มติกพช.กบง. (475)
ครั้งที่ 45 - วันศุกร์ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2552 (ครั้งที่ 45)
เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราหนึ่ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และหลังจากนั้นให้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1.00 -1.50 บาท/ลิตร เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม โดยอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน 2) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ภายหลังจากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม และ 3) เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ เห็นชอบในหลักการที่มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางใน ข้อ 1) แล้วรายงานให้ กบง. ทราบภายหลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการต่อไป
2. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน แต่เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องรับภาระมากเกินไป จึงได้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปรับภาระบางส่วน เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 1.55 บาท/ลิตร ต่อมา กบง. ได้มีมติให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามลำดับดังนี้คือ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 ,ดีเซลหมุนเร็ว B2 และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.26 บาท/ลิตร โดยไม่ทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.60 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว 0.20 บาท/ลิตร โดยไม่ทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น และในวันที่ 6 มีนาคม 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.70 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว 0.40 บาท/ลิตร โดยไม่ทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น แต่ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. เนื่องจากในช่วงวันที่ 10-11 มีนาคม 2552 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ของน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงประมาณ 5 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลทรงตัว ส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับที่สามารถปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับสู่อัตราเดิม (ณ วันที่ 31 มกราคม 2552) โดยสามารถปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 1.00 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, แก๊สโซฮอล 91 0.78 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 0.23 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.18 บาท/ลิตร ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน และจะทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ค่าการตลาด และราคาขายปลีก เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ
เปรียบเทียบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด และราคาขายปลีก
สรุปอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. ในช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ - วันที่ 13 มีนาคม 2552 กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้ามาพยุงการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จำนวน 5 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่ม 1.55 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 1,500 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 1 -12 กุมภาพันธ์ 2552) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 623 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2552) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 อีก 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 อีก 0.26 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 350 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 20 - 26 กุมภาพันธ์ 2552) ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.60 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.20 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 252 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 5มีนาคม 2552) และครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.70 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.40 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 120 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 6 -13 มีนาคม 2552)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอขอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งที่ 6 ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 0.78 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เพิ่มขึ้น 0.23 บาท/ลิตรและดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.18 บาท/ลิตร เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยในการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในครั้งนี้จะทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็วกลับไปสู่อัตราเดิม และขอเสนอให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 1.00 บาท/ลิตร เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงและเพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 โดยไม่กระทบต่อราคาขายปลีก
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 0.78 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เพิ่มขึ้น 0.23 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.18 บาท/ลิตร ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยในการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้จะทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกลับไปสู่อัตราเดิม (ณ วันที่ 31 มกราคม 2552) ทั้งนี้ จะไม่ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเปลี่ยนแปลง
2. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 1.00 บาท/ลิตร ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงและเพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 โดยไม่กระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน
ครั้งที่ 46 - วันศุกร์ ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2552 (ครั้งที่ 46)
เมื่อวันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เวลา 10.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การขอขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
2. การขออนุมัติให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลเป็นการชั่วคราว
5. โครงการส่งเสริมรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV)
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การขอขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยให้รัฐบาลจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งทดแทนน้ำมันที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง) ในราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาทต่อลิตร โดยจำหน่ายในพื้นที่ทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ยกเว้นรอบเกาะไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ทะเล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 โดยเพิ่มเติมในข้อ 2.1.1 ดังนี้ "กรณีพื้นที่ที่มีปัญหาในการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสะพานปลา ในการที่จะนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งเข้ามาจำหน่ายบริเวณใกล้ฝั่ง หรือสถานีที่องค์การสะพานปลากำกับดูแลบนฝั่ง" โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ไม่เกิน 15 ล้านลิตรต่อเดือน และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบในการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นโดยมีราคาต่ำกว่าน้ำมันดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร มาจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่ง 15 ล้านลิตรต่อเดือน (แทนการจัดหาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในราคาต่ำกว่าดีเซลปกติ 2 บาทต่อลิตร โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการ) และให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง 7 ล้านลิตรต่อเดือน รวมเป็น 22 ล้านลิตรต่อเดือน โดยกำหนดเวลาในการช่วยเหลือถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 และให้มีมาตรการตรวจสอบและควบคุมเป็นไปตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด
3. ผลการดำเนินงานโครงการฯ โดยจำหน่ายน้ำมันรวมทั้งสิ้น 7,917,000 ลิตร สรุปได้ ดังนี้
3.1 โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (ลด 2 บาทต่อลิตร) (ตั้งแต่มิถุนายน 2551- 14 สิงหาคม 2551) รวม 2,094,000 ลิตร ดังนี้ (1) เริ่มจำหน่ายน้ำมันบนฝั่ง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2551 (2) สถานีบริการน้ำมันเข้าร่วมโครงการฯ 56 สถานี (3) น้ำมันที่สั่งมาเพื่อจำหน่าย 2,094,000 ลิตร ในพื้นที่ 11 จังหวัด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด นครศรีธรรมราช ปัตตานี ระนอง ระยอง สตูล สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสุราษฎร์ธานี)
3.2 โครงการจำหน่ายน้ำมันที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่น (โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง) (ลด 3 บาทต่อลิตร) (ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2551- 30 พฤศจิกายน 2551) รวม 5,823,000 ลิตร ดังนี้
(1) โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง รวม 5,242,242 ลิตร มีเรือเข้าร่วมโครงการ 3,339 ลำ สถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการฯ 60 สถานี
(2) โครงการจำหน่ายน้ำมันให้แก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง รวม 580,758 ลิตร เริ่มจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2551 มีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งเข้าร่วมโครงการ 1,130 ราย สถานีบริการน้ำมัน เข้าร่วมโครงการฯ 10 สถานี
4. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีหนังสือขอขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น และราคาสัตว์น้ำไม่เป็นไปตามสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ชาวประมงประสบปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่องและต้องหยุดกิจการ จึงขอให้พิจารณาขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง ออกไปอีก 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 ถึง วันที่ 26 พฤศจิกายน 2552)
5. เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2552 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้หารือร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมประมง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมพิจารณาเห็นว่าจำเป็นที่ชาวประมงชายฝั่ง ต้องขอขยายระยะเวลาโครงการฯ ออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากต้นทุนของประมงน้ำลึกจะต่ำกว่าประมงชายฝั่ง (ราคาน้ำมันเขียวต่ำกว่าน้ำมันม่วงประมาณ 3 บาทต่อลิตร) และประมงน้ำลึกเป็นเรือขนาดใหญ่ ประสิทธิภาพการจับปลาสูงกว่าประมงชายฝั่ง ทำให้สัตว์น้ำที่จับได้มีขนาดใหญ่กว่าและมีราคาสูงกว่าประมงชายฝั่งที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งในราคาต่ำกว่าปกติ 2 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 1 ปี และมอบหมายให้กรมประมงจัดส่งข้อมูลราคาสัตว์น้ำของชาวประมงชายฝั่ง และราคาสัตว์น้ำเปรียบเทียบระหว่างประมงน้ำลึก (น้ำมันเขียว) และประมงน้ำตื้น (น้ำมันม่วง) ให้ สนพ. เพื่อนำเสนอ กบง. โดยราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนของประมงทะเล แยกตามประเภทและขนาดของเรือ เป็น 3 ประเภท คือราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนรวมเฉลี่ย 16.99 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนขนาดเรือน้อยกว่า 14 เมตร 16.39 บาทต่อลิตร และราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนขนาดเรือมากกว่า 14 เมตร 17.18 บาทต่อลิตร (ณ ราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 19.59 บาท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งออกไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ถึง 14 พฤศจิกายน 2552) และเมื่อสิ้นสุดการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการฯ ต่อไป
เรื่องที่ 2 การขออนุมัติให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลเป็นการชั่วคราว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล ดังนี้
ราคาเอทานอล = ราคาเอทานอลตลาดบราซิล + Freight + Insurance + Loss + Survey
จากหลักเกณฑ์ดังกล่าว ให้นำไปใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยมอบหมายให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
2. การกำหนดราคาเอทานอลของประเทศไทยให้สะท้อนกับราคาตลาดโลก จะอ้างอิงราคาเอทานอลของบราซิล โดยบราซิลได้กำหนดคุณสมบัติเอทานอลเพื่อใช้ในการค้าระหว่างประเทศคือ US Dollar-Denominated Ethanol Futures Contract Specifications โดยใช้รหัส ETN แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันและเอทานอลเพื่อใช้ในรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาลดลง จนไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าเอทานอลจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากบราซิล ทำให้ไม่มีรายงานการซื้อขายเอทานอล ในตลาดบราซิล ตามรหัส ETN ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2552 เป็นต้นมา ส่งผลให้ สนพ. ไม่สามารถออกประกาศราคาเอทานอลที่ใช้อ้างอิงสำหรับการซื้อขายเอทานอลระหว่างผู้ผลิตเอทานอลและผู้ค้ามาตรา 7 ในไตรมาส 2 ปี 2552 ได้
3. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2551 สมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่องสถานการณ์เอทานอล ราคาอ้างอิง และความอยู่รอด เพื่อให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมเอทานอลของประเทศ โดยเฉพาะราคาเอทานอลอ้างอิงที่ประกาศใช้ไม่สะท้อนต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้
4. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้มีมติเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล เพื่อใช้อ้างอิงในการซื้อ-ขายในประเทศImport Parity) มาเป็นระบบการคำนวณต้นทุนการผลิต (Cost Plus) เนื่องจากการใช้ราคาอ้างอิงจากบราซิลไม่สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง โดยราคาต้นทุนการผลิตของบราซิลต่ำกว่าต้นทุนการผลิตของไทย ทั้งจากปัจจัยทางด้านขนาดการผลิตของบราซิลใหญ่กว่าของไทย และรัฐบาลบราซิลอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเกษตรกร รวมทั้งการกำหนดคุณภาพเอทานอลของบราซิล (95%) อยู่ในระดับต่ำกว่าคุณภาพเอทานอลของไทย (99.5%) ต่อมาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2552 คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล และมันสำปะหลัง โดยมีหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล ดังนี้
โดยที่ PEth คือ ราคาเอทานอลอ้างอิง (บาท/ลิตร) ประกาศราคาเป็นรายเดือนทุกเดือน
PMol คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร)
PCas คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร)
QMol คือ ปริมาณการผลิตจากกากน้ำตาล (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือนเช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QCas คือ ปริมาณการผลิตจากมันสำปะหลัง (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QTotal คือ ปริมาณการผลิตทั้งหมด (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
โดยที่ คือ ต้นทุนกากน้ำตาลที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
คือ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร) เท่ากับ 6.125 บาท/ลิตร
หมายเหตุ : 1) ราคากากน้ำตาล เป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรโดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
2) กากน้ำตาล 4.17 กก. ที่ค่าความหวาน 50% เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
โดยที่ คือ ต้นทุนมันสำปะหลังที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
คือ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร) เท่ากับ 7.107 บาท/ลิตร
หมายเหตุ : 1) ใช้ราคามันสด เชื้อแป้ง 25 % ตามประกาศเผยแพร่โดยกรมการค้าภายใน เฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคามันสดเฉลี่ยวันที่ 16 เดือน 3 ถึง วันที่ 15 เดือน 4 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
2) มันเส้น 2.63 กิโลกรัม เปอร์เซ็นต์แป้งไม่น้อยกว่า 65 เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
3) หัวมันสด 2.38 กิโลกรัม ที่เชื้อแป้ง 25 % แปรสภาพเป็นมันเส้น 1 กิโลกรัม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
4) ค่าใช้จ่ายในการแปลงสภาพจากหัวมันสดเป็นมันเส้น 300 บาท/ตันมันเส้น ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
5. ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล และมันสำปะหลังเป็น ดังนี้
ต้นทุน (หน่วย: บาท/ลิตร) | กากน้ำตาล (CMol) | มันสำปะหลัง(CCas) |
Total Initial Investment Cost (ค่าลงทุนเบื้องต้น : ค่าเครื่องจักร ค่าที่ดิน ค่าระบบบำบัด ค่าใช้จ่ายและเงินทุนแรกเริ่ม และค่าอาคาร) 1) | 2.029 | 1.975 |
Chemicals and Process Water (ค่าสารเคมีและน้ำดิบ) 1) | 0.219 | 1.041 |
Utilities (ค่าพลังงาน/สาธารณูปโภค) 2) | 1.546 | 1.779 |
Maintenances (ค่าซ่อมบำรุง) 1) | 0.381 | 0.380 |
Insurances (ค่าประกันภัย) 1) | 0.173 | 0.174 |
Labor (ค่าแรงทางตรง) 3) | 0.434 | 0.434 |
Sales, General & Administrative Expenses (ค่าบริหารจัดการ) 1) | 0.496 | 0.499 |
Ethanol Production Cost (ต้นทุนการผลิต) | 5.278 | 6.282 |
Marketing Margin (ค่าการตลาด) | 0.847 4) | 0.825 4) |
Total Cost (ต้นทุนการผลิตรวม) | 6.125 | 7.107 |
หมายเหตุ
1) อ้างอิงข้อมูลจาก BOI ของโรงผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบแต่ละชนิด
2) ข้อมูลเฉลี่ยจาก พพ. , BOI และประมาณการตามสัดส่วนที่เสนอโดยสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอล
3) ประมาณการจากงบดุลปี 2550 ที่เสนอต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำหรับกำลังการผลิต 150,000 ลิตร/วัน คิดแรงงาน 100 คน ที่รายได้เฉลี่ย 15,000 บาทต่อเดือนและเงินเพิ่ม 1 เดือน โดยมีการปรับรายได้ร้อยละ 5 ต่อปี
4) IRR = 12.50 %
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอเพื่อขอความเห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอล ตามข้อ 4 เป็นการชั่วคราว และหากมีการประกาศราคาซื้อขายเอทานอลของประเทศบราซิลแล้วให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอ กบง. พิจารณาหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลอีกครั้ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลตามข้อ 4 เป็นการชั่วคราว 6 เดือน และหากมีการประกาศราคาซื้อขายเอทานอลของประเทศบราซิลหรือมีข้อมูลใหม่ ให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาก่อน 6 เดือนก็ได้
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันภาครัฐได้มีการกำกับดูแลต้นทุนของก๊าซ LPG โดยในส่วนของโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ กำกับดูแลโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ส่วนราคาก๊าซ ณ ปากหลุม กำกับดูแลโดยคณะกรรมการปิโตรเลียม และส่วนอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ กำกับดูแลโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน อย่างไรก็ตาม ในส่วนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนที่นำมาใช้ในการคำนวณราคาก๊าซ LPG โดยตรง ยังไม่มีการกำกับดูแลโดยหน่วยงานภาครัฐ
2. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้มีมติให้ สนพ. รับไปศึกษาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่เหมาะสม
3. เพื่อให้การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซ LPG มีความเหมาะสม และทราบถึงต้นทุนของโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่แท้จริง สนพ. ได้จัดทำแผนงานการศึกษาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติสำหรับการกำหนดราคาก๊าซ LPG ตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และเพื่อกำหนดราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศอย่างเป็นธรรมและเหมาะสม โดยมีขอบเขตการศึกษาวิจัยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) การศึกษาวิจัยต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยศึกษาและรวบรวมข้อมูลแหล่งวัตถุดิบก๊าซ LPG ในระดับประเทศและต่างประเทศ ศึกษาวิจัยเทคโนโลยีและขบวนการผลิตก๊าซ LPG ในโรงแยกก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งศึกษาวิจัยค่าใช้จ่ายและต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำมาวิเคราะห์ต้นทุนเชิงเปรียบเทียบ ศึกษาทบทวนระเบียบ กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง และเสนอแนะรูปแบบและโครงสร้างต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่เหมาะสม วิเคราะห์ความต้องการ ความคาดหวัง และอิทธิพลของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมทั้งเสนอแนะกลยุทธ์การบริหารจัดการผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อลดอุปสรรค และเพิ่มแรงเสริมเพื่อพัฒนานโยบายการกำหนดราคาก๊าซ LPG และ 2) จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการและดูงาน ทั้งนี้มีลักษณะการดำเนินการเป็นการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาวิจัยต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน 6 เดือน (180 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญา และใช้งบประมาณในวงเงิน 35,000,000 บาท โดยมี สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัย เรื่องการศึกษาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติสำหรับการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ในวงเงิน 35,000,000 บาท (สามสิบห้าล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินงาน 6 เดือน (180 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง.ได้มีมติอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนเงินรวม 162.8855 ล้านบาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2552 - 2555 ปีละ 300 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตได้รับอนุมัติเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในปีงบประมาณ 2552 เป็นจำนวนเงิน 2.6068 ล้านบาท
2. ปัจจุบัน กรมสรรพสามิตได้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงาน โดยแยกหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลงานเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันฯ ออกเป็นหน่วยงานใหม่ เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบและรวบรวมระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเงิน การขอรับเงินคืน และการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อรองรับในการตรวจสอบ กำกับ และติดตาม ทั้งในหน่วยงานของกรมสรรพสามิต และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับอัตรากำลังของผู้ปฏิบัติงานในปัจจุบันมีไม่เพียงพอกับปริมาณงาน
3. เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2552 กรมสรรพสามิตได้มีหนังสือเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2552 ในการดำเนินโครงการการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ในวงเงิน 450,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน (เมษายน 2552 - ธันวาคม 2552) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางระบบข้อมูลและจัดสร้างฐานข้อมูลในการตรวจสอบการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ การขอรับเงินคืน และการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของผู้ค้าน้ำมันทั่วประเทศ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 4 ส่วน คือ
3.1 สร้างฐานข้อมูลการรับเงินจากผู้ผลิตน้ำมันทั่วประเทศ ในกรณีที่ กบง. ประกาศกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
3.2 สร้างฐานข้อมูลการจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ที่จ่ายให้กับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ในกรณีที่ กบง. กำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
3.3 นำระบบฐานข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ข้อมูลการส่งเงิน การขอรับเงินคืน และการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ กรณีตรวจพบความผิดปกติ เพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ
3.4 นำระบบฐานข้อมูลไปใช้ในการตรวจปฏิบัติการและการติดตามตรวจสอบผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศที่ส่งเงินและ/หรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้กรมสรรพสามิต เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ในวงเงินรวม 400,000 บาท (สี่แสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 - ธันวาคม 2552
เรื่องที่ 5 โครงการส่งเสริมรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งได้มีมติดังนี้
1.1 เห็นชอบให้มีการส่งเสริมการใช้น้ำมัน E85 เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติในระยะเวลาที่กำหนดตามแผนปฏิบัติการการส่งเสริมการใช้ E85 ครบวงจร โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินงานและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
1.2 เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ลดอากรนำเข้าจากร้อยละ 80 เหลือเป็นร้อยละ 60 สำหรับรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV) ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ที่จะนำเข้าประเทศไทย ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552
1.3 เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ที่ผลิต และต้องจำหน่ายภายในราชอาณาจักร ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และหลังจากวันที่ 31 ธันวาคม2553 เป็นต้นไป มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ FFV ให้สอดคล้องกับโครงสร้างภาษีรถยนต์ประเภทอื่นทั้งระบบต่อไป
2. ปัจจุบันโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ใช้อัตราเดียวกันกับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง E20 โดย
กรณีนำเข้า คิดอัตราร้อยละ 25 หรือ 30 แล้วคำนวณตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต สำหรับรถยนต์ขนาดความจุของกระบอกสูบ ไม่เกิน 2,000 ซีซี หรือไม่เกิน 2,500 ซีซี ตามลำดับ และกรณีผลิตในประเทศ คิดอัตราร้อยละ 25 30 หรือ 35 แล้วคำนวณตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต สำหรับรถยนต์ขนาดความจุของกระบอกสูบ ไม่เกิน 2,000 ซีซี ไม่เกิน 2,500 ซีซี หรือไม่เกิน 3,000 ซีซี ตามลำดับ
3. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จะดำเนินโครงการส่งเสริมรถยนต์ FFV โดยจะออกประกาศเชิญชวนให้ผู้นำเข้าและผู้ผลิตรถยนต์เข้าร่วมโครงการฯ โดยแบ่งเป็น2 ช่วง คือช่วงที่ 1 เริ่มตั้งแต่ประกาศเชิญชวนของ พพ. มีผลบังคับใช้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 โดยส่งเสริมการนำเข้ารถยนต์ FFV โดยจำกัดขนาดความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี จำนวนรวมไม่เกิน 2,000 คัน และส่งเสริมการผลิตรถยนต์ FFV ภายในประเทศโดยไม่จำกัด ซีซี และจำนวนคัน และช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 - 31 ธันวาคม 2553 เป็นการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ FFV ภายในประเทศโดยไม่จำกัด ซีซี และจำนวนคัน
4. จากข้อมติคณะรัฐมนตรีฯ ในข้อ 1.3 เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ในอัตราร้อยละ 3 และจากโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ในเบื้องต้น ประมาณการงบประมาณในการชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 รวมเป็นเงิน 352,528,850 บาท และ ค่าบริหารจัดการโครงการฯ เพื่อดำเนินการและเผยแพร่ข้อมูลโครงการฯ คิดเป็นเงินรวม 4,500,000 บาท ดังนั้น ค่าใช้จ่ายรวมของโครงการ คิดเป็นเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 357 ล้านบาท
5. การชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ร้อยละ 3
5.1 กรณีนำเข้า
(1) ผู้นำเข้ารถยนต์ FFV ยื่นเอกสารภายใน 30 กันยายน 2552 เพื่อขอเป็นผู้เข้าร่วมโครงการต่อ พพ. หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง พพ. จะมีหนังสือเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการ
(2) การนำเข้าแต่ละครั้ง ผู้นำเข้าต้องยื่นเอกสารต่อ พพ. เพื่อขอรับสิทธิในโครงการภายใน 10 วันทำการนับแต่วันที่ส่งออกจากประเทศต้นทาง หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง พพ. จะมีหนังสือเห็นชอบ ให้ผู้นำเข้ารับสิทธิในโครงการฯ และระบุลำดับที่รถยนต์ FFV ที่ได้รับสิทธิ โดยผู้ที่ยื่นเอกสารถูกต้องและครบถ้วนก่อนย่อมได้รับสิทธิก่อน และ พพ.จะใช้เวลาพิจารณาเอกสารไม่เกิน 10 วันทำการ ทั้งนี้หากเกิดค่าใช้จ่ายใดๆ ขึ้น ผู้นำเข้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียว
(3) ผู้นำเข้ายื่นหนังสือที่ พพ. เห็นชอบตามข้อ 5.1(1) และ 5.1(2) และชำระอากรนำเข้า ภาระภาษีต่างๆ ต่อกรมศุลกากร กรมศุลกากรคำนวณส่วนต่างภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 และอนุญาตการตรวจปล่อย ทั้งนี้หากผู้นำเข้าไม่นำหนังสือที่ พพ. เห็นชอบไปยื่นต่อกรมศุลกากรภายใน 30 วัน นับจากวันที่รถยนต์ FFV เข้ามาในราชอาณาจักร หนังสือฉบับนั้นเป็นอันยกเลิกต้องเริ่มต้นขอรับสิทธิใหม่เพื่อป้องกันการกันสิทธิผู้อื่น และหนังสือเห็นชอบ 1 ฉบับ ให้ใช้ได้กับการนำเข้าเพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากมีรถยนต์มาไม่พร้อมกัน ให้ใช้กับรถยนต์ชุดแรกก่อน ที่เหลือต้องเริ่มใหม่
(4) ผู้นำเข้าต้องนำเข้ารถยนต์ FFV ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และยื่นเอกสารการชำระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ที่ออกโดยกรมศุลกากร เอกสารระบุ ยี่ห้อ รุ่น สี ขนาดความจุกระบอกสูบ หมายเลขเครื่องยนต์ หมายเลขตัวถัง ประเทศผู้ผลิต โดยต้องเป็นยี่ห้อ รุ่น ที่บริษัทผู้ผลิตและออกแบบรถยนต์รับรองตามข้อ 5.1(1) เอกสารเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการ เอกสารเห็นชอบขอรับสิทธิในโครงการ และเอกสารแสดงการจำหน่ายให้ พพ. ตรวจสอบภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 เพื่อจ่ายเงินชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 ตามที่กรมศุลกากรแจ้ง และ พพ. จะเผยแพร่สถานภาพโครงการ ราคารถยนต์ FFV ทั้งกรณีที่มิได้เข้าร่วมและเข้าร่วมโครงการ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการและประชาชนทราบ
5.2 กรณีผลิตภายในประเทศ
(1) ผู้ผลิตรถยนต์ FFV ยื่นเอกสารภายในวันที่ 30 กันยายน 2553 เพื่อขอเป็นผู้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิในโครงการต่อ พพ. หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง พพ. จะมีหนังสือเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิในโครงการ โดยจะใช้เวลาพิจารณาเอกสารไม่เกิน 10 วันทำการ
(2) ผู้ผลิตยื่นหนังสือที่ พพ.เห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิตาม ข้อ 5.2(1) และชำระภาษีสรรพสามิต ภาระภาษีต่างๆ ต่อกรมสรรพสามิต กรมสรรพสามิตคำนวณส่วนต่างภาษีสรรพสามิต ร้อยละ 3 และอนุญาตการตรวจปล่อย
(3) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ผู้ผลิตรถยนต์ FFV ต้องยื่นเอกสารการชำระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ที่ออกโดยกรมสรรพสามิต เอกสารระบุ ยี่ห้อ รุ่น สี ขนาดความจุกระบอกสูบ หมายเลขเครื่องยนต์ หมายเลขตัวถัง โดยต้องเป็นยี่ห้อ รุ่น ที่บริษัทผู้ผลิตและออกแบบรถยนต์รับรองตามข้อ 5.2(1) เอกสารเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิในโครงการ และเอกสารแสดงการจำหน่ายให้ พพ. ตรวจสอบ เพื่อจ่ายเงินชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 ตามที่กรมสรรพสามิตแจ้ง และ พพ. จะเผยแพร่สถานภาพโครงการ ราคารถยนต์ FFV ทั้งกรณีที่มิได้เข้าร่วมและเข้าร่วมโครงการ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการและประชาชนทราบ
6. การติดตามความก้าวหน้า จัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามความก้าวหน้าการส่งเสริมรถยนต์ FFV เพื่อประเมินผลและรายงานให้ กบง. ทราบทุกไตรมาสจนเสร็จสิ้นโครงการฯ
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับโครงการส่งเสริมรถยนต์ FFV ในวงเงิน 357 ล้านบาท (สามร้อยห้าสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็นเงินชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 จำนวน 352.5 ล้านบาท และเป็นเงินเพื่อบริหารจัดการโครงการฯ จำนวน 4.5 ล้านบาท ให้กับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานดำเนินการด้วยการว่าจ้าง และหรือ ดำเนินการเอง ซึ่งแต่ละวิธีสามารถแยกดำเนินการเป็นหลายรายการได้
2. มอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานดำเนินโครงการส่งเสริมรถยนต์ FFV และเป็นผู้จ่ายเงินชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 ทั้งนี้ให้สามารถปรับรายละเอียดและแนวทางการบริหารจัดการของโครงการได้ เพื่อให้ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบของกระทรวงการคลัง
3. เนื่องจากรถยนต์ FFV มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่น และหลายซีซี (ยกเว้นรถนำเข้าต้องไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี เท่านั้น) ราคารถยนต์ FFV จึงมีความแตกต่างกัน ทำให้จำนวนเงินชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 ต่อคัน แตกต่างกันด้วย ดังนั้นการเบิกจ่ายเงินชดเชยฯ ให้เบิกจ่ายตามจริงตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต และเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2554
4. การชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ประกาศกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เรื่อง "การขอรับเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 พ.ศ. 2552" มีผลบังคับใช้
5. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาข้อกำหนดลักษณะของรถยนต์ FFV ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบมลพิษที่จะต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภทที่บริษัทผู้ผลิตให้การรับรอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในเรื่องการ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษและการประหยัดพลังงาน
เรื่องที่ 3.6 การแต่งตั้งและยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. ขอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต
1.1 จากมาตรการลดภาษีสรรพสามิต เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ก่อนวันดังกล่าว และทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้กำไรส่วนเกินจากปริมาณน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ก่อนวันที่ราคาปรับเพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่ง ที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อจ่ายเงินชดเชยให้เจ้าของสถานีบริการในกรณีปรับลดภาษีสรรพสามิต ซึ่งกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการยื่นหนังสือขอรับเงินชดเชยจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ลงในหนังสือของ ธพ. ซึ่งแจ้งจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุนน้ำมันฯ
1.2 หลังสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิตในวันที่ 31 มกราคม 2552 ซึ่งภาษีสรรพสามิตและราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องปรับเพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งที่ 1/2552 ลงวันที่ 28 มกราคม 2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันทยอยปรับเพิ่มขึ้นหลายครั้งตามความเหมาะสม แทนการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 เพียงครั้งเดียว
1.3 จากการดำเนินการ ได้พบปัญหาเกี่ยวกับการขอรับเงินชดเชยที่ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้กับผู้ค้าน้ำมันได้ ได้แก่ ปัญหาเรื่องความไม่ครบถ้วนของเอกสารประมาณ 2,000 ราย และปัญหาทางข้อกฎหมายของผู้ประกอบการ ธพ. จึงเห็นควรแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, กรมบัญชีกลาง, สบพน., สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน, สนพ. และ ธพ. เพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว แล้วจึงนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 ข้อ 11 ที่กำหนดว่า ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาวินิจฉัยและให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
2. ขอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งเห็นควรให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอนโยบายมาตรการสนับสนุนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งติดตามการดำเนินงานตามนโยบายเพื่อเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบ สนพ. จึงได้ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ดังนี้
2.1 องค์ประกอบ มีปลัดกระทรวงพลังงาน หรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทน ผู้อำนวยการ สนพ. หรือผู้แทน อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานหรือผู้แทน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือผู้แทน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือผู้แทน ผู้ว่าการการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งหรือผู้แทน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
2.2 อำนาจหน้าที่ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ เสนอแนะนโยบายและมาตรการสนับสนุนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบ และติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาจากการดำเนินงานตามนโยบาย ทั้งนี้ การปฏิบัติงานของคณะอนุกรรมการฯ ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อ กบง. ทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม
3. การยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
3.1 เพื่อช่วยปฏิบัติงานการเสนอนโยบายและการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า กบง. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 7 คณะ ดังนี้ (1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ (2) คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า (3) คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า (4) คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (5) คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า (6) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก และ (7) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
3.2 ต่อมาได้มีการปรับโครงสร้างบริหารกิจการพลังงาน โดยแยกงานนโยบาย งานกำกับดูแล และการประกอบกิจการพลังงานออกจากกันให้ชัดเจนตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลอัตราค่าบริการ มาตรฐานการให้บริการ และมาตรฐานทางวิศวกรรมและความปลอดภัย และกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน ให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. ไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินการกำกับกิจการไฟฟ้าของ กกพ. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอยกเลิกคณะอนุกรรมการ 4 คณะ จาก 7 คณะ ดังนี้ (1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและบริการ (2) คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า (3) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก และ (4) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต
2. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
3. เห็นชอบให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน จำนวน 4 คณะ ดังนี้
3.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและบริการ
3.2 คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า
3.3 คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
3.4 คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 45.59 และ 48.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 2.50 และ 8.84 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 27 เมษายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50.26 และ 49.68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 54.20 และ 53.14 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 3.77 และ 2.28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และในช่วงวันที่ 1 - 27 เมษายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95และ 92 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 61.20, 59.01 และ 58.39 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและคาดว่าโรงกลั่นในเอเชียจะลดอัตราการกลั่นในเดือนพฤษภาคมเนื่องจากค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลง
2. เดือนมีนาคม 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร, เบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 2.10 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 2.60 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล 95 E20, E85 และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.60 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3.10 บาทต่อลิตร ต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 28 เมษายน 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 28 เมษายน 2552 อยู่ที่ระดับ 37.14, 30.04, 26.24, 23.94, 21.29, 25.44, 22.79 และ 19.79 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 63 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 399.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม และราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 14.6443 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - เมษายน 2552 รวมทั้งสิ้น 497,719.56 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 8,180 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนมีนาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตจริง 10 ราย และมีปริมาณผลิตจริง 1.27 ล้านลิตรต่อวัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ ไตรมาส 2 ปี 2552 อยู่ที่ 17.18 บาทต่อลิตร ในเดือนมีนาคมและช่วงวันที่ 1-18 เมษายน 2552 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 12.10 และ 12.50 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากสถานีบริการรวม 4,178 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.17 ล้านลิตรต่อวัน จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 188 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาทต่อลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนมีนาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 5.60 ล้านลิตรต่อวัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในเดือนมีนาคมและในช่วงวันที่ 1-18 เมษายน 2552 อยู่ที่ 1.71 และ 1.62 ล้านลิตรต่อวัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 26.96 และ 24.96 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ปริมาณ 21.89 และ 21.68 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ สถานีบริการรวม 2,866 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.20 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 3.00 บาทต่อลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 เมษายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 25,252 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 10,669 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,259 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 410 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 14,583 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณ 1.20 บาทต่อลิตร และ (2) เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 30
2. จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 (18.02 บาทต่อลิตร) ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (25.74 บาทต่อลิตร) ร้อยละ 30 และอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยอยู่ 5.70 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 และ E85 อยู่ที่ 2.59 และ 0.85 บาทต่อลิตร ตามลำดับ เนื่องจากราคาเอทานอลปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น เพื่อให้โครงสร้างน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นไปตามมติ กบง. ตามข้อ 1 จึงเห็นควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 8 บาทต่อลิตร ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2552 ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ที่ 3.15 บาทต่อลิตร สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ค้าน้ำมันให้ขยายโครงข่ายให้กว้างขวางมากขึ้น
3. ยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ณ เดือนมีนาคม 2552 มีปริมาณประมาณ 12,000 ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยในระดับ 5.70 บาทต่อลิตร เทียบเท่า 68,400 บาทต่อเดือน หากปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 8.00 บาทต่อลิตร จะทำให้ภาระชดเชยเพิ่มขึ้นอีก 27,600 บาทต่อเดือน เป็นยอดชดเชยทั้งสิ้น 96,000 บาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 โดยเพิ่มการชดเชย 2.30 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชย 5.70 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 8.00 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2552 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 47 - วันพุุธ ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 10/2552 (ครั้งที่ 47)
เมื่อวันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมงบประมาณ ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 3
1. แนวทางการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันขึ้นในช่วงเวลานี้ กระทรวงพลังงานเห็นว่าควรใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงได้เชิญกรรมการมาประชุมเร่งด่วนในวันนี้
เรื่องที่ 1 แนวทางการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
ประธานฯ ได้ชี้แจงว่าขอให้การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมลับ เนื่องจากคาดการณ์ว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ รัฐบาลอาจมีความจำเป็นต้องออกพระราชกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยปัจจุบันเพดานภาษีสรรพสามิตน้ำมันอยู่ในระดับเต็มพิกัดตามที่กฎหมายเดิมกำหนดไว้ ซึ่งภาครัฐต้องการขยายเพดานภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อเรียกเก็บเพิ่มขึ้นสำหรับเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ โดยยังไม่ได้กำหนดอัตราที่จะ เรียกเก็บเพิ่มขึ้นที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม หากปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่มขึ้น แล้วปล่อยให้เป็นไปตาม กลไกตลาด ราคาขายปลีกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นและจะต้องมีการตรวจสต็อกน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมทั้งอาจมีการกักตุนและเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมันขึ้นได้
กระทรวงพลังงานจึงขอหารือเพื่อหาแนวทางในการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่จะปรับเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยการปรับลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ เท่ากับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้น แล้วจึงทยอยปรับเพิ่มอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ภายหลัง จนครบจำนวนที่ปรับลดลง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพื่อมิให้ราคาขายปลีกน้ำมันเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานสั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศต่อไป
2. หากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในช่วงขาลง มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ไม่เกินครั้งละ 0.80 บาทต่อลิตร ถ้าหากกรณีมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมัน ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาอีกครั้ง
ครั้งที่ 49 - วันพฤหัสบดี ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2552 (ครั้งที่ 49)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
3. การจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
4. แผนงานการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์
5. แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
6. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552
7. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. จากความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ส่งผลให้มีการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ โดยการนำเข้าที่คลังก๊าซ LPG เขาบ่อยา ของ ปตท. และส่งต่อให้กับลูกค้าในประเทศต่อไป แต่เนื่องจากคลังก๊าซเขาบ่อยาสามารถรับก๊าซที่นำเข้าได้สูงสุดไม่เกิน 60,000 ตัน/เดือน ถ้ามีความต้องการนำเข้าก๊าซ LPG เกิน 60,000 ตัน/เดือน ในส่วนที่เกินจะไม่สามารถนำเข้าได้ เพราะไม่มีคลังก๊าซรองรับ ซึ่งจะทำให้ก๊าซ LPG ในประเทศขาดแคลน
2. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้าก๊าซ LPG ในรูป Refrigerated Propane (C3) และ Butane (C4) โดยการใช้คลังลอยน้ำ (Floating Storage Unit: FSU) ชั่วคราวครั้งละประมาณ 15 - 30 วัน โดย ปตท. จะขนถ่ายก๊าซ LPG จากเรือ Refrigerated ที่นำเข้าลงเรือลำเลียงทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนที่จะนำก๊าซส่วนที่เหลือสูบขึ้นถัง ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา จากนั้นเรือ Refrigerated จะเดินทางกลับออกไปต่างประเทศเมื่อทำการสูบถ่ายก๊าซหมด ซึ่งปัญหาในการใช้คลังลอยน้ำ มีดังนี้ (1) กฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่มีในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการทำ Ship to Ship Operation (STS) กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ยังไม่มีระเบียบปฏิบัติ (2) ค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU
3. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับก๊าซ LPG ของคลังนำเข้าและขยายขีดความสามารถของการขนส่งและการกระจายก๊าซ LPG ของคลังภูมิภาค โดยมอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการเรื่องการใช้คลังลอยน้ำ (Floating Storage) และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปประสานกับกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สามารถผสมและถ่ายลำกลางทะเลในเขตน่านน้ำไทยได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2552 สนพ. ได้ประชุมร่วมกับ กรมธุรกิจพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมเห็นว่า การเช่าเรือ Refrigerated มาเพื่อใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU ชั่วคราว ครั้งละประมาณ 15 - 30 วัน เป็นวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการได้มากกว่าการเช่าเรือ Refrigerated มาจอดทิ้งสมอเป็นเวลานาน อีกทั้งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมีเวลาดำเนินการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อรองรับการทำงาน ซึ่งคาดว่าจะเสร็จได้ทันในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2552
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้า ดังนี้
4.1 ให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมให้การสนับสนุน ดังนี้ (1) กรมศุลกากร เกี่ยวกับการกำหนดระเบียบปฏิบัติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการทำ STS เพื่อขนถ่าย LPG จาก FSU และอนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี รวมทั้งกำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS
(2) กรมสรรพสามิต เกี่ยวกับการอนุญาตให้ผลิต (ผสม) C3/C4 เป็น LPG ในเรือลำเลียง (อนุญาตให้ FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นโรงอุตสาหกรรมตามกฎหมายสรรพสามิต) หรือใช้วิธีดำเนินการอื่นที่สามารถดำเนินการได้และกำหนดระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการผลิต LPG ขณะที่เรือจอดกลางทะเล และอนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี รวมทั้งกำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS และ (3) กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม เกี่ยวกับการอนุญาตให้ ปตท. นำ FSU ไปจอดในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการทำ STS กรณีที่เรือลำเลียง LPG ที่ใช้ในประเทศไม่สามารถทำ STS ได้ อนุญาตให้นำเรือต่างชาติมาใช้เป็นเรือชายฝั่ง
4.2 เห็นชอบค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU โดยมอบหมายให้ สนพ. พิจารณาปรับเพิ่มหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่ายและการลงทุนในการดำเนินการนำเข้าโดยการใช้ FSU และการขนถ่ายระหว่างเรือ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมให้การสนับสนุน ดังนี้
- กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง
- กำหนดระเบียบปฏิบัติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการทำ STS เพื่อขนถ่าย LPG จาก FSU
- อนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี
- กำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS
- กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง
- อนุญาตให้ผลิต (ผสม) C3/C4 เป็น LPG ในเรือลำเลียง (อนุญาตให้ FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นโรงอุตสาหกรรมตามกฎหมายสรรพสามิต) หรือใช้วิธีดำเนินการอื่นที่สามารถดำเนินการได้และกำหนดระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการผลิต LPG ขณะที่เรือจอดกลางทะเล
- อนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี
- กำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS
- กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม
อนุญาตให้ ปตท. นำ FSU ไปจอดในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการทำ STS
กรณีที่เรือลำเลียง LPG ที่ใช้ในประเทศไม่สามารถทำ STS ได้ อนุญาตให้นำเรือต่างชาติมาใช้เป็นเรือชายฝั่ง
2. เห็นชอบค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU และค่าใช้จ่ายอื่นในการดำเนินการ โดยมอบหมายให้ สนพ. พิจารณาปรับเพิ่มหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเพิ่มเติมให้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่ายและการลงทุนในการดำเนินการนำเข้าโดยการใช้ FSU และการขนถ่ายระหว่างเรือ ตามที่เกิดขึ้นจริง
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. ได้มีมติเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินการตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 โดยให้คงราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับ ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 ของเดือนมีนาคม 2551 ไว้ จนถึงเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากนั้น ให้พิจารณาปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ (2) เห็นชอบให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ ณ ระดับราคาตามราคาอิงตลาดโลกในข้อ (1) แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระหนี้เงินชดเชยการนำเข้าก๊าช LPG จากต่างประเทศ และลดความต้องการใช้ก๊าช LPG โดยให้ ธพ. รับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติต่อไป (3) เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณสัดส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป (4) มอบหมายให้ ธพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ รวมทั้งการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการใช้ก๊าซ LPG ที่มิใช่การใช้ในภาคครัวเรือน โดยให้ ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้ สบพน. เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย (5) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราเงินชดเชยและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิต จำหน่ายและนำเข้ามาใช้ในประเทศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป และ (6) มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ตามข้อ (1) ข้อ (2) และข้อ (3) ได้ตามความเหมาะสม
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำและเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว ซึ่งจะเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ หากสถานการณ์ราคาน้ำมันได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ สนพ. นำมาพิจารณาในที่ประชุมใหม่อีกครั้ง และมอบหมายให้ สนพ. ไปพิจารณาแนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 กบง.ได้มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กบง. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ในประเด็น "การปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG" (2) เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้ ธพ. กรมสรรพสามิต และ สบพน. ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้ สนพ. นำเสนอ กบง.พิจารณาใหม่อีกครั้ง และ (3) มอบหมายให้ สบพน. พิจารณาจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG จากการนำเข้าในปี 2551 เป็นจำนวนเงินประมาณ 7,948 ล้านบาท ระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยภายใน 2 ปี โดยให้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชย หลังจากสิ้นสุดมาตรการการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ บรรเทาผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
3. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่องการปรับราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยที่ผ่านมาผู้ผลิตในประเทศทั้งจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงกลั่นน้ำมันต้องแบกภาระทั้งจากการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ และจากการกำหนดราคา ณ โรงกลั่นในประเทศต่ำกว่าราคาตลาดโลกเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ต้องจัดหาวัตถุดิบในราคาสอดคล้องกับราคาตลาดโลก ปตท. จึงขอให้มีการใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัวโดยใช้ค่าเฉลี่ยในแต่ละเดือนของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น (10.9960 บาท/กก.) เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงไป และจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามอัตราแลกเปลี่ยนด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะไม่ให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG เปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้ามาบริหารจัดการ ดังนี้
3.1 กรณี 1 หากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยอยู่ระดับ 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ จะไม่ส่งผลกระทบต่อกองทุนน้ำมันฯ และรายได้ของผู้ผลิตก๊าซ LPG จะอยู่ที่ระดับเดิม
3.2 กรณี 2 หากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยอยู่ระดับต่ำกว่า 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้จากการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น แต่ผู้ผลิตก๊าซ LPG จะมีรายได้จากการผลิตก๊าซ LPG ลดลงจากเดิม
3.3 กรณี 3 หากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยอยู่ระดับสูงกว่า 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ส่งผลให้รายได้ของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง แต่ผู้ผลิตก๊าซ LPG จะมีรายได้จากการผลิตก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นจากเดิม
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอ ดังนี้ (1) เห็นควรให้คงอัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ สำหรับใช้คำนวณราคา ก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเหมือนเดิม หรือ (2) เห็นควรให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยย้อนหลัง 1 เดือน สำหรับใช้คำนวณราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ กบง. มีมติเห็นชอบเป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อยู่ที่ระดับ 332.7549 เหรียญสหรัฐ/ตัน
2. เห็นชอบให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว สำหรับคำนวณราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในแต่ละเดือน โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยย้อนหลังในเดือนที่ผ่านมา 1 เดือน ของอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
3. เห็นชอบให้รักษาระดับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นสำหรับก๊าซ LPG และราคาขายก๊าซ LPG ณ คลังก๊าซเท่ากันทั่วประเทศ โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกลไกในการบริหารจัดการ
4. มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ต่อไป
ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2552 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 การจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. ได้มติให้จ่ายชดเชยราคานำเข้าก๊าซ LPG ตามปริมาณส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งในเดือนมีนาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถนำเข้าก๊าซ LPG ในปริมาณส่วนที่ขาดได้ จึงต้องนำก๊าซ LPG ที่โรงกลั่นน้ำมันใช้เอง (own use) ออกจำหน่าย และให้โรงกลั่นน้ำมันเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนก๊าซ LPGเช่น ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมันเตา โดย ธพ. ได้เจรจากับโรงกลั่นซึ่งยินดีให้ความร่วมมือ โดยขอให้ภาครัฐจ่ายเงินชดเชยราคาต้นทุนที่สูงขึ้นจากการใช้เชื้อเพลิงที่นำมาทดแทนก๊าซ LPG ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการจ่ายชดเชยราคาของเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้ ธพ. และ สนพ. รับไปพิจารณากำหนดแนวทางการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการชดเชยราคาก๊าซ LPG ให้ กบง. ทราบทุกครั้งในการประชุมด้วย
2. เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด (ARC) (ปัจจุบันแยกเป็น 2 บริษัท คือ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด) ได้มีหนังสือ ถึง ธพ. เรื่องการขอรับเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนก๊าซ LPG เพื่อนำก๊าซ LPG ออกมาจำหน่ายในประเทศ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลน LPG ในประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 และเพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 ธพ. สนพ. และ ARC ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG จากการนำก๊าซ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่น (own use) ออกจำหน่าย ซึ่งสามารถสรุปหลักเกณฑ์การคำนวณได้ดังนี้
จำนวนเงินชดเชย = Qlpg * (Pdiff + DC + T)
โดย Qlpg = ปริมาณก๊าซ LPG ที่จะขอชดเชยจากการนำ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่นออกมาจำหน่าย คำนวณจาก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศจริง หัก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศตามแผน
Pdiff = ผลต่างระหว่างราคาก๊าซธรรมชาติและราคา LPG
DC = ค่าสำรองความต้องการใช้ก๊าซ (Demand Charge)
T = ค่าขนส่ง LPG ทางเรือจากโรงกลั่นไปยังแหลมฉบัง ซึ่งทางโรงกลั่นต้องรับภาระในการขนส่งไปยังคลังก๊าซ LPG เท่ากับ 485 บาทต่อตัน
3. หลักเกณฑ์การคำนวณตามข้อ 2 สามารถนำมาคำนวณสรุปเงินชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 - สิงหาคม 2551 เป็นจำนวนเงินชดเชยทั้งสิ้น 200,988,012 บาท (เดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2551 ไม่มีการนำก๊าซ LPG ออกมาจำหน่ายในประเทศ เนื่องจากบริษัทฯ ประสบปัญหา LPG offspec จึงต้องนำไปเผาในกระบวนการกลั่น) และเมื่อเปรียบเทียบจำนวนเงินพบว่าภาระจากการชดเชยจากนำก๊าซธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ในโรงกลั่นน้ำมัน น้อยกว่า ภาระที่จะต้องชดเชยกรณีมีการนำเข้า LPG ได้ถึง 341,011,262 บาท ตามตารางดังนี้
ปริมาณ ที่ขอชดเชย (ตัน) |
ราคานำเข้า LPG รวมค่าขนส่ง (บาท/ตัน) |
ราคา LPG ในประเทศ (บาท/ตัน) |
ผลต่างราคา LPG (บาท/ตัน) |
มูลค่าชดเชย กรณีมีการนำเข้า (บาท) |
มูลค่าชดเชย จากการใช้ NG แทน LPG ในโรงกลั่น (บาท) |
|
มี.ค. 51 | 6,520 | 27,390.92 | 10,995.92 | 16,395.00 | 106,895,369 | 26,405,087 |
เม.ย. 51 | 522 | 27,095.44 | 10,995.92 | 16,099.52 | 8,403,948 | 2,244,548 |
ก.ค. 51 | 11,820 | 32,547.24 | 10,995.92 | 21,551.32 | 254,736,593 | 91,492,474 |
ส.ค. 51 | 8,511 | 31,200.76 | 10,995.92 | 20,204.84 | 171,963,364 | 80,845,904 |
รวม | 541,999,274 | 200,988,012 | ||||
ลดภาระการนำเข้า LPG ได้ (บาท) | 341,011,262 |
หมายเหตุ : ใช้ข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนกลาง (บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนมีนาคม เมษายน กรกฎาคม และสิงหาคม 2551 ของธนาคารแห่งประเทศไทย
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอคือ เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณปริมาณก๊าซ LPG ที่จะนำมาคำนวณเงินชดเชยและหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ตามข้อ 2 และ 3 และเห็นควรอนุมัติค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามข้อ 3 จำนวน 200,988,012 บาท โดยแบ่งเป็นบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 100,494,006 บาท และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด จำนวน 100,494,006 บาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณปริมาณก๊าซ LPG ที่จะนำมาคำนวณเงินชดเชยและหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ซึ่งสามารถสรุปหลักเกณฑ์การคำนวณได้ดังนี้
จำนวนเงินชดเชย = Qlpg * (Pdiff + DC + T)
โดย Qlpg = ปริมาณก๊าซ LPG ที่จะขอชดเชยจากการนำ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่นออกมาจำหน่าย คำนวณจาก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศจริง หัก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศตามแผน
Pdiff = ผลต่างระหว่างราคาก๊าซธรรมชาติและราคา LPG
DC = ค่าสำรองความต้องการใช้ก๊าซ (Demand Charge)
T = ค่าขนส่ง LPG ทางเรือจากโรงกลั่นไปยังแหลมฉบัง ซึ่งทางโรงกลั่นต้องรับภาระในการขนส่งไปยังคลังก๊าซ LPG เท่ากับ 485 บาทต่อตัน
2. อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จำนวน 200,988,012 บาท (สองร้อยล้านเก้าแสนแปดหมื่นแปดพันสิบสองบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็นบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 100,494,006 บาท (หนึ่งร้อยล้านสี่แสนเก้าหมื่นสี่พันหกบาทถ้วน) และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด จำนวน 100,494,006 บาท (หนึ่งร้อยล้านสี่แสนเก้าหมื่นสี่พันหกบาทถ้วน)
เรื่องที่ 4 แผนงานการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้พลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ และกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ สนพ. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้เอทานอล โดย สนพ. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลตั้งแต่ปี 2550 เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในรถยนต์ ยังผลให้เดือนมกราคม 2552 ปริมาณการใช้เอทานอลเพิ่มเป็น 1.27 ล้านลิตร/วัน ต่อมาเดือนมิถุนายน 2552 สนพ. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะที่ใช้น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 เปลี่ยนทัศนคติมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91
2. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2552 สนพ. ได้ว่าจ้าง บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ ในวงเงิน 19 ล้านบาท โดยมีแนวทางประชาสัมพันธ์ ดังนี้ 1) ภาคประชาชน : เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ หันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 โดยประชาสัมพันธ์ให้รับทราบข้อดีของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 2) ภาคผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง : เพื่อสร้างความมั่นใจต่อกลุ่มเป้าหมาย และ 3) ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ : เพื่อร่วมสร้างความมั่นใจ และตอกย้ำ ให้กลุ่มเป้าหมายเชื่อมั่นว่าการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ไม่มีผลกระทบกับเครื่องยนต์
3. ปัจจุบัน บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างดำเนินงานในโครงการ โดยแบ่งเป็น 1) แผนงานประชาสัมพันธ์และกิจกรรมที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ การผลิต และเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ ชุด "2 ล้อหน้าใส หัวใจโซฮอล" การผลิต Standee 500 ชิ้น และอยู่ระหว่างกระจายไปยังร้านจักรยานยนต์ทั่วประเทศ การผลิตและติดตั้งป้ายคัทเอ้าท์หน้า สนพ. จำนวน 2 ป้าย การผลิตของที่ระลึกโครงการ 30,700 ชิ้น และการจัดกิจกรรมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการฯ (Press Preview) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน รวมทั้งการจัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ และคอนเสิร์ตศิลปินที่ จ.นครราชสีมา 2) แผนงานประชาสัมพันธ์และกิจกรรมที่อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการ ได้แก่ สัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านสื่อโทรทัศน์ 1 ครั้ง ผ่านสื่อวิทยุ 4 ครั้ง และสัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ 4 ครั้ง
4. สนพ. ได้จัดทำ "แผนงานการประชาสัมพันธ์น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยนต์ 4 จังหวะ (ต่อเนื่อง) โดยขอรับเงินสนับสนุนจากเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 21,000,000 บาท มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งสร้างการจดจำ และตอกย้ำความมั่นใจในการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ตลอดจนนำแนวคิด Music Marketing สานต่อกิจกรรมรณรงค์ในรูปแบบคอนเสิร์ตไปยังกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ให้เกิดการสร้างกระแสการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลกับกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนให้ความรู้ ความเข้าใจในน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ มีระยะเวลาดำเนินการ 6เดือน จะดำเนินการดังนี้ (1) ซื้อเวลารายการโทรทัศน์ ช่อง 3 5 7 9 และ NBT เพื่อนำภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์เผยแพร่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง (งบประมาณ 10.5 ล้านบาท) (2) จัดกิจกรรมรณรงค์ในรูปแบบคอนเสิร์ต 4 จังหวัดที่มีปริมาณรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ จำนวนมาก (งบประมาณ 10 ล้านบาท) และ (3) ดำเนินงานด้านสื่อมวลชนสัมพันธ์ อาทิ จัดสัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์อย่างเหมาะสม (งบประมาณ 0.5 ล้านบาท)
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 21,000,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
เรื่องที่ 5 แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. แนวคิดหลักในการจัดการขยะโดยทั่วไป ได้แก่ ทำการฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะอินทรีย์เป็นปุ๋ยหมัก (Organic Fertilizer) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะเป็นเชื้อเพลิง (Turn Waste into Energy) การคัดแยกเพื่อนำวัสดุไปแปรรูปในกระบวนการรีไซเคิล (Recycle) และการใช้เตาเผา (Incineration) ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมด้านต่างๆ อาทิ ประเภทของขยะ สถานที่ที่ใช้ในการจัดการขยะ ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และความพร้อมด้านการลงทุน แต่ปรากฏว่ามีขยะประเภทพลาสติกตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ
2. กระทรวงพลังงานได้สนับสนุนการแปรรูปขยะเป็นพลังงาน ในรูปแบบการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงแล้ว อัตรา 2.50 บาท/หน่วย โดยที่ยังมีปัญหาทางด้านขยะ ด้านการจัดหาพลังงานทดแทนน้ำมัน และต้นทุนที่แท้จริง รวมถึงความคุ้มค่าการลงทุนทั้งทางเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม สนพ. จึงเห็นควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด ยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" ที่เป็นการเผาในภาวะไร้อากาศจนได้น้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยมีการใช้ขยะพลาสติกเป็นวัตถุดิบ โดยมีแนวทางการส่งเสริม ดังนี้ (1) การกำหนดส่วนเพิ่ม (Adder) ราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ เป็นมาตรการจูงใจด้านราคาแก่ผู้สนใจลงทุนแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง และ (2) การสนับสนุนงานศึกษาวิจัยพัฒนาและสาธิต "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง" เพื่อเป็นโครงการนำร่อง
3. สำหรับเทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่ 1) กระบวนการแปรรูปขยะพลาสติกให้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการสลายโครงสร้างโมเลกุลพลาสติกที่อุณหภูมิสูง (Depolymerization) มีเทคโนโลยีที่ใช้ในต่างประเทศ 5 เทคโนโลยี คือ Pyrolysis Depolymerization, Thermal Depolymerization, Catalytic Depolymerization, Patented Fractional Depolymerization และ Thermo fuel System ซึ่งเทคโนโลยีที่มีโอกาสจะพัฒนาได้มากที่สุด คือ Pyrolysis Depolymerization เนื่องจากมีขั้นตอนที่ซับซ้อนน้อย และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ รวมทั้งลงทุนน้อยที่สุด ด้วยระบบการทำงานที่อุณหภูมิและความดันต่ำ 2) ระบบการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมัน ประกอบด้วย ระบบ Front End สำหรับจัดการขยะ คัดแยก และทำการผลิตเป็น RDF (การผลิตเชื้อเพลิงขยะจากขยะพลาสติก : Refuse Derived Fuel) และระบบเตาปฏิกรณ์แปรรูปพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง (Pyrolysis Depolymerization)
4. เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2551 คณะอนุกรรมการกองทุนอนุรักษ์ฯ ได้มีมติเรื่อง "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" โดยเห็นชอบการกำหนดส่วนเพิ่ม (Adder) ราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากแปรรูปจากขยะ โดย 1) เห็นควรเพิ่มแรงจูงใจให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ โดยนำเงินกองทุนน้ำมันฯมาอุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ 2) จากการประเมินเงินลงทุนการแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน พบว่ามีค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท หากจำหน่ายน้ำมันที่ผลิตได้ในราคา 22 บาท/ลิตร จะมีระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 5 ปี (ราคาน้ำมันดิบในวันที่ 14 มกราคม 2551 อยู่ที่ 86.92 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือ 18.18 บาท/ลิตร อัตราแลกเปลี่ยน 33.2618 บาท/เหรียญสหรัฐฯ) 3) หลักเกณฑ์การคำนวณเงินอุดหนุนราคาน้ำมันที่ได้จากแปรรูปขยะ ใช้ราคาน้ำมันดิบดูไบเป็นเกณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีราคา 18.18 บาท/ลิตร เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันที่ได้จากการแปรรูปขยะ อัตราเงินอุดหนุนหรือเงินส่วนเพิ่มควรเริ่มตั้งแต่ 4 บาท/ลิตร ขึ้นไป แต่เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในช่วงแรกและช่วยบรรเทาภาวะความเสี่ยงในการลงทุนด้านเทคโนโลยีและคุณภาพน้ำมันที่จะได้รับ เห็นควรกำหนดราคาส่วนเพิ่มที่อัตรา 7 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาคืนทุนลดลงเหลือ 4 ปี และ 4) มอบหมายให้ สนพ. เสนอ กบง. ขอความเห็นชอบการกำหนดอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดิบให้โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในอัตรา 7 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยน้ำมันดิบที่โรงกลั่นรับซื้อและขอเงินอุดหนุนต้องมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าคุณภาพน้ำมันดิบดูไบ และให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. กำหนดอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ
5. เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 กบง. ได้เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน และให้มีการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ในอัตราไม่เกิน 7 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี แต่เนื่องจากนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ตามข้อ 2 ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ได้หมายความรวมถึงน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ดังนั้น เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ กบง. จึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนรัฐบาล จึงยังมิได้ดำเนินการแก้ไขนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ในคำสั่งนายกรัฐมนตรี จึงทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะได้
6. จากหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะในอัตราไม่เกิน 7 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันดิบต้องไม่ต่ำกว่า 85 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะจึงจะสามารถแข่งขันได้ แต่ราคาน้ำมันได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และอยู่ในระดับต่ำ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 สนพ. ได้พิจารณาเรื่อง นโยบายการกำหนดส่วนเพิ่ม (adder) ราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยพิจารณาทบทวนต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะ และหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากขยะ ซึ่งสรุปค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการดำเนินการ ประกอบด้วย 1) เงินลงทุนรวม 8.00 ล้านบาท/ตันขยะพลาสติก ได้แก่ เงินลงทุนระบบแปรรูป 5.60 ล้านบาท/ตัน และเงินลงทุนระบบคัดแยก 2.40 ล้านบาท/ตัน และ 2) ค่าใช้จ่ายดำเนินการ 1.45 ล้านบาท/ตัน/ปี ซึ่งได้แก่ ค่าคัดแยกขยะ ค่า Catalyst ค่าพลังงาน และค่าแรงงาน เป็นต้น และจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการดำเนินการดังกล่าว ในอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 6.5 ระยะเวลาโครงการ 15 ปี และความสามารถผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกได้ 0.225 ล้านลิตร/ตัน/ปี (ประสิทธิภาพร้อยละ 60 และความหนาแน่น 0.8) สามารถคำนวณต้นทุนในการผลิตน้ำมันจากขยะตามกรณีต่างๆ ได้ดังนี้
หน่วย : บาท/ลิตร
กรณีระยะเวลา | ต้นทุน การผลิต |
ต้นทุนการผลิตรวมค่าขยะ (บาท/ตัน) | ||||
1,000 | 2,000 | 5,000 | 6,000 | 10,000 | ||
คืนทุน 15 ปี | 10.230 | 11.564 | 12.897 | 16.897 | 18.231 | 23.564 |
คืนทุน 6 ปี | 13.711 | 15.044 | 16.378 | 20.378 | 21.711 | 27.044 |
คืนทุน 5 ปี | 14.909 | 16.242 | 17.575 | 21.575 | 22.909 | 28.242 |
คืนทุน 4 ปี | 16.711 | 18.044 | 19.378 | 23.378 | 24.711 | 30.044 |
จากตารางข้างต้นพบว่า ระดับราคาขยะพลาสติกมีผลต่อการคำนวณต้นทุนน้ำมันจากขยะพลาสติกค่อนข้างมาก จากการสำรวจราคาขยะพลาสติกที่ซื้อขายสำหรับรีไซเคิลอยู่ที่ 5,000-6,000 บาท/ตัน (5-6 บาท/กิโลกรัม) อย่างไรก็ตาม ราคาขยะพลาสติกที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 2,000 บาท/ตัน เนื่องจากเป็นระดับราคาของการจัดการขยะพลาสติกจากหลุมฝังกลบและไม่กระทบต่อกระบวนการรีไซเคิล ทั้งนี้หากกำหนดระยะเวลาการสนับสนุน 5 ปี โดยคิดราคาขยะที่ระดับ 2,000 บาท/ตันขยะพลาสติก พบว่าต้นทุนน้ำมันจากขยะพลาสติกที่ควรนำมาใช้กำหนดโครงสร้างไม่ควรเกิน 18 บาท/ลิตร
7. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอว่า 1) เห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยให้ อัตราเงินชดเชย เท่ากับ 18 ลบด้วย ราคาน้ำมันดิบ (บาท/ลิตร) โดยที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 18 บาท/ลิตร จะไม่มีการชดเชย โดยมีระยะเวลาการชดเชย 5 ปี 2) ให้จำหน่ายให้เฉพาะโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยมอบหมายให้ สนพ. ธพ. ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะ และโรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ รับไปศึกษารายละเอียดคุณภาพน้ำมันจากขยะเพื่อใช้ในการซื้อขาย และการกำกับดูแลเพื่อมิให้จำหน่ายผิดประเภท และ 3 ) ขอความเห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ดังนี้
อัตราเงินชดเชย = 18 - ราคาน้ำมันดิบ
โดยที่ อัตราเงินชดเชย = อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ (บาท/ลิตร)
น้ำมันดิบ = ราคา FOB ของน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้า (บาท/ลิตร)
อัตราแลกเปลี่ยน = อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (บาท/เหรียญสหรัฐ)
ทั้งนี้หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 18 บาท/ลิตร จะไม่มีการชดเชย โดยมีระยะเวลาการชดเชย 5 ปี
2. ให้จำหน่ายให้เฉพาะโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะ และโรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ รับไปศึกษารายละเอียดคุณภาพน้ำมันจากขยะเพื่อใช้ในการซื้อขาย และการกำกับดูแลเพื่อมิให้จำหน่ายผิดประเภท
3. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยให้รอผลการพิจารณา เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้าง NGV เพื่อจะได้แก้ไขนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ไปในคราวเดียวกัน และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
เรื่องที่ 6 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการนำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนด้วย ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้พิจารณาเห็นชอบให้ทุนหมุนเวียนที่อยู่ในกำกับของกระทรวงพลังงาน คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. ในปี 2551 บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) ร่วมกับกรมบัญชีกลางได้ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยได้ติดตามและประเมินผลเฉพาะที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการในส่วนของรายรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่มี สบพน. เป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น ต่อมาคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนได้พิจารณาผลการประเมินการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ในปีงบประมาณ 2551 แล้วได้มีความเห็นว่า ควรประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านนโยบายบริหารกองทุนน้ำมันฯ ที่มี กบง. เป็นผู้กำกับดูแลด้วย
3. เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2552 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่ากองทุนน้ำมันฯ ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง ประจำปีบัญชี 2552 พร้อมทั้งได้จัดส่งบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ มาให้ และขอให้นำเสนอผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
4. เกณฑ์วัดผลการดำเนินงานประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ 1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัดย่อย ได้แก่ ร้อยละของการจัดหาเงินได้ตามความต้องการของกองทุนฯ ร้อยละของหนี้ค้างชำระเงินชดเชยลดลง และอัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ 2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ตัวชี้วัด คือ ระยะเวลาในการจ่ายเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุนฯ 3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตัวชี้วัด คือ ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ 4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัดย่อย ได้แก่ ระดับรายละเอียดของข้อมูลเงินส่งเข้ากองทุนฯ ร้อยละของบุคลากรที่เข้าร่วมพัฒนาบุคลากรตามแผนได้อย่างน้อย 6 หลักสูตร ร้อยละของบุคลากรที่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลการพัฒนาบุคลากรตามที่กำหนดไว้ และบทบาทของผู้บริหารกองทุนฯ
5. การประเมินบทบาทและการทำหน้าที่ของผู้บริหารกองทุนน้ำมันฯ ประกอบด้วย คณะกรรมการฯ 2 คณะ คือ กบง. และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ซึ่งพิจารณาจาก 2 ตัวชี้วัดย่อย ดังนี้ 1) บทบาทของคณะกรรมการฯ จากการดำเนินการ 2 กิจกรรม ภายในปีบัญชี 2552 ประกอบด้วย ร้อยละของจำนวนการประชุมคณะกรรมการฯ และมีมติที่เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการ และบทบาทของคณะกรรมการฯ ในการกำกับดูแลให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการฯ ภายในปีบัญชี 2552 ให้มีการรายงานเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม และ 2) บทบาทของคณะกรรมการฯ 2 คณะ ในด้านการกำกับดูแล โดยพิจารณาจากร้อยละของการดำเนินงานตามมติของที่ประชุม ที่มอบหมายให้ดำเนินการในปีบัญชี 2552
6. เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 อบน. ได้มีมติเห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 และเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 เสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานกับกรมบัญชีกลาง เพื่อปรับแก้เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2552 ตามข้อคิดเห็นของ อบน. ในส่วนตัวชี้วัดที่ 4.2 และ 4.3 เรื่อง ร้อยละของบุคลากรที่เข้าร่วมพัฒนาบุคลากรและผ่านเกณฑ์การประเมินผลการพัฒนาตามที่กำหนด โดยในปีบัญชี 2552 ให้ดำเนินการเฉพาะในส่วนบุคลากรของ สบพน. และ อบน. ได้มีข้อคิดเห็นว่าในปีต่อไป ควรมีการพิจารณาเกณฑ์การประเมินผลของกองทุนน้ำมันฯ โดยการหารือร่วมกันทุกฝ่ายก่อน หรือจัดตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สนพ. สบพน. และกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาเกณฑ์ประเมินผลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์กองทุนน้ำมันฯ ต่อไป
7. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอดังนี้ เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ เสนอประธาน กบง. ลงนามต่อไป และ เห็นชอบร่างคำสั่งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
2. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 7 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-24 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 71.46 และ 70.87 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.64 และ 6.77 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอยู่ที่ 1.416 เหรียญสหรัฐ/ยูโร และรัฐมนตรีน้ำมันเยเมน รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในปี 2552 จะเฉลี่ยที่ระดับ 287,000 บาร์เรล/วัน ลดลง ร้อยละ 4.3 จากปี 2551 ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-24 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 82.39, 80.40 และ 79.15 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.56, 9.55 และ 8.07 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่านนำเข้าน้ำมันเบนซินปริมาณ 4.43 ล้านบาร์เรล (147,000 บาร์เรล/วัน) ส่งมอบเดือนกันยายน 2552 ประกอบกับโรงกลั่น 16 แห่งในประเทศจีนมีแผนลดอัตราการกลั่นในเดือนสิงหาคม 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 88.6 จากระดับร้อยละ 90.4 ในเดือนกรกฎาคม 2552 ก่อนปิดซ่อมบำรุง รวมทั้งโรงกลั่น Balongan (125,000 บาร์เรล/วัน) ของ Pertamina ของอินโดนีเซีย ขยายเวลาซ่อมแซมถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2552
2. จากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ได้มีมติให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ลง 2.00 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 ลง 0.40 บาท/ลิตร ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2552 จากมาตรการดังกล่าวและสถานการณ์ราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E85 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.20 บาท/ ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็ว ลงลด 0.40 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 41.34, 35.74, 32.14, 29.84, 22.72, 31.34, 27.69 และ 26.49 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนสิงหาคม 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 14 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 502.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบและ Arbitrage ส่งออก LPG จากตะวันออกกลางไปยุโรปปิด จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนกันยายน 2552 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 545 - 555 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากผู้ผลิตปิโตรเคมีในเอเชียเหนือ เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น มีความต้องการก๊าซ LPG เพื่อใช้ในการผลิตมากขึ้นเนื่องจากความแตกต่างของราคาแนฟทากับ LPG สูงขึ้น ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาท/กิโลกรัม และราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 14.6443 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - 25 สิงหาคม 2552 รวมทั้งสิ้น 764,269 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 9,820 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนมิถุนายน 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตจริง 11 ราย และมีปริมาณผลิตจริง 2.57 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ เดือนสิงหาคม ปี 2552 อยู่ที่ 21.29 บาท/ลิตร ในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม 2552 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 11.70 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการรวม 4,216 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.23 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 228 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาท/ลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 5.60 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ 1.57 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 27.27 บาท/ลิตร ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม 2552 ปริมาณจำหน่าย 22.27 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,455 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.20 บาท/ลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2552 มีเงินสดในบัญชี 29,801 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 11,235 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,899 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 336 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 18,566 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 50 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 13/2552 (ครั้งที่ 50)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กันยานยน 2550 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของการกำหนดราคา NGV ตามต้นทุน โดยให้ใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ณ ราคาก๊าซเฉลี่ย POOL 2 บวกด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งรวมค่าการตลาดแล้ว และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอในส่วนของค่าใช้จ่ายดำเนินการอีกครั้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 กพช. ได้มีมติมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาและให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์ใหม่ของหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นชอบในหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 สามารถสรุปโครงสร้างราคาขายปลีก NGV ได้ดังนี้
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 กพช. ได้เห็นชอบให้มีการปรับสูตรการคำนวณและแนวทางการกำกับดูแลราคาขายปลีก NGV โดยให้ กพช. กำกับดูแลต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติและให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณาหลักเกณฑ์การคำนวณราคาขายปลีก NGV และได้เห็นชอบให้มีการปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเพิ่มเติมนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)" เพื่อให้ราคาขายปลีก NGV ถูกกำกับดูแลภายใต้กรอบอันเดียวกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับภาคขนส่งชนิดอื่นๆ โดยให้ กบง. เป็นผู้พิจารณา ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีการจัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 โดยได้แก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" และเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์" เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนามต่อไป ดังนี้
3.1 แก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" จากเดิม "น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน และให้ความหมายรวมถึงก๊าซและยางมะตอยด้วย" เป็น "น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน และให้ความหมายรวมถึงก๊าซ ยางมะตอยและก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ด้วย"
3.2 เพิ่มเติมบทนิยาม "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งประกอบด้วยมีเทนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ"
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยแก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" และเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์" และให้ผนวกรวมร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 เข้าด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาความถูกต้องของร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
เรื่องที่ 2 แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยได้เห็นชอบหลักการการจัดสรรปริมาณก๊าซ LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ หลักการกำหนดส่วนต่างราคาระหว่างก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยกำหนดราคาขายปลีกเป็น 2 ราคาด้วยการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็น 2 อัตรา และแนวทางการทยอยปรับขึ้นราคาหลายครั้งเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน และยังได้เห็นชอบแนวทางในการแก้ไขและป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะในส่วนมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวน 20,000 คัน ในระยะเวลา 4 เดือน
2. เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าฯ ได้หารือกับผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการรถแท็กซี่ถึงแนวทางการช่วยเหลือให้รถแท็กซี่เปลี่ยนมาใช้ NGV จำนวน 20,000 คัน ซึ่งสมาคมฯ ยินดีเข้าร่วมโครงการ แต่ขอมีส่วนร่วมในการพิจารณาในส่วนของมาตรฐานของอุปกรณ์ NGV ที่จะนำมาติดตั้งและในการติดตามความก้าวหน้าของการขยายสถานีบริการ NGV และจำนวนรถที่ใช้ขนส่งก๊าซ
3. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้เห็นชอบแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ตามที่คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าฯ เสนอ และอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ในวงเงิน 88.8 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 ที่ให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน ส่งผลให้มาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวน 20,000 คัน ตามที่ กบง. ได้มีมติไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ไม่มีการดำเนินการ และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ในเรื่องมาตรการการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่จำนวน 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ คันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ให้มาใช้ NGV จะสามารถช่วยลดการใช้ก๊าซ LPG ได้ประมาณ 30,000 ตัน/เดือน และช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน ซึ่งจำนวนรถแท็กซี่ที่ติดตั้ง NGV สะสมถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2552 มีจำนวน 45,404 คัน จากที่มีใช้งานอยู่บนท้องถนนประมาณ 75,000 คัน (รถแท็กซี่จดทะเบียนสะสมกับกรมการขนส่งทางบก ณ สิ้นปี 2551 มีจำนวน 84,785 คัน)
4. ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ
4.1 กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
4.2 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สป.พน. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ปตท. และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ ในการเตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ (1) ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก (2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้เป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก (3) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง (4) ตรวจสอบความถูกต้องการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ (5) ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก และ (6) ติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้ สป.พน. และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) สป.พน. ธพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันในส่วนของการตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
4.3 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4.4 เพื่อให้การดำเนินการตามแผนดังกล่าวมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
4.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้ กบง. ทราบ เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
4.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น ระยะเวลาการประกวดราคา 2 เดือนระยะเวลาการติดตั้ง 4 เดือน และ ระยะเวลาตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
4.7 ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 4.2 เป็นจำนวนเงินรวม 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น 1) ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท และ 2) ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG จำนวน 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
4.8 แผนงานนี้ สำหรับใช้ในการสนับสนุนรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1,200,000,000 บาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ
1.1 กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
1.2 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ ในการเตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ
- ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก
- ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้เป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบกและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการรถแท็กซี่
- กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบกซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง
- ตรวจสอบความถูกต้องการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้
- ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก
- ติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และกรมธุรกิจพลังงาน ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันในส่วนของการตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
1.3 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
1.4 เพื่อให้กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
1.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
1.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น
- ระยะเวลาการประกวดราคา 2 เดือน
- ระยะเวลาการติดตั้ง 4 เดือน
- ระยะเวลาตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 1.2 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น
2.1 ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา จำนวน 3,400,000 บาท
2.2 ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG จำนวนประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
3. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200,000,000 บาท (หนึ่งพันสองร้อยล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ เมื่อติดตั้งครบ 30,000 คันแล้ว และมีเงินคงเหลือ หากมีรถแท๊กซี่ต้องการเปลี่ยนเป็น NGV เพิ่มเติม ก็ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้ ธพ. ในการดำเนินโครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย ในวงเงิน 2,600,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะ 1,160 คัน ที่จดทะเบียนในต่างจังหวัดนอกเขตกรุงเทพฯ เพื่อป้องกันอุบัติภัยอันอาจเกิดจากถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะในส่วนภูมิภาค ซึ่งมีจำนวนผู้ตรวจและทดสอบไม่เพียงพอ โดยจัดจ้างผู้ตรวจและทดสอบรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) เพื่อตรวจและทดสอบรถยนต์โดยสารสาธารณะ ในนาม ธพ.
2. ธพ. ได้จัดจ้างคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อดำเนินโครงการฯ โดยมีระยะเวลา 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา ซึ่งได้ครบหนดระยะเวลาดำเนินการในวันที่ 7 มีนาคม 2552 ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ มีปัญหาอุปสรรคทำให้เกิดความล่าช้า เนื่องจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำเป็นต้องมีการนัดหมายล่วงหน้ากับผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะเป็นเวลานาน และมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามความจำเป็นของผู้ประกอบการฯ ทำให้การตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะต้องล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ส่งมอบงานจ้างตามโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการ ตามการอนุมัติของกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้ว เป็นผลให้ ธพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายให้กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ฯ ได้
3. เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอขยายเวลาการดำเนินการ "โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย" ออกไปอีก 6 เดือน เป็นสิ้นสุดโครงการในวันที่ 7 กันยายน 2552
4. เนื่องจากฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเลื่อนวาระนี้มาจากการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 ทำให้ล่วงเลยเวลาที่ขอขยายเดิมแล้ว จึงเห็นควรให้ขยายเวลาสิ้นสุดโครงการเป็นวันที่ 30 กันยายน 2552
มติของที่ประชุม
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ในการดำเนินโครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย ของกรมธุรกิจพลังงาน ออกไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 ภายในกรอบวงเงินเดิม จำนวนเงิน 2,600,000 บาท (สองล้านหกแสนบาทถ้วน) ที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551
เรื่องที่ 4 แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณ 1.20 บาท/ลิตร และ (2) เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 30
2. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 22 กันยายน 2552 (ราคาเอทานอลตามประกาศ กบง.)
หมายเหตุ : ราคาเอทานอล 20.21 บาท/ลิตร
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 22 กันยายน 2552 (ราคาเอทานอลตามราคาซื้อ-ขายจริง)
หมายเหตุ : ราคาเอทานอล 25.00 บาท/ลิตร
จากโครงสร้างราคาน้ำมันที่ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 (22.72 บาท/ลิตร) ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (31.04 บาท/ลิตร) ร้อยละ 27 และที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยอยู่ 7.13 บาท/ลิตร ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ที่ 3.07 บาท/ลิตร แต่เนื่องจากโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลปัจจุบันคำนวณที่ราคาเอทานอล 20.21 บาท/ลิตร ซึ่งราคาเอทานอลซื้อ-ขายจริงอยู่ที่ 25 บาท/ลิตร ทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้ค่าการตลาดต่ำกว่าโครงสร้างที่ สนพ. เผยแพร่ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 จากประมาณร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ค้าน้ำมันให้ขยายโครงข่ายให้กว้างขวางมากขึ้น
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับกองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85
ยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ณ เดือนสิงหาคม 2552 มีปริมาณประมาณ 18,000 ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยในระดับ 7.13 บาท/ลิตร เทียบเท่า 128,340 บาท/เดือน หากปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร จะทำให้ภาระชดเชยเพิ่มขึ้นอีก 57,060 บาท/เดือน เป็นยอดชดเชยทั้งสิ้น 185,400 บาท/เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 40
2. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในอัตราลิตรละ 3.17 บาท จากเดิมชดเชย 7.13 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยให้รัฐบาลจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งทดแทนน้ำมันที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง) ในราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาท/ลิตร โดยจำหน่ายในพื้นที่ทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ยกเว้นรอบเกาะไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ทะเล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 โดยเพิ่มเติมในข้อ 2.1.1 ดังนี้ " กรณีพื้นที่ที่มีปัญหาในการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสะพานปลา ในการที่จะนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งเข้ามาจำหน่ายบริเวณใกล้ฝั่ง หรือสถานีที่องค์การสะพานปลากำกับดูแลบนฝั่ง" โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ไม่เกิน 15 ล้านลิตร/เดือน และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งออกไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 ) และเมื่อสิ้นสุดการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกตว่า ในการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือชาวประมง ต้องเกิดจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ปัจจุบันราคาน้ำมันไม่ได้เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชาวประมงให้เดือดร้อน แต่เป็นปัญหาจากราคาสัตว์น้ำที่ลดลง จึงควรจะใช้เงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ซึ่งเป็นเงินที่ใช้อุดหนุนเกษตรกร/ชาวประมงโดยตรง
3. กรมประมง ได้รายงานผลการดำเนินงานโครงการฯ ดังนี้ 1) การรับสมัครสมาชิกในโครงการฯได้ดำเนินการระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 โดยสมาชิกของโครงการฯ ที่แจ้งความจำนงไว้แล้วและผู้ที่จะเข้าร่วมใหม่สามารถสมัครได้ตามขั้นตอนและขบวนการเดิม และกรมประมงได้แจ้งให้หน่วยงานในภูมิภาคทราบและเริ่มดำเนินการโครงการฯ ต่อไปแล้ว และ 2) ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 มีสถานีจำหน่ายน้ำมันที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ 21 สถานี ใน 10 จังหวัด (จันทบุรี ตราด สงขลา ปัตตานี ชุมพร ชลบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สตูล และระนอง) จากเดิมที่เข้าร่วมโครงการฯ สั่งน้ำมันลงจำหน่าย 32 สถานี ใน 13 จังหวัด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พังงา ระยอง ระนอง สตูล สมุทรสงคราม สุราษฎร์ธานี และสมุทรสาคร) และในช่วงระยะเวลาโครงการฯ 6 เดือน (15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552) ขณะนี้ยังไม่มีสถานีจำหน่ายน้ำมันสั่งซื้อน้ำมันในโครงการฯ เพื่อจำหน่าย
4. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการโครงการ สรุปได้ดังนี้ 1) น้ำมันเขียวและน้ำมันในโครงการฯ มีราคาแตกต่างกันมาก เนื่องจากรัฐบาลปรับภาษีสรรพสามิตจึงทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นและสูงกว่าน้ำมันเขียวถึงลิตรละ 10 บาท ทำให้ชาวประมงบางส่วนไปเติมน้ำมันเขียวแทน 2) น้ำมันดีเซล B5 มีราคาต่ำกว่าน้ำมันในโครงการฯ ประมาณ 1 บาท/ลิตร ทำให้ชาวประมงบางส่วนเลือกใช้น้ำมันที่ถูกกว่า และสถานีบริการเลือกจำหน่ายน้ำมันดีเซล B5 มากกว่าเนื่องจากได้ค่าการตลาดมากกว่าน้ำมันดีเซลในโครงการฯ 3) ค่าการตลาดของน้ำมันในโครงการฯ ต่ำ ซึ่งเดิม สนพ. กำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันลิตรละ 1.50 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทำให้สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันได้รับค่าการตลาดที่เหมาะสม แต่โครงการฯ ในปัจจุบันไม่ได้กำหนดโครงสร้างชัดเจน แต่ให้ใช้โครงสร้างราคาน้ำมันดีเซล B2 แล้วลดลงอีก 2 บาท/ลิตร ทำให้ค่าการตลาดไม่คงที่ 4) น้ำมันในโครงการฯ จำหน่ายได้เฉพาะเรือประมง และควบคุมปริมาณการจำหน่าย และ 5) โครงการฯมีระยะเวลาสั้นเกินไป (6 เดือน) ทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุน
5. เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2552 คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการด้านการประมง ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เรื่อง โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยขอให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เข้ามาใช้ในโครงการฯ และให้ลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงอีก 2 บาท/ลิตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมง
6. ในช่วงที่ผ่านมา การใช้น้ำมันในโครงการฯ (น้ำมันม่วง) อยู่ประมาณ 1,000,000 ลิตร/เดือน โดยเมื่อเทียบกับโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 การใช้น้ำมันม่วงทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการชดเชยเป็น 1.92 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยประมาณ 1,920,000 บาท/เดือน ส่วนการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการชดเชยเป็น 3.54 บาท/ลิตร คิดเป็นประมาณ 3,540,000 บาท/เดือน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าโครงการฯ จะสิ้นสุดในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งเหลือระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งเป็นระยะสั้น ดังนั้น เพื่อให้โครงการฯ ดำเนินการต่อไปได้ ควรให้ใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการฯ และให้ลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงอีก 2 บาท/ลิตร จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ จากนั้นเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้ว ต่อไปให้พิจารณาความเหมาะสมของปัญหาว่าต้องเกิดจากปัญหาราคาน้ำมันแพงเท่านั้น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้นำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) โดยมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ปกติ 2 บาท/ลิตร จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2552 - 14 พฤศจิกายน 2552) โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2552 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการนำเรื่องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ต่อไป
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส ในเดือนสิงหาคม 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 71.34 และ 71.05 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.52 และ 6.95 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 68.38 และ 70.22 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 2.97 และ 0.83 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับข่าว U.S. Commodities Exchange (CME) กำหนดปริมาณซื้อขายในสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ประกอบกับ Petrobras ของบราซิลผลิตน้ำมันดิบในเดือนกันยายน 2552 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1.98 ล้านบาร์เรล/วัน
ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนสิงหาคม 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 82.11, 80.13 และ 79.02 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.28, 9.29 และ 7.94 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.27, 75.53 และ 75.60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 4.84, 4.60 และ 3.42 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและอินโดนีเซียมีแผนลดปริมาณนำเข้าน้ำมันเบนซินในเดือนตุลาคม 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองในประเทศยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินบริเวณ Amsterdam Rotterdam Antwerps สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 กันยายน 2552 ปรับสูงขึ้น อยู่ที่ 6.97 ล้านบาร์เรล
2. จากมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ได้มีมติให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 2.00 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 ลง 0.40 บาท/ลิตร ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2552 จากมาตรการดังกล่าวและสถานการณ์ราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E85 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.20 บาท/ ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร และในช่วงวันที่ 1-21 กันยายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 , แก๊สโซฮอล 95 E10, E20 , แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 1.10 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงลด 0.90 และ 1.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการปรับราคา ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 อยู่ที่ระดับ 40.24, 34.64, 31.04, 28.74, 22.72, 30.24, 26.79 และ 25.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนกันยายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 75 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 577.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ปรับตัวสูงสุดในรอบ 11 เดือน ตามราคาน้ำมันดิบและราคาแนฟทาที่ปรับตัวสูงขึ้น และจากความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเชียมีจำนวนมากโดยเฉพาะจากจีนและอินโดนีเซีย ที่ระดับราคา LPG ณ โรงกลั่น 332.75 เหรียญสหรัฐ/ตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนสิงหาคม 2552 ที่ 34.1566 บาท/เหรียญสหรัฐ ทำให้ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 11.3658 บาท/กิโลกรัม แต่รัฐได้กำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตก๊าซ LPG ในประเทศ 0.0665 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้ ได้มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เมษายน 2551 - 20 กันยายน 2552 รวมทั้งสิ้น 831,117 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 10,451 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 13 ราย มีปริมาณการผลิตจริง 1.02 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนกันยายน ปี 2552 อยู่ที่ 20.21 บาท/ลิตร ในเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1 - 12 กันยายน 2552 มีปริมาณการจำหน่าย 11.50 และ 11.70 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการ 4,210 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.25 และ 0.24 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 233 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาท/ลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 4.45 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 อยู่ที่ 1.6 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1 - 27 กันยายน 2552 อยู่ที่ 27.31 และ 28.04 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนสิงหาคม และในช่วงวันที่ 1-12 กันยายน 2552 ปริมาณจำหน่าย 22.29 และ 21.73 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,466 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.40 บาท/ลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,647 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 12,762 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 12,425 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 336 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 18,886 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการมอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้มีอำนาจสั่งการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ ภายใต้ กบง. แทนคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ให้รายงานผลให้คณะกรรมการฯ ทราบ ในการประชุมภายหลัง
2. ในช่วงปี 2551 - ปัจจุบัน ประธาน กบง. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. จำนวน 7 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า 2) คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน 3) คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 4) คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต 5) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 6) คณะอนุกรรมการพิจารณาการชดเชยราคา NGV และ 7) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย
3. นอกจากนี้ในปี 2552 กบง. ได้มีมติแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อรองรับการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องต่างๆ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ 1) คณะทำงานพิจารณาชดเชยเงินให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน และ 2) คณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 51 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2552 (ครั้งที่ 51)
เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท
2. แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553-2555
3. แนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
4. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
5. ขอปรับปรุงแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท๊กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท๊กซี่ NGV
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 ได้พิจารณาเรื่องแนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากการนำเข้า และได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอ กบง. พิจารณาใหม่อีกครั้ง
2. ในช่วงเดือนเมษายน 2551 - ตุลาคม 2552 ปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG มีทั้งสิ้น 969,633 ตัน และจากการที่ราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศ ต่ำกว่าราคาตลาดโลกทำให้ต้องชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า คิดเป็นเงินประมาณ 11,796 ล้านบาท LPG โดยในเดือนสิงหาคม, กันยายนและตุลาคม 2552 ชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ประมาณ 670, 845 และ 1,131 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าวงเงินที่ กบง. กำหนด อยู่ประมาณ 170 ล้านบาท 345 และ 631 ล้านบาท ตามลำดับ
3. ในเดือนพฤศจิกายน 2552 - มีนาคม 2553 ประมาณการใช้ก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 423 - 491 พันตัน ปริมาณการผลิตในประเทศอยู่ที่ระดับ 310 - 382 พันตัน และปริมาณการนำเข้าอยู่ที่ระดับ 109 - 141 พันตัน จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในเดือนธันวาคม 2552 คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 668 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 650 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งจากประมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นและราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2552 เป็นต้นไป เกินวงเงินที่มติ กบง. กำหนดไว้ที่ระดับ 500 ล้านบาท/เดือน
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,001 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 20,512 ล้านบาท
5. เพื่อให้ สบพน. สามารถจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในส่วนที่เกินวงเงินที่มติ กบง. กำหนดไว้ได้ จึงขอความเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ตามภาระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในส่วนที่เกินวงเงินที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีมติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ตามภาระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน
เรื่องที่ 2 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553-2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. รวมเป็นจำนวนเงิน 173,679,300 บาท พร้อมเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2552 ให้ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 23,214,700 บาท, 12,595,200 บาท, 2,606,800 บาท, 911,900 บาท และ 1,486,800 บาท ตามลำดับ และรวมค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร 804,000 บาท เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 41,619,400 บาท ภายใต้กรอบงบประมาณปี 2552 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติ
2. สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้รายงานแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารตามที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2552 จำนวน 41,619,400 บาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 มีแผนการใช้จ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 24,224,771 บาท เงินคงเหลือ 17,394,629 บาท โดยพบว่า สป.พน. และ สนพ. มีแผนการใช้จ่ายต่ำกว่างบประมาณที่ตั้งขอไว้มากเพียงร้อยละ 59.42 และ 37.03 ตามลำดับ เนื่องจากทั้งสองหน่วยงานได้ขอเงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางไปราชการต่างประเทศค่อนข้างสูง คือประมาณ 9.2 และ 6.6 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดพยายามหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นการเดินทางไปดูงานและสัมมนาในต่างประเทศ ประกอบกับ สนพ. ยังไม่มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับการจ้างที่ปรึกษา 2 อัตรา จำนวน 1.2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักงบส่วนนี้ของทั้งสองหน่วยงานออก ทำให้งบประมาณของทั้งสองหน่วยงานจะเหลือเป็น 13.99 ล้านบาท และ 5.99 ล้านบาท ตามลำดับ ทำให้แผนการใช้จ่ายเงินของทั้งสองหน่วยงานคิดเป็นร้อยละ 98.54 และ 97.25 ตามลำดับ
3. ในปีงบประมาณ 2552 สป.พน. สนพ. ธพ. และกรมสรรพสามิต ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอเงินสนับสนุนจากงบค่าใช้จ่ายอื่น กองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 - 24 กันยายน 2552 ซึ่ง กบง. ได้อนุมัติเงินทั้งสิ้น 205.98 ล้านบาท โดยให้เงินสนับสนุน สป.พน. สนพ. ธพ. และกรมสรรพสามิต เป็นเงิน 47.4 ล้านบาท, 93 ล้านบาท, 65.18 ล้านบาท และ 0.40 ล้านบาท ตามลำดับ และผลการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ในปี 2552 ดังนี้
3.1 สป.พน. ได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการจำนวน 2 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ
3.2 สนพ. ได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการ 5 โครงการ อยู่ระหว่างการดำเนินงาน 4 โครงการ โครงการที่ไม่ได้ดำเนินการคือ แผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (30 ล้านบาท) เนื่องจาก คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน
3.3 ธพ. ได้รับเงินสนับสนุน 10 โครงการ มีการดำเนินงาน 9 โครงการ และ 1 โครงการ ที่ไม่ได้ดำเนินการคือ แผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV (88.8 ล้านบาท) เนื่องจาก กพช. ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคา NGV ออกไปก่อน ดังนั้น ปี 2552 ธพ. ได้ดำเนินการเสร็จสิ้น 2 โครงการ และมี 1 โครงการที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ คือ โครงการส่งเสริมสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีระยะเวลาดำเนินการอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม 2552 - เมษายน 2553
3.4 กรมสรรพสามิต ได้รับเงินสนับสนุนในโครงการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำระบบฐานข้อมูลและคาดว่าผลการดำเนินงานจะเป็นไปตามเป้าหมาย
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 31,001 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 20,512 ล้านบาท
5. ปีงบประมาณ 2553 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขอปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 45,544,600 บาท และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) - 2555 และได้มีมติดังนี้
6.1 รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารและงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ของหน่วยงานต่างๆ
6.2 เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 - 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานหน่วยงานดังกล่าว เพื่อปรับจำนวนเงินรวมในปีงบประมาณ 2553 - 2555 ให้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 121.2661 ล้านบาท เท่ากับจำนวนเงินรวมของงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2553 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 และเห็นชอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปี 2553 - 2555
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | ปีงบประมาณ | รวม 2553 - 2555 |
||
พ.ศ. 2553 | พ.ศ. 2554 | พ.ศ. 2555 | ||
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 23.2147 | 23.2147 | 23.2147 | 69.6441 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 9.9539 | 9.9570 | 9.9570 | 29.8679 |
3. กรมสรรพสามิต | 3.7701 | 3.7122 | 3.7122 | 11.1945 |
4. กรมศุลกากร | 0.9079 | 0.8579 | 0.8579 | 2.6237 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 3.7949 | 1.6351 | 1.7019 | 7.1319 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | 0.8040 | - | - | 0.8040 |
รวมค่าใช้จ่ายงบบริหาร | 42.4455 | 39.3769 | 39.4437 | 121.2661 |
7. งบค่าใช้จ่ายอื่น | 300.0000 | 300.0000 | 300.0000 | 900.0000 |
รวมทั้งสิ้น (1 - 7) | 342.4455 | 339.3769 | 339.4437 | 1,021.2661 |
6.3 เห็นชอบงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงินรวม 42.4455 ล้านบาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ตามตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | หมวดค่าครุภัณฑ์ | หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ | รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 1.8309 | 12.1678 | - | 9.2160 | 23.2147 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.3399 | 0.9140 | - | 8.7000 | 9.9539 |
3. กรมสรรพสามิต | 2.1781 | 1.3150 | 0.2650 | 0.0120 | 3.7701 |
4. กรมศุลกากร | 0.5218 | 0.3361 | 0.0500 | - | 0.9079 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 1.0494 | 2.7455 | - | - | 3.7949 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | - | - | - | 0.8040 | 0.8040 |
รวม | 5.9201 | 17.4784 | 0.3150 | 18.7320 | 42.4455 |
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารและงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ของหน่วยงานต่างๆ
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 - 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 121.2661 ล้านบาท (หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดล้านสองแสนหกหมื่นหกพันหนึ่งร้อยบาทถ้วน) และเห็นชอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามรายละเอียดตารางที่ 1
3. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 42.4455 ล้านบาท (สี่สิบสองล้านสี่แสนสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ตามรายละเอียดตารางที่ 2
4. ให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รับข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในการตั้งงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 แนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ได้กำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเวลา 6 เดือน (25 กรกฎาคม 2551 - 31 มกราคม 2552) ซึ่งส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ สิ้นวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการพยายามลดผลขาดทุนด้วยการลดปริมาณน้ำมันคงเหลือในสถานีบริการให้น้อยที่สุด จนเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 กบง. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต เพื่อพิจารณาและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2551 และปัญหาการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552
3. ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2551 มีสถานีบริการที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันมาตรา 11 จำนวน 18,131 ราย ในการปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 เมื่อมีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน พนักงานเจ้าหน้าที่จะไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ โดยผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการต้องลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจ จากนั้นพนักงานเจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่ตรวจวัดได้จัดส่งให้ ธพ. เพื่อสรุปจำนวนเงินที่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการแต่ละรายมีสิทธิได้รับเงินชดเชย แล้วจัดส่งหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเพื่อให้ยื่นเอกสารขอรับเงินชดเชยจาก สบพน. ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ ธพ. ลงในหนังสือ โดยสรุปมีจำนวนสถานีบริการที่พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจวัด 16,550 ราย มีสถานีบริการที่มีสิทธิรับเงินชดเชย 13,632 ราย และมีสถานีบริการที่ยื่นขอรับเงินชดเชย 10,545 ราย
4. สบพน. จ่ายเงินชดเชยโดยโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารเข้าบัญชีผู้มีสิทธิรับเงินชดเชย และได้ปฏิบัติตามวิธีการจ่ายเงินของส่วนราชการในการจ่ายเงินผ่านธนาคารให้ผู้มีสิทธิรับเงิน โดยห้ามโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงิน ซึ่ง ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2552 สบพน. จ่ายเงินชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมัน 10,135 ราย เป็นเงิน 2,903.07 ล้านบาท ประกอบด้วย ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จำนวน 15 ราย ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 10 จำนวน 15 ราย และผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 (สถานีบริการ) จำนวน 10,105 ราย ซึ่งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยฯ ได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ สบพน. ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยฯ ไปแล้ว 170 ราย คิดเป็นเงิน 2.47 ล้านบาท และนับตั้งแต่เริ่มประชุมคณะอนุกรรมการฯ คือตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2552 ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2552 มีความคืบหน้าในการจ่ายเงินชดเชยแล้ว 220 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 2.68 ล้านบาท
5. ประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไข มีดังนี้
5.1 กระทรวงการคลังกำหนดวิธีการและขั้นตอนการจ่ายเงินของส่วนราชการในการจ่ายเงินผ่านธนาคารให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงิน โดยห้ามโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงิน ทำให้ สบพน. ไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้ประกอบการในปัจจุบันได้เนื่องจากไม่เป็นผู้มีสิทธิรับเงินตามที่ ธพ. แจ้งไว้ต่อ สบพน.
5.2 จากคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 1/2552 ลงวันที่ 28 มกราคม 2552 ข้อ 3 วรรคสอง "ถ้าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายใดที่ได้รับเงินชดเชยตามข้อ 2 ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ หรือปิดคลังน้ำมัน หรือสถานีบริการ หรือกระทำการใดๆ ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหรือคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งได้ ให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนในจำนวนเงินที่คำนวณจากปริมาณน้ำมันคงเหลือสุทธิที่ตรวจวัดได้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 คูณด้วยส่วนต่างราคาตามประกาศราคาขายปลีกตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายนั้นยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากส่วนต่างราคาในการลดภาษีสรรพสามิตเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2551" ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ วินิจฉัยแล้วว่า การไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามที่กล่าวข้างต้น หมายถึงเฉพาะกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือเพื่อคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนและยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิตเท่านั้น ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่ไม่ได้รับเงินชดเชยด้วยเหตุอื่นจะถือเป็นเหตุอ้างที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนมิได้
5.3 ที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชย ดังนี้
ปัญหา | แนวทางแก้ไขปัญหา |
(1) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการเสียชีวิต |
ให้ทายาทดำเนินการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อขอรับเงินชดเชย |
(2) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการยื่นขอรับเงินชดเชยเกินระยะเวลาที่กำหนด |
ควรพิจารณาจากข้อเท็จจริง หากปัญหาที่เกิดขึ้นมิใช่ความบกพร่องของผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ เห็นสมควรจ่ายเงินชดเชยให้ได้ โดยต้องมีหลักฐานยืนยัน แต่หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการปล่อยปละละเลยโดยไม่มีเหตุอันสมควร ก็ไม่จำต้องจ่ายเงินชดเชย |
(3) กรณีผู้ประกอบการค้าน้ำมันในปัจจุบันเช่าสถานีบริการเพื่อดำเนินกิจการต่อจากผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ |
ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่มีรายชื่อในทะเบียน สามารถตั้งผู้แทนมาขอรับเงินได้ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงิน ส่งคลัง พ.ศ.2551 ข้อ 36 |
(4) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการจดทะเบียนเลิกกิจการ |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่เป็นนิติบุคคลและจดทะเบียนเลิกกิจการแล้ว โดยจ่ายเงินเข้าบัญชีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ หากรายใดไม่มีบัญชีเงินฝากในนามนิติบุคคลนั้นๆ ควรพิจารณาจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล |
(5) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ขอรับเงินชดเชย 1 ราย และขอรับเงินชดเชยแต่ไม่สะดวกรับเงินผ่านบัญชีธนาคาร 5 ราย ดังนั้นหาก สบพน.จ่ายเงินชดเชยผ่านบัญชีธนาคาร จะขอไม่รับเงินชดเชย |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการโดยสั่งจ่ายธนาณัติในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่สะดวกรับเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคาร สำหรับกรณีที่แจ้งความประสงค์มาตั้งแต่ต้นว่าขอไม่รับเงินชดเชย จึงเป็นการสละสิทธิ์ สบพน. จึงไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย |
(6) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ได้รับหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชยจาก ธพ. |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการหากปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ได้รับหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชย เนื่องจากความผิดพลาดในการจัดส่งไปรษณีย์ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของผู้จัดส่ง (ธพ.) หรือบุรุษไปรษณีย์ก็ตามซึ่งอาจดูได้จากซองจดหมายที่ตีกลับหรือ ธพ. ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีจดหมายตีกลับ และผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการได้อุทธรณ์มาด้วย |
(7) กรณีผู้ประกอบการไม่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 |
กรณีที่ผู้ประกอบการไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 ก่อนปรับลดภาษีสรรพสามิต ถือว่าไม่ได้เป็นผู้ค้าน้ำมันตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 จึงไม่สมควรได้รับเงินชดเชย |
(8) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ส่งเอกสารมาขอรับเงินชดเชย และอุทธรณ์มายังกรมธุรกิจพลังงาน |
เหตุที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ส่งเอกสารมาขอรับเงินชดเชยเป็นความละเลยของผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ จึงไม่สมควรจ่ายเงินชดเชยให้ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ ยังคงมีหน้าที่ต้องส่งเงินให้กองทุนเมื่อมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต |
5.4 คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาปัญหาการจ่ายเงินชดเชยในแต่ละรายแล้ว เห็นควรจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ 126 ราย และไม่เห็นควรจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ จำนวน 44 ราย
5.5 คณะอนุกรรมการฯ ตั้งข้อสังเกตว่า การจ่ายเงินชดเชยไม่สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุมีการเปลี่ยนแปลงผู้ประกอบการ แต่มิได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทางทะเบียนให้ถูกต้อง ส่งผลให้ชื่อผู้ประกอบการที่ปรากฏในทะเบียนไม่ตรงกับชื่อผู้ประกอบการในปัจจุบัน ทำให้เกิดปัญหาในการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งเป็นการละเลยการปฏิบัติ จึงสมควรให้ความรู้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการในการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง และกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจตราให้มีการปฎิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
6. คณะอนุกรรมการฯ ขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต ตามข้อ 5.3 และ 5.4 ต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับภาษีสรรพสามิต ตามที่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิตเสนอ
เรื่องที่ 4 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ได้มีข้อเสนอโครงการเร่งด่วนเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
2. ด้วยในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะ "พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" จะมีพระชนมายุครบ 82 พรรษา กระทรวงพลังงานซึ่งมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบด้านพลังงานของประเทศ จึงได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อร่วมถวายพระพรและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอัจฉริยะภาพด้านพลังงาน ซึ่งทรงเป็นแบบอย่างที่ประชาชนคนไทยควรต้องตระหนักและปฏิบัติตามแนวทางเรื่องพลังงานที่พระองค์ได้ทรงวางไว้
3. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย เป็นโครงการจัดซื้อสื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทหนังสือพิมพ์ เพื่อลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ถวายพระพรชัยมงคลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย ในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุครบ 82 พรรษาในปี 2552 และพระราชกรณียกิจด้านพลังงานในขนาด Cover jacket หรือขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้สมพระเกียรติในประเภทหนังสือพิมพ์ที่หน่วยงานเห็นว่าเหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายคือประชาชน ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ/ภาคเอกชน สื่อมวลชนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในสังกัดกระทรวงพลังงาน ใช้งบประมาณในวงเงิน. 4 ล้านบาท โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2553 ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา โดยจะต้องลงสื่อประชาสัมพันธ์ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งมีสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
มติของที่ประชุม
เนื่องจากรัฐบาลได้ให้นโยบายด้านพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งมีนโยบายส่งเสริมการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน สนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะ "พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" จะมีพระชนมายุครบ 82 พรรษา ในปี 2552 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานจึงมีมติดังนี้
1. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย ในวงเงิน 4 ล้านบาท (สี่ล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
2. ให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ในเรื่องของมาตรการการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ในปัจจุบัน โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณคันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 ได้มีมติเห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยสรุปหลักการที่สำคัญได้ดังนี้
2.1 การดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
2.2 ให้ สป.พน. เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สป.พน. ธพ. ปตท. และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ เตรียมความพร้อมด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ (1) อู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก (2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้ได้ตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบกและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการรถแท็กซี่ (3) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง (4) ตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด (5) ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก และ (6) กำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้ สป.พน. และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) ให้ สป.พน. ธพ. และ สบพน. ร่วมกันตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
2.3 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
2.4 เพื่อให้การดำเนินการตามแผนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
2.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้ กบง. ทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
2.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น การประกวดราคา 2 เดือน การติดตั้ง 4 เดือน การตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
2.7 อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 2.2 เป็นจำนวนเงินรวม 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น 1) ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท และ 2) ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์และถัง LPG ประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
2.8 อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200,000,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อติดตั้งครบ 30,000 คันแล้ว และมีเงินคงเหลือ หากมีรถแท๊กซี่ต้องการเปลี่ยนเป็น NGV เพิ่มเติม ก็ให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
3. เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2552 สป.พน. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ซึ่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2552 คณะทำงานฯ ได้มีการประชุมพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวฯ โดยมีมติสรุปได้ดังนี้ 1) เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบพัสดุ โดยใช้วิธี e-Auction และควรให้มีการกระจายให้เกิดผู้รับจ้าง 10 สัญญา เพื่อป้องกันการผูกขาด 2) เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดในการติดตั้งจึงกำหนดระยะเวลาในการติดตั้งจาก 4 เดือน เป็น 6 เดือน 3) การเบิกจ่ายของผู้รับจ้างสามารถเบิกจ่ายได้เดือนละครั้ง และ 4) เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการร่าง TOR คณะกรรมการประกวดราคา และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ โดยให้มีตัวแทนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจากตัวแทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ และให้เป็นไปตามระเบียบราชการ
4. กระทรวงพลังงานได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (Term of Reference: TOR) และร่างเอกสารการประกวดราคาของโครงการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ ได้ประชุมหารือถึงแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เกิดการกระจายผู้รับจ้างเป็น 10 สัญญา และเห็นว่าแนวทางการกระจายผู้รับจ้างโดยแบ่งเป็นหลายสัญญา อาจทำให้เกิดปัญหาที่ผู้รับจ้างไม่สามารถจะดำเนินการติดตั้งเพื่อปรับเปลี่ยนจาก LPG มาเป็น NGV ได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา เนื่องจากเจ้าของรถแท็กซี่สามารถตัดสินใจที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ จึงยากที่จะควบคุมปริมาณรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรับผิด อันเนื่องมาจากไม่สามารถติดตั้งได้ตามสัญญาและไม่เป็นที่จูงใจให้อู่ติดตั้งสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการ
5. คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ จึงได้ขอปรับปรุงแนวทางการดำเนินการฯ ดังกล่าว ดังนี้ 1) ให้จัดสรรเงินสนับสนุนเป็น 2 ส่วน คือส่วนของการจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบและส่วนของการสนับสนุนการติดตั้ง NGV 2) ในส่วนการประกวดราคา ให้เป็นการประกวดราคาเพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และ 3) ในส่วนการสนับสนุนการติดตั้งเพื่อปรับเปลี่ยนจากรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG มาเป็นรถแท็กซี่ NGV ให้เป็นการสนับสนุนค่าบริการติดตั้งตามที่จ่ายจริงสำหรับรถแท็กซี่ที่ได้มีการเปลี่ยนจากรถแท็กซี่ LPG มาเป็นรถแท็กซี่ NGV
6. ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นควรให้มีการปรับปรุงแนวทางการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV เพื่อให้กระบวนการการดำเนินการมีความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์สูงสุดตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ โดยฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาต่อ กบง. ดังนี้
6.1 ขอความเห็นชอบในหลักการ การจัดสรรค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1) เงินสนับสนุนสำหรับใช้ในการประกวดราคา (e-Auction) เพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 30,000 ชุด ชุดละ 35,000 บาท โดยแบ่งการประกวดราคาเป็น 3 งวด คือ 15,000 ชุด, 10,000 ชุด และ 5,000 ชุด ซึ่งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบจำนวน 18 รายการประกอบด้วย (1) ถังบรรจุก๊าซ ขนาด 100 ลิตรน้ำ พร้อมวาล์วหัวถัง (2) อุปกรณ์ปรับความดันก๊าซ (3) อุปกรณ์แสดงค่าความดันก๊าซ (4) ท่อก๊าซแรงดัน (5) อุปกรณ์รับเติมก๊าซ (6) วาล์วโซลินอยล์ความดันสูง (7) ท่อแรงดันต่ำ (8) สวิตซ์เลือกเชื้อเพลิง แบบ Automatic (9) กล่องฟิวส์และฟิวส์ (10) อุปกรณ์ควบคุมการผสมก๊าซกับอากาศ (11) ไส้กรองก๊าซ (12) ท่อระบายก๊าซ (13) ข้อต่อ (14) อุปกรณ์ปรับการไหลของก๊าซ (15) วาล์วป้องกันความเสียหายจากการเกิดระเบิดย้อนกลับ (16) อุปกรณ์หลอกหัวฉีด (17) รีเลย์ตัดปั๊ม และ (18) อุปกรณ์ปรับเวลาการจุดระเบิด
2) เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ รวมทั้งการประกันหลังการขายในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ของอู่ติดตั้ง NGV ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
6.2 มอบหมายให้ สป.พน. แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย
6.3 ขอความเห็นชอบปรับระยะเวลาการดำเนินการสำหรับการประกวดราคา การติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 9 เดือน เป็นประมาณ 10 เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการการจัดสรรค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.1 เงินสนับสนุนสำหรับใช้ในการประกวดราคา (e-Auction) เพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 30,000 ชุด ชุดละ 35,000 บาท โดยแบ่งการประกวดราคาเป็น 3 งวด งวดแรก 15,000 ชุด งวดที่สอง 10,000 ชุด และงวดที่สาม 5,000 ชุด
1.2 เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ รวมทั้งการประกันหลังการขายในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ของอู่ติดตั้ง NGV ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
2. มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย
3. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการดำเนินการสำหรับการประกวดราคา การติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 9 เดือน เป็นประมาณ 10 เดือน
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส ในเดือนกันยายน 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 67.64 และ 69.41 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 3.70 และ 1.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่วนในเดือนตุลาคม 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.15 และ 75.73 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 พฤศจิกายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.78 และ 78.70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.62 และ 2.98 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จาก Dow Jones Newires คาดการณ์โรงกลั่นขนาดใหญ่ของจีน 17 แห่ง จะเพิ่มอัตราการกลั่นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 88.5 ประกอบกับรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ประธานโอเปกกล่าวว่ามีแนวโน้มที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมในเดือนธันวาคม 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบทั่วโลกอยู่ในระดับสูงที่ 62 Days Of Forward Cover (โอเปกต้องการให้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53 Days Of Forward Cover) นอกจากนี้กลุ่มผู้ก่อการประท้วงวัยรุ่นในไนจีเรียเข้าบุกยึดและปิดล้อมแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Conoil (25,000 บาร์เรล/วัน) ของรัฐฯ Ondo ส่งผลให้ต้องหยุดดำเนินการ
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนกันยายน 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 75.63, 73.84 และ 74.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 6.47, 6.29 และ 4.37 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่วนในเดือนตุลาคม 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.71, 76.05 และ 79.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 พฤศจิกายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 81.94, 79.86 และ 84.29 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.23, 3.81 และ 4.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและรอยเตอร์รายงานยอดขายน้ำมันเบนซินของ Sinopec และ Petrochina เดือนตุลาคม 2552 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 มาอยู่ที่ระดับ 49.3 ล้านบาร์เรล ประกอบกับ Saudi Aramco ของซาอุดีอาระเบียนำเข้าน้ำมันเบนซิน 600,000 บาร์เรล ส่งมอบพฤศจิกายน 2552 รวมทั้งรัสเซียประกาศเพิ่มภาษีส่งออกน้ำมันดีเซลในเดือนธันวาคม 2552 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 26.8 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านตัน
3. ในเดือนกันยายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 1.04 บาท/ลิตร ,แก๊สโซฮอล 95 E85 ลดลง 0.80 บาท/ลิตร , ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.86 และ 1.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ ในเดือนตุลาคม 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10 , E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 0.58 บาท/ลิตร,แก๊สโซฮอล 95 E85 ลดลง 3.20 บาท/ลิตร , ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.13 และ 0.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 19 พฤศจิกายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.22 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.49 บาท/ลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 อยู่ที่ระดับ 40.94, 35.34, 31.74, 29.44, 18.72, 30.94, 28.19 และ 26.79 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนพฤศจิกายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 77 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 660 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบและอุปทานในภูมิภาคลดลงส่งผลให้ปริมาณส่งออกในตลาดจรน้อยลง ในขณะที่ผู้นำเข้าจากจีนเสนอซื้อปริมาณ 22,000 ตัน ส่งมอบเดือน พฤศจิกายน 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองในโรงกลั่นหลายแห่งลดลงและจีนเข้าสู่ฤดูหนาว ส่วนราคา LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ รัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ระดับ 11.1637 บาท/กิโลกรัม และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ 18.13 บาท/กิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เมษายน 2551 - 13 พฤศจิกายน 2552 ได้มีการนำเข้ารวม 1,009,989 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 12,334 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนตุลาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 17 ราย แต่ผลิตเป็นเชื้อเพลิง 12 ราย มีกำลังการผลิตรวม 2.73 ล้านลิตร/วัน มีปริมาณการผลิตจริง 1.04 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนพฤศจิกายน ปี 2552 อยู่ที่ 24.97 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2552 มีปริมาณการจำหน่าย 11.6 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 4,235 แห่ง ซึ่ง ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 3.60 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 4.40 บาท/ลิตร และในเดือนตุลาคม 2552 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณการจำหน่าย 0.26 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 237 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนตุลาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 4.45 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 1.56 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2552 อยู่ที่ 25.45 บาท/ลิตร มีปริมาณการจำหน่าย 20.70 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,571 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.40 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,001 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 20,512 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการนำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน และการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนด้วย และกรมบัญชีกลางได้เห็นชอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. ในปี 2551 บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) ร่วมกับกรมบัญชีกลางได้ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ เฉพาะที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการในส่วนรายรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) เป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552 กรมบัญชีกลาง ได้รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกระทรวงการคลัง ซึ่งเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551โดยผลการดำเนินงานตามเกณฑ์ด้านต่างๆ มีดังนี้ 1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ได้ 4.9351 คะแนน 2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ได้ 1 คะแนน 3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้ 5 คะแนน และ 4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ได้ 5 คะแนน ซึ่งผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.5379 คะแนน (อยู่ในระดับดี คือสูงกว่าค่าปกติ/สูงกว่า 3 คะแนน) และได้ส่งรายงานดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานเพื่อใช้ประกอบการติดตามผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 52 - วันพฤหัสบดี ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2553 (ครั้งที่ 52)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แนวทางการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2551 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการจัดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทน ดังนี้ 1) การจูงใจผู้จำหน่ายเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนมีหลักการ คือ ค่าการตลาดของน้ำมันที่เป็นพลังงานทดแทนต้องสูงกว่าน้ำมันปกติ และน้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนมาก ต้องมีค่าการตลาดสูงกว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนน้อย และ 2) การจูงใจผู้ใช้เพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนมีหลักการ คือ ราคาขายปลีกของน้ำมันที่เป็นพลังงานทดแทนต้องต่ำกว่าน้ำมันปกติ และน้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนมาก ต้องมีราคาขายปลีกต่ำกว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนน้อย
2. จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในวันที่ 28 มกราคม 2553 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่จูงใจผู้ค้าน้ำมันให้จำหน่ายพลังงานทดแทน เช่น ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 91 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 ประมาณ 0.32 บาท/ลิตร, ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 สูงกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ประมาณ 0.11 บาท/ลิตร และค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ในระดับต่ำ ไม่จูงใจให้เกิดการขยายสถานีบริการ รวมทั้งส่วนต่างราคาขายปลีกไม่จูงใจผู้ใช้น้ำมันให้เปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทน เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ถูกกว่าแก๊สโซฮอล 95 E10 เพียง 0.80 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ถูกกว่าดีเซลหมุนเร็ว B2 เพียง 1.20 บาท/ลิตร ในช่วงต้นปี 2552 สัดส่วนการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่อการใช้น้ำมันดีเซลทั้งหมดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายน 2552 อยู่ที่ร้อยละ 50 แต่เนื่องจากค่าการตลาดและส่วนต่างราคาขายปลีกไม่เอื้อต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ส่งผลให้ในเดือนธันวาคม 2552 สัดส่วนการใช้ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 43
3. เพื่อให้โครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพิ่ม 0.40 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่ม 0.32 บาท/ลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม และให้ส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 ในระดับ 1.50 บาท/ลิตร เพื่อจูงใจผู้ใช้น้ำมัน ถ้าจะรักษาระดับค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม อาจทำให้ราคาขายปลีกในกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้นประมาณ 0.40 บาท/ลิตร
3.2 แนวทางที่ 2 ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 ให้เต็มเพดาน (7.50 บาท/ลิตร) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่ม 0.32 บาท/ลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม และให้ส่วนต่างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 ในระดับ 1.50 บาท/ลิตร เพื่อจูงใจผู้ใช้น้ำมัน ซึ่งถ้าจะรักษาระดับค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอาจทำให้ราคาขายปลีกในกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้นประมาณ 1.30 บาท/ลิตร
4. จากการประมาณการสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ หากเห็นชอบตามแนวทางที่ 1 กองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องใกล้เคียงกับปัจจุบันที่ระดับ 457 ล้านบาท/เดือน และหากเห็นชอบตามแนวทางที่ 2 กองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น 509 ล้านบาท/เดือน จาก 484 ล้านบาท/เดือน เป็น 993 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 27 มกราคม 2553 มีเงินสดในบัญชี 31,886 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,358 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 21,527 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.32 บาท/ลิตร มาอยู่ที่ระดับ 0.85 บาท/ลิตร และให้ปรับอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เป็น 0.80 บาท/ลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 มกราคม 2553 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้ทยอยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน 91 ให้ถึงระดับเพดาน 7.50 บาท/ลิตร โดยให้ส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ในระดับ 1.50 บาท/ลิตร และให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 มากกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ในระดับ 3.00 บาท/ลิตร โดยรักษาระดับค่าการตลาดและส่วนต่างราคาขายปลีกกับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. ให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามความเหมาะสม และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศต่อไป
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส ในช่วงวันที่ 1 - 26 มกราคม 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.53 และ 79.16 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 2.11 และ 4.75 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จาก Energy Information Administration (EIA) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ งวดสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 มกราคม 2553 ลดลง 0.5 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 330.6 ล้านบาร์เรล และปริมาณสำรอง Distillate ลดลง 3.3 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 157.1 ล้านบาร์เรล ประกอบกับรอยเตอร์รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของประเทศเม็กซิโก ปี 2552 ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 6.8 มาอยู่ที่ระดับ 2.60 ล้านบาร์เรล/วัน
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในช่วงวันที่ 1 - 26 มกราคม 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 88.32, 85.17 และ 85.04 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.47, 6.23 และ 3.75 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากอิหร่านนำเข้าน้ำมันเบนซินในเดือนมกราคม 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากเดือนก่อนหน้า ประกอบกับ International Enterprise Singapore (IES) รายงานปริมาณสำรอง Light Distillates ของสิงคโปร์ ณ วันที่ 20 มกราคม 2553 ลดลง 0.73 ล้านบาร์เรล อีกทั้ง Pertamina ของอินโดนีเซียมีแผนนำเข้าน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2553 เนื่องจากการปิดซ่อมแซมโรงกลั่น และจีนส่งออกน้ำมันดีเซลในเดือนมกราคม 2553 ลดลง 0.7 ล้านบาร์เรล รวมทั้งนักวิเคราะห์คาดว่าหากยุโรปเหนือยังคงหนาวไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ทำให้อุปสงค์น้ำมันดีเซลจะเพิ่มขึ้นประมาณ 73 ล้านบาร์เรล
3. ในช่วงวันที่ 1 - 27 มกราคม 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร , เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.00 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.40 และ 0.60 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการปรับราคา ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 27 มกราคม 2553 อยู่ที่ระดับ 40.84, 35.84, 32.24, 29.94, 18.72, 31.44, 27.59 และ 26.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ในเดือนมกราคม 2553 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 14 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 738 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากปริมาณนำเข้า LPG ของจีนในปี 2552 อยู่ที่ 4.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.46 ล้านตัน และในปี 2553 คาดว่าปริมาณนำเข้าจะใกล้เคียงกับปี 2552 โดยจะนำเข้าจากตลาดจรประมาณ 100,000 - 150,000 ตัน/เดือน หรือ 1.8 ล้านตัน เนื่องจากจีนไม่มีแผนสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่และภาวะอากาศหนาวเย็นในช่วงต้นปี 2553 ประกอบกับผู้นำเข้าของเวียดนามมีความต้องการนำเข้า LPG ในเดือนมกราคม 2553 เนื่องจากโรงกลั่น Dung Quat ปิดดำเนินการ รวมทั้งความต้องการจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 689 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน รัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น เดือนธันวาคม 2552 ที่ระดับ 11.1212 บาท/กิโลกรัม และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ 18.13 บาท/กิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - มกราคม 2553 ได้มีการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 1,279,771 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 16,139 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนพฤศจิกายน 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 17 ราย กำลังการผลิตรวม 2.73 ล้านลิตร/วัน ผลิตเป็นเชื้อเพลิง 10 ราย มีปริมาณการผลิตจริง 0.82 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนมกราคม 2553 อยู่ที่ 24.33 บาท/ลิตร ในเดือนธันวาคม 2552 และในช่วงวันที่ 1-16 มกราคม 2553 มีปริมาณการจำหน่าย 12.4 และ 11.9 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการ 4,230 แห่ง ณ วันที่ 27 มกราคม 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 3.60 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 4.40 บาท/ลิตร ในเดือนธันวาคม 2552 และในช่วงวันที่ 1- 16 มกราคม 2553 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณจำหน่าย 0.31 และ 0.29 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการ 244 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในเดือนธันวาคม 2552 มีปริมาณการจำหน่าย 0.0020 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 4 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 13.92 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล ในเดือนธันวาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 14 ราย กำลังการผลิตรวม 5.95 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนธันวาคม 2552 และในช่วงวันที่ 1 - 16 มกราคม 2553 อยู่ที่ 1.82 และ 1.64 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 29.77 และ 31.46 บาท/ลิตร ตามลำดับ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในช่วงเวลาเดียวกัน 23.93 และ 21.63 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,597 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.20 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 27 มกราคม 2553 มีเงินสดในบัญชี 31,886 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุนฯ 10,358 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,044 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 314 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 21,527 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 53 - วันอังคาร ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2553 (ครั้งที่ 53)
เมื่อวันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอขยายเวลาการดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
2. การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในประเทศ
3. มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล (การตรึงราคา NGV)
4. การกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วม
6. การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่นปีงบประมาณ 2553ของหน่วยงานต่างๆ
7. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
8. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ขอขยายเวลาการดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 เห็นชอบโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) ราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาทต่อลิตร กำหนดให้จำหน่ายในพื้นที่ทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มเติมให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 ในกรณีพื้นที่ที่มีปัญหาในการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมงเนื่องจากสภาพภูมิประเทศให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสะพานปลา ในการนำน้ำมันในโครงการน้ำมันม่วงมาจำหน่ายบริเวณใกล้ฝั่งหรือสถานีที่องค์การสะพานปลากำกับดูแลบนฝั่ง ระยะเวลาโครงการฯ 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ ในปริมาณไม่เกิน 15 ล้านลิตรต่อเดือน โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการขยายเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีที่ปัญหา ที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นน้ำมันโดยมีราคาต่ำกว่าปกติ 3 บาทต่อลิตร มาจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่ง 15 ล้านลิตรต่อเดือน และเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง 7 ล้านลิตรต่อเดือน รวมเป็น 22 ล้านลิตรต่อเดือน โดยช่วยเหลือจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 และเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ได้เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการน้ำมันม่วงออกไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2552 - 14 พฤศจิกายน 2552) แต่น้ำมันในโครงการฯ ไม่สามารถจำหน่ายได้ เนื่องจากมีราคาสูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 และต่อมาเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 กบง. ได้เห็นชอบให้นำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการน้ำมันม่วง โดยมีราคาต่ำกว่าน้ำมันหมุนเร็ว B5 ปกติ 2 บาทต่อลิตร จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการฯ (ตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2552 - 14 พฤศจิกายน 2552) โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2552 เป็นต้นไป โครงการฯ สามารถจำหน่ายน้ำมันได้เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2552 จำนวน 3 สถานี ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดพังงา ปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2552 - 14 พฤศจิกายน 2552 จำนวน 223,000 ลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีภาระต้องจ่ายชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 สำหรับโครงการฯ เป็นเงิน 644,470 บาท
3. กระทรวงเกษตรฯ ได้รับหนังสือจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยเพื่อขอขยายเวลาโครงการน้ำมันม่วง ออกไปอีก 6 เดือน ประกอบกับปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 อยู่ที่ 24.39 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าต้นทุนการผลิตทางการประมง (ราคาน้ำมันดีเซลที่จุดคุ้มทุนในการทำประมง 17.03 บาทต่อลิตร) ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้พิจารณาแล้วพบว่าระหว่างเดือนมกราคม - ตุลาคม มีแนวโน้มราคาน้ำมันสูงขึ้นร้อยละ 46.4 แต่ราคาสัตว์น้ำชนิดที่สำคัญกลับมีราคาลดลงร้อยละ 10.6 - 25.7 และการเปิดเสรีการค้าของกลุ่มอาเซียนที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าเป็นศูนย์ในเดือนมกราคม 2553 อาจเกิดผลกระทบต่อราคาสัตว์น้ำ กระทรวงเกษตรฯ จึงเห็นควรให้มีการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2552 - วันที่ 14 พฤษภาคม 2553)
4. การขยายเวลาของโครงการฯ ตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรฯ จากปริมาณน้ำมันดีเซล ที่ชาวประมงใช้ในโครงการฯ ที่ผ่านมาสูงสุดประมาณเดือนละ 2 ล้านลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะต้องจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 สูงสุดประมาณเดือนละ 4.256 ล้านบาท ระยะเวลา 6 เดือน เป็นเงินประมาณ 25.54 ล้านบาท แต่ช่วงที่ผ่านมาโครงการฯ มีการใช้ปริมาณน้ำมันต่ำ กองทุนน้ำมันฯ อาจจ่ายชดเชยต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ และภาระดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดปัญหากับกองทุนน้ำมันฯ อย่างไรก็ตามกองทุนน้ำมันฯ มีภาระชดเชยทั้งราคาก๊าซ LPG และราคาน้ำมันอีกหลายชนิด การช่วยเหลือชาวประมงในโครงการฯ เป็นการดำเนินงานเพียงชั่วคราว หากกระทรวงเกษตรฯ เห็นว่าการช่วยเหลือชาวประมงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง กระทรวงเกษตรฯ จึงควรพิจารณาช่องทางการขอความช่วยเหลือจากคณะกรรมการนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อสนับสนุนการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมงขนาดเล็ก ซึ่งเป็นช่องทางที่เหมาะสมกว่าการเสนอขอความช่วยเหลือจากกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง ออกไปอีก 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2553 - วันที่ 2 กันยายน 2553 โดยเป็นการช่วยเหลือโครงการฯ เป็นครั้งสุดท้าย
เรื่องที่ 2 การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขบรรเทาปัญหาจากผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองสูงสุดจากการระงับโครงการ 65 โครงการ ที่ต้องดำเนินการตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานจัดทำรายละเอียดการแก้ไขการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในประเทศ
2. จากประมาณการการใช้ก๊าซ LPG และการผลิตในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 457 และ 314 พันตันต่อเดือน ตามลำดับ ซึ่งทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 110 - 154 พันตันต่อเดือน ขณะที่ประมาณการราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกเฉลี่ยในปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 683 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จากประมาณการนำเข้าและราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 1,606 - 2,017 ล้านบาทต่อเดือน และจากการประมาณการรายรับ/รายจ่ายกองทุนน้ำมันฯ โดยคำนึงถึงภาระจากการชดเชยราคา NGV และการเปลี่ยนรถแท็กซี่ LPG เป็น NGV ตามมติ กพช. พบว่าในปี 2553 กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายรวมอยู่ที่ระดับ 34,851 ล้านบาท ขณะที่รายรับจากเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ระดับ 39,217 ล้านบาท ทำให้มีรายรับสุทธิ 4,367 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นปีสุทธิอยู่ที่ระดับ 25,242 ล้านบาท ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นและราคาก๊าซ LPG ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน จะทำให้ภาระกองทุนน้ำมันฯ สูงขึ้นกว่าที่ได้ประมาณการไว้
3. แนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในประเทศ
3.1 การเพิ่มความสามารถในการนำเข้า ได้แก่ 1) บริหารจัดการคลังก๊าซเขาบ่อยาให้สามารถรับก๊าซ LPG ที่นำเข้าได้เพิ่มขึ้นจาก 88,000 เป็น 110,000 ตันต่อเดือน และ 2) ใช้คลังลอยน้ำ (Floating Storage Unit: FSU) ชั่วคราว สามารถเพิ่มปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ 44,000 ตันต่อเดือน หรือเพิ่มขีดความสามารถการรับก๊าซ LPG ที่นำเข้าได้ทั้งหมด 154,000 ตันต่อเดือน ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553
3.2 การเลื่อนการปิดซ่อมบำรุงประจำปีของโรงแยกก๊าซธรรมชาติบางแห่งออกไปเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลิต LPG ในประเทศ โดยเบื้องต้น ปตท. ได้เลื่อนปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 2 ออกไปจากเดิมระหว่างวันที่ 21 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ 7-18 กุมภาพันธ์ 2553 สำหรับโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1, 3 และ 5 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิจารณาระยะเวลาการปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซธรรมชาติบางแห่งให้อยู่ในช่วงเดียวกับที่สหภาพพม่าจะหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาระหว่างวันที่ 19 มีนาคม - 3 เมษายน 2553 เพื่อให้สามารถนำก๊าซฯ ส่วนที่ไม่ผ่านโรงแยกก๊าซฯ ดังกล่าวมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเสริมในการผลิตไฟฟ้า
3.3 การบริหารจัดการในการใช้ก๊าซ LPG ในประเทศ ได้แก่ 1) สร้างแรงจูงใจโดยการให้รถแท็กซี่เปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ (NGV) 20,000 คัน ในช่วงเดือนมีนาคม 2553 - กันยายน 2553 ซึ่งสามารถลดความต้องการใช้ LPG ในปี 2553 ลงได้ 149,000 ตัน และ 2) เร่งดำเนินมาตรการป้องกันการลักลอบการส่งออกโดยคณะกรรมการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่เนื่องจากองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามตำแหน่ง จึงจำเป็นต้องแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ตามคำสั่ง กพช. ที่ 4/2551 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
3.4 การเพิ่มปริมาณการจัดหาในประเทศ ได้แก่ 1) เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมเพื่อให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 4 (ขนอม) สามารถเดินเครื่องผลิตก๊าซ LPG ได้เพิ่มขึ้น ถ้าให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 4 (ขนอม) มีก๊าซธรรมชาติไหลผ่านในระดับไม่ต่ำกว่า 130 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จะได้ก๊าซ LPG เพื่อจำหน่ายในประเทศ 15,330 - 21,600 ตันต่อเดือน แต่จะทำให้ค่าไฟฟ้าที่ผลิตสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนค่า Ft รัฐจึงต้องจ่ายชดเชยโดยลดราคาก๊าซธรรมชาติให้กับ กฟผ. จากการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมในช่วงวันที่ 19 - 31 มกราคม 2553 สามารถลดภาระกองทุนน้ำมันฯ จากการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ถึง 84.17 ล้านบาทต่อเดือน และ 2) นำก๊าซ LPG ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงกลั่น (Own Use) ออกมาจำหน่ายในประเทศ โดยบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR) สามารถนำก๊าซ LPG ที่ใช้เองออกมาจำหน่ายได้เพียง 1 เดือน คือเดือนมีนาคม 2553 (ประมาณ 4,000 ตัน) หลังจากนั้น จะไม่มี LPG ที่จะออกมาจำหน่ายได้อีกเนื่องจาก PTTAR ได้ทำข้อตกลงที่จะขายก๊าซ LPG กับภาคปิโตรเคมีแล้วจนถึงสิ้นปี 2553 ซึ่งการนำก๊าซธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิงในโรงกลั่นแทนก๊าซ LPG สามารถลดภาระเงินกองทุนน้ำมันฯ จากการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ประมาณ 38.37 ล้านบาท ทั้งนี้ การเพิ่มการจัดหาก๊าซ LPG ในประเทศ ทั้ง 2 กรณี สามารถลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ จากการนำเข้าก๊าซ LPG ในปี 2553 ได้ประมาณ 122.54 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมและวิธีการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินชดเชย ดังนี้
1.1 หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชย โดยคิดจาก
1) ส่วนต่างของปริมาณก๊าซธรรมชาติที่โรงไฟฟ้าขนอมใช้จริง กับปริมาณก๊าซธรรมชาติเฉลี่ย ที่โรงไฟฟ้าขนอมใช้ตามการเดินเครื่องจริงเพื่อรองรับความต้องการของภาคไฟฟ้า (Load Pattern) ในแต่ละวัน
2) การคำนวณส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจะคำนวณจากประสิทธิภาพที่สูญเสียไปจากการหยุดโรงไฟฟ้าอื่นที่มีต้นทุนหน่วยสุดท้ายสูงสุด ณ เวลาต่างๆ ในแต่ละวัน เพื่อหันมาใช้โรงไฟฟ้าขนอม โดยวิธีการเปรียบเทียบค่าพลังงานต่อการผลิตไฟฟ้าหนึ่งหน่วย
1.2 วิธีการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินชดเชย
1) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดส่งรายงานปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ใช้จริงเพื่อให้ได้มาซึ่งก๊าซ LPG และราคาก๊าซธรรมชาติและปริมาณ LPG ที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 4 (ขนอม) ในแต่ละเดือน (เป็นรายวัน) ให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อรวบรวมและตรวจสอบความถูกต้อง
2) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดส่งข้อมูลปริมาณก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่โรงไฟฟ้าขนอมใช้เพื่อรองรับความต้องการของภาคไฟฟ้า (Load Pattern) เฉลี่ยต่อวัน ในแต่ละเดือน รวมทั้งข้อมูลต้นทุนผันแปรหน่วยสุดท้ายของระบบ (Typical System Short Run Marginal Cost) และรายละเอียดการคำนวณอัตราส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติ จากประสิทธิภาพที่สูญเสียจริงในแต่ละเดือน และคำนวณเงินส่วนลดจากอัตราส่วนลดดังกล่าวในแต่ละเดือน (เป็นรายวัน) ให้ สนพ. เพื่อใช้ในการพิจารณาและคำนวณปริมาณเงินที่จะต้องจ่ายชดเชย
3) สนพ. คำนวณปริมาณเงินที่จะจ่ายชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติ ตามหลักเกณฑ์การคำนวณในข้อ 1.1 เพื่อนำเสนอต่อสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้กับ ปตท. โดยวิธีจ่ายตรงต่อไป
ทั้งนี้ ให้เริ่มจ่ายเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2553 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณปริมาณก๊าซ LPG สำหรับนำมาคำนวณเงินชดเชยและหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทน LPG และวิธีการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินชดเชย ดังนี้
2.1 หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG จากการนำก๊าซ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่นออกจำหน่าย
จำนวนเงินชดเชย = Qlpg * (Pdiff + DC + T) |
โดย
- Qlpg = ปริมาณก๊าซ LPG ที่ขอชดเชยจากการนำ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่นออกมาจำหน่าย คำนวณจาก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศจริง หัก ปริมาณการจำหน่าย LPG ใน ประเทศตามแผน โดย
- ปริมาณจำหน่าย LPG จริง = ปริมาณการผลิตจริง - ปริมาณการจ่ายปิโตรเคมีจริง - ปริมาณ LPG ใช้เองเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในโรงกลั่น
- ปริมาณการจำหน่ายตามแผน = ปริมาณการผลิตจริง - ปริมาณการจ่ายปิโตรเคมีจริง - แผนการใช้ LPG เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในโรงกลั่น
ทั้งนี้ เพื่อให้ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศที่เพิ่มขึ้น มาจากการนำปริมาณ LPG ที่โรงกลั่นน้ำมันกำหนดแผนไว้ใช้เองออกมาจำหน่าย มิใช่เป็นการนำปริมาณ LPG ที่ผลิตเพิ่มขึ้นหรือปริมาณ LPG ที่มาจากการจำหน่ายให้ภาคปิโตรเคมีลดลง โดยใช้ข้อมูลการผลิต การจำหน่าย ตามที่ผู้ค้ารายงานต่อ ธพ. ตามแบบ นพ. 201-209 และ นพ. 211-212
2.2 การคำนวณเงินเพื่อชดเชยส่วนต่างของราคาจากการนำก๊าซธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้
1) ผลต่างระหว่างราคาก๊าซธรรมชาติและราคา LPG (Pdiff)
Pdiff = NGprice - LPGprice |
โดย
Pdiff = ผลต่างระหว่างราคาก๊าซธรรมชาติและราคา LPG (บาท/ตัน)
NGprice = ค่าใช้จ่ายของก๊าซธรรมชาติเพื่อชดเชย LPG 1 ตัน โดย LPG 1 ตัน มีค่าความร้อนเท่ากับ 47.089 ล้านบีทียู (MMBTU) ดังนั้น ค่าใช้จ่ายของก๊าซธรรมชาติเพื่อชดเชย LPG 1 ตัน จะเท่ากับ 47.089 * ราคาก๊าซธรรมชาติ
LPGprice = ราคา LPG ในประเทศ (ราคา ณ โรงกลั่น) ต่อตัน
2) ค่าสำรองความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ (Demand Charge : DC) มีหน่วยเป็นบาทต่อเดือน มีสูตรการคำนวณ ดังนี้
DC = 1.69 * PPIn-1 * MDCQ |
โดย
PPIn-1 = ค่าเฉลี่ยดัชนีราคาผู้ผลิตหมวดสินค้าสำเร็จรูปในประเทศไทยปีปฏิทิน ก่อนหน้าปี สัญญาที่มีการซื้อขาย คือ PPI2550135.40 ซึ่งเท่ากับ 135.40)
MDCQ = ปริมาณก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยต่อวันตามสัญญา มีหน่วยเป็นล้านบีทียู/วัน
DC ต่อ MT = DC ต่อ MMBTU*47.089
อย่างไรก็ตาม ค่าสำรองความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติตามสูตรข้างต้นมีหน่วยเป็นบาทต่อเดือน จึงจำเป็นต้องมีการปรับหน่วยเป็นบาทต่อตันต่อเดือน เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณเงินชดเชยต่อไป ดังนี้
DC (บาท/ตัน/เดือน) = (DC (บาท/เดือน) / MDCQ (ล้านบีทียู/วัน) / 30) * 47.089 |
3) ค่าขนส่ง LPG (T) เนื่องจากการจำหน่าย LPG ให้กับลูกค้าในประเทศนั้น บริษัท ปตท. มีข้อตกลงไว้กับลูกค้าในการจ่ายเงินชดเชยค่าขนส่ง LPG จากมาบตาพุดให้กับลูกค้า เพื่อให้เป็นราคาเทียบเท่ากับการจำหน่าย LPG ณ จุดจำหน่ายกรุงเทพฯ เป็นจำนวนเงิน 485 บาท/ตัน
2.3 วิธีการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินชดเชย
1) ให้ ธพ. เป็นผู้รวบรวมและตรวจสอบปริมาณ LPG ที่โรงกลั่นน้ำมันนำออกมาจำหน่ายเป็นรายเดือน และจัดส่งให้ให้ สนพ. เพื่อนำไปใช้ในการคำนวณเงินชดเชยในแต่ละเดือนตามหลักเกณฑ์ข้างต้น
2) ให้ สนพ. คำนวณเงินชดเชยพร้อมส่งหนังสือพร้อมเอกสารถึง สบพน. เพื่อดำเนินการจ่ายเงินให้โรงกลั่นน้ำมันโดยวิธีจ่ายตรงในแต่ละเดือนต่อไป
3. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามภาระเงินชดเชยที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือนจากการคำนวณตามหลักเกณฑ์ที่ได้เห็นชอบในข้อ 1 และ 2
4. เห็นชอบร่างคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่ .../2553 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
เรื่องที่ 3 มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล (การตรึงราคา NGV)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 เรื่องมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ที่เห็นชอบให้ตรึงราคา NGV เป็นระยะเวลา 1 ปี (สิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553) และมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการชดเชยราคาขายปลีก NGV จากการที่ ปตท. ต้องขาย NGV ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ในลักษณะเดียวกันกับแนวทางการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า โดยคำนึงถึงมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550 ด้วย และมอบหมายให้ ปตท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการขยายเครือข่ายรวมทั้งส่งเสริมการใช้ NGV เพื่อให้เป็นทางเลือกของประชาชนโดยเร็ว ทั้งนี้ การตรึงราคา NGV คาดว่าจะเป็นภาระต่อกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาขายปลีก NGV ที่ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน
2. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 กพช. ได้เห็นชอบให้มีการปรับสูตรการคำนวณและแนวทางการกำกับดูแลราคาขายปลีก NGV โดยให้ กพช. เป็นผู้กำกับดูแลต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติและให้ กบง. เป็นผู้พิจารณาหลักเกณฑ์การคำนวณราคาขายปลีก NGV และได้เห็นชอบให้ปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเพิ่มเติมนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)" เพื่อให้ราคาขายปลีก NGV ถูกกำกับดูแลภายใต้กรอบอันเดียวกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับภาคขนส่งชนิดอื่นๆ ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2552 กบง. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาการชดเชยราคา NGV เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และพิจารณาข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการชดเชยราคา NGV โครงข่ายการขยายบริการ NGV และโครงสร้างราคา NGV รวมถึงพิจารณาจัดทำแนวทางการดำเนินการชดเชยราคา NGV
3. เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 กบง. ได้เห็นชอบการปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดย สนพ. ได้ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอให้ช่วยพิจารณาความถูกต้องของร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว และขอความเห็นนิยามคำจำกัดความคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือแจ้งความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 9) ว่า การกำหนดให้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์อยู่ในความหมายของน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำมาตรการป้องกันและแก้ไขภาวะการขาดแคลนตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 สามารถกระทำได้ และต่อมาเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ... /2553 ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำและวรรคตอนเพื่อความถูกต้องและเป็นไปตามแบบการร่างกฎหมายเรียบร้อยแล้ว
4. โครงสร้างราคา NGV ในปัจจุบัน ยังคงคำนวณตามคู่มือการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติปี 2550 ดังนี้
โดย 1) ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ ประกอบด้วย
WHPool 2 หมายถึง ราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ POOL 2 มีหน่วยเป็นบาทต่อล้านบีทียู
M หมายถึง ผลตอบแทนการจัดหาก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 1.75 ของราคาเฉลี่ยเนื้อก๊าซ ธรรมชาติ POOL 2
TdZone 1+3 หมายถึง อัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อในส่วน Demand Charge สำหรับ ระบบท่อในทะเล (Zone 1) และระบบท่อบนฝั่ง (Zone 3) มีหน่วย บาทต่อล้านบีทียู
Tc หมายถึง อัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อในส่วน Commodity Charge มีหน่วย บาทต่อล้านบีทียู
ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติมีหน่วยราคาเป็นบาทต่อกิโลกรัม โดยการเปรียบเทียบค่าความร้อน ซึ่งก๊าซธรรมชาติ 1 กิโลกรัม มีค่าความร้อนเท่ากับ 35,947 บีทียู ซึ่งจากการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ 232.6346 บาทต่อล้านบีทียู หรือ 8.36 บาทต่อกิโลกรัม
2) ค่าใช้จ่ายดำเนินการ ประกอบด้วย ต้นทุนค่าสถานีแม่ 1.12 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนค่าขนส่ง 1.20 บาทต่อกิโลกรัม (ภายในรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีแม่และเพิ่ม 0.012 บาทต่อกิโลกรัมต่อระยะทางที่เพิ่มขึ้น 1 กิโลเมตร) ต้นทุนค่าสถานีลูก 1 บาทต่อกิโลกรัม และค่าการตลาด 1.73 - 2.33 บาทต่อกิโลกรัม (ตามประเภทและที่ตั้งของสถานี)
จากการคำนวณตามสูตรข้างต้นจะทำให้ราคาขายปลีก NGV อยู่ที่ 14.35-14.99 บาทต่อกิโลกรัม
5. เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ NGV ในส่วนของสถานีแม่ สถานีลูก สถานี Conventional และต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1) กรณี ปตท. เป็นผู้ลงทุนสถานีลูกและ Conventional ต้นทุนสถานีแม่ ค่าขนส่งทางรถยนต์ ต้นทุนสถานีลูก และต้นทุนสถานี Conventional เท่ากับ 1.30, 1.94, 3.33 และ 3.67 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ และ 2) กรณีเอกชนเป็นผู้ลงทุนสถานีลูกและ Conventional ต้นทุนสถานีแม่ ค่าขนส่งทางรถยนต์ ต้นทุนสถานีลูก และต้นทุนสถานี Conventional เท่ากับ 1.30, 1.94, 2.26 และ 2.58 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ
6. เมื่อนำค่าใช้จ่ายดำเนินการทั้ง 2 กรณี มารวมกับต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ (ประมาณการปี 2553) ที่ 232.6346 บาทต่อล้านบีทียู (หรือ 8.36 บาท/กิโลกรัม) จะทำให้ต้นทุนราคาขายปลีก NGV เป็นดังนี้ 1) กรณี ปตท. เป็นผู้ลงทุนสถานีลูกเท่ากับ 14.93 บาทต่อกิโลกรัม 2) ปตท. เป็นผู้ลงทุนสถานี Conventional เท่ากับ 12.03 บาทต่อกิโลกรัม 3) กรณีเอกชนเป็นผู้ลงทุนสถานีลูกเท่ากับ 13.86 บาทต่อกิโลกรัม และ 4) กรณีเอกชนเป็นผู้ลงทุนสถานี Conventional เท่ากับ 10.94 บาทต่อกิโลกรัม
7. เนื่องจากปริมาณการขายในแต่ละกรณีมีสัดส่วนที่แตกต่างกัน การคำนวณราคาจึงใช้วิธีเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักเพื่อให้เป็นราคาเดียว โดยใช้สัดส่วนปริมาณการขายดังนี้ 1) สัดส่วนปริมาณการขายโดยสถานีที่ ปตท. เป็นผู้ลงทุนสถานีลูกต่อสถานีที่เอกชนลงทุน = 85:15 และ 2) สัดส่วนปริมาณการขายที่ขนส่งจากสถานีแม่ไปสถานีลูกต่อสถานี Conventional = 70:30 จะได้ต้นทุนราคาขายปลีก NGV (ไม่รวมผลตอบแทนการลงทุน)เท่ากับ 13.8986 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากผลการคำนวณตามข้อ 5 - 7 พบว่าต้นทุนราคา NGV ที่คำนวณได้ สูงกว่าราคาขายปลีก NGV ที่ถูกตรึงไว้ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ ปตท. ต้องรับภาระการขาดทุนดังกล่าวประมาณ 5.40 บาทต่อกิโลกรัม
8. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 ที่มอบให้ กบง. บรรเทาภาระจากการขาย NGV ที่ราคาต่ำกว่าต้นทุนและเพื่อให้ ปตท. สามารถดำเนินการขยายเครือข่ายการให้บริการ NGV ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐ โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ไม่เกิน 300 ล้านบาท ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ชดเชยราคา NGV ในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม ตามปริมาณการจำหน่ายจริงของ ปตท. ในแต่ละเดือนแต่ไม่เกินวงเงินที่กำหนดไว้ 300 ล้านบาทต่อเดือน โดยการชดเชยนี้ให้เริ่มชดเชยตั้งแต่วันที่ได้มีมตินี้ไปถึงเดือนสิงหาคม 2553 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ตรึงราคา NGV ในส่วนขั้นตอนดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้ ปตท. แจ้งปริมาณการจำหน่าย NGV ต่อกรมสรรพสามิตในแต่ละเดือนเพื่อใช้สำหรับคำนวณเงินชดเชย เมื่อกรมสรรพสามิตตรวจสอบและรับรองความถูกต้องแล้วให้แจ้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) เพื่อดำเนินการชดเชยราคา NGV โดยวิธีจ่ายตรงต่อ ปตท. ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินการในการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายการดำเนินการและการคำนวณราคาขายปลีก NGV ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
2. เห็นชอบให้ชดเชยราคา NGV ที่ 2 บาทต่อกิโลกรัม ตามปริมาณการจำหน่ายจริงของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในแต่ละเดือน แต่ไม่เกินวงเงินที่กำหนดไว้ที่ 300 ล้านบาทต่อเดือน โดยให้เริ่มชดเชยตั้งแต่วันที่คำสั่งนายกรัฐมนตรีได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาไปถึงเดือนสิงหาคม 2553 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้าย ที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ตรึงราคา NGV และเห็นชอบขั้นตอนการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินชดเชยโดยให้ ปตท. แจ้งปริมาณการจำหน่าย NGV ต่อกรมสรรพสามิตในแต่ละเดือนเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และเพื่อใช้สำหรับการคำนวณเงินชดเชย ทั้งนี้ เมื่อกรมสรรพสามิตตรวจสอบและรับรองความถูกต้องเรียบร้อยแล้วให้แจ้งต่อสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) เพื่อดำเนินการชดเชยราคา NGV โดยวิธีจ่ายตรงต่อ ปตท. ทั้งนี้ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป
3. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการจ่ายชดเชยราคาขายปลีก NGV ตามภาระเงินชดเชยที่เกิดขึ้นจริงจากปริมาณการจำหน่าย NGV ของ ปตท. ในแต่ละเดือน แต่วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อเดือน
เรื่องที่ 4 การกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วม
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาทบทวนการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหาการคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าของประชาชน กระทรวงพลังงานจึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมยกร่างแนวทางการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อเป็นการกำหนดพื้นที่ทางเลือกของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยนำเสนอคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานไปแล้ว 2 ครั้ง จนได้ข้อยุติว่าเห็นควรนำเสนอ กบง. และ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนประสานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนดการดำเนินการในรายละเอียด ต่อไป
2. กระบวนการจัดตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ปัจจุบันเกี่ยวข้องกับหน่วยงานจำนวนมาก และมีข้อจำกัดสำคัญที่นำไปสู่ปัญหาการคัดค้านการก่อตั้งโรงไฟฟ้าจากภาคประชาชน คือ ขาดกระบวนการคัดเลือกและกลั่นกรองพื้นที่โดยความเห็นชอบจากประชาชน และขาดหน่วยงานพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ ดังนั้น จึงมีการทบทวนกระบวนการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งในพื้นที่ โดยวิธีการใหม่ประชาชนต้องรับภาระค่าไฟฟ้าที่จะแพงขึ้นเนื่องจากต้นทุนค่าที่ดินจะแพงกว่าปกติ และมีความเสี่ยงในกรณีที่ไม่มีพื้นที่ใดเหมาะสม รัฐบาลจะต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงให้เอกชน และ กฟผ. เข้ามาจัดตั้งโรงไฟฟ้า ทั้งนี้ ไม่ควรยึดราคาค่าไฟฟ้าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจอนุมัติจัดตั้งโรงไฟฟ้า
3. ข้อเสนอแนวทางดำเนินการ
3.1 การกำหนดเป็นนโยบายของประเทศ รัฐบาลจะกำหนดให้การเปิดประมูลการจัดตั้งโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และการอนุมัติจัดตั้งโรงไฟฟ้าของ กฟผ. มีเงื่อนไขว่าพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่จะเสนอ จะต้องมีการพิจารณาและดำเนินการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าโดยประชาชนมีส่วนร่วมก่อน โดยจัดทำเองหรือผ่านกระบวนการที่ดำเนินการโดยภาครัฐ
3.2 แนวทางดำเนินการ ประกอบด้วย 12 ขั้นตอน คือ 1) กกพ. จัดตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการออกประกาศเชิญชวนเสนอพื้นที่และสำหรับการศึกษากำหนดเขตพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งโรงไฟฟ้า 2) จัดประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนโดยทั่วไป 3) ออกประกาศเชิญชวนให้จังหวัดเสนอพื้นที่เข้ามาโดยความสมัครใจ 4) ภายหลังการออกประกาศเชิญชวนฯ จะส่งประกาศให้กระทรวงมหาดไทยประสานจังหวัดเพื่อแจ้งประชาชนในทุกจังหวัดให้รับทราบโดยทั่วไป 5) ในกรณีจังหวัดที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการร้องขอให้มีกระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจประชาชนเพิ่มเติม จะประสานจังหวัดจัดประชุมชี้แจงกับผู้เกี่ยวข้องทั้งภาคราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนประชาชนในพื้นที่ 6) จังหวัดจัดตั้งคณะกรรมการระดับพื้นที่กำหนดวิธีปฏิบัติในการรวบรวมพื้นที่ที่ต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนและพื้นที่โดยรอบ โดยในกรณีการรวมพื้นที่ของรัฐหรือพื้นที่สาธารณะ จังหวัดจะเป็นผู้รวบรวมพื้นที่ในเบื้องต้น และในกรณีการรวมพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์จะประสานประชาชนเพื่อรวบรวมพื้นที่แปลงใหญ่และต่อรองราคา ตลอดจนรับรองพื้นที่ที่มีความพร้อมเสนอต่อคณะกรรมการฯ 7) คณะกรรมการฯ พิจารณาพื้นที่ที่เสนอจากจังหวัด โดยใช้เกณฑ์ความเหมาะสมด้านเทคนิค การยอมรับของประชาชน และเอกสารสิทธิ์ที่ดิน เป็นต้น 8) คณะกรรมการฯ นำเสนอพื้นที่ที่ได้รับการรับรองให้ กบง. พิจารณา และเสนอ กพช. เพื่อทราบ 9) คณะกรรมการฯ จะแจ้งให้หน่วยงานอนุมัติ/อนุญาตรับทราบพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งโรงไฟฟ้า 10) กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ดำเนินการจัดซื้อที่ดิน และจัดตั้งโรงไฟฟ้าในปี 2560 11) กรณีพื้นที่เป้าหมายขัดหรือแย้งต่อกฎหมายผังเมือง หากพื้นที่ใดได้รับคัดเลือกจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่นำไปจัดตั้งโรงไฟฟ้าและได้รับการอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ต้องประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขการใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือข้อกำหนดของผังต่อกรมโยธาธิการและผังเมือง และ 12) กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ (HIA) ตลอดจนจัดทำกระบวนการมีส่วนร่วมตามที่กำหนดในมาตรา 67 ภายใต้รัฐธรรมนูญฯ ปี 2550
3.3 ระหว่างดำเนินตามกระบวนการข้างต้น เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษากำหนดเขตพื้นที่ที่เหมาะสม (Zoning) ในการจัดตั้งโรงไฟฟ้าเบื้องต้นควบคู่กันไป โดยแบ่งเป็น 1) ระยะแรก กำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพเบื้องต้น และจัดทีมงานประสานจังหวัดเป้าหมายในการสร้างความรู้ความเข้าใจควบคู่กับการดำเนินการตามขั้นตอนปกติ ซึ่งควรดำเนินการก่อนที่จะออกประกาศเชิญชวนฯ และ 2) ระยะยาว ศึกษากำหนดเขตพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งโรงไฟฟ้าโดยศึกษาตามหลักเกณฑ์ (Criteria) ที่กำหนด ในข้อ 3.2
4. ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ ประกอบด้วย ความร่วมมือและการยอมรับจากจังหวัด การมีส่วนร่วมของประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการกำหนดให้การจัดตั้งโรงไฟฟ้าเป็นยุทธศาสตร์จังหวัด
5. ข้อเสนอสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ ประกอบด้วย 1) สิทธิประโยชน์ในรูปเม็ดเงิน ควรพิจารณากำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ ได้แก่ การแบ่งสรรรายได้ (Revenue Sharing), กองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้า (Development Fund) และการเก็บภาษีโรงเรือนกิจการโรงไฟฟ้า (Property Tax) และ 2) สิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่เม็ดเงิน ควรพิจารณาตามความต้องการในแต่ละพื้นที่ ได้แก่ การให้สิทธิพิเศษในการจ้างงาน, การก่อสร้างสาธารณูปโภค/สาธารณูปการต่างๆ และการสร้างหลักประกันให้ประชาชนโดยรอบพื้นที่ตั้งเกี่ยวกับด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนจัดให้มีงบประมาณชดเชยความเสียหายในกรณีเกิดผลกระทบจากโครงการ และการจัดทำพื้นที่แนวกันชน (Buffer Zone) ที่ชัดเจนระหว่างชุมชนกับโรงไฟฟ้า
6. การจัดตั้งกลไกการดำเนินการ เห็นควรให้ กกพ. เป็นผู้พิจารณาและดำเนินการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วม และให้จัดตั้งคณะกรรมการที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนเข้าร่วมดำเนินการ โดยผลที่คาดว่าจะได้รับจากการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วม คือ 1) แก้ปัญหาการคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และสามารถจัดตั้งโรงไฟฟ้าได้อย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลาที่กำหนด ส่งผลให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ 2) ส่งเสริมการพัฒนาโรงไฟฟ้าให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชน โดยมีสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนโดยรอบโรงไฟฟ้า และ 3) เป็นต้นแบบการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของประเทศที่สามารถสนับสนุนกระบวนการมีส่วนร่วมประชาชน
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานไปปรับปรุงการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วมตามข้อสังเกตของที่ประชุมฯ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2548 ได้เห็นชอบข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป และมอบหมายให้ สนพ. หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับธุรกิจโรงแรมบนเกาะ เพื่อเสนอ กบง. ให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2550 ได้มีมติเห็นชอบโครงการขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าด้วยสายเคเบิ้ลใต้น้ำไปยังเกาะศรีบอยา เกาะปู และเกาะพีพีดอน จังหวัดกระบี่ (โครงการฯ) ในวงเงิน 620 ล้านบาท โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นผู้ลงทุนร้อยละ 100 ทั้งนี้ การจัดเก็บค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงกว่าอัตราปกติจนกว่าจะคุ้มทุน เห็นควรยกเว้นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่อยู่อาศัยซึ่งมีการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน และให้กระทรวงพลังงานพิจารณาการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าเสนอ กบง. ให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
2. ปัจจุบัน กฟภ. ได้ก่อสร้างระบบเชื่อมโยงด้วยสายเคเบิลใต้น้ำระบบ 33 เควี ระยะทางรวม 27 วงจร-กิโลเมตร แล้วเสร็จและจ่ายไฟฟ้าให้เกาะศรีบอยา และเกาะปูแล้วตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2552 คงเหลืองานก่อสร้างขยายเขตระบบไฟฟ้าไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะพีพีดอน ที่อยู่ระหว่างการขออนุญาตกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อขอใช้พื้นที่ในการก่อสร้างระบบจำหน่ายเชื่อมโยงให้ผู้ใช้ไฟฟ้า
3. สนพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับ กฟภ. โดยเห็นชอบแนวทางการพิจารณา ตลอดจนร่างข้อเสนอหลักเกณฑ์การพิจารณาและแนวทางการกำกับดูแลเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) พิจารณาให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของ กบง. สรุปได้ดังนี้
3.1 แนวทางการจัดทำข้อเสนอการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับโครงการฯสนพ. ได้จัดทำกรณีศึกษาเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของผู้ใช้ไฟฟ้าในเบื้องต้น โดยจำแนกตามประเภทเงินลงทุนโครงการ ความต้องการใช้ไฟฟ้า ระยะเวลาการเรียกเก็บ และกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บ ซึ่งสรุปผลการวิเคราะห์ได้ ดังนี้
ผลของการวิเคราะห์กรณีศึกษาการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษ
สำหรับโครงการขยายเขตติดตั้งด้วยระบบเคเบิ้ลใต้น้ำไปยังเกาะศรีบอยา เกาปู และเกาะพีพีดอน
หมายเหตุ:
1/ ต้นทุนส่วนเพิ่ม คำนวณจากเงินลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการฯ จำนวน 578.6 ล้านบาท โดยนำเงินลงทุนที่เกิดขึ้นจริง (619.1 ล้านบาท) มาปรับลดด้วยเงินลงทุนโครงการขยายเขตไฟฟ้าปกติ (40.5 ล้านบาท)
2/ ต้นทุนจริง คำนวณจากเงินลงทุนที่เกิดขึ้นจริงของโครงการฯ จำนวน 619.1 ล้านบาท
3.2 ร่างข้อเสนอหลักเกณฑ์การพิจารณาอัตราค่าบริการพิเศษ และแนวทางการกำกับดูแลการเรียกเก็บอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะ
3.2.1 หลักเกณฑ์การพิจารณาอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะของโครงการฯ
(1) กำหนดจากหลักเกณฑ์ต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost) โดยพิจารณาเงินลงทุนโครงการที่เกิดขึ้นจริงเฉพาะในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการขยายเขตไฟฟ้าปกติ หารด้วยประมาณการการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (ไม่รวมผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย) เป็นระยะเวลา 10 ปี
(2) การเรียกอัตราค่าบริการพิเศษ จะเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (ไม่รวมบ้านอยู่อาศัย) ในอัตราเดียวกันเท่ากันทุกเกาะ จนกว่าจะครอบคลุมเงินลงทุนที่เกิดขึ้นจริง
(3) เห็นควรกำหนดนิยามผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยเฉพาะสำหรับการเรียกเก็บอัตราค่าบริการ พิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะ คือ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 400 หน่วย/เดือน
3.2.2 การกำกับดูแลการเรียกเก็บอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะศรีบอยา เกาะปู และเกาะพีพีดอน จังหวัดกระบี่ ให้ กฟภ. ดำเนินการ ดังนี้
(1) จัดส่งข้อมูลหลักฐานค่าใช้จ่ายฯ และประมาณการการใช้ไฟฟ้าให้ สกพ. ตรวจสอบการคำนวณและกำหนดระยะเวลาการเรียกเก็บเพื่อแจ้งให้ กฟภ. ดำเนินการออกประกาศอัตราค่าบริการพิเศษ
(2) ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบแนวทางในการเรียกเก็บอัตราค่าบริการพิเศษก่อนการประกาศใช้
(3) ดำเนินการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในอัตราพิเศษได้จนกว่าเงินที่ได้รับจะเท่ากับเงินลงทุนที่เกิดขึ้นจริง โดยให้รายงานยอดการเรียกเก็บค่าบริการพิเศษเป็นรายเดือน และยอดการเรียกเก็บสะสมในแต่ละไตรมาสต่อ สกพ. และเมื่อ กฟภ. ได้รับเงินค่าบริการพิเศษเท่ากับเงินลงทุนแล้ว ให้ กฟภ. แจ้งให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ทราบและยกเลิกการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในอัตราพิเศษ รวมทั้ง รายงานผลการดำเนินงานต่อ สนพ. เพื่อนำเสนอ กบง. ทราบต่อไป
(4) กรณีที่ กฟภ. ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากอัตราพิเศษได้คุ้มกับเงินลงทุนของโครงการภายในระยะเวลา 10 ปี ให้เสนอเรื่องต่ออายุการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าพิเศษต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบล่วงหน้าตามระยะเวลาที่ กกพ. กำหนด
3.2.3 สำหรับการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะอื่นๆ เห็นควรให้ สกพ. และ สนพ. พิจารณาในการศึกษาการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ต่อไป
3.3 กกพ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 มีมติเห็นด้วยในหลักการร่างข้อเสนอการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับโครงการฯ และมีประเด็นข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้
3.3.1 เห็นควรให้ กฟภ. เสนออัตราค่าบริการพิเศษสำหรับโครงการฯ ให้ กกพ. พิจารณาให้ความเห็นชอบตามกระบวนการและขั้นตอนตามมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550
3.3.2 เห็นควรให้ สนพ. พิจารณาตรวจสอบข้อมูลเงินลงทุนของโครงการดังกล่าวกับเงินลงทุนตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า พ.ศ. 2548 เพื่อให้การเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการพิเศษดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดความซ้ำซ้อน และมีความเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้า
3.3.3 เห็นควรให้ สนพ. นำร่างข้อเสนอการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับโครงการฯกำหนดเป็นแนวทางสำหรับพิจารณากำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน รวมทั้งพิจารณาผลกระทบของการเรียกเก็บอัตราค่าบริการพิเศษดังกล่าวต่อผู้ใช้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบข้อเสนอนโยบายและแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะศรีบอยา เกาะปู และเกาะพีพีดอน จังหวัดกระบี่ และการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะอื่นๆ ตามหลักเกณฑ์ในข้อ 3.2.1 และ 3.2.3
2. เห็นควรนำเสนอนโยบายและแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษฯ ตามข้อ 1 ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะตามกระบวนการและขั้นตอนแห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท ต่อมาได้มีมติเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 อนุมัติงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้
2. ตามกรอบแผนการจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2553 งบค่าใช้จ่ายอื่นที่ กบง. ได้อนุมัติไว้เป็นเงิน 300 ล้านบาท ได้มีหน่วยงานในกระทรวงพลังงาน จัดทำข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) 1 โครงการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) 2 โครงการ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) 8 โครงการ และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) 1 ข้อเสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1 โครงการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน โดยมีสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สป.พน. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 7 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน (365 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญามีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกลไกรองรับการตอบสนองสภาวะวิกฤตจากการจัดหาพลังงานของประเทศ และสร้างแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานที่เหมาะสมสำหรับสภาวะวิกฤตพลังงานประเทศไทย ประกอบกับสร้างความพร้อมให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานในการเข้าใจความเสี่ยงด้านพลังงานของประเทศ ดำเนินงานโดยจัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินการ ดังนี้ 1) ศึกษาและวิเคราะห์แผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานที่มีการดำเนินการมาก่อน เพื่อนำแนวทางที่ได้มาประยุกต์ใช้ 2) ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะด้านพลังงานและแผนต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน และ 3) จัดประชุมซ้อมแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาสัมพันธ์การจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานให้กับสื่อมวลชน
2.2 โครงการศึกษาทบทวนการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ และการศึกษาต้นทุนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) โดยมีสำนักนโยบายปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สนพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 35 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทบทวนการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ รวมถึงก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และการศึกษาต้นทุนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)สำหรับใช้ในการกำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติและ NGV ในประเทศเพื่อให้การกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและราคาขายปลีก NGV มีความชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม การดำเนินการโดยจัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินการ แบ่งการศึกษาวิจัยเป็น 3 ส่วน คือ
1) การศึกษาทบทวนโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ เป็นการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอแนะสูตรโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติที่เหมาะสม รวมถึงตัวแปรภายใต้สูตรโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ พร้อมทั้งศึกษาทบทวนระเบียบ กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ และเสนอแนะกลยุทธ์การบริหารจัดการผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ
2) การศึกษาวิจัยต้นทุนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ เป็นการศึกษา รวบรวมข้อมูลต้นทุนการผลิตก๊าซ NGV ในระดับประเทศและต่างประเทศ ศึกษาวิจัยเทคโนโลยีและขบวนการผลิตก๊าซ NGV วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและการลงทุนในส่วนสถานีบริการ NGV ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการลงทุนในส่วนการขนส่ง NGV ทางรถยนต์และทางท่อ พร้อมทั้งเสนอแนะรูปแบบและโครงสร้างราคาก๊าซ NGV ที่เหมาะสม ตลอดจนศึกษาทบทวนระเบียบ กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง และเสนอแนะกลยุทธ์การบริหารจัดการผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการกำหนดราคา NGV
3) การประชุมจัดสัมมนาทางวิชาการ เกี่ยวกับผลการศึกษาวิจัยเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 1 ครั้ง และศึกษาดูงานจำนวน 1 ครั้ง
2.3 โครงการศึกษาทัศนคติของประชาชนต่อการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4จังหวะ โดยมีสำนักนโยบายปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สนพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 2,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน หรือ 90 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา มีวัตถุประสงค์1) ศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ต่อการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 95/91 และ/หรือน้ำมันเบนซิน 91 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการใช้/ไม่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ตลอดจนปัจจัยที่จะทำให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล/ใช้เพิ่มขึ้นในอนาคต 3) ศึกษาระดับความพึงพอใจต่อการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 4) ศึกษาการรับรู้ ทัศนคติและความคิดเห็นของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะต่อการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 5) รับทราบสัดส่วนผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ที่เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโครงการฯ และประมาณการจำนวนผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะในปัจจุบัน และ 6) เพื่อนำผลที่ได้ไปเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนงานการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะทั่วประเทศ การดำเนินการโดยจัดจ้างที่ปรึกษา โดยมีขอบเขตการดำเนินงานดังนี้ 1) จัดทำแผนงานประเมินผลการรับรู้ ทัศนคติ และประมาณการจำนวนผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ และ 2) จัดทำแผนงานประเมินผลรับรู้ประสิทธิภาพของโครงการประชาสัมพันธ์
2.4 โครงการ LPG SAFETY 2010 (โครงการ แอล พี จี เซฟตี้ ทูเทาซัน เท็น) โดยมีสำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 13.5 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 11 เดือน (มกราคม 2553 - พฤศจิกายน 2553) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนที่เข้าร่วมฝึกอบรม ได้มีความรู้ ความเข้าใจเบื้องต้นทางด้านการใช้พลังงานอย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยเฉพาะการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว และสามารถนำความรู้ไปถ่ายทอดแก่ชุมชนได้ ดำเนินการโดยจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการฝึกอบรม สาธิตและทดลองปฏิบัติ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 14,400 คน จาก 24 จังหวัด
2.5 โครงการประชาสัมพันธ์ตามภารกิจกรมธุรกิจพลังงาน ประจำปี 2553 โดยมีสำนักบริหารกลาง ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 12 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 13 เดือน นับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ภารกิจและยุทธศาสตร์ด้านพลังงานที่ ธพ. รับผิดชอบ ให้ประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง ลักษณะโครงการเป็นการจัดทำแผนแม่บทการประชาสัมพันธ์ของ ธพ. โดยสอดคล้องกับแผนแม่บทการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงาน และดำเนินการผลิตข่าว จัดสัมภาษณ์ผู้บริหาร เผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจ มั่นใจในการใช้เชื้อเพลิง ได้แก่ NGV, Gasohol, Biodiesel และ LCNG ผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค
2.6 โครงการศึกษาและพัฒนาระบบการสำรองเอทานอลและไบโอดีเซลเพื่อรองรับนโยบายส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ โดยมีสำนักบริการธุรกิจและการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 10 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการสำรองเอทานอลและไบโอดีเซลที่เหมาะสมสำหรับประเทศ และเสนอแนวทางระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์เอทานอลและไบโอดีเซลที่มีประสิทธิภาพ ดำเนินการโดยว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินโครงการ โดยมีขอบเขตของงานแบ่งเป็น 1) การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการสำรองเอทานอลและไบโอดีเซล และ 2) การจัดประชุมสัมมนานำเสนอผลการศึกษาวิจัยและรับฟังความคิดเห็น
2.7 โครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ปีที่ 3 โดยมีสำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมัน ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 5.2 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงพัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการและการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง ดำเนินการโดยจัดโครงการเชิญชวนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่ประสงค์ขอรับเครื่องหมายรับรองปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ จะต้องจัดทำคู่มือการปฏิบัติการระบบการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงและความปลอดภัย และให้สถานีบริการที่รับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ส่งสถานีบริการน้ำมันของตนให้ ธพ. ประเมินเพื่อรับรองมาตรฐาน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีสถานีบริการเข้าร่วมโครงการประมาณ 1,500 แห่ง
2.8 โครงการฝึกอบรมการทดสอบและตรวจสอบแบบไม่ทำลาย (Non Destructive Test) PT, MT, UT, RT ระดับ 1, 2 และ 3 โดยมีสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 11,970,090 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน (มกราคม 2553 - ธันวาคม 2553) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรของ ธพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้ ความสามารถในด้านการทดสอบความปลอดภัยของระบบและอุปกรณ์กิจการน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซปิโตรเลียมเหลว และก๊าซธรรมชาติ ดำเนินการโดยฝึกอบรมบุคลากรของ ธพ. สป.พน. พลังงานจังหวัด และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่ปฏิบัติงานด้านการทดสอบแบบไม่ทำลาย โดย ธพ. เป็นผู้ดำเนินการและรับผิดชอบโครงการทั้งหมด
2.9 โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV ในรถยนต์ โดยมีสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 1,977,900 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน (มกราคม 2553 - กันยายน 2553) มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ภาคเอกชนและประชาชนได้มีความรู้ ความสามารถ ความชำนาญในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ได้ถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัย และเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ ดำเนินการโดยจัดฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้บุคลากรของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปที่สนใจเปิดร้านติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยแบ่งเป็น หลักสูตรที่ 1 (ภาคทฤษฎี) เป็นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ NGV และหลักสูตรที่ 2 (ภาคปฏิบัติ) เป็นความรู้ในการติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ขนาดใหญ่ จำนวน 3 วัน โดยผู้เข้าอบรมหลักสูตรที่ 2 ต้องสอบผ่านหลักสูตรที่ 1 ตามเกณฑ์การทดสอบ โดยใช้สถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เป็นสถานที่ฝึกอบรม
2.10 โครงการจัดทำแผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีสำนักคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 4 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 14 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินการของ ธพ. ให้สามารถตอบสนองนโยบาย ภารกิจและความต้องการของผู้บริโภค และเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกประเทศ ในฐานะเป็นจุดศูนย์กลางการทดสอบและการกำกับดูแลด้านธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ ดำเนินการโดยจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษา รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานด้านคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบการควบคุมคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำมาวิเคราะห์และประมวลผลในการจัดทำแผนแม่บท
2.11 โครงการขยายขีดความสามารถด้านการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีสำนักคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ วงเงิน 89.9 ล้านบาทระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา มีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการกำกับดูแลคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่าย ณ สถานีบริการ และส่งเสริมให้สำนักวิชาการพลังงานภาค 1-12 ได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของสถานีบริการในพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ใช้น้ำมันที่มีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่กรมธุรกิจพลังงานกำหนด การดำเนินการโดย 1) จัดทำหน่วยตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง แบ่งเป็น จัดหารถยนต์พร้อมเครื่องมือตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อส่งมอบให้สำนักวิชาการพลังงานภาค 1-12 สำนักฯ ละ 1 ชุด รวม 12 ชุด และจัดหาเครื่องมือตรวจสอบต้นแบบเพื่อใช้ในการสอบเทียบและใช้ทดแทนกรณีเครื่องเสีย จำนวน 3 ชุด 2) การฝึกอบรมเกี่ยวกับวิธีการใช้เครื่องมือตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน และการบำรุงรักษา รวมทั้งการสอบเทียบเครื่องมือ 3) จัดทำแผนการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงสถานีบริการที่อยู่ในพื้นที่ให้สำนักวิชาการพลังงานภาค 4) สำนักวิชาการพลังงานภาค 1-12 และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของ ธพ. ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สถานีบริการ และ 5) ติดตามผลการดำเนินงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
2.12 การย้ายที่ทำการใหม่ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.)เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการเช่าพื้นที่อาคารศูนย์รวมการจัดการด้านพลังงานของประเทศเพื่อเป็นอาคารสถานที่ตั้งกระทรวงพลังงานและหน่วยงานในสังกัด สบพน. เสนอขอรับงบประมาณสำหรับการย้ายที่ทำการใหม่จากงบประมาณประจำปีเป็นเงิน 2.5661 ล้านบาท แต่ได้รับอนุมัติเพียง 0.6868 ล้านบาท และ สบพน. ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในการย้ายที่ทำการใหม่ เป็นเงิน 3.7071 ล้านบาท ดังนั้น สบพน. จึงขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการย้ายที่ทำการของ สบพน. ใหม่ ในส่วนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นเงิน 3,020,325 บาท
3. คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552 วันที่ 5 มกราคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 จำนวน 12 โครงการ วงเงินรวม 195,568,315 บาท (หนึ่งร้อยเก้าสิบห้าล้านห้าแสนหกหมื่นแปดพันสามร้อยสิบห้าบาทถ้วน) ดังรายละเอียดตามตารางที่ 1 ดังนี้
ตารางที่ 1 สรุปโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินงบค่าใช้จ่ายอื่นจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ
หน่วยงาน / โครงการ | ระยะเวลาดำเนินการ | งบประมาณ (บาท) |
สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 7,000,000 | |
1. โครงการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน | 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา | 7,000,000 |
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 37,000,000 | |
1. โครงการศึกษาทบทวนการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ และการศึกษาต้นทุนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) | 8 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา | 35,000,000 |
2. โครงการศึกษาทัศนคติของประชาชนต่อการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ | 3 เดือน (90 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญา | 2,000,000 |
กรมธุรกิจพลังงาน | 148,547,990 | |
1. โครงการ LPG SAFETY 2010 (โครงการ แอล พี จี เซฟตี้ ทูเทาซัน เท็น) |
11 เดือน (ม.ค.53 - พ.ย.53) |
13,500,000 |
2. โครงการประชาสัมพันธ์ภารกิจกรมธุรกิจพลังงาน ประจำปี 2553 | 13 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา | 12,000,000 |
3. โครงการศึกษาและพัฒนาระบบการสำรองเอทานอลและไบโอดีเซลเพื่อรองรับนโยบายส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ | 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา | 10,000,000 |
4. โครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ปีที่ 3 | 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา | 5,200,000 |
5. โครงการฝึกอบรมการทดสอบและตรวจสอบแบบไม่ทำลาย (Non Destructive Test) PT, MT, UT, RT ระดับ 1, 2 และ 3 | 12 เดือน (ม.ค.53 - ธ.ค.53) |
11,970,090 |
6. โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV ในรถยนต์ | 9 เดือน (ม.ค.53 - ก.ย.53) |
1,977,900 |
7. โครงการจัดทำแผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง | 14 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา | 4,000,000 |
8. โครงการขยายขีดความสามารถด้านการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง | 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา | 89,900,000 |
สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 3,020,325 | |
1. ค่าใช้จ่ายสำหรับการย้ายที่ทำการใหม่ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) | - | 3,020,325 |
รวม 4 หน่วยงาน เป็นเงิน | 195,568,315 |
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีความเห็นว่า การขอเงินสนับสนุนของ ธพ. ครั้งนี้มีจำนวนเงินรวมค่อนข้างมาก คิดเป็นประมาณร้อยละ 50 ของเงินสำรองที่ กบง. ได้อนุมัติไว้ 300 ล้านบาท จึงเห็นว่าควรปรับลดเงินสนับสนุนในโครงการขยายขีดความสามารถด้านการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงลง โดยให้ทยอยจัดซื้อรถยนต์พร้อมเครื่องมือตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงในปีแรกประมาณ 3-4 ชุด เพื่อเป็นการนำร่อง แล้วเมื่อสามารถดำเนินการได้ผลสำเร็จ จึงกลับมาขอเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ จัดซื้อในส่วนที่ขาดในปีต่อไปนอกจากนี้ โครงการของ ธพ. 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ LPG SAFETY 2010, โครงการฝึกอบรมการทดสอบและตรวจสอบแบบไม่ทำลาย (Non Destructive Test) PT, MT, UT, RT ระดับ 1, 2 และ 3 และ โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV ในรถยนต์ มีระยะเวลาดำเนินโครงการเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2553 ซึ่งขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาแล้ว จึงเห็นควรปรับระยะเวลาดำเนินงานของ 3 โครงการดังกล่าวข้างต้น โดยกำหนดเป็นจำนวนเดือนนับจากวันที่ลงนามในสัญญาแทน
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้หน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจำนวน 12 โครงการ เป็นจำนวนเงินรวม 129,543,315 บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบเก้าล้านห้าแสนสี่หมื่นสามพันสามร้อยสิบห้าบาทถ้วน) ดังนี้
1. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในการดำเนินงานโครงการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน ในวงเงิน 7,000,000 บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน (365 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2553
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ จำนวน 2 โครงการ เป็นเงินรวม 37,000,000 บาท (สามสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ดังนี้
- 2.1 โครงการศึกษาทบทวนการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ และการศึกษาต้นทุนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)ในวงเงิน 35,000,000 บาท (สามสิบห้าล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
- 2.2 โครงการศึกษาทัศนคติของประชาชนต่อการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน (90 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
- โดยให้แต่ละโครงการสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2553
3. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้กรมธุรกิจพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ จำนวน 8 โครงการ ในวงเงิน 82,522,990 บาท (แปดสิบสองล้านห้าแสนสองหมื่นสองพันเก้าร้อยเก้าสิบบาทถ้วน) ดังนี้
3.1 โครงการ LPG SAFETY 2010 (โครงการ แอล พี จี เซฟตี้ ทูเทาซัน เท็น) ในวงเงิน 13,500,000 บาท (สิบสามล้านห้าแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 11 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์ภารกิจกรมธุรกิจพลังงาน ประจำปี 2553 ในวงเงิน 12,000,000 บาท (สิบสองล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 13 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
3.3 โครงการศึกษาและพัฒนาระบบการสำรองเอทานอลและไบโอดีเซลเพื่อรองรับนโยบายส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ในวงเงิน 10,000,000 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
3.4 โครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ปีที่ 3 ในวงเงิน 5,200,000 บาท (ห้าล้านสองแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
3.5 โครงการฝึกอบรมการทดสอบและตรวจสอบแบบไม่ทำลาย (Non Destructive Test) PT, MT, UT, RT ระดับ 1, 2 และ 3 ในวงเงิน 11,970,090 บาท (สิบเอ็ดล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นเก้าสิบบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
3.6 โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV ในรถยนต์ ในวงเงิน 1,977,900 บาท (หนึ่งล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดพันเก้าร้อยบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
3.7 โครงการจัดทำแผนแม่บทการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 4,000,000 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 14 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
3.8 โครงการขยายขีดความสามารถด้านการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 23,875,000 บาท (ยี่สิบสามล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
โดยให้แต่ละโครงการสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2553
4. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการย้ายที่ทำการใหม่ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) จำนวน 3,020,325 บาท (สามล้านสองหมื่นสามร้อยยี่สิบห้าบาทถ้วน)
เรื่องที่ 7 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส ในช่วงวันที่ 1 - 23 กุมภาพันธ์ 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.16 และ 75.96 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 3.54 และ 2.34 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จาก Energy Information Administration (EIA) ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มประมาณการปริมาณผลิตน้ำมันดิบของประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก (Non-OPEC) ในปี 2553 ขึ้น 10,000 บาร์เรล/วัน จากประมาณการครั้งก่อน ส่งผลให้ EIA คาดว่าปริมาณผลิตน้ำมันดิบนอกกลุ่มโอเปกในปี 2553 จะปรับเพิ่มขึ้น 0.43 ล้านบาร์เรล/วัน จากปี 2552 มาอยู่ที่ระดับ 50.66 ล้านบาร์เรล/วัน และปริมาณการส่งออกรวมของกลุ่มโอเปก เพิ่มขึ้น 23.36 ล้านบาร์เรล/วัน ณ วันที่ 30 มกราคม 2553 รวมทั้ง EIA รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 2.4 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 331.4 ล้านบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในช่วงวันที่ 1 - 23 กุมภาพันธ์ 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.09, 83.16 และ 81.80 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 1.91, 1.71 และ 2.44 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบ และ Petroleum Association of Japan (PAJ) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินเชิงพาณิชย์ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553 เพิ่มขึ้น 0.19 ล้านบาร์เรล ขณะที่ International Enterprise Singapore (IES) ของสิงคโปร์รายงานปริมาณสำรอง Light Distillates ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2553 เพิ่มขึ้น 0.59 ล้านบาร์เรล และ PAJ รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดีเซลเชิงพาณิชย์สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2553 เพิ่มขึ้น 0.24 ล้านบาร์เรล ประกอบกับความต้องการน้ำมันดีเซลของอินเดียลดลงจากเนื่องจากรัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนคุณภาพน้ำมันจาก Euro 3 เป็น Euro 4 ใน 13 เมืองใหญ่โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2553 เป็นต้นไป รวมทั้ง Pertamina ของอินโดนีเซียมีความต้องการนำเข้าน้ำมันดีเซลเดือนมีนาคม 2553 ที่ 100,000 บาร์เรล/วัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ที่ 140,000 บาร์เรล/วัน
3. ในช่วงวันที่ 1 - 24 กุมภาพันธ์ 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.10 บาท/ลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการปรับราคา ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 อยู่ที่ระดับ 41.94, 36.94, 33.34, 31.04, 18.72, 31.84, 28.69 และ 27.49 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 3 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 735 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบและสภาพอุปสงค์อ่อนตัว ส่วนราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนมีนาคม 2553 คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 684 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน รัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ระดับ 11.0394 บาท/กิโลกรัม และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ 18.13 บาท/กิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - 22 กุมภาพันธ์ 2553 ได้มีการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 1,413,710 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 18,075 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนธันวาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 17 ราย กำลังการผลิตรวม 2.73 ล้านลิตร/วัน ผลิตเป็นเชื้อเพลิง 13 ราย มีปริมาณการผลิตจริง 1.38 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนกุมภาพันธ์ 2553 อยู่ที่ 21.01 บาท/ลิตร ในเดือนมกราคม 2553 และในช่วงวันที่ 1 - 13 กุมภาพันธ์ 2553 มีปริมาณการจำหน่าย 11.4 และ 12.2 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการ 4,287 แห่ง ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 3.60 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 5.10 บาท/ลิตร ในเดือนมกราคม 2553 และในช่วงวันที่ 1 - 13 กุมภาพันธ์ 2553 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณจำหน่าย 0.29 และ 0.32 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการ 271 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในเดือนมกราคม 2553 มีปริมาณการจำหน่าย 0.0030 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 5 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 14.62 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล ในเดือนมกราคม 2553 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 14 ราย กำลังการผลิตรวม 5.95 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนมกราคม 2553 และในช่วงวันที่ 1 - 13 กุมภาพันธ์ 2553 อยู่ที่ 1.65 และ 1.86 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 31.46 และ 29.53 บาท/ลิตร ตามลำดับ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในช่วงเวลาเดียวกัน 21.72 และ 23.77 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,676 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 0.80 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.20 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553 มีเงินสดในบัญชี 32,032 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุนฯ 11,328 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 11,028 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 300 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 20,704 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.32 บาท/ลิตร มาอยู่ที่ระดับ 0.85 บาท/ลิตร และให้ปรับอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เป็น 0.80 บาท/ลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยมอบหมายให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 มกราคม 2553 เป็นต้นไป และเห็นชอบให้ทยอยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 ให้ถึงระดับเพดาน 7.50 บาท/ลิตร โดยให้ส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ในระดับ 1.50 บาท/ลิตร และให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 มากกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ในระดับ 3.00 บาท/ลิตร โดยรักษาระดับค่าการตลาดและส่วนต่างราคาขายปลีกกับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศต่อไป
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ของน้ำมันเบนซิน 95 ได้ปรับตัวลดลง 4.36 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับสูง สนพ. จึงเห็นควรให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล 95 และ E20 เพิ่มขึ้น 0.50, 0.53 และ 0.06 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนแก๊สโซฮอล 91 และ E85 ลดลง 0.27 และ 0.70 บาท/ลิตร ตามลำดับ เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยไม่ส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งประธาน กบง. ได้อนุมัติให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ดังกล่าว โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 ทั้งนี้การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้ จะไม่ส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง แต่จะทำให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสมและเมื่อประมาณการสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ พบว่ากองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเดือนละ 196 ล้านบาท เป็น 438 ล้านบาท/เดือน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 ได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ในเรื่องของมาตรการการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ในปัจจุบัน โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่จำนวน 30,000 คัน มีค่าใช้จ่ายประมาณคันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ให้มาใช้ NGV จะสามารถช่วยประเทศในการลดการใช้ก๊าซ LPG ได้ประมาณ 30,000 ตัน/เดือน คิดเป็นเงินที่ช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน
2. เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และให้ สป.พน. และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG โดยอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการ ในวงเงิน 12,400,000 บาท แบ่งเป็น 1) ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา จำนวน 3,400,000 บาท และ 2) ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG ประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
3. เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดการซากอุปกรณ์และถัง LPG หลังจากที่ถูกทำลายแล้ว เพื่อ ธพ. จะได้กำหนดไว้ในเงื่อนไขของร่างขอบเขตงานและเอกสารประกวดราคาต่อไป โดยซากอุปกรณ์และถัง LPG ที่ถูกทำลายแล้วนั้น ยังไม่มีการกำหนดหน่วยงานเพื่อจัดเก็บหรือนำไปดำเนินการต่อ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นควรให้ ธพ. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG เป็นผู้ดำเนินการนำซากอุปกรณ์และถัง LPG ที่ถูกทำลายแล้วไปดำเนินการจำหน่ายตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายซากอุปกรณ์และถัง LPG ที่ถูกทำลายแล้วนั้น ให้ ธพ. ดำเนินการส่งคืนต่อกองทุนน้ำมันฯ ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. ให้กรมธุรกิจพลังงานดำเนินการจำหน่ายซากอุปกรณ์และถัง LPG ภายหลังการทำลายแล้วเสร็จ และเมื่อกรมธุรกิจพลังงานดำเนินการจำหน่ายซากอุปกรณ์และถัง LPG แล้วเสร็จ ให้นำส่งเงินรายได้จากการจำหน่ายดังกล่าวให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการจำหน่ายพัสดุให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2. ให้กรมธุรกิจพลังงานจัดตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินการจำหน่ายซากอุปกรณ์และถัง LPG โดยประกอบด้วยผู้แทนจากกรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
- ขอขยายระยะเวลา
- โครงการจำหน่ายน้ำมัน
- การแก้ไขปัญหา
- ก๊าซปิโตรเลียมเหลว
- มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงาน
- การกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า
- การกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษ
- สายเคเบิ้ลใต้น้ำ
- การขอรับเงินสนับสนุน
- งบค่าใช้จ่าย
- สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
- น้ำมันเชื้อเพลิง
- การจัดการซากอุปกรณ์และถัง LPG
- กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG
- รถแท็กซี่ NGV
ครั้งที่ 54 - วันพฤหัสบดี ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2553 (ครั้งที่ 54)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
2. การใช้น้ำมันไบโอดีเซล B3 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา
3. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2553
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 และวันที่ 24 มกราคม 2551 เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ดังนี้
โดยที่
B100 คือ ราคาขายไบโอดีเซล (B100) ในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/ลิตร
CPO คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
MtOH คือ ราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
2. เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลซึ่งคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์และสเตียรีน และให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
3. ปัจจุบันมีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้รับความเห็นชอบการจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายไบโอดีเซลจากกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จำนวน 14 ราย กำลังการผลิต 5.90 ล้านลิตร/วัน วัตถุดิบที่ใช้ผลิตไบโอดีเซล ปี 2552 แบ่งเป็น น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ร้อยละ 22.93 น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD) ร้อยละ 40.53 ไขปาล์ม (สเตียรีน) ร้อยละ 36.21 และ น้ำมันพืชใช้แล้ว ร้อยละ 0.33
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล โดยมีสมมติฐานดังนี้
ต้นทุน | CPO | สเตียรีน | หน่วย |
1. เงินลงทุน | 384 | 142 | ล้านบาท |
2. กำลังผลิตติดตั้ง | 300,000 | 250,000 | ลิตร/วัน |
3. อัตราคิดลด | 6.5 | 6.5 | ร้อยละ |
4. ประสิทธิภาพการผลิต | 80 | 80 | ร้อยละ |
5. อายุโครงการ | 15 | 15 | ปี |
6. ค่าซ่อมบำรุง | 5 | 5 | ร้อยละของเงินลงทุน |
7. ค่าประกันภัย | 2 | 2 | ร้อยละของเงินลงทุน |
หมายเหตุ :
ข้อ 1, 2 ใช้ข้อมูลในขั้นตอนการขอรับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
ข้อ 3 - 6 เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปในการพิจารณาโครงการ
จากสมมติฐานข้างต้นจะได้ต้นทุนไบโอดีเซลต่อหน่วย ดังนี้
ต้นทุน (หน่วย: บาท/ลิตร) | CPO | สเตียรีน | RBD |
1. Total Initial Investment Cost (ค่าลงทุนเบื้องต้น : ค่าเครื่องจักร ค่าที่ดิน ค่าระบบบำบัด ค่าใช้จ่ายและเงินทุนแรกเริ่ม) |
0.46 | 0.21 | 0.21 |
2. Chemicals and Process Water (ค่าสารเคมีและน้ำดิบ) |
0.87 | 0.51 | 0.51 |
3. Utilities (ค่าพลังงาน/สาธารณูปโภค) | 1.16 | 0.91 | 0.91 |
4. Maintenances (ค่าซ่อมบำรุง) | 0.05 | 0.02 | 0.02 |
5. Insurances (ค่าประกันภัย) | 0.02 | 0.01 | 0.01 |
6. Labor (ค่าแรงทางตรง) | 0.40 | 0.38 | 0.38 |
7. Sales, General & Administrative Expenses (ค่าบริหารจัดการ) |
0.49 | 0.49 | 0.49 |
B100 Production Cost (ต้นทุนการผลิต) | 3.46 | 2.52 | 2.52 |
0.36 | 0.165 | 0.165 | |
ราคาไบโอดีเซล | 3.82 | 2.69 | 2.69 |
หมายเหตุ :
1. IRR = 12.5 %
2. เนื่องจากไม่มีต้นทุนไบโอดีเซลจากวัตถุดิบ RBD เพื่อให้ได้ต้นทุนการผลิต การศึกษาครั้งนี้จึงได้เทียบเคียงต้นทุน RBD จากสเตียรีนเพราะมีกระบวนการผลิตแบบเดียวกัน
5. จากการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล โดยใช้ระบบการคำนวณต้นทุนการผลิต (Cost Plus) ตามข้อสมมติฐานข้างต้น ทำให้ได้ผลการศึกษาการกำหนดราคาไบโอดีเซลตามวัตถุดิบในการผลิต ดังนี้
5.1 ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มดิบ (CPO)
5.2 ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากสเตียรีน
5.3 ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD)
โดยที่
6. เพื่อให้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรม
ไบโอดีเซลซึ่งคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์และ
สเตียรีน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอหลักเกณฑ์ ดังนี้
โดยที่
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลซึ่งคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์และสเตียรีน ดังนี้
โดยที่
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มดิบ (CPO)
โดยที่
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากสเตียรีน
โดยที่
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD)
โดยที่
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 2 การใช้น้ำมันไบโอดีเซล B3 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา
สรุปสาระสำคัญ
1. เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มมากขึ้นและเป็นไปตามแผนปฏิบัติการการพัฒนาและส่งเสริมไบโอดีเซลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการค้าภายใน ,สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, ธพ., สนพ. และผู้ผลิตไบโอดีเซล ว่าในปี 2553 จะมีน้ำมันปาล์มดิบเพียงพอต่อการใช้บริโภค อุตสาหกรรมพลังงาน และการส่งออก ต่อมาเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2553 พพ. ได้ทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อพิจารณาบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3) เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และให้มีน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เป็นทางเลือก เนื่องจากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล (B100) มีปริมาณเพียงพอสามารถปรับอัตราส่วนผสมจากดีเซลหมุนเร็ว (B2) เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3) ได้
2. ในเดือนมีนาคม 2553 มีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของ ธพ. 14 ราย โดยมีกำลังการผลิตรวม 5.95 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลอยู่ที่ 1.72 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลเดือนเมษายน อยู่ที่ 30.02 บาท/ลิตร มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B2) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 จำนวน 32.44 และ 21.46 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 รวม 3,721 แห่ง
3. ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.80 บาท/ลิตร และเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B2) 0.85 บาท/ลิตร ซึ่งทำให้ราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B2) 1.20 บาท/ลิตร
4. เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบกรอบแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี (พ.ศ. 2551 - 2565) กำหนดเป้าหมายการใช้ไบโอดีเซลเพื่อทดแทนน้ำมันดีเซล โดยให้มีการใช้ไบโอดีเซลเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ภายในปี 2554 ทั้งนี้ในช่วงระยะก่อนที่จะมีการบังคับใช้ จำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เพียงเกรดเดียว เนื่องจากปัจจุบันน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมี 2 ชนิด ได้แก่ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B2) และ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ซึ่งมีโครงสร้างราคาที่แตกต่างกัน ดังตารางต่อไปนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว วันที่ 21 เมษายน 2553
ดังนั้นเพื่อให้มีการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กระทรวงพลังงานจึงเสนอแนวทางการดำเนินการ ดังนี้
4.1 เนื่องจากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล (B100) มีปริมาณเพียงพอสามารถปรับอัตราส่วนผสมจากดีเซลหมุนเร็ว (B2) เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3) ได้ กระทรวงพลังงานจึงขอเสนอให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วต้องมีส่วนผสมของไบโอดีเซลร้อยละ 3 โดยมีผลบังคับใช้ภายใน 45 วัน หลังจาก กบง.มีมติเห็นชอบ
4.2 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ภายในปี 2554 จะต้องมีการติดตามและประเมินอีกครั้งว่าจะมีผลผลิตปาล์มน้ำมันเพียงพอหรือไม่ ในช่วงปลายปี 2553 และในช่วงก่อนการบังคับใช้ จำเป็นต้องดูแลราคาน้ำมันดีเซลให้มีความเหมาะสม โดยจะต้องมีการปรับลดอัตราเงินชดเชยและลดการเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ ส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3) กับ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง ทั้งนี้ในขั้นแรกจะปรับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3) กับ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.30 บาท/ลิตร จากเดิม 1.20 บาท/ลิตร เป็น 0.90 บาท/ลิตร และลดส่วนต่างของค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B2) กับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 จากระดับ 0.30 บาท/ลิตร เหลือ 0.20 บาท/ลิตร โดยลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดีเซลหมุนเร็ว (B2) ลง 0.20 บาท/ลิตร และลดอัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลง 0.30 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3) ลดลง 0.30 บาท/ลิตร ในขณะที่ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 คงที่ หลังจากนั้นจะพิจารณาปรับลดอัตราการชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะพยายามไม่ให้กระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซึ่งจะปรับในเวลาที่เหมาะสมช่วงราคาน้ำมันขาลง จึงเห็นควรมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯดังกล่าวข้างต้น และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศต่อไป
โครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B3 หลังประกาศมีผลบังคับใช้
4.3 ขอความร่วมมือให้ ปตท. และ บางจาก ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการดำเนินการปรับเปลี่ยนจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B2) เป็น น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3)
4.4 มอบให้ สนพ., ธพ. และ พพ. รับไปดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพื่อเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วชนิดเดียวในปี 2554
5. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2552 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อให้โครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสอดคล้องกับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลร้อยละ 3 กับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์และนำเสนอ กบง.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป โดยมีหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว | = |
97% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว(อ้างอิงตลาดสิงคโปร์) |
โดยที่
- ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ (บาท/ลิตร) คำนวณจาก
- (ราคา MOPS GO 0.5% + พรีเมียม) ที่ 60 0 F x อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984
- ราคา MOPS GO 0.5% คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซัลเฟอร์ 0.5% จาก Mean of Platt's Singapore (เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล)
- พรีเมียม คือ ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และ ค่า Loss
- ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- ค่าขนส่ง World Scala กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล)
- ค่าประกันภัย ร้อยละ 0.084 ของ C&F
- ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF
- อัตราแลกเปลี่ยน อ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาท/เหรียญสหรัฐฯ)
ใช้ Conversion factor 60 0 F / 86 0 F
- ราคาไบโอดีเซล (B100) อ้างอิงจากประกาศ กบง. ( บาท/ลิตร)
6. ในการบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซลร้อยละ 3 ธพ.ต้องออกประกาศคุณสมบัติน้ำมันดีเซลหมุนเร็วใหม่และประกาศในราชกิจจานุเบกษา รวมทั้งผู้ค้าน้ำมันจะต้องใช้เวลาในการเตรียมการเกี่ยวกับระบบหัวจ่าย การจัดหาไบโอดีเซล (B100) และอื่นๆ อีก ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 45 วัน
7. หากเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามแนวทางการดำเนินการในข้อ 4.2 กองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น 17 ล้านบาท/เดือน จาก 483 ล้านบาท/เดือน เป็น 500 ล้านบาท/เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซล โดยบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3) เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา แทนการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B2) ดังนี้
1.1 กำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาต้องมีส่วนผสมของไบโอดีเซล ร้อยละ 3
1.2 ปรับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3) กับ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.30 บาท/ลิตร จากเดิม 1.20 บาท/ลิตร เป็น 0.90 บาท/ลิตร โดยลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B2) ลง 0.20 บาท/ลิตร และลดอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลง 0.30 บาท/ลิตร และคงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ไว้ ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้วันเดียวกันกับประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล มีผลบังคับใช้
1.3 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับอัตราเงินส่งเข้า (ชดเชย) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเวลาที่เหมาะสม เพื่อเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วชนิดเดียวในปี 2554
1.4 ขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการดำเนินการปรับเปลี่ยนจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B2) เป็น น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B3)
1.5 มอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน รับไปดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพื่อเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วชนิดเดียวในปี 2554
2. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว | = | 97% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว(อ้างอิงตลาดสิงคโปร์) + 3% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
โดยที่ ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ (บาท/ลิตร) คำนวณจาก
- (ราคา MOPS GO 0.5% + พรีเมียม) ที่ 60 0 F x อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984
- ราคา MOPS GO 0.5% คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซัลเฟอร์ 0.5% จาก Mean of Platt's Singapore (เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล)
- พรีเมียม คือ ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และ ค่า Loss
- ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล)
- ค่าประกันภัย ร้อยละ 0.084 ของ C&F
- ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF
- อัตราแลกเปลี่ยน อ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาท/เหรียญสหรัฐฯ)
- ใช้ Conversion factor 60 0 F / 86 0 F
- ราคาไบโอดีเซล (B100) อ้างอิงจากประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (บาท/ลิตร)
3. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศการกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาต้องผสมไบโอดีเซล ร้อยละ 3 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2553
เรื่องที่ 3 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2553
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณนำระบบการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ซึ่งกรมบัญชีกลางได้พิจารณาเห็นชอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้การดำเนินการจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปตามระบบการประเมินผล ซึ่งประธาน กบง. ได้มีคำสั่ง กบง. ที่ 5/2552 ลงวันที่ 4 กันยายน 2552 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. โดยได้จัดส่งกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2553 มาให้เพื่อเป็นแนวทางการประเมินผลกองทุนหมุนเวียน ในปี 2553
3. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2553 คณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ได้มีมติเห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2553 ประกอบด้วย 4 ส่วน ดังนี้ 1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (ร้อยละ 22) ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ ร้อยละของความต้องการใช้เงินต่อการจัดหาเงินได้ของกองทุนฯ ในปีงบประมาณ และอัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ 2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (ร้อยละ 38) ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัด ได้แก่ ร้อยละความคลาดเคลื่อนของการพยากรณ์ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 7 ประเภท เทียบกับข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน ร้อยละของการเผยแพร่การวิเคราะห์ภาระกองทุนน้ำมันฯ ที่เกิดขึ้นตามประกาศ กบง. ทางเว็ปไซต์ของ สบพน. ได้ภายใน 1 วันทำการ หลังจากการรับแจ้งประกาศ กบง. จาก สนพ. ระยะเวลาในการจ่ายเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุน (แบ่งเป็นกรณีการจ่ายชดเชยตามประกาศ กบง. และกรณีการจ่ายชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าจากต่างประเทศ) และ ระดับความสำเร็จของการรายงานการจ่ายเงินชดเชย (แบ่งเป็นแยกตามชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง และแยกตามบริษัท) 3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (ร้อยละ 20) ตัวชี้วัดคือ ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ 4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (ร้อยละ 20) ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียน การควบคุมภายใน และการตรวจสอบภายใน
4. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่ากองทุนน้ำมันฯ ได้ เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง ประจำปีบัญชี 2553 โดยคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ได้เห็นชอบการกำหนดเกณฑ์ชี้วัดของการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ตามข้อเสนอของคณะทำงานแล้ว กรมบัญชีกลางจึงได้จัดส่งบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2553 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ มาให้ และขอให้ผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว แต่ทั้งนี้ การนำเสนอให้ผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ จะต้องผ่านความเห็นชอบจาก กบง. ก่อน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2553 และมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2553 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2549 หมวด 1 การเก็บรักษาเงินและการนำส่งเงิน ข้อ 5 กำหนดให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) "สบพน." เปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินตามประเภทที่ได้รับความเห็นชอบจากปลัดกระทรวงพลังงาน และ สบพน. ได้เปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงิน รวม 8 แห่ง ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากปลัดกระทรวงพลังงานแล้ว
2. ปัจจุบัน ธนาคารออมสินได้เปิดบริการการฝากเงินในรูปแบบพิเศษ คือ "การออกสลากออมสินพิเศษ 5 ปี" ซึ่งสามารถถอนคืนก่อนกำหนดและมีสิทธิถูกรางวัลตามที่ธนาคารกำหนด ซึ่งจะเปิดขายจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2553 และ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้มีมติเห็นชอบให้ สบพน. ฝากเงินในรูปแบบพิเศษด้วยการซื้อสลากออมสิน มีกำหนดวงเงินรวมไม่เกิน 5,000,000,000 บาท (ห้าพันล้านบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาการฝากไม่เกิน 2 ปี ซึ่งหากพันธบัตรรัฐบาล ที่มีอายุคงเหลือเท่าเทียมกับอายุคงเหลือของการฝากเงินในรูปแบบพิเศษ มีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในรูปแบบพิเศษ ก็ให้ถอนเงินฝากรูปแบบพิเศษได้ก่อนครบกำหนด 2 ปี และให้ขอความเห็นชอบจากปลัดกระทรวงพลังงาน เนื่องจากการฝากเงินในรูปแบบพิเศษด้วยการซื้อสลากออมสิน เป็นการฝากเงินนอกเหนือประเภทบัญชีเงินฝากตามที่ได้รับความเห็นชอบจากปลัดกระทรวงพลังงาน กับทั้งไม่อาจปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการโดยอนุโลม สบพน. จึงได้นำเสนอปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อขอความเห็นชอบตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2549 ข้อ 20 กำหนดไว้ว่า "การดำเนินการอื่นใดที่ไม่ได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ให้ขอความเห็นชอบจากปลัดกระทรวงพลังงาน" ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นชอบและให้ สบพน. จัดทำระเบียบเพื่อรองรับการฝากเงินในรูปแบบพิเศษดังกล่าว
3. สบพน. ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 3 มีนาคม 2553 ขอความอนุเคราะห์ที่ปรึกษาคณะกรรมการสถาบันฯ (นายวันชาติ สันติกุญชร) รองอธิบดีอัยการฝ่ายคณะกรรมการอัยการเพื่อพิจารณาตรวจสอบร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2553 รองอธิบดีอัยการฯ ได้ให้ความเห็นว่า "การฝากเงินรูปแบบพิเศษด้วยการซื้อสลากออมสินเป็นเพียงการเพิ่มประเภทบัญชีเงินฝากตามระเบียบข้อ 5 เท่านั้น มิได้กระทบถึงระเบียบข้ออื่น ไม่สมควรยกเลิกระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 ทั้งฉบับ และได้ยกร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 ขึ้นใหม่ทั้งฉบับ"
4. เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2553 สบพน. ได้มีหนังสือแจ้งว่ามีความประสงค์จะฝากเงินในรูปแบบพิเศษที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงพลังงานฯ คือ สลากออมสินพิเศษ 5 ปี ที่สามารถถอนคืนก่อนกำหนดได้ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถาบันฯ และปลัดกระทรวงพลังงานแล้ว โดยปลัดกระทรวงพลังงานมอบให้ สบพน. จัดทำระเบียบเพื่อรองรับการฝากเงินในรูปแบบพิเศษดังกล่าว สบพน. จึงขอแก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2549 เพื่อรองรับการฝากเงินในรูปแบบพิเศษดังกล่าว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เสนอ
เรื่องที่ 5 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส ในเดือนมีนาคม 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.31 และ 81.25 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.83 และ 4.80 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 20 เมษายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 83.11 และ 84.81 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 5.80 และ 3.55 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากซาอุดีอาระเบียมีแผนเพิ่มการใช้น้ำมันดิบเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ประกอบกับ RBS Sempra พยากรณ์ว่าอุณหภูมิในช่วงฤดูร้อนของสหรัฐฯ ในปีนี้จะสูงกว่า ปีที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 4 นอกจากนี้ประเทศแองโกลามีแผนส่งออกน้ำมันดิบในเดือนมิถุนายน 2553 ลดลง จากเดือนก่อนมาอยู่ที่ระดับ 1.73 ล้านบาร์เรล/วัน
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนมีนาคม 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 90.86, 88.48 และ 87.78 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.37, 4.93 และ 5.48 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 20 เมษายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 93.96, 91.75 และ 94.43 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.10, 3.27 และ 6.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและอุปสงค์น้ำมันเบนซินของประเทศอินโดนีเซียในเดือนเมษายน 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 อยู่ที่ 5.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่อิหร่านนำเข้าน้ำมันเบนซินจากเอเซียเดือนเมษายน 2553 ที่ระดับ 128,000 บาร์เรล/วัน และอุปสงค์น้ำมันดีเซลจากเวียดนามแข็งแกร่งเนื่องจากโรงกลั่น Dung Quat (140,000 บาร์เรล/วัน) ยังกลั่นอยู่ที่ระดับร้อยละ 50 อีกทั้ง Pertamina ของอินโดนีเซียนำเข้าน้ำมันดีเซลในเดือนพฤษภาคม ปริมาณ 4 ล้านบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ที่ 3.2 ล้านบาร์เรล
3. ในเดือนมีนาคม 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91,น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10, E20 และแก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 0.20 บาท/ลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.50, 0.10 และ 0.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 21 เมษายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็ว ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.10 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 21 เมษายน 2553 อยู่ที่ระดับ 42.84, 37.84, 34.24, 31.94, 20.32, 32.74, 29.89 และ 28.69 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ในเดือนเมษายน 2553 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 3 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 721 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน เนื่องจากอุปสงค์ลดลงเมื่อสิ้นสุดฤดูหนาว และยุโรปลดปริมาณนำเข้าเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ส่วนราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 712 - 722 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน รัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ระดับ 10.8647 บาท/กิโลกรัม และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ 18.13 บาท/กิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - 23 เมษายน 2553 ได้มีการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 1,633,609 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 21,234 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 19 ราย กำลังการผลิตรวม 2.95 ล้านลิตร/วัน ผลิตเป็นเชื้อเพลิง 15 ราย มีปริมาณการผลิตจริง 1.358 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนเมษายน 2553 อยู่ที่ 21.57 บาท/ลิตร ในเดือนมีนาคม 2553 มีปริมาณการจำหน่าย 11.5 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 4,302 แห่ง ณ วันที่ 20 เมษายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมัน แก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 3.60 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 5.10 บาท/ลิตร ในเดือนมีนาคม 2553 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณจำหน่าย 0.32 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 311 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในเดือนมีนาคม 2553 มีปริมาณการจำหน่าย 4,200 ลิตร/วัน จากสถานีบริการ 5 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 13.92 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล ในเดือนมีนาคม 2553 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 14 ราย กำลังการผลิตรวม 5.95 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนมีนาคม 2553 อยู่ที่ 1.72 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยในเดือนมีนาคมและเมษายนอยู่ที่ 30.50 และ 30.02 บาท/ลิตร ตามลำดับ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนมีนาคม 2553 อยู่ที่ 21.46 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,721 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 0.80 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.20 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 19 เมษายน 2553 มีเงินสดในบัญชี 33,670 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุนฯ 10,331 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,055 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 275 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 23,339 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 เห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG โดยอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เป็นจำนวนเงินรวม 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท และค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG ประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
2. ในส่วนการบริหารโครงการและการจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท ธพ. ได้เชิญ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอราคาค่าจ้าง เป็นที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการตามแผนการดังกล่าว แต่ ปตท. ได้ปฎิเสธ โดยให้เหตุผลว่ารายการข้อกำหนดและขอบข่ายของงานในการจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ ของ สป.พน. และ รายการข้อกำหนดและขอบข่ายของงานในการจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์และถัง LPG ของ ธพ. มีขอบข่ายงานและวิธีปฏิบัติที่แตกต่างจากที่ ปตท. เคยปฏิบัติไว้ค่อนข้างมาก และปัจจุบัน ปตท. มีการปรับเปลี่ยนทีมงานและยุบทีมงานที่เคยดำเนินการโครงการดัดแปลงรถแท็กซี่ฯ ไปแล้ว ทั้งนี้ หาก ปตท. เป็นผู้ดำเนินการ ปตท. จะต้องจ้างหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนดำเนินการแทน เป็นการจ้างช่วงต่อ ซึ่งอาจขัดต่อระเบียบราชการที่ควรจัดจ้างโดยตรง และ ปตท. ได้เสนอแนะว่าควรจ้างสถาบันของภาครัฐที่มีความรู้และความชำนาญ และหรือได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบกเป็นผู้ตรวจและทดสอบการติดตั้ง NGV อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐต่อไป
3. ธพ. ได้จ้างคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยวิธีตกลง เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการบริหารโครงการ ตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวน 30,000 คัน ในวงเงิน 3.40 ล้านบาท แต่ต่อมาได้ยกเลิกการจ้างฯ ตามที่คณะกรรมการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลงฯ เสนอ เนื่องจากมีข้อเสนอเทคนิคไม่เป็นไปตามรายการข้อกำหนดขอบเขตของงาน
4. เนื่องจาก ปตท. ได้เคยดำเนินงานในลักษณะดังกล่าวมาแล้วในโครงการดัดแปลงรถแท๊กซี่ที่ ปตท. สนับสนุนค่าติดตั้งฯ และ ปตท. ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารโครงการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV เป็นเงิน 3,400,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราค่าจ้างที่อยู่บนพื้นฐานของการใช้บุคลากร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ของ ปตท. บางส่วน ซึ่งเดิม ปตท. ได้ประมาณอัตราค่าจ้างไว้ที่ 6,800,000 บาท โดยประเมินจากการบริหารจัดการสำหรับผู้รับจ้างเพียง 3 ราย (จาก 3 สัญญา) และใช้ระยะเวลารวมเพียง 4 เดือนเท่านั้น (ทั้ง 3 สัญญา เริ่มต้นและสิ้นสุดสัญญาพร้อมกัน) ดังนั้น เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า หากประสงค์จะบริหารโครงการดังกล่าวให้ครบถ้วน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกระทรวงพลังงาน เห็นควรให้มีวงเงินในการดำเนินงานเป็นเงิน 6,800,000 บาท ตามที่ ปตท. ได้เคยเสนอไว้เดิม และควรแบ่งค่าจ้างในการบริหารโครงการเป็น 3 งวด ให้สอดคล้องกับงวดการจัดซื้อของ สป.พน. ด้วย
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้เงินเพื่อบริหารโครงการ ตามแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จากเดิมจำนวนประมาณ 30,000 คัน ในวงเงิน 3,400,000 บาท เป็นจำนวนประมาณ 15,000 คัน ในวงเงิน 3,400,000 บาท โดยให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้ดำเนินการทั้งในส่วนการบริหารโครงการและการจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 และวันที่ 2 มีนาคม 2553
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้กรมธุรกิจพลังงาน เพื่อบริหารโครงการตามแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV (เพิ่มเติม) ในวงเงิน 3,400,000 บาท (สามล้านสี่แสนบาทถ้วน) จำนวนประมาณ 15,000 คัน ทั้งนี้ ให้กรมธุรกิจพลังงานดำเนินการจัดจ้างการบริหารโครงการให้สอดคล้องกับการจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
ครั้งที่ 55 - วันพฤหัสบดี ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2553 (ครั้งที่ 55)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงาน
2. การพิจารณายกเลิกเพดานราคาขายปลีก NGV
3. การเก็บภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด สำหรับการจำหน่ายก๊าซ NGV
4. การขอขยายเวลาการใช้หลักเกณฑ์เพื่อกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
5. โครงการศึกษาชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย
6. แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2554-2555
7. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
8. การกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วม
9. รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2552
10. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. นโยบายการตรึงราคาขายปลีก LPG ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรับภาระในการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้า LPG ตั้งแต่สิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553 รวมเป็นเงินชดเชยสะสมประมาณ 18,928 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2553 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติให้ตรึงราคาขายปลีก NGV ไว้ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553 แต่เนื่องจากราคาที่ตรึงไว้ต่ำกว่าต้นทุน ดังนั้น จึงใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยราคาให้แก่ ปตท. ในอัตรา 2.00 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 เป็นต้นมา คาดว่าจะชดเชยสะสมประมาณ 1,733 ล้านบาท
2. ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็น NGV ซึ่ง กบง. ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบการจัดสรรเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 1,200 ล้านบาท สำหรับการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยแบ่งออกเป็น 1) เงินสนับสนุนเพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ 30,000 ชุด ชุดละ 35,000 บาท และ 2) เงินสนับสนุนสำหรับการติดตั้งถัง NGV อุปกรณ์ และการประกันคันละ 5,000 บาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2554
3. เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้เห็นชอบการขยายมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อไปอีก 6 เดือน (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) ดังนี้ 1) ตรึงราคาขายปลีก LPG ในระดับราคา 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และจากที่รัฐกำหนดราคา LPG ณ โรงกลั่นไว้ที่ 333 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคานำเข้าอยู่ที่ระดับ 725 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน คาดว่ากองทุนน้ำมันฯ จะต้องชดเชยการนำเข้าประมาณ 2,204 ล้านบาทต่อเดือน หรือรวมทั้งสิ้นประมาณ 13,224 ล้านบาท 2) ตรึงราคาขายปลีก NGV โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชย NGV ในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม คาดว่าจะเป็นภาระต่อกองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 300 - 400 ล้านบาทต่อเดือน หรือรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,800 - 2,400 ล้านบาท และ 3) ให้กระทรวงพลังงานประสานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับไปพิจารณาดำเนินการมาตรการตรึงค่า Ft จนถึงสิ้นปี 2553 ต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อสิ้นปี 2553 กฟผ. รับภาระแทนประชาชนประมาณ 5,996 ล้านบาท ทั้งนี้ ในการดำเนินการมาตรการตามข้อ 1) - 3) มอบหมายให้ กบง., กกพ., กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป
4. เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553 ที่ให้ขยายมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อไปอีก 6 เดือน ตามข้อ 3 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอความเห็นชอบใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในการตรึงราคาขายปลีก LPG และ NGV ดังนี้
4.1 ตรึงราคาขายปลีก LPG เป็นเวลา 6 เดือน (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) โดยกำหนดราคา LPG ณ โรงกลั่นอยู่ที่ระดับ 332.7549 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และกำหนดราคาขายส่งคงที่ในระดับ 13.6863 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อทำให้ราคาขายปลีก LPG คงที่อยู่ในระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และจากการกำหนดราคา LPG ณ โรงกลั่นไว้ที่ 332.7549 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ในขณะที่ราคานำเข้าอยู่ในระดับ 725 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จึงเห็นควรให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตามภาระการนำเข้าที่เกิดขึ้นจริง
4.2 ตรึงราคาขายปลีก NGV เป็นเวลา 6 เดือน (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) โดยกำหนดราคาขายปลีก NGV ไว้ที่ระดับ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้ราคาขายปลีกต่ำกว่าต้นทุน จึงเห็นควรให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยราคา NGV ในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม ตามปริมาณการจำหน่ายที่เกิดขึ้นจริง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG และ NGV ตั้งแต่เดือนกันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554 ดังนี้
1. ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม โดยจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตามภาระการนำเข้าที่เกิดขึ้นจริง
2. ตรึงราคาขายปลีก NGV ที่ระดับ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม โดยจ่ายชดเชยราคา NGV ในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม ตามปริมาณการจำหน่ายที่เกิดขึ้นจริง
เรื่องที่ 2 การพิจารณายกเลิกเพดานราคาขายปลีก NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2545 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัติเรื่องมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคการขนส่งในช่วงปี 2546-2551 โดยกำหนดเงื่อนไขการกำหนดราคาจำหน่าย NGV ดังนี้ 1) ปี 2546-2549 เท่ากับร้อยละ 50 ของราคาน้ำมันดีเซล 2) ปี 2550 เท่ากับร้อยละ 55 ของราคาน้ำมันเบนซิน 91 3) ปี 2551 เท่ากับร้อยละ 60 ของราคาน้ำมันเบนซิน 91 และ 4) ปี 2552 เป็นต้นไป เท่ากับร้อยละ 65 ของราคาน้ำมันเบนซิน 91 ทั้งนี้ ได้กำหนดเพดานราคาขายปลีก NGV ภายในประเทศที่ระดับไม่เกิน 10.34 บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่าน้ำมันจะปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นระดับใดก็ตาม
2. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 กพช. ได้เห็นชอบในหลักการการกำหนดราคา NGV ตามต้นทุน โดยใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ณ ราคาก๊าซเฉลี่ย POOL 2 บวกด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการซึ่งรวมค่าการตลาด และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอในส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินการอีกครั้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 กพช. ได้มีมติให้ทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติและหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาและให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์ใหม่ของการคำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติและหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV โดยให้มีผลบังคับใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
3. เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV ตามที่ สนพ. เสนอในส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินการ ดังนี้ 1) ต้นทุนค่าสถานีแม่ 1.12 บาทต่อกิโลกรัม 2) ต้นทุนค่าขนส่ง 1.20 บาทต่อกิโลกรัม (ภายในรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีแม่และเพิ่ม 0.012 บาทต่อกิโลกรัมต่อระยะทางที่เพิ่มขึ้น 1 กิโลเมตร) 3) ต้นทุนค่าสถานีลูก 1 บาทต่อกิโลกรัม และ 4) ค่าการตลาด 1.73 - 2.33 บาทต่อกิโลกรัม (ตามประเภทและที่ตั้งของสถานี) และเพื่อมิให้การปรับราคา NGV ส่งผลกระทบต่อแผนการขยายการใช้ NGV จึงขอความร่วมมือจาก ปตท. ให้กำหนดราคา NGV ปี 2550-2551 ในระดับ 8.50 บาท ต่อกิโลกรัม แล้วจึงปรับราคา NGV ขึ้นแบบขั้นบันไดให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยในปี 2552 ปรับได้ไม่เกิน 12 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2553 ปรับได้ไม่เกิน 13 บาทต่อกิโลกรัม และตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไป จึงปรับตามต้นทุนที่แท้จริง
4. เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ตรึงราคา NGV ที่ 8.50 บาท ต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 1 ปี (สิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553) และให้ กบง. ดำเนินการชดเชยราคาขายปลีก NGV จากการที่ ปตท. ต้องขาย NGV ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 ที่เห็นชอบให้ปรับสูตรการคำนวณและแนวทางการกำกับดูแลราคาขายปลีก NGV โดย 1) ให้ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ มีสูตรดังนี้ P = [(WHPool 2) x (1+0.0175)] + TdZone 1+3+ Tc กำกับดูแลโดย กพช. 2) ค่าใช้จ่ายดำเนินการ ประกอบด้วย ต้นทุนสถานีแม่ ต้นทุนสถานีลูก ค่าขนส่ง และค่าการตลาด อยู่ในการกำกับดูแลของ กบง. และ 3) เห็นชอบให้ปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเพิ่มเติมนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)" เพื่อให้ราคาขายปลีก NGV ถูกกำกับดูแลภายใต้กรอบเดียวกันกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับภาคขนส่งชนิดอื่นๆ โดยให้ กบง. เป็นผู้พิจารณาก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
5. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 1/2553 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเพิ่มเติมนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)" และในวันเดียวกัน กบง. ได้เห็นชอบให้ชดเชยราคา NGV ที่ 2 บาทต่อกิโลกรัม ตามปริมาณการจำหน่ายจริงของ ปตท. ในแต่ละเดือน แต่ไม่เกินวงเงินที่กำหนดไว้ที่ 300 ล้านบาทต่อเดือน โดยให้เริ่มชดเชยตั้งแต่วันที่คำสั่งนายกรัฐมนตรีได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา (วันที่ 5 มีนาคม 2553) ไปถึงเดือนสิงหาคม 2553
6. เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 28 กันยานยน 2550 และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV ในส่วนของค่าใช้จ่ายดำเนินการเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาขายปลีก NGV สรุปได้ดังนี้
7. ราคาขายปลีก NGV ที่จำหน่ายภายในรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีแม่ถึงสถานีลูกอยู่ถูกตรึงราคาไว้ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่การจำหน่ายนอกรัศมี 50 กิโลเมตรจะบวกค่าขนส่งที่อัตราไม่เกิน 0.012 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร แต่ถูกกำหนดเพดานราคาขายปลีกไว้ที่ไม่เกิน 10.34 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งปัจจุบัน สนพ. อยู่ระหว่างการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ซึ่งรวมค่าขนส่งก๊าซ NGV ที่เหมาะสม โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในต้นปี 2554 แต่เนื่องจากสถานีบริการ NGV บางพื้นที่มีระยะทางห่างจากสถานีแม่ NGV มาก ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งเมื่อรวมกับราคาขายปลีก NGV ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าเพดานราคาขายปลีก NGV ที่กำหนดไว้ และเป็นภาระของผู้ประกอบการ ประมาณ 8 ล้านบาทต่อเดือน
8. ปัจจุบันต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV ที่ได้คำนวณเมื่อปี 2550 ได้เปลี่ยนแปลงไป จึงเห็นควรมอบหมายให้ สนพ. ประสานกับ ปตท. เพื่อคำนวณอัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV ที่เหมาะสม แล้วนำกลับมาเสนอต่อ กบง. เพื่อพิจารณาในการประชุมคราวต่อไป และเห็นควรให้ยกเลิกเพดานราคาที่ 10.34 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลหลังจากที่ กบง. ได้เห็นชอบต้นทุนค่าขนส่งแล้ว
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อคำนวณต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV ที่เหมาะสม แล้วนำกลับมาเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 3 การเก็บภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด สำหรับการจำหน่ายก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 5 จังหวัด คือ นครราชสีมา นครปฐม พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบการจำหน่ายก๊าซ NGV ให้มาจดทะเบียนสถานประกอบการค้าก๊าซฯ และชำระภาษีบำรุง อบจ. สำหรับการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ โดยอาศัยอำนาจตามข้อบัญญัติ อบจ. ของจังหวัดดังกล่าว
2. เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 ปตท. ได้มีหนังสือถึง สนพ. เพื่อขอให้ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและ อบจ. เพื่อขอยกเว้นการเก็บภาษีบำรุง อบจ. ดังกล่าว เนื่องจากจะไปกระทบราคาขายปลีก NGV ที่รัฐมีนโยบายตรึงราคาไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 สนพ. ได้หารือกับผู้แทนกระทรวงมหาดไทย และ ปตท. โดยผู้แทนกระทรวงมหาดไทยได้ชี้แจงว่า แต่ละจังหวัดสามารถจัดเก็บภาษีบำรุง อบจ. จากการจำหน่ายก๊าซ NGV ได้ไม่เกินกิโลกรัมละ 10 สตางค์ โดยอาศัยอำนาจตามข้อบัญญัติ อบจ. ซึ่งการออกข้อบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเก็บภาษีบำรุงฯ ตามมาตรา 58 พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และมาตรา 28แห่ง พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2546 แต่ละจังหวัดสามารถจัดเก็บภาษีโดยออกข้อบัญญัติ อบจ. ของจังหวัดหรืออาจจะไม่จัดเก็บก็ได้ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่มีอำนาจในการขอให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษี แต่อาจขอความร่วมมือ อบจ. ให้ผ่อนผันการเก็บภาษีบำรุง อบจ. ได้ ถ้ารัฐมีนโยบายที่ชัดเจนและมีมติให้กระทรวงมหาดไทยไปขอความร่วมมือ
3. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2552 ซึ่งเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 ได้มอบหมายให้ กบง. เป็นผู้พิจารณาการปรับสูตรการคำนวณและแนวทางการกำกับดูแลราคาขายปลีก NGV ซึ่งปัจจุบันรัฐได้มีนโยบายตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 การเรียกเก็บภาษีบำรุง อบจ. เพิ่มเติมโดยที่ราคาขายปลีกยังถูกตรึงอยู่ จะทำให้ผู้ประกอบการมีภาระเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ผู้ประกอบการนำภาษีบำรุง อบจ. บวกเพิ่มในราคาขายปลีกก๊าซ NGV ได้ ตามข้อบัญญัติ อบจ. ของจังหวัดนั้นๆ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้นำภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัดบวกเพิ่มในราคาขายปลีก NGV ได้ ตามข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดของจังหวัดนั้นๆ แต่ต้องไม่สูงกว่าเพดานราคา NGV ที่กำหนดไว้ที่ 10.34 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากการเก็บภาษีบำรุงฯ มีผลทำให้ราคาขายปลีก NGV สูงกว่าเพดานราคาที่กำหนดไว้ที่ 10.34 บาทต่อกิโลกรัม ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 การขอขยายเวลาการใช้หลักเกณฑ์เพื่อกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล โดยกำหนดราคาเอทานอล เท่ากับ ราคาเอทานอลตลาดบราซิล + Freight + Insurance + Loss + Survey และให้นำไปใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยมอบหมายให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
2. ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2552 ไม่มีรายงานข้อมูลราคาการส่งออกเอทานอลในตลาดบราซิลตามรหัส ETN (US Dollar-Denominated Ethanol Futures Contract Specifications ซื้อขายเป็นเงินสกุล United States Dollars และส่งมอบ ณ เมืองท่า Santos) ส่งผลให้ สนพ. ไม่สามารถคำนวณราคาเอทานอลเพื่อใช้ออกประกาศราคาอ้างอิงเอทานอลได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลเป็นการชั่วคราว 6 เดือน และหากมีการประกาศราคาซื้อขายเอทานอลของประเทศบราซิลหรือมีข้อมูลใหม่ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาก่อน 6 เดือนก็ได้ โดยมีหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล ดังนี้
3. เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2553 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตต่อไปและมอบหมายให้ สนพ. ศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียด ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์ฯ มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตโดยเปลี่ยนแปลงเฉพาะในส่วนราคากากน้ำตาล ที่เดิมใช้ราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร จากการคำนวณราคาเฉลี่ย 3 เดือน ย้อนหลัง เป็นราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 3 เพื่อให้ราคาเอทานอลสะท้อนราคาตลาดเร็วขึ้น ทั้งนี้ในบางเดือนที่ราคากากน้ำตาลผิดปกติ โดยอาจสูงหรือต่ำกว่าราคาของเดือนก่อนเกินร้อยละ 50 ให้ผู้อำนวยการ สนพ. พิจารณาใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลังในการนำมาคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลได้ และมอบหมายให้ สนพ. นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
4. เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์ฯ ได้มีมติมอบหมายให้ สนพ. ทบทวนต้นทุนการผลิตต่อหน่วยของเอทานอลทั้งจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาล เนื่องจากปัจจุบันโรงงานเอทานอลได้เพิ่มจำนวนขึ้นจากเมื่อปี 2552 โดยกำลังการผลิตที่จะเข้ามาใหม่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำกว่าต้นทุนต่อหน่วยที่ใช้ในหลักเกณฑ์ในปัจจุบัน
5. สนพ. ได้ออกประกาศราคาอ้างอิงเอทานอลตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาจากต้นทุนการผลิต ซึ่งมีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 เมื่อหมดระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์ฯ ชั่วคราว 6 เดือน (พฤษภาคม - ตุลาคม 2552) เพื่อให้มีราคาอ้างอิงเอทานอลประกาศใช้ในการคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล สนพ. จึงต้องใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาจากต้นทุนการผลิตในการประกาศราคาอ้างอิงเอทานอลต่อไป ในระหว่างการทบทวนหลักเกณฑ์ราคาอ้างอิงเอทานอลใหม่ โดยไม่ทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์แต่อย่างใด ปัจจุบัน สนพ. อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอลจากต้นทุนการผลิต เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์ฯ พิจารณาและหากเห็นชอบจะได้นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ดังนั้น เพื่อให้มีราคาอ้างอิงเอทานอลประกาศใช้ต่อเนื่อง จึงขอให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2552 จนกว่า กบง. จะพิจารณาให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์ใหม่
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) เป็นการชั่วคราว 6 เดือน (พฤษภาคม - ตุลาคม 2552) ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2553
เรื่องที่ 5 โครงการศึกษาชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. แนวโน้มความต้องการพลังงานของประเทศที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาแหล่งพลังงานภายในประเทศมาใช้ทดแทนและเพื่อลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้กำหนดเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนปริมาณการใช้พลังงานทดแทนให้เป็นร้อยละ 20 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศ ภายในปี 2565 และได้กำหนดมาตรการ/แนวทางการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และไบโอดีเซลสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งทำให้ความต้องการเอทานอลและไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น ดังนั้น ควรพิจารณาในภาพรวมในการกำหนดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่ง
2. กระทรวงพลังงานจึงเห็นควรให้ศึกษาชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงขนส่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย โดยแยกตามประเภทของน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซลและก๊าซเชื้อเพลิง ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อภาพรวมของประเทศสูงสุดเพื่อให้สอดรับแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี โดยที่เกิดผลกระทบต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องน้อยที่สุด
3. ขอบเขตการศึกษา มีดังนี้
3.1 กำหนดกรณีศึกษาของชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ที่มีความเป็นไปได้ทั้งหมด เพื่อศึกษา เปรียบเทียบผลประโยชน์โดยรวม และประเมินผลกระทบแต่ละกรณี โดยใช้ผลประโยชน์ของประเทศเป็นบรรทัดฐาน โดยแบ่งการศึกษาเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มน้ำมันเบนซิน กลุ่มน้ำมันดีเซล และกลุ่มก๊าซเชื้อเพลิง รวมถึงศึกษาระบบการขนส่งที่เหมาะสมในภาพรวม ตลอดจนศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย และแนวโน้มเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต
3.2 สำรวจ รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันเชื้อเพลิงขนส่งแต่ละชนิดของประเทศในอดีต รวมทั้งประมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงขนส่งรวมทั้งประเทศและความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงขนส่งแต่ละชนิดในอนาคต ตั้งแต่ปี 2553 - 2562 (10 ปี) ตามกรณีศึกษาที่กำหนด
3.3 ศึกษาผลกระทบต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงระบบเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ในแต่ละกรณีศึกษา ดังนี้ 1) โรงกลั่นน้ำมัน ศึกษาข้อจำกัดด้านการผลิตและการผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นแก๊สโซฮอลและการผสมไบโอดีเซล ผลกระทบเชิงบวก/ลบ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงประเภทการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงขนส่ง ประมาณการอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันเชื้อเพลิงขนส่ง และการส่งออกน้ำมันเบนซินและดีเซล 2) บริษัทผู้ผลิตเอทานอล/ไบโอดีเซล ศึกษากำลังการผลิตปัจจุบันและอนาคต โดยแบ่งตามแหล่งวัตถุดิบและเทคโนโลยีที่ใช้ผลิต ราคาจำหน่ายในตลาด และราคาอ้างอิงเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก 3) ผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ศึกษาต้นทุนและเวลาในการปรับปรุงสถานีบริการ ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง 4) อุตสาหกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ศึกษาจำนวนในปัจจุบันและประมาณการในอนาคต ตั้งแต่ปี 2553 - 2562 (10 ปี) แนวโน้มเทคโนโลยีรถยนต์และรถจักรยานยนต์และความเป็นไปได้ในการผลิตเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงขนส่ง และ 5) ผู้บริโภค ศึกษารายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงรถยนต์และรถจักรยานยนต์เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่ง และความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่งที่อยู่ในตลาด
3.4 วิเคราะห์ข้อมูล ประโยชน์และผลกระทบในแต่ละกรณีศึกษา เปรียบเทียบ สรุปผลการศึกษา และนำเสนอชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ตามกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง
3.5 นำเสนอแนวทางการดำเนินการ (Transition Plan) เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามผลการศึกษา
3.6 นำเสนอแนวนโยบายของรัฐในการสนับสนุนให้เกิดผลสำเร็จตามผลการศึกษา
4. โครงการศึกษาชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ในวงเงิน 10,700,000 บาท (สิบล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 11 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยแบ่งเป็นระยะเวลาการศึกษา 9 เดือน (270 วัน) และระยะเวลาในการตรวจรับเงินและเบิกจ่ายเงิน 2 เดือน
5. เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 อบน. ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้ สนพ. ในการดำเนินงานโครงการศึกษาชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ในวงเงิน 10,700,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 11 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2553 ทั้งนี้ ให้ สนพ. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการในส่วนของวัตถุประสงค์และแผนการปฏิบัติงานตามความเห็นของที่ประชุม และให้นำเสนอ อบน. พิจารณาก่อนนำเสนอ กบง. ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2553 อบน. ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการศึกษาชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยของ สนพ. และมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง.พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการในการอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในการดำเนินงานโครงการศึกษาชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงภาคขนส่งที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ในวงเงิน 10,700,000 บาท (สิบล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 11 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ ทั้งนี้ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานปรับปรุงรายละเอียดของโครงการ โดยนำความเห็นของที่ประชุมไปประกอบการพิจารณาด้วย
เรื่องที่ 6 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2554-2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2551-2555 ให้หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 173,679,300 บาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 ปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 ให้หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 23,214,700 บาท, 9,953,900 บาท, 3,770,100 บาท, 907,900 บาท, 3,794,900 บาท ตามลำดับ และอนุมัติค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร 804,000 บาท เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 42,445,500 บาท ภายใต้กรอบงบประมาณปี 2553 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติ
2. สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้รายงานแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารตามที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2553 จำนวน 42,445,500 บาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2553 มีแผนการใช้จ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 20,748,953 บาท จำนวนเงินที่ไม่ได้เบิกจ่าย 21,696,547 บาท โดยที่ สป.พน. ได้ขออนุมัติเงินในส่วนค่าจ้างเหมาบริการ จัดประชุมสัมมนา โครงการศึกษาวิจัย และค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 18.286 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 78.77 ของงบทั้งหมด) แต่ได้ใช้จ่ายเป็นเงินจำนวน 3.313 ล้านบาท และในส่วนของ สนพ. ได้ขออนุมัติใช้เงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางไปราชการต่างประเทศ และโครงการศึกษาวิจัย เป็นเงินรวม 4.5 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 45.2 ของงบทั้งหมด) แต่ในระหว่างปี สนพ. ไม่ได้มีการใช้จ่ายในส่วนนี้ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนภารกิจและแผนการดำเนินงานของหน่วยงานตามนโยบายรัฐบาล
3. ในปีงบประมาณ 2553 กบง. ได้อนุมัติงบค่าใช้จ่ายอื่น เป็นเงินทั้งสิ้น 133.54 ล้านบาท โดยให้เงินสนับสนุน สป.พน. สนพ. ธพ. และ สบพน. เป็นเงิน 11 ล้านบาท, 37 ล้านบาท, 82.52 ล้านบาท และ 3.02 ล้านบาท ตามลำดับ และปรากฏผลการใช้จ่ายเงิน ดังนี้ 1) สป.พน. ได้รับเงินสนับสนุน 2 โครงการ ดำเนินการแล้วเสร็จ 1 โครงการ 2) สนพ. ได้รับเงินสนับสนุน 2 โครงการ ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้จัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว 3) ธพ. ได้รับเงินสนับสนุน 8 โครงการ โครงการส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินการ ส่วนโครงการที่ ธพ. ดำเนินการเอง ได้มีการดำเนินการฝึกอบรมบางส่วนแล้ว และ 4) สบพน. ได้รับเงินสนับสนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการย้ายที่ทำการใหม่ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน จำนวน 3.0203 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการตกแต่งสำนักงานใหม่ โดยคาดว่าจะไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณ 2553
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 14 กันยายน 2553 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 32,767 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 5,202 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 4,992 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 209 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 27,566 ล้านบาท
5. เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2553 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2554 - 2555 ซึ่ง สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้ขอปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2554 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 40,814,700 บาท
6. เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2553 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีการพิจารณาเรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2554-2555 และได้มีมติ39,376,900 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป ตามตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2554
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวด ค่าจ้างชั่วคราว |
หมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ |
หมวด ค่าครุภัณฑ์ |
หมวด ค่าใช้จ่ายอื่นๆ |
พันธบัตร | รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 1.8309 | 12.1678 | - | 7.6370 | - | 21.6357 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.2266 | 0.8104 | - | 8.9200 | - | 9.9570 |
3. กรมสรรพสามิต | 2.3194 | 1.2793 | 0.2400 | 0.0120 | - | 3.8507 |
4. กรมศุลกากร | 0.9451 | 0.5493 | - | - | - | 1.4944 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 1.1123 | 0.5228 | - | - | - | 1.6351 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | - | - | - | - | 0.8040 | 0.8040 |
รวม | 6.4343 | 15.3296 | 0.2400 | 16.5690 | 0.8040 | 39.3769 |
ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารและงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ
2. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2554 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 39,376,900 บาท (สามสิบเก้าล้านสามแสนเจ็ดหมื่นหกพันเก้าร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป ตามตารางที่ 1
เรื่องที่ 7 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบ ในเดือนมิถุนายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 2.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 75.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1.67 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในเดือนกรกฎาคม 2553 ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 72.49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 1.50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 76.32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในเดือนสิงหาคม 2553 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 74.09 และ 76.62 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1.60 และ 0.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 9 กันยายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 74.02 และ 74.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.06 และ 2.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบยูโรแข็งค่าขึ้น ประกอบกับพายุเฮอริเคน Earl อ่อนตัวลงและไม่ส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐฯ นอกจากนี้ท่อขนส่งน้ำมันดิบ Kirkuk-Ceyhan ซึ่งขนส่งน้ำมันดิบจากตอนเหนือของอิรักสู่เมืองท่าในตุรกีกลับมาดำเนินการได้ที่ระดับ 300,000 บาร์เรล/วัน จากระดับปกติที่ 400,000 บาร์เรล/วัน
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนมิถุนายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 83.25, 81.54 และ 85.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 1.87, 1.50 และ 2.21 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ในเดือนกรกฎาคม 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 82.42, 80.37 และ 84.69 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.83, 1.16 และ 1.01 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ในเดือนสิงหาคม 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 82.52, 80.83 และ 87.14 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 0.10 , 0.45 และ 2.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก Pertamina มีแผนนำเข้าน้ำมันเบนซินปริมาณ 7.2 - 7.4 ล้านบาร์เรล ในเดือนสิงหาคม 2553 สูงกว่าแผนเดิมที่ระดับ 6.2 ล้านบาร์เรล และ Arbitrage จากเอเซียไปยุโรปเปิดเนื่องจากหลายประเทศในยุโรปเริ่มสำรองน้ำมันเพื่อความอบอุ่นไว้ใช้ในฤดูหนาว และในช่วงวันที่ 1 - 9 กันยายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 81.70, 79.59 และ 85.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.82, 1.24 และ 1.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากอิหร่านมีแผนลดการนำเข้าน้ำมันเบนซินในเดือนมีนาคม 2554 เนื่องจากโรงกลั่นปรับปรุงการผลิตได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งอุปสงค์น้ำมันดีเซลของภูมิภาคตะวันออกกลางลดลงเนื่องจากสิ้นสุดฤดูร้อน
3. ในเดือนมิถุนายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.20 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.90 และ 1.20 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการปรับราคา ในเดือนกรกฎาคม 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลง 0.60 บาท/ลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ปรับตัวลดลง 0.30 และ 0.60 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการปรับราคา ในเดือนสิงหาคม 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลง 1.20 บาท/ลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ปรับตัวลดลง 0.80 บาท/ลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ลดลง 1.00 บาท/ลิตร และในช่วงวันที่ 1 - 10 กันยายน 2553 ไม่มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 10 กันยายน 2553 อยู่ที่ระดับ 39.44, 34.44, 30.64, 28.34, 18.42, 29.14, 27.79 และ 26.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ในเดือนมิถุนายน 2553 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 51 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 670 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ในเดือนกรกฎาคม 2553 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 51 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 619 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ในเดือนสิงหาคม 2553 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 36 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 670 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน สถานการณ์ราคา LPG ที่ผลิตในประเทศ โดยรัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเดือนมิถุนายน, กรกฎาคม และสิงหาคม 2553 ที่ระดับ 10.8267, 10.8511 และ 10.8031 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - 11 กันยายน 2553 ได้มีการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 2,244,717 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 28,572 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนกรกฎาคม 2553 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 19 ราย กำลังการผลิตรวม 2.93 ล้านลิตรต่อวัน ผลิตเป็นเชื้อเพลิง 17 ราย มีปริมาณการผลิตจริง 1.10 ล้านลิตรต่อวัน โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนสิงหาคมและกันยายน 2553 อยู่ที่ 22.558 และ 22.86 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ในเดือนสิงหาคม 2553 มีปริมาณจำหน่าย 11.7 ล้านลิตรต่อวัน จากสถานีบริการ 4,323 แห่ง ณ วันที่ 7 กันยายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 3.80 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 5.30 บาทต่อลิตร ในเดือนสิงหาคม 2553 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณการจำหน่าย 0.38 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 381 แห่ง ทั้งนี้ ณ วันที่ 7 กันยายน 2553ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30 บาทต่อลิตร ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ 0.0063 ลิตรต่อวัน จากสถานีบริการ 7 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 12.22 บาทต่อลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล ในเดือนกรกฎาคม 2553 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 14 ราย กำลังการผลิตรวม 6.00 ล้านลิตรต่อวัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนสิงหาคม 2553 อยู่ที่ 1.45 ล้านลิตรต่อวัน ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 29.60 บาทต่อลิตร การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ 17.31 ล้านลิตรต่อวัน จากสถานีบริการ 3,782 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 0.50 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.20 บาทต่อลิตร
7. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 กพช. ได้มีมติเห็นชอบลดอัตราจัดเก็บเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันดีเซลจากเดิม 0.25 บาท/ลิตร เหลือ 0.05 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2553 หลังจากนั้นให้กลับมาจัดเก็บในอัตราเดิม คือ 0.25 บาท/ลิตร ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. ที่กำหนดให้ส่งเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจาก 0.05 บาทต่อลิตร เป็นอัตรา 0.25 บาทต่อลิตร หลังสิ้นเดือนสิงหาคม 2553 นายกรัฐมนตรีจึงได้ออกประกาศ กพช. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2553 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2553 เป็นต้นไป ทั้งนี้การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯจะไม่ส่งผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสูงขึ้น แต่จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 14 กันยายน 2553 มีเงินสดในบัญชี 32,767 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 5,202 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 4,992 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 209 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 27,566 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 การกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กบง. ได้พิจารณาเรื่องการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วม และได้มีมติมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานไปปรับปรุงเรื่องกระบวนการดำเนินการในเรื่องการแก้ไขการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือข้อกำหนดในผังเมืองรวมเพิ่มเติมกรณีพื้นที่เป้าหมายขัดหรือแย้งต่อกฎหมายผังเมือง และปรับปรุงกลไกบริหารจัดการ ก่อนนำเสนอ กบง. อีกครั้ง โดยกระทรวงพลังงานได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมปรับปรุงและนำเสนอต่อการประชุมคณะอนุกรรมการประสานฯ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2553 โดยคณะอนุกรรมการประสานฯ มีมติเห็นชอบและมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปเรื่องเสนอ กบง. เพื่อรับทราบผลการดำเนินการ ต่อไป
2. ปัจจุบันการจัดตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานจำนวนมากและมีข้อจำกัดสำคัญ คือ ขาดกระบวนการคัดเลือกและกลั่นกรองพื้นที่โดยความเห็นชอบจากประชาชน และขาดหน่วยงานพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ ทำให้การจัดตั้งโรงไฟฟ้าประสบปัญหาการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ และอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงาน ดังนั้น จึงควรทบทวนกระบวนการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า ที่ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อลดความขัดแย้งในพื้นที่ และใช้เป็นเครื่องมือกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า ทั้งนี้ ในการกำหนดแนวทางแก้ปัญหาได้วิเคราะห์เปรียบเทียบกับการดำเนินการในรูปแบบเดิม ได้ข้อสรุปว่า แม้ว่าวิธีการใหม่จะมีข้อเสียมากกว่าวิธีเดิม โดยประชาชนต้องรับภาระค่าไฟฟ้าที่จะแพงขึ้นเนื่องจากต้นทุนค่าที่ดินจะแพงกว่าปกติ และอาจต้องลงทุนเพื่อสร้างสายส่งเพิ่มเติม แต่วิธีใหม่จะเกิดประโยชน์มากกว่าวิธีเดิมและลดปัญหาการต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้าได้ นอกจากนี้ ยังเห็นควรให้ปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่เกี่ยวกับเรื่องค่าไฟฟ้า โดยไม่ควรให้ยึดเอาราคาค่าไฟฟ้าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจอนุมัติจัดตั้งโรงไฟฟ้า
3. ข้อเสนอแนวทางดำเนินการคือ ในหลักการรัฐบาลจะกำหนดให้การเปิดประมูลการจัดตั้งโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และการอนุมัติจัดตั้งโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีเงื่อนไขว่าพื้นที่ที่จะเสนอจัดตั้งโรงไฟฟ้า จะต้องพิจารณาและดำเนินการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วมก่อน และจากการหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ข้อสรุปว่าการจัดตั้งคณะอนุกรรมการฯ 1 ชุด ภายใต้ กพช. เพื่อศึกษาสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับและกำหนดเกณฑ์ในการออกประกาศเชิญชวนเสนอพื้นที่ จนถึงการออกประกาศเชิญชวนและคัดเลือกพื้นที่นั้นอาจไม่เหมาะสม โดยเห็นควรให้ศึกษาพิจารณาสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับและกำหนดเกณฑ์ในการออกประกาศเชิญชวนเสนอพื้นที่ให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน จึงจะจัดตั้งอนุกรรมการฯ ภายใต้ กพช. เพื่อดำเนินการในกระบวนการต่อไป และเพื่อสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เห็นควรกำหนดแนวทางดำเนินการ ดังนี้
3.1 ระยะสั้น : จัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับและกำหนดเกณฑ์ (Criteria) สำหรับการออกประกาศเชิญชวนให้เสนอพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า ก่อนจัดให้มีการทำความเข้าใจประชาชน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1) การศึกษาสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ คือ สิทธิประโยชน์ในรูปเม็ดเงิน ควรกำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ และสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่เม็ดเงิน ควรพิจารณาดำเนินการตามความต้องการในแต่ละพื้นที่ และ 2) การศึกษาเพื่อกำหนดเกณฑ์ในการออกประกาศเชิญชวนเสนอพื้นที่ ได้แก่ ความสอดคล้องกับพื้นที่ตามผังเมืองรวม ความเหมาะสมด้านเทคนิคในการจัดตั้งโรงไฟฟ้า และความเหมาะสมด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
3.2 ระยะปานกลาง : จัดตั้งคณะอนุกรรมการฯ เพื่อออกประกาศเชิญชวนและคัดเลือกพื้นที่ และศึกษากำหนดพื้นที่ที่เหมาะสม (Site Suitability) ในการจัดตั้งโรงไฟฟ้าในรายละเอียดควบคู่กันไป มีขั้นตอนดำเนินงานดังนี้ 1) จัดตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วมภายใต้ กพช. 2) จัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจประชาชน ทั้งในส่วนกลางและตามภูมิภาค เพื่อชี้แจงสิทธิประโยชน์ หลักเกณฑ์การคัดเลือกพื้นที่ สร้างความรู้ความเข้าใจและเปิดรับฟังความคิดเห็น 3) ออกประกาศเชิญชวนให้จังหวัดเสนอพื้นที่เข้ามาโดยความสมัครใจ 4) แจ้งให้ประชาชนรับทราบภายหลังการออกประกาศเชิญชวนให้จังหวัดเสนอพื้นที่เข้ามาโดยสมัครใจ 5) จัดประชุมชี้แจงภาครัฐและประชาชนในพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม 6) รวบรวมพื้นที่จากจังหวัด ให้จังหวัดจัดตั้งคณะกรรมการระดับพื้นที่ กำหนดวิธีปฏิบัติในการรวบรวมพื้นที่ที่ต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนและพื้นที่โดยรอบ 7) พิจารณาความสอดคล้องพื้นที่กับการใช้ประโยชน์ที่ดินที่กำหนดโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยจะคัดเลือกเฉพาะพื้นที่ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายผังเมือง 8) พิจารณารับรองพื้นที่ 9) เสนอพื้นที่ที่ได้รับการรับรองให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณาและรับทราบ และ 10) เสนอพื้นที่ที่พร้อมจัดตั้งโรงไฟฟ้าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตการจัดตั้งโรงไฟฟ้า
3.3 ระยะยาว : พิจารณาผลการศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสม (Site Suitability) ในการจัดตั้งโรงไฟฟ้า ในกรณีที่ดำเนินการตามกระบวนการนี้แล้วไม่มีพื้นที่เสนอเข้ามา หรือเสนอเข้ามาแล้วไม่เหมาะสมทำให้ไม่สามารถจัดตั้งโรงไฟฟ้าได้จริง รัฐบาลจะต้องพิจารณาผลการศึกษากำหนดพื้นที่จัดตั้งโรงไฟฟ้าที่เหมาะสมเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาต่อไป
4. ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ ได้แก่ 1) ความร่วมมือและการยอมรับจากจังหวัด 2) การมีส่วนร่วมของประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) กำหนดให้การจัดตั้งโรงไฟฟ้าเป็นยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ส่วนการจัดตั้งกลไกการดำเนินการ แบ่งเป็น 1) ระยะสั้น จัดตั้งคณะทำงานศึกษาสิทธิประโยชน์ ที่ประชาชนควรจะได้รับและศึกษากำหนดเกณฑ์ในการออกประกาศเชิญชวนให้ประชาชนเสนอพื้นที่สำหรับตั้งโรงไฟฟ้า ทำหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากโรงไฟฟ้า พิจารณาหลักเกณฑ์ประกอบการออกประกาศเชิญชวนให้ประชาชนเสนอพื้นที่เข้ามาโดยสมัครใจ และจัดให้มีการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน จนได้สรุปนำเสนอคณะอนุกรรมการประสานฯ ต่อไป และ 2) ระยะปานกลาง จัดตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วมดำเนินการภายใต้ กพช. โดยการกำหนดอำนาจหน้าที่จะเป็นไปตามการกำหนดกระบวนการดำเนินการ
5. ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1) แก้ปัญหาการคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และสามารถจัดตั้งโรงไฟฟ้าได้อย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลาที่กำหนด ส่งผลให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ 2) ส่งเสริมการพัฒนาโรงไฟฟ้าให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้ โดยมีสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ และ 3) เป็นต้นแบบการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ ที่สนับสนุนกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่การคัดเลือกพื้นที่ เพื่อขยายผลการดำเนินการไปสู่โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ประเภทอื่น
6. กระทรวงพลังงานได้ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาสิทธิประโยชน์ที่ประชาชน ควรจะได้รับและศึกษากำหนดเกณฑ์ในการออกประกาศเชิญชวนให้ประชาชนเสนอพื้นที่สำหรับตั้งโรงไฟฟ้า นำเสนอประธานอนุกรรมการประสานฯ 2 กระทรวง พิจารณาลงนามแล้วเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2553 คณะทำงานฯ มีการประชุมไปแล้ว 1 ครั้ง และได้มีมติเห็นชอบข้อกำหนดการศึกษาฯ และขออนุเคราะห์งบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน วงเงิน 3 ล้านบาท เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาศึกษาในรายละเอียด ต่อไป โดยจะรายงานผลต่อคณะอนุกรรมการประสานฯ เป็นระยะ และเมื่อศึกษาแล้วเสร็จภายใน 6 - 7 เดือน จะนำเสนอผลการศึกษาพร้อมข้อเสนอแนวทางดำเนินการกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ประชาชนมีส่วนร่วมและกลไกการบริหารจัดการต่อ กบง. และ กพช. พิจารณา ต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 9 รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2552
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการนำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน และการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน และกรมบัญชีกลางได้เห็นชอบให้กองทุนน้ำมันฯ เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2553 กรมบัญชีกลาง ได้รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกระทรวงการคลัง ซึ่งเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2552 โดยผลการดำเนินงานตามเกณฑ์ด้านต่างๆ มีดังนี้ 1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ได้ 2.9603 คะแนน 2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ได้ 4.2 คะแนน 3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้ 1.0 คะแนน และ 4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ได้ 4.25 คะแนน ซึ่งผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.2927 คะแนน (อยู่ในระดับดี คือสูงกว่าค่าปกติ/สูงกว่า 3 คะแนน) และได้ส่งรายงานดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานเพื่อใช้ประกอบการติดตามผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 10 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการมอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้มีอำนาจสั่งการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ ภายใต้ กบง. แทนคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ให้รายงานผลให้คณะกรรมการฯ ทราบ ในการประชุมภายหลัง
2. ในช่วงปีงบประมาณ 2553 (ตุลาคม 2552 - ปัจจุบัน) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ประธาน กบง.) ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. จำนวน 2 คณะ ประกอบด้วย
2.1 คำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานที่ 9/2552 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2552 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบางคล้า เพื่อพิจารณาระเบียบ ขั้นตอน วิธีการ อำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ตลอดจนเสนอแนะแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าต่อ กบง. เป็นระยะ ก่อนเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบ โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน และมีผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
2.2 คำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานที่ 2/2553 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2553 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการทบทวนอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า เพื่อศึกษา วิเคราะห์ ประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า และศึกษา วิเคราะห์ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามประเภทเทคโนโลยีเพื่อเสนอแนวทางปรับปรุงอัตราส่วนเพิ่มฯ เสนอผลการพิจารณาต่อ กบง. ก่อนนำเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบ โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) เป็นประธาน และมีผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และมีคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานที่ 3/2553 ลงวันที่ 29 เมษายน 2553 ปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการทบทวนอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า โดยแต่งตั้งผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นอนุกรรมการเพิ่มเติม
3. นอกจากนี้ได้มีคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานที่ 1/2553 ลงวันที่ 21 มกราคม 2553 เพื่อปรับปรุงคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยเปลี่ยนแปลงอนุกรรมการและเลขานุการ จากผู้อำนวยการสำนักนโยบายปิโตรเลียม เป็น ผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
- มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงาน
- การพิจารณายกเลิกเพดานราคา
- ก๊าซ NGV
- การเก็บภาษี
- การขอขยายเวลา
- เอทานอล
- โครงการศึกษา
- น้ำมันเชื้อเพลิง
- แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
- สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
- การกำหนดพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า
- รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน
- การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
- นโยบายพลังงาน