มติกบง. (344)
ครั้งที่ 72 - วันพฤหัสบดี ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2554 (ครั้งที่ 72)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายบุญส่ง เกิดกลาง) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 5 เมษายน 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 13 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วจนถึงวันที่ 7 เมษายน 2554 ประมาณ 19,350 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 เมษายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,857 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 23,255 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 22,896 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 11,602 ล้านบาท โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็น หนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคา๊ก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท และหนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 6 เมษายน 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 115.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 1 เมษายน 2554 อยู่ที่ 4.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 128.03 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 138.27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นโดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 37.94 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 7 เมษายน 2554 อยู่ที่ 0.5219 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 0.8544 บาทต่อลิตร
3. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.90 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดมาอยู่ที่ 1.0219 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 0.9544 บาทต่อลิตร ภาระกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 27.9 ล้านบาทต่อวัน และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.90 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 71 - วันจันทร์ ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 13/2554 (ครั้งที่ 71)
เมื่อวันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 11.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. การกำหนดเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100)
3. การกำหนดหลักเกณฑ์ราคาอ้างอิงเอทานอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายบุญส่ง เกิดกลาง) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 ซึ่งในการดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 23 มีนาคม 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 12 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วจนถึงวันที่ 4 เมษายน 2554 ประมาณ 17,242 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 เมษายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,482 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 22,130 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 21,771 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 12,351 ล้านบาท โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท และหนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 1 เมษายน 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 111.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 21 มีนาคม 2554 อยู่ที่ 2.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 124.90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 134.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น โดยมีผลเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2554 ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 37.94 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วยังคงราคาอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 4 เมษายน 2554 อยู่ที่ 0.8763 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.2013 บาทต่อลิตร
3. จากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.10 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2554 เป็นต้นไป โดยจะทำให้ค่าการตลาดมาอยู่ที่ 1.1763 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.2613 บาทต่อลิตร ภาระกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 16.7 ล้านบาทต่อวัน จากวันละ 331.1 ล้านบาท เป็นวันละ 347.8 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.10 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การกำหนดเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลซึ่งคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์และสเตียรีน โดยราคาขายน้ำมันปาล์มดิบที่ใช้ในการคำนวณ ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม โดยใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยสัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ใช้ราคาในสัปดาห์ที่ 1 นำไปคำนวณราคาในสัปดาห์ที่ 2
2. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 กบง. มีมติเห็นชอบให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ใช้ราคาปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาทต่อกิโลกรัม) ชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อใช้ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) ต่อไปอีก 1 เดือนจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปศึกษารายละเอียดการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและ กบง. ต่อไป
3. คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้โรงกลั่นน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มในราคากิโลกรัมละ 36.28 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2554 เป็นต้นไป ทั้งนี้ให้โรงสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อผลปาล์มที่มีคุณภาพเท่านั้น พร้อมติดป้ายประกาศรับซื้อผลปาล์มน้ำมันในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 6.00 บาท ที่อัตราน้ำมันจากผลปาล์มขั้นต่ำร้อยละ 17 หากอัตราน้ำมันจากผลปาล์มเกินร้อยละ 17 ให้ปรับราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันในสัดส่วนที่สอดคล้องกัน รวมทั้งให้โรงสกัดน้ำมันปาล์มมีสิทธิปฏิเสธรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน หากเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันไม่มีคุณภาพ
4. ณ วันที่ 25 มีนาคม 2554 ราคา CPO ที่คิดจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม มีการปรับตัวลงมาอยู่ที่ 31.96 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ประกาศโดยกรมการค้าภายในที่ 32.25 4 ของเดือนมีนาคม 2554 ราคา CPO ที่คิดจากราคาปาล์มทะลายในประเทศลดลงมาอยู่ที่ 32.07 ใกล้เคียงกับราคา CPO ที่ประกาศโดยกรมการค้าภายใน ซึ่งอยู่ที่ 32.42 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ย CPO ที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลายในเดือนกันยายน และตุลาคม 2553 ซึ่งเป็นเดือนที่มีผลผลิตปาล์มทะลายออกตามปกติ พบว่ามีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 32.95 และ 35.59 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาปาล์มทะลายในประเทศเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
5. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า การใช้เพดาน CPO ที่คิดจากปาล์มทะลายจะเป็นธรรมแก่ผู้ผลิต B100 มากกว่าการกำหนดจากราคา MPOB+3 เนื่องจากราคา CPO ที่รับซื้อจะสะท้อนต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นจริง ส่วนการใช้เพดาน MPOB+3 เหมาะสำหรับช่วงภาวะปกติเท่านั้น ซึ่งในช่วงที่ผลผลิตออกน้อย (พฤศจิกายน -กุมภาพันธ์) จะทำให้ราคา CPO ตามประกาศกรมการค้าภายในสูงกว่า MPOB+3 ค่อนข้างมาก ดังนั้น เพื่อให้การคำนวณราคาอ้างอิงน้ำมันไบโอดีเซลสอดคล้องกับความเป็นจริงและสะท้อนต้นทุนการผลิต เห็นควรกำหนดเพดานโดยใช้ CPO ที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลายแทน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกการใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) และให้ใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100)
เรื่องที่ 3 การกำหนดหลักเกณฑ์ราคาอ้างอิงเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2553 ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตโดยเปลี่ยนแปลงเฉพาะในส่วนราคากากน้ำตาลที่เดิมใช้ราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร (บาทต่อกิโลกรัม) จากการคำนวณราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง เป็นราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 3 เพื่อให้ราคาเอทานอลสะท้อนราคาตลาดเร็วขึ้น ทั้งนี้ กรณีมีเดือนที่มีราคากากน้ำตาลสูงหรือต่ำกว่าราคาของเดือนก่อนเกินร้อยละ 50 ให้ผู้อำนวยการ สนพ. สามารถพิจารณาใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือน ย้อนหลังมาคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลได้
2. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2554 กบง. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตเป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2554 และเห็นชอบใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณส่งออก (บาทต่อกิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลในเดือนมกราคม - มีนาคม 2554
3. ปัจจุบัน สนพ. อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอล เพื่อให้สะท้อนต้นทุน เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 3 เดือน ดังนั้น ในระหว่างการศึกษาทบทวน สนพ. มีความเห็นว่าการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตในปัจจุบัน ยังมีความเหมาะสมกับสถานการณ์อยู่ จึงเห็นควรให้ใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตเดิมต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และมอบให้ สนพ. นำเสนอผลการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนมิถุนายน 2554
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2554 ต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำเสนอผลการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนมิถุนายน 2554
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่ 10 จังหวัดภาคใต้ซึ่งประสบอุทกภัย ในช่วงวันที่ 1 - 4 เมษายน 2554 พบว่าสถานีบริการฯ ขนาดใหญ่จำนวนทั้งหมด 492 แห่ง มีจำนวน 32 แห่ง ที่ไม่สามารถเปิดบริการได้ คิดเป็นร้อยละ 6.5 ของสถานีบริการฯ ทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนเนื่องจากเกิดอุทกภัยจึงไม่มีรถยนต์ มาใช้บริการ ส่วนก๊าซ LPG มีคลังอยู่ที่จังหวัดสงขลาและสุราษฎร์ธานี โดยคลังสุราษฎร์ธานีรับก๊าซ LPG ทางเรือจากโรงแยกก๊าซขนอม ส่วนคลังสงขลาจะรับก๊าซ LPG จากคลังเขาบ่อยา ซึ่งไม่มีปัญหาการขาดแคลนก๊าซ LPG แต่อาจจะมีปัญหารถขนส่งก๊าซ LPG ไม่สามารถขนส่งไปยังโรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการได้
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 70 - วันอังคาร ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2554 (ครั้งที่ 70)
เมื่อวันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ หากฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิเหลือวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วรวม 11 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2554 ไปแล้วประมาณ 13,724 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 22 มีนาคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 35,170 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 19,546 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 19,187 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 15,624 ล้านบาท สามารถชดเชยไปได้อีกประมาณ 50 วัน โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 21 มีนาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 108.77 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 17 มีนาคม 2554 อยู่ที่ 2.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 121.18 และ 131.80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.20 และ 1.91 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันมีผลเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2554 ทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 37.44 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 0.7146 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.0047 บาทต่อลิตร
4. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.1146 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.0847 บาทต่อลิตร ภาระกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 21.2 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชย 4.70 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) ได้แจ้งที่ประชุมฯ ว่า ธพ. ได้ออกประกาศขยายระยะเวลาการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ปาล์มน้ำมันในประเทศจะอยู่ในภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ หากจะมีการปรับเปลี่ยนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก บี2 เป็น บี3 จะต้องแจ้งให้ผู้ค้าน้ำมันทราบล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมการต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 69 - วันพฤหัสบดี ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2554 (ครั้งที่ 69)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปี 2554
3. สรุปผลการสอบทานการเบิก - จ่าย และควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ หากฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิเหลือวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วรวม 10 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 17 มีนาคม 2554 ไปแล้วประมาณ 12,474 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 14 มีนาคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,479 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 17,393 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 17,033 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 17,086 ล้านบาท โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยวันที่ 16 มีนาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 104.50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากวันก่อน 1.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 116.12 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 1.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 128.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 1.64 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับลดลงด้วย ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาอยู่ที่ 1.3280 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.2517 บาทต่อลิตร
4. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง ดังนั้นเพื่อเป็นการลดภาระกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทางการปรับลดเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากกองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 ปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.20 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ที่ 1.1280 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 302 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 291 ล้านบาทต่อวัน ภาระกองทุนน้ำมันฯ ลดลงประมาณ 11 ล้านบาทต่อวัน และแนวทางที่ 2 ปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.30 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ที่ 1.0280 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 302 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 286 ล้านบาทต่อวัน ภาระกองทุนน้ำมันฯ ลดลงประมาณ 16 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาลง 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.70 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปี 2554
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553-2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ เพื่อเป็นเงินทุนสำรองกองกลางให้กับหน่วยงานต่างๆ ใช้เมื่อมีเหตุจำเป็น ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ในการดำเนินงานโครงการของ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จำนวน 1 โครงการ ในวงเงิน 20 ล้านบาท และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) 2 โครงการ จำนวนเงินรวม 71.2175 ล้านบาท รวม 3 โครงการ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 91.2175 ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่สามารถอนุมัติได้รวม 208.7825 ล้านบาท
2. หน่วยงานในกระทรวงพลังงานได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ คือ 1) โครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน ระดับประเทศ ของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) ในวงเงิน 6.5 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน 10 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา และ 2) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ของ สนพ. ในวงเงิน 28 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน 11 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
3. โครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานระดับประเทศ ของ สป.พน. มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบและกำหนดแนวทางปฏิบัติ วิธีการ ทดสอบระบบ ในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานระดับประเทศ โดยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับทราบและปฏิบัติได้อย่างเป็นระบบ ดำเนินงานโดยจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
3.1 ศึกษาลักษณะการเกิดสภาวะวิกฤตด้านพลังงานของประเทศที่ผ่านมาในอดีตไม่น้อยกว่า 2 ปี วิเคราะห์ต้นเหตุด้านการจัดหา (Supply) การแปรรูป (Transformation) การขนส่ง (Transportation) และการจำหน่ายจ่ายแจก (Distribution) ศึกษาการแก้ไขสภาวะวิกฤตด้านพลังงานดังกล่าว
3.2 ศึกษาและเสนอแนะ Institutional Framework โดยเปรียบเทียบกับประเทศที่มีระบบรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานไม่น้อยกว่า 2 ประเทศ
3.3 ศึกษาและพัฒนาระบบช่วยในการตัดสินใจ โดยรวบรวมข้อมูลด้านระบบการจัดหาพลังงานของประเทศซึ่งครอบคลุมระบบน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า ข้อมูลด้านการสำรองเชื้อเพลิง การขนส่งเชื้อเพลิง การผลิตและแปรรูปพลังงาน ความสามารถในการเปลี่ยนเชื้อเพลิง และการจำหน่ายจ่ายแจกพลังงานสู่ผู้ใช้ พร้อมทั้งจัดทำระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่แสดงความเชื่อมโยงของข้อมูลในระบบพลังงานดังกล่าว
3.4 ศึกษาและจัดทำการวิเคราะห์ภาพฉาย (Scenario analysis) ของการแก้ไขสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน โดยใช้กรณีศึกษาจากเหตุการณ์ในข้อ 3.1 เปรียบเทียบผลที่ได้จากภาพฉายและสิ่งที่เกิดขึ้นจริง พร้อมทั้งปรับปรุงระบบวิเคราะห์ข้อมูลให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และจัดให้มีการซักซ้อมแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3.5 งบประมาณ 6,500,000 บาท ระยะเวลาดำเนินงาน 10 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยแบ่งเป็นระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือน ระยะเวลาตรวจรับงานและเบิกจ่าย 2 เดือน
4. โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ของ สนพ. ระยะเวลาดำเนินโครงการ 11 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา แบ่งเป็นระยะเวลาการดำเนินการตามแผนงานประชาสัมพันธ์ฯ 10 เดือน และระยะเวลาในการเบิกจ่าย 1 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ให้ความรู้ ความเข้าใจ รับทราบความจำเป็น และยอมรับนโยบายการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG (2) เพื่อสร้างการยอมรับในกลุ่มเป้าหมายต่อแนวทางการปรับราคาก๊าซ LPG ของภาคอุตสาหกรรม และกรณีทยอยการปรับขึ้นราคา LPG ในภาคขนส่งและครัวเรือนในอนาคต (3) เพื่อเผยแพร่มาตรการความช่วยเหลือต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG (4) ประชาสัมพันธ์โดยเผยแพร่กฎหมาย บทลงโทษ ผลเสีย ในกรณีลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และกรณีนำก๊าซ LPG จากภาคครัวเรือนมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมหรือการลักลอบถ่ายเทก๊าซ LPG และ (5) เพื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์การประหยัดการใช้ก๊าซ LPG เช่น วิธีใช้ก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนการผลิต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อประหยัดก๊าซ LPG และวิธีใช้ก๊าซ LPG อย่างปลอดภัย เป็นต้น
ทั้งนี้ มีกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิง เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก กลุ่มแก้ว กระจก ประชาชนทั่วไป ผู้ใช้ก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง เป็นต้น และกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ สื่อมวลชนผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร และหน่วยงานภายใต้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจ ภายใต้บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ดำเนินการ ประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยมีข้อความสื่อสารหลัก คือ (1) ความรู้ความเข้าใจเรื่องราคาก๊าซ LPG (2) ประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกันการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และการนำก๊าซ LPG จากภาคครัวเรือนมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม และ (3) ประชาสัมพันธ์รณรงค์การประหยัดการใช้ก๊าซ LPG
ในการดำเนินการ โครงการใช้งบประมาณในวงเงิน 28 ล้านบาท ประกอบด้วย
(1) ผลิตสารคดีโทรทัศน์ ความยาว 2 นาที ไม่น้อยกว่า 20 ตอน แทรกในรายการโทรทัศน์ประเภทข่าว เผยแพร่ไม่น้อยกว่า 100 ครั้ง ทาง Free TV และซื้อเวลาในรายการโทรทัศน์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญหรือพิธีกรชี้แจงให้รายละเอียดข้อมูล ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง ใช้งบประมาณ 12 ล้านบาท
(2) ผลิตสารคดีวิทยุ ความยาว 1 นาที ไม่น้อยกว่า 20 ตอน เผยแพร่ในคลื่นกลุ่มผู้นำความคิด คลื่นข่าว คลื่นวิทยุที่ได้รับความนิยมต่อกลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มประชาชนในกรุงเทพฯ และทุกภูมิภาค โดยเผยแพร่ในกรุงเทพฯ ไม่น้อยกว่า 300 ครั้ง และต่างจังหวัดไม่น้อยกว่า 300 ครั้ง ใช้งบประมาณ 2 ล้านบาท
(3) ผลิตและเผยแพร่สกู๊ปในสื่อสิ่งพิมพ์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ขนาด ¼ หน้า ขาว-ดำ ไม่น้อยกว่า 30 ครั้ง ในหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ และสื่อสิ่งพิมพ์ท้องถิ่นในพื้นที่ของกลุ่มเป้าหมาย ใช้งบประมาณ 6 ล้านบาท
(4) จัดสัมมนา 2 ครั้ง ไปยังกลุ่มเป้าหมายภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซ LPG และได้รับผลกระทบโดยตรงเพื่อสร้างความเข้าใจ และยอมรับนโยบายการปรับราคา รวมถึงรับทราบมาตรการการช่วยเหลือจากภาครัฐ และวิธีการใช้ก๊าซ LPG อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณ 1 ล้านบาท
(5) จัด Press Tour 2 ครั้ง เพื่อเยี่ยมชมโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG และชี้แจงถึงการส่งเสริมการใช้ก๊าซ LPG อย่างมีประสิทธิภาพเพี่อลดต้นทุนการผลิต ใช้งบประมาณ 1.8 ล้านบาท
(6) จัดกิจกรรมบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) เรื่องการใช้ก๊าซ LPG ในภาค อุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการให้ความช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคา LPG จำนวน 1 ครั้ง ใช้งบประมาณ 3 แสนบาท
(7) สื่อมวลชนสัมพันธ์ ใช้งบประมาณ 3 ล้านบาท โดยจัดส่ง Fact Sheet ข้อมูลความรู้ LPG เพื่อสร้างความเข้าใจแก่สื่อต่างๆ และพลังงานจังหวัดทุกจังหวัด พร้อมทั้งจัดผู้บริหารพบสื่อมวลชนระดับบรรณาธิการ คอลัมนิสต์ และสื่อมวลชนท้องถิ่น ไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง ตลอดจนจัดแถลงข่าว นโยบาย มาตรการให้ความช่วยเหลือและอื่นๆ ตามความเหมาะสม
(8) ผลิตและเผยแพร่ โปสเตอร์ แผ่นพับ รวมไม่น้อยกว่า 20,000 แผ่น ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อให้รู้วิธีเตรียมพร้อม และใช้ก๊าซอย่างมีประสิทธิภาพ และถูกวิธี ใช้งบประมาณ 9 แสนบาท
(9) เผยแพร่ข้อมูล สร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และการประชาสัมพันธ์อื่นๆ ตามสถานการณ์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
(10) ดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ตามสถานการณ์ที่ สนพ. เห็นสมควร โดยผู้รับจ้างต้องจัดทำแผนและแสดงงบประมาณขออนุมัติต่อคณะกรรมการตรวจรับพัสดุก่อนดำเนินการทุกครั้ง โดยผู้รับจ้างสามารถคิดค่าบริการไม่เกิน 10% (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตลอดระยะเวลาของสัญญาการดำเนินการ ใช้งบประมาณ 1 ล้านบาท
5. คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2554 ได้มีมติดังนี้ 1) อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ให้ สป.พน. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานระดับประเทศ ในวงเงิน 6,500,000 บาท ระยะเวลาดำเนินงาน 10 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2554 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป และ 2)เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยมอบให้ สนพ. ไปพิจารณาปรับลดงบประมาณให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่จะดำเนินการตามร่างขอบเขตของงาน (Term of Reference, TOR) และให้นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ให้หน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน 2 โครงการ ในวงเงินรวม 34,500,000 บาท (สามสิบสี่ล้านห้าแสนบาทถ้วน) ดังนี้
1. โครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน ระดับประเทศ ของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 6,500,000 บาท (หกล้านห้าแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินงาน 10 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
2. โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในวงเงิน 28,000,000 บาท (ยี่สิบแปดล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินงาน 11 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
โดยให้แต่ละโครงการสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2554
เรื่องที่ 3 สรุปผลการสอบทานการเบิก - จ่าย และควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 หมวด 6 การตรวจสอบภายใน ข้อ 18 ให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานของกองทุนอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อนำเสนอคณะกรรมการทราบ
2. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้มีมติรับทราบผลสอบทานการปฏิบัติงานในการเบิก - จ่าย และควบคุมเงินกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 โดยสรุปผลได้ดังนี้
2.1 การขอเบิกและจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ และการนำส่งเงินคืนคงเหลือ ดอกผล และรายรับอื่นๆ ของโครงการที่ปิดโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 พบว่ามีเอกสารประกอบการเบิกจ่าย และเอกสารประกอบเงินคืนคงเหลือ ดอกผล และรายรับอื่นๆ ครบถ้วน
2.2 จากการสุ่มกระทบยอดการโอนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 จำนวน 669 รายการ จำนวนเงิน 744,049,683.46 บาท พบว่าอัตราเงินส่งเข้ากองทุนถูกต้องและเป็นไปตามประกาศ กบง. ทั้งนี้ มีบางรายการที่โอนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มเติมเฉพาะส่วนของสารเติมแต่ง (additive) และ Ethanol/b100 โดยไม่ได้แนบหลักฐานการส่งเงินให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่เคยนำส่งเงินแล้วมาด้วย
2.3 หน่วยงานราชการบางแห่ง จัดส่งสำเนาใบนำส่งเงิน และสำเนาใบนำฝากให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ใช้ระยะเวลาเกิน 3 วันทำการ นับแต่วันที่ได้นำเงินฝากเข้าบัญชีล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ในระเบียบ ส่งผลให้การบันทึกบัญชีของสถาบันล่าช้าไปด้วย
2.4 ผลการสอบทานประเด็นอื่นๆ ที่มีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ได้สรุปผลการสอบทานและได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข ตามที่ได้เสนอแนะร่วมกับสถาบันแล้ว
3. คณะกรรมการตรวจสอบ ได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในกรณีที่มีการโอนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เฉพาะส่วนของสารเติมแต่ง additive) และ Ethanol/b100 สบพน. ควรกำหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนในการตรวจสอบและติดตามเอกสารในส่วนที่มีการโอนเงินให้กองทุนน้ำมันฯ แล้ว เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ามีการนำส่งเงินถูกต้องครบถ้วน และควรมีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงพลังงานกับหน่วยงานราชการ ที่ต้องส่งสำเนาใบนำส่งเงิน และสำเนาใบนำฝาก มาให้ สบพน. เพื่อหาวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและเป็นไปได้ เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 อย่างเคร่งครัด
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 68 - วันอังคาร ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 10/2554 (ครั้งที่ 68)
เมื่อวันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า วันนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ซึ่งมีปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) เป็นประธานกรรมการ และประกอบด้วย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ หากฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิเหลือวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 10 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาได้รับการชดเชยสะสมไปแล้ว 5.15 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้ว ประมาณ 10,087 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 3 มีนาคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 35,275 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 14,695 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,427 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 268 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 20,580 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมเงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV ก่อนเดือนมีนาคม 2554 จำนวน 2,400 ล้านบาท เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV เดือนมีนาคม - มิถุนายน 2554 จำนวน 1,600 ล้านบาท และเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าเดือนมีนาคม - มิถุนายน 2554 จำนวน 8,800 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงปรับตัวอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 111.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 0.81 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 และดีเซลอยู่ที่ระดับ 124.68 และ 131.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.14 และ 0.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน91 อยู่ที่ระดับ 42.04 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 37.34 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ผู้ค้าน้ำมันคงราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร จากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาลดลงอยู่ที่ 0.9482 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.0435 บาทต่อลิตร ซึ่งอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก ส่งผลให้ราคาขายปลีกเกิน 30.00 บาทต่อลิตร
4. จากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.35 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.2982 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.0342 บาทต่อลิตร ส่งผลให้สภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ จากติดลบ 302 ล้านบาทต่อวัน ก่อนปรับเงินชดเชย ณ วันที่ 8 มีนาคม 2554 เป็นติดลบ 320 ล้านบาทต่อวัน หลังปรับเงินชดเชย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้คงอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาที่ 5.00 บาทต่อลิตร
ครั้งที่ 67 - วันศุกร์ ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2554 (ครั้งที่ 67)
เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 8.30 น.
ณ ห้องประชุม 6 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 9 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้รับการชดเชยสะสมไปแล้ว 4.65 และ 3.55 บาทต่อลิตร ตามลำดับ กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2554 ไปแล้วประมาณ 9,026 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 2 มีนาคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 35,207 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 14,282 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,012 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 270 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกองทุนเบื้องต้น 20,925 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงปรับตัวอยู่ในระดับสูง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 109.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 0.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 121.56 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.66 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 129.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.87 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกขึ้น มีผลเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2554 โดยน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 42.04 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 37.34 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ผู้ค้าน้ำมันคงราคาอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา อยู่ที่ 0.7281 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 0.9794 บาทต่อลิตร จากค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก ส่งผลให้ราคาขายปลีกเกิน 30.00 บาทต่อลิตร
4. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร จากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จะทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันลดลง 1.2281 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.1274 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 247 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 302 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 4.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.00 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ไปจัดทำประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในรูปแบบจำลองภายใต้สถานการณ์ (Scenario) ต่างๆ พร้อมทั้งแนวทางจัดหาเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (Financial Instruments) และให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปพิจารณาหาแนวทางการปรับราคาขายปลีกของก๊าซ NGV โดยไม่ให้กระทบราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง พร้อมทั้งจัดทำแผนการลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
ครั้งที่ 66 - วันจันทร์ ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2554 (ครั้งที่ 66)
เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 215 - 216 อาคารรัฐสภา 2
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 8 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้รับการชดเชยสะสมแล้ว 4.15 และ 3.55 บาทต่อลิตร ตามลำดับ กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ไปแล้วประมาณ 8,070 ล้านบาท และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 มีเงินสดในบัญชี 36,029 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 14,345 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,075 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 270 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ จึงมีฐานะสุทธิ 21,684 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงปรับตัวอยู่ในระดับสูง จากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศลิเบีย โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 น้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 111.59 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันที่ผ่านมา 6.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 123.42 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 8.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 127.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 7.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 น้ำมันดิบดูไบ เบนซิน 95 และ ดีเซล ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับ 107.50, 118.81 และ 124.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ลดลง 4.09, 4.16 และ 3.68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง ครั้งละ 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 25 และ 27 กุมภาพันธ์ 2554 โดยน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 41.24 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 36.84 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 สนพ. ได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันคงราคาอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และ บี5 อยู่ที่ 0.4922 บาทต่อลิตร และ 0.3092 บาทต่อลิตร ตามลำดับ จากค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกเกิน 30.00 บาทต่อลิตร
4. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร จากต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 4.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.50 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 220 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 247 ล้านบาทต่อวัน โดยในวันที่ 1 มีนาคม 2554 จะมีการลดส่วนผสมของไบโอดีเซลลงจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 2 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนราคาของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ลดลงประมาณ 0.2650 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 4.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.50 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบในหลักการให้การปรับค่าการตลาดแต่ละครั้ง เมื่อปรับแล้วค่าการตลาดต้องไม่เกิน 1.30 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยย้อนหลัง 5 วันทำการ ประมาณ 1.10 บาทต่อลิตร เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณากำหนดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติให้ขยายการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG และ NGV ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชย NGV ในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัมต่อไป ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจะออกประกาศตามที่ กพช. ได้มีมติต่อไป
2. ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้แจ้งที่ประชุมว่า ตามกรอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปี 2551 จำนวน 350 ล้านบาท และปี 2552 - 2553 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มียอดเงินคงเหลือที่สามารถใช้จ่ายได้ประมาณ 160 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 65 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2554 (ครั้งที่ 65)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 217 อาคารรัฐสภา 2
1. ขอขยายระยะเวลาการใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100)
5. การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อดำเนินงานโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติให้ขยายการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG และ NGV ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชย NGV ในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ กพช. เสนอ และได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาหาแนวทางการชะลอการใช้ก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง โดยใช้มาตรการภาษีทะเบียนรถยนต์ และให้นำเสนอ กพช. ในครั้งต่อไป
เรื่องที่ 1 ขอขยายระยะเวลาการใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลซึ่งคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์และสเตียรีน ดังนี้
B100 = | (B100CPO x QCPO)+(B100RBD x QRBD)+(B100ST x QST) |
QTotal |
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มดิบ (CPO)
B100CPO = 0.94CPO + 0.1MtOH + 3.82
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากสเตียรีน
B100ST = 0.86ST + 0.09MtOH + 2.69
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD)
B100RBD = 0.93RBD + 0.1MtOH + 2.69
โดยที่
CPO | คือ | ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาทต่อกิโลกรัม) ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม โดยใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ย สัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ใช้ราคาในสัปดาห์ที่ 1 นำไปคำนวณราคาในสัปดาห์ที่ 2 |
ST | คือ | ราคาขายสเตียรีนบริสุทธิ์ในเขตกรุงเทพมหานคร (บาทต่อกิโลกรัม) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้ราคาสเตียรีนบริสุทธิ์เฉลี่ยสัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ใช้ราคาในสัปดาห์ที่ 1 นำไปคำนวณราคาในสัปดาห์ที่ 2 |
RBD | คือ | ราคาน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD) ใช้ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาทต่อกิโลกรัม) สัปดาห์ก่อนหน้า บวกค่าแปรสภาพ 3 บาทต่อกิโลกรัม จนกว่ากรมการค้าภายในจะประกาศราคาน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD) |
2. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 กบง. มีมติเห็นชอบให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ใช้ราคาปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาทต่อกิโลกรัม) ชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 หลังจากนั้นให้กลับมาใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาทต่อกิโลกรัมทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ กบง. มีมติให้ความเห็นชอบจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554
3. ปัจจุบันสต๊อคน้ำมันปาล์มในประเทศมีปริมาณต่ำมาก เนื่องมาจากภัยแล้งช่วงต้นปี 2553 ประกอบกับวิกฤตอุทกภัยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบของประเทศไทยตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2553 เป็นต้นมา สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย และเกินราคาตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม (MPOB+3) และมีแนวโน้มที่ราคา CPO จะสูงกว่า MPOB+3 ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2554 สมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทยได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อขอให้พิจารณาปรับโครงสร้างราคาประกาศไบโอดีเซลอย่างเร่งด่วน เนื่องจากราคาประกาศไบโอดีเซลต่ำกว่าต้นทุนการผลิตจริงอยู่มาก โดยให้พิจารณายกเลิกเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบไม่เกินตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม เป็นการชั่วคราว เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
4. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานประสานขอความร่วมมือบริษัทผู้ค้าน้ำมันงดการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2554 ทั้งนี้ให้คงการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 สมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทยได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อขอให้ยกเลิกการกำหนดเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบไม่เกินตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาทต่อกิโลกรัมและเพดานไม่เกินราคาจากปาล์มทะลาย (17% +2.25) เนื่องจากปัจจุบันน้ำมันปาล์มดิบที่สกัดจากปาล์มทะลายคิดเป็นร้อยละ 13 -14 ซึ่งต่ำกว่าเปอร์เซ็นปริมาณน้ำมันที่ใช้ในการอ้างอิง (ร้อยละ 17) เนื่องจากราคาปาล์มทะลายสูงขึ้น จึงทำให้เกษตรกรเร่งตัดผลผลิตที่ยังดิบมาจำหน่าย และเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. มีมติเห็นชอบให้ปรับลดปริมาณการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา จากเดิมร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 2 (สัดส่วนขั้นต่ำจากไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.5 เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1.5)
5. เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปอีก 1 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 และให้นำเสนอต่อ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
6. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อใช้ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) ต่อไปอีก 1 เดือนจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 และมอบหมายให้ สนพ. รับไปศึกษารายละเอียดการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและ กบง.ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อใช้ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) ต่อไปอีก 1 เดือนจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปศึกษารายละเอียดการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป
เรื่องที่ 2 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ
2. การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 12 กุมภาพันธ์ 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 7 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาได้รับการชดเชยสะสมไปแล้ว 3.65 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้รับการชดเชยสะสมไปแล้ว 3.55 บาทต่อลิตร โดยกองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 ไปแล้วประมาณ 7,196 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 มีเงินสดในบัญชี 35,430 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 12,581 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 12,311 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 270 ล้านบาท กองทุนน้ำมันจึงมีฐานะสุทธิ 22,849 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวในระดับสูง จากการประท้วงอันรุนแรงในลิเบียและอาจแผ่ลุกลามต่อไปยังชาติผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อื่นๆ ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่อาจเกิดความรุนแรงในลักษณะเดียวกันกับอียิปต์และตูนีเซียได้ โดยเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 104.61 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 114.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 120.09 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 40.24 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 35.84 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 สนพ. ได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันคงราคาอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และ บี5 อยู่ที่ 0.9416 บาทต่อลิตร และ 1.2182 บาทต่อลิตร ตามลำดับ จากค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก ส่งผลให้ราคาขายปลีกเกิน 30.00 บาทต่อลิตร
4. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 อยู่ที่ระดับ 0.9416 บาทต่อลิตร แต่ราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์ปิดครึ่งวันของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 เพิ่มขึ้น 3 - 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นประมาณ 0.60 - 0.80 บาทต่อลิตร ดังนั้น จึงเห็นควรปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ในช่วงวันที่ 24 - 28 กุมภาพันธ์ 2554 หลังจากนั้นในวันที่ 1 มีนาคม 2554 จะมีการลดส่วนผสมของไบโอดีเซลลงจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 2 มีผลทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 ลดลงประมาณ 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ จะนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง โดยหากเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร จากชดเชย 3.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.30 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร จากชดเชย 4.05 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.85 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 194 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 233 ล้านบาทต่อวัน
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 3.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.00 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 ต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553-2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ เพื่อเป็นเงินทุนสำรองกองกลางให้กับหน่วยงานต่างๆ ใช้เมื่อมีเหตุจำเป็น ซึ่งในปีงบประมาณ 2554 สนพ. ได้จัดทำโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 1 โครงการ คือ "โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ปีงบประมาณ 2554" ในวงเงิน 20,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา เพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่องจากโครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ซึ่งระยะเวลาดำเนินโครงการสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553
2. โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ปีงบประมาณ 2554 มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ และประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสาร สถานการณ์และนโยบายพลังงาน ความคืบหน้าการดำเนินนโยบาย ตลอดจนมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการใช้พลังงาน 2) เพื่อเผยแพร่และชี้แจงข้อเท็จจริง แก้ไขข้อมูลด้านลบกรณีเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนโยบายพลังงาน 3) เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และ 4) เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ผลงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กองทุนน้ำมันฯ กระทรวงพลังงาน ซึ่งจะนำไปสู่การผลักดันนโยบายที่สำคัญสู่การปฏิบัติ กลุ่มเป้าหมายเกิดทัศนคติที่ดี เกิดการยอมรับและการให้ความร่วมมือกับภาครัฐในเรื่องพลังงานอย่างดีและเป็นรูปธรรม
3. ลักษณะโครงการ เป็นโครงการผลิตและเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร นโยบายพลังงาน กิจกรรมต่างๆ ของกระทรวงพลังงาน และ สนพ. ผ่านสื่อต่างๆ อาทิ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ ตามความเหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ สื่อมวลชน บรรณาธิการ คอลัมนิสต์ นักวิชาการ ประชาชน และผู้ประกอบการด้านพลังงาน และกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง โดยมีแผนงานและกิจกรรม ดังนี้ 1) ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพลังงานผ่านสื่อรูปแบบต่างๆ อาทิ สกู๊ปข่าวโทรทัศน์ วิทยุ บทความทางสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยภาษาทางการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ในสถานการณ์หรือช่วงเวลาที่เหมาะสม 2) จัดสัมมนา หรือกิจกรรมที่ให้ความรู้ ความเข้าใจเรื่องพลังงาน โดยร่วมมือกับภาครัฐหรือเอกชนในโอกาสต่างๆ และ 3) เผยแพร่ข้อมูลความรู้ด้านพลังงาน โดยสอดแทรกในกิจกรรมสำคัญของกระทรวงพลังงานและกระทรวงต่างๆ จัดกิจกรรม ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจด้านพลังงานต่างๆ อย่างเหมาะสม หรือตามที่ สนพ. เห็นสมควร
4. คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2554 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ให้ สนพ. ในการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ปีงบประมาณ 2554 ในวงเงิน 20,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ โดยให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2554 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ในการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ปีงบประมาณ 2554 ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในวงเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2554
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2554 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้มีหนังสือขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินงาน "โครงการจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัล ในโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ"
2. ในปีที่ผ่านมา ธพ. ได้ดำเนินโครงการ ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ปีที่ 3 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงได้ปรับปรุง พัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการและการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง โดย ธพ. เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และประเมินเพื่อรับรองมาตรฐานของสถานีบริการฯ ในด้านคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ความปลอดภัย สะอาด สะดวก และช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ จากผลการดำเนินโครงการในช่วงปี 2551 - 2553 ธพ. คาดว่ามีสถานีบริการน้ำมันที่ผ่านเกณฑ์ประเมิน และได้รับเหรียญรางวัลประมาณ 1,000 แห่ง ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีนโยบายส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์สถานีบริการที่ได้รับรางวัล เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของกระทรวงพลังงาน ในด้านคุณภาพน้ำมัน มาตรฐานความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานการให้บริการ
3. ธพ. จึงขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนิน "โครงการจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของสถานีบริการน้ำมัน ที่ได้รับเหรียญรางวัล ในโครงการ ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์ของสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลจากโครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ให้เป็นที่รู้จัก และสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการน้ำมันได้ตระหนักถึงความสำคัญที่จะต้องรักษาระดับมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัย และบริการที่ดีให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนดำเนินการโดยการจัดจ้างทำแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ให้สถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลจากโครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ตั้งแต่ปี 2551 - 2553 ทั่วประเทศ โดยแผ่นป้ายมีขนาด 80 × 120 เซนติเมตร ทำจากอะครีลิค ชนิดโปร่งแสง จำนวน 1,000 ชุด ราคาค่าออกแบบและจัดทำป้าย 4,000 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงิน 4,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 เดือน (มีนาคม - มิถุนายน 2554)
4. อบน. ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2554 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ให้ ธพ. ในการดำเนินโครงการจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัล ในโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ในวงเงิน 4,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม - มิถุนายน 2554 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ในการดำเนินงานโครงการจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัล ในโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ของกรมธุรกิจพลังงาน ในวงเงิน 4,000,000 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม - มิถุนายน 2554
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน ในวงเงิน 55.8 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2550 - กันยายน 2553 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดฝึกอบรมสัมมนา เป็นศูนย์ทดสอบและวิเคราะห์วิจัยธุรกิจพลังงาน ของ ธพ. ในด้านต่างๆ เช่น ศูนย์ทดสอบถังและอุปกรณ์ NGV ศูนย์ปฏิบัติการทดสอบและวิเคราะห์น้ำมันเชื้อเพลิงและสารหล่อลื่น เป็นต้น ลักษณะโครงการเป็นการปรับปรุงและสร้างอาคารฝึกงาน อาคารห้องปฏิบัติการอบรม NDT (Nondestructive Test) อาคารปฏิบัติการและสำนักงานของสำนักควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แบ่งงบประมาณเป็น 3 ปี คือ ปีงบประมาณ 2551 - 2553 จำนวนเงิน 12, 20 และ 23.8 ล้านบาท ตามลำดับ
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2553 ธพ. ได้มีหนังสือขอขยายเวลาการดำเนินการโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน โดยแจ้งว่า ธพ. ได้ขอให้กรมโยธาธิการและผังเมือง วางผังแม่บทและออกแบบอาคาร ซึ่งขั้นตอนการออกแบบอาคารมีความล่าช้า คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม 2553 ธพ. จึงจำเป็นต้องขอขยายเวลาดำเนินโครงการฯ เพิ่มอีก 15 เดือน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2554 และขอยกเลิกการทยอยเบิกจ่ายในแต่ละปี (ปี 2551 - 2553) โดยให้สามารถเบิกจ่ายได้ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติจำนวน 55.8 ล้านบาท
3. อบน. ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2553 ได้พิจารณาเรื่อง การขอขยายเวลาการดำเนินการโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน ซึ่งเดิม ธพ. วางแผนก่อสร้าง 3 อาคาร คือ (1) อาคารฝึกอบรมและติดตั้งอุปกรณ์ NGV (2) อาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง และ (3) อาคารปฏิบัติการฝึกอบรม NDT แต่จากที่กรมโยธาธิการฯ ออกแบบให้ พบว่าในงบ 55.8 ล้านบาท สามารถก่อสร้างได้เพียงอาคาร (1) และ (2) ซึ่งที่ประชุมฯ มีความเห็นว่าเนื่องจากงบประมาณที่ใช้จ่ายจริงตามแบบก่อสร้าง สูงกว่างบประมาณที่ได้รับอนุมัติ จึงให้ ธพ. ไปทบทวนแผนการดำเนินงานใหม่ โดยสามารถปรับปรุงแผนงานและงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายจริงตามความจำเป็น แล้วนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง ที่ประชุม อบน. จึงมีมติให้ ธพ. ไปปรับปรุงแผนการดำเนินงานโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน แล้วนำเสนอที่ประชุมพิจารณาต่อไป
4. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2553 และวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ธพ. ได้มีหนังสือถึง สนพ. เพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างอาคารพร้อมทั้งวงเงินในการก่อสร้างและขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน โดยขอเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างและวงเงินในการก่อสร้างจากเดิม เป็น (1) ก่อสร้างอาคารฝึกอบรมและติดตั้งอุปกรณ์ NGV จำนวนเงิน 12,633,000 บาท (2) ก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวนเงิน 68,915,000 บาท และ (3) ก่อสร้างอาคารปฏิบัติการฝึกอบรม NDT จำนวนเงิน 40,985,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 122,533,000 บาท พร้อมทั้งขอขยายเวลาดำเนินโครงการฯ เป็นสิ้นสุดโครงการวันที่ 30 กันยายน 2555
5. อบน. ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2554 ได้พิจารณาเรื่อง การขอเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างอาคารพร้อมทั้งวงเงินในการก่อสร้างและขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน และได้มีมติมอบหมายให้ ธพ. ทำเรื่องขอยกเลิกการดำเนินงานโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน วงเงิน 55.8 ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจาก กบง. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 และให้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 เพื่อใช้ในการดำเนินงานโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงานขึ้นใหม่ เฉพาะในส่วนการก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง โดยขออนุมัติในวงเงินที่ประกวดราคาค่าก่อสร้างได้รวมกับค่า K (Escalation Factor) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
6. ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 ธพ. ได้มีหนังสือขอยกเลิกการดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน วงเงิน 55.8 ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจาก กบง. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 และ ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ในวงเงิน 67,217,500 บาท (วงเงินค่าก่อสร้าง 58,450,000 บาท และค่า K (Escalation Factor) = 8,767,500 บาท) เพื่อใช้ในการก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ในโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ให้กรมธุรกิจพลังงาน ในการดำเนินงานโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน เพื่อใช้ก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 67,217,500 บาท (หกสิบเจ็ดล้านสองแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน) แบ่งเป็นวงเงินค่าก่อสร้างจำนวนเงิน 58,450,000 บาท (ห้าสิบแปดล้านสี่แสนห้าหมื่นบาทถ้วน) และค่า K (Escalation Factor) จำนวนเงิน 8,767,500 บาท (แปดล้านเจ็ดแสนหกหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส ในเดือนมกราคม 2554 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 92.52 และ 89.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.47 และ 0.10 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบเงินสกุลยูโรอ่อนค่าลง ประกอบกับญี่ปุ่นและเกาหลีรายงานผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Output) เดือนธันวาคม 2553 เพิ่มขึ้น 3.1% (M-O-M) และ 2.8% (M-O-M) ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 15 กุมภาพันธ์ 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 96.69 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.17 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่ลุกลามในกลุ่มประเทศอาหรับซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบสร้างความกังวลว่าอุปทานอาจตึงตัวโดยเฉพาะในยุโรป และจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโร นอกจากนี้ศูนย์พยากรณ์อากาศของสหรัฐฯ คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันเพื่อทำความอบอุ่น (Heating Oil) เฉลี่ยในสัปดาห์ 14 - 20 กุมภาพันธ์ 2554 จะต่ำกว่าระดับปกติ ร้อยละ 22.3
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนมกราคม 2554 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 106.38, 104.34 และ 108.19 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.29, 4.33 และ 5.58 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก Pertamina ของอินโดนีเซียมีแผนนำเข้าเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ปริมาณ 6.73 ล้านบาร์เรล เนื่องจากมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น Balikpapan (260,000 บาร์เรลต่อวัน) ในไตรมาส 1/54 และ PTTAR มีแผนปิดซ่อมบำรุงในเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2554 และบริษัท Pertamina ของอินโดนีเซียยกเลิกการประมูลซื้อน้ำมันดีเซล 0.35%S ปริมาณรวม 1.2 ล้านบาร์เรล ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เนื่องจากราคาทรงตัวในระดับสูง และในช่วงวันที่ 1 - 15 กุมภาพันธ์ 2554 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 108.69, 106.36 และ 114.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 2.31, 2.02 และ 5.83 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากกองทัพสหรัฐฯ ประมูลซื้อ Marine Gas Oil ปริมาณ 2.9 ล้านบาร์เรล ส่งมอบในภูมิภาคเอเซียระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 31 ตุลาคม 2559 กอปรกับอุปสงค์น้ำมันดีเซลเพื่อเก็บใน floating storage ของเอเชียเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้น (Contango Economic)
3. ในเดือนมกราคม 2554 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.30 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ไม่มีการปรับราคา ในขณะที่กองทุนน้ำมันฯ ปรับเพิ่มชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B3 เพิ่มขึ้น 3 ครั้ง และเพิ่มอัตราชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 31 มกราคม 2554 อยู่ที่ระดับ 44.24, 39.44, 35.14, 31.74, 20.92, 32.64, 29.99 และ 29.99 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 16 กุมภาพันธ์ 2554 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.70 บาทต่อลิตร, เบนซิน 91 และแก๊สโซฮอล 95 E85 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.80 และ 0.20 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ไม่มีการปรับราคา ในขณะที่กองทุนน้ำมันฯ ปรับเพิ่มชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B3 และ B5 เพิ่มขึ้น 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85 , แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 อยู่ที่ระดับ 44.94, 40.24, 35.84, 32.44, 21.12, 33.34, 29.99 และ 29.99 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ในกุมภาพันธ์ 2554 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 113 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 816 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เนื่องจากซาอุดิ อารัมโก้ เสนอขาย LPG Refrigerated 123 ล้านตัน และราคาโพรเพนบริเวณทะเลเหนือมีการซื้อขายในราคาต่ำกว่าแนฟทาประมาณ 30 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน รวมทั้งโรงกลั่นไต้หวันลดราคา LPG ครัวเรือนและรถยนต์ลง 55 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนมีนาคม 2554 คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 783 - 787 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ รัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ระดับ 10.2217 บาทต่อกิโลกรัม และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - 8 กุมภาพันธ์ 2554 มีการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 2,853,779 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 38,354 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนธันวาคม 2553 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 22 ราย กำลังการผลิตรวม 2.93 ล้านลิตรต่อวัน แต่มีการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงเพียง 16 ราย ปริมาณการผลิตจริง 1.20 ล้านลิตรต่อวัน โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนกุมภาพันธ์ 2554 อยู่ที่ 26.73 บาทต่อลิตร ในเดือนธันวาคม 2553 มีปริมาณจำหน่าย 11.90 ล้านลิตรต่อวัน จากสถานีบริการ 4,333 แห่ง ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 3.80 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 6.80 บาทต่อลิตร ในเดือนธันวาคม 2553 ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณการจำหน่าย 0.46 ล้านลิตรต่อวัน จากสถานีบริการ 432 แห่ง ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 3.40 บาทต่อลิตร ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในเดือนธันวาคม 2553 อยู่ที่ 0.06 ลิตรต่อวัน จากสถานีบริการ 8 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 14.52 บาทต่อลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล ในเดือนธันวาคม 2553 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 11 ราย โดยมีกำลังการผลิตรวม 1.55 ล้านลิตรต่อวัน ความต้องการไบโอดีเซลในเดือนธันวาคม 2553 อยู่ที่ 2.54 ล้านลิตรต่อวัน ราคาเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2553 และเดือนมกราคม 2554 อยู่ที่ 43.74 และ 53.10 บาทต่อลิตร ตามลำดับ การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนธันวาคม อยู่ที่ 18.85 ล้านลิตรต่อวัน จากสถานีบริการน้ำมัน 3,803 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ -4.05 บาทต่อลิตร ทำให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มีราคาเท่ากับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B3 อยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 มีเงินสดในบัญชี 35,180 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 11,109 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,839 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 270 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 24,070 ล้านบาท
ครั้งที่ 64 - วันศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2554 (ครั้งที่ 64)
เมื่อวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 201 อาคารรัฐสภา 2
1. การแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบขาดแคลน
2. หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติ เห็นชอบให้ลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 2 เป็นการชั่วคราว จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 และให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 ทั้งนี้ หากกองทุนน้ำมันฯ มีเงินสุทธิคงเหลือที่ระดับประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบขาดแคลน
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ออกประกาศกำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วมี 2 ชนิด คือ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี3) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 และเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานประสานขอความร่วมมือบริษัทผู้ค้าน้ำมันงดการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2554 และมอบหมายให้ ธพ. ประสานกรมสรรพสามิตและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 และ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ที่คงเหลืออยู่ในระบบของผู้ค้าน้ำมัน
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานไปดำเนินการปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 2 ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554
3. ธพ. ได้ผ่อนผันคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี3) ในข้อกำหนดเรื่องสี และปริมาณไบโอดีเซลจากไม่สูงกว่าร้อยละ 3 เป็นไม่สูงกว่าร้อยละ 3.5 ให้แก่ผู้ค้าน้ำมัน และสถานีบริการ ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 ถึง 31 มีนาคม 2554 ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถนำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ไปเก็บในถังที่เคยเก็บน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพื่อจำหน่ายได้ และได้ประสานงานกับกรมสรรพสามิตเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาสต๊อกน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว บี5 และน้ำมัน base oil น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 บางส่วนที่คงเหลืออยู่ในระบบของผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 กรมสรรพสามิตได้มีการประชุมเพื่อชี้แจงแนวทางดำเนินการให้กับผู้ค้าน้ำมันแล้ว
4. ธพ. ได้มีข้อเสนอว่า การผ่อนผันคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น หากสถานการณ์น้ำมันปาล์มคลี่คลายลงแล้ว การกลับมากำหนดให้มีการจำหน่ายน้ำมันดีเซล 2 ชนิด ก็อาจจะเกิดบัญหาอีกเมื่อมีการขาดแคลน หรือปาล์มล้นตลาด และผู้ค้าน้ำมันก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนการจำหน่ายระหว่างน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ตามสถานการณ์ ดังนั้น จึงควรกำหนดนโยบายให้มีน้ำมันดีเซลเพียงชนิดเดียว และให้มีความยืดหยุ่นในเรื่องปริมาณการเติมไบโอดีเซล ซึ่งระยะเวลาการดำเนินการที่เหมาะสมคือ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดปริมาณการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา จากเดิมร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 2 (สัดส่วนขั้นต่ำจากไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.5 เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1.5) เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 ทั้งนี้ มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 กบง. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 | = | 97% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (อ้างอิงตลาดสิงคโปร์) + 3% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
โดยที่ ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ (บาทต่อลิตร) คำนวณจาก
§ (ราคา MOPS GO 0.5% + พรีเมียม) ที่ 60 0F x อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984
- ราคา MOPS GO 0.5% คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซัลเฟอร์ 0.5% จาก Mean of Platt's Singapore (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
- พรีเมียม คือ ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และ ค่า Loss
- ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
- ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
- ค่าประกันภัย ร้อยละ 0.084 ของ C&F
- ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF
- อัตราแลกเปลี่ยน อ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
- ใช้ Conversion factor 60 0 F / 86 0 F
§ ราคาไบโอดีเซล (B100) อ้างอิงจากประกาศ กบง. (บาทต่อลิตร)
2. เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีส่วนผสมของไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันร้อยละ 2 ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554
3. เพื่อให้หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสอดคล้องกับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของ ธพ. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว | = | XP1 + (1-X) P2 |
โดยที่ X คือ ร้อยละของไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน
P1 คือ ราคาอ้างอิงไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (บาทต่อลิตร)
P2 คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ (บาทต่อลิตร) โดยคำนวณจากราคา MOPS GO 0.5% + พรีเมียม ที่ 60 0F x อัตราแลกเปลี่ยน/158.984
โดยที่ - ราคา MOPS GO 0.5% คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซัลเฟอร์ 0.5% จาก Mean of Platt's Singapore (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
- พรีเมียม คือ ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และ ค่า Loss
- ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
- ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
- ค่าประกันภัย ร้อยละ 0.084 ของ C&F
- ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF
- อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย(บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
- Conversion factor 60 0 F / 86 0 F
มติของที่ประชุม
เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามข้อ 3
เรื่องที่ 3 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. กพช. เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 6 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้รับการชดเชยสะสมไปแล้ว 3.15 และ 3.05 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยกองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 ไปแล้วประมาณ 4,629 ล้านบาท คงเหลือเงิน 371 ล้านบาท จะสามารถใช้ชดเชยราคาน้ำมันดีเซลได้อีกประมาณ 2 วัน (ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554)
3. ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ หากฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิเหลืองวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 มีเงินสดในบัญชี 35,275 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 11,895 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 11,618 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 277 ล้านบาท ดังนั้นกองทุนน้ำมันฯ จึงมีฐานะสุทธิ 23,380 ล้านบาท
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวอยู่ในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 97.58, 109.17 และ 115.75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 ในประเทศอยู่ที่ระดับ 39.74 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 35.44 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันให้คงราคาอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และ บี5 อยู่ที่ 0.6852 บาทต่อลิตร และ 0.5609 บาทต่อลิตร ตามลำดับ จากค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก และจะส่งผลให้ราคาขายปลีกเกิน 30.00 บาทต่อลิตร
6. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้นเป็น 1.1852 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้นเป็น 1.0609 บาทต่อลิตร มีสภาพคล่องจากติดลบ 165 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 194 ล้านบาทต่อวัน และเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเพิ่มขึ้นจากประมาณวันละ 170 ล้านบาท เป็นวันละ 197 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 3.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 3.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 3.55 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.05 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2554 ต่อไป
ครั้งที่ 63 - วันศุกร์ ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2554 (ครั้งที่ 63)
เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 5 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. ได้ปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วรวม 4 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาได้รับการชดเชยสะสมไปแล้ว 2.10 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้รับการชดเชยสะสมไปแล้ว 2.00 บาทต่อลิตร
3. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อีก 0.65 บาทต่อลิตร มีผลทำให้อัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ 2.60 และ 3.15 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันชะลอการปรับขึ้นราคาขายปลีก โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ยังคงอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร
4. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 3,436 ล้านบาท ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 กองทุนน้ำมันฯ มีเงินสดในบัญชี 35,275 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 11,895 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 11,618 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 277 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 23,380 ล้านบาท
5. ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 97.14, 110.41 และ 113.47 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ปรับเพิ่มขึ้นจากวันที่ 31 มกราคม 2554 ประมาณ 2.69, 3.27 และ 2.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร มีผลวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 39.74 และ 35.44 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 สนพ. ได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันให้คงราคาอยู่ที่ระดับเดิมคือ 29.99 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และ บี5 อยู่ที่ 0.7675 บาทต่อลิตร และ 0.7147 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในสถานการณ์ปัจจุบันหากไม่มีการพิจารณาปรับเงินชดเชยใหม่ อาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก ส่งผลให้ราคาขายปลีกเกิน 30.00 บาทต่อลิตร
6. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้นเป็น 1.1675 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้นเป็น 1.1147 บาทต่อลิตร และส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 143 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 165 ล้านบาทต่อวัน และเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเพิ่มขึ้นจากประมาณวันละ 148 ล้านบาท เป็นวันละ 170 ล้านบาท จากวงเงินที่เหลือประมาณ 1,564 ล้านบาท จะสามารถชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ประมาณ 9 วัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชย 2.60 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 3.00 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชย 3.15 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 3.55 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2554 ต่อไป