักลดลงอย่างรุนแรง ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ เฉลี่ยเดือนเมษายน 2551 อยู่ที่ระดับ 103.41 และ 109.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.66 และ 6.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับจากตลาดที่ยังกังวลต่อการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องและข่าวกลุ่มก่อการร้ายโจมตีท่อส่งน้ำมันของบริษัท Royal Dutch Shell ในประเทศไนจีเรีย และต่อมาในช่วงวันที่ 1-9 พฤษภาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 112.92 และ 118.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงและไนจีเรียได้ลดการส่งออกน้ำมันดิบลงในเดือนพฤษภาคม 2551 ที่ระดับ 1.63 ล้านบาร์เรล/วัน หลังเกิดเหตุการณ์พนักงานบริษัทน้ำมันประท้วงและก่อการวินาศกรรมแหล่งผลิต
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 109.78, 109.17 และ 126.19 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.71, 5.04 และ 14.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าว PetroChina ของจีนงดส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนเมษายน 2551 และจะปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในเดือนเมษายน ประกอบกับข่าวประเทศชิลีมีแผนนำเข้าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าปริมาณ 7.8 ล้านบาร์เรล ส่งมอบในเดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2551 และในเดือนเมษายน 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 118.08, 117.09 และ 138.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วตามราคาน้ำมันดิบและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในเวียดนาม จีนและอินโดนีเซีย และต่อมาในช่วงวันที่ 1-9 พฤษภาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 123.48, 122.79 และ 144.97 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและ IES รายงานปริมาณสำรอง Light Distillates ของสิงคโปร์ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ลดลง 0.31 ล้านบาร์เรล ประกอบกับข่าวประเทศอินโดนีเซียอาจเพิ่มการตรึงราคาน้ำมันในประเทศเนื่องจากราคาตลาดโลกอยู่ในระดับสูง
3. เดือนมีนาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (E10), แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร และปรับราคาแก๊สโซฮอล 95 (E20) เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 1.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร และ ในเดือนเมษายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (E10), แก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 1.50 บาทต่อลิตร ปรับราคาแก๊สโซฮอล 95 (E20) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2.00 บาทต่อลิตร และในช่วงวันที่ 1-12 พฤษภาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จำนวน 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 37.59, 36.49, 33.59, 31.59, 32.79, 34.44 และ 33.74 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนมิถุนายน 2551 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนในทิศทางที่สูงขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 115-125 และ 120-130 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของจีนและอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการจากประเทศในตะวันออกกลาง และจากความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในไนจีเรีย การเมืองในอิรักและกรณีพิพาทระหว่างอิหร่านและสหรัฐเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 125-135 และ 140-160 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและการเข้ามาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าของกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าจากภาวะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
5. สำหรับสถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนพฤษภาคม 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น42 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 851 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบตลอดโลกและความต้องการก๊าซ LPG จากธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น รัฐบาลกำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายส่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ระดับ 13.6863 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ในเดือนเมษายน 2551 ได้นำเข้า ก๊าซ LPG 20,000 ตัน ณ ระดับราคา 27.1799 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 16.1839 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 323.68 ล้านบาท สำหรับราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนมิถุนายน 2551 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 805-820 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปริมาณนำเข้า ก๊าซ LPG เดือนพฤษภาคมและมิถุนายนอยู่ที่ประมาณ 13,000 และ 19,000 ตัน ตามลำดับ
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในช่วงต้นปี 2551 มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 7.4 ล้านลิตรต่อวัน และในเดือนเมษายน 2551 มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 8.1 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสถานีบริการ 3,963 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 33.59 บาทต่อลิตร และ 32.79 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เริ่มจำหน่ายเดือนมกราคม 2551 ราคาขายปลีกอยู่ที่ 31.59 บาทต่อลิตร บ.บางจาก และ ปตท. มีสถานีบริการในกรุงเทพและปริมณฑล 15 แห่ง และ 27 แห่ง ตามลำดับ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคมและเมษายน 2551 เท่ากับ 9,000 16,000 29,000 และ 47,000 ลิตรต่อวัน ตามลำดับ และกำลังการผลิตและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 0.89 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิต เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 10 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 2 ในปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 17.54 บาท
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนเมษายน 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมีนาคม เมษายน และพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ 40.94, 38.29 และ 38.11 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมีนาคมและเมษายนมีจำนวน 7.52 และ 8.30 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 33.74 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 15,662 ล้านบาท มีหนี้สิน ค้างชำระ 11,980 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 258 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 2,426 ล้านบาท หนีชดเชยก๊าซ LPG 107 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,682 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีคำสั่งที่ 10/2550 ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2550 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานที่มีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานร่วม ทำหน้าที่เสนอแนะนโยบาย และแนวทางแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการด้านพลังงาน ซึ่งเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานได้จัดประชุมครั้งที่ 1/2551 เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับโครงการด้านพลังงาน
2. ประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน และความก้าวหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
2.1 ปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการฯ ที่ประชุมได้มีมติให้ปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการฯ ใหม่ โดยให้เพิ่มอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ, อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน), ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นอนุกรรมการ รวมทั้งให้เปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ เพื่อความเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานยิ่งขึ้น โดยประธาน กบง. ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ได้ปรับปรุงใหม่แล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551
2.2 การขอยกเว้นการจัดทำ EIA ก่อนการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือน โดยเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 สผ. ได้ยกร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกำหนดให้มีโครงการที่ต้องจัดทำ EIA จำนวน 34 โครงการ ซึ่งไม่นับรวมโครงการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือนเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ซึ่งได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศดังกล่าวและให้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) ร่วมกับ สผ. นำเสนอรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือนที่ได้ผ่านการสัมมนาและมีการปรับปรุงแล้วเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อให้ความเห็นชอบด้วย ซึ่งปัจจุบันคาดว่าจะสามารถเสนอรายละเอียดต่อคณะอนุกรรมการฯ ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2551 เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนให้ ชธ.นำไปใช้โดยอาศัยอำนาจตามกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2514) ออกตามความใน พ.ร.บ. ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 14(1)
2.3 การจัดตั้งโรงไฟฟ้า และระบบส่งไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2550-2564 (PDP 2007) และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่ประชุมได้มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบแนวทางดำเนินการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับแก้และเพิ่มเติมแนวทางดำเนินการตามข้อสังเกตที่ประชุม ตลอดจนมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแนวทางการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้เกิดผลทางปฏิบัติ ต่อไป (2) มอบให้กระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพดำเนินการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรงไฟฟ้าถ่านหินในลักษณะ Clean Coal ต่อประชาชน รวมทั้งภาพรวมของแผนและทิศทางการพัฒนาพลังงาน โดยบรรจุในแผนประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงานและดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็ว และ (3) มอบหมายให้กระทรวงพลังงานโดย สนพ. กำหนดพื้นที่สำหรับพัฒนาโรงไฟฟ้าในอนาคตสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ในรอบต่อไป โดยให้พิจารณาจากเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ ความเหมาะสมทางด้านเทคนิคในการจัดตั้งโรงไฟฟ้า และความเหมาะสมด้านการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
2.4 การทบทวนการกำหนดประเภท ขนาด โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่ต้องจัดทำ EIA ที่ประชุมได้มีมติมอบให้ พพ. ประสานกับ สผ. และกรมป่าไม้ พิจารณาทบทวนการกำหนด ประเภท ขนาด โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่ต้องจัดทำ EIA หรือ IEE เป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่มีกำลังผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ไม่ต้องจัดทำ EIA ให้ได้ข้อยุติ แล้วนำเสนอ กบง. เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ให้ความเห็นชอบและกำหนดบังคับใช้ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อยุติสามารถนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ภายในเดือนมิถุนายน 2551
2.5 การกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ (Code of Practice) สำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติ ทางท่อ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ ธพ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการอนุมัติโครงการที่ใช้ COP และบังคับใช้ COP และมอบหมาย ธพ. ร่วมกับ สผ. นำเสนอคณะกรรมการกำกับการศึกษา COP พิจารณาทบทวนลักษณะของโครงการและพื้นที่ที่สามารถใช้ COP แทนการจัดทำ EIA ให้ได้ข้อยุติ ตลอดจนให้ศึกษาการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบก่อนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ นำเสนอ กก.วล. พิจารณาเพื่อให้สามารถนำไปใช้ภายในกลางปี 2551 ปัจจุบัน ธพ.ร่วมกับ สผ. นำเสนอคณะกรรมการกำกับการศึกษา COP พิจารณาทบทวนลักษณะของโครงการและพื้นที่ที่สามารถใช้ COP แทนการจัดทำ EIA จนได้ข้อยุติ และนำร่าง COP ประกาศในระบบเครือข่ายสารสนเทศเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Focus Group) ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเสนอ COP ที่มีการปรับปรุงต่อคณะอนุกรรมการฯ ภายในเดือนมิถุนายน 2551
2.6 การปรับลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตา ที่ประชุมมีมติเห็นควรชะลอเรื่องการปรับลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตาไปก่อน และมอบให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตรวจสอบและเฝ้าระวังปัญหาก๊าซ SO2ในบรรยากาศ และหากพบว่าแนวโน้มของก๊าซ SO2 จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพบรรยากาศโดยรวมให้เสนอแนะการปรับลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตา
2.7 การควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ คพ. รับไปดำเนินการติดตามตรวจสอบสภาพปัญหาจากไอระเหยน้ำมันเชื้อเพลิง และเสนอแนะมาตรการและเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาการควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งระบบ ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้ในการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไอระเหยน้ำมันในรถยนต์เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายต่อไป ปัจจุบัน คพ. อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนเก็บตัวอย่างอากาศเพื่อวิเคราะห์หาสารประกอบอินทรีย์ระเหย (VOCs) เพื่อติดตามประเมินผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง
2.8 การผลิตไฟฟ้าจากขยะและการกำจัดของเสีย ที่ประชุมได้มีมติมอบให้ คพ. ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน และดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติ ต่อไป ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ได้มติดังนี้ 1) เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินการตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 โดยให้คงราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 ของเดือนมีนาคม 2551 ไว้ จนถึงเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากนั้น ให้มีการพิจารณาดำเนินการปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 2) เห็นชอบให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ ณ ระดับราคาตามราคาอิงตลาดโลกในข้อ 1) แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระหนี้เงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ และลดความต้องการใช้ ก๊าซ LPG โดยให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติต่อไป 3) เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณสัดส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป 4) มอบหมายให้ ธพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับ ก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ ในประเทศ รวมทั้งการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการใช้ก๊าซ LPG ที่มิใช่การใช้ในภาคครัวเรือน โดยให้ ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้ สบพน. เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย 5) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราเงินชดเชยและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิต จำหน่ายและนำเข้ามาใช้ในประเทศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป และ 6) มอบให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ตามข้อ 1) ข้อ 2) และข้อ 3) ได้ตามความเหมาะสม
2. การที่ภาครัฐได้กำหนดให้ราคาก๊าซ LPG อยู่ในระดับที่ต่ำ ส่งผลให้ปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาครถยนต์และภาคอุตสาหกรรม ขณะที่การผลิตลดลงเนื่องจากผู้ผลิตมีแผนปิดซ่อมบำรุงประจำปี ประกอบกับโรงกลั่นได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตโดยใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงแทน น้ำมันเตา เนื่องจากราคาจำหน่ายในประเทศมีราคาต่ำ และจากประมาณการการผลิตและการใช้ก๊าซ LPG ของ ธพ. พบว่าในเดือนเมษายน 2551 ปริมาณก๊าซ LPG จะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ จำเป็นต้องมีการนำเข้า ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ค้าตามมาตรา 7 (บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)) ในการนำเข้าก๊าซ LPG เพื่อใช้ในประเทศในเดือนเมษายน 2551 ปริมาณ 20,000 ตัน
3. หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า โดยที่อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าจะเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG นำเข้าและราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักร ซึ่งการคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้าจะเท่ากับ
ราคาก๊าซ LPG นำเข้า = CP + Premium +ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
โดยที่
1) CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน 60 ต่อ 40 ณ เดือนที่มีการนำเข้า
2) Premium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า
3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ Insurance, Loss, Demurrage, Import duty, Surveyor/witness fee & Lab expenses, Management Fee และ Depot Operating Expenses
4) อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า
ในการคำนวณราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักร จะใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 และวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551
4. ประมาณการคำนวณราคานำเข้าก๊าซ LPG ตามหลักเกณฑ์ในข้อ 3 พบว่าในเดือนเมษายน 2551 ปริมาณนำเข้าก๊าซ LPG 20,000 ตัน จะมีต้นทุนราคานำเข้าก๊าซ LPG เท่ากับ 860.6891 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ณ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 31.5792 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นต้นทุนราคานำเข้าก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2551 จะเท่ากับ 27.1799 บาท/กิโลกรัม และจากมติ กบง. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ได้กำหนดให้คงราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ตั้งแต่มีนาคม 2551 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2551 ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ของเดือนเมษายน 2551 เท่ากับราคาในเดือนมีนาคม 2551 คือ 10.9960 บาท/กิโลกรัม และจากการคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะต้องรับภาระในการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG 20,000 ตันจากต่างประเทศ ณ เดือนเมษายน 2551 ในอัตรากิโลกรัมละ 16.1839 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 323.68 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า
อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เท่ากับ ส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG นำเข้าและราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักร
2. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้า
ราคาก๊าซ LPG นำเข้า = CP + Premium + ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
โดยที่
1) CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่าง โพรเพนกับบิวเทน 60 ต่อ 40 ณ เดือนที่มีการนำเข้า
2) Premium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า
3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
Insurance
Loss
Demurrage
Import duty
Surveyor / witness fee & Lab expenses
Management Fee
Depot Operating Expenses
4) อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า
ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป โดยให้เป็นไปตามมติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
เรื่องที่ 4 แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. จากมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 เรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ออกประกาศกำหนดเงื่อนไขการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปนอกราชอาณาจักร ปี 2551 ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ ผู้ที่ส่งออกได้ต้องเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เท่านั้น โดยต้องขอรับหนังสือรับรองจากกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อไปแสดงต่อ เจ้าพนักงานศุลกากรทุกครั้งในการส่งออกและให้ส่งออกได้ ณ ท่า หรือด่านศุลกากรที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งประกาศฯ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2551 เป็นต้นไป
2. เดือนมีนาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถนำเข้าก๊าซ LPG ตามปริมาณส่วนที่ขาดได้ จึงจำเป็น ต้องนำปริมาณก๊าซ LPG ที่โรงกลั่นน้ำมันใช้เองออกจำหน่าย และให้โรงกลั่นน้ำมันเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนก๊าซ LPG เช่น ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมันเตา การกำหนดเงื่อนไขการส่งออกตามข้อ 1 อาจส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดประเทศไทยและต้องพึ่งพาการนำเข้าก๊าซ LPG จากไทย โดยเฉพาะ สปป.ลาว ที่ไม่มีทางออกทะเล ในการนี้ สปป.ลาว ได้มีคำร้องผ่านอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ เวียงจันทน์ ระบุว่า สปป.ลาวไม่สามารถจัดหาก๊าซ LPG จากที่อื่นได้นอกจากไทย โดยมีปริมาณนำเข้าปีละประมาณ 2,500 - 3,000 เมตริกตัน หรือประมาณเดือนละ 200-250 เมตริกตัน รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอื่นที่มีชายแดนติดไทย เช่น พม่ามีการนำเข้าประมาณเดือนละ 35 เมตริกตัน
3. ธพ. ได้เจรจากับโรงกลั่น เพื่อให้นำก๊าซ LPG ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงกลั่นออกมาจำหน่าย ในประเทศให้มากที่สุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป ประมาณเดือนละ 10,000 เมตริกตัน ซึ่ง โรงกลั่นให้ความร่วมมือ โดยขอให้ภาครัฐจ่ายเงินชดเชยราคาต้นทุนที่สูงขึ้นให้ ดังนี้
เปรียบเทียบจำนวนเงินที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรับภาระจ่ายชดเชยส่วนต่างของราคา
หน่วย : เหรียญสหรัฐฯ/เมตริกตัน
ชนิดเชื้อเพลิง | ราคาต้นทุนเชื้อเพลิงอื่น | ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG (เดือนมีนาคม 2551) | จำนวนเงินที่กองทุนฯ รับภาระจ่ายชดเชยส่วนต่างของราคา |
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ราคาตลาดโลก | 870 - 950 | 332.75 | 537.25 - 617.25 |
ก๊าซธรรมชาติ (NG) | 450 | 332.75 | 117.25 |
น้ำมันเตา | 523.88 | 332.75 | 191.13 |
4. การใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นทดแทนการใช้ก๊าซ LPG ในโรงกลั่นน้ำมันมีอัตราจ่ายเงินชดเชยต่ำกว่าเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ทำให้ประเทศจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าการนำเข้าก๊าซ LPG รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซ LPG ของประเทศได้เร็วกว่าการนำเข้า คือตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป และการส่งออกก๊าซ LPG ไปประเทศเพื่อนบ้านจะต้องไม่สร้างภาระจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ โดยผู้ค้าที่จะส่งออกไปจำหน่ายต้องขออนุญาตปริมาณส่งออกล่วงหน้า เพื่อนำมารวมในปริมาณนำเข้า และปริมาณส่วนนี้จะไม่ได้รับเงินชดเชยนำเข้า
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการจ่ายชดเชยราคาของเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG เช่น ก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันเตาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปพิจารณากำหนดแนวทางการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวต่อไป
2. เห็นชอบให้ไม่มีการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่นำเข้ามาเพื่อส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบทุกครั้งการประชุมด้วย
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการประชาสัมพันธ์ ปี 2551 ให้กับ 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รวมเป็นเงินจำนวน 213 ล้านบาท
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้รับทราบงบประมาณประชาสัมพันธ์ ปี 2551 ที่กระทรวงพลังงานได้รับจัดสรรจากเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ และได้มอบนโยบายให้แต่ละหน่วยงาน ใช้เงินตามความจำเป็น แต่ให้มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล สอดรับกับนโยบายหลัก 5 ข้อด้านพลังงานของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 และตามมติที่ประชุมผู้บริหารของกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2551 ที่ได้มีมาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาชนจำนวน 11 มาตรการใหม่ เพื่อเร่งรัดส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีการประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม
3. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2551 ในการประชุมคณะกรรมการบริหารงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงาน ได้พิจารณาการบริหารจัดการทรัพยากรด้านงบประชาสัมพันธ์ใหม่ เนื่องจากงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์บางส่วนยังไม่มีภาระผูกพันเป็นจำนวน 105.5 ล้านบาท และขณะนี้ได้เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2551 ซึ่งคาดว่าการใช้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวจะไม่ทันเวลา คณะกรรมการบริหารงานประชาสัมพันธ์ฯ จึงเห็นควรให้ สป.พน. สนพ. และ ธพ. ปรับแผนงานโครงการประชาสัมพันธ์และนำเงินงบประมาณรวม 105.5 ล้านบาท ส่งคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปก่อน ดังต่อไปนี้
หน่วยงาน/โครงการ | จำนวนเงิน (ล้านบาท) | |
อนุมัติ | ส่งคืน | |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | ||
1.1 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน | 50 | 42.5 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | ||
2.1 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ระยะที่ 3 | 50 | 20.0 |
2.2 โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG | 40 | 10.0 |
2.3 โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ | 30 | 30.0 |
2.4 โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ | 30 | - |
2.5 การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 | 3 | 3 |
3. กรมธุรกิจพลังงาน | ||
3.1 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านพลังงานตามภารกิจและยุทธศาสตร์ของกรมธุรกิจพลังงาน | 10 | - |
รวม 3 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น | 213 | 105.5 |
รวม 3 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น (หลังส่งเงินคืนกองทุนฯ) | 107.5 |
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 27 - วันพฤหัสบดี ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2551 (ครั้งที่ 27)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มกราคม - 25 กุมภาพันธ์ 2551)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุม กบง. ครั้งแรกของรัฐบาล ชุดปัจจุบัน และได้สอบถามฝ่ายเลขานุการฯ เกี่ยวกับงานที่ยังค้างอยู่ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่าจากการประชุมฯ ครั้งที่ผ่านมา กบง. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริม การแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาช่วยอุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะในอัตราไม่เกิน 7 บาทต่อลิตร แต่เนื่องจากต้องมีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับนิยามของน้ำมันเชื้อเพลิงให้ครอบคลุมการผลิตน้ำมันจากขยะ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ จะได้ดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีตามมติ กบง. ต่อไป
เรื่องที่ 1 แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG และมีมติเห็นชอบการยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยให้ปรับขึ้นราคาขายส่ง และให้ยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG และยังคงนโยบายราคาก๊าซ ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ โดยเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากก๊าซ LPG ในระดับที่เพียงพอสำหรับชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซภูมิภาค และเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG โดยกำหนดเพดานที่ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 60 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 40 โดยให้ทยอยปรับสัดส่วนการผลิตระหว่างโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นน้ำมันไปสู่ระดับจริง คือ 60 ต่อ 40 รวมทั้งได้มอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม
2. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 รัฐบาลได้ยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยให้ปรับราคาขายส่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.20 บาทต่อกิโลกรัม จากราคา 16.81 บาท เป็น 18.01 บาทต่อกิโลกรัม วันที่ 4 มกราคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. ได้เห็นชอบการปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับ ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 7 มกราคม 2551 และวันที่ 30 มกราคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เห็นชอบให้ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ของเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ตามหลักเกณฑ์ฯ ซึ่งทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ปรับตัวเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 20 สตางค์ จากราคา 18.01 เป็น 18.21 บาทต่อกิโลกรัม และเดือนมีนาคม 2551 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG จะเป็น 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
3. ประมาณการใช้ก๊าซ LPG ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2551 อยู่ที่ระดับ 11.87 ล้านกิโลกรัมต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.81 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ขณะที่ประมาณการผลิตอยู่ที่ระดับ 11.20 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ลดลงจากปีก่อน 0.26 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ทั้งนี้เนื่องจากผู้ผลิตมีแผนปิดซ่อมบำรุงประจำปี ประกอบกับโรงกลั่นได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตโดยใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันเตา และจากราคาจำหน่ายในประเทศมีราคาต่ำ ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณการผลิตก๊าซ LPG จะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ จำเป็นต้องมีการนำเข้าเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยคาดว่าในช่วง 4 เดือนแรกของ ปี 2551 ต้องนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 81 ล้านกิโลกรัม
4. เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยรักษาระดับราคาพลังงานให้อยู่ระดับ ที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงมีข้อเสนอดังนี้
4.1 เห็นควรให้ขยายเวลาการดำเนินการโดยให้คงราคา ณ โรงกลั่นตามสูตรการคำนวณของเดือนมีนาคม 2551 ไว้ก่อน เนื่องจากการส่งเสริมการใช้ NGV ให้เป็นทางเลือกของผู้ใช้ LPG ต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง โดยคาดว่าจะมีความพร้อมประมาณเดือนกรกฎาคม 2551
4.2 ให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ ณ ระดับราคาตามราคา อิงตลาดโลกในข้อ 1 แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระหนี้เงินชดเชยการนำเข้าก๊าช LPG จากต่างประเทศ และลดความต้องการใช้ก๊าช LPG โดยให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติต่อไป
4.3 เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณสัดส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป
4.4 มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ รวมทั้งการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการใช้ก๊าซ LPG ที่มิใช่การใช้ในภาคครัวเรือน โดยให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย
4.5 มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราเงินชดเชยและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิต จำหน่ายและนำเข้ามาใช้ในประเทศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
4.6 มอบหมายให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ตามข้อ 4.1 ข้อ 4.2 และข้อ 4.3 ได้ตามความเหมาะสม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินการตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 เรื่อง แนวทาง การแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้คงราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับ ต้นทุนการผลิตจาก โรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 ของเดือนมีนาคม 2551 ไว้ จนถึงเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากนั้น ให้มีการพิจารณาดำเนินการปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
2. เห็นชอบให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ ณ ระดับราคาตามราคาอิงตลาดโลกในข้อ 1 แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชำระหนี้ เงินชดเชยการนำเข้าก๊าช LPG จากต่างประเทศ และให้ลดความต้องการใช้ก๊าช LPG โดยมอบให้ กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติต่อไป
3. เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณสัดส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป
4. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ และการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการใช้ก๊าซ LPG ที่มิใช่การใช้ในภาคครัวเรือน โดยมอบให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย
5. มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อัตราเงินชดเชยและอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ คืนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิต จำหน่าย และนำเข้ามาใช้ในประเทศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
6. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณา ให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ตามข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 ได้ตามความเหมาะสม
7. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปจัดทำข้อเสนอจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบการนำก๊าซหุงต้มไปจำหน่ายในสาขาอื่น และคณะกรรมการป้องกันการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มกราคม - 25 กุมภาพันธ์ 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ระดับ 87.37 และ 92.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1.79 และ 0.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากข่าวไนจีเรียส่งออกน้ำมันดิบเดือนมีนาคม ลดลง 420,000 บาร์เรลต่อวัน และโรงกลั่น Aruba (255,000 บาร์เรลต่อวัน) ในสหรัฐฯ ปิดฉุกเฉินอย่างไม่มีกำหนดจากเหตุเพลิงไหม้ รวมทั้งข่าวกลุ่มโอเปค จะยังไม่พิจารณาเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 25 กุมภาพันธ์ ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 89.13 และ 93.61 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความวิตกว่าอุปทานน้ำมันดิบอาจตึงตัวจากข่าวบริษัทน้ำมัน Lukoil ของรัสเซียหยุดการส่งน้ำมันดิบทางท่อส่งน้ำมันปริมาณ 520,000 ตัน ไปยังเยอรมมีในเดือนกุมภาพันธ์ ประกอบกับพายุไซโคลน Nicholas พัดผ่านบริเวณแหล่งผลิตน้ำมันดิบในประเทศออสเตรเลีย ทำให้ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอิรัก
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ระดับ 100.51, 99.56 และ 105.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 2.13, 2.47 และ 0.01 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง รวมทั้งจีนมีแผนลดปริมาณส่งออกน้ำมันเบนซินเพื่อสำรองไว้ใช้ในฤดูกาลแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อน และในช่วงวันที่ 1-25 กุมภาพันธ์ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 103.59, 102.59 และ 109.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจาก Formosa Petrochemical Corp. ของไต้หวันจะปิดซ่อมบำรุงตามแผน CDU (180,000 บาร์เรลต่อวัน) ประกอบกับข่าวเกาหลีใต้ลดส่งออกน้ำมันดีเซล เนื่องจากโรงกลั่นลดปริมาณการกลั่นน้ำมันดิบในเดือนมีนาคม
3. เดือนมกราคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 0.10 บาทต่อลิตร และปรับลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.20 บาท/ลิตร และปรับเพิ่มราคาน้ำมันเบนซิน 91 ขึ้นอีก 0.20 บาทต่อลิตร และในช่วงวันที่ 1-27 กุมภาพันธ์ 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จำนวน 1 ครั้ง และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 อยู่ที่ระดับ 33.19, 32.09, 29.19, 27.19, 28.39, 29.54 และ 29.04 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนมีนาคม 2551 คาดว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับสูง ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 83 - 88 และ 88 - 93 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความกังวลเกี่ยวกับ Supply Disruption และค่าเงินดอลล่าห์ที่อ่อนตัวทำให้ Trader & Hedge Funds เข้าซื้อขายเพื่อเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า และข่าวโอเปคมีแนวโน้มไม่เพิ่มปริมาณการผลิต ขณะที่ความต้องการในตลาดใช้น้ำมันของสหรัฐฯ และจีนยังอยู่ในระดับสูง สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 98 - 105 และ 105 - 112 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นของประเทศสหรัฐฯ และจีน
5. สำหรับสถานการณ์ LPG ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง70 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 802 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบตลอดโลกในช่วงเดือนมกราคม 2551 แต่ความต้องการใช้เพื่อความอบอุ่นและจากธุรกิจปิโตรเคมียังคงมีจำนวนมาก ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 18.21 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่าย ในประเทศอยู่ในระดับ 0.3033 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 42.51 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนมีนาคม 2551 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 795 - 805 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนกุมภาพันธ์ 2551 การผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีปริมาณรวม 0.967 และ 0.81 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 7 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 1 - 4 ในปี 2550 อยู่ที่ลิตรละ 19.33, 18.62, 16.82 บาท และ 15.29 บาท ตามลำดับ และราคาเอทานอล ไตรมาส 1 ปี 2551 ลิตรละ 17.28 บาท ขณะที่มีปริมาณ เอทานอลสำรองของผู้ค้าน้ำมันรวม 22.39 ล้านลิตร ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 (E10) เดือนมกราคมและในช่วงวันที่ 1-16 กุมภาพันธ์ 2551 ปริมาณ 5.27 และ 5.53 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่าย จำนวน 15 บริษัท และสถานีบริการ 3,822 แห่ง โดยที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ในช่วงเวลาเดียวกันมีปริมาณ 1.44 และ 1.60 ล้านลิตรต่อวัน จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่ายจำนวน 4 บริษัท และสถานีบริการน้ำมัน 1,127 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 (E10) และ 91 (E20), 91 อยู่ที่ 22.19, 27.19 และ 28.09 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 4.00, 6.00 และ 3.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.185 ล้านลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมกราคม และ กุมภาพันธ์ 2551 อยู่ที่ 38.93 และ 40.67 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2550 มีจำนวน 4.89 และ 4.75 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 29.04 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.50 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551 มีเงินสดในบัญชี 13,519 ล้านบาท มีหนี้สิน ค้างชำระ 10,129 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 388 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 941 ล้านบาท หนีชดเชยก๊าซ LPG 107 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,390 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 15 - วันจันทร์ ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2549
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 15)
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. ทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4. การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสำรองเอทานอล
5. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานคร
7. โครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิง
1. ราคาน้ำมันดิบ
1.1 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในช่วงเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคมได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 69.17 และ 74.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากอิหร่านยังไม่ให้คำตอบ ในเรื่อง ข้อเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนการระงับโครงการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มขบวนการติดอาวุธเฮชบอลเลาะห์ ประกอบกับโรงกลั่นของสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง ในรัฐหลุยเซียนา และในรัฐอิลลินอยล์ ต้องประกาศปิดฉุกเฉินหน่วยผลิต เป็นเวลา 20 วัน เนื่องจากกระแสไฟฟ้าขัดข้องจากผลกระทบของพายุ ตลอดจนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะนำน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้ทันทีหากการขนส่งน้ำมันในอ่าวเปอร์เซียหยุดชะงักลง
1.2 ในช่วง 1 - 18 สิงหาคม 2549 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 69.93 และ 75.70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.76 และ 1.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลลาห์ยุติการสู้รบตามมติของสหประชาชาติ และแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Prudhoe Bay จะสามารถกลับมาผลิตได้ที่ระดับ 200,000 บาร์เรล/วัน ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2549 ดังนั้น ในช่วง 3 เดือน (1 มิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549) ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 68.10 และ 73.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมที่ระดับ 3.10 และ 2.50 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์
2.1 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 เฉลี่ยเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 82.76 และ 82.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 4.05 และ 3.97 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากอินโดนีเซียชะลอการนำเข้าในเดือนกรกฎาคม 2549 ลง และความต้องการใช้เบนซินในญี่ปุ่นจะลดลง เนื่องจากเริ่มเข้าช่วงฤดูฝน ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 85.88 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องอุปทานน้ำมันดีเซลจาก ตะวันออกกลางลดลง ประกอบกับอินเดียออกประมูลซื้อน้ำมันดีเซลส่งมอบครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม 2549 ปริมาณ 30,000 ตัน และอินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันดีเซลส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2549 ปริมาณ 140,000 ตัน ขณะที่ในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 85.50 , 84.47 และ 86.29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลตามลำดับ โดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามราคาปิดน้ำมันดิบ WTI และ Brent ประกอบกับเวียดนามจะนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น ร้อยละ 29 ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2549 ส่วนราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาซื้อขายน้ำมันที่ใช้เพื่อความอบอุ่นในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ICE และจากความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่องของเวียดนาม
2.2 ระหว่าง 1 - 18 สิงหาคม 2549 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 84.41 และ 83.47 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เฉลี่ยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว เนื่องจาก IES รายงานปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 1.17 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นปริมาณสำรองสูงสุดในรอบ 9 เดือน ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว เนื่องจากอินโดนีเซียลดปริมาณนำเข้าน้ำมันดีเซล ในเดือนกันยายน 2549 ลดลง 0.6 ล้านบาร์เรล จากเดือนสิงหาคม 2549 สรุปในช่วง 1 มิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 84.22 และ 83.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2.58 และ 2.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
3. ราคาขายปลีก ในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2549 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 5 ครั้ง และปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 3 ครั้ง ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับเพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 3 ครั้ง และปรับลดลง ครั้งละ 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 30.19, 29.39 และ 27.54 บาท/ลิตร ตามลำดับ ซึ่งต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 18 สิงหาคม ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 29.39, 28.59 และ 27.54 บาท/ลิตร ตามลำดับ ดังนั้นในช่วง 1 มิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร และปรับลดราคาขายปลีกเบนซินลดลง 0.80 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ช่วงเดือนมิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549 การจัดเก็บเงินส่งเข้า กองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันชนิดต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงในอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดิมที่ผ่านมา ส่งผลให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2549 มีเงินสดสุทธิจำนวน 15,557 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระจำนวน 68,662 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตรจำนวน 26,400 ล้านบาท หนี้เงินกู้สถาบันการเงินจำนวน 29,605 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระจำนวน 1,404 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG จำนวน 10,961 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ จำนวน 159 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่ายประจำเดือนจำนวน 133 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 53,105 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนกันยายนประมาณ 2,573 ล้านบาท และมีรายจ่ายมากกว่ารายรับจำนวน 405 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1.กลไกการตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้อยู่ในระดับต่ำ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 กำหนดรายได้ของผู้ผลิตและผู้นำเข้าให้เท่ากับราคาประกาศเปโตรมินที่ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทนเป็น 60 ต่อ 40 ลบ 16 USD/TON มีราคาต่ำสุดในระดับ 185 USD/TON และสูงสุด ในระดับ 315 USD/TON ส่วนที่ 2 กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร กิโลกรัมละ 12.4569 บาท หากราคาจำหน่ายตามส่วนที่ 1 สูงกว่าให้จ่ายเงินชดเชยในอัตราสูงสุดไม่เกิน 2 บาท/กก. และส่วนที่ 3 กำหนดอัตราชดเชยค่าขนส่งก๊าซ ไปยังคลังก๊าซต่างๆ ตามประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2546 เพื่อให้สามารถจำหน่ายก๊าซได้ในราคาเดียวกัน
2. นโยบายราคาก๊าซ LPG ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเตรียมการสู่ระบบราคา "ลอยตัวเต็มที่" โดย กบง. ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ให้จำกัดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงสุด เพื่อยุติการไหลออกของเงินกองทุนน้ำมันฯ โดยทยอยปรับลดอัตราชดเชย LPG ลงอย่างต่อเนื่อง และให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคา LPG เข้าสู่ระบบ "ลอยตัวเต็มที่" ในเดือนกรกฎาคม 2548 ซึ่งต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 ได้มีมติให้กำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าเพดานสูงสุด 3 บาท/กก. ได้เป็นการชั่วคราว โดยให้ รมว. พน. เป็นผู้กำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ ซึ่งจากมติดังกล่าวได้มีการดำเนินการปรับและขยายเวลาการชดเชยราคาก๊าซ LPG รวม 3 ครั้ง และเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 กบง. ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากเดือนธันวาคม 2548 เป็นเดือนมิถุนายน 2549 และขยายระยะเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. จากเดือนธันวาคม 2548 เป็นเดือนมิถุนายน 2549
3. ปัจจุบันการขยายระยะเวลาการชดเชยราคาก๊าซ LPG ตามข้อ 2 ได้สิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน 2549 แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเห็นควรให้ขยายระยะเวลาการชดเชยฯ ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากการใช้ ก๊าซ LPG ในภาคการขนส่งโดยเฉพาะ ในกลุ่มรถแท็กซี่ยังมีอยู่อย่างแพร่หลาย ขณะที่การเปลี่ยนแปลงเพื่อ หันไปใช้ NGV ตามนโยบายของรัฐบาลเป็นไปอย่างจำกัด โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ LPG ในรถแท็กซี่ไปเป็น NGV ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ และการขยายและก่อตั้งสถานีบริการ NGV ให้ครอบคลุมเส้นทางหลัก ทั้งนี้หากรัฐดำเนินการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซ LPG ตามมติ กบง. จะส่งผลกระทบโดยตรงและสร้างความเดือดร้อนต่อกลุ่มรถแท็กซี่ ที่ยังใช้ก๊าซ LPG เป็นจำนวนมาก
แผนการดำเนินการตามโครงการ NGV ในเขตกรุงเทพฯ
รายการ | ปัจจุบัน (21 ส.ค. 49) | สิ้นปี 2549 | ||||
NGV | LPG, อื่นๆ | รวม | NGV | LPG, อื่นๆ | รวม | |
จำนวนรถแท็กซี่ (คัน) | 7,000 (11%) |
56,000 (89%) |
63,000 (100%) |
30,000 (48%) |
33,000 (52%) |
63,000 (100%) |
จำนวนสถานี NGV | 52 | - | 52 | 127 | - | 127 |
4. อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากแผนการดำเนินการตามโครงการ NGV ข้างต้น ทั้งการเพิ่มจำนวนรถแท็กซี่ที่ปรับเปลี่ยนการใช้ LPG ไปเป็น NGV และการเพิ่มจำนวนสถานี NGV คาดว่าจะสามารถดำเนินการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซ LPG ได้ ภายในสิ้นปี 2549
5 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้คงนโยบายราคาก๊าซ LPG ในปัจจุบันต่อไปอีก 6 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549 พร้อมทั้งข้อเสนอให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG และเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ ตามความ เหมาะสมแก่สถานการณ์
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติให้คงนโยบายการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในปัจจุบัน โดยขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ต่อไปอีก 6 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549
2. อนุมัติให้ขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก.ต่อไปอีก 6 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549
3. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความ เห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG และเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมด้านพลังงานและเศรษฐกิจของไทย สนพ. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลให้ประเทศมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ มั่นคง และมีราคาเหมาะสม จึงได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง และได้รับเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายประจำปีจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสร้าง ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน โดยใช้สื่อบูรณาการหลากหลาย ทั้งแนวกว้างและแนวลึก ทั้งการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และสื่อต่างๆ ที่สามารถกำหนดประเด็น และเนื้อหาได้ (Control Media) โดยได้รับอนุมัติงบประมาณประจำปีตั้งแต่ปี 2547 - 2549 เป็นเงิน 19 ล้านบาท 19 ล้านบาท และ 15 ล้านบาท ตามลำดับ
2. ในปี 2549 สนพ. ได้ดำเนินการจัดจ้างและจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ฯ ต่างๆ เพื่อความมั่นคง ด้านพลังงาน อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีสถานการณ์ราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงและทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ ผู้รับจ้างได้ดำเนินกิจกรรมบางส่วนแล้วเสร็จเร็วกว่าที่กำหนดไว้ในแผน ซึ่งสื่อที่เผยแพร่ตามสัญญาโดยเฉพาะ Control Media ที่เตรียมไว้ได้หมดลงในช่วงครึ่งปีแรกของสัญญา ทำให้เกิดข้อจำกัดในการประชาสัมพันธ์ในระยะต่อไป เพื่อเร่งผลักดันยุทธศาสตร์ด้านพลังงานอย่างเต็มที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้ความรู้และความเชื่อมั่นในการใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน ได้แก่ NGV แก็สโซฮอล์ และไบโอดีเซล และเพื่อให้การดำเนิน กิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานในปี 2549 ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สนพ. จึงจำเป็นต้องดำเนินการจัดจ้างเพื่อซื้อสื่อประชาสัมพันธ์ (ส่วนเพิ่ม) โดยขอรับเงินสนับสนุน ค่าใช้จ่ายจากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นจำนวนเงินเพิ่มอีก 4 ล้านบาท
3. สำหรับรายละเอียดของโครงการ (ส่วนเพิ่ม) จะมุ่งเน้นจัดหาสื่อที่เหมาะสมในการประชาสัมพันธ์นโยบายพลังงาน ยุทธศาสตร์พลังงานเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน และสร้างทัศนคติที่ดีต่อนโยบายพลังงาน ตลอดจนเผยแพร่ผลงานของกระทรวงพลังงานโดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนทั่วไป สื่อมวลชน ผู้นำความคิดเห็นและนักวิชาการ
4. ในส่วนขอบเขตของงาน โดยผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสาร นโยบาย และกิจกรรมด้านพลังงานผ่านสื่อต่างๆ ได้แก่ การจัดบุคคลออกรายการโทรทัศน์ การจัดทำบทความเชิงโฆษณา ทางหนังสือพิมพ์ และจัดทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ อาทิ แถลงข่าว เป็นต้น โดยใช้งบประมาณวงเงิน 4 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 กันยายน 2549 - 31 ธันวาคม 2549 ทั้งนี้ คาดว่าผลที่จะได้รับจะทำให้ประชาชนทั่วไป สื่อมวลชน ผู้นำความคิด นักวิชาการ ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารของกระทรวงพลังงานที่ถูกต้อง และครบถ้วน และมีทัศนคติที่ดีต่อกระทรวงพลังงานมากขึ้น ตลอดจนเพื่อเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ผลงานหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงพลังงาน และตอบโต้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็วและทันเวลา
5. คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 ได้พิจารณาเรื่อง ทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปีงบประมาณ 2550 - 2553 และได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปี 2550 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ตามการขอปรับรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ ของหน่วยงาน และได้เห็นชอบให้ สนพ. นำเสนอ กบง. เพื่อขอใช้จ่ายเงินสำรอง (จำนวน 80 ล้านบาท) ในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นปีละ 4 ล้านบาท โดยให้ขอเป็นครั้งๆ ในแต่ละปีต่อไป
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ในปีงบประมาณ 2549 ให้กับ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน (ส่วนเพิ่ม) ในวงเงิน 4,000,000.00 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ในหมวดเงินสำรองปีงบประมาณ 2550 ให้กับ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานในวงเงิน 4,000,000 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน)
เรื่องที่ 4 การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสำรองเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ผสม MTBE ในวันที่ 1 มกราคม 2550 โดยให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 หรือน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ผสมเอทานอลทดแทน ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เร่งดำเนินการผลักดันนโยบายให้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติ โดยการเร่งจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ทดแทนน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ซึ่งจากรายงานการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ของกรมธุรกิจพลังงาน ณ เดือนมิถุนายน 2549 อยู่ที่ระดับ 104 ล้านลิตร/เดือน หรือประมาณ ร้อยละ 45.6 ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ทั้งหมด (224 ล้านลิตร) และมีสถานีบริการจำหน่ายทั่วประเทศ ณ เดือนกรกฎาคม 2549 จำนวน 3,241 แห่ง นอกจากนี้เร่งจัดหาเอทานอลในประเทศ โดยส่งเสริมการสร้างโรงงานผลิตเอทานอล ซึ่งปัจจุบันได้รับอนุมัติก่อสร้างไปแล้ว 24 แห่ง และได้เปิดดำเนินการผลิตแล้ว 5 แห่ง ขณะเดียวกันตามแผนการก่อสร้างโรงงานเอทานอลภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) คาดว่าจะเปิดดำเนินการเพิ่มขึ้นได้อีก 4 แห่งในสิ้นปี 2549 และส่วนที่เหลือจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 2550 - 2551
2. เพื่อเตรียมการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ได้ตามมติคณะรัฐมนตรี สนพ. ได้ประสานความร่วมมือกับ ปตท. ประเมินสถานการณ์การจัดหาและความต้องการเอทานอลในประเทศ เพื่อรองรับความต้องการใช้เอทานอล ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 ประมาณ 0.8 ล้านลิตร/วัน พบว่าในการจัดหาเอทานอลปัจจุบันมีโรงงานผลิตเอทานอล ที่เปิดดำเนินการแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ บริษัท พรวิไล, ไทยแอลกอฮอล์, ไทยอะโกร, ขอนแก่นแอลกอฮอล์ และไทยง้วน กำลังการผลิตรวม 655,000 ลิตร/วัน แต่สามารถผลิตจริงได้ 495,000 ลิตร/วัน และหากรวมโรงงานเอทานอลที่จะเปิดดำเนินการได้ภายในเดือนธันวาคม 2549 จำนวน 4 แห่ง จะทำให้มีกำลัง การผลิตรวมเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 510,000 ลิตร/วัน โดยคาดว่าจะสามารถผลิตจริงได้ประมาณ 408,000 ลิตร/วัน อย่างไรก็ตาม ปตท. ได้ตรวจสอบข้อมูลการก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลที่คาดว่าจะเปิดอีก 4 แห่ง พบว่า โรงงาน จำนวน 2 แห่ง ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ทันในสิ้นปี 2549 คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องจาก ติดปัญหาด้านการเงิน และบริษัท เอกรัฐพัฒนา ติดปัญหาการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2550 สำหรับการจำหน่าย ปตท. ได้รายงานการจำหน่ายเอทานอล ณ เดือนกรกฎาคม 2549 มีปริมาณ 350,000 ลิตร/วัน และคาดว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ก่อนการยกเลิกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในวันที่ 1 มกราคม 2550
3. จากข้อมูลการจัดหาและความต้องการเอทานอล พบว่าปัจจุบันมีการจัดหาเอทานอล ประมาณ 443,000 ลิตร/วัน ความต้องการเอทานอล ประมาณ 350,000 ลิตร/วัน จึงจะมีการจัดหาคงเหลือ ประมาณ 93,000 ลิตร/วัน หรือประมาณ 2.79 ล้านลิตร/เดือน โดยที่กระทรวงพลังงาน ได้ประมาณการความต้องการเอทานอล ในวันที่ 1 มกราคม 2550 ไว้ที่ 800,000 ลิตร/วัน แต่การจัดหาเอทานอล (ผลิตจริง) ประมาณ 673,000 ลิตร/วัน ไม่รวมบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล และ บริษัท เอกรัฐพัฒนา จะทำให้เอทานอลไม่เพียงพอกับความต้องการ ประมาณ 127,000 ลิตร/วัน
4. เพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนเอทานอล เมื่อถึงกำหนดยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในเดือนมกราคม 2550 กระทรวงพลังงาน จึงขอเสนอดังนี้
4.1 ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เก็บสำรองเอทานอลคงเหลือในประเทศ ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2549 เพื่อรองรับความต้องการใช้ในช่วงไตรมาสแรกของการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปี 2550 ซึ่งอาจจะมีความต้องการ มากกว่า การจัดหา
4.2 สนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนของดอกเบี้ย และค่าเช่าสถานที่เก็บเอทานอลให้กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ทั้งนี้ ให้ สนพ. กรมธุรกิจพลังงาน และบริษัท ปตท. ร่วมกันพิจารณาจัดทำแผนการจัดหา การเก็บสำรอง และการใช้เอทานอล พร้อมเป็นผู้กำหนดอัตราชดเชยค่าดอกเบี้ย และค่าเช่าสถานที่เก็บ ที่เหมาะสมให้กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา7 และมอบหมายให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ตามหลักเกณฑ์ที่ สนพ. กรมธุรกิจพลังงาน และบริษัท ปตท. นำเสนอ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เก็บสำรองเอทานอลคงเหลือในประเทศ ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2549 เพื่อรองรับความต้องการใช้เอทานอลในช่วงไตรมาสแรกของการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปี 2550 ที่อาจจะมีความต้องการใช้มากกว่าการจัดหา
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกันจัดทำรายละเอียดในการเก็บสำรองเอทานอลตามหลักการในข้อ 1 เพื่อนำเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2533 และวันที่ 30 มีนาคม 2547 ได้มีมติให้มีการจำกัดปริมาณการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของคลังน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ประเทศขาดดุลการค้าสูงมาก กระทรวงพลังงานจึงได้กำหนดนโยบายให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพและการลดการใช้พลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคการขนส่ง โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานกำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพหรือลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในระบบจ่ายน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนน้ำมัน (Product Exchange) ในระหว่างกลุ่มบริษัท และปรับปรุงระบบการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น
2. กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานครขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนการและกำหนดมาตรการปรับปรุงระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้พลังงานน้อยที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในด้านความปลอดภัยและสามารถตอบสนองต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประชาชนได้อย่างเพียงพอ
3. ขอบเขตการดำเนินการโครงการฯ โดยการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละพื้นที่ จำนวน สถานที่ตั้ง ความสามารถในการผลิตและปริมาณการเก็บของโรงกลั่นและคลังน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในปัจจุบัน การแลกเปลี่ยนน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างบริษัท และข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ ที่จำเป็นในการศึกษาและวิเคราะห์ระบบการขนส่งและการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ ศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการจัดระบบการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการนำปัจจัยความปลอดภัย ความพึงพอใจและข้อคิดเห็นของประชาชนมาเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาจัดทำแผน ขั้นตอน มาตรการและระยะเวลาในการปรับปรุงระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
4. วิธีการดำเนินโครงการฯ โดยการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อมาดำเนินการตามวัตถุประสงค์ โดยมีระยะเวลาการศึกษา 12 เดือน ใช้งบประมาณ 10.2680 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานครให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในวงเงิน 10,268,000 บาท (สิบล้านสองแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน
สรุปสาระสำคัญ
1. จากการประกอบกิจการเกี่ยวกับก๊าซปิโตรเลียมเหลวมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ขาดมาตรฐานที่ดีในด้านความปลอดภัย และการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับถังก๊าซหุงต้ม รัฐบาลได้กำหนด แนวทางดำเนินการแก้ไขปัญหา เป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 (ปี 2542 - 2544) การดำเนินการยกเลิกควบคุมราคาและปรับปรุงระบบการค้าให้มีความปลอดภัย ระยะที่ 2 (ปี 2544 - 2546) การดำเนินการแก้ไขปัญหาถังขาวหรือถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบซ่อมบำรุงแทนถังขาวตามโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์แลกถังขาวฟรี" และระยะที่ 3 (ปี 2546 เป็นต้นมา) ดำเนินการแก้ไขปัญหาถังก๊าซหุงต้มที่ให้เจ้าของถังก๊าซหุงต้ม (มาตรา 7) เป็นผู้รับผิดชอบในการซ่อมบำรุง
2. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้รวบรวมข้อมูลถังก๊าซหุงต้ม จากผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 พบว่าจำนวน ถังก๊าซหุงต้มที่มีใช้หมุนเวียนในปัจจุบัน มี 7 ขนาด มีจำนวนรวมประมาณ 25 ล้านถัง มีถังก๊าซหุงต้มที่จะต้องทดสอบและซ่อมบำรุงครบวาระ 5 ปี และ 10 ปี จำนวน 11.76 ล้านถัง ดำเนินการซ่อมบำรุงไปแล้ว 3.88 ล้านถัง ยังไม่ได้ดำเนินการอีก จำนวน 7.88 ล้านถัง คิดเป็นร้อยละ 32 ของปริมาณถังทั้งหมด โดยถังก๊าซหุงต้มดังกล่าว แบ่งออกเป็นถังที่ต้องซ่อมบำรุงครบวาระ 5 ปี จำนวน 2.7 ล้านถัง และครบวาระ 10 ปี จำนวน 5.18 ถัง
3. ธพ. เห็นว่าถังก๊าซหุงต้มที่ใช้งานมาเป็นเวลานาน และไม่มีการบำรุงรักษาซ่อมบำรุงและทดสอบตามระยะเวลา 5 ปี ไม่มีความปลอดภัยต่อประชาชนและอาจก่อให้เกิดอุบัติภัยขึ้นได้ จึงจัดทำโครงการเร่งรัด การซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ 5 ปี และ 10 ปี ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 ดำเนินการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัดภายในเวลาที่กำหนด และประชาชนและร้านจำหน่ายก๊าซได้ใช้ถังก๊าซหุงต้มที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย ตลอดจนทำให้เกิดการแข่งขันกันในตลาดการค้าก๊าซหุงต้มอย่างเป็นธรรม
4. ลักษณะโครงการ มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ และการใช้ถังก๊าซหุงต้มอย่างปลอดภัย ทางสื่อสิ่งพิมพ์และทางโทรทัศน์ และให้ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 จัดทำแผนการซ่อมบำรุงถังก๊าซ และดำเนินการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มตามแผนที่เสนอ และให้แล้วเสร็จภายใน 30 เดือน พร้อมทั้งจัดสัมมนาผู้ประกอบการ โรงบรรจุก๊าซ,ร้านจำหน่ายก๊าซ, ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 และ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ 6 ครั้ง โดยมีเป้าหมายการดำเนินงานอยู่ที่ถังก๊าซหุงต้มที่ต้องซ่อมบำรุง ครบวาระ 10 ปี แต่ยังตกค้างจำนวน 5.18 ล้านถัง และถังก๊าซหุงต้มที่ต้องซ่อมบำรุงครบวาระ 5 ปี จำนวน 2.70 ล้านถัง และการจัดสัมมนาผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ
5. วิธีดำเนินการโครงการ ประกอบด้วย เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ให้ทราบถึงวิธีการเลือกใช้ถังก๊าซหุงต้มที่ถูกต้องตามกฎหมายและได้มาตรฐานความปลอดภัย ทางสื่อต่างๆ เป็นเวลา 2 เดือน จัดสัมมนา ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวม 6 ครั้งๆ ละ 1 วัน และดำเนินการซ่อมบำรุง ถังก๊าซหุงต้มที่ยังตกค้าง โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ 10 ปี แต่ยังไม่ได้ทำการซ่อมบำรุงให้แล้วเสร็จ ภายใน 18 เดือน และระยะที่ 2 ถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ 5 ปี แต่ยังไม่ได้ทำการซ่อมบำรุงให้แล้วเสร็จต่อจากระยะที่ 1 ภายใน 12 เดือน นอกจากนี้ กำหนดให้ผู้ค้าฯ ตามมาตรา 7 จัดทำแผนการดำเนินการและรายงานให้สำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซทราบทุกๆ วันที่ 15 ของเดือน ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบการดำเนินการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้ม ตามระยะที่ 1 และ 2 และหากตรวจพบว่ามีการบรรจุก๊าซลงถังก๊าซหุงต้มที่ยังมิได้ทำการซ่อมบำรุง จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
6. โครงการมีวงเงินค่าใช้จ่ายเป็นเงินรวม 5,960,000 บาท มีระยะเวลาดำเนินการ 30 เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - ธันวาคม 2551 (สิ้นสุดโครงการระยะที่ 1 เดือนธันวาคม 2550 และระยะที่ 2 เดือนธันวาคม 2551)
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อดำเนินโครงการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มครบวาระ 5 ปี และ 10 ปี ให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในวงเงินจำนวน 5,960,000 บาท (ห้าล้านเก้าแสนหกหมื่นบาทถ้วน) โดยมีระยะดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - เดือนธันวาคม 2551
เรื่องที่ 7 โครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัญหาด้านพลังงานเป็นปัญหาที่สำคัญ และถูกบรรจุไว้เป็นวาระแห่งชาติเมื่อปี 2547 กระทรวง พลังงานได้เสนอแผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ และได้รับความเห็นชอบจากคณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ต่อมาได้ดำเนินการจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร) เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2549 โดยที่แผนยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงานเป็นแผนแบบบูรณาการที่จำเป็นต้องนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ต้องมีการปรับแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา และต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานนอกกระทรวงพลังงานที่เกี่ยวข้องและภาคส่วนต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการแผ่นดินและแผนงบประมาณของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
2. การผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติจำเป็นต้องมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีทีมงานด้านวิชาการสนับสนุน มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และมีงบประมาณ ในการดำเนินกิจกรรมสร้างความเข้าใจ และสร้างแนวร่วม เพื่อให้สามารถนำแผนปฏิบัติการด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุดและสามารถแก้ไขปัญหาด้านพลังงานได้อย่างยั่งยืน สนพ. จึงได้ จัดทำโครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานและแผนปฏิบัติการด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติอย่างมีลำดับขั้นตอน และมีการทำงานเป็นทีม และเชื่อมโยงงานกลุ่มนโยบายกับกลุ่มการเงิน
3. สำหรับกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับแผนบริหารราชการแผ่นดิน และแผนงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ ก.พ.ร. และหน่วยราชการที่ต้องมีความร่วมมือการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี กระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรต่างๆ ผู้นำความคิด นักวิชาการ กรรมาธิการ สส. สว. สื่อมวลชน ประชาชนทั่วไป
4. แนวทางการดำเนินงานโครงการฯ โดยจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นหัวหน้าทีมงาน และมี สนพ. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ มีการบริหารเชิงกลยุทธ์ในการผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานให้เกิดเป็นรูปธรรม ประสานและสนับสนุนงานกับหน่วยงานต่างๆ และกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ติดตามและประเมินผลของการผลักดันแผน ยุทธศาสตร์พลังงาน เพื่อ ปรับเปลี่ยนและแก้ไขได้ตามสถานการณ์ปัจจุบัน และสร้างตัวชี้วัด (KPI) ในการปฏิบัติงานรวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ และประชาชนทั่วไป อาทิ การจัดประชุมเชิงวิชาการ การสัมมนา รายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินงาน ฯลฯ
5. โครงการฯ จะใช้งบประมาณเพื่อดำเนินการจำนวนเงิน 24,000,000 บาท โดยมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 - กันยายน 2550 (12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา) โดยผลที่คาดว่าจะได้รับ กล่าวคือ สามารถผลักดันแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล เชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติราชการแผ่นดิน และมีแผนงบประมาณแผ่นดินเพื่อรองรับการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนสาธารณชนมีทัศนคติที่ดีและมีส่วนร่วมต่อ "แผนปฏิบัติการด้านพลังงานของประเทศ" เกิดความร่วมมือ กันอย่างจริงจังในเชิงบูรณาการในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำรายละเอียดโครงการ (TOR) ให้เป็นรูปธรรมและชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อประมาณค่าใช้จ่ายการดำเนินงานให้ถูกต้อง และนำกลับมาเสนอต่อคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
ครั้งที่ 14 - วันพฤหัสบดี ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2549
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 14)
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2549 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เดือนพฤษภาคม 2549)
2. ผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับปีงบประมาณ 2547 และ 2548
4. การเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี 5
5. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ในการใช้ก๊าซเอ็นจีวีในรถยนต์
6. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
7. โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer)
8. โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เดือนพฤษภาคม 2549)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ เดือนพฤษภาคม 2549 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 0.73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 70.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากผู้นำอิหร่านยังคงยืนยันสิทธิที่จะทดลองพลังงานนิวเคลียร์ต่อไปและโอเปคไม่ลดเพดานการผลิตในการประชุมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2549 ที่ประเทศเวเนซูเอล่า
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ เดือนพฤษภาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.80, 86.17 และ 84.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น จากเดือนที่แล้ว 5.32, 5.70 และ 0.94 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากโรงกลั่นในภูมิภาคเอเชียหลายแห่งปิดซ่อมบำรุง และตลาดในภูมิภาคยังคงมีความต้องการซื้อเข้ามาจากผู้ซื้อหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจาก บริษัท Pertamina ในไนจีเรียต้องการนำเข้าน้ำมันดีเซล ในเดือนมิถุนายนเพิ่มอีก 600,000 บาร์เรล เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าที่เกิดปัญหาในระบบท่อส่งก๊าซ ขณะที่อุปทานในภูมิภาคลดลงจากโรงกลั่นหลายแห่งอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุง
3. ราคาขายปลีก เดือนพฤษภาคมผู้ค้าน้ำมันยกเว้น ปตท และเชลล์ ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.50, 0.55 และ 0.50 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร ส่วนเชลล์ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.50, 0.55 และ 0.50 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร และ ปตท. ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.50 และ 0.55 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 29.89, 29.09 และ 27.24 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เดือนพฤษภาคม 2549 การจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันชนิดต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงในอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ฐานะกองทุน น้ำมันฯ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2549 มีเงินสดสุทธิจำนวน 10,008 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระจำนวน 68,089 ล้านบาท หนี้พันธบัตรจำนวน 26,400 ล้านบาท หนี้สถาบันการเงินอายุ 2.5 ปีจำนวน 26,605 ล้านบาท หนี้ เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระจำนวน 1,422 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG จำนวน 10,367 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างประจำเดือนจำนวน 159 ล้านบาท และหนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ จำนวน 159 ล้านบาท ฐานะกองทุน น้ำมันฯ สุทธิติดลบ 58,081 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมิถุนายนประมาณ 2,611 ล้านบาท โดยที่กองทุนฯ จะไม่ต้องชำระหนี้ธนาคารรวม 8,800 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายนจึงส่งผลให้กองทุนฯ จะมีรายรับมากกว่ารายจ่าย จำนวน 1,978 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับปีงบประมาณ 2547 และ 2548
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ได้กำหนดให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) จัดทำบัญชี และรายงานการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ทุกสิ้นระยะเวลาบัญชีและให้ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบ
2. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบงบการเงินสำหรับสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547 ของกองทุนน้ำมันฯ และได้แจ้งผลพร้อมมีข้อสังเกตของการตรวจสอบให้ สบพ. สรุปได้ดังนี้
2.1 ฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2548 และ 2547 มีรายได้ต่ำกว่า ค่าใช้จ่ายสะสม เป็นจำนวนเงิน -78,359.5 ล้านบาท และ - 28,259.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีรายได้จาก การดำเนินงานต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และหนี้สินรวมเป็นจำนวน 81,080.1 ล้านบาท และ 29,332.6 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ มีผลลัพธ์ของรายได้จากดำเนินการในปี 2548 สูงกว่าปี 2547 ขณะที่งบกระแสเงินสดของกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือเป็นจำนวนเงิน 1,254.0 ล้านบาท และ 805 ล้านบาท ตามลำดับ
2.2 ข้อสังเกตจากการตรวจสอบบัญชี พบว่า ระบบบันทึกบัญชีของกองทุนน้ำมันฯ ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่ยากต่อการปฏิบัติทางบัญชี และการรับรู้รายได้จากเงินส่งเข้ากองทุนฯ ซึ่งจะได้รับข้อมูลนำส่งเข้ากองทุนและเงินชดเชยราคาน้ำมันจากกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร กองทุนฯ ยังไม่มีข้อมูลที่สามารถสอบยืนยันจำนวนเงินที่หน่วยงานทั้งสองนำฝากเข้าบัญชีได้ ทำให้กองทุนฯ ต้องบันทึกบัญชีพักไว้เป็นบัญชีเงินรับรองการตรวจสอบซึ่งทำให้ไม่สามารถรับรู้จำนวนเงินนำส่งในเดือนกันยายนที่เป็นรายได้ของกองทุนฯ ให้ทันต่อการจัดทำงบการเงินประจำปี
2.3 ข้อเสนอแนะของ สตง. เห็นว่ากองทุนฯ ควรจัดหาโปรแกรมสำเร็จรูปเฉพาะงานมาใช้ โดยมีการออกแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานและง่ายต่อความเข้าใจรวมทั้งจัดให้มีระบบสำรองข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อข้อมูลสูญหาย ส่วนประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ฯ เห็นว่า กองทุนฯ ต้องรับ ข้อมูลโดยตรงจากผู้มีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ซึ่งทำให้สามารถรับรู้รายได้ในงบการเงินได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ โดยนำเทคโนโลยีการสื่อสารเข้ามาใช้ระบบการจัดเก็บรายได้ และจัดประชุม/สัมมนาชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ
2.4 ปัจจุบัน สบพ. ได้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่จะนำมาเชื่อมต่อกับระบบโปรแกรมพร้อมทั้งศึกษารูปแบบและวิธีการที่จะปฏิบัติได้โดยต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันแนวโน้มราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น กำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบ "แผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ" ซึ่งประกอบด้วย การจัดหาแหล่งพลังงาน การเร่งใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน เช่น ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล และถ่านหิน รวมทั้งการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2549 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบ "มาตรการแก้ไขปัญหาพลังงานระยะสั้น (มิถุนายน-สิงหาคม 2549) และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นแก่ประชาชน และกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ หรือ NGV เป็นมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐกำหนดให้เป็นมาตรการใช้พลังงานทดแทนน้ำมันอย่างยั่งยืน
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงเห็นควรเร่งให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง เกิดความมั่นใจ ยอมรับ และสนใจปรับเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทน จึงได้จัดทำโครงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคขนส่งขึ้น เพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่กลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ รวมถึงนโยบายของรัฐ เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูล หรือทางเลือกสำหรับการใช้พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพื่อสร้างกระแสการรับรู้ เกิดทัศนคติที่ดีต่อการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ สนใจที่จะทดลองและเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทน พร้อมทั้งเพื่อสร้างความมั่นใจแก่กลุ่มเป้าหมายในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และความเพียงพอของสถานีบริการ ตลอดจนเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงาน และ ผลสำเร็จของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ จากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
3. สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ประกอบด้วย กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ เจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคล เจ้าของธุรกิจรถบริการ/รถสาธารณะ และผู้ลงทุน/ผู้ประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ สถานีบริการก๊าซธรรมชาติ และกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ สื่อมวลชน ผู้นำความคิด อาทิ คอลัมน์นิสต์ นักวิชาการ เป็นต้น และหน่วยงาน ภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการขนส่งทางบก สมาคมผู้ประกอบการรถแท๊กซี่ เป็นต้น
4. แนวทางการดำเนินงาน โดยประชาสัมพันธ์ด้วยการจัดจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในการวางแผนการผลิต การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และซื้อสื่อเพื่อเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ โดยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ประกอบด้วยการผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นผ่านสื่อโทรทัศน์ และวิทยุ เผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบคอลัมน์ประจำผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ การออกแบบ และผลิต Web page NGV และ/หรือพลังงานทดแทน การจัดกิจกรรมและดูงาน กับสื่อมวลชน และการจัดสัมภาษณ์ผู้บริหารทาง โทรทัศน์
5. โครงการจะใช้งบประมาณจำนวนเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ในการดำเนินงาน โดยมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 - มกราคม 2550 (8 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา)
6. ผลที่คาดว่าจะได้รับคือ ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ พลังงานทดแทนอื่นๆ รวมถึง นโยบายของรัฐ และการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อประหยัดพลังงาน และสามารถนำไปใช้เป็นทางเลือกสำหรับการใช้พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และทำให้เกิดกระแสการรับรู้ เกิดทัศนคติที่ดีต่อก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์และพลังงานทดแทน รวมทั้งเกิดความมั่นใจในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย ความเพียงพอของสถานีบริการเชื้อเพลิง NGV
7. เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2548 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2549 - 2553 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบริหารกองทุนของทุกหน่วยงานจำนวน 376.1534 ล้านบาท และงบประมาณสำรองปีละ 80 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ด้วยภารกิจเร่งด่วนที่ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงานจะต้องดำเนินการโครงการต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย จึงจำเป็นต้องขอรับเงินสนับสนุนจากงบประมาณสำรองมาใช้เพื่อการดังกล่าว
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมในโครงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานในภาคขนส่งให้กับ สนพ. ในวงเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) (โดย รายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบวาระที่ 4.1)
เรื่องที่ 4 การเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี 5
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติให้กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลจากปาล์ม สำหรับราคาจำหน่ายปลีกให้ควบคุมราคาให้เหมาะสม ตามกลไกตลาดและให้แข่งขันได้กับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปกติ โดยอาจกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อชดเชยราคาจำหน่ายปลีกไบโอดีเซลได้ตามความจำเป็น
2. โครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการจัดจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 โดยที่ราคาขายปลีกต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ 50 สตางค์/ลิตร ซึ่งปัจจุบัน ปตท.และบางจาก มีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 23 แห่ง และ 12 แห่ง ตามลำดับ
3. การผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล ปัจจุบันปริมาณ CPO (Crude Palm Oil) ที่ล้น Stock มีปริมาณ 1,200,000 ลิตร/วัน โดยมีโรงงานที่ผลิต B100 จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงงานสยามน้ำมันพืช ไทยไบโอดีเซลออยล์ ราชาไบโอดีเซล และไบโอเอนเนอยี่พลัส ซึ่งกำลังการผลิตรวมทั้ง 4 โรงงานเท่ากับ 274,000 ลิตร/วัน ดังนั้น CPO คงเหลือในตลาด 926,000 ลิตร/วัน ประกอบกับปริมาณการจำหน่าย B5 ของ ปตท. และ บางจาก เท่ากับ 100,000 ลิตร/วัน
4. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นในด้านราคาจำหน่ายของน้ำมันไบโอดีเซล จึงต้องมีการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือจ่ายชดเชยแตกต่างไปจากอัตราปกติ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ ดังนี้
4.1 การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จะประกอบด้วย คุณลักษณะน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่แตกต่างจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ
4.2 ให้มีการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
4.3 ความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลงอัตรา เนื่องจากการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ในข้อ 2 มีความไม่แน่นอนจึงไม่อาจกำหนดเป็นอัตราคงที่ได้ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ กบง. เห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้ประธานคณะกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการกำหนดรายละเอียด ในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม และให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 รวมแล้วจะต้องไม่เกิน 2.50 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ประกอบด้วย คุณลักษณะน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่แตกต่างจากราคาน้ำมันดีเซล หมุนเร็วปกติ และในส่วนการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้เรียกเก็บเท่ากับอัตราที่เก็บจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ
ทั้งนี้ให้เรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
2. มอบหมายให้ประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม และให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว บี 5 โดยที่จะไม่มีการนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหารือร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติ และราคาน้ำมันไบโอดีเซล (B 100) ให้เหมาะสมต่อไป
4. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสนับสนุนการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 จากปริมาณปาล์ม (CPO : Crude Palm Oil) ที่มีมากเกินความต้องการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เท่านั้น
สรุปสาระสำคัญ
1. จากปัจจุบันราคาน้ำมันทั้งในตลาดโลกและตลาดภายในประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐได้จัดหาพลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกและสามารถผลิตได้ในประเทศมาใช้แทนน้ำมันคือ ก๊าซเอ็นจีวี (NGV) ซึ่งสามารถใช้ได้โดยตรงกับรถยนต์เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล และในการจะปรับเปลี่ยนการใช้ เชื้อเพลิงจากน้ำมันเป็นก๊าซ NGV ในรถยนต์ สิ่งจำเป็นต้องดำเนินการ คือ การดัดแปลงเครื่องยนต์ หรือใช้รถยนต์ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อใช้กับก๊าซ NGV รวมทั้ง ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ สถานีบริการเติมก๊าซ NGV การจัดหาอุปกรณ์และเตรียมผู้ชำนาญการในการติดตั้งอุปกรณ์ ตรวจสอบความปลอดภัย เป็นต้น เพื่อให้การส่งเสริมการใช้ NGV ประสบความสำเร็จ กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์ขึ้น โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 2.0 ล้านบาท (สองล้านบาทถ้วน)
2. สำนักความปลอดภัยธุรกิจธรรมชาติ กรมธุรกิจพลังงานได้จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ก๊าซ NGV อย่างปลอดภัย เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ NGV อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสถานีบริการก๊าซ NGV ให้แพร่หลาย และให้บริการอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งส่งเสริมการเป็นผู้ตรวจสอบความปลอดภัยในการดัดแปลงเครื่องยนต์ NGV
3. สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการเป็นการจัดสัมมนาและบรรยายในส่วนภูมิภาคของประเทศ จำนวนรวม 8 ครั้ง ครั้งละ 1 วัน พร้อมแจกสื่อและสิ่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่างๆ รวมทั้งการสาธิตรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ณ สถานที่ของภาคเอกชนในส่วนภูมิภาคจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ราชบุรี ชลบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งละ 100 คน ประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้ประกอบการกิจการภาคขนส่ง 2) กลุ่มผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดตั้ง ทดสอบ และ ตรวจสอบเครื่องยนต์ดัดแปลง 3) หน่วยงานภาครัฐ ในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และเทศบาล และ 4) ข้าราชการ/พนักงาน/ลูกจ้างและประชาชนทั่วไป ซึ่งระยะเวลาการดำเนินการ 6 เดือน (เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2549)
4. การประเมินผลโครงการฯ โดยวัดจากปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้น และ/หรือปริมาณการจำหน่ายก๊าซ NGV ในภาคขนส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ ปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของเชื้อเพลิงในภาคขนส่งลดลง ช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์ให้กับกรมธุรกิจพลังงานในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) ระยะดำเนินการ 6 เดือน (เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2549) (โดยมีรายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบการประชุมวาระที่ 4.3)
เรื่องที่ 6 การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงานซึ่งมีภารกิจหลักเกี่ยวกับการกำกับควบคุมกิจการพลังงานในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคง โดยการกำกับดูแลตามกฎหมายและพัฒนามาตรฐานการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีมาตรฐานสูงขึ้น และเพื่อการยกระดับมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมันและปลูกจิตสำนึกของประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้น กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จึงจะจัดให้มีการรับรองมาตรฐาน "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ขึ้น เพื่อเป็นมาตรการในการสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการปรับปรุงมาตรฐานและระบบการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และการให้บริการของตนเอง รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้รับบริการ และภาพพจน์ที่ดีของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน
2. สำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง กรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดทำโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ขึ้น เพื่อการดังกล่าวโดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ด้วย มีวัตถุประสงค์ของโครงการ คือ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงปรับปรุง พัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อยกระดับมาตรฐานด้าน คุณภาพ ความปลอดภัย ความสะอาด สะดวก ของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงตระหนักและมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และรับผิดชอบต่อสังคม โดยที่กลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ สถานีบริการ น้ำมันเชื้อเพลิงประเภท ก และประเภท ข ทั่วประเทศ ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543
3. ลักษณะโครงการจะเป็นการจัดการเชิญชวนให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่ประสงค์จะขอรับ เครื่องหมายรับรองปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ จะต้องจัดทำคู่มือปฏิบัติการระบบการควบคุมคุณภาพ น้ำมันเชื้อเพลิงและความปลอดภัย และให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ส่งรายชื่อสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้ ธพ. ประเมินเพื่อรับรองมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในด้านคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ปลอดภัย สะอาด สะดวก และ ธพ. จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ถึง โครงการนี้เพื่อให้การรับรองมาตรฐานเป็นที่รับทราบแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยตั้งเป้าหมายจะมีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 1,000 แห่ง ในส่วนคู่มือปฏิบัติการระบบฯ ธพ. จะพิจารณา รายละเอียดของคู่มือให้ครอบคลุมทุกขั้นตอนที่กำหนดและขั้นตอนการดำเนินงานมีความน่าเชื่อถือ และสามารถปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อผู้ค้าน้ำมันได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองแล้ว จะสามารถนำเครื่องหมายรับรองไปแสดง ณ สถานีบริการที่ ธพ. อนุญาตเท่านั้น
4. การดำเนินการของโครงการจะเป็นการกำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการรับรองมาตรฐาน "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้กบริการ" และการจัดแถลงข่าวโครงการ พร้อมด้วยการประชาสัมพันธ์เชิญชวนสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการรับรองมาตรฐาน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงโครงการนี้ นอกจากนี้ มีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจประเมินและคัดเลือกลงตรวจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าร่วมโครงการเพื่อตรวจประเมินรับรองระดับมาตรฐาน และการจัดพิธีมอบการรับรอง มาตรฐานให้แก่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผ่านการตรวจประเมิน โดยจะแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 โดยจะจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และคณะทำงานดำเนินโครงการ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการ ร่างหลักเกณฑ์และกระบวนการรับรองมาตรฐานตามโครงการ พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินการ จัดตั้งคณะทำงานตรวจประเมินและคัดเลือกในส่วนภูมิภาคและส่วนกลางเพื่อรับสมัคร คัดเลือก ตรวจประเมิน และรับรองมาตรฐานให้กับสถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งการมอบสัญลักษณ์ระดับมาตรฐาน "ปั๊มปลอดภัย น่าใช้บริการ" ที่ผ่านเกณฑ์การรับรองตามโครงการ แล้วติดตามประเมินผลหลังการ ออกรับรองระดับมาตรฐาน
5. สำหรับส่วนที่ 2 เป็นการการดำเนินงานส่วนประชาสัมพันธ์โดยการจ้างที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการทางวิทยุหรือด้านอื่นๆ เพื่อเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการและเป็นการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบถึงการรับรองมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมัน จัดงานแถลงข่าวเปิดโครงการ และส่วนที่ 3 คือ การดำเนินงานส่วนของบริษัทผู้ค้าน้ำมัน/ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน และประชาสัมพันธ์ไปยังสถานีบริการน้ำมันเครื่องหมายการค้าของตนเอง
6. โครงการได้กำหนดระยะเวลา ดำเนินการ 12 เดือน (กรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550) โดยใช้วงเงินงบประมาณ 3 ล้านบาทถ้วน โดยแบ่งเป็นงบประมาณส่วนงานตรวจประเมินและคัดเลือก 600,000 บาท และ งบประมาณส่วนงานประชาสัมพันธ์โดยจ้างที่ปรึกษา 2,400,000 บาท
7. ส่วนผลที่คาดว่าจะได้รับ โดยประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับความปลอดภัย สะอาดและสะดวก จากการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ และสถานีบริการน้ำมันได้ปรับปรุง พัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการของสถานีบริการของตนเองให้ดีขึ้น และมีมาตรฐานที่ดี พร้อมทั้งสร้าง Brand Awareness ให้ประชาชนได้รับทราบถึงการรับรองมาตรฐานสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ให้กับกรมธุรกิจพลังงานในวงเงิน 3,000,000 ล้าน (สามล้านบาทถ้วน) ระยะเวลา ดำเนินการ 12 เดือน (เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550) (โดยมีรายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบวาระที่ 4.4)
เรื่องที่ 7 โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer)
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามเป้าหมายการเพิ่มปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV จำนวน 300,000 คัน ในปี 2551 และเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คัน ในปี 2553 ของแผนยุทธศาสตร์พลังงานประเทศ เพื่อรองรับการดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าว จึงมีความจำเป็นต้องจัดเตรียมผู้ชำนาญการติดตั้งและปรับแต่งเครื่องยนต์ และผู้ตรวจและทดสอบความปลอดภัยของการติดตั้งที่เป็นไปตามกฎหมายให้เพียงพอกับปริมาณงานและความต้องการที่เพิ่มขึ้น กรมธุรกิจพลังงาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการฝึกอบรมผู้ชำนาญการติดตั้ง โดยปัจจุบันได้ขอความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่จาก ปตท. และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเป็นวิทยากร จึงเห็นควรจัดทำ โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ ขึ้น เพื่อกระจายการผลิตวิทยากรดังกล่าวให้ทั่วประเทศ โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ
2. วัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสร้างวิทยากรที่จะไปอบรมช่างติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV และเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ตรวจและทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV ตามกฎหมาย โดยการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ในการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV และการตรวจและทดสอบรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์แล้ว ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 10 ครั้ง ครั้งละ 5 วัน แบ่งเป็นภาคทฤษฎี 1 วัน และภาคปฏิบัติ 4 วัน ซึ่งจะจัด ฝึกอบรม 10 รุ่นๆ ละ 15 คน รวม 150 คน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ อาจารย์ในวิทยาลัยอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย และวิทยากรของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยใช้สถานที่ขอรัฐหรือเอกชนในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นที่จัดฝึกอบรม สำหรับในส่วนภูมิภาคจะดำเนินการในจังหวัดที่มีศักยภาพในการใช้ NGV เช่น เชียงใหม่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ราชบุรี ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สงขลา เป็นต้น
3. โครงการจะดำเนินการเป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550 โดยใช้งบประมาณ 8.39 ล้านบาท ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับคือการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV เป็นไปตามเป้าหมาย และประชาชนได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย และมีทางเลือกใช้เชื้อเพลิงราคาประหยัด
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงินงบประมาณ 8,390,000 บาท (แปดล้านสามแสน เก้าหมื่นบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี (เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550)
เรื่องที่ 8 โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานมีนโยบายและมาตรการเร่งด่วนให้รถยนต์ติดตั้งอุปกรณ์ NGV เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอื่นทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง และช่วยรักษาดุลการค้าของประเทศ ตามนโยบายประหยัดพลังงานและลดการใช้น้ำมันของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องมีสถานประกอบการติดตั้ง ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้เข้ารับการติดตั้ง และได้รับความคุ้มครองตามความเหมาะสม รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจ โดยใช้หลักวิชาการที่ถูกต้อง มีความปลอดภัย ได้มาตรฐานในระดับสากล และเป็นที่ยอมรับของผู้เข้ารับการ ติดตั้ง กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ
2. การจัดทำโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานสถานประกอบการฯ ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของประชาชน และช่วยสร้างภาพพจน์และความรับผิดชอบธุรกิจการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ตลอดจนลดความเสี่ยงของผู้มารับการติดตั้งและผู้เกี่ยวข้องให้น้อยลง
3. วิธีการดำเนินงาน โดยประชาสัมพันธ์ได้สถานประกอบการฯ มีความประสงค์จะขอใบรับรองมาตรฐานสถานประกอบการฯ ยื่นคำขอรับใบรับรองจากคณะอนุกรรมการ โดยคณะอนุกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรกมารเฉพาะกิจ ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และหลังจากนั้น คณะอนุกรรมการจะแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อทำการตรวจสอบสถานประกอบการฯ ผ่านหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับใบรับรองมาตรฐานฯ พร้อมป้ายแสดงมาตรฐานฯ จากคณะกรรมการ และกลุ่มเป้าหมายจะเป็นสถานประกอบการติดตั้งรถยนต์ NGV ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 163 แห่ง โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - กรกฎาคม 2550 และใช้วงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายจำนวน 2 ล้านบาท ซึ่งจะมีคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีก๊าซธรรมชาติเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
4. ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ จะมีสถานประกอบการฯ ที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย และเป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง เป็นที่ยอมรับของประชาชน
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการเป็นเวลา 1 ปี (ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - กรกฎาคม 2550)