มติกบง. (344)
ครั้งที่ 43 - วันอังคาร ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2552 (ครั้งที่ 43)
เมื่อวันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากการนำเข้า
2. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
3. การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากการนำเข้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)และได้มีมติให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชำระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าช LPG จากต่างประเทศ และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ โดยให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย โดยได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อทราบเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551
2. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 กพช. ได้พิจารณาเรื่องข้อเสนอการปรับปรุงแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG และได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมัน อยู่ในระดับต่ำและสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว ซึ่งจะเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ หากสถานการณ์ราคาน้ำมันได้เปลี่ยนแปลงไป ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำมาพิจารณาในที่ประชุมใหม่อีกครั้ง และมอบหมายให้ สนพ. ไปพิจารณาแนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า
3. จากราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปมาก ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นมา จึงต้องมีการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ โดยในเดือนเมษายน 2551 - มีนาคม 2552 มีการนำเข้าทั้งสิ้น 485,414 ตัน และจากการที่ราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศ ต่ำกว่าราคาตลาดโลก ทำให้ต้องชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า คิดเป็นเงินประมาณ 8,188 ล้านบาท
3. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 มีเงินสดสุทธิ 19,840 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 3,223 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 3,011 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 212 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 16,618 ล้านบาท
4. เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. วันที่ 16 มกราคม 2552 สนพ. จึงเสนอขอความเห็นชอบดังนี้ 1) ขอให้ยกเลิกมติ กบง. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ในประเด็น "การปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชำระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG" 2) ขอใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้ สนพ. นำมาพิจารณาในที่ประชุมใหม่อีกครั้ง 3) มอบหมายให้ สบพน. พิจารณาจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG จากการนำเข้าในปี 2551 เป็นจำนวนเงิน ประมาณ 7,948 ล้านบาท โดยคำนึงถึงฐานะของกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ในประเด็น "การปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชำระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG"
2. เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ
ทั้งนี้ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาใหม่อีกครั้ง
3. มอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พิจารณาจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG จากการนำเข้าในปี 2551 เป็นจำนวนเงิน ประมาณ 7,948 ล้านบาท ระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยภายใน 2 ปี โดยให้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชย หลังจากสิ้นสุดมาตรการการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
เรื่องที่ 2 การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซล ซึ่งขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันปาล์มดิบเป็นหลัก คิดเป็นร้อยละ 76 ของต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
B100 = 0.97 CPO + 0.15 MtOH + 3.32 .
B100 คือ ราคาขายไบโอดีเซล (B100) ในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/ลิตร
CPO คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
MtOH คือ ราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
โดยที่ 1) CPO หรือราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตร น้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 1 บาท/กิโลกรัม โดยราคาขายน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้วจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า เช่น ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 1 จะนำมาแทนค่าเพื่อกำหนดราคาไบโอดีเซลในสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้น ยกเว้นกรณีราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลกมาก จะนำมาพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
2) MtOH หรือราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร ใช้ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยจากผู้ค้าเมทานอลในประเทศจำนวน 3 ราย เช่น Thai M.C., I.C.P. Chemicals และ Itochu (Thailand) โดยราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้วจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า เช่น ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 1 จะนำมาแทนค่าเพื่อกำหนดราคาไบโอดีเซลในสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้น
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ไบโอดีเซล (B100) โดยให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซียบวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2551 เป็นต้นไป
3. ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) อิงราคาน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศชั่วคราวในช่วงการดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2552 ถึง 31 มกราคม 2552
4. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 โดยรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคากิโลกรัมละ 22.50 บาท เป้าหมาย 100,000 ตัน และเก็บสต๊อกไว้จำหน่ายในช่วงเวลาที่เหมาะสม และให้โรงงานสกัดรับซื้อผลปาล์มทะลายจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท (น้ำมันร้อยละ 17) ช่วงรับซื้อผลปาล์มเดือนพฤศจิกายน 2551 ถึงเดือนมกราคม 2552 และต่อมาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 (เพิ่มเติม) โดยขยายเวลาจากเดิมสิ้นเดือนมกราคม 2552 ออกไปถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2552 ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศตามประกาศของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ สูงกว่าระดับเพดานที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย+3 บาท/กิโลกรัม ทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลไม่สามารถนำน้ำมันปาล์มดิบมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลได้เพราะมีต้นทุนสูงกว่าราคาอ้างอิงมาก อาจจะทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมันไบโอดีเซลได้
5. กบง. เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ในส่วนราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) จากเดิมที่กำหนดให้มีเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ปรับปรุงเป็นใช้ราคาปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึง 31 พฤษภาคม 2552 หลังจากนั้นให้กลับมาใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
6. เพื่อให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลสามารถที่จะผลิตไบโอดีเซล (B100) จำหน่ายให้กับผู้ค้ามาตรา 7 โดยสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซล และสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) จากเดิมกำหนดให้มีเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ปรับปรุงเป็นกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) โดยใช้ราคาปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2552 หลังจากนั้นให้กลับมาใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2552 ถึง 31 พฤษภาคม 2552
มติของที่ประชุม
เห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ใช้ราคาปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมัน ร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราว หลังจากนั้นให้กลับมาใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2552 ถึง 31 พฤษภาคม 2552 ทั้งนี้ ให้กำหนดราคาเพดานให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ในโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 (เพิ่มเติม) คือให้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคากิโลกรัมละ 22.50 บาท และให้โรงงานสกัดรับซื้อผลปาล์มทะลายจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท (น้ำมันร้อยละ 17)
เรื่องที่ 3 การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2550 ได้เห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายสำหรับปีปฏิทิน 2550 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ทั้งนี้ สนพ. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
2. สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการฯ แล้วเสร็จ และ สนพ. ได้จัดให้มีการสัมมนาเพื่อนำเสนอผลการศึกษาให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 โดยเสนอแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการฯ ดังนี้
2.1 ระยะสั้น (ปี 2552-2553) เสนอให้มีการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟผ. และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย รายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ 3.3.2 ของระเบียบวาระการประชุม
2.2 ระยะยาว (ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไป) : เสนอให้มีการกำหนดเกณฑ์การประเมินดัชนีวัดผลการดำเนินงานจากผลการดำเนินงานย้อนหลังในปีที่ผ่านมาและการวิเคราะห์ผลงานในอดีต เช่น ค่าเฉลี่ยหรือผลงานที่ดีที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในอนาคตควรมีการศึกษาแนวทางการกำหนดโครงสร้างราคาไฟฟ้าให้มีความสัมพันธ์กับคุณภาพและการรับประกัน กล่าวคือ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคุณภาพที่ดีและการรับประกัน จะมีราคาไฟฟ้าแตกต่างจากผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับบริการทั่วไปตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าราคาเดียวกันทั่วประเทศ
ทั้งนี้ โดยมีดัชนีวัดผลการดำเนินงาน ดังนี้
ดัชนีวัดผลการดำเนินงานของ กฟผ. | ดัชนีวัดผลการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย |
1. ค่าเฉลี่ยของจำนวนครั้งที่ไฟฟ้าดับ (SAIFI) 2. ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่ไฟฟ้าดับ (SAIDI) 3. ความมั่นคงในการจ่ายกระแสไฟฟ้า (System Minutes) 4. ปริมาณไฟฟ้าที่ไม่สามารถจ่ายให้ลูกค้าได้ (Estimated Unsupplied Energy) 5. ปัจจัยความพร้อมจ่ายไฟฟ้า (GWEAF) 6. การเบี่ยงเบนความถี่จากช่วยการยอมรับ (Frequency Deviation) 7. การเบี่ยงเบนแรงดันไฟฟ้าจากช่วงการยอมรับ (Voltage Deviation) 8. ร้อยละระดับการให้บริการที่ดีมากจากการสำรวจ (Percent Customers Ranking Service Excellent on Survey) |
1. ค่าเฉลี่ยของจำนวนครั้งที่ไฟฟ้าดับที่ยอมให้เกิดขึ้นได้ต่อลูกค้าหนึ่งรายในหนึ่งปี (SAIFI) 2. ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่ไฟฟ้าดับที่ยอมให้เกิดขึ้นได้ต่อลูกค้าหนึ่งรายในหนึ่งปี (SAIDI) 3. การออกใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้า 4. การอ่านค่าหน่วยไฟฟ้าที่ใช้จริง 5. การจ่ายกระแสไฟฟ้าคืนหลังเกิดเหตุขัดข้อง 6. การตรวจสอบและแก้ไขคำร้องเรียนเกี่ยวกับแรงดันและไฟกระพริบ 7. การตอบข้อร้องเรียน 8. การแจ้งดับไฟฟ้าล่วงหน้าและระยะเวลาที่ดับไฟจะต้องไม่เกินกว่าระยะเวลาที่แจ้งไว้ 9. การประเมินราคาและระยะเวลาในการติดตั้ง สำหรับการติดตั้งใหม่และลูกค้ารายใหม่ 10. ระยะเวลาในการต่อกลับใช้ไฟฟ้าใหม่ของลูกค้าเดิม 11. การจ่ายเงินค่าปรับที่จ่ายโดยเช็คหรือเงินสดตามที่รับประกันในระยะเวลาที่กำหนด (ดัชนีใหม่) 12. ความพึงพอใจโดยรวมของลูกค้าที่มีต่อการไฟฟ้า (ดัชนีใหม่) |
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้มีการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการฯ ในปี 2552-2553 ตามผลการศึกษาโครงการศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการฯ นอกจากนี้ เนื่องจากปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ขึ้นตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ สกพ. ดำเนินการกำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟผ. และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าจำหน่าย ในปี 2552-2553 ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ 3.3.2 และเอกสารประกอบวาระที่ 3.3 ของระเบียบวาระการประชุม โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เป็นผู้ดำเนินการกำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตามนโยบายมาตรฐานคุณภาพบริการในข้อ 1 ดังนี้
2.1 ประเมินมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตลอดจน สำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้ไฟฟ้าต่อการให้บริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป และรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม
2.2 เสนอแนะการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตลอดจนการกำหนดบทปรับให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมครั้งที่ 12/2551 (ครั้งที่ 37) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ได้มีมติอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนเงินรวม 162.8855 ล้านบาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 - 2555 ปีละ 300 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
2. ในวันที่ 15 ธันวาคม 2551 และวันที่ 15 มกราคม 2552 กบง. ได้อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2552 ในกรอบวงเงิน 300 ล้านบาท ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และกรมธุรกิจพลังงาน ในวงเงินรวม 136,148,950 บาท
3. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพิ่มเติมดังนี้
3.1 อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ระยะที่ 2 จำนวนเงิน 35,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยมีสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สป.พน. เป็นเจ้าของโครงการ วัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจในนโยบายพลังงานของกระทรวงพลังงาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยแบ่งเป็น 3 โครงการย่อย คือ 1) โครงการสื่อสารนโยบายในแนวสารคดี ใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท 2) โครงการสื่อสารนโยบายผ่านกิจกรรมทางสังคม ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท และ 3) โครงการสื่อสารนโยบายภายในองค์กร ใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท
3.2 อนุมัติให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดทำโครงการจำนวน 2 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 37,000,000 บาท ดังนี้
3.2.1 โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ มีกองนโยบายและแผนพลังงาน สนพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 30 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญาวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารพลังงานที่ถูกต้องแก่ประชาชนตามสถานการณ์ต่างๆ โดยแบ่งเป็น 2 กิจกรรมหลัก คือ การให้ความรู้ความเข้าใจผ่าน Control Media (งบประมาณ 13.20 ล้านบาท) และการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน องค์กร หรือหน่วยงานอื่น (งบประมาณ 16.8 ล้านบาท)
3.2.2 โครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการบริหารงานและวิเคราะห์งานด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี มีสำนักนโยบายปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สนพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 7,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นที่ปรึกษาและสนับสนุนการบริหารงานและวิเคราะห์งานโครงการปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยแบ่งการทำงานเป็น 5 ส่วน ได้แก่ งานนโยบาย งานส่งเสริมสนับสนุน งานติดตามผล งานบริการ และงานอื่นๆ อาทิ ติดตามเทคโนโลยีด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น
3.3 อนุมัติให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จัดทำโครงการจำนวน 3 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14,565,200 บาท ดังนี้
3.3.1 โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการพนักงานส่งก๊าซหุงต้ม มีสำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 3,172,200 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน (1 เมษายน 2552 - 31 ธันวาคม 2552) วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านจำหน่ายก๊าซและพนักงานส่งก๊าซหุงต้มทั่วประเทศมีความรู้ความเข้าใจในข้อกฎหมาย วิธีการปฏิบัติ การป้องกัน อันตรายจากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ประกอบการร้านจำหน่ายก๊าซหุงต้ม และพนักงานส่งก๊าซหุงต้ม ทั่วประเทศ 2,000 คน จากร้านจำหน่ายก๊าซฯ 2,000 แห่ง
3.3.2 โครงการสำรวจการถ่ายโอนสถานีบริการน้ำมัน มีสำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมัน ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 9,393,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 15 เดือน (มิถุนายน 2552 - สิงหาคม 2553) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์ ประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในด้านการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ผู้ประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ (ยกเว้นประเภท ฉ) ประมาณ 8,000 แห่ง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศประมาณ 7,714 แห่ง
3.3.3 โครงการส่งเสริมสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีสำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมัน ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 2,000,000 บาท ระยะเวลาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2552 ถึงเดือนเมษายน 2553 วัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์สถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลโครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ให้เป็นที่รู้จักและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการเข้าใช้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ขับขี่ยานพาหนะ และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ประเภท ก และ ประเภท ข ทั่วประเทศ
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ระยะที่ 2 ในวงเงิน 35,000,000 บาท (สามสิบห้าล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่โครงการได้รับอนุมัติ และให้ดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2552
2. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการ จำนวน 2 โครงการ ในวงเงินรวม 37,000,000 บาท (สามสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ดังนี้
2.1 โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30,000,000 บาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
2.2 โครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการบริหารงานและวิเคราะห์งานด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ในวงเงิน 7,000,000 บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนาม ในหนังสือสัญญา
โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่โครงการได้รับอนุมัติ และให้ดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2552
3. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 3 โครงการ ในวงเงินรวม 14,565,200 บาท (สิบสี่ล้านห้าแสนหกหมื่นห้าพันสองร้อยบาทถ้วน) ดังนี้
3.1 โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการพนักงานส่งก๊าซหุงต้ม ในวงเงิน 3,172,200 บาท (สามล้านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นสองพันสองร้อยบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 - 31 ธันวาคม 2552)
3.2 โครงการสำรวจการถ่ายโอนสถานีบริการน้ำมัน ในวงเงิน 9,393,000 บาท (เก้าล้านสามแสนเก้าหมื่นสามพันบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 15 เดือน (ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2552 - สิงหาคม 2553)
3.3 โครงการส่งเสริมสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2552 ถึงเดือนเมษายน 2553
โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่โครงการได้รับอนุมัติ และให้ดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2552
เรื่องที่ 5 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนมกราคม 2552 อยู่ที่ระดับ 44.12 และ 41.75 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.59 และ 0.30 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวโอเปค-11 (ยกเว้นอิรัก) ส่งออกน้ำมันดิบในรอบ 4 สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ลดลง 160,000 บาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ 23.55 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับตัวลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 43.09 และ 39.16 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวการส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนมกราคม 2552 ลดลงร้อยละ 46 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งข่าวปริมาณสำรองน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มสูงขึ้น 0.7 ล้านบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมกราคม 2552 อยู่ที่ระดับ 52.23, 48.97 และ 58.36 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 11.17, 10.09 และ 0.35 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากอุปสงค์ของอินโดนีเซียเนื่องจากโรงกลั่น Balongan ปิดซ่อมบำรุงและอิหร่านต้องนำเข้าน้ำมันเบนซินจากตลาดจรในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัท Reliance ของอินเดียปรับลดปริมาณส่งมอบน้ำมันแบบเทอมลง และต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95และ 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 57.97 และ 55.42 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวอิหร่านเก็บสำรองน้ำมันเบนซินและข่าวจีนลดปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซิน ในเดือนมีนาคมลงเนื่องจากอุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 49.10 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากการที่จีนยังคงส่งออกน้ำมันดีเซลอย่างต่อเนื่องเนื่องจากอุปสงค์ ในประเทศต่ำ
3. เดือนมกราคม 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 3.60 บาท/ลิตร, เบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 2.80 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 2.60 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ไม่มีการปรับราคาขายปลีก ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 เพิ่มขึ้น 3.15 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 3.55 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.25 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ระดับ 35.34, 26.74, 22.44, 21.14, 21.64, 19.59 และ 18.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนมีนาคม 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 43 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 462.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากความต้องการใช้ในภูมิภาคลดลง โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งหันกลับไปใช้แนฟทาแทน LPG เนื่องจากราคาลดต่ำลง ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศ ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศอยู่ในระดับ 0.3033 บาท/กิโลกรัม คิดเป็น 48.95 ล้านบาท ทั้งนี้มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - กุมภาพันธ์ 2552 รวม 463,414.46 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 8,020.82 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนกุมภาพันธ์ 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 12 ราย แต่ผลิตจริง 10 ราย กำลังการผลิตรวม 1.73 ล้านลิตร/วัน มีปริมาณผลิตจริง 1.33 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ ไตรมาส 1 ปี 2552 อยู่ที่ 17.18 บาท/ลิตร ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 12.6 และ 12.2 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการรวม 4,178 แห่ง ราคาขายปลีกน้ำมัน ณ วันที่ 2 มีนาคม 2552 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 4.30 และ 5.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 มีปริมาณจำหน่าย 0.14 ล้านลิตร/วัน มีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 188 แห่ง ราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 1.30 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนกุมภาพันธ์ 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 12 ราย กำลังการผลิตรวม 4.40 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ 1.66 และ 1.58 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ 24.82 และ 24.89 บาท/ลิตร ตามลำดับ การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 มีปริมาณ 18.58 และ 18.39 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ มีสถานีบริการรวม 2,866 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.20 บาท/ลิตร มีราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.50 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 มีเงินสดในบัญชี 19,840 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 3,223 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 3,011 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 212 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 16,618 ล้านบาท โดยมีหนี้นำเข้า LPG จาก ปตท. ถึงสิ้นเดือนมกราคม 2552 อยู่ประมาณ 8,021 ล้านบาท ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 8,597 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 42 - วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2552 (ครั้งที่ 42)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบ เรื่องนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาน้ำมันขายปลีกทยอยเพิ่มขึ้นในระดับและในช่วงเวลาที่เหมาะสม และมิให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค และ 2) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปพิจารณาดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นไปตามหลักการในข้อ 1)
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราหนึ่ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และหลังจากนั้นให้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1.00 -1.50 บาท/ลิตร เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม โดยอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน 2) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ภายหลังจากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม และ 3) เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ เห็นชอบในหลักการที่มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางในข้อ 1) แล้วรายงานให้ กบง. ทราบภายหลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการต่อไป
3. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และได้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปรับภาระบางส่วน เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 1.55 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกเบนซิน 95 และ 91 0.80 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร และปรับลดดีเซลหมุนเร็ว B2 และ B5 0.50 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 กบง. ได้มีมติให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 ,ดีเซลหมุนเร็ว B2 และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร ต่อมาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาดีเซล 0.40 บาท/ลิตร และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มราคาเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.80 บาท/ลิตร และในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้นอีก 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้นอีก 0.26 บาท/ลิตร โดยทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม
4. เนื่องจากในช่วงวันที่ 20-25 กุมภาพันธ์ 2552 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ของน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงประมาณ 2 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลทรงตัว ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอลของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับสูง จึงสามารถปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลได้ 0.60 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.20 บาท/ลิตร เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตจากกองทุนน้ำมันฯ โดยการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน และจะทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ค่าการตลาดและราคาขายปลีกเป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ
เปรียบเทียบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด และราคาขายปลีก
ภาระที่เหลือของกองทุนน้ำมันฯ
5. ในช่วงวันที่ 1-26 กุมภาพันธ์ 2552 กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้ามาพยุงการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 3 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่ม 1.55 บาท/ลิตร และกองทุนน้ำมันฯ รับภาระวันละ 125 ล้านบาท คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 1,498 ล้านบาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ รับภาระเหลือวันละ 89 ล้านบาท และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 อีก 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 อีก 0.26 บาท/ลิตร โดยทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ลดการรับภาระเหลือวันละ 50 ล้านบาท
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอขอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งที่ 4 ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร (ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85) และดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.20 บาท/ลิตร โดยทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ลดการรับภาระเหลือวันละ 36 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.20 บาท/ลิตร ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทั้งนี้ จะไม่ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลง
2. เห็นชอบในหลักการให้การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งต่อไป ให้พิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปสู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการใช้น้ำมันอย่างประหยัด ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลกระทบต่อเงินเฟ้อและอัตราค่าบริการในภาคขนส่งด้วย
ครั้งที่ 41 - วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2552 (ครั้งที่ 41)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
2. การขอรับเงินสนับสนุนโครงการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าการนัดประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องพิจารณาเกี่ยวกับการปรับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรการภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบ เรื่องนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง บรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมัน ที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาน้ำมันขายปลีกทยอยเพิ่มขึ้นในระดับและในช่วงเวลาที่เหมาะสม และมิให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค และ 2) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปพิจารณาดำเนินการปรับลดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นไปตามหลักการในข้อ 1)
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราหนึ่ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และหลังจากนั้นให้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1.00 -1.50 บาท/ลิตร เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม โดยอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน 2) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีก ระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ภายหลังจากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม และ 3) เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ เห็นชอบในหลักการที่มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางใน ข้อ 1) แล้วรายงานให้ กบง. ทราบภายหลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการต่อไป
3. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และได้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปรับภาระบางส่วน เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 1.55 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกเบนซิน 95 และ 91 0.80 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร และปรับลดดีเซลหมุนเร็ว B2 และ B5 0.50 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 กบง. ได้มีมติให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 ,ดีเซลหมุนเร็ว B2 และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร ต่อมาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาดีเซล 0.40 บาท/ลิตร และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มราคาเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.80 บาท/ลิตร
4. เนื่องจากในช่วงวันที่ 13 - 18 กุมภาพันธ์ 2552 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ได้ปรับตัวลดลง โดยน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงประมาณ 9 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และดีเซลลดลงประมาณ 2.5 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับสูง จึงสามารถปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน จึงเห็นควรปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 อีก 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 อีก 0.26 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ค่าการตลาดและราคาขายปลีกเป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ
เปรียบเทียบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด และราคาขายปลีก
ภาระที่เหลือของกองทุนน้ำมันฯ
5. ในช่วงวันที่ 1-12 กุมภาพันธ์ 2552 กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้ามาพยุงการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง ครั้งที่ 1 ทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้นเพียง 1.55 บาท/ลิตร คิดเป็นเงิน 1,498 ล้านบาท (หรือ 125 ล้านบาท/วัน ) ต่อมาในช่วงวันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2552 หลังการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งที่ 2 ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ลดภาระลงเหลือ 89 ล้านบาท/วัน และเมื่อปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ลดภาระลงเหลือ 50 ล้านบาท/วัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91,น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.26 บาท/ลิตร ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทั้งนี้ จะไม่ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลง
เรื่องที่ 2 การขอรับเงินสนับสนุนโครงการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2552 ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ จากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตกลับมาอยู่ในอัตราเดิมเมื่อสิ้นสุด 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ในวงเงินครั้งละ 5,114,100 บาท โดยเห็นชอบให้ ธพ. เบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานได้ไม่เกิน 3 ครั้ง หากจำเป็นต้องตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือดังกล่าวเกิน 3 ครั้ง ให้นำเรื่องเสนอ กบง. เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
2. ธพ. ได้ดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือไปแล้วจำนวน 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2552 และวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552 และคาดว่าจะต้องดำเนินการตรวจสอบอีกประมาณ 3 ครั้ง โดยในการดำเนินการตรวจสอบฯ ที่ผ่านมาได้มีเจ้าหน้าที่ที่ออกปฏิบัติงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทักท้วงเรื่องค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน เดิมเหมาจ่ายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงและพาหนะคนละ 300 บาท ว่าสามารถใช้ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ พ.ศ.2550 ซึ่งเบิกเป็นเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาได้ชั่วโมงละ 60 บาท ไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง เป็นเงิน 420 บาท จึงเห็นควรปรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบข้างต้น โดย ขอความเห็นชอบอนุมัติเงินค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือจากกองทุนน้ำมันฯ นับแต่การตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือในครั้งต่อไป และให้เบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ได้ตามจำนวนครั้งที่มีการปฏิบัติงานตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่เกิดขึ้นจริง จำนวนครั้งละ 5,676,300 บาท
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้กรมธุรกิจพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ จากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตกลับมาอยู่ในระดับเดิมเมื่อสิ้นสุด 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ในวงเงินครั้งละ 5,676,300 บาท (ห้าล้านหกแสนเจ็ดหมื่นหกพันสามร้อยบาทถ้วน) โดยให้เบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามจำนวนครั้งที่มีการปฏิบัติงานตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือที่เกิดขึ้นจริง โดยให้มีผลนับแต่มีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือเกิดขึ้นในครั้งต่อไป
ทั้งนี้ ให้ปรับปรุงค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานจากเดิม แบบเหมาจ่ายที่เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงและพาหนะคนละ 300 บาท เป็นค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาแบบเหมาจ่าย คนละ 420 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ พ.ศ. 2550
ครั้งที่ 40 - วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2552 (ครั้งที่ 40)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 11.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
1. การปรับราคาน้ำมัน ตามมาตรการภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ครั้งที่ 2
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าการนัดประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องพิจารณาเกี่ยวกับการปรับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตามมาตรการภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วน
เรื่องที่ 1 การปรับราคาน้ำมัน ตามมาตรการภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ครั้งที่ 2
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบ เรื่องนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาน้ำมันขายปลีกทยอยเพิ่มขึ้นในระดับและในช่วงเวลาที่เหมาะสม และมิให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค และ 2) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปพิจารณาดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นไปตามหลักการในข้อ 1)
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราหนึ่ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และหลังจากนั้นให้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1.00 -1.50 บาท/ลิตร เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม โดยอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน 2) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ภายหลังจากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม และ 3) เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ เห็นชอบในหลักการที่มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางในข้อ 1) แล้วรายงานให้ กบง. ทราบภายหลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการต่อไป
3. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และได้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปรับภาระบางส่วน เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 1.55 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 0.80 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร และปรับลดดีเซลหมุนเร็ว B2 และ B5 0.50 บาท/ลิตร
หลังจากนั้นราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงในช่วงแคบๆ และค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับที่สูง จึงทำให้สามารถปรับราคาขายปลีกน้ำมันครั้งที่ 2 ได้โดยการเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทุกชนิดอีก 0.60 บาท/ลิตร (ยกเว้นเบนซิน 95,91) เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตจากกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จะสามารถออกตรวจสอบสต๊อกน้ำมันได้ทันที ดังนั้นจึงเห็นควรปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันแก๊สโซฮอล (E10, E20 และ E85) และดีเซล อีก 0.60 บาท/ลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร (ข้อเท็จจริงถ้าปรับกองทุนเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกจะเพิ่ม 0.64 บาท/ลิตร แต่เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงจึงให้ส่วนที่เกินเป็นภาระของผู้ค้าซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.04 บาท/ลิตร) ซึ่งจะทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ค่าการตลาดและราคาขายปลีกเป็นดังนี้
ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯเพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร
ชนิด หน่วย : บาท/ลิตร |
12 กุมภาพันธ์ 2552 | 13 กุมภาพันธ์ 2552 | ||||
อัตราเงิน กองทุนน้ำมันฯ |
ค่าการตลาด | ราคา ขายปลีก |
อัตราเงิน กองทุนน้ำมันฯ |
ค่าการตลาด | ราคาขายปลีก | |
เบนซิน 95 | 7.00 | 5.3476 | 34.54 | 7.00 | 5.3476 | 34.54 |
เบนซิน 91 | 4.00 | 0.7417 | 25.94 | 4.00 | 0.7417 | 25.94 |
แก๊สโซฮอล 95 | -1.13 | 1.3621 | 21.04 | -0.53 | 1.3228 | 21.64 |
แก๊สโซฮอล 91 | -1.73 | 1.4038 | 20.24 | -1.13 | 1.3645 | 20.84 |
แก๊สโซฮอล 95 E20 | -3.23 | 2.3457 | 19.74 | -2.63 | 2.3064 | 20.34 |
แก๊สโซฮอล 95 E85 | -7.1024 | 2.7271 | 14.29 | -6.50 | 2.6855 | 14.89 |
ดีเซลหมุนเร็ว B2 | -0.48 | 2.1474 | 19.39 | 0.12 | 2.1081 | 19.99 |
ดีเซลหมุนเร็ว B5 | -1.06 | 2.6727 | 17.89 | -0.46 | 2.6335 | 18.49 |
4. ในช่วงวันที่ 1-12 กุมภาพันธ์ 2552 กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้ามาพยุงการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง ครั้งที่ 1 เพื่อทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้นเพียง 1.55 บาท/ลิตร คิดเป็นเงิน 1,498 ล้านบาท (หรือ 125 ล้านบาท/วัน) และหลังการปรับราคาครั้งที่ 2 จะทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร และจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ลดภาระลงจาก 125 ล้านบาท/วัน เป็น 89 ล้านบาท/วัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 ,น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
ครั้งที่ 39 - วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2552 (ครั้งที่ 39)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
1. นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
2. การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน(นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงการคลังพิจารณาการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงกลับสู่ระดับเดิม ซึ่งจากมติดังกล่าว คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานสามารถพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ได้ เพื่อเตรียมนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
เรื่องที่ 1 นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบ เรื่องนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาน้ำมันขายปลีกทยอยเพิ่มขึ้นในระดับและในช่วงเวลาที่เหมาะสม และมิให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค (2) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปพิจารณาดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นไปตามหลักการในข้อ (1) และ (3) มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน รับไปดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ได้ทุกครั้งที่มีการปรับราคาใหม่ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่บังคับใช้ และเรียกเก็บเงินส่วนเกินของปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือจากผู้ประกอบการคลังน้ำมันและสถานีบริการและนำส่งกองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติในข้อ (1)
2. เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเรื่องอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน 95, 91 เพิ่มขึ้น 1.32 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 เพิ่มขึ้น 4.48 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20, E85, น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2, B5 เพิ่มขึ้น 3.98, 0.73, 3.30 และ 2.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 เพิ่มขึ้น 1.55 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 เพิ่มขึ้น 5.28 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เพิ่มขึ้น 4.69 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2, B5 เพิ่มขึ้น 3.88, 2.47 บาท/ลิตร ตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในการขึ้นราคาขายปลีกครั้งเดียว ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ บรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาน้ำมันขายปลีกทยอยเพิ่มขึ้นในระดับและในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่ง ณ วันที่ 23 มกราคม 2552 กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 15,181 ล้านบาท (ยังไม่รวมหนี้ ปตท. ในการนำเข้า LPG อีก 7,948 ล้านบาท) มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 3,438 ล้านบาท/เดือน
3. ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นประมาณ 1 บาท/ลิตร หลังจากนั้นจะทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อีกประมาณ 3 ครั้งๆ ละประมาณ 1 บาท/ลิตร เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน และจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันแก๊สโซฮอล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ซึ่งทำให้ไม่ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล จึงจำเป็นต้องปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 ขึ้นจาก 4.00 บาท/ลิตร ด้วย ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 4,311 ล้านบาท
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอ ดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ บรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราหนึ่งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และหลังจากนั้นทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อีกประมาณ 3 ครั้งๆ ละประมาณ 1 บาท/ลิตร รวมเป็น 4 ครั้ง เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน (2) ขอความเห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล และ (3) เพื่อความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ จึงขอความเห็นชอบในหลักการและมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางในข้อ 4 (1) แล้วรายงานให้ กบง. ทราบในภายหลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอัตราหนึ่ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และหลังจากนั้นให้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประมาณ 1.00 -1.50 บาท/ลิตร เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกลับไปอยู่ในอัตราเดิม โดยอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน
2. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน 91 เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ภายหลังจากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกลับไปอยู่ในอัตราเดิม
3. เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เห็นชอบในหลักการที่มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางในข้อ 1 แล้วรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบภายหลัง
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 2 การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล พ.ศ. 2551 โดยกำหนดให้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 คือน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ได้จากการผสมน้ำมันเบนซินพื้นฐานกับเอทานอลแปลงสภาพในสัดส่วน 15 ต่อ 85 โดยปริมาตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 ต่อมากระทรวงการคลังได้ออกประกาศเรื่อง ลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 73) โดยกำหนดให้น้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีเอทานอลผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 9 กำหนดให้เสียภาษีสรรพสามิตในอัตรา 3.3165 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2547 - 24 กรกฎาคม 2551
2. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเรื่อง 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำมันแพง โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 - 31 มกราคม 2552 ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 3.30, 2.30 และ 2.10 บาท/ลิตร และหลังวันที่ 31 มกราคม 2552 การคำนวณภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 จะเป็นไปตามอัตราส่วนผสมของน้ำมันเบนซิน
3. กระทรวงการคลัง ได้ออกประกาศเรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 82) โดยกำหนดให้น้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีเอทานอลผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 9 กำหนดให้เสียภาษีสรรพสามิตในอัตรา 0.0165 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 - 31 มกราคม 2552 และตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นต้นไป กำหนดให้เสียภาษีสรรพสามิตในอัตรา 3.3165 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีมติเห็นชอบการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติในระยะเวลาที่กำหนดตามแผนปฏิบัติการการส่งเสริมการใช้ E85 ครบวงจร โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินงานและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
4. ในส่วนของการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก กบง. เพื่อมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอ ดังนี้
หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85
ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 = 15% ของราคา ณ โรงกลั่นเบนซินออกเทน 95 + 85% ของราคาเอทานอล |
โดยที่ ราคาเอทานอล อ้างอิงจากประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ดังนี้
ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 = 15% ของราคา ณ โรงกลั่นเบนซินออกเทน 95 + 85% ของราคาเอทานอล |
โดยที่ ราคาเอทานอล อ้างอิงจากประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
2. เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณ 1.20 บาท/ลิตร
3. เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 30
ทั้งนี้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
ครั้งที่ 38 - วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2552 (ครั้งที่ 38)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
1. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
2. การเตรียมการเมื่อสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิต
3. การขอรับเงินสนับสนุนโครงการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับการดำเนินงานตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน โดยให้ขยายการดำเนินการต่ออีก 6 เดือน ยกเว้นเรื่องการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งจะสิ้นสุดการดำเนินงานในวันที่ 31 มกราคม 2552 โดยจะมีการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตราเดิมในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552
เรื่องที่ 1 การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรม ไบโอดีเซล ซึ่งขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันปาล์มดิบเป็นหลักคิดเป็นร้อยละ 76 ของต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
B100 = 0.97 CPO + 0.15 MtOH + 3.32
B100 คือ ราคาขายไบโอดีเซล (B100) ในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/ลิตร
CPO คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
MtOH คือ ราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
ทั้งนี้ ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ถึง 27 มกราคม 2551 โดยที่ (1) CPO หรือราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตร น้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 1 บาท/กิโลกรัม โดยราคาขายน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า เช่น ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 1 จะนำมาแทนค่าเพื่อกำหนดราคาไบโอดีเซลในสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้น ยกเว้นกรณีราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลกมาก จะนำมาพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง (2) MtOH หรือราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร ใช้ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยจากผู้ค้าเมทานอลในประเทศจำนวน 3 ราย เช่น Thai M.C., I.C.P. Chemicals และ Itochu (Thailand) โดยราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้วจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า เช่น ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 1 จะนำมาแทนค่าเพื่อกำหนดราคาไบโอดีเซลในสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้น
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ไบโอดีเซล (B100) โดยให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซียบวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2551 เป็นต้นไป เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตปาล์มในช่วงต้นปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณผลปาล์มออกสู่ตลาดน้อย ในขณะที่ความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มตลาดมาเลเซียมีแนวโน้มสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ราคาไบโอดีเซล (B100) ที่คำนวณตามสูตรต่ำกว่าราคาที่เป็นจริง ซึ่งเป็นการไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลไม่สามารถผลิตได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 ดังนี้ 1) ให้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ในราคากิโลกรัมละ 22.50 บาท เป้าหมาย 100,000 ตัน และเก็บสต๊อกไว้จำหน่ายในช่วงเวลาที่เหมาะสม และให้โรงงานสกัดรับซื้อผลปาล์มทะลายจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท (น้ำมันร้อยละ 17) ช่วงรับซื้อผลปาล์มเดือนพฤศจิกายน 2551 ถึง มกราคม 2552 2) เห็นชอบวิธีการจัดเก็บสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบว่าสมควรจะใช้วิธีการเช่าถังกลางในการจัดเก็บหรือฝากเก็บรักษาไว้ที่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ และ 3) อนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ
3. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ชมรมผู้ผลิตไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงานขอให้พิจารณาแก้ไขหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่นำมาคำนวณตามหลักเกณฑ์ที่ กบง. เห็นชอบเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 เป็นราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ต่ำกว่าต้นทุนที่นำมาผลิตจริง ทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลไม่สามารถจะผลิตและจำหน่ายได้ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551เห็นชอบให้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคา 22.50 บาท/กิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 ถึง มกราคม 2552 ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศตามประกาศของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เฉลี่ยตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน 2551 เป็นต้นมา อยู่ที่ระดับประมาณ 19.55 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซียอยู่ที่ประมาณ 14.93 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าในตลาดมาเลเซีย 4.62 บาทต่อกิโลกรัม แต่หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ไบโอดีเซล (B100) ที่ กบง. เห็นชอบเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 กำหนดให้ระดับราคาเพดานน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้คำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) ไว้ที่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้การผลิตไบโอดีเซลมีราคาต้นทุนสูงกว่าราคาอ้างอิงและไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลไม่สามารถผลิตได้ อาจส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันไบโอดีเซลได้
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) จากเดิมกำหนดให้มีเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม เป็นกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) โดยอิงราคาปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศชั่วคราวในช่วงการดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2552 ถึง 31 มกราคม 2552
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) อิงราคาน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศชั่วคราวในช่วงการดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/ 2552 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2552 ถึง 31 มกราคม 2552
เรื่องที่ 2 การเตรียมการเมื่อสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิต
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำมันแพง โดยกำหนดเป็น 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ซึ่งหนึ่งในมาตรการดังกล่าว คือ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันปรับลดลงเป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 และสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2552
2. เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงอันเนื่องจากผู้จำหน่ายหยุดการขายชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนในน้ำมันคงเหลือเมื่อมีการปรับลดภาษี นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ผู้ค้าน้ำมัน และเจ้าของสถานีบริการน้ำมันได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ตามส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นจากการลดอัตราภาษีสรรพสามิต และให้นำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เมื่อประกาศเพิ่มภาษีสรรพสามิต เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552
3. กระทรวงพลังงานมีนโยบายใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ราคาขายปลีกทยอยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่เนื่องจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 กำหนดให้มีการดำเนินการเมื่อมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 เพียงครั้งเดียว ทำให้การดำเนินการเพื่อทยอยปรับราคาขายปลีกตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ไม่สอดคล้องกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ เพื่อให้สามารถดำเนินการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในน้ำมันคงเหลือจากส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตตามที่ สนพ. ประกาศกำหนดราคาขายปลีกในแต่ละครั้ง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยไม่มีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันพื้นฐานคงเหลือ
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการแก้ไขร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามต่อไป
เรื่องที่ 3 การขอรับเงินสนับสนุนโครงการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชน โดยกำหนดเป็น 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน โดยการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2552 ทั้งนี้ การปรับลดภาษีสรรพสามิตดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอบการมีผลขาดทุนในน้ำมันคงเหลือที่ได้มาก่อนการปรับลดราคา และในทางกลับกันเมื่อมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ผู้ประกอบการจะมีกำไรส่วนเกินในน้ำมันคงเหลือที่ได้มาก่อนปรับเพิ่มราคา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจ่ายชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการเมื่อมีการปรับลดภาษีสรรพสามิต และเรียกเก็บกำไรส่วนเกินคืนให้กองทุนน้ำมันฯ เมื่อมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสู่ระดับปกติ
2. นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ในน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ตามส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นจากการลดอัตราภาษีสรรพสามิต และให้นำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เมื่อประกาศเพิ่มภาษีสรรพสามิตกลับมาอยู่ในระดับเดิม ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และเพื่อให้แน่ใจว่าปริมาณน้ำมันคงเหลือของผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการที่ได้รับเงินชดเชยและเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็นปริมาณที่ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการทั่วประเทศ ดังนี้ 1) คลังน้ำมันทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพลังงาน 2) สถานีบริการน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ โดยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจนครบาล และ 3) สถานีบริการน้ำมันในเขตต่างจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจัดตั้งคณะทำงานของแต่ละจังหวัดร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจภูธร
3. คำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้แจ้งให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบถึงจำนวนเงินชดเชยหรือจำนวนเงินที่เรียกเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ได้เสียภาษีสรรพสามิตแล้วของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดคูณด้วยส่วนต่างราคา
4. จากเรื่องที่ 3.2 การเตรียมการเมื่อสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิต กระทรวงพลังงานมีนโยบายใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ราคาขายปลีกทยอยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยต้องตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือมากกว่า 1 ครั้ง จึงจำเป็นต้องขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในวงเงินครั้งละ 5,114,100 บาท แบ่งเป็น 1) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และสมุทรสาคร (36,000 บาท) และในเขตจังหวัดสระบุรี ชลบุรี นครราชสีมา และระยอง (38,100 บาท) 2) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ (4,872,000 บาท) และ 3) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและจัดทำเอกสารแจ้งผู้ประกอบการเพื่อเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ (168,000 บาท)
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้กรมธุรกิจพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ จากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตกลับมาอยู่ในระดับเดิม เมื่อสิ้นสุด 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ในวงเงินครั้งละ 5,114,100 บาท (ห้าล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยบาทถ้วน)
โดยให้สามารถเบิกถัวจ่ายระหว่างรายการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติและหากมีเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินการโครงการ ให้นำเงินส่งคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
2. เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามการปฏิบัติงานตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 3 ครั้ง หากจำเป็นต้องตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือดังกล่าวเกิน 3 ครั้ง ให้นำเรื่องเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนธันวาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 40.53 และ 41.45 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 9.31 และ 15.96 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของสหรัฐ ต่อมาในช่วงวันที่ 1-9 มกราคม 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 46.51 และ 44.83 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวการสู้รบในฉนวนกาซาที่ทวีความรุนแรงขึ้นประกอบกับอิหร่านและคูเวตประกาศลดปริมาณส่งมอบน้ำมันดิบเดือนมกราคม 2552 แก่ลูกค้าเทอมในเอเชียลง
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 41.05, 38.88 และ 58.01 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 7.36, 8.57 และ 10.76 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าวโรงกลั่น Reliance ของอินเดียเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อ 25 ธันวาคม 2551 ประกอบกับ Pertamina ของอินโดนีเซียลดปริมาณนำเข้าน้ำมันดีเซล ในเดือนมกราคม 2552 ลงจากเดือนธันวาคม 2551 ประมาณร้อยละ 17 และต่อมาในช่วงวันที่ 1-9 มกราคม 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 47.87, 44.87 และ 62.96 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากตลาดคาดว่าอุปสงค์น้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้นจากการที่เวียดนามและอินโดนีเซียจะเพิ่มการนำเข้าน้ำมันเบนซิน ประกอบกับ Arbitrage จากเอเชียไปยุโรปเปิดโดยมีการส่งออกน้ำมันดีเซลปริมาณ 670,000 บาร์เรล ไปยุโรปในช่วงปลายเดือนมกราคม
3. เดือนธันวาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 1.40 บาท/ลิตร, เบนซิน 91ลดลง 2.20 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 2.00 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 2.70 บาท/ลิตร ตามลำดับ ต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 12 มกราคม 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 1.40 บาท/ลิตร, เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้นชนิดละ 0.60 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 12 มกราคม 2552 อยู่ที่ระดับ 29.99, 21.39, 16.89, 15.59, 16.09, 18.94 และ 17.44 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนมกราคม 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 42 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 380.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการในภูมิภาคเอเชียมีมาก ขณะที่อุปทานในตะวันออกกลางตึงตัว ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศ ณ วันที่ 6 มกราคม 2552 อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศ อยู่ในระดับ 0.3033 บาท/กิโลกรัม คิดเป็น 48.95 ล้านบาท ทั้งนี้มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน -30 พฤศจิกายน 2551 รวม 446,414.46 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 7,947.68 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนธันวาคม 2551 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย แต่ผลิตจริง 9 ราย กำลังการผลิตรวม 1.57 ล้านลิตร/วัน มีปริมาณผลิตจริง 0.92 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ ไตรมาส 1 ปี 2552 อยู่ที่ 17.18 บาท/ลิตร เดือนธันวาคม 2551 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 12.20 ล้านลิตร/วัน โดยมีสถานีบริการรวม 4,178 แห่ง ณ วันที่ 12 มกราคม 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 16.89 และ 16.09 บาท/ลิตร ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 4.50 และ 5.30 บาท/ลิตร ตามลำดับ และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในเดือนธันวาคม 2551 มีปริมาณ 0.14 ล้านลิตร/วัน มีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 188 แห่ง ราคาขายปลีก อยู่ที่ 15.59 บาท/ลิตร ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 1.30 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนธันวาคม 2551 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 10 ราย กำลังการผลิตรวม 2.90 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ย 1.57 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2551 และในช่วงวันที่ 1 -18 มกราคม 2552 อยู่ที่ 25.11 และ 23.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เดือนธันวาคม 2551 ปริมาณ 17.16 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการรวม 2,866 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.20 บาท/ลิตร มีราคาขายปลีกที่สถานี ปตท. ณ วันที่ 12 มกราคม 2552 อยู่ที่ 17.44 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.50 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 มกราคม 2552 มีเงินสดในบัญชี 16,593 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 4,543 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 4,217 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 12,050 ล้านบาท โดยมีหนี้นำเข้า LPG จาก ปตท. ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2551 อยู่ประมาณ 7,948 ล้านบาท ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 4,102 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 185 - วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2557 (ครั้งที่ 185)
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2557 เวลา 15.30 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุชาลี สุมามาลย์ เป็นกรรมการและเลขานุการ(แทน)
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2557 พบว่าค่าการตลาด ของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.8856 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.45 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2557 อยู่ที่ 1.2412 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ในส่วนของน้ำมันเบนซินและกลุ่มของน้ำมันแก๊สโซฮอล เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2557 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดลง 0.30 และ 0.40 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ปรับลดลง 0.20 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.79 4.90 และ 0.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 105.70 121.74 และ 122.51 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 14 พฤษภาคม 2557 อยู่ที่ 32.6430 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.1267 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.35 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2557 อยู่ที่ 1.1007 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.1267 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.10 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 0.3667 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ ค่าการตลาดลดลง 0.05 บาทต่อลิตร (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 เพิ่มขึ้น 0.3500 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.01 บาทต่อลิตร (4) สัดส่วนการผสมน้ำมันดีเซลลดลงร้อยละ 2.5 ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.63 บาทต่อลิตร และ (5) สัดส่วนการผสม B100 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.80 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้นต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงและต้นทุน B100 ที่เพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลปรับลดลง เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 1.50 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.30 บาท ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.4007 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 17.71 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 2.84 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 14.86 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 9,342 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 16,797 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,455 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จาก 0.55 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.25 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 2 - วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2546
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2546 (ครั้งที่ 2)
วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การคิดค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
3. โครงการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
4. การจัดสรรเงินงบประมาณกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
5. ปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซ้ำซ้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์
6. การปรับปรุงอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
7. แผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2547
8. การปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า
9. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
10. การจำหน่ายครุภัณฑ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้กล่าวแนะนำ นายวิเศษ จูภิบาล ซึ่งได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยจะมาทำหน้าที่ในการดำเนินนโยบายการแปรรูปการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ของกระทรวงพลังงาน นอกจากนี้ ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในวันที่ 28 สิงหาคม 2546 กระทรวงพลังงานจะมีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง "พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศไทย" ที่กรุงเทพ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 2 ปี 2546 ได้ปรับตัวลดลง 3.95 - 5.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกเพิ่มขึ้นหลังจากสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักได้ยุติ และโอเปคเพิ่มโควต้าการผลิตขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ลดลงเนื่องจากสิ้นสุดฤดูหนาว และประกอบกับสภาพเศรษฐกิจของโลกที่ซบเซาเนื่องจากโรคระบาด SARS โดยเดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.14 - 1.29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากสถานการณ์ความไม่สงบในอิรักและจากเหตุการณ์ประท้วงการปรับขึ้นราคาน้ำมันภายในประเทศไนจีเรีย ประกอบกับมีพายุเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน ในบริเวณดังกล่าว และในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้น 1.16 - 3.26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเหตุการณ์ระเบิดท่อส่งน้ำมันทางตอนเหนือของอิรักทำให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกน้ำมันดิบของอิรัก ประกอบกับแรงซื้อน้ำมันเพื่อความอบอุ่นในตลาดล่วงหน้า เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรองอยู่ในระดับต่ำ ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 27.88 และ 29.74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์เฉลี่ยในไตรมาส 2 ปี 2546 ได้ปรับตัวลดลง 4.10 - 7.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นโดยโรงกลั่นสิงคโปร์ได้เพิ่มกำลังการกลั่น และการส่งออกของไทย ในขณะที่อุปสงค์ในภูมิภาคลดลงเช่นเดียวกัน ในเดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 2.87 และ 2.44 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการของประเทศในภูมิภาคเอเซีย เริ่มสูงขึ้น หลังสามารถควบคุมโรคระบาด SARS ได้ ประกอบกับ มีการนำน้ำมันเบนซินจากเอเซียไปขายยังสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อุปทานในภูมิภาคตึงตัว โดยจีนและเกาหลีใต้ได้ลดปริมาณส่งออก น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว จากความต้องการใช้ภายในประเทศสูงขึ้น และจากแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นของเวียดนาม และเดือนสิงหาคม 2546 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.26 และ 1.74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยอุปทานในจีนได้ลดลง และไต้หวันได้ลดปริมาณการส่งออกลงเนื่องจากความต้องการใช้ภายในประเทศสูงขึ้น และโรงกลั่นน้ำมัน 3 แห่งของญี่ปุ่นปิดซ่อมบำรุง ราคาน้ำมันดีเซล หมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 2.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการซื้อของเวียดนาม ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ขณะที่อุปทานได้ลดลงจากโรงกลั่นน้ำมันของเกาหลีใต้ปิดซ่อมบำรุง ประกอบกับจีนลดการส่งออกเนื่องจากความต้องการใช้ภายในประเทศสูงขึ้น ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 36.85, 35.15 และ 31.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2546 ได้ปรับตัวลดลงตามราคา น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์และผลจากการที่รัฐบาลยุติมาตรการตรึงราคาน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ปรับตัวลดลง 0.70, 0.70 และ 0.83 บาท/ลิตร ตามลำดับ เดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันขายปลีกเบนซินและดีเซลหมุนเร็วสูงขึ้น 1.20 และ 0.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ และเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วสูงขึ้น 0.60 และ 0.50 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 16.99, 15.99 และ 13.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในไตรมาส 2 ปี 2546 มาอยู่ที่ระดับ 1.0778 บาท/ลิตร เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม ค่าการตลาดได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.9493 และ 0.9174 บาท/ลิตร ตามลำดับ เนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้นมาก ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกได้น้อยกว่าต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2546 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1 ปี 2546 มาอยู่ ที่ระดับ 0.5798 บาท/ลิตร เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 0.4167 และ 0.5387 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก เดือนสิงหาคม 2546 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ 269 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคา ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 10.65 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 2.45 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 439 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายในการชำระหนี้ตามข้อตกลงกับผู้ผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว 400 ล้านบาท/เดือน รวมกองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 839 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 982 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ สุทธิ 143 ล้านบาท/เดือน ยอดเงิน คงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2546 อยู่ในระดับ 4,532 ล้านบาท โดยมีเงิน ชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2546 รวม 7,128 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 2,596 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542 ได้พิจารณาเรื่องการกำหนดค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมของระบบไฟฟ้าไทย และ ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอการกำหนดค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor : P.F.) ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เท่ากับ 0.875 และ 0.9 ในปี 2545 และปี 2548 ตามลำดับ โดยมีการกำหนดบทปรับ หากค่าประกอบกำลังไฟฟ้าต่ำกว่าที่กำหนด ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน และเห็นควรกำหนดระยะเวลาเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2545 เป็นต้นไป
2. ต่อมา คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบโครงสร้างอัตราค่า ไฟฟ้าขายส่ง โดยเห็นชอบให้มีการกำหนดบทปรับค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายส่งระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย หากค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า ต่ำกว่า 0.875 ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นไป
3. อย่างไรก็ตาม มติ กพง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542 และมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ไม่ได้กำหนดรายละเอียดวิธีการคำนวณค่า P.F. ระหว่าง กฟผ. และ กฟภ. ไว้ ซึ่ง กฟผ. และ กฟภ. ได้ประชุมหารือจนได้ข้อสรุปแนวทางปฏิบัติการคำนวณค่า P.F. ร่วมกัน โดยขอให้เริ่มดำเนินการคำนวณค่า P.F. เพื่อใช้ในการคำนวณเงินระหว่าง กฟผ. กับ กฟภ. ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นไป สำหรับการคำนวณค่า P.F. ระหว่าง กฟผ. และ กฟน. ไม่ได้มีปัญหาในทางปฏิบัติ ซึ่ง กฟผ. ได้เริ่มการคิดค่า P.F. กับ กฟน. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นมา
4. กฟผ. ได้มีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ขอให้พิจารณาการเลื่อนระยะเวลาการดำเนินการคำนวณค่า P.F. ระหว่าง กฟผ. และ กฟภ. จากเดิมที่กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นไป เป็นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นไป ซึ่ง สนพ. พิจารณาแล้วเห็นว่า การขอเลื่อนวันเริ่มดำเนินการการคำนวณค่า P.F. ดังกล่าว เป็นผลมาจากปัญหาในวิธีปฏิบัติ ประกอบกับ กฟผ. และ กฟภ. ได้ข้อยุติในแนวทางปฏิบัติและระยะเวลาเริ่มดำเนินการคิดค่า P.F. ร่วมกันแล้ว จึงไม่ขัดข้อง หากจะเริ่มดำเนินการคำนวณค่า P.F. เพื่อใช้ในการคำนวณเงินระหว่าง กฟผ. และ กฟภ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. หลังจากได้มีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้ก๊าซฯ อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ธุรกิจการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดก๊าซฯ ที่ เกิดขึ้นมาขาดระบบและมาตรฐานที่ดีด้านความปลอดภัย คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว 3 ขั้นตอน คือ การกำจัดการบรรจุก๊าซผิดกฎหมาย การกำจัดถังขาว และการซ่อมบำรุงถังก๊าซอายุใช้งานเกิน 5 ปี
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ดำเนินการไปแล้ว 2 ขั้นตอน คือ การกำจัดการบรรจุก๊าซผิดกฎหมาย การกำจัดถังขาว โดยห้ามโรงบรรจุก๊าซฯ บรรจุข้ามยี่ห้อ บรรจุถังเถื่อน และถังขาว โดยการติดตามการบังคับใช้กฎหมาย ได้ขอความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดตั้งชุดตำรวจเฉพาะกิจด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ออกปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดทั่วประเทศ ต่อมาชุดตำรวจ เฉพาะกิจดังกล่าวถูกยกเลิก เนื่องจากไม่มีงบประมาณ ประกอบกับนโยบายของกระทรวงพลังงานโดยรัฐมนตรีพงศ์เทพ เทพกาญจนา เห็นควรให้กรมธุรกิจพลังงาน ในฐานะผู้ดูแลรับผิดชอบกฎหมายด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว เข้ามาดูแลโดยตรง ดังนั้น สนพ. จึงได้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 ขอความร่วมมือให้กรมธุรกิจพลังงาน ในฐานะผู้ดูแลกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ทำหน้าที่ตรวจสอบและเคร่งครัดให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งหากมีการร้องเรียนเข้ามา สนพ. จะประสานให้กรมธุรกิจพลังงานตรวจสอบให้
2.2 ขอความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลวในโครงการปราบปรามน้ำมันเถื่อน ชุดปฏิบัติการปราบปรามโซลเวนท์
3. ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ได้เกิดปัญหาการลักลอบบรรจุก๊าซที่ผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการ ลักลอบบรรจุก๊าซข้ามยี่ห้อของโรงบรรจุก๊าซทั่วประเทศ และการบรรจุลงถังก๊าซหุงต้มในสถานีบริการเนื่องจากไม่มีหน่วยงานของรัฐเข้าไปตรวจสอบและปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
4. สนพ. จึงเสนอให้จัดชุดตำรวจเฉพาะกิจจากส่วนกลางเข้าไปปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อเร่งรัดให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมาย ในระหว่างการดำเนินนโยบายจนกว่า การปรับปรุงระบบการค้าที่ดำเนินการไว้เข้าสู่ระบบใหม่ตามที่รัฐบาลกำหนด แล้วจึงมอบหมายให้กรมธุรกิจ พลังงานในฐานะผู้ดูแลกฎหมายรับไปดำเนินการกำกับดูแลต่อไป โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2547 ในวงเงินงบประมาณ จำนวน 21,568,000 บาท เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ระยะเวลา 1 ปี ซึ่ง สนพ. ได้พิจารณาเบื้องต้น เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนจำนวน 21,568,000 บาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำหรับการปฏิบัติงาน 1 ปี โดยมีเงื่อนไขให้จ่ายเงินสำหรับการปฏิบัติงานในช่วง 6 เดือนแรก จำนวน 10,784,000 บาท ก่อน แล้วทำการประเมินผล หากเห็นว่าผลการปฏิบัติงานได้ผลคุ้มค่าและยังมีความจำเป็นต้องปราบปรามต่อไป จึงจะเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่ออนุมัติจ่ายเงินที่เหลือให้ ต่อไป ทั้งนี้ สนพ. ประเมินผลการปฏิบัติงานทุก 3 เดือน เพื่อติดตามและปรับแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2547 ในวงเงินจำนวน 21,568,000 บาท (ยี่สิบหนึ่งล้านห้าแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน) ระยะเวลา 1 ปี ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อจัดชุดตำรวจเฉพาะกิจจากส่วนกลาง ในการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยมีเงื่อนไขให้จ่ายเงินสำหรับการปฏิบัติงานในช่วง 6 เดือนแรก จำนวน 10,784,000 บาท ก่อน และมอบหมายให้ สนพ. ทำการประเมินผล หากเห็นว่าการปฏิบัติงานได้ผลคุ้มค่า แต่ยังมีความจำเป็นต้องปราบปรามต่อไป จึงจะเสนอ กบง. เพื่ออนุมัติจ่ายเงินที่เหลือให้ต่อไป ทั้งนี้ สนพ. ประเมินผลการปฏิบัติงานทุก 3 เดือน เพื่อติดตามและปรับแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ไปดำเนินการทบทวนข้อกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการบรรจุข้ามยี่ห้อ และการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ร่วมกับ สนพ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และบริษัท ปตท.ฯ รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานของกรมธุรกิจพลังงาน ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดให้สอดคล้องกับนโยบายการปรับปรุงระบบการค้าฯ ด้วย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2546 นายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนในช่วงที่ราคาน้ำมันแพง โดยให้จัดหาเงินจากเงินกู้สำหรับจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิง และเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ขึ้น โดยยกร่างพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งเป็นองค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 เพื่อให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลและสามารถกู้เงินมาใช้ในการอุดหนุนเพื่อตรึงราคาน้ำมันได้
2. สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2546 เรื่องแต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2546 โดยมี 1) นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ เป็นประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 5 คน นอกจากนี้ คณะกรรมการสถาบันยังประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 4 คน
3. จากมาตรา 32 ของพระราชกฤษฎีกาฯ ได้กำหนดไว้ว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการ ให้ปลัดกระทรวงพลังงานแต่งตั้งข้าราชการในสังกัดกระทรวงพลังงาน ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการเป็นการชั่วคราวขึ้น และปลัดกระทรวงพลังงานได้แต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) เป็นผู้อำนวยการของสถาบัน เป็นการชั่วคราว เพื่อจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้สูงเกินกว่าระดับที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
4. ในการประชุมคณะกรรมการสถาบันฯ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2546 ได้มีมติให้มีการจัดทำหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้อำนวยการสถาบันพร้อมทั้งกำหนดค่าตอบแทนของผู้อำนวยการสถาบันให้เป็นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 ด้วย ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการสถาบันขึ้น ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการ 5 คน โดยมีนายวิทิต สัจจพงษ์ เป็นประธานกรรมการ เพื่อดำเนินการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 26 มิถุนายน 2546 ซึ่งและเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2546 สถาบันได้ออกประกาศรับสมัครบุคคลเข้ารับคัดเลือกดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน ในระหว่างวันที่ 11 - 20 มิถุนายน 2546 ซึ่งมีผู้สมัครเข้ารับคัดเลือกจำนวน 5 คน ซึ่งผลการคัดเลือก ปรากฎว่าผู้สมัครทั้งหมดไม่ผ่านการพิจารณาเนื่องจากมีคุณสมบัติและประสบการณ์ทำงานที่ไม่สอดคล้องกับงานของสถาบันที่จะดำเนินการต่อไป
5. โดยที่สถาบันไม่มีทุนประเดิมในการจัดตั้งสถาบัน แต่คณะกรรมการสถาบันฯ ได้มีการประชุมหารือ เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์จัดตั้งสถาบันฯ โดยได้มีการประชุมอย่าง ต่อเนื่องไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2546 และวันที่ 10 มิถุนายน 2546 ตามลำดับ ประกอบกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ได้กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของประธานกรรมการของสถาบัน ได้รับครั้งละ 5,000 บาท เดือนละไม่เกิน 10,000 บาท และกรรมการได้รับครั้งละ 4,000 บาท และ เดือนละไม่เกิน 8,000 บาท แต่ความจำเป็นที่คณะกรรมการจะต้องประชุมหารือยังมีต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการสถาบันฯ คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2546 กรรมการสถาบันฯ จะมีการประชุมอีก 1 ครั้ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเบี้ยประชุมเป็นเงิน 41,000 บาท อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสถาบันฯ ได้มีการประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งต้องจ่ายค่าเบี้ยประชุมย้อนหลังเป็นเงิน 82,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 123,000 บาท
6. นอกจากนี้ สถาบันได้ดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการสถาบันโดยประกาศรับสมัครบุคคล เพื่อเข้ารับคัดเลือกตามสื่อต่างๆ ในช่วงระยะเวลาที่จำกัด ผู้อำนวยการ สนพ. ซึ่งทำหน้าที่ผู้อำนวยการสถาบันเป็นการ ชั่วคราว จึงได้ยืมเงินทดรองจ่ายจากเงินสวัสดิการ สนพ. มาใช้จ่ายล่วงหน้าเป็นค่าจัดจ้างโฆษณาทางหนังสือพิมพ์สำหรับการรับสมัครดังกล่าว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 141,882.00 บาท ฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการสถาบันฯ จึงนำเสนอขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดประชุมของคณะกรรมการสถาบันฯ จำนวนเงิน 123,000.00 บาท และการสรรหาบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน จำนวนเงิน 141,882.00 บาท รวม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 264,882.00 บาท
7. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า คณะกรรมการสถาบันฯ ได้มีการประชุมเพื่อให้เกิดการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน พร้อมทั้งได้ดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันฯ ซึ่งทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขึ้น โดยที่ไม่มีเงินทุนประเดิมและขณะนี้ความจำเป็นในการกู้ยืมเงินจากธนาคารออมสินเพื่อตรึงราคาน้ำมันไม่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น ควรอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ แก่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการที่ได้มีการจัดประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง และที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2546 อีกครั้ง เป็นจำนวน 123,000 บาท และเป็นค่าการดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการ เป็นจำนวน 141,882 บาท ทั้งนี้ เมื่อสถาบันมีผู้อำนวยการ ที่ได้รับการแต่งตั้งแล้วให้ผู้อำนวยการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของสถาบัน นำเสนอของบประมาณจากกองทุนน้ำมันฯ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้อนุมัติเป็นงบประมาณประจำปีต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นควรอนุมัติให้กรมบัญชีกลางจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน สำหรับเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้
1.1 ค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการสถาบันฯ ที่ได้มีการประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง และการประชุมที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2546 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 123,000.00 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่น สามพันบาทถ้วน)
1.2 เบิกเป็นค่าดำเนินการจัดจ้างลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์เพื่อการสรรหาผู้อำนวยการสถาบัน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 141,882.00 บาท (หนึ่งแสนสี่หมื่นหนึ่งพันแปดร้อยแปดสิบสองบาทถ้วน) เพื่อชดใช้ให้กับเงินสวัสดิการ สนพ. ซึ่งได้ทดรองจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
2. เห็นชอบให้ผู้อำนวยการสถาบันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของสถาบัน แล้วนำเสนอของบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่ออนุมัติเป็น งบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
เรื่องที่ 5 ปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซ้ำซ้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุน การใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 ได้มีมติให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เท่ากับ 0.27 และ 0.036 บาท/ลิตร ตามลำดับ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2545 เป็นต้นไป
3. จากนโยบายการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ - 19 พฤษภาคม 2546 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546 ได้กำหนดขั้นตอนการส่งเงินเข้ากองทุนและการจ่ายเงินชดเชย โดยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้านำส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชย เมื่อนำน้ำมันออก จากโรงกลั่นน้ำมันหรือเมื่อนำเข้าแล้วแต่กรณี และในกรณีที่ผู้ผลิตนำน้ำมันที่ได้ส่งเงินเข้ากองทุนและหรือขอ รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ แล้ว มาผลิตใหม่ โดยการผสมสารเติมแต่ง (ADDITIVE) ให้ผู้ผลิตส่งเงินเข้ากองทุนและหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ เฉพาะในส่วนของปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นไป
4. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ได้มีหนังสือขอให้พิจารณา แก้ไขปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซ้ำซ้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ในกรณีการนำน้ำมันเบนซินออกเทน 91 จากโรงกลั่นน้ำมันมาผสมเอทานอลและสารเติมแต่ง เพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่คลังน้ำมัน สรุปประเด็นปัญหา ดังนี้
(1) น้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดจากน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ผสมกับเอทานอลและสารเติมแต่ง ไม่ใช่เป็นการผสมสารเติมแต่งเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันจึงต้องเงินส่งเข้ากองทุน น้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ทั้งหมด ในอัตรา 0.27 บาท/ลิตร โดยไม่สามารถนำส่งเงินเข้ากองทุน น้ำมันฯ เฉพาะในส่วนของปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ตามหลักเกณฑ์การส่งเงินเข้ากองทุนตามข้อ 3
(2) เมื่อนำน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ออกจากโรงกลั่น มาผสมกับเอทานอล 10 % เพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่คลังน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถขอคืนเงินที่ได้ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่ได้จ่ายไปแล้วในอัตรา 0.30 บาท/ลิตร ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ดังกล่าว มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ อย่างถูกต้องแล้ว และผู้ค้าน้ำมันจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผลิตใหม่อีก ในอัตรา 0.27 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซ้ำซ้อน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า ปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซ้ำซ้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ที่ผลิต ณ คลังน้ำมัน จะเป็นข้อจำกัดทำให้ผู้ผลิตไม่มีความคล่องตัวในการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งขัดกับนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงของรัฐบาล จึงได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยขอให้ยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำไปผสมเอทานอล เพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไป และให้กรม สรรพสามิตรับไปวางแนวทางปฏิบัติเพื่อกำกับดูแลการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผลิต ณ คลังน้ำมันให้รัดกุม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำไปผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปวางแนวทางปฏิบัติเพื่อกำกับดูแลการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผลิต ณ คลังน้ำมันให้รัดกุม
เรื่องที่ 6 การปรับปรุงอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2529 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ก๊าซ LPG) ณ คลัง สำหรับขายส่งเท่ากันทั่วประเทศ โดยในขั้นแรกให้จ่าย ชดเชยต้นทุนค่าคลังภูมิภาคและค่าขนส่งจากส่วนกลางไปยังคลังก๊าซส่วนภูมิภาคจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเมื่อมีการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในครั้งต่อไปให้ดำเนินการในลักษณะที่ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยจากเงินกองทุนฯ หรือจ่ายชดเชยให้น้อยลงจนในที่สุดไม่ต้องชดเชยเลย
2. ปัจจุบันอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังก๊าซภูมิภาค จะเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ฉบับที่ 51 พ.ศ. 2540 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซ ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ และราคาก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
อัตราค่าขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
หน่วย : บาท/กก.
คลังก๊าซ | จากชลบุรี | จาก บ. ไทยเชลล์ | จาก อ. ขนอม | ||
ทางรถไฟ | ทางเรือ | ทางรถยนต์ | กำแพงเพชร | นครศรีธรรมราช | |
นครสวรรค์ | 0.4270 | 1.0100 | 0.3958 | - | |
ลำปาง | 0.7654 | 2.0100 | 0.7925 | - | |
ขอนแก่น | 0.5579 | 1.4030 | 0.4800 | - | |
สงขลา | - | 0.3561 | - | - | 0.2543 |
สุราษฎร์ธานี | - | 0.3357 | - | - | 0.1933 |
3. ปัจจุบันการขนส่งก๊าซ LPG จากคลังก๊าซชลบุรีไปยังคลังก๊าซต่างๆ ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะใช้รถไฟเป็นหลัก โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) สามารถขนส่งก๊าซ LPG ทางรถไฟได้ 313 ล้านกิโลกรัม/ปี และขนส่งทางรถยนต์ 205 ล้านกิโลกรัม/ปี ส่วนภาคใต้ขนส่งทางเรือ 253 ล้านกิโลกรัม/ปี
4. ปตท. ขอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน พิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ทางรถไฟ จากคลังก๊าซจังหวัดชลบุรีไปยังคลังก๊าซจังหวัดนครสวรรค์ ลำปางและขอนแก่น เพื่อให้สอดคล้อง กับต้นทุนค่าขนส่งจริงของ ปตท. จากปัจจัย 2 ประการ ดังนี้
(1) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ปรับค่าระวางขนส่งก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป ทำให้ค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซนครสวรรค์ ลำปางและขอนแก่น สูงกว่าอัตราชดเชยค่าขนส่งที่คณะกรรมการฯ กำหนดประมาณ 0.11 - 0.21 บาท/กก.
(2) ปตท. ลงทุนซื้อตู้รถไฟใหม่ จำนวน 1 ขบวน (18 ตู้) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งก๊าซ LPG ทางรถไฟให้มากขึ้น เงินลงทุน 144 ล้านบาท ซึ่งจะทดแทนการขนส่งทางรถยนต์ไปยังคลังก๊าซลำปาง และนครสวรรค์ได้ 76.8 ล้านกก./ปี โดยเริ่มขนส่งก๊าซ LPG ประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2546 เป็นต้นมา โดย อัตราค่าขนส่งใหม่ที่ ปตท. เสนอ เป็นการเกลี่ยต้นทุนค่าขนส่ง (เฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก) จากตู้รถไฟจำนวน 5 ขบวนเดิม กับตู้รถไฟขบวนใหม่ 1 ขบวน
อัตราค่าขนส่งก๊าซ LPG ทางรถไฟจากคลังก๊าซชลบุรีไปยังคลังก๊าซต่างๆ
หน่วย : บาท/กก.
คลังก๊าซ | อัตราชดเชย | อัตราค่าขนส่งตามข้อเสนอ ปตท. | เพิ่มขึ้น | ||
ปลายทาง | ปัจจุบัน | 15 - 30 มิ.ย. 46 | 1 ก.ค.46 เป็นต้นไป | ||
(a) | (b) | (c) | (b-a) | (c-a) | |
นครสวรรค์ | 0.4270 | 0.5399 | 0.5776 | +0.1129 | +0.1506 |
ลำปาง | 0.7654 | 0.9728 | 1.0615 | +0.2074 | +0.2961 |
ขอนแก่น | 0.5579 | 0.7073 | 0.7647 | +0.1494 | +0.2068 |
5. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า รัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบายราคาขายส่งก๊าซ LPG ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนในต่างจังหวัดได้ใช้ก๊าซ LPG ในราคาใกล้เคียงกับ กทม. โดยให้ ปตท. เป็นผู้ดูแลให้มีก๊าซ LPG ในภูมิภาคอย่างทั่วถึง ดังนั้น อัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ควรจะสอดคล้องกับต้นทุนค่าขนส่งก๊าซที่เป็นจริงของ ปตท. และการที่ ปตท. ลงทุนจัดซื้อตู้รถไฟเพิ่มขึ้นอีก 1 ขบวน จะทำให้ค่าใช้จ่ายชดเชยค่า ขนส่งทางรถไฟเพิ่มขึ้น 9.87 ล้านบาท/เดือน แต่การชดเชยค่าขนส่งทางรถยนต์จะลดลง 11.09 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มีภาระการจ่ายชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG สุทธิลดลงประมาณ 1.22 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราชดเชยค่าขนส่งก๊าซทางรถไฟที่เพิ่มขึ้น ยังคงต่ำกว่าอัตราชดเชยค่าขนส่งทางรถยนต์
มติของที่ประชุม
อนุมัติให้ปรับอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซปิโตรเลียม (LPG) ให้สอดคล้องตามต้นทุนค่าขนส่งจริงของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดังนี้
1. กำหนดค่าขนส่งก๊าซ LPG ที่ออกจากคลังที่จังหวัดชลบุรี โดยทางอื่นๆ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2546 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2546 ดังนี้
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ กิโลกรัมละ 0.5399 บาท
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดลำปาง กิโลกรัมละ 0.9728 บาท
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดขอนแก่น กิโลกรัมละ 0.7073 บาท
2. กำหนดค่าขนส่งก๊าซ LPG ที่ออกจากคลังที่จังหวัดชลบุรี โดยทางอื่นๆ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 เป็นต้นไป ดังนี้
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ กิโลกรัมละ 0.5776 บาท
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดลำปาง กิโลกรัมละ 1.0615 บาท
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดขอนแก่น กิโลกรัมละ 0.7647 บาท
เรื่องที่ 7 แผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2547
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ซึ่งได้รับอนุมัติ งบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2546 จำนวนเงิน 4,424,737 บาท ได้รายงานผลการใช้จ่ายเงินดังกล่าว โดยมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 2,835,594.57 บาท และเงิน คงเหลือจำนวน 1,589,142.43 บาท ทั้งนี้ จำนวนเงินคงเหลือที่จะส่งคืนคลังยังไม่แน่นอน เนื่องจากขณะจัดทำรายงานยังไม่สิ้นสุดปีงบประมาณ
2. กรมบัญชีกลางได้รายงานฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2546 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 4,532 ล้านบาท เงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวค้างชำระ 7,128 ล้านบาท ฐานะการเงินสุทธิติดลบในระดับ 2,596 ล้านบาท ปัจจุบันมีรายรับจากน้ำมัน 982 ล้านบาท/เดือน รายจ่ายชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว 439 ล้านบาท/เดือน ทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนสุทธิ 143 ล้านบาท/เดือน
3. กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และ สนพ. ได้จัดทำประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปีงบประมาณ 2547 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,849,026 บาท โดยแยก รายละเอียดได้ดังนี้
ประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ 2547
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | หมวดค่าครุภัณฑ์ | รวม |
กรมบัญชีกลาง | 152,640 | 48,680 | 100,000 | 301,320 |
กรมศุลกากร | 314,400 | 280,000 | 17,500 | 611,900 |
กรมสรรพสามิต | 572,400 | 381,746 | 210,000 | 1,164,146 |
สนพ. | 457,920 | 2,313,740 | - | 2,771,660 |
รวม | 1,497,360 | 3,024,166 | 327,500 | 4,849,026 |
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปีงบประมาณ 2546 ของกรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และ สนพ. ตามข้อ 1
2. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปี 2547 ให้แก่ กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และ สนพ. เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 4,849,026 บาท (สี่ล้านแปดแสนสี่หมื่นเก้าพันยี่สิบหกบาทถ้วน) โดยรายละเอียดของบประมาณจำแนกรายหมวดเป็นไปตามตารางแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ 2547 ตามข้อ 3
เรื่องที่ 8 การปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า
สาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ตลอดจนการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ซึ่งได้ประกาศใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นมา โดยภายหลังการปรับค่า ไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติครั้งแรก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 มีการร้องเรียนและขอให้ทบทวนโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติอีกครั้งหนึ่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติขึ้น เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ
2. คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฯ ได้เสนอให้มีการพิจารณาการชะลอแผนการลงทุนและฐานะการเงินของการไฟฟ้า ซึ่งพบว่า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ปรับลดแผนการลงทุน ในปี 2544 - 2546 จากแผนเดิมที่จัดทำโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเมื่อเดือนตุลาคม 2543 ประมาณ 55,000 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้ในการสมทบการลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ลดลง 14,000 ล้านบาท นำมาเฉลี่ยลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนปีละ 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าไฟฟ้าที่ลดลง 7 สตางค์/หน่วย เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่การ ปรับค่า Ft เดือนตุลาคม 2544 - กันยายน 2546
3. จากการพิจารณาแผนการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2544 - 2546 ในปัจจุบันพบว่า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีการลงทุนจริงต่ำกว่าแผนเดิมที่พิจารณาปรับลดแผนการลงทุนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย เป็นระยะเวลา 2 ปี ไปแล้วอีกจำนวน 24,091 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้ในการสมทบการ ลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ลดลงประมาณ 6,023 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 4,317.13 1,553.36 และ 152.25 ล้านบาท ตามลำดับ
4. เมื่อพิจารณาข้อมูลฐานะการเงินของ กฟผ. ชุดเดือนพฤษภาคม 2546 และฐานะการเงินของ กฟน. และ กฟภ. ชุดเดือนกุมภาพันธ์ 2546 ในกรณีที่มีการยืดระยะเวลาการลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546 - มกราคม 2547 จะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง สำหรับกรณีที่มีการปรับลดแผนการลงทุน พบว่า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีอัตราส่วนการลงทุนจากเงินรายได้ (Self Financing Ratio: SFR) เฉลี่ยในปี 2544 - 2546 เท่ากับร้อยละ 19.76 และมีอัตราส่วนรายได้สุทธิต่อการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) เฉลี่ยในปี 2544 - 2546 เท่ากับ 1.17 เท่า
ฐานะการเงินของการไฟฟ้า
กรณีปรับลดแผนการลงทุนและยืดการลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน
SFR (ร้อยละ) | DSCR (เท่า) | ||||||||
2544 | 2545 | 2546 | รวม | 2544 | 2545 | 2546 | รวม | ||
กฟผ. | -30.67 | 18.46 | 34.79 | 4.21 | กฟผ. | 0.55 | 1.29 | 1.33 | 1.02 |
กฟน. | 32.06 | 21.02 | 8.22 | 19.88 | กฟน. | 1.79 | 1.46 | 1.19 | 1.48 |
กฟภ. | 46.71 | 38.08 | 23.68 | 35.17 | กฟภ. | 2.01 | 1.85 | 1.89 | 1.91 |
ภาคไฟฟ้า | 7.97 | 26.86 | 24.84 | 19.76 | ภาคไฟฟ้า | 0.81 | 1.38 | 1.38 | 1.17 |
อย่างไรก็ตาม จากการประชุมร่วมกันระหว่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และ สนพ. ได้มีข้อสังเกตในการพิจารณาปรับปรุงฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ดังนี้
4.1 กฟผ. นำเงินส่งรัฐค้างจ่ายตั้งแต่ปี 2539 - 2542 จำนวน 11,090 ล้านบาท มาชำระในปี 2544 ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับการนำเงินส่งรัฐปกติประมาณ 7,000 - 9,000 ล้านบาท/ปี ทำให้ฐานะ การเงินในปี 2544 ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดมาก
4.2 กฟผ. ประมาณการฐานะการเงินในปี 2544 โดยนำค่า Ftค้างรับ จากการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเดือนตุลาคม 2543 จำนวน 12,915 ล้านบาท มาคำนวณด้วย ในประเด็นนี้ ได้เคยมีการพิจารณา ในคณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าแล้ว เห็นว่า ไม่มี Ft ค้างรับ และได้มีมติ ให้นำภาระค่า Ft ค้างรับออกจากสูตร Ft เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดจากวิธีการลงบัญชีรายได้รับของ กฟผ. เอง
4.3 กฟน. และ กฟภ. ประมาณการฐานะการเงิน โดยมีเงินนำส่งรัฐ (Remittance) ตามที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งควรปรับปรุงฐานะการเงินของ กฟน. และ กฟภ. โดยใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานตามหลักการ CPI-X รวมทั้ง คำนวณเงินนำส่งรัฐให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายดำเนินงานตามหลักการ CPI-X
5. ภายหลังการปรับปรุงฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ตามข้อสังเกตข้างต้น จะทำให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีฐานะการเงินเฉลี่ยในปี 2544 - 2546 ดีขึ้น โดยมี SFR เฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 29.20 และ DSCR เฉลี่ยเท่ากับ 1.36 เท่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของแต่ละการไฟฟ้า จะพบว่า กฟน. มี SFR ในปี 2546 อยู่ในระดับเพียงร้อยละ 9.7 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในระดับร้อยละ 25 ค่อนข้างมาก และ กฟภ. มีกำไรสุทธิในปี 2546 ในระดับเพียง 2,700 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 6,000 ล้านบาท ค่อนข้างมาก ในขณะที่ กฟผ. มีกำไรสุทธิในปี 2545 - 2546 อยู่ในระดับ 26,000 - 27,000 ล้านบาท หาก จะพิจารณานำการปรับลดแผนการลงทุนมาปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน ทั้งจำนวน 6,023 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 4,317.13 1,553.36 และ 152.25 ล้านบาท ตามลำดับ อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงควรนำการปรับลดแผนการลงทุนเฉพาะในส่วนของ กฟผ. จำนวน 4,317.13 ล้านบาท มาบรรเทาการเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน การดำเนินการดังกล่าว จะทำให้ภาคไฟฟ้ามี SFR เฉลี่ยในปี 2544 - 2546 อยู่ในระดับร้อยละ 25 และมี DSCR เฉลี่ยในปี 2544 - 2546 อยู่ในระดับ 1.32 เท่า ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ทางการเงินที่กำหนด
ฐานะการเงินของการไฟฟ้า
กรณีปรับลดแผนการลงทุนโดยยืดการลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน
และปรับปรุงฐานะการเงินของการไฟฟ้าตามข้อสังเกตของที่ประชุม
SFR (ร้อยละ) | DSCR (เท่า) | ||||||||
2544 | 2545 | 2546 | รวม | 2544 | 2545 | 2546 | รวม | ||
กฟผ. | 29.47 | 18.46 | 34.79 | 27.41 | กฟผ. | 1.19 | 1.29 | 1.33 | 1.26 |
กฟน. | 32.06 | 23.57 | 9.70 | 21.25 | กฟน. | 1.79 | 1.50 | 1.21 | 1.50 |
กฟภ. | 46.71 | 36.30 | 22.56 | 34.18 | กฟภ. | 2.01 | 1.80 | 1.85 | 1.88 |
ภาคไฟฟ้า | 36.31 | 26.58 | 24.57 | 29.20 | ภาคไฟฟ้า | 1.32 | 1.38 | 1.38 | 1.36 |
ฐานะการเงินของการไฟฟ้า
กรณีปรับลดแผนการลงทุน
SFR (ร้อยละ) | DSCR (เท่า) | ||||||||
2544 | 2545 | 2546 | รวม | 2544 | 2545 | 2546 | รวม | ||
กฟผ. | 29.47 | 18.46 | 3.43 | 18.38 | กฟผ. | 1.19 | 1.29 | 1.19 | 1.22 |
กฟน. | 32.06 | 23.57 | 9.70 | 21.25 | กฟน. | 1.79 | 1.50 | 1.21 | 1.50 |
กฟภ. | 46.71 | 36.30 | 22.56 | 34.18 | กฟภ. | 2.01 | 1.80 | 1.85 | 1.88 |
ภาคไฟฟ้า | 36.31 | 26.58 | 13.57 | 25.46 | ภาคไฟฟ้า | 1.32 | 1.38 | 1.27 | 1.32 |
6. อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าว ยังคงทำให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมีฐานะการเงินในปี 2546 ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจาก กฟน. ยังคงมี SFR อยู่ในระดับร้อยละ 9.7 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดค่อนข้างมาก และ กฟภ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานประมาณ 2,700 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปีผ่านมามาก ดังนั้น การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจึงขอให้มีการพิจารณาปรับเกลี่ยฐานะการเงินระหว่างการไฟฟ้า ทั้งนี้ การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีแผน ที่จะจดทะเบียนกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 และการพิจารณาเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอาจไม่เหมาะสม และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากหลักเกณฑ์ SFR อาจทำให้การไฟฟ้ามีการลงทุนที่มากเกินความจำเป็น และหลักเกณฑ์ DSCR อาจจะทำให้การไฟฟ้าที่มีเงื่อนไขเงินกู้ที่ดี จะมีกำไรสุทธิสำหรับการชำระคืนเงินกู้และดอกเบี้ยที่น้อยกว่าการไฟฟ้าที่มีเงื่อนไขเงินกู้ที่ไม่ดี
7. แนวทางในการปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า สรุปได้ดังนี้
7.1 แนวทางที่ 1 ปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เฉพาะปี 2546 โดยใช้หลักเกณฑ์ ROA เฉลี่ยของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2546 เท่ากันในระดับร้อยละ 4.36 ซึ่งจะทำให้ กฟผ. ต้องเกลี่ยเงินรายได้ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจำนวน 6,489 ล้านบาท แบ่งเป็น กฟน. 1,327 ล้านบาท และ กฟภ. 5,162 ล้านบาท
7.2 แนวทางที่ 2 ปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เฉพาะปี 2546 โดยใช้หลักเกณฑ์ ROA เพียงบางส่วน (ร้อยละ 50) ซึ่งจะทำให้ กฟผ. ต้องเกลี่ยเงินรายได้ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจำนวน 3,245 ล้านบาท แบ่งเป็น กฟน. 663 ล้านบาท และ กฟภ. 2,581 ล้านบาท
7.3 แนวทางที่ 3 ปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เฉพาะปี 2546 โดยใช้หลักเกณฑ์ SFR ซึ่งจะทำให้ กฟภ. ต้องเกลี่ยเงินรายได้ให้กับ กฟผ. และ กฟน. รวม 1,664 ล้านบาท แบ่งเป็น กฟผ. 1,395 ล้านบาท และ กฟน. 269 ล้านบาท
7.4 แนวทางที่ 4 ปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า ในปี 2545 - 2546 โดยใช้หลักเกณฑ์ SFR ซึ่งจะทำให้ กฟภ. ต้องเกลี่ยเงินรายได้ให้กับ กฟผ. และ กฟน. รวม 2,958 ล้านบาท แบ่งเป็น กฟผ. 2,485 ล้านบาท และ กฟน. 473 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นควรให้เลื่อนการพิจารณาเรื่องการปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินระหว่างการไฟฟ้า ทั้ง 3 แห่ง ออกไป
สาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้ากับรัฐบาล สปป. ลาว สาธารณรัฐ ประชาชนจีน กัมพูชา และสหภาพพม่า โดยมีสาระสำคัญคือ ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือกับ สปป.ลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน กัมพูชา และสหภาพพม่า ในการสนับสนุนให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน และสหภาพพม่า ในปริมาณ 3,000 3,000 และ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 2560 และ 2553 ตามลำดับ
2. เพื่อให้การประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทย - สปป. ลาว ไทย - สาธารณรัฐประชาชนจีน ไทย-กัมพูชา และไทย-สหภาพพม่า มีเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อนและมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเพียงชุดเดียวแทนคณะกรรมการที่แยกเป็น 4 ชุด ณ ปัจจุบันเพื่อทำหน้าที่ประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้ากับทั้ง 4 ประเทศ โดยมีองค์ประกอบและอำนาจ หน้าที่ดังนี้
องค์ประกอบ
(1) ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | ประธานกรรมการ |
(2) ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | กรรมการ |
(3) อธิบดีกรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทน | กรรมการ |
(4) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือผู้แทน | กรรมการ |
(5) อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือผู้แทน | กรรมการ |
(6) อัยการสูงสุด หรือผู้แทน | กรรมการ |
(7) ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | กรรมการ |
(8) ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | กรรมการและเลขานุการ |
อำนาจหน้าที่ที่สำคัญ
(1) จัดทำแผนการรับซื้อไฟฟ้าให้ชัดเจนและสอดคล้องกับนโยบายการจัดหาไฟฟ้า และความต้องการไฟฟ้าของประเทศไทย โดยสนับสนุนให้ กฟผ. รับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน สหภาพพม่า และกัมพูชา โดยคำนึงถึงบันทึกความเข้าใจการซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
(2) พิจารณารายละเอียดโครงการรับซื้อไฟฟ้า และเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้ได้ราคา เงื่อนไข ความมั่นคงในการผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้า รวมทั้งต้นทุนของระบบส่งอย่างเหมาะสม
(3) ประสานงานและร่วมมือในการวางแผนและก่อสร้างระบบสายส่งเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
(4) สนับสนุนให้ผู้ลงทุนและสถาบันการเงินของไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน
(5) ให้คณะกรรมการรายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบหรือพิจารณาเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ ทั้งนี้ ให้เพิ่มผู้แทน กฟภ. เป็นกรรมการ และให้ปรับปรุงองค์ประกอบโดยให้เป็นผู้แทนจากแต่ละหน่วยงานแทน
เรื่องที่ 10 การจำหน่ายครุภัณฑ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมบัญชีกลาง ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ให้จัดซื้อครุภัณฑ์ เพื่อใช้ในการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา และปัจจุบัน ครุภัณฑ์ที่จัดซื้อบางรายการได้เสื่อมสภาพลง และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการดูแลรักษาครุภัณฑ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนที่เสื่อมสภาพ กรมบัญชีกลางจึงได้เสนอขออนุมัติจำหน่ายครุภัณฑ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมบัญชีกลาง จำนวน 1 รายการ คือ เก้าอี้ทำงาน จำนวน 2 ตัว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งขออนุมัติเป็นหลักการ ให้กรมบัญชีกลางจำหน่ายครุภัณฑ์รายการอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมบัญชีกลางได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางจะนำเงินที่ได้รับจากการจำหน่ายครุภัณฑ์ (ถ้ามี) ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า กบง. ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในการจัดซื้อครุภัณฑ์ต่างๆ ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ำมันฯ มาอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันครุภัณฑ์ต่างๆ อาจมีการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานลงและพร้อมที่จะจำหน่ายออกไป ดังนั้น เพื่อความสะดวกแก่หน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับอนุมัติให้จัดซื้อครุภัณฑ์จึงเสนอให้ กบง. อนุมัติในหลักการให้ทุกหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อครุภัณฑ์จากกองทุนน้ำมันฯ สามารถจำหน่ายครุภัณฑ์ในส่วนเสื่อมสภาพได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 โดยมิต้องนำเสนอคณะกรรมการเป็นรายหน่วยงานต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการให้หน่วยงานทุกหน่วยที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ สามารถจำหน่ายครุภัณฑ์ต่างๆ ในส่วนที่เสื่อมสภาพและในส่วนที่ อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้นได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ถ้ามีเงินที่ได้รับจากการจำหน่ายครุภัณฑ์ดังกล่าวให้นำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อไป
ประธานฯ ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการจัดวาระการประชุมของ กบง. โดย กบง. ควรทำหน้าที่พิจารณา ในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ สำหรับเรื่องประเด็นเกี่ยวกับระเบียบค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงควรมีคณะกรรมการอีกชุดเป็นผู้พิจารณา เพื่อให้ กบง. ไม่ต้องใช้เวลาในการพิจารณามากเกินไป ทั้งนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รับที่จะไปจัดหาแนวทางการปฏิบัติต่อไป
กบง. ครั้งที่ 16 - วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2559 (ครั้งที่ 16)
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
1. รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
3. ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
4. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 กบง. มีมติเห็นชอบ Roadmap การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร แบบมีเงื่อนไข โดยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 ถึง 15 กรกฎาคม 2559 ให้ ปตท. กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่หากต้นทุนราคาก๊าซ NGV อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับราคา ขายปลีกก๊าซ NGV ลง และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไป ให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปรับให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ในวันที่ 16 ของทุกเดือน รวมทั้งให้คงราคา ขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไว้ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม และปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับ กลุ่มรถโดยสารสาธารณะจากเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 และ 35,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 และ 40,000 บาทต่อเดือน จนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ (2) เห็นชอบการปรับ ค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยขอความร่วมมือ ปตท. ให้คิดค่าขนส่งโดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
2. ปัจจุบัน ต้นทุนก๊าซ NGV คำนวณภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากการคำนวณราคาขายปลีกก๊าซ NGV พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 13.92 และ13.66 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบันคิดในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร และคิดค่าขนส่งก๊าซ NGV สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ก๊าซ NGV โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมาก สนพ. จึงได้มีการประชุมหารือร่วมกับ ปตท. เรื่องแผนการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก สรุปได้ดังนี้ (1) ต้นทุนก๊าซ NGV ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV (ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร) ในปัจจุบันบวกค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร (สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม) และ (2) ควรให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายในสถานีบริการ NGV ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมากกว่า 250 กิโลเมตรไว้ที่ 15.34 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี อบจ.) ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2559 และตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 ให้มีการทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับในสถานีที่อยู่ในช่วงระยะทางดังกล่าว ทั้งนี้ โดยให้สะท้อนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่สูงสุดที่ 4 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนพฤศจิกายน 2559
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 กบง. ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ประกอบด้วย (1) เน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลักแล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้น้อยที่สุด (2) มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการฯ ในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน และให้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) คัดเลือกพื้นที่ในการดำเนินโครงการนำร่อง (3) ให้ พพ. สนพ. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประเมินผลโครงการ หากบรรลุเป้าหมายที่กำหนดก็ให้พิจารณาแนวทางขยายผลการปฏิบัติไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และ (4) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ให้ กบง. ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป
2. พพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการนำร่อง สรุปได้ดังนี้ (1) ร่วมกันกำหนดเป้าหมายโครงการ กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่เป้าหมาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง และรูปแบบโครงการ (2) นำระเบียบเดิมของ กฟภ. และ กฟน. มาปรับใช้รองรับโครงการนำร่องฯ (3) ขั้นตอนดำเนินการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก คือ 1) การปรับปรุงกฎระเบียบ 2) การประกาศเปิดรับสมัคร 3) การพิจารณาตอบรับ เข้าร่วมโครงการ 4) การติดตั้งระบบ และ 5) ตรวจสอบระบบเชื่อมต่อ (4) ข้อจำกัดทางเทคนิคที่ต้องคำนึงในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณกำลังไฟฟ้า และข้อจำกัดปริมาณการติดตั้ง (5) ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ประกอบด้วย รูปแบบการสนับสนุน การกำกับดูแล การติดตามผล การตรวจวัดข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการสมัครเข้าร่วมโครงการ (6) กำหนดปริมาณการติดตั้งที่ 100 MWp ตามลำดับการยื่นขอ จนกว่าจะครบ 100 MWp โดยติดตั้งในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ. (7) ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี โดยสิ้นปี 2559 จะมีการติดตามและประเมินผลกระทบ เรื่องความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการส่งเสริมในระยะต่อไป
3. วันที่ 5 มกราคม 2559 กบง. ได้รับทราบแนวทางการดำเนินงานโครงการนำร่อง ที่ พพ. นำเสนอและ มอบหมายให้พิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้ (1) การซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต ควรมีการพิจารณาราคาให้เหมาะสม (2) ควรมีการศึกษาระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ (3) การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายควรมีการศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค จากการเกิดกระแสไฟฟ้าไหลย้อนจากการดำเนินการโครงการนำร่องและ (4) เพื่อให้การดำเนินการเกิดความชัดเจนมากขึ้น ควรมีการจัดตั้งคณะทำงานเข้ามากำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งต่อมา พพ. ได้จัดตั้งคณะทำงานกำหนดแนวทางและประสานงาน กำกับติดตามโครงการ นำร่องฯ และได้มีการจัดประชุมแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 และมีผลสรุปแนวทางการดำเนินงานดังนี้ (1) คณะทำงานฯ ได้เห็นชอบให้จัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการโครงการนำร่องฯ เฉพาะเช่นเดียวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากโซล่ารูฟในระบบ FiT ในปี 2556 และเพิ่มเติมในปี 2558 และเมื่อคณะทำงานฯ เห็นชอบแล้ว ให้นำส่งให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาออกระเบียบว่าด้วยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอย่างเสรี (สำหรับโครงการ นำร่องฯ) และออกประกาศต่อไป (2) คณะทำงานฯ พิจารณาเห็นชอบให้สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันที่มีประสบการณ์ในการศึกษาจัดทำ Solar PV Roadmap ของประเทศไทย ศึกษาวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ของระบบพลังงานแสงอาทิตย์และผลกระทบด้านเทคนิคของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ต่อระบบไฟฟ้า รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ (3) พื้นที่โครงการนำร่องของ กฟน. เป็นพื้นที่ทั้งหมดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนพื้นที่โครงการนำร่องของ กฟภ. ได้เสนอนำร่องใน 2 พื้นที่ คือ พัทยา และเกาะสมุย ต่อมา กฟภ. ได้เสนอคณะทำงานฯ ขอปรับเป็นพื้นที่ทั่วประเทศในเขตบริการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (4) คณะทำงานฯ พิจารณาว่า ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการฯ คงต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการนานกว่าที่ พพ. เคยนำเสนอ กบง. ไว้เดิม เนื่องจากต้องมีการเพิ่มขั้นตอนการออกระเบียบและประกาศเข้าร่วมโครงการฯ โดยจากเดิมคาดว่าจะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2559 และเริ่มติดตั้งในเดือนเมษายน 2559 นั้น จึงได้ปรับปรุงกำหนดการใหม่ โดยจะทำการประชาสัมพันธ์และเริ่มรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ในเดือนกรกฎาคม 2559 และเริ่มดำเนินการติดตั้งในช่วงเดือนธันวาคม 2559 – มกราคม 2560 พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลโครงการตั้งแต่เดือนมกราคม 2560
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สนพ. ขอถอนวาระออกก่อน โดยจะนำเสนอในการประชุม กบง. ครั้งต่อไป
เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถูกจัดตั้งตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้รักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจากความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เกิดจากความผันผวนดังกล่าวให้น้อยที่สุด แต่เนื่องจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน ยังมีปัญหาและยังมีความไม่ชัดเจนในการดำเนินงานบางประการที่ต้องแก้ไข เช่น การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามความเห็นของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันจนทำให้เกิดการบิดเบือน ราคาไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เป็นต้น ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องยกร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... (พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ) ขึ้นมาใหม่ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของกองทุนน้ำมันฯ วัตถุประสงค์ การบริหารงาน และแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อให้ พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีการศึกษาแนวทางในการปฏิรูปบทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์ของกองทุนน้ำมันฯ และการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการเตรียมการเสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านพลังงาน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการประชุมเพื่อร่วมพิจารณายกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... แล้ว จำนวน 4 ครั้ง ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (1) ร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... มี 7 หมวด และบทเฉพาะกาล จำนวน 42 มาตรา โดยหมวด 1 การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ หมวด 2 การบริหารกิจการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 3 สำนักงานกองทุนน้ำมันฯ กำหนดฐานะ อำนาจหน้าที่ของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 4 การดำเนินการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 5 พนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดอำนาจหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน หมวด 6 การบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผล และหมวด 7 บทกำหนดโทษ และบทเฉพาะกาล (2) ให้ กบง. ยังคงมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกองทุนน้ำมันฯ เหมือนเดิม (3) โอนอำนาจหน้าที่ของ สบพน. และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (อบน.) มารวมไว้ใน พ.ร.บ. นี้ (4) มาตรา 3 เป็นการกำหนดบทนิยามเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสะดวกในการใช้งาน (5) มาตรา 4 เป็นการกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรักษาการตาม พ.ร.บ. นี้ (6) มาตรา 5 เป็นบทการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ และกำหนดวัตถุประสงค์ (7) มาตรา 6 และ มาตรา 7 เป็นการกำหนดเงินและทรัพย์สิน (8) มาตรา 8 เป็นการกำหนดการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (9) มาตรา 9 ถึง มาตรา 13 เป็นการกำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การประชุมและการได้รับเบี้ยประชุม (10) มาตรา 14 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (11) มาตรา 15 และมาตรา 16 เป็นการจัดตั้งสำนักงาน กองทุนน้ำมันฯ ขึ้นเป็นนิติบุคคล (12) มาตรา 17 ถึงมาตรา 22 เป็นการกำหนดผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารสำนักงาน (13) มาตรา 23 กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ มีสถานะเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารการจัดการกองทุนน้ำมันฯ (14) มาตรา 24 ในกรณีเกิดวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิง ให้คณะกรรมการประกาศและดำเนินการตามแผนรองรับกรณีวิกฤติตามแนวทางและนโยบายที่ กพช. ให้ความเห็นชอบ (15) มาตรา 25 ถึงมาตรา 30 เป็นการกำหนดแนวทางปฎิบัติ ให้ชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเงินเข้า และการจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ (16) มาตรา 31 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ ของพนักงานเจ้าหน้าที่ (17) มาตรา 32 เป็นการกำหนดการดำเนินการด้านการบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลของกองทุนน้ำมันฯ (18) มาตรา 33 ถึง มาตรา 36 เป็นการกำหนดบทลงโทษ เพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. และ (19) มาตรา 37 ถึง มาตรา 42 เป็นการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปปรับปรุง และแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
กบง. ครั้งที่ 142 - วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2556 (ครั้งที่ 142)
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) เป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ เบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 104.75, 121.81 และ 121.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 0.35, 1.79 และ 2.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2556 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ทำให้เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลง 0.50 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และ 95 ลง 0.30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 มีนาคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 21 มีนาคม 2556
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มีนาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 5,171 ล้านบาท หนี้สินรวม 20,657 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,486 ล้านบาท
5. จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง เพื่อรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ และให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 95 และแก๊สโซฮอล 91, 95 และ E20 ขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ใหม่ ดังนี้
หน่วย : บาทต่อลิตร | |||
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 9.20 | 9.40 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 4.00 | 4.20 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 1.90 | 2.10 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.20 | 0.00 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -10.90 | -10.90 | - |
น้ำมันดีเซล | 2.20 | 2.70 | +0.50 |
จากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 34.08 ล้านบาท จากวันละ 137.96 ล้านบาท เป็นรายรับวันละ 172.03 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 2.20 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 เป็นต้นไป