คณะกรรมการและอนุกรรมการ (2532)
Children categories
ครั้งที่ 34 - วันศุกร์ ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2551 (ครั้งที่ 34)
วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดราชการ จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม และประกอบกับปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพลังงานเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จึงได้ขอเชิญประชุมครั้งนี้
เรื่องที่ 1 การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล เพิ่มอีก 1.50 บาทต่อลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาทต่อลิตร เป็น 4.00 บาทต่อลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งละไม่เกิน 0.50 บาทต่อลิตร เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอประธาน กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบแทนคณะกรรมการฯ
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วมาก ในขณะที่การปรับราคาขายปลีกลงไม่ทัน ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันฯ ในประเทศอยู่ในระดับที่สูง ทำให้สามารถดำเนินการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.30 บาทต่อลิตร ได้โดยไม่ส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ (ยกเว้นน้ำมันเบนซิน 95 ปรับเพิ่มได้เพียง 0.25 บาทต่อลิตร เนื่องจากติดเพดานที่ กบง. เคยเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549) และภายหลังเมื่อปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นเป็นประมาณวันละ 52.4 ล้านบาท หรือ 1,572 ล้านบาทต่อเดือน
3. เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ สามารถบริหารจัดการให้ปริมาณรายรับสมดุลกับรายจ่าย ฝ่ายเลขานุการฯขอเสนอให้มีการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 0.25 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 0.25 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล น้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 33 - วันจันทร์ ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2551 (ครั้งที่ 33)
วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากกรณีที่พนักงานการรถไฟหยุดงาน
2. การยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดราชการ จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากกรณีที่พนักงานการรถไฟหยุดงาน
สรุปสาระสำคัญ
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2551 พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยได้หยุดงานและรถไฟได้หยุดการเดินรถทั่วประเทศ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค
1.1 เนื่องจากการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังคลังภูมิภาค และสถานีบริการต่างๆ ในเขตภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นการขนส่งทางเรือ สำหรับภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางจะเป็นการขนส่งทางท่อไปยังคลังลำลูกกาและคลังสระบุรีของบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย และคลังบางปะอินของบริษัทขนส่งน้ำมัน ทางท่อ โดยที่การขนส่งทางรถไฟจะส่งไปยังคลังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีปริมาณประมาณร้อยละ 15 ของความต้องการใช้ในภาคหรือประมาณ 2 ล้านลิตรต่อวัน โดยปริมาณน้ำมันสำรอง ณ คลังน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการมีเพียงพอใช้ได้ประมาณ 3 - 5 วัน สำหรับการแก้ไขปัญหาการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถใช้การขนส่งทางรถยนต์แทนการขนส่งทางรถไฟได้ ซึ่งคิดเป็นจำนวนรถยนต์ที่ต้องใช้ประมาณ 55 คัน (รถยนต์ขนส่งน้ำมันความจุคันละ 36,000 ลิตร) ดังนั้น การหยุดเดินรถของการรถไฟฯ จะไม่ก่อให้เกิดการขาดแคลนน้ำมัน
1.2 การขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภาคกลางซึ่งเป็นการขนส่งทางรถยนต์ ส่วนภาคใต้จะเป็นการขนส่งทางเรือ และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดเดินรถไฟคือภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบันมี ปตท. เพียงรายเดียวที่ดำเนินการขนส่งทางรถไฟไปยังพื้นที่ดังกล่าว แต่เนื่องจากนโยบายของรัฐ ที่ต้องการให้มีราคาขายส่งราคาเดียวกัน จึงกำหนดให้ ปตท. เป็นผู้ได้รับชดเชยการนำเข้าและขนส่งแต่เพียง ผู้เดียว ทำให้ผู้ค้าก๊าซ LPG รายอื่นต้องพึ่งพา ปตท. ในการจัดหาก๊าซ LPG และต้องรับก๊าซ LPG จากคลังภูมิภาคของ ปตท. สำหรับการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นได้ขอความร่วมมือให้ผู้ค้าก๊าซ LPG ที่มีรถบรรทุกช่วยขนส่งก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาคแทนรถไฟ โดยจะสามารถเพิ่มศักยภาพการขนส่งได้ 755 ตันต่อวัน แต่ยังมีข้อจำกัดของขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ทางรถยนต์จากคลังต้นทาง คือ คลังบ้านโรงโป๊ะของ ปตท. ที่มี bay รับรถบรรทุกเพียง 5 bay ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทดแทนการขนส่งทางรถไฟ ทำให้การจัดส่งก๊าซ LPG ไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้อีกประมาณ 900 ตันต่อวัน แต่ ปตท. จะนำก๊าซ LPG จากแหล่งลานกระบือเข้ามาเสริมอีก 200 ตันต่อวัน จึงทำให้การขาดแคลนลดลงเหลือ 700 ตันต่อวัน
2. การดำเนินการในช่วงแรกสามารถนำก๊าซ LPG สำรอง ณ คลังนครสวรรค์และคลังลำปาง ออกมาจ่ายชดเชยในส่วนที่ขาด ซึ่งจะเพียงพอใช้ได้เพียง 3 วัน แต่หากการหยุดเดินรถของการรถไฟฯ ยืดเยื้อ ซึ่งอาจทำให้ภาคเหนือจะเริ่มเกิดการขาดแคลนได้ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2551 สำหรับคลังขอนแก่นได้เริ่มเกิดปัญหาการขาดแคลนตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2551 เป็นต้นมา เนื่องจากกำลังซ่อมแซมถังก๊าซ LPG จำนวน 1 ถัง ทำให้ปริมาณสำรองอยู่ในระดับต่ำ 800 ตัน ขณะที่มีความต้องการจ่ายจากคลังแห่งนี้วันละ 1,000 ตัน ซึ่งได้แก้ปัญหาโดยประสานผู้ค้ารายอื่นให้ขนก๊าซ LPG ขึ้นไปด้วยตนเองบางส่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
3. เพื่อแก้ไขปัญหาคอขวดในการจ่ายก๊าซที่คลังบ้านโรงโป๊ะ จังหวัดชลบุรี โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซทางรถยนต์ ซึ่งใช้คลังก๊าซของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เอกชนที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่ง เช่น คลังบางปะกง คลังบางจะเกร็ง และคลังในกรุงเทพฯ เพื่อขนส่งก๊าซ LPG ทางเรือไปที่คลังเอกชนและจ่ายก๊าซทางรถยนต์ไปยังภูมิภาค ซึ่งสามารถทำให้เกิดความเพียงพอที่จะทดแทนการขนส่งทางรถไฟได้ทั้งหมด แต่ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นคือการขนส่งก๊าซ LPG จากคลังต้นทางที่เป็นของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เอกชนรายอื่น จะไม่ได้รับชดเชยค่าขนส่งเช่นเดียวกับการขนส่งจากคลังต้นทางของ ปตท. ที่บ้านโรงโป๊ะไปยังคลังก๊าซ ปตท. ในภูมิภาค
4. ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ใช้อยู่ปัจจุบันได้กำหนดให้จ่ายชดเชยได้เฉพาะกรณีการขนส่งที่คลังต้นทางของ ปตท. ในจังหวัดชลบุรีไปยังคลังปลายทางของ ปตท. เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถจ่ายชดเชยค่าขนส่งจากคลังชายฝั่งของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 รายอื่นที่รับก๊าซ LPG ทางเรือจากคลังเขาบ่อยาเพื่อขนส่งทางรถยนต์ต่อไปยังคลังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ คลังบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา คลังบางจะเกร็ง จังหวัดสมุทรสงคราม และคลังในกรุงเทพฯ ได้ จึงจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจาก กบง. ดังนี้
1) เห็นชอบให้มีการจ่ายชดเชยค่าขนส่งให้กับ ปตท. จากคลังต้นทางใน จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดสมุทรสงครามและกรุงเทพฯ
2) เห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศต่อไป
3) มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานเป็นผู้รับรองการจ่ายก๊าซ LPG จากคลังต้นทางและกำหนดให้รถขนส่งก๊าซ LPG ต้องไปแสดงตัว ณ คลังปลายทางของ ปตท. ที่จังหวัดขอนแก่น นครสวรรค์ และลำปาง (เช่นเดียวกับกรณีโอนคลัง)
4) เห็นชอบให้ประธาน กบง. เป็นผู้ประกาศกำหนดเวลาสิ้นสุดมาตรการ
5) มอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานรับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์การจ่ายชดเชยค่าขนส่ง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการจ่ายชดเชยค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จากคลังจังหวัดฉะเชิงเทรา คลังจังหวัดสมุทรสงครามและคลังในกรุงเทพมหานครโดยรถยนต์ เนื่องจากพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยหยุดงานประท้วงรัฐบาล ทำให้รถไฟทั่วประเทศไม่สามารถให้บริการได้และส่งผลกระทบต่อการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ไปยังคลังภูมิภาค
2. เห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ (เพิ่มเติม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้ประกาศกำหนดเวลาสิ้นสุดมาตรการเมื่อสถานการณ์การรถไฟแห่งประเทศไทยหยุดเดินรถไฟคลี่คลายลงและบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถดำเนินการขนส่งทางรถไฟได้
เรื่องที่ 2 การยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 กบง. ได้มีมติจัดสรรน้ำมันดีเซลราคาถูกที่ได้รับการช่วยเหลือจาก โรงกลั่นน้ำมัน จำนวน 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) โดยมีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร ให้กระทรวงคมนาคม จำนวน 1 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อช่วยเหลือรถหมวด 1 (รถโดยสารในเมือง เช่น ขสมก. และรถร่วมบริการ) และหมวด 4 (รถโดยสารในเขตจังหวัด(ชานเมือง)) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน จำหน่ายผ่านจุดจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริหารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยให้การช่วยเหลือจนกว่าได้ข้อยุติของศาลปกครองในกรณีขอปรับขึ้นค่าโดยสารหรือจำนวนน้ำมันที่ได้รับการจัดสรรหมดลง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน
2. ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณากรณีนายบุญชัย รุ่งเรืองไพศาลสุข ยื่นฟ้องคดีคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบก เป็นจำเลยที่ 1 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นจำเลยที่ 2 และขออำนาจศาลปกครองชั้นต้นเพื่อคุ้มครองชั่วคราว ระงับการขึ้นค่าโดยสารของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ตามคดีดำหมายเลข 811/2551 เป็นต้นมา ต่อมาศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งที่ 505/2551 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2551 กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ยกคำขอทุเลาการบังคับเฉพาะที่เกี่ยวกับการกำหนด (ปรับปรุง) อัตราค่าโดยสารประจำทางหมวด 1 ในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงที่มีเส้นทางต่อเนื่อง และหมวด 4 กรุงเทพมหานคร ทำให้ ขสมก. สามารถปรับขึ้นค่าโดยสารได้
3. ต่อมา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือแจ้งว่าหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งข้างต้น ปตท. ได้ดำเนินการยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 32 - วันศุกร์ ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2551 (ครั้งที่ 32)
วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
- 1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (1- 18 สิงหาคม 2551)
- 2. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
- 3. การทบทวนการกำหนดประเภท ขนาด โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กและโครงการเขื่อนกักเก็บน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่ต้องจัดทำ EIA ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม
- 4. การกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ (Code of Practice) เพื่อลดและติดตาม ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดราชการ จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (1- 18 สิงหาคม 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยวันที่ 1 - 18 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 114.03 และ 116.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 17.24 และ 16.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันอิรักมีแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบ 500,000 บาร์เรลต่อวัน ภายในระยะเวลา 2 ปี และ Energy Information Administration ได้รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ วันที่ 1 สิงหาคม 2551 เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 296.9 ล้านบาร์เรล รวมทั้งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 1.4948 เหรียญสหรัฐฯต่อยูโร
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยวันที่ 1 - 18 สิงหาคม อยู่ที่ระดับ 116.24, 114.77 และ 134.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 19.04, 19.93 และ 31.34 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและอุปทานในตลาดมีปริมาณมากจากไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีนส่งออก ประกอบกับข่าวโรงกลั่น Port Dickson (125,000 บาร์เรล/วัน) ของมาเลเซียกลับมาดำเนินการหลังจากเสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุง นอกจากนี้ประเทศจีน อินโดนีเซียและชิลี ได้ลดปริมาณนำเข้าน้ำมันดีเซลในช่วงครึ่งหลังปี 2551 เนื่องจากความต้องการใช้ภายในประเทศชะลอตัว
3. วันที่ 1 - 19 สิงหาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.70 บาทต่อลิตร, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 4.90 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 5.10 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 37.69, 36.29, 28.79, 27.49, 27.99, 33.04 และ 32.34 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. ช่วงเดือนสิงหาคม 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง 51.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อยู่ที่ระดับ 872.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบและต้นทุนค่าขนส่งทางเรือจากตะวันออกกลางมายังภูมิภาคลดลง และซาอุดิอาระเบียมีแผนผลิต LPG ในปี 2552 ปริมาณ 50 ล้านตัน โดยได้เพิ่มปริมาณการส่งออกมายังภูมิภาค อยู่ที่ระดับ 25 ล้านตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนกันยายน 2551 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 875 - 885 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยที่ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นวันที่ 1 สิงหาคม 2551 อยู่ในระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไทยได้นำเข้าก๊าซ LPG (วันที่ 10 - 31 กรกฎาคม 2551) ปริมาณ 84,941 ตัน โดยราคาก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 34.3921 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 23.3961 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 1,987.29 ล้านบาท ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ในภาคครัวเรือน จากเดิมในเดือนกรกฎาคมออกไปอีก 6 เดือน จนถึงเดือนมกราคม 2552
5. เดือนกรกฎาคม 2551 ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 8.0 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสถานีบริการ 4,079 แห่ง และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 28.79 และ 27.99 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ในเดือนกรกฎาคม 2551 มีปริมาณการจำหน่าย 92,000 ลิตรต่อวัน สถานีบริการ 94 แห่ง และราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 27.49 บาทต่อลิตร และกำลังการผลิตรวมและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 0.96 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงเพียง 9 ราย ราคาเอทานอลแปลงสภาพในไตรมาส 3 ปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 18.01 บาท
6. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน จากผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน 9 ราย และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม อยู่ที่ 40.07 และ 42.35 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2551 จำนวน 10.69 และ 9.82 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 อยู่ที่ 32.34 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 17,237 ล้านบาท หนี้สิน ค้างชำระ 17,342 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 129 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 8,087 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 105 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องสุทธิประมาณวันละ 17 ล้านบาท โดยมีรายรับจากปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลง และรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว บี5 ซึ่งส่งผลทำให้สภาพคล่องสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 17,237 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 17,342 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการที่ได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท และหนี้เงินชดเชยราคาจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต 3,414 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 105 ล้านบาท
2. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน โดยเฉพาะมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อทำให้ราคาขายปลีกไม่เพิ่มขึ้นตามตลาดโลกมากนักและจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตได้ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระชดเชยส่วนต่างภาษีประมาณ 3,413 ล้านบาท โดยที่เรียกคืนไม่ได้ 2,168 ล้านบาท และเนื่องจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายชดเชยให้เสร็จภายใน 90 วัน ทำให้ในช่วง 3 เดือนข้างหน้ากองทุนน้ำมันฯจะประสบกับปัญหาการขาดสภาพคล่อง
3. ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2551 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 109 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลง และราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดจรสิงคโปร์อยู่ที่ระดับ 112.71 และ 127.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลง
4. เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ สามารถบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลของรายรับและรายจ่าย โดยเฉพาะรายจ่ายในการส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานทดแทนเพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน ดังนี้
4.1 การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล โดยใช้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการรักษาระดับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอลให้ถูกกว่าน้ำมันเบนซิน ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ประมาณ 28.13 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่รายจ่ายเงินชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลประมาณ 0.66 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งในระยะต่อไปปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 คาดว่าจะลดลงเป็นลำดับ และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 จะหมดไปประมาณสิ้นปี 2551 ส่วนน้ำมันเบนซิน 91 จะลดลงมาก จนทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อมาชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลไม่เพียงพอ
4.2 การส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 โดยใช้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการรักษาระดับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ และการส่งเสริมการผลิตน้ำมันในประเทศให้มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 โดยชดเชยส่วนต่างราคาให้แก่ผู้ผลิตที่ดำเนินการผลิตน้ำมันให้มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 ก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 ประมาณ 3.08 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่ต้องจ่ายเงินชดเชยประมาณ 12.76 ล้านบาทต่อวัน และจ่ายเงินชดเชยการส่งเสริมการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 อีกประมาณ 3.52 ล้านบาท ต่อวัน ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยสุทธิประมาณ 16.28 ล้านบาทต่อวัน และในอนาคตคาดว่าการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 และการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
5. จากรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานทดแทนเพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอขอความเห็นชอบให้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.30 บาทต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซล เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ สามารถบริหารจัดการให้ปริมาณรายรับสมดุลกับรายจ่ายได้ จากการประมาณการ พบว่ากองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องสุทธิเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 17 ล้านบาท เป็นวันละ 34.4 ล้านบาท หรือ 1,031 ล้านบาทต่อเดือน โดยทั้งนี้ค่าการตลาดการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงและเป็นในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ดังนั้น การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน และเพื่อให้การบริหารกองทุนน้ำมันฯ มีความคล่องตัวมากขึ้น บางครั้งอาจจำเป็นต้องปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว จึงเห็นควรให้ กบง. อนุมัติในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม แล้วรายงานให้ กบง. ทราบในภายหลัง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.30 บาทต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
2. เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ครั้งละไม่เกิน 0.50 บาทต่อลิตร โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำเสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2537 คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม ต่อมาเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 ในการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ครั้งที่ 1/2551 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้เสนอให้มีการทบทวน "การกำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องเสนอ EIA ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม ที่กำหนดให้โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝายน้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 200 ล้านบาท (ไม่รวมค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า) ต้องจัดทำ EIA" เป็น "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่มีกำลังผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ไม่ต้องจัดทำ EIA เพื่อให้สอดคล้องกับการกำหนดขนาดของโครงการ VSPP" ซึ่งที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ พพ. ประสานสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และกรมป่าไม้ พิจารณาให้ได้ข้อยุติและนำเสนอผลต่อที่ประชุมครั้งต่อไป ก่อนนำเสนอ กบง. เพื่อเสนอ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบและกำหนดบังคับใช้ ต่อไป
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2551 คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานได้พิจารณาเรื่อง ทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมติ ครม. เมื่อวันที่13 กันยายน 2537 และได้มีมติ ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (13 กันยายน 2537) เกี่ยวกับประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และ 2) มอบหมาย พพ. และกรมชลประทานจัดทำรายละเอียดเหตุผลในการขอปรับปรุงมติ ครม. เกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (13 กันยายน 2537) ส่งให้กระทรวงพลังงานเพื่อรวบรวมเสนอ สผ. นำเสนอต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณาให้ความเห็น และส่งให้กระทรวงพลังงานนำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สผ. เป็นผู้นำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและ ครม. ตามขั้นตอน ต่อไป
3. ประเด็นและเหตุผลที่ขอปรับปรุงมติ ครม. เกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม
3.1 โครงการที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้แก่
1) มติ ครม. ข้อ 1.1 จากเดิม "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 200 ล้านบาท" แก้ไขเป็น "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำหรืออ่างเก็บน้ำหรือการชลประทานที่มีปริมาตรเก็บกักตั้งแต่ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมีพื้นที่อ่างเก็บน้ำตั้งแต่ 3,500 ไร่ ขึ้นไป ทั้งนี้ ให้คิดสัดส่วนของพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ไปด้วย" (ข้อเสนอกรมชลประทาน) และ
2) มติ ครม. ข้อ 1.5 จากเดิม "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝายน้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 200 ล้านบาท (ไม่รวมค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า)" แก้ไขเป็น "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝาย น้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำที่มีกำลังผลิตตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ขึ้นไป" (ข้อเสนอ พพ.)
3.2 โครงการที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) ได้แก่
1) มติ ครม. ข้อ 2.1 จากเดิม "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท หรือมีระยะเวลาก่อสร้างเกิน 1 ปี" แก้ไขเป็น "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีปริมาตรเก็บกักตั้งแต่ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ไม่เกิน 30 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมีพื้นที่พื้นที่อ่างเก็บน้ำตั้งแต่ 2,000 ไร่ แต่ไม่เกิน 3,500 ไร่ ทั้งนี้ ให้คิดสัดส่วนของพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ไปด้วย" (ข้อเสนอกรมชลประทาน)
2) มติ ครม. ข้อ 2.5 จากเดิม "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝายน้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีวงเงินค่าก่อสร้างเกินกว่า 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท (ไม่รวมค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า)" แก้ไขเป็น "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ และประเภทฝายน้ำล้นไม่มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีกำลังผลิตตั้งแต่ 200 กิโลวัตต์ แต่ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์" (ข้อเสนอ พพ.)
3) มติ ครม. ข้อ 2.6 โครงการฝายน้ำล้นเพื่อการเกษตร กรมชลประทานขอเสนอให้ตัดออก
3.3 โครงการที่ต้องจัดทำรายการข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อมโดยจัดทำตามแบบฟอร์มที่กำหนด ได้แก่
1) มติ ครม. ข้อ 3.1 "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีวงเงินค่าก่อสร้างไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือมีระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 1 ปี" แก้ไขเป็น "โครงการเขื่อนเก็บกักน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ หรือการชลประทานที่มีปริมาตรเก็บกักต่ำกว่า 10 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือมีพื้นที่พื้นที่อ่างเก็บน้ำน้อยกว่า 2,000 ไร่ ทั้งนี้ ให้คิดสัดส่วนของพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ไปด้วย" (ข้อเสนอกรมชลประทาน)
2) มติ ครม. ข้อ 3.5 "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีวงเงินค่าก่อสร้างไม่เกิน 50 ล้านบาท (ไม่รวมค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า)" แก้ไขเป็น "โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กประเภทเขื่อนกักเก็บน้ำ มีอ่างเก็บน้ำ ที่มีกำลังผลิตต่ำกว่า 200 กิโลวัตต์" (ข้อเสนอ พพ.) และเพิ่มข้อ 3.9 เป็น "โครงการฝายน้ำล้นเพื่อการเกษตร" (ข้อเสนอกรมชลประทาน)
4. เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ได้พิจารณาข้อเสนอการขอปรับปรุงมติ ครม. เกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (วันที่ 13 กันยายน 2537) เกี่ยวกับประเภทและขนาดโครงการที่ต้องมีการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดย คชก. มีความเห็นว่าการขอปรับปรุงมติ ครม. เกี่ยวกับประเภทและขนาดของโครงการที่จะต้องจัดทำรายงานการศึกษาสิ่งแวดล้อมในระดับต่างๆ ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติมเป็นเรื่องระดับนโยบาย โดยไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คชก. จึงไม่สามารถรับไว้พิจารณาได้และเห็นควรนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณา
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการการทบทวนการกำหนดประเภท ขนาด โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กฯ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำส่งผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ มอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการทบทวนฯ ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบต่อไปด้วย
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานได้มีนโยบายและมาตรการเร่งด่วนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเพื่อทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมและภาคการขนส่ง ซึ่งประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในการวางท่อก๊าซธรรมชาติไปยังโรงงานอุตสาหกรรม หรือสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ผู้ประกอบการจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการนาน และเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2549 ได้มีการประชุมการดำเนินโครงการด้านพลังงานที่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาปัญหาการส่งเสริมการใช้ NGV ของประเทศ และได้มีมติให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สผ. และ ธพ. ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำหลักเกณฑ์การปฏิบัติ (Code of Practice : COP) สำหรับโครงการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อเพื่อทดแทนการจัดทำวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยให้พิจารณาขนาดและความยาวท่อที่ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงประเภทและขนาดของท่อก๊าซธรรมชาติที่ควรทำรายงาน EIA และให้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับการศึกษาเพื่อร่วมพิจารณาผลการศึกษาสำหรับเป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายในอนาคต โดยมี ธพ. สผ. ปตท. และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้ชำนาญการด้านพลังงานร่วมเป็นกรรมการ
2. เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ได้พิจารณาผลการศึกษาการจัดทำ COP เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบกเพื่อทดแทนการจัดทำรายงาน EIA และได้มีมติดังนี้ 1) เห็นชอบให้ ธพ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการอนุมัติโครงการที่ใช้ COP และบังคับใช้ COP และ 2) มอบหมายให้ ธพ. ร่วมกับ สผ. นำเสนอคณะกรรมการกำกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำ COP สำหรับโครงการระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ เพื่อพิจารณาทบทวนลักษณะของโครงการและพื้นที่ที่สามารถใช้ COP แทนการจัดทำ EIA ให้ได้ข้อยุติ ตลอดจนศึกษาการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอต่อคณะอนุกรรมการประสานฯ ให้ความเห็นชอบ ก่อนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาเพื่อให้สามารถนำไปใช้ภายในกลางปี 2551 ต่อไป
3. คณะกรรมการกำกับการศึกษาฯ พิจารณาทบทวนลักษณะของโครงการและพื้นที่ที่สามารถใช้ COP แทนการจัดทำ EIA และการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อยุติเพื่อนำเสนอต่อการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมฯ ครั้งที่ 2/2551 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2551 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการใช้ COP เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก และเห็นชอบการแก้ไขกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้ปรับแก้รายละเอียดบางประการ พร้อมมอบหมาย สผ. นำเสนอร่าง COP ที่ได้รับความเห็นชอบแล้วต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณา ก่อนส่งให้กระทรวงพลังงานนำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบ และให้ สผ. เป็นผู้นำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแก้กฎหมายและสามารถนำ COP ไปใช้ได้ภายในปี 2551 ต่อไป
4. หลักเกณฑ์การปฏิบัติ (COP) เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก ซึ่งประกอบด้วย 1) หลักเกณฑ์การปฏิบัติในการป้องกันแก้ไข ลด และติดตามตรวจสอบผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และ 2) หลักเกณฑ์การปฏิบัติในการลดผลกระทบด้านวิศวกรรม ซึ่งลักษณะโครงการและพื้นที่ที่สามารถนำ COP ไปใช้แทนการจัดทำรายงาน EIA โดยการจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Report ; ER) แทน ได้แก่
4.1 โครงการระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ ที่มีความดันใช้งานสูงสุดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 20 บาร์ และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่าหรือเท่ากับ 16 นิ้ว ใช้ได้ทุกพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่ที่มีมติคณะรัฐมนตรีหรือกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
4.2 ระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่มีความดันใช้งานสูงสุดมากกว่า 20 บาร์ และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 16 นิ้ว ใช้ได้ในพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมายว่าด้วยนิคมอุตสาหกรรม โดยเจ้าของโครงการจะต้องให้นิติบุคคลที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับ ธพ. เป็นผู้จัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม (ER) เสนอ ธพ. ให้ความเห็นชอบแล้วจึงสามารถดำเนินการขออนุญาตเพื่อก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้
5 การจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม (ER) จะต้องแสดงรายละเอียดข้อมูลของโครงการซึ่งประกอบด้วย 1) ผลการศึกษาแนวทางเลือกในการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 2) ข้อมูลการออกแบบท่อก๊าซฯ 3) แผนการก่อสร้างและดำเนินการโครงการ 4) โครงข่ายระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่มีอยู่เดิมในบริเวณใกล้เคียง 5) ตำแหน่งที่ตั้งโครงการ แนวระบบท่อ รวมทั้งต้องระบุพื้นที่ที่ไวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อม 6) การประกันภัยบุคคลที่สาม ทั้งในระยะก่อสร้างและดำเนินการโครงการ และ 7) กำหนดเป็นมาตรการป้องกันแก้ไข ลด และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งในระยะก่อนก่อสร้าง ระยะก่อสร้าง และระยะดำเนินการ
6. การจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการ (Monitoring Report ; MR) เจ้าของโครงการจะต้องให้นิติบุคคลที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับ ธพ. (แต่ต้องไม่เป็นนิติบุคคลเดียวกับที่จัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม) จัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการเสนอต่อ ธพ. เพื่อจัดส่งให้หน่วยงานผู้ให้อนุญาต นับจากวันที่เปิดใช้งานไม่เกิน 1 เดือน
7. COP สามารถทำการเปลี่ยนแปลงทบทวนให้เหมาะสมกับเทคโนโลยี มาตรฐานด้านความปลอดภัย ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สะดวกและมีประสิทธิภาพในการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเห็นควรให้ศึกษาทบทวนทุก 3 ปี หรือตามความเหมาะสมใน 3 ประเด็น คือ ประเภทและขนาดโครงการ ประสิทธิภาพ และมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผู้มีสิทธิ์จัดทำรายงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์ประกอบของรายงาน
8. การแก้ไขกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยได้แก้ไข/เพิ่มเติมประกาศกระทรวงทรัพยากรฯ เพื่อขอให้ลักษณะโครงการและพื้นที่ที่กำหนดได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงาน EIA โดยจะต้องกำหนด บทเฉพาะกาลให้ใช้อำนาจตามกฎหมายของ สผ. ควบคุมกำกับดูแลไปจนกว่ากฎหมายกระทรวงพลังงานจะมีผลบังคับใช้ และประกาศใช้ประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและมาตรฐานความปลอดภัยของระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่มีลักษณะโครงการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำ EIA ต้องจัดทำรายงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้ COP แทนได้ โดยให้ ธพ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
9. เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 สผ. ได้นำเสนอการกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติฯ ในการประชุมคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณารายงาน EIA ด้านโครงการพลังงาน โดยได้มีมติรับทราบการจัดทำคู่มือการกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ (Code of Practice) เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ 1) คำว่า "Code of Practice" สภาวิศวกรได้มีการบัญญัติคำในภาษาไทยไว้โดยให้ชื่อว่า "ประมวลหลักการปฏิบัติงาน" และ 2) การจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการ (Monitoring Report ; MR) ธพ. ควรพิจารณาว่าจะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด หรือจะดำเนินการโดยว่าจ้างในบางส่วนและดำเนินการในบางส่วนร่วมด้วย ซึ่งการดำเนินงานในส่วนนี้จะช่วยให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยลงและยังเพิ่มประสบการณ์ รวมทั้งเป็นการพัฒนาองค์กรด้วย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการต่อรายละเอียด COP เพื่อลดและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อบนบก และข้อเสนอของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณา EIA ด้านโครงการพลังงาน ในการเปลี่ยนคำแปลของ "Code of Practice : COP" เป็น "ประมวลหลักการปฏิบัติงาน" พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำส่งผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแก้กฎหมายและสามารถนำ COP ไปใช้ได้ภายในปี 2551 ต่อไป
ทั้งนี้ มอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการพิจารณา COP ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบต่อไป
ครั้งที่ 31 - วันศุกร์ ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2551 (ครั้งที่ 31)
วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก
3. การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - กรกฎาคม 2551)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศเริ่มคลี่คลาย ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ตรึงราคาไว้ก่อน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของคณะทำงานกระทรวงพลังงาน นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี85 แล้ว และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีรับที่จะเป็นประธานการประชุม กพช. ในเรื่องนี้ ขณะนี้กรมธุรกิจพลังงาน ปัจจุบันได้ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานเกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี85 เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล พ.ศ. 2551 โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป พร้อมทั้ง ปตท. และ บ.บางจาก ได้เตรียมการเพื่อรองรับเรื่องนี้ด้วย
เรื่องที่ 1 การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบให้โอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานปกติ และเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ดังนี้ 1) ให้เพิ่มอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลจาก 0.07 บาทต่อลิตร เป็น 0.25 บาทต่อลิตร สำหรับแผนงานปกติ และประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลลดลง 0.18 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 และ 2) ให้เพิ่มอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ อีก 0.50 บาทต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล เป็น 0.75 บาทต่อลิตร สำหรับโครงการลงทุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง เมื่อหนี้สินสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงเป็น 0 แล้ว และให้เพิ่มการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ อีก 0.20 บาทต่อลิตร เป็น 0.95 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 โดยให้มีการประกาศลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในอัตราเท่ากันและในวันเดียวกัน
2. สำหรับขั้นตอนการออกประกาศ กพช. กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ จะต้องนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งการดำเนินการอาจล่าช้ากว่ากำหนดเวลาบังคับในวันที่ 17 ธันวาคม 2550 ตามมติ กพช. ประกอบกับจากประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะเป็นบวกและสามารถโอนอัตราเงินให้แก่กองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 0.50 บาท/ลิตร (ครั้งที่ 1) ได้ประมาณวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ดังนั้น เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2550 กพช. จึงได้เห็นชอบให้โอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับแผนงานปกติและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ครั้งที่ 1 ไปพร้อมกัน ดังนี้ 1) ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 จาก 0.07 บาทต่อลิตร เป็น 0.75, 0.25, 0.75 และ 0.25 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป และ 2) ให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพิ่มขึ้นอีก 0.20 บาทต่อลิตร เป็น 0.95, 0.45, 0.95 และ 0.45 บาทต่อลิตร ตามลำดับ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
3. เพื่อการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับแผนงานปกติและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ตามมติ กพช. ในข้อ 1 ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้ 1) เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลง 0.6800, 0.1870, 0.6800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ และ 2) เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลงอีก 0.20 บาทต่อลิตร โดย ให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ (ประมาณเดือนตุลาคม 2551) ทั้งนี้ มอบให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ต่อไป
4. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551 กพช. ได้มติเห็นชอบมาตรการระยะสั้นในการแก้ไขผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมอบให้กระทรวงพลังงานรับไปดำเนินการ ดังนี้ 1) เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบันยังมีรายรับสูงกว่ารายจ่ายอยู่ในระดับ 33 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งส่วนนี้เตรียมไว้เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลและไบโอดีเซล โดยสามารถนำรายได้จากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้เพื่อบริหาร ซึ่งสามารถชะลอการขึ้นราคาน้ำมันดีเซลได้ 0.40 บาทต่อลิตร และ 2) ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลในส่วนที่เก็บไว้สำหรับโครงการระบบขนส่งรางคู่ลง 0.50 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2551 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป และจากการดำเนินการดังกล่าวสามารถนำเงินของทั้ง 2 กองทุนมาชะลอการปรับราคาของน้ำมันดีเซลได้สูงสุด 0.90 บาทต่อลิตร และหากปรับลดลง 0.90 บาทต่อลิตร แล้วราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นอีก จะปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดโลก โดยจะไม่มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาระดับราคาและจะไม่นำเงินคงเหลือที่อยู่ในกองทุนทั้ง 2 มาใช้รักษาระดับราคาอีกด้วย
5. ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องสุทธิประมาณวันละ 1.70 ล้านบาท ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลง แต่รายจ่ายจากการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 มีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,868 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 13,614 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการที่ได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,254 ล้านบาท
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล กลับไป ณ อัตราเดิมตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551 ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯมีสภาพคล่องสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.70 ล้านบาทต่อวัน เป็น 16.10 ล้านบาทต่อวัน หรือ 484 ล้านบาทต่อเดือน และปัจจุบัน ค่าการตลาดการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูงและอยู่ในช่วงราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ดังนั้นการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน พร้อมทั้ง เห็นควรยกเลิกค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่งฯ ของกองทุนอนุรักษ์ฯ และให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ในส่วนนี้ทั้งหมดคืนให้แก่กองทุนน้ำมันฯ เนื่องจากเงินสนับสนุนโครงการดังกล่าวยัง ไม่มีการนำไปใช้จ่าย และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล 0.40 บาทต่อลิตรกลับไปอยู่ในอัตราเดิมคือจาก -0.30 บาทต่อลิตร เป็น 0.10 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 0.20 บาทต่อลิตร จาก -1.50 บาทต่อลิตร เป็น -1.30 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ได้คำนึงถึงการกำหนดให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 มีส่วนต่างจาก 0.50 บาทต่อลิตร เป็น 0.70 บาทต่อลิตร เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
2. เนื่องจากเงินสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง จากเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้เรียกเก็บจากน้ำมันดีเซลและเบนซินในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร นั้น ทางภาครัฐยังไม่มีนโยบายนำไปใช้จ่ายแต่อย่างใด คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานจึงเห็นชอบให้ยกเลิกการค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่งจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนนี้ทั้งหมดคืนให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากในการกำหนดอัตราเงินกองทุนดังกล่าวเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงเห็นควรให้กระทรวงพลังงานนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 2 การขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 กบง. ได้มีมติเรื่อง แนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง ดังนี้ 1) รับทราบผลการช่วยเหลือที่กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือกับ 4 โรงกลั่น ในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้แก่ โรงกลั่นพีทีทีเออาร์ โรงกลั่นไออาร์พีซี โรงกลั่นไทยออยล์ และโรงกลั่นบางจาก ได้ร่วมกันบริจาคโดยจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท โดย กบง. เป็นผู้พิจารณาจัดสรรแทนกระทรวงพลังงาน และให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ และได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประสานงานกับโรงกลั่นทั้ง 4 แห่ง ในการจัดสรรน้ำมันดังกล่าว และ 2) เห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือประชาชน จากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ เช่น กลุ่มประมง เกษตรกร และผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ ที่ได้รับความเดือดร้อนติดต่อมาที่ สนพ. หรือหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ และให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอขอรับความช่วยเหลือต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบไปแล้ว กบง. จะพิจารณาติดตามและประเมินผลทุกๆ เดือน
2. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2551 ได้มีมติรับทราบมติของ กบง. ซึ่งได้กำหนดแนวทางในการช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง โดยให้ความช่วยเหลือ ดังนี้ 1) ให้กลุ่มผู้เดือดร้อนทำหนังสือร้องขอความช่วยเหลือผ่านกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากลั่นกรองและเสนอความเห็นต่อกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอต่อ กบง. พิจารณาต่อไป 2) ผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการที่ถูกรัฐบาลควบคุมรายได้ จนไม่สามารถปรับราคาได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันแพงได้ และกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ และได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และ 3) ต้องแสดงวิธีการจัดสรรน้ำมันให้ชัดเจนว่า น้ำมันราคาถูกจะต้องส่งผ่านไปถึงผู้เดือดร้อนจริง ไม่รั่วไหลไปทางอื่น
3. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2551 ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่อง ขอการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับเรือประมง เพื่อขอให้พิจารณาการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับเรือประมง และต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 ได้มีหนังสือเพื่อขอรับการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับชาวประมงและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยที่ 1) กลุ่มประมงชายฝั่ง จากโครงการจำหน่ายน้ำมันม่วงได้จำหน่ายน้ำมันดีเซลในราคา ต่ำกว่าบนบก 2 บาทต่อลิตร แต่จากสภาวะวิกฤตราคาน้ำมันที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ชาวประมงประสบการขาดทุนอย่างต่อเนื่องและต้องหยุดกิจการ ปัจจุบันมีเรือประมงประเภทที่ใช้น้ำมันมาก หยุดทำการประมงแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 - 60 โดยชาวประมงขาดทุนสุทธิประมาณ 100,000 - 200,000 บาทต่อเดือนต่อลำ และ 2) กลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งรายย่อย จากปัจจัยการผลิตทั้งด้านอาหารสัตว์น้ำ และน้ำมันเชื้อเพลิง มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ราคากุ้งตกต่ำลง ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งประสบการขาดทุนต้นทุนด้านพลังงาน ถึงร้อยละ 15 - 20 และขาดทุนสุทธิไร่ละ 12,000 บาท
4. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการด้านการประมง และผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงเสนอมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือดังนี้
4.1 การสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกเพื่อใช้ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) โดยให้สามารถลดราคาน้ำมันในโครงการฯ ได้ไม่ต่ำกว่า 5 บาทต่อลิตร (จากเดิมไม่ต่ำกว่า 2 บาทต่อลิตร) ปริมาณน้ำมันของโครงการช่วยเหลือชาวประมงที่ขอรับการสนับสนุนประมาณ 15 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือเรือประมงประมาณ 23,000 ลำ (ที่ใช้น้ำมันดีเซลและ ไม่สามารถออกไปซื้อน้ำมันเขียวได้) จำหน่ายผ่านสถานีบริการภายใต้การกำกับดูแลขององค์การสะพานปลาประมาณ 98 สถานี โดยมีการสมัครเข้าร่วมโครงการ และให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลยอดการจำหน่ายน้ำมันขององค์การสะพานปลาใน 2 ระดับ คือ 1) ส่วนกลาง ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 2) ระดับจังหวัด เป็นหน่วยงานภายในจังหวัด เพื่อป้องกันการรั่วไหล
4.2 การสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับผู้เพาะเลี้ยงกุ้งรายย่อยในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลปกติลิตรละ 3 บาท ปริมาณน้ำมันประมาณ 7 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งรายย่อยประมาณ 25,000 ราย โดยจัดสรรน้ำมันจำนวน 160 ลิตรต่อเดือนต่อปริมาณลูกกุ้งที่ปล่อย 100,000 ตัว และจำหน่ายผ่านสถานีบริการน้ำมันขององค์การสะพานปลา จำนวน 98 สถานี มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมงในส่วนกลางและระดับจังหวัด เพื่อดูแลยอดการจำหน่ายน้ำมันขององค์การสะพานปลา
5. กระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2551 ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงานเรื่อง ขอรับการจัดสรรน้ำมันในราคาพิเศษ เพื่อขอสนับสนุนการจัดสรรน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันในการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจำนวนมาก แต่มีงบประมาณในการจัดซื้อน้ำมันจำนวนจำกัด คือ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วจำนวน 2,255,000 ลิตรต่อปี และน้ำมันเบนซินออกเทน 95 จำนวน 77,000 ต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้จัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นโดยมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร มาจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งจำนวน 15 ล้านลิตรต่อเดือน (แทนการจัดหาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในราคาต่ำกว่าราคาดีเซลปกติ 2 บาทต่อลิตร โดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวบริหารและจัดการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551) และเกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยงกุ้งจำนวน 7 ล้านลิตรต่อเดือน รวมเป็น 22 ล้านลิตรต่อเดือน โดยให้มีมาตรการในการตรวจสอบและควบคุมเป็นไปตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด
2. เห็นชอบให้มีการขยายหลักเกณฑ์การช่วยเหลือกลุ่มผู้เดือดร้อนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2551 ให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานของรัฐที่มีความเดือดร้อน โดยหน่วยงานของรัฐที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่หน่วยงานที่ดำเนินโครงการหรือแผนงานที่เกี่ยวกับการบริการสาธารณะซึ่งหากไม่ดำเนินการจะส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชนโดยตรง
3. เห็นชอบให้มีการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นให้หน่วยงานของรัฐ คือ กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีเป็นหน่วยงานนำร่อง เพื่อนำไปใช้ในการขุดลอกร่องน้ำ จำนวนประมาณ 1,500 ลิตรต่อเดือน และหากหน่วยงานราชการอื่นที่ได้รับความเดือดร้อนและมีแผนงานหรือโครงการในลักษณะดังกล่าวตามข้อ 2 สามารถขอรับการสนับสนุนน้ำมันราคาถูกจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้
เรื่องที่ 3 การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในปัจจุบัน) ร่วมกับ กรมการค้าภายใน และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) ได้จัดทำบัญชีความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค พ.ศ 2544 เพื่อใช้ในการกำกับดูแลการกำหนดราคาของสถานีบริการในต่างจังหวัดแทนบัญชีความแตกต่างฯ พ.ศ 2538 โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดและสำนักงานการค้าภายในจังหวัดใช้บัญชีความแตกต่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง กรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาคฯ เป็นคู่มือสำหรับคำนวณราคาขายปลีกที่เหมาะสมของจังหวัดนั้น โดยจะใช้ราคากรุงเทพฯ บวกด้วยความแตกต่างราคาฯของจังหวัดนั้น
2. เดือนพฤษภาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันได้ขอให้มีการทบทวนบัญชีความแตกต่างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพฯ กับส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2544 เนื่องจากการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สอดคล้องกับการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่บัญชีความแตกต่างฯ พ.ศ. 2544 ใช้ราคาน้ำมันดีเซลที่ 12.5 บาทต่อลิตร แต่ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นจากเดิม อยู่ที่ระดับ 20 - 29 บาทต่อลิตร รวมทั้งต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางการขนส่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 ได้มีคำสั่งกระทรวงพลังงานที่ 34/2548 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพฯ กับส่วนภูมิภาค โดยมีหน้าที่กำกับศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่างฯ โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) เป็นประธานคณะทำงาน
3. คณะทำงานฯ ได้มอบให้สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยศึกษาบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกฯ เป็นการชั่วคราว โดยใช้สมมติฐาน ณ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 24 บาทต่อลิตร และสัดส่วนของขนาดรถบรรทุกน้ำมันระหว่าง 15,000 ลิตร และ 30,000 ลิตร คือ 70:30 ในขณะที่ตัวแปรอื่นๆ คงที่เท่ากับบัญชีความแตกต่างฯ พ.ศ. 2544 และเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2549 สนพ. ร่วมกับกรมการค้าภายใน สถาบันปิโตรเลียมฯ และผู้ค้าน้ำมัน ได้เริ่มดำเนินการปรับเพิ่มอัตราบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคที่ใช้เป็นอัตราความแตกต่างชั่วคราว โดยได้ดำเนินการปรับเพิ่มอัตราบัญชีค่าความแตกต่างของราคาฯ ในช่วงที่ราคาขายปลีกลดลง เพื่อไม่ทำให้ราคาขายปลีกโดยรวมเพิ่มขึ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
4. ต่อมาคณะทำงานฯ ได้มอบให้สถาบันปิโตรเลียมฯ ศึกษาบัญชีความแตกต่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพฯ กับส่วนภูมิภาคใหม่ โดยศึกษาระบบการขนส่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน และสร้างแบบจำลองในการคำนวณค่าขนส่งที่ครอบคลุมปัจจัยหรือตัวแปรต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่ง โดยเฉพาะการทบทวนข้อสมมติฐานราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่เดิมกำหนดไว้ในบัญชีความแตกต่างฯ ชั่วคราวที่ระดับราคา 24 บาทต่อลิตร เป็นระดับราคา 33 บาทต่อลิตร สำหรับบัญชีฯ ใหม่ ซึ่งเป็นการคำนวณตามมติคณะทำงานฯ ที่กำหนดให้ใช้ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี ต่อมาคณะทำงานฯ ได้เห็นชอบบัญชีความแตกต่างฯ ใหม่ เพื่อเป็นบัญชีที่ สนพ. และกรมการค้าภายใน จะใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการปรับส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพฯ (ที่ปัจจุบัน สนพ.ประกาศเป็นราคาอ้างอิงที่ กทม.) และราคาขายปลีกต่างจังหวัดที่เปลี่ยนแปลงไป ตามราคาอ้างอิงที่ กทม.
5. ผลการปรับบัญชีค่าความแตกต่างฯ ส่งผลให้สะท้อนต้นทุนค่าขนส่งที่แท้จริง ลดปัญหาค่าการตลาดของสถานีบริการในส่วนภูมิภาคที่อยู่ในระดับต่ำจนขาดทุนและเลิกกิจการ ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันในบางพื้นที่ ขณะเดียวกันการปรับอัตราค่าขนส่งจะทำให้ประชาชนในพื้นที่บางอำเภอรับภาระค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทำการทบทวนบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคใหม่ และนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - กรกฎาคม 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2551 อยู่ที่ระดับ 127.82 และ 133.93เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 8.32 และ 8.55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเหตุสหภาพคนงานบริษัทน้ำมันไนจีเรีย (PENGASSAN) นัดหยุดงานประท้วงบริษัท Chevron ในไนจีเรียและประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปมีมติคว่ำบาตรอิหร่านหลังอิหร่านปฏิเสธข้อเสนอการปรับเปลี่ยนแผนโครงการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ตามที่สหประชาชาติเสนอ ทั้งนี้ประธานโอเปคแถลงว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบรวมทั้งข่าวค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง ต่อมาในช่วงวันที่ 1-15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 137.83 และ 141.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำมันของประเทศจีนและอินเดียอยู่ในระดับสูง และหลังจากวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงวันที่ 16-30 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 125.45 และ 126.89 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก IEA ได้ปรับคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2551 ลงประมาณร้อยละ 51 รวมทั้งข่าวอิหร่านกับกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกทั้ง 6 ประเทศอาจบรรลุข้อตกลงด้วยการยอมรับข้อเสนอของทั้งสองฝ่าย
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2551 อยู่ที่ระดับ 140.30, 138.78 และ 166.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.17, 8.72 และ 7.83 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าวโรงกลั่นบริเวณ Port Dickson มาเลเซียมีแผนปิดซ่อมบำรุง ส่งผลให้มาเลเซียนำเข้าน้ำมันเบนซินปริมาณ 500,000 บาร์เรล ต่อมาในช่วงวันที่ 1-15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 144.22, 143.63 และ 174.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้จากจีนยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่อุปทานในภูมิภาคตึงตัว และหลังจากวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยในช่วงวันที่ 16-30 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 127.32, 126.76 และ 158.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากต้นเดือน 16.90, 16.87 และ 16.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากอุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากไม่มีแรงซื้อจากประเทศจีนและเวียดนามที่มีการปรับขึ้นราคาขายปลีกร้อยละ 31 ทำให้อัตราการบริโภคในประเทศลดลง
3. เดือนมิถุนายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 2.00 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล 95 (อี10), เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 2.80 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 (อี20) เพิ่มขึ้น 3.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 3.60 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ครม. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงโดยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 ถึง 31 มกราคม 2552 ประกอบด้วย (1) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล อี20, อี85 จากเดิมเรียกเก็บในอัตรา 3.3165 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 0.0165 บาทต่อลิตร ซึ่งมีผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดลดลง 3.88 บาทต่อลิตร (2) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว จากเดิม 2.3050 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 0.005 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 2.71 บาทต่อลิตร และ (3) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 จากเดิม 2.1898 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 0.0898 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 2.47 บาทต่อลิตร จากการลดภาษีสรรพสามิตและสถานการณ์ราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลงทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (อี10), (อี20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 131 กรกฎาคม อยู่ที่ระดับ 39.39, 37.99, 30.49, 29.19, 29.69, 37.94 และ 37.44 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. ช่วงเดือนกรกฎาคม 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 923.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกประกอบกับความต้องการใช้ในภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจปิโตรเคมีและการใช้ก๊าซ LPG เพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมัน โดยที่ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเดือนกรกฎาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไทยได้นำเข้า ก๊าซ LPG (วันที่ 10-30 กรกฎาคม 2551) ปริมาณ 84,941 ตัน โดยราคาก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 34.3921 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 23.3961 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 1,987.29 ล้านบาท ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้ชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ในภาคครัวเรือน จากเดิมในเดือนกรกฎาคมออกไปอีก 6 เดือนจนถึงเดือนมกราคม 2552
5. เดือนกรกฎาคม 2551 ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 7.7 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสถานีบริการ 4,079 แห่ง และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 30.49 และ 29.69 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ในเดือนกรกฎาคม 2551 มีปริมาณการจำหน่าย 89,000 ลิตรต่อวัน สถานีบริการ 94 แห่ง และราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 29.19 บาทต่อลิตร และกำลังการผลิตรวมและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 0.96 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย โดยผลิตเพียง 9 ราย ราคาเอทานอลแปลงสภาพในไตรมาส 3 ปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 18.01 บาท
6. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน จากผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน 9 ราย และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม อยู่ที่ 40.07 และ 42.35 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2551 จำนวน 10.69 และ 9.69 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 37.44 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.50 บาทต่อลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,868 ล้านบาท หนี้สิน ค้างชำระ 13,614 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 129 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 4,359 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,254 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 30 - วันพฤหัสบดี ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2551 (ครั้งที่ 30)
วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (พฤษภาคม - 13 มิถุนายน 2551)
2. แนวทางการจัดสรรน้ำมันเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) นัดพิเศษครั้งแรกไปได้ประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือน้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาถูกให้กับรถโดยสารประจำทาง (ขสมก.) ซึ่งได้ช่วยคลี่คลายความเดือดร้อนของประชาชนได้ระดับหนึ่ง และในช่วงที่ผ่านมาได้มีหลายกลุ่มอาชีพที่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันแพงได้มาขอความช่วยเหลือเพื่อรับการจัดสรรน้ำมันราคาถูก จึงทำให้ต้องรบกวนเชิญประชุมครั้งนี้
อนึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอให้อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ข้อเสนอของกลุ่มรถบรรทุกที่มายื่นหนังสือต่อกระทรวงพลังงานเพื่อให้ช่วยเหลือเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ โดยมีข้อเสนอ 3 ข้อ ดังนี้ 1) ให้ช่วยเหลือลดราคาขายน้ำมันดีเซลลิตรละ 3 บาท 2) เรื่องแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำสำหรับการเปลี่ยนไปใช้ NGV และ 3) เร่งรัดให้ ปตท.ดำเนินการติดตั้งสถานีบริการ NGV โดยที่ข้อเสนอ ในข้อ 2 และข้อ 3 จะมีคณะกรรมการที่ดูแลอยู่ ส่วนประเด็นราคาน้ำมันถูกจะเกี่ยวข้องหลายกระทรวง เห็นควรให้นำข้อเสนอดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาก่อน
เรื่องที่ 1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (พฤษภาคม - 13 มิถุนายน 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 119.5 และ 125.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 16.09 และ 12.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากไนจีเรียเลื่อนการส่งออกน้ำมันดิบ Qua lboe ปริมาณ 950,000 บาร์เรล จากเดือนมิถุนายนเป็นเดือนกรกฎาคม 2551 และจากข่าวชาวประมงฝรั่งเศสประท้วงปิดท่าขนส่งน้ำมัน Port-la-Nouvelle และ La Rochelle เพื่อเรียกร้องรัฐบาลให้ความช่วยเหลือที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และต่อมาในช่วงวันที่ 1-13 มิถุนายน 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 124.92 และ 131.44 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 5.43 และ 6.06 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากตลาด ที่ยังกังวลต่ออุปทานน้ำมันตึงตัวหลังกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 มิถุนายน 2551 ลดลง 4 สัปดาห์ต่อเนื่องปริมาณรวม 24 ล้านบาร์เรล ต่ำกว่าช่วงเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ 14 ประกอบกับข่าวเหตุเพลิงไหม้แหล่งผลิตน้ำมันดิบ Oseberg A Oilfield ของนอร์เวย์ รวมทั้งข่าวการหยุดงานประท้วงการแปรรูปของคนงานท่าเรือ Fos-Lavera ในฝรั่งเศสส่งผลให้เรือบรรทุกน้ำมันจำนวน 17 ลำ ไม่สามารถขนส่งน้ำมันได้ตามปกติ
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 131.13, 130.06 และ 158.62 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 13.05, 12.97 และ 20.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าวบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซียมีแผนนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมัน Balongan มีแผนปิดซ่อมบำรุงและจากข่าวรัฐบาลอินโดนีเซียมีแผนขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศประมาณร้อยละ 16-22 และจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในจีนในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค และต่อมาในช่วงวันที่ 1-13 มิถุนายน 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 139.29, 137.63 และ 164.62 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 8.16, 7.57 และ 5.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและบริษัท Pak-Arab Refinery Co ของปากีสถานจะงดส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนมิถุนายน 2551 เป็นเดือนที่สองติดต่อกันเพื่อลดภาวะอุปทานตึงตัวจากโรงกลั่นภายในประเทศลดอัตราการกลั่นและความต้องการใช้ในประเทศอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความต้องการจากจีนและอินโดนีเซียมีมาก
3. เดือนพฤษภาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 3.50, 2.80 และ 5.10 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-16 มิถุนายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 2.00, 2.00 และ 2.80 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2551 อยู่ที่ระดับ 42.09, 40.99, 37.39, 36.09, 36.59, 41.84 และ 41.14 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนมิถุนายน 2551 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนในทิศทางที่สูงขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 125 - 135 และ 130 - 140 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของจีนและอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการจากประเทศในตะวันออกกลาง และจากความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในไนจีเรีย การเมืองในอิรักและกรณีพิพาทระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ เกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 135 - 145 และ 160 - 170 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและการเข้ามาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าของกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าจากภาวะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
5. สำหรับสถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนมิถุนายน 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 54 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 905 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลกและอุปทานในภูมิภาคตึงตัว ขณะที่ความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและเวียดนามต้องการนำเข้าก๊าซ LPG ในเดือนกรกฎาคม 2551 ปริมาณ 22,000 ตัน ตลอดจนประเทศไทยได้มีการสั่งนำเข้าก๊าซ LPG เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคาดการณ์ตัวเลขการนำเข้ารวมในปี 2551 ประมาณ 200,000 ตัน โดยที่ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนกรกฎาคม 2551 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 925 - 935 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในช่วงต้นปี 2551 มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 7.4 ล้านลิตรต่อวัน ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2551 มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 8.1 และ 7.6 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการ 4,022 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 42.09 และ 36.59 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เริ่มจำหน่ายเดือนมกราคม 2551 โดยบริษัทบางจาก และ ปตท. มีสถานีบริการจำนวน 20 แห่ง และ 66 แห่ง ตามลำดับ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2551 ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอยู่ที่ระดับ 63,000 ลิตรต่อวัน และราคาขายปลีกอยู่ที่ 36.09 บาทต่อลิตร และกำลังการผลิตและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 0.89 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย แต่ผลิตเพียง 8 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 2 ในปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 17.54 บาท
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนพฤษภาคม 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน จากผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน 9 ราย และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม อยู่ที่ 40.94, 38.29 และ 37.59 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมีนาคม เมษายน และพฤษภาคม 2551 มีจำนวน 7.52 8.30 และ 9.56 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 41.14 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,557 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 12,808 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 258 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 3,360 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 390 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,749 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 แนวทางการจัดสรรน้ำมันเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ได้มีมติ เรื่องแนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยรับทราบผลการช่วยเหลือที่กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือกับ 4 โรงกลั่นในเครือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันบริจาค โดยการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมมูลค่า 2,196 ล้านบาท โดย กบง. เป็นผู้พิจารณาจัดสรรแทนกระทรวงพลังงาน และให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำและได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และ กลุ่มผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยให้ ปตท. เป็นผู้ประสานงานกับโรงกลั่นทั้ง 4 แห่ง ในการจัดหาน้ำมันดังกล่าว
นอกจากนี้ได้เห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำได้รับความเดือดร้อน ติดต่อมาที่ สนพ. หรือหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ และให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอขอรับความช่วยเหลือต่อ กบง. โดยข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบไปแล้ว กบง. จะติดตามและประเมินผลทุกๆ เดือน
2. ความก้าวหน้าในการจัดสรรน้ำมัน สำหรับกลุ่มผู้เดือดร้อนที่ได้รับการพิจารณาจัดสรรแล้วเป็นกลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้รับการจัดสรรเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 โดย กบง. ได้เห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมด้วยการช่วยเหลือลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้กับรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน หรือประมาณ 30 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน มีราคาถูกกว่าราคาจำหน่ายปกติ 3.00 บาทต่อลิตร โดยผ่านจุดจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการ ขสมก. นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ จนกว่าจะได้ข้อยุติของศาลปกครองในกรณีการขอปรับขึ้นค่าโดยสารหรือเท่ากับที่จำนวนน้ำมันที่ ขสมก. ได้รับการจัดสรรประมาณ 180 ล้านลิตรหมดลง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน พร้อมทั้งได้มอบให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เป็นผู้ประสานกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามมติข้างต้น
3. กลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ประกอบด้วยกลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
3.1 กลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม ได้แก่ 1) สมาคมผู้ประกอบการรถบรรทุกสินค้าภาคอีสาน ได้มีหนังสือขอรับความช่วยเหลือเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2551 ในประเด็นให้ช่วยเหลือลดราคาขายน้ำมันดีเซลลิตรละ 3.00 บาท และเรื่องแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำสำหรับการเปลี่ยนไปใช้ NGV พร้อมทั้งเร่งรัดให้ ปตท. ดำเนินการติดตั้งสถานีบริการ NGV และ 2) กลุ่มแท็กซี่จากโครงการพัฒนาแท็กซี่ไทย (แท็กซี่เอื้ออาทร) เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2551 กลุ่มแท็กซี่ฯ จำนวนประมาณ 300 คัน ได้มีหนังสือขอรับความช่วยเหลือ โดยขอให้จัดสรรหาเชื้อเพลิงราคาถูกให้ตามสถานีบริการ ที่กำหนดให้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และขอให้จัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์และติดตั้งเครื่องยนต์ NGV
3.2 นอกจากนั้น สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 โดยสมาชิกจำนวน 9 สมาคมฯ และ 4 ชมรม ได้มีหนังสือขอรับความช่วยเหลือ ดังนี้ คือ 1)ขอให้จัดหาน้ำมันราคาพิเศษให้ภาคขนส่งทางบกโดยเร่งด่วน ควรจะนำเข้าคณะรัฐมนตรีอนุมัติ 2) การแปลงทรัพย์สินเป็นทุน (รถบรรทุก) หลักทรัพย์ประกันสินเชื่อหรือเงินกู้ 3) ขอสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 0.5 ต่อปี เพื่อการใช้พลังงานทดแทน 4) การลดภาษีรถบรรทุกใหม่เครื่องยนต์ NGV เหลือร้อยละ 10 (นโยบายภาษี) มีกำหนดระยะเวลาและจำนวนรถ 5) ขอเงินสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อใช้ปรับปรุงเครื่องยนต์หรือเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็น NGV 6) ขอให้สร้างสถานี NGV ครอบคลุมแต่ละภูมิภาค และมีความเพียงพอสำหรับรถบรรทุก และ 7) ขอให้มีการปรับปรุงคุณภาพของ NGV ให้มีความสะอาดและมีมาตรฐานค่าความร้อนคงที่
3.3 กลุ่มผู้เดือดร้อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ เกษตรกร ผู้เลี้ยงกุ้ง เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2551 กรมประมงได้มีหนังสือเพื่อขอให้พิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง โดยขอให้มีการนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) เพื่อมาจำหน่ายให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง โดยขอให้ใช้หลักเกณฑ์ วิธีการเช่นเดียวกัน
4. เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ กบง. เรื่องแนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงในข้อ 1 กระทรวงพลังงานได้มีหนังสือลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ถึงกระทรวงที่รับผิดชอบทั้งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรฯ เพื่อให้ดำเนินการพิจารณาประเด็นดังนี้คือ กลุ่มผู้ร้องดังกล่าวเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำซึ่งมีความเดือดร้อนที่สมควรได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐหรือไม่ หากกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ากลุ่มดังกล่าวมีความเดือนร้อนสมควรดำเนินการช่วยเหลือ ขอให้ทั้ง 2 กระทรวงจัดทำประมาณความต้องการน้ำมันดีเซลราคาถูก แนวทางการดำเนินการจัดสรรน้ำมัน รวมทั้งการกำหนดให้มีจุดจ่ายน้ำมันที่ชัดเจนในภาคการปฏิบัติ และการป้องกันการรั่วไหล รวมทั้งมอบหมายให้มีหน่วยงานรับผิดชอบในการติดตามและตรวจสอบ เพื่อนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดแนวทางในการช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงในอนาคต โดยการให้ความช่วยเหลือจะพิจารณา ดังนี้
1.1 ให้กลุ่มผู้เดือดร้อนทำหนังสือร้องขอความช่วยเหลือผ่านกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณากลั่นกรองและเสนอความเห็นต่อกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป
1.2 ผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการที่ถูกรัฐบาลควบคุมรายได้จนไม่สามารถปรับรายได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันแพงได้ และกลุ่มที่มีรายได้ต่ำและได้รับผลกระทบ จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
1.3 ต้องแสดงวิธีการจัดสรรน้ำมันให้ชัดเจนว่า น้ำมันราคาถูกจะต้องส่งผ่านไปถึงผู้เดือดร้อนจริง ไม่รั่วไหลไปทางอื่น
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการช่วยเหลือประชาชนโดยใช้น้ำมันราคาถูกจากโรงกลั่นในบางสาขาอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
3. เห็นควรให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณากลั่นกรองกลุ่มที่ควรได้รับความช่วยเหลือ และจัดทำกรอบระยะเวลาและจำนวนที่ต้องการให้การช่วยเหลือ รวมทั้งรายละเอียดการบริหารจัดการและตรวจสอบในการจัดสรรน้ำมันให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้การช่วยเหลือได้ส่งผ่านถึงกลุ่มผู้เดือดร้อนจริง