Super User
กบง. ครั้งที่ 129 - วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 32/2555 (ครั้งที่ 129)
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 110.80, 124.32 และ129.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 0.20, 5.88 และ 1.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น และ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2555 ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2555 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,582 ล้านบาท หนี้สินรวม 24,607 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 19,025 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและดีเซลอยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร 95, 91 ลง 0.40 บาทต่อลิตร และเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 จึงขอปรับอัตราเงินชดเชยเพิ่ม 0.50 บาท/ลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 | +0.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.30 | 1.80 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.00 | -0.50 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.30 | -2.80 | -0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 | - |
น้ำมันดีเซล | -0.10 | +0.20 | +0.30 |
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 25.27 ล้านบาท จากติดลบวันละ 46.69 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 21.42 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.30 | 1.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.00 | -0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.30 | -2.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 |
น้ำมันดีเซล | -0.10 | +0.20 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 23 มีนาคม 2548
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 11-17 พฤษภาคม 2552
กบง. ครั้งที่ 128 - วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 31/2555 (ครั้งที่ 128)
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 111.00, 130.20 และ131.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.35, 6.33 และ 4.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 26 กันยายน 2555) จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น และ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555 ผู้ค้าน้ำมันปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2555 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงณ วันที่ 12 ตุลาคม 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,749 ล้านบาท หนี้สินรวม 24,379 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 18,630 ล้านบาท
5. กพช. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. ปรับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมัน แก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอเพิ่มแรงจูงใจอีกร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 8 หรือปรับส่วนต่าง เป็น 3 บาท/ลิตร โดยในครั้งนี้จะปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และ E20 ลง 0.40 และ1.40 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และ E20 อยู่ที่ 2 บาท/ลิตร และจะทยอยปรับส่วนต่างราคาขายปลีกให้เป็น 3 บาท/ลิตร พร้อมทั้งติดตามผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เป็นระยะๆ ต่อไป
6. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและดีเซลอยู่ในระดับต่ำ และเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของเบนซิน 95, 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 ลง 0.40 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ลง 1.40 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลปรับลด 0.30 บาทต่อลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.40 | 7.00 | -0.40 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.10 | 5.70 | -0.40 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.70 | 1.30 | -0.40 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.60 | -1.00 | -0.40 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.90 | -2.30 | -1.40 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 | - |
น้ำมันดีเซล | 0.20 | -0.10 | -0.30 |
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 20 ล้านบาท จากติดลบวันละ 20 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 40 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.40 | 7.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.10 | 5.70 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.70 | 1.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.60 | -1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.90 | -2.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 |
น้ำมันดีเซล | 0.20 | -0.10 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2554 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้บังคับใช้ประกาศกำหนดคุณภาพของน้ำมันดีเซลให้มีไบโอดีเซลผสมอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 5 (4.5 – 5%) โดยปริมาตร ต่อมา ธพ. ได้ออกประกาศปรับลดสัดส่วนไบโอดีเซล เหลือร้อยละ 4 (3.5 – 4%) โดยปริมาตร ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2555 เนื่องจากสต๊อคน้ำมันปาล์มดิบในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2555 คงเหลือเพียง 176,030 ตัน และ 158,633 ตัน ตามลำดับ
2. สำนักส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร กรมการค้าภายใน ได้รายงานปริมาณการผลิต การนำเข้า และส่งออกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ เดือนสิงหาคม 2555 พบว่ามีปริมาณสูงถึง 218,564 ตัน โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้พยากรณ์ปริมาณน้ำมันปาล์มดิบไว้ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | ปี 55 (พยากรณ์โดย สศก.) | ปี 56 (เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) | |||||
ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | |
ผลผลิต | 182,631 | 182,685 | 185,361 | 169,430 | 117,864 | 137,269 | 173,819 |
คงเหลือ | 251,000 | 285,000 | 310,000 | 322,000 | 290,000 | 274,000 | 289,000 |
3. ความต้องการใช้ภายในประเทศ 132,500 ตันต่อเดือน ประมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อการบริโภค 85,000 ตันต่อเดือน ใช้เพื่อการผลิตไบโอดีเซล (สัดส่วน 5%) 47,500 ตันต่อเดือน ดังนั้นสต๊อกปาล์มน้ำมันคงเหลือรายเดือนที่มีความมั่นคงสำหรับประเทศควรมีปริมาณที่พอเพียงสำหรับการใช้ 1.5 เดือน หรือ ประมาณ 200,000 ตัน/เดือน ปริมาณคงเหลือที่ต้องเฝ้าระวัง คือ ปริมาณใช้งานได้ 1.25 เดือน หรือประมาณ 170,000 ตัน/เดือน และปริมาณคงเหลือที่เข้าสู่วิกฤต คือ ปริมาณการใช้งาน 1 เดือน คือ 132,500 ตัน/เดือน
4. เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบล้นตลาด ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทาง ดังนี้
4.1 เห็นควรมอบหมายให้ ธพ. ปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลเป็นร้อยละ 5 (4.5 – 5%) และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2555 เป็นต้นไป
4.2 กำหนดกรอบปริมาณน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ ไม่ต่ำกว่า 200,000 ตัน/เดือน และเมื่อใดปริมาณน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือต่ำกว่า 200,000 ตัน/เดือน ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องประชุมหารือเพื่อหาทางบริหารจัดการต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลเป็นร้อยละ 5 (4.5 – 5%) และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้กำหนดกรอบปริมาณน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ ไม่ต่ำกว่า 200,000 ตันต่อเดือน โดยทั้งนี้ เมื่อปริมาณน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือต่ำกว่า 200,000 ตันต่อเดือนให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องประชุมหารือ เพื่อหาทางบริหารจัดการต่อไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 18 มีนาคม 2548
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 4-10 พฤษภาคม 2552
กบง. ครั้งที่ 127 - วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 30/2555 (ครั้งที่ 127)
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. กรอบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556
3. โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 26 กันยายน 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.65, 123.87 และ126.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 3.15, 1.06 และ 3.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 19 กันยายน 2555) และโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 27 กันยายน 2555 ดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 กันยายน 2555
(กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 กันยายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,162 ล้านบาท หนี้สินรวม 22,329 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 18,168 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลที่อยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลเพิ่มขึ้น 0.20 บาท/ลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 10 ล้านบาท จากติดลบวันละ 61 ล้านบาท เป็นติดลบ
วันละ 51 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (นางสาวสุมาลี สถิตชัยเจริญ) ได้ให้ความเห็นว่า ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555 ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกลดลง 1.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของดีเซล 0.60 บาทต่อลิตร โดยครั้งนี้ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกลดลงถึง 3.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้นเพื่อให้ฐานะกองทุนดีขึ้นโดยเร็ว จึงควรให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นมากกว่า 0.20 บาทต่อลิตร ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ในการพิจารณาโครงสร้างราคาขายปลีกจะพิจารณาจากราคาน้ำมันดิบดูไบ ราคาตลาดสิงคโปร์ และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 27 กันยายน 2555 อ่อนตัวลงกว่าครั้งที่ผ่านมาประมาณ 0.15 บาทต่อดอลล่าห์สหรัฐ
ทำให้ราคาขายปลีกสูงขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร รวมทั้งผู้ค้าน้ำมันได้ลดราคาขายปลีกลงก่อนแล้ว 0.20 บาทต่อลิตร
หากครั้งนี้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันดีเซลมากกว่า 0.20 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้ค่าการตลาดต่ำกว่า 1.50 บาทต่อลิตรอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลให้ผู้ค้ารายเล็กไม่สามารถประกอบกิจการต่อได้
2. ประธานฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ผู้ค้าน้ำมันหลายแห่งได้มีการเข้าชี้แจงกับกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับค่าการตลาดที่เหมาะสมว่าควรอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร เนื่องจากปัจจุบันค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่
1.40 - 1.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ผู้ค้าบางรายไม่สามารถประกอบกิจการต่อไปได้ ดังนั้นจึงอาจจะต้องมีการศึกษาวิจัยเพื่อหาค่าการตลาดที่เหมาะสมอีกครั้ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 กรอบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551–2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.)
รวมจำนวนเงิน 173,679,300 บาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน
350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้
2. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2555
ให้หน่วยงานต่างๆ ข้างต้น เป็นจำนวนเงินรวม 41,345,200 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
3. สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2555 งบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวนรวม 3 โครงการ ได้อนุมัติเงินรวม 35.084 ล้านบาท เป็นเงินสนับสนุน สนพ. จำนวน 2 โครงการ เป็นเงิน 21.50 ล้านบาท ได้แก่ โครงการศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) (วงเงิน 1.5 ล้านบาท) และโครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ (วงเงิน 20 ล้านบาท) และ ธพ. จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขา และการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (วงเงิน 13.584 ล้านบาท)
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 กันยายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,162 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 22,329 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 17,131 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว
148 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 5,050 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 18,168 ล้านบาท
5. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจัดทำคำขอแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2556 และหน่วยงานต่างๆได้ส่งคำขอรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 34,229,600 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
กรอบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2556 สป.พน. และ สนพ. ได้ขอปรับลดเงินสนับสนุนจากปี 2555 จำนวน 23.0067 ล้านบาท และ 9.4903 เป็นปี 2556 จำนวน 16.540 และ 6.3604 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ในปี 2556 ได้ขอปรับเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามระเบียบกระทรวงการคลังเป็นจำนวน 7.7518, 1.2352 และ 2.3422 ล้านบาท ตามลำดับ
6. ในส่วนงบรายจ่ายอื่น ในปี 2556 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอปรับลดเงินจาก 300 ล้านบาท เป็น 150 ล้านบาท เพื่อให้สอกคล้องกับสถานการณ์ของฐานะกองทุนน้ำมันฯ ที่ติดลบ
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้สอบถามเกี่ยวกับ การใช้ประโยชน์ของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ในวงเงิน 150 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า เป็นวงเงินเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ใช้ในการดำเนินโครงการศึกษาวิจัยตามวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันฯ เช่น สนพ. ใช้ในการศึกษาความเหมาะสมของค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เดิมได้มีการวางกรอบวงเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551-2555 ในวงเงิน 300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหน่วยงานหลักที่มีการเบิกจ่าย ได้แก่ สนพ. กรมธุกิจพลังงาน และ สป.พน. ซึ่งได้มีการดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายพลังงานในกรณีเร่งด่วน เช่น กรมธุรกิจพลังงานมีการปรับภาษีสรรพษามิตต้องมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบคลังน้ำมันค่าใช้จ่ายจะใช้ในส่วนนี้ ค่าใช้จ่ายเร่งด่วนที่ไม่สามารถตั้งงบประมาณขึ้นได้ทัน และที่ผ่านมาการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านบาทต่อปี จึงได้มีการปรับลดการขอกรอบวงเงินในส่วนนี้เหลือ 150 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้ กบง. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น เพื่อกลั่นกรองและอนุมัติเกี่ยวกับการใช้เงินในส่วนนี้
3. รักษาการผู้อำนวยการ สบพน. (นายชายน้อย เผื่อนโกสุม) ได้ให้ความเห็นว่า การเบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบรายจ่ายอื่น ยังไม่มีระเบียบปฏิบัติในการติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินการที่ชัดเจน จึงเห็นควรให้มีการจัดทำระบบการติดตามผลการดำเนินการเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยขณะนี้ สบพน. กำลังศึกษารายละเอียดและจะนำผลเสนอ กบง. ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555 ของหน่วยงานต่างๆ
2. เห็นชอบกรอบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 34.2296 ล้านบาท (สามสิบสี่ล้านสองแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ในวงเงิน 150 ล้านบาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง
เรื่องที่ 3 โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) ได้ขอหารือเกี่ยวกับ โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในรถจักรยานยนต์สาธารณะ โดยการให้ส่วนลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลให้กับรถจักรยานยนต์สาธารณะ 3 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมัน
แก๊สโซฮอลถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ประมาณ 10 บาทต่อลิตร แต่เนื่องจากมอเตอร์ไซด์บางรุ่นไม่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลได้ หรือยังไม่มีความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ซึ่งควรมีมาตรการในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้ดังกล่าว โดยอาจจะปรับปรุงเครื่องยนต์ รวมทั้งต้องสร้างความมั่นใจด้วยการประชาสัมพันธ์หลายๆ ช่องทาง เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจในนโยบายดังกล่าว เช่น การเผยแพร่ทางโฆษณา หรือติดตั้งป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ตามที่ต่างๆ เป็นต้น
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานงานและร่วมหารือกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อหาแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินการต่อไป