Super User
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 26 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2553
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 30 มีนาคม - 5 เมษายน 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 25 กุมภาพันธ์ 2548
กบง. ครั้งที่ 126 - วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 29/2555 (ครั้งที่ 126)
วันอังคารที่ 20 กันยายน 2555 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. โครงการแลกเปลี่ยนถังก๊าซคอมโพสิตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะที่ 1
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 19 กันยายน 2555 น้ำมันดิบดูไบ เบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 110.80, 124.93 และ129.95 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 2.11, 2.92 และ 1.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 10 กันยายน 2555) โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 20 กันยายน 2555 ดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงณ วันที่ 20 กันยายน 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 16 กันยายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,829 ล้านบาท หนี้สินรวม 22,257 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 17,429 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลที่อยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และ แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร และดีเซลเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 43 ล้านบาท จากติดลบวันละ 106 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 63 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. รองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายคุรุจิต นาครทรรพ) ได้ให้ความเห็นว่า เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินในตลาดโลกได้มีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมากถึง 1.82 และ 2.92 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จึงควรให้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จำนวนที่เท่ากันเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ควรพิจารณาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ย 7 วัน ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า เนื่องจากน้ำมันดีเซลมีปริมาณการใช้เป็นจำนวนมากหากเทียบกับน้ำมันเบนซิน รวมทั้งราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง ดังนั้นการปปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลในอัตราที่ 0.60 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด
2. ผู้แทนปลัดกระทรวงคมนาคม (นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เนื่องจากปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 53 ล้านลิตรต่อวัน นับว่าเป็นปริมาณมาก หากเทียบกับน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านลิตรต่อวัน ดังนั้นการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลที่ 0.60 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.40 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นอัตราที่ผู้ค้าน่าจะยอมรับได้ และเป็นการลดภาระของกองทุนลงอีก
3. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายภูมิใจ อัตตะนันทน์) ได้ให้ความเห็นว่า การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ที่ 0.50 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 1.59 และ 1.51 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งยังเป็นอัตราที่สูงจึงเห็นควรให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะพิจารณาจากค่าการตลาดเฉลี่ยรายเดือน และเฉลี่ย 7 วันย้อนหลัง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมันเบนซิน 95, 91 และดีเซลอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1.50 บาทต่อลิตร รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมัน
ในตลาดโลกยังมีความผันผวนจึงอาจจะปรับตัวสูงขึ้นได้ จึงควรรักษาค่าการตลาดให้อยู่ที่ระดับ 1.50 บาทต่อลิตร
และดูสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกไปอีกระยะหนึ่ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
เรื่องที่ 2 โครงการแลกเปลี่ยนถังก๊าซคอมโพสิตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะที่ 1
รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นางพูนทรัพย์ สกุณี) ได้รายงานเกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนถังก๊าซ
คอมโพสิตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะที่ 1 ว่า ปัจจุบันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการใช้ถังแก๊สหุงต้มเหล็กอยู่ประมาณ 740.000 ใบ เป็นถังขนาด 4 กิโลกรัม จำนวน 237,000 ใบ ขนาด 13.5 กิโลกรัม จำนวน 467,000ใบ และขนาด 48 กิโลกรัม จำนวน 36,000 ใบ ซึ่งถังเหล็กบางส่วนได้ถูกนำมาใช้ในการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงควรดำเนินการเปลี่ยนมาใช้ถังก๊าซคอมโพสิตซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าถังเหล็ก ปัจจุบันมีบริษัท อุตสาหกรรมจอบไทย จำกัด เป็นผู้ผลิตถังคอมโพสิตเพียงแห่งเดียว มีกำลังการผลิตเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 20,000
ใบต่อเดือน แต่คาดว่าในช่วงเดือนมีนาคม 2556 จะมีบริษัท ทีเจ คอมโพสิต จำกัด เพิ่มอีกแห่ง ซึ่งจะมีกำลังการผลิตประมาณ 20,000 ใบต่อเดือน จึงคาดว่าจะสามารถจัดหาถังได้ประมาณ 40,000 ใบต่อเดือน และในเบื้องต้น
จะดำเนินการเปลี่ยนถังขนาด 13.5 และ 15 กิโลกรัมก่อน โดยจะรับแลกเปลี่ยนถังแก๊สหุงต้มเหล็กที่มีราคาเฉลี่ย
ถังละประมาณ 800 บาท และภาครัฐต้องชดเชยในส่วนที่เหลืออีกประมาณ 480 บาท เนื่องจากต้นทุนราคาถัง
ก๊าซคอมโพสิตอยู่ที่ประมาณ 1,280 บาท ซึ่งคาดว่าในระยะแรกจะดำเนินการเปลี่ยนประมาณ 468,000 ใบ ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ถึงไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 โดยจะใช้เงินในการประชาสัมพันธ์และดำเนินการทั้งสิ้นประมาณ 234 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยน การขนส่ง และซ่อมแซมถังเหล็ก
ทางผู้ค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ปัจจุบันมีผู้ค้าที่รับดำเนินการเพียงแห่งเดียว คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เนื่องจากมีการซื้อขายถังคอมโพสิตกับบริษัท อุตสาหกรรมจอบไทย จำกัด อยู่แล้วในปัจจุบัน
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ในเบื้องต้น ปตท. ได้ประสานงานกับ บริษัท จอบไทยฯ และสั่งผลิตถังก๊าซคอมโพสิตครั้งแรกเป็นจำนวน 100,000 ใบ เพื่อดำเนินการเปลี่ยนถังแก๊สหุงต้มเหล็กเป็นถังก๊าซคอมโพสิตที่ใช้ภายในประเทศทั้งหมด และจากการหารือกันได้มีความเห็นว่า ควรดำเนินการเปลี่ยนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อน โดยทั้งนี้กระทรวงพลังงานควรหารือกับผู้ค้ารายอื่นด้วยเพื่อให้มีความเข้าใจและเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการนี้ต่อไป
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรศึกษารายละเอียดการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินการเปลี่ยนถังแก๊สหุงต้มเหล็กเป็นถังก๊าซคอมโพสิตเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันฯ มากที่สุด และควรชักชวนให้ผู้ค้ารายอื่นๆ เข้าร่วมดำเนินการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันทางการตลาด เพราะการใช้ถังก๊าซคอมโพสิตจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เนื่องจากถังก๊าซคอมโพสิตมีน้ำหนักเบาและมีความปลอดภัยสูงกว่าถังเหล็ก
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานดำเนินการหารือกับผู้ค้าที่เกี่ยวข้อง ในด้านศักยภาพของการเตรียมความพร้อมและแนวทางในการดำเนินการเปลี่ยนถังแก๊สหุงต้มเหล็กเป็นถังก๊าซคอมโพสิตต่อไป