มติกบง. (344)
ครั้งที่ 86 - วันจันทร์ ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 28/2554 (ครั้งที่ 86)
เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ -1,504 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดย ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 102.73 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 115.07 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 118.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากวันที่ 23 มิถุนายน 2554 เท่ากับ 3.81,4.99 และ 4.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลงตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 1.9496 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.7705 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดภาระและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร เป็น 2.30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.4496 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.6705 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นวันละ 28 ล้านบาท จากวันละ 20 ล้านบาท เป็นเงินไหลเข้าวันละ 48 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จำนวน 2 เรื่อง ดังนี้
1.1 นโยบายการชดเชยราคาก๊าซ LPG
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนและขนส่ง จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2554 และเห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีก ไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปจัดทำแนวทางการปรับราคา LPG ภาคอุตสาหกรรม เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาเห็นชอบ และนำเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป
1.2 การเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซ LPG
เห็นชอบในหลักการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าและการจ่ายก๊าซ LPG ดังนี้
(1) ระยะสั้น คือ เพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าก๊าซ LPG โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซ LPG รายอื่นที่มีศักยภาพในการนำเข้า ได้รับเงินชดเชยจากการนำเข้าตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และกำหนดหลักเกณฑ์ในการนำเข้าก๊าซ LPG เช่น ไม่เกินกว่าค่าใช้จ่ายนำเข้าของ ปตท. โดยจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าได้ประมาณ 22,000 ตันต่อเดือน และเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาค โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซ LPG รายอื่นเข้ามามีส่วนช่วยในการขนส่งและกระจายก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาค มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าขนส่งจากคลังจังหวัดชลบุรีไปยังคลังจำหน่ายในภูมิภาค เช่นเดียวกับ ปตท. ซึ่งจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาคได้ประมาณ 16,500 ตันต่อเดือน และมอบหมายให้ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ร่วมกันดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และกำหนดหลักเกณฑ์ในการนำเข้าก๊าซ LPG ต่อไป
(2) ระยะยาว มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการขยายระบบคลัง ท่าเรือนำเข้า และระบบคลังจ่ายก๊าซ LPG
2. สนพ. และ ธพ. ได้ดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เพื่อให้สามารถกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซแยกตามประเภทการใช้ และให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซ LPG รายอื่นเข้ามามีส่วนช่วยในการขนส่งและกระจายก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาค โดยให้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าขนส่ง รวมทั้งให้คณะกรรมการมีอำนาจกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายในประเทศได้ นอกจากนั้น การกำหนดบทบาทและหน้าที่ของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซ มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด รวมทั้งการกำหนดบทบาทและข้อปฏิบัติของผู้บรรจุก๊าซ และเจ้าของสถานีบริการ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีเสร็จเรียบร้อยแล้ว
3. ตามที่ กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันตั้งแต่กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรมอีก ไตรมาสละ 2.80 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น เพื่อให้สามารถเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรม อีกไตรมาสละ 2.8025 บาทต่อกิโลกรัม สนพ. จึงได้ดำเนินการแก้ไขร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ เสนอที่ประชุมฯ เพื่อพิจารณา
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ... /2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
ครั้งที่ 85 - วันพฤหัสบดี ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 27/2554 (ครั้งที่ 85)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ -1,143 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดย ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 105.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 119.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 122.79 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากวันที่ 21 มิถุนายน 2554 เท่ากับ 1.25, 2.43 และ 2.06 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลงตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 1.9958 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.7599 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดภาระและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 1.20 บาทต่อลิตร เป็น 1.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.3958 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.6399 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีภาระลดลงวันละ 33 ล้านบาท จากติดลบวันละ 13 ล้านบาท เป็นเงินไหลเข้าวันละ 20 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60บาท ต่อลิตร จาก 1.20 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบ จำนวน 2 เรื่องดังนี้
1. กระทรวงพลังงานได้พิจารณาการปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก B3 เป็น B4 ซึ่งมีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 โดยอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) ได้ชี้แจงว่า ธพ. ได้จัดประชุมหารือกับผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วและได้รับแจ้งว่าสามารถดำเนินการได้ โดย ธพ. ได้ดำเนินการออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าน่าจะประกาศได้ภายใน 1- 2 วัน และได้มีการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะปรับขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะส่งร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ในช่วงต้นสัปดาห์หน้าเพื่อนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
2. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ขอหารือกับกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแก้วและเซรามิค ที่จะได้รับผลกระทบจากการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอธิบดี ธพ. ได้ชี้แจงว่า ได้แจ้งสภาอุตสาหกรรมฯ ว่าการดำเนินการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแก้วและเซรามิค อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางปรับเปลี่ยนมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตก๊าซเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมแทน
ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (นายอภิวัฒน์ อสมาภรณ์) ได้ชี้แจงเพิ่มเติม เกี่ยวกับการดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแก้วและเซรามิคว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ศึกษาการใช้บิทูมินัสมาใช้ในการผลิตก๊าซเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตทดแทนก๊าซ LPG ซึ่งมีเครื่องต้นแบบอยู่ที่จังหวัดลำปาง แต่การศึกษายังไม่สมบูรณ์เนื่องจากความร้อนที่ได้จากบิทูมินัสยังไม่สม่ำเสมอ และผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิคถือเป็นผู้ใช้กลุ่มก๊าซ LPG จำนวนเล็กมากในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถหาแนวทางอื่นเพื่อช่วยเหลือได้โดยไม่ส่งผลต่อนโยบายการปรับราคาก๊าซ LPG
ครั้งที่ 84 - วันจันทร์ ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 26/2554 (ครั้งที่ 84)
เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการเป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ มิถุนายน 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 412 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดย ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 105.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 118.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 124.46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากวันที่ 16 มิถุนายน 2554 เท่ากับ 2.80, 3.03 และ 3.43 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลงตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 2.0088 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.1203 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดภาระและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จาก 0.70 บาทต่อลิตร เป็น 1.20 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.5088 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.0203 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีภาระลดลงวันละ 28 ล้านบาท จากติดลบวันละ 41 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 13 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.50 บาท ต่อลิตร จาก 0.70 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.20 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
1. ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่าเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันปาล์มและมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ซึ่ง กนป. มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณาเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก B3 เป็น B4 เพื่อช่วยในการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินในระบบ และในวันนี้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้มีการประชุมหารือร่วมกับผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 7 และผู้ผลิตไบโอดีเซล (B100) เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการดังกล่าวแล้ว
2. อธิบดี พพ. (นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา) ได้ชี้แจงเกี่ยวกับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในปี 2554 ตามที่กรมการค้าภายในรายงานว่า สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบของเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน 2554 อยู่ที่ 213,000 242,000 268,000 281,000 และ 314,000 ตัน ตามลำดับ โดยที่ safety stock อยู่ที่ประมาณ 200,000 ตัน ถ้ากระทรวงพลังงานพิจารณาเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก B3 เป็น B4 จะต้องเพิ่มการใช้น้ำมันปาล์มดิบจาก 25,000 ตันต่อเดือน เป็น 35,000 ตันต่อเดือน โดยเท่ากับดูดซับน้ำมันปาล์มดิบประมาณ 10,000 ตันต่อเดือน ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2554 การดำเนินการของกระทรวงพลังงานที่พิจารณาปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก B3 เป็น B4 จะไม่ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันปาล์มดิบและไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาของน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค
3. การดำเนินการปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก B3 เป็น B4 ที่ประชุมฯ ได้มอบหมายให้ ธพ. รับไปดำเนินการออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป เป็นระยะเวลา 3 เดือน และเพื่อดำเนินการเร่งรัดการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน ได้มอบหมายให้ ธพ. รับไปประสานกับผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 7 เพื่อให้เริ่มรับซื้อไบโอดีเซลเข้ามาในสต๊อกเพื่อเตรียมผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B4 ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลเริ่มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินในระบบเข้ามาเร็วขึ้น
4. เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ได้ประกาศราคารับซื้อน้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ประมาณ 35 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาตามตลาดซื้อขายจริง ขณะที่ กนป. ได้มีมติให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคาไม่ต่ำกว่า 36.28 บาทต่อกิโลกรัม ประธานฯ จึงมอบหมายให้ สนพ. ไปดำเนินการทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยเร่งด่วน เพื่อให้สูตรโครงสร้างราคาไบโอดีเซลสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยให้นำเสนอคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ก่อนนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปดำเนินการออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานเพื่อปรับเพิ่มสัดส่วน ไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก B3 เป็น B4 และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 เป็นระยะเวลา 3 เดือน
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปประสานกับผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 7 ให้เริ่มรับซื้อ ไบโอดีเซลเข้ามาในสต๊อกเพื่อเตรียมผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B4 เพื่อเร่งรัดการดำเนินการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ไปดำเนินการทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยเร่งด่วน แล้วนำเสนอคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป
ครั้งที่ 83 - วันพุธ ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 25/2554 (ครั้งที่ 83)
เมื่อวันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจเร่งด่วน จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 : การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 363 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดย ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 111.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 122.01 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 131.32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้น โดยที่ระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 0.6420 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 0.7143 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดต้นทุนราคาน้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 1.10 บาทต่อลิตร เป็น 0.70 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.0420 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 0.7943 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกเพิ่มขึ้น 22 ล้านบาท จากติดลบ 19 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 41 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.40 บาท ต่อลิตร จาก 1.10 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.70 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 82 - วันศุกร์ ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 24/2554 (ครั้งที่ 82)
เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงพลังงาน กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจเร่งด่วน ที่ประชุมฯ จึงได้มีมติเห็นชอบให้รองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 550 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดย ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 111.34 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 124.25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 130.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาปิดตลาดครึ่งวัน ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้น 0.92 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 112.53 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น 3.14 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 133.59 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้น โดยที่ระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ ราคาปิดตลาดครึ่งวันของวันที่ 10 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 0.1429 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 0.8033 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดต้นทุนราคาน้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.30 บาทต่อลิตร จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็น 1.10 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 0.4429 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 0.9296 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง 35 ล้านบาทต่อวัน จากเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 29 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 6 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.30 บาท ต่อลิตร จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 81 - วันพุธ ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 23/2554 (ครั้งที่ 81)
เมื่อวันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจเร่งด่วน จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 550 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 2.20 บาทต่อลิตร เป็น 1.80 บาทต่อลิตร โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2554 ต่อมาสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 109.51 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 123.31 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 128.02 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น ที่ระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 29.99 บาท ต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 0.7291 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 0.8230 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดต้นทุนราคาน้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 50 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร เป็น 1.30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.2291 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 0.9230 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง 27 ล้านบาทต่อวัน จากเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 51 ล้านบาทต่อวัน เป็น 24 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 80 - วันศุกร์ ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 22/2554 (ครั้งที่ 80)
เมื่อวันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจเร่งด่วน จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 446 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 108.56 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 จำนวน 3.25 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 122.25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 126.57 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.81 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น โดย ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2554 ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคา 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.6616 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.2431 บาทต่อลิตร เพื่อเป็นการลดต้นทุนราคาน้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 2.20 บาทต่อลิตร เป็น 1.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.0616 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.3231 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง 25 ล้านบาทต่อวัน จากเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 76 ล้านบาทต่อวัน เป็น 51 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 2.20 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 79 - วันพุธ ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 21/2554 (ครั้งที่ 79)
เมื่อวันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 446 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัว ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 105.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 122.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 119.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.5674 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.4777 บาทต่อลิตร เพื่อเป็นการลดภาระกองทุนน้ำมันฯ และเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ให้ดีขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1.80 บาทต่อลิตร เป็น 2.10 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้น 17 ล้านบาทต่อวัน จาก 54 ล้านบาทต่อวัน เป็น 71 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.20 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 78 - วันพฤหัสบดี ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 20/2554 (ครั้งที่ 78)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 253 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาดครึ่งวันของวันที่ 12 พฤษภาคม 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลง 4.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จาก 111.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 107.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลลดลง 3.58 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จาก 128.48 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 124.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และคาดการณ์ว่าน้ำมันเบนซินลดลง 4.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จาก 131.87 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 127.67 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ถ้าราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาดช่วงเย็นใกล้เคียงกับราคาปิดตลาดครึ่งวัน ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับลดลง โดยราคาน้ำมัน ณ โรงกลั่นของแก๊สโซฮอล 95 ลดลง 0.47 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 1.16 บาทต่อลิตร เป็น 1.63 บาทต่อลิตร และราคาน้ำมัน ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.31 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มจาก 1.30 บาทต่อลิตร เป็น 1.61 บาทต่อลิตร
4. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง เพื่อเป็นการลดภาระและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ให้ดีขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จากส่งเข้ากองทุน 1.40 บาทต่อลิตร เป็น 1.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้น 22 ล้านบาทต่อวัน จาก 32 ล้านบาทต่อวัน เป็น 54 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 77 - วันจันทร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 19/2554 (ครั้งที่ 77)
เมื่อวันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2554 มีฐานะกองทุนเบื้องต้นสุทธิ 971 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลง 13.49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จาก 114.74 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 101.25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลลดลง 14.52 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จาก 135.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 120.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันเบนซินลดลง 12.95 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จาก 136.32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 123.37 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับลดลง โดยราคาน้ำมัน ณ โรงกลั่นของแก๊สโซฮอล 95 ลดลง 1.58 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงมาก แต่ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับลดราคาขายปลีกลง 0.80 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 1.0953 บาทต่อลิตร เป็น 1.7649 บาทต่อลิตร และราคาน้ำมัน ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 1.74 บาทต่อลิตร แต่ได้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ 0.50 บาทต่อลิตร เพื่อลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มจาก 1.4060 บาทต่อลิตร เป็น 2.6481 บาทต่อลิตร
4. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง เพื่อเป็นการลดภาระและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ให้ดีขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร จากส่งเข้ากองทุน 0.3355 บาทต่อลิตร เป็น 1.3355 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จากมีสภาพคล่องติดลบ 28 ล้านบาทต่อวัน เป็นกองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลเข้า 28 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 1.0645 บาทต่อลิตร จาก 0.3355 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป