![Super User](http://www.gravatar.com/avatar/8f29cc35bfcee5e137109c704783b4c7?s=100&default=https%3A%2F%2Feppo.go.th%2Fepposite%2Fcomponents%2Fcom_k2%2Fimages%2Fplaceholder%2Fuser.png)
Super User
ครั้งที่ 87 - วันจันทร์ ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 29/2554 (ครั้งที่ 87)
เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิติดลบ 1,132 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 105.91 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 123.37 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 124.11 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันที่ 24 มิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นฐานที่ใช้ในการคำนวณเพื่อปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ครั้งที่แล้ว เท่ากับ 3.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นเท่ากับ 8.30 และ 5.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 อยู่ที่ 0.5385 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.0875 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดต้นทุนราคาน้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.60 บาทต่อลิตร จาก 2.40 บาทต่อลิตร เป็น 1.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.1385 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.2075 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงวันละ 33 ล้านบาท จากเงินไหลเข้าวันละ 82 ล้านบาท เป็นวันละ 49 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.60 บาท ต่อลิตร จาก 2.40 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 12 ตุลาคม 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 12 พฤศจิกายน 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 11 ตุลาคม 2554
ครั้งที่ 86 - วันจันทร์ ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 28/2554 (ครั้งที่ 86)
เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ -1,504 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดย ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 102.73 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 115.07 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 118.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากวันที่ 23 มิถุนายน 2554 เท่ากับ 3.81,4.99 และ 4.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลงตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 1.9496 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.7705 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดภาระและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร เป็น 2.30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.4496 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.6705 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นวันละ 28 ล้านบาท จากวันละ 20 ล้านบาท เป็นเงินไหลเข้าวันละ 48 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จำนวน 2 เรื่อง ดังนี้
1.1 นโยบายการชดเชยราคาก๊าซ LPG
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนและขนส่ง จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2554 และเห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีก ไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปจัดทำแนวทางการปรับราคา LPG ภาคอุตสาหกรรม เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาเห็นชอบ และนำเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป
1.2 การเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้า การจ่าย และระบบขนส่งก๊าซ LPG
เห็นชอบในหลักการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าและการจ่ายก๊าซ LPG ดังนี้
(1) ระยะสั้น คือ เพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าก๊าซ LPG โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซ LPG รายอื่นที่มีศักยภาพในการนำเข้า ได้รับเงินชดเชยจากการนำเข้าตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และกำหนดหลักเกณฑ์ในการนำเข้าก๊าซ LPG เช่น ไม่เกินกว่าค่าใช้จ่ายนำเข้าของ ปตท. โดยจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าได้ประมาณ 22,000 ตันต่อเดือน และเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาค โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซ LPG รายอื่นเข้ามามีส่วนช่วยในการขนส่งและกระจายก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาค มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าขนส่งจากคลังจังหวัดชลบุรีไปยังคลังจำหน่ายในภูมิภาค เช่นเดียวกับ ปตท. ซึ่งจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาคได้ประมาณ 16,500 ตันต่อเดือน และมอบหมายให้ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ร่วมกันดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และกำหนดหลักเกณฑ์ในการนำเข้าก๊าซ LPG ต่อไป
(2) ระยะยาว มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการขยายระบบคลัง ท่าเรือนำเข้า และระบบคลังจ่ายก๊าซ LPG
2. สนพ. และ ธพ. ได้ดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เพื่อให้สามารถกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซแยกตามประเภทการใช้ และให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซ LPG รายอื่นเข้ามามีส่วนช่วยในการขนส่งและกระจายก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาค โดยให้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยค่าขนส่ง รวมทั้งให้คณะกรรมการมีอำนาจกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายในประเทศได้ นอกจากนั้น การกำหนดบทบาทและหน้าที่ของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซ มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด รวมทั้งการกำหนดบทบาทและข้อปฏิบัติของผู้บรรจุก๊าซ และเจ้าของสถานีบริการ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีเสร็จเรียบร้อยแล้ว
3. ตามที่ กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันตั้งแต่กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรมอีก ไตรมาสละ 2.80 บาทต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น เพื่อให้สามารถเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคอุตสาหกรรม อีกไตรมาสละ 2.8025 บาทต่อกิโลกรัม สนพ. จึงได้ดำเนินการแก้ไขร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ เสนอที่ประชุมฯ เพื่อพิจารณา
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ... /2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 11 พฤศจิกายน 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 10 ตุลาคม 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 10 พฤศจิกายน 2552
ครั้งที่ 85 - วันพฤหัสบดี ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 27/2554 (ครั้งที่ 85)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ -1,143 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดย ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 105.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 119.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 122.79 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากวันที่ 21 มิถุนายน 2554 เท่ากับ 1.25, 2.43 และ 2.06 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลงตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 1.9958 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.7599 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดภาระและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 1.20 บาทต่อลิตร เป็น 1.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.3958 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.6399 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีภาระลดลงวันละ 33 ล้านบาท จากติดลบวันละ 13 ล้านบาท เป็นเงินไหลเข้าวันละ 20 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60บาท ต่อลิตร จาก 1.20 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบ จำนวน 2 เรื่องดังนี้
1. กระทรวงพลังงานได้พิจารณาการปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก B3 เป็น B4 ซึ่งมีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 โดยอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) ได้ชี้แจงว่า ธพ. ได้จัดประชุมหารือกับผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วและได้รับแจ้งว่าสามารถดำเนินการได้ โดย ธพ. ได้ดำเนินการออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าน่าจะประกาศได้ภายใน 1- 2 วัน และได้มีการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะปรับขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะส่งร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ในช่วงต้นสัปดาห์หน้าเพื่อนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
2. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ขอหารือกับกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแก้วและเซรามิค ที่จะได้รับผลกระทบจากการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอธิบดี ธพ. ได้ชี้แจงว่า ได้แจ้งสภาอุตสาหกรรมฯ ว่าการดำเนินการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแก้วและเซรามิค อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางปรับเปลี่ยนมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตก๊าซเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมแทน
ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (นายอภิวัฒน์ อสมาภรณ์) ได้ชี้แจงเพิ่มเติม เกี่ยวกับการดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแก้วและเซรามิคว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ศึกษาการใช้บิทูมินัสมาใช้ในการผลิตก๊าซเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตทดแทนก๊าซ LPG ซึ่งมีเครื่องต้นแบบอยู่ที่จังหวัดลำปาง แต่การศึกษายังไม่สมบูรณ์เนื่องจากความร้อนที่ได้จากบิทูมินัสยังไม่สม่ำเสมอ และผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิคถือเป็นผู้ใช้กลุ่มก๊าซ LPG จำนวนเล็กมากในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถหาแนวทางอื่นเพื่อช่วยเหลือได้โดยไม่ส่งผลต่อนโยบายการปรับราคาก๊าซ LPG