คณะกรรมการและอนุกรรมการ (2532)
Children categories
ครั้งที่ 74 - วันอังคาร ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 16/2554 (ครั้งที่ 74)
เมื่อวันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้ตรวจราชการกระทรวง (นายบุญส่ง เกิดกลาง) รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 18 เมษายน 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 15 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจนถึงวันที่ 19 เมษายน 2554 ไปแล้วประมาณ 23,301 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 18 เมษายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,251 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 29,751 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 29,392 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 4,500 ล้านบาท โดยยังไม่รวมหนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ ประมาณ 130 ล้านบาท
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 18 เมษายน 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 116.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลง 1.19 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 8 เมษายน 2554 น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 129.47 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 137.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 2.80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับลดลงโดยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 38.84 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 19 เมษายน 2554 อยู่ที่ 1.5389 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.4513 บาทต่อลิตร
3. เพื่อเป็นการลดภาระกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทางการปรับลดเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจะมีผลทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันปรับมาอยู่ที่ 1.1389 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.3713 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 404 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 381ล้านบาทต่อวัน ภาระกองทุนน้ำมันฯ ลดลงประมาณ 23 ล้านบาทต่อวัน โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาลง 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชย 6.40 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 6.00 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ได้แจ้งที่ประชุมฯ เพื่อทราบเกี่ยวกับปริมาณ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ของบริษัทเชฟรอน (ไทย) จำกัด และบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่เหลืออยู่นับจากวันที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2554 ผ่อนผันให้สามารถนำ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ที่เหลืออยู่ไปผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา โดยเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 บริษัทเชฟรอน (ไทย) จำกัด มีปริมาณ Oil Base อยู่ที่ 61,629,821 ลิตร และเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด มีปริมาณ Oil Base อยู่ที่ 5,900,000 ลิตร และ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 บริษัททั้งสองมีปริมาณ Oil Base คงเหลืออยู่ที่ 12,000,000 และ 850,000 ลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 73 - วันจันทร์ ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 15/2554 (ครั้งที่ 73)
เมื่อวันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. ขอขยายเวลาการผ่อนผัน Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายบุญส่ง เกิดกลาง) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 14 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจนถึงวันที่ 11 เมษายน 2554 ไปแล้วประมาณ 20,667 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 11 เมษายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,857 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 27,579 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 27,220 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 7,278 ล้านบาท โดยยังไม่รวมหนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ ประมาณ 130 ล้านบาท
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 117.21 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 6 เมษายน 2554 อยู่ที่ 1.91 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 130.46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.43 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 140.62 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 38.34 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 11 เมษายน 2554 อยู่ที่ 0.7723 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 0.8089 บาทต่อลิตร
3. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จึงควรปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.90 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 6.40 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.2723 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 0.9089 บาทต่อลิตร ภาระกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 27.9 ล้านบาทต่อวัน โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.90 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 6.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 ขอขยายเวลาการผ่อนผัน Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากเกิดปัญหาผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบขาดแคลนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2553 กระทรวงพาณิชย์จึงได้ขอความร่วมมือจากกระทรวงพลังงานประสานผู้ผลิต B100 ให้ชะลอหรือลดการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้มีน้ำมันปาล์มดิบเข้าสู่ตลาดน้ำมันพืชบริโภคมากขึ้น ซึ่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ให้ขอความร่วมมือบริษัทผู้ค้าน้ำมันงดการผลิตจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2554 และให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ประสานกรมสรรพสามิตเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาสต็อคน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 และ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 บางส่วนที่คงเหลืออยู่ในระบบของผู้ค้าน้ำมัน ต่อมา ธพ. ได้มีหนังสือถึงกรมสรรพสามิตเพื่อขอความร่วมมือให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถนำ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ที่ยังไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิตไปผลิตเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B3) ได้ และให้ผู้ค้าน้ำมันที่มีน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 สำเร็จรูปที่เสียภาษีสรรพสามิตแล้ว สามารถนำ Oil Base มาผสมกับน้ำมันดีเซล B5 ผลิตเป็นดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B3) ได้โดยไม่ขัดต่อกฎระเบียบของกรมสรรพสามิต
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 และให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดามีส่วนผสมของไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันลดลงเหลือร้อยละ 2 ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 ต่อมา ธพ. ได้ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่องกำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 มีนาคม 2554 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B2) มีส่วนผสมของไบโอดีเซลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1.5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 2 โดยปริมาตร และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป ให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดามีส่วนผสมของไบโอดีเซลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 3 โดยปริมาตร แต่เนื่องจากสถานการณ์ปาล์มน้ำมันสำหรับการบริโภคยังไม่คลี่คลาย กระทรวงพลังงานได้มีนโยบายขยายระยะเวลาการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B2) ออกไปจนกว่าจะมีผลผลิตปาล์มน้ำมันส่วนเกินเหลือจากการบริโภค ดังนั้น ธพ. ได้ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2554 โดยให้คงมาตรฐานคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B2) ที่มีไบโอดีเซลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1.5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 2 โดยปริมาตรต่อไปและให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
3. บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด และบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ได้มีหนังสือแจ้งว่า Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ที่ยังไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต ของบริษัทฯ ที่เก็บไว้ที่คลังผสม ซึ่งได้รับการผ่อนผันจากกรมสรรพสามิตให้สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B3 และ B2) ได้ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 แต่ปรากฏว่าขณะนี้ ปริมาณ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ดังกล่าว ยังมีปริมาณคงเหลืออยู่ที่คลังผสมเป็นจำนวนมาก คาดว่าจะต้องใช้เวลาถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2554 จึงจะสามารถนำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาได้หมด บริษัทฯ ได้ประสานไปยังกรมสรรพสามิตและได้รับแจ้งว่าหากจะให้มีการผ่อนผันต่อไป จะต้องมีมติจาก กบง. จึงขอให้ ธพ. นำเสนอ กบง. เพื่อขอขยายระยะเวลาการนำ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ที่ยังไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิตของบริษัทฯ ที่คงเหลืออยู่ให้สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาได้โดยไม่ขัดต่อกฎระเบียบของกรมสรรพสามิต
4. กระทรวงพลังงานมีนโยบายขยายระยะเวลาการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B2) จากเดิมที่กำหนดให้จำหน่ายได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2554 ออกไปจนกว่าจะมีผลผลิตปาล์มน้ำมันส่วนเกินเหลือจากการบริโภค ประกอบกับขณะนี้กระทรวงพลังงานไม่ได้สนับสนุนให้มีการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงกว่า จึงทำให้ผู้ค้าน้ำมันไม่มีการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ขึ้นมาใหม่ ดังนั้น เพื่อให้การประกอบธุรกิจการค้าน้ำมันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ค้าน้ำมันที่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ เห็นควรให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันการนำ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ที่เหลืออยู่ไปผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา จากสิ้นเดือนมีนาคม 2554 ออกไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2554
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันการนำ Oil Base ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ของบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด และบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่เหลืออยู่ไปผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา จากเดิมสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2554 เป็นสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2554
ครั้งที่ 72 - วันพฤหัสบดี ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2554 (ครั้งที่ 72)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายบุญส่ง เกิดกลาง) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 5 เมษายน 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 13 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วจนถึงวันที่ 7 เมษายน 2554 ประมาณ 19,350 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 เมษายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,857 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 23,255 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 22,896 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 11,602 ล้านบาท โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็น หนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคา๊ก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท และหนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 6 เมษายน 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 115.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 1 เมษายน 2554 อยู่ที่ 4.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 128.03 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 138.27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นโดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 37.94 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 7 เมษายน 2554 อยู่ที่ 0.5219 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 0.8544 บาทต่อลิตร
3. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.90 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดมาอยู่ที่ 1.0219 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 0.9544 บาทต่อลิตร ภาระกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 27.9 ล้านบาทต่อวัน และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.90 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 71 - วันจันทร์ ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 13/2554 (ครั้งที่ 71)
เมื่อวันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 11.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. การกำหนดเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100)
3. การกำหนดหลักเกณฑ์ราคาอ้างอิงเอทานอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายบุญส่ง เกิดกลาง) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 ซึ่งในการดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 23 มีนาคม 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 12 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วจนถึงวันที่ 4 เมษายน 2554 ประมาณ 17,242 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 เมษายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,482 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 22,130 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 21,771 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 12,351 ล้านบาท โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท และหนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 1 เมษายน 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 111.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 21 มีนาคม 2554 อยู่ที่ 2.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 124.90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 134.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 2.65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น โดยมีผลเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2554 ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 37.94 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วยังคงราคาอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 4 เมษายน 2554 อยู่ที่ 0.8763 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.2013 บาทต่อลิตร
3. จากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.10 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2554 เป็นต้นไป โดยจะทำให้ค่าการตลาดมาอยู่ที่ 1.1763 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.2613 บาทต่อลิตร ภาระกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 16.7 ล้านบาทต่อวัน จากวันละ 331.1 ล้านบาท เป็นวันละ 347.8 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.10 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.40 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การกำหนดเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลซึ่งคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์และสเตียรีน โดยราคาขายน้ำมันปาล์มดิบที่ใช้ในการคำนวณ ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม โดยใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยสัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ใช้ราคาในสัปดาห์ที่ 1 นำไปคำนวณราคาในสัปดาห์ที่ 2
2. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 กบง. มีมติเห็นชอบให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ใช้ราคาปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาทต่อกิโลกรัม) ชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อใช้ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) ต่อไปอีก 1 เดือนจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2554 โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปศึกษารายละเอียดการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและ กบง. ต่อไป
3. คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้โรงกลั่นน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มในราคากิโลกรัมละ 36.28 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2554 เป็นต้นไป ทั้งนี้ให้โรงสกัดน้ำมันปาล์มรับซื้อผลปาล์มที่มีคุณภาพเท่านั้น พร้อมติดป้ายประกาศรับซื้อผลปาล์มน้ำมันในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 6.00 บาท ที่อัตราน้ำมันจากผลปาล์มขั้นต่ำร้อยละ 17 หากอัตราน้ำมันจากผลปาล์มเกินร้อยละ 17 ให้ปรับราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันในสัดส่วนที่สอดคล้องกัน รวมทั้งให้โรงสกัดน้ำมันปาล์มมีสิทธิปฏิเสธรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน หากเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันไม่มีคุณภาพ
4. ณ วันที่ 25 มีนาคม 2554 ราคา CPO ที่คิดจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม มีการปรับตัวลงมาอยู่ที่ 31.96 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ประกาศโดยกรมการค้าภายในที่ 32.25 4 ของเดือนมีนาคม 2554 ราคา CPO ที่คิดจากราคาปาล์มทะลายในประเทศลดลงมาอยู่ที่ 32.07 ใกล้เคียงกับราคา CPO ที่ประกาศโดยกรมการค้าภายใน ซึ่งอยู่ที่ 32.42 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อเปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ย CPO ที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลายในเดือนกันยายน และตุลาคม 2553 ซึ่งเป็นเดือนที่มีผลผลิตปาล์มทะลายออกตามปกติ พบว่ามีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 32.95 และ 35.59 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาปาล์มทะลายในประเทศเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
5. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า การใช้เพดาน CPO ที่คิดจากปาล์มทะลายจะเป็นธรรมแก่ผู้ผลิต B100 มากกว่าการกำหนดจากราคา MPOB+3 เนื่องจากราคา CPO ที่รับซื้อจะสะท้อนต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นจริง ส่วนการใช้เพดาน MPOB+3 เหมาะสำหรับช่วงภาวะปกติเท่านั้น ซึ่งในช่วงที่ผลผลิตออกน้อย (พฤศจิกายน -กุมภาพันธ์) จะทำให้ราคา CPO ตามประกาศกรมการค้าภายในสูงกว่า MPOB+3 ค่อนข้างมาก ดังนั้น เพื่อให้การคำนวณราคาอ้างอิงน้ำมันไบโอดีเซลสอดคล้องกับความเป็นจริงและสะท้อนต้นทุนการผลิต เห็นควรกำหนดเพดานโดยใช้ CPO ที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลายแทน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกการใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) และให้ใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) บวกค่าสกัด 2.25 บาทต่อกิโลกรัม ในการคำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100)
เรื่องที่ 3 การกำหนดหลักเกณฑ์ราคาอ้างอิงเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2553 ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตโดยเปลี่ยนแปลงเฉพาะในส่วนราคากากน้ำตาลที่เดิมใช้ราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร (บาทต่อกิโลกรัม) จากการคำนวณราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง เป็นราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 3 เพื่อให้ราคาเอทานอลสะท้อนราคาตลาดเร็วขึ้น ทั้งนี้ กรณีมีเดือนที่มีราคากากน้ำตาลสูงหรือต่ำกว่าราคาของเดือนก่อนเกินร้อยละ 50 ให้ผู้อำนวยการ สนพ. สามารถพิจารณาใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือน ย้อนหลังมาคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลได้
2. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2554 กบง. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตเป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2554 และเห็นชอบใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณส่งออก (บาทต่อกิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลในเดือนมกราคม - มีนาคม 2554
3. ปัจจุบัน สนพ. อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอล เพื่อให้สะท้อนต้นทุน เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 3 เดือน ดังนั้น ในระหว่างการศึกษาทบทวน สนพ. มีความเห็นว่าการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตในปัจจุบัน ยังมีความเหมาะสมกับสถานการณ์อยู่ จึงเห็นควรให้ใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตเดิมต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และมอบให้ สนพ. นำเสนอผลการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนมิถุนายน 2554
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2554 ต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำเสนอผลการศึกษาทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนมิถุนายน 2554
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่ 10 จังหวัดภาคใต้ซึ่งประสบอุทกภัย ในช่วงวันที่ 1 - 4 เมษายน 2554 พบว่าสถานีบริการฯ ขนาดใหญ่จำนวนทั้งหมด 492 แห่ง มีจำนวน 32 แห่ง ที่ไม่สามารถเปิดบริการได้ คิดเป็นร้อยละ 6.5 ของสถานีบริการฯ ทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนเนื่องจากเกิดอุทกภัยจึงไม่มีรถยนต์ มาใช้บริการ ส่วนก๊าซ LPG มีคลังอยู่ที่จังหวัดสงขลาและสุราษฎร์ธานี โดยคลังสุราษฎร์ธานีรับก๊าซ LPG ทางเรือจากโรงแยกก๊าซขนอม ส่วนคลังสงขลาจะรับก๊าซ LPG จากคลังเขาบ่อยา ซึ่งไม่มีปัญหาการขาดแคลนก๊าซ LPG แต่อาจจะมีปัญหารถขนส่งก๊าซ LPG ไม่สามารถขนส่งไปยังโรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการได้
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 70 - วันอังคาร ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2554 (ครั้งที่ 70)
เมื่อวันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 3 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ หากฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิเหลือวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วรวม 11 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2554 ไปแล้วประมาณ 13,724 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 22 มีนาคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 35,170 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 19,546 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 19,187 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 15,624 ล้านบาท สามารถชดเชยไปได้อีกประมาณ 50 วัน โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง โดยวันที่ 21 มีนาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 108.77 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราเงินชดเชยครั้งที่แล้ว ณ วันที่ 17 มีนาคม 2554 อยู่ที่ 2.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 121.18 และ 131.80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.20 และ 1.91 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันมีผลเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2554 ทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 37.44 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 0.7146 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.0047 บาทต่อลิตร
4. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.1146 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.0847 บาทต่อลิตร ภาระกองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นประมาณ 21.2 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชย 4.70 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) ได้แจ้งที่ประชุมฯ ว่า ธพ. ได้ออกประกาศขยายระยะเวลาการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ปาล์มน้ำมันในประเทศจะอยู่ในภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ หากจะมีการปรับเปลี่ยนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก บี2 เป็น บี3 จะต้องแจ้งให้ผู้ค้าน้ำมันทราบล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมการต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 69 - วันพฤหัสบดี ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2554 (ครั้งที่ 69)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปี 2554
3. สรุปผลการสอบทานการเบิก - จ่าย และควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ หากฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิเหลือวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วรวม 10 ครั้ง กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 17 มีนาคม 2554 ไปแล้วประมาณ 12,474 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 14 มีนาคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,479 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 17,393 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 17,033 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 359 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ 17,086 ล้านบาท โดยยังมีหนี้ที่มีมติไปแล้วแต่ยังไม่มีการเบิกจ่าย 14,361 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG จากโรงกลั่นในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า 1,428 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (กันยายน 2553 - กุมภาพันธ์ 2554) 2,094 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 1,547 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้า (มีนาคม - มิถุนายน 2554) 8,092 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยวันที่ 16 มีนาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 104.50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากวันก่อน 1.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 116.12 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 1.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 128.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 1.64 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันปรับลดลงด้วย ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาอยู่ที่ 1.3280 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.2517 บาทต่อลิตร
4. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง ดังนั้นเพื่อเป็นการลดภาระกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทางการปรับลดเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากกองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 ปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.20 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ที่ 1.1280 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 302 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 291 ล้านบาทต่อวัน ภาระกองทุนน้ำมันฯ ลดลงประมาณ 11 ล้านบาทต่อวัน และแนวทางที่ 2 ปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.30 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ที่ 1.0280 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 302 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 286 ล้านบาทต่อวัน ภาระกองทุนน้ำมันฯ ลดลงประมาณ 16 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาลง 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชย 5.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.70 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปี 2554
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553-2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ เพื่อเป็นเงินทุนสำรองกองกลางให้กับหน่วยงานต่างๆ ใช้เมื่อมีเหตุจำเป็น ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ในการดำเนินงานโครงการของ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จำนวน 1 โครงการ ในวงเงิน 20 ล้านบาท และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) 2 โครงการ จำนวนเงินรวม 71.2175 ล้านบาท รวม 3 โครงการ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 91.2175 ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่สามารถอนุมัติได้รวม 208.7825 ล้านบาท
2. หน่วยงานในกระทรวงพลังงานได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ คือ 1) โครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน ระดับประเทศ ของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) ในวงเงิน 6.5 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน 10 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา และ 2) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ของ สนพ. ในวงเงิน 28 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน 11 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
3. โครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานระดับประเทศ ของ สป.พน. มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบและกำหนดแนวทางปฏิบัติ วิธีการ ทดสอบระบบ ในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานระดับประเทศ โดยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับทราบและปฏิบัติได้อย่างเป็นระบบ ดำเนินงานโดยจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
3.1 ศึกษาลักษณะการเกิดสภาวะวิกฤตด้านพลังงานของประเทศที่ผ่านมาในอดีตไม่น้อยกว่า 2 ปี วิเคราะห์ต้นเหตุด้านการจัดหา (Supply) การแปรรูป (Transformation) การขนส่ง (Transportation) และการจำหน่ายจ่ายแจก (Distribution) ศึกษาการแก้ไขสภาวะวิกฤตด้านพลังงานดังกล่าว
3.2 ศึกษาและเสนอแนะ Institutional Framework โดยเปรียบเทียบกับประเทศที่มีระบบรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานไม่น้อยกว่า 2 ประเทศ
3.3 ศึกษาและพัฒนาระบบช่วยในการตัดสินใจ โดยรวบรวมข้อมูลด้านระบบการจัดหาพลังงานของประเทศซึ่งครอบคลุมระบบน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า ข้อมูลด้านการสำรองเชื้อเพลิง การขนส่งเชื้อเพลิง การผลิตและแปรรูปพลังงาน ความสามารถในการเปลี่ยนเชื้อเพลิง และการจำหน่ายจ่ายแจกพลังงานสู่ผู้ใช้ พร้อมทั้งจัดทำระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่แสดงความเชื่อมโยงของข้อมูลในระบบพลังงานดังกล่าว
3.4 ศึกษาและจัดทำการวิเคราะห์ภาพฉาย (Scenario analysis) ของการแก้ไขสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน โดยใช้กรณีศึกษาจากเหตุการณ์ในข้อ 3.1 เปรียบเทียบผลที่ได้จากภาพฉายและสิ่งที่เกิดขึ้นจริง พร้อมทั้งปรับปรุงระบบวิเคราะห์ข้อมูลให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และจัดให้มีการซักซ้อมแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3.5 งบประมาณ 6,500,000 บาท ระยะเวลาดำเนินงาน 10 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา โดยแบ่งเป็นระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือน ระยะเวลาตรวจรับงานและเบิกจ่าย 2 เดือน
4. โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ของ สนพ. ระยะเวลาดำเนินโครงการ 11 เดือน นับจากวันที่ลงนามในสัญญา แบ่งเป็นระยะเวลาการดำเนินการตามแผนงานประชาสัมพันธ์ฯ 10 เดือน และระยะเวลาในการเบิกจ่าย 1 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ให้ความรู้ ความเข้าใจ รับทราบความจำเป็น และยอมรับนโยบายการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG (2) เพื่อสร้างการยอมรับในกลุ่มเป้าหมายต่อแนวทางการปรับราคาก๊าซ LPG ของภาคอุตสาหกรรม และกรณีทยอยการปรับขึ้นราคา LPG ในภาคขนส่งและครัวเรือนในอนาคต (3) เพื่อเผยแพร่มาตรการความช่วยเหลือต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG (4) ประชาสัมพันธ์โดยเผยแพร่กฎหมาย บทลงโทษ ผลเสีย ในกรณีลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และกรณีนำก๊าซ LPG จากภาคครัวเรือนมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมหรือการลักลอบถ่ายเทก๊าซ LPG และ (5) เพื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์การประหยัดการใช้ก๊าซ LPG เช่น วิธีใช้ก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนการผลิต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อประหยัดก๊าซ LPG และวิธีใช้ก๊าซ LPG อย่างปลอดภัย เป็นต้น
ทั้งนี้ มีกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิง เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิก กลุ่มแก้ว กระจก ประชาชนทั่วไป ผู้ใช้ก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง เป็นต้น และกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ สื่อมวลชนผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร และหน่วยงานภายใต้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจ ภายใต้บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ดำเนินการ ประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยมีข้อความสื่อสารหลัก คือ (1) ความรู้ความเข้าใจเรื่องราคาก๊าซ LPG (2) ประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกันการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และการนำก๊าซ LPG จากภาคครัวเรือนมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม และ (3) ประชาสัมพันธ์รณรงค์การประหยัดการใช้ก๊าซ LPG
ในการดำเนินการ โครงการใช้งบประมาณในวงเงิน 28 ล้านบาท ประกอบด้วย
(1) ผลิตสารคดีโทรทัศน์ ความยาว 2 นาที ไม่น้อยกว่า 20 ตอน แทรกในรายการโทรทัศน์ประเภทข่าว เผยแพร่ไม่น้อยกว่า 100 ครั้ง ทาง Free TV และซื้อเวลาในรายการโทรทัศน์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญหรือพิธีกรชี้แจงให้รายละเอียดข้อมูล ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง ใช้งบประมาณ 12 ล้านบาท
(2) ผลิตสารคดีวิทยุ ความยาว 1 นาที ไม่น้อยกว่า 20 ตอน เผยแพร่ในคลื่นกลุ่มผู้นำความคิด คลื่นข่าว คลื่นวิทยุที่ได้รับความนิยมต่อกลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มประชาชนในกรุงเทพฯ และทุกภูมิภาค โดยเผยแพร่ในกรุงเทพฯ ไม่น้อยกว่า 300 ครั้ง และต่างจังหวัดไม่น้อยกว่า 300 ครั้ง ใช้งบประมาณ 2 ล้านบาท
(3) ผลิตและเผยแพร่สกู๊ปในสื่อสิ่งพิมพ์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ขนาด ¼ หน้า ขาว-ดำ ไม่น้อยกว่า 30 ครั้ง ในหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ และสื่อสิ่งพิมพ์ท้องถิ่นในพื้นที่ของกลุ่มเป้าหมาย ใช้งบประมาณ 6 ล้านบาท
(4) จัดสัมมนา 2 ครั้ง ไปยังกลุ่มเป้าหมายภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซ LPG และได้รับผลกระทบโดยตรงเพื่อสร้างความเข้าใจ และยอมรับนโยบายการปรับราคา รวมถึงรับทราบมาตรการการช่วยเหลือจากภาครัฐ และวิธีการใช้ก๊าซ LPG อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณ 1 ล้านบาท
(5) จัด Press Tour 2 ครั้ง เพื่อเยี่ยมชมโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG และชี้แจงถึงการส่งเสริมการใช้ก๊าซ LPG อย่างมีประสิทธิภาพเพี่อลดต้นทุนการผลิต ใช้งบประมาณ 1.8 ล้านบาท
(6) จัดกิจกรรมบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) เรื่องการใช้ก๊าซ LPG ในภาค อุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการให้ความช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคา LPG จำนวน 1 ครั้ง ใช้งบประมาณ 3 แสนบาท
(7) สื่อมวลชนสัมพันธ์ ใช้งบประมาณ 3 ล้านบาท โดยจัดส่ง Fact Sheet ข้อมูลความรู้ LPG เพื่อสร้างความเข้าใจแก่สื่อต่างๆ และพลังงานจังหวัดทุกจังหวัด พร้อมทั้งจัดผู้บริหารพบสื่อมวลชนระดับบรรณาธิการ คอลัมนิสต์ และสื่อมวลชนท้องถิ่น ไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง ตลอดจนจัดแถลงข่าว นโยบาย มาตรการให้ความช่วยเหลือและอื่นๆ ตามความเหมาะสม
(8) ผลิตและเผยแพร่ โปสเตอร์ แผ่นพับ รวมไม่น้อยกว่า 20,000 แผ่น ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อให้รู้วิธีเตรียมพร้อม และใช้ก๊าซอย่างมีประสิทธิภาพ และถูกวิธี ใช้งบประมาณ 9 แสนบาท
(9) เผยแพร่ข้อมูล สร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และการประชาสัมพันธ์อื่นๆ ตามสถานการณ์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
(10) ดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ตามสถานการณ์ที่ สนพ. เห็นสมควร โดยผู้รับจ้างต้องจัดทำแผนและแสดงงบประมาณขออนุมัติต่อคณะกรรมการตรวจรับพัสดุก่อนดำเนินการทุกครั้ง โดยผู้รับจ้างสามารถคิดค่าบริการไม่เกิน 10% (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตลอดระยะเวลาของสัญญาการดำเนินการ ใช้งบประมาณ 1 ล้านบาท
5. คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2554 ได้มีมติดังนี้ 1) อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ให้ สป.พน. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานระดับประเทศ ในวงเงิน 6,500,000 บาท ระยะเวลาดำเนินงาน 10 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2554 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป และ 2)เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยมอบให้ สนพ. ไปพิจารณาปรับลดงบประมาณให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่จะดำเนินการตามร่างขอบเขตของงาน (Term of Reference, TOR) และให้นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ให้หน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน 2 โครงการ ในวงเงินรวม 34,500,000 บาท (สามสิบสี่ล้านห้าแสนบาทถ้วน) ดังนี้
1. โครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน ระดับประเทศ ของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 6,500,000 บาท (หกล้านห้าแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินงาน 10 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
2. โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในวงเงิน 28,000,000 บาท (ยี่สิบแปดล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินงาน 11 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
โดยให้แต่ละโครงการสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ และให้เริ่มดำเนินโครงการภายในปีงบประมาณ 2554
เรื่องที่ 3 สรุปผลการสอบทานการเบิก - จ่าย และควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 หมวด 6 การตรวจสอบภายใน ข้อ 18 ให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานของกองทุนอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อนำเสนอคณะกรรมการทราบ
2. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้มีมติรับทราบผลสอบทานการปฏิบัติงานในการเบิก - จ่าย และควบคุมเงินกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 โดยสรุปผลได้ดังนี้
2.1 การขอเบิกและจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ และการนำส่งเงินคืนคงเหลือ ดอกผล และรายรับอื่นๆ ของโครงการที่ปิดโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 พบว่ามีเอกสารประกอบการเบิกจ่าย และเอกสารประกอบเงินคืนคงเหลือ ดอกผล และรายรับอื่นๆ ครบถ้วน
2.2 จากการสุ่มกระทบยอดการโอนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 จำนวน 669 รายการ จำนวนเงิน 744,049,683.46 บาท พบว่าอัตราเงินส่งเข้ากองทุนถูกต้องและเป็นไปตามประกาศ กบง. ทั้งนี้ มีบางรายการที่โอนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มเติมเฉพาะส่วนของสารเติมแต่ง (additive) และ Ethanol/b100 โดยไม่ได้แนบหลักฐานการส่งเงินให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่เคยนำส่งเงินแล้วมาด้วย
2.3 หน่วยงานราชการบางแห่ง จัดส่งสำเนาใบนำส่งเงิน และสำเนาใบนำฝากให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ใช้ระยะเวลาเกิน 3 วันทำการ นับแต่วันที่ได้นำเงินฝากเข้าบัญชีล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ในระเบียบ ส่งผลให้การบันทึกบัญชีของสถาบันล่าช้าไปด้วย
2.4 ผลการสอบทานประเด็นอื่นๆ ที่มีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ได้สรุปผลการสอบทานและได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข ตามที่ได้เสนอแนะร่วมกับสถาบันแล้ว
3. คณะกรรมการตรวจสอบ ได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในกรณีที่มีการโอนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เฉพาะส่วนของสารเติมแต่ง additive) และ Ethanol/b100 สบพน. ควรกำหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนในการตรวจสอบและติดตามเอกสารในส่วนที่มีการโอนเงินให้กองทุนน้ำมันฯ แล้ว เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ามีการนำส่งเงินถูกต้องครบถ้วน และควรมีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงพลังงานกับหน่วยงานราชการ ที่ต้องส่งสำเนาใบนำส่งเงิน และสำเนาใบนำฝาก มาให้ สบพน. เพื่อหาวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและเป็นไปได้ เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 อย่างเคร่งครัด
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 68 - วันอังคาร ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 10/2554 (ครั้งที่ 68)
เมื่อวันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า วันนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ซึ่งมีปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) เป็นประธานกรรมการ และประกอบด้วย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ หากฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิเหลือวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท ให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 10 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาได้รับการชดเชยสะสมไปแล้ว 5.15 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้ว ประมาณ 10,087 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 3 มีนาคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 35,275 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 14,695 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,427 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 268 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 20,580 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมเงินชดเชยค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รถแท๊กซี่ 1,200 ล้านบาท เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV ก่อนเดือนมีนาคม 2554 จำนวน 2,400 ล้านบาท เงินชดเชยการตรึงราคาก๊าซ NGV เดือนมีนาคม - มิถุนายน 2554 จำนวน 1,600 ล้านบาท และเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าเดือนมีนาคม - มิถุนายน 2554 จำนวน 8,800 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงปรับตัวอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 111.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 0.81 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 และดีเซลอยู่ที่ระดับ 124.68 และ 131.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.14 และ 0.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน91 อยู่ที่ระดับ 42.04 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 37.34 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ผู้ค้าน้ำมันคงราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร จากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาลดลงอยู่ที่ 0.9482 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.0435 บาทต่อลิตร ซึ่งอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก ส่งผลให้ราคาขายปลีกเกิน 30.00 บาทต่อลิตร
4. จากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.35 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.2982 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.0342 บาทต่อลิตร ส่งผลให้สภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ จากติดลบ 302 ล้านบาทต่อวัน ก่อนปรับเงินชดเชย ณ วันที่ 8 มีนาคม 2554 เป็นติดลบ 320 ล้านบาทต่อวัน หลังปรับเงินชดเชย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้คงอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาที่ 5.00 บาทต่อลิตร
ครั้งที่ 67 - วันศุกร์ ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2554 (ครั้งที่ 67)
เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 8.30 น.
ณ ห้องประชุม 6 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 9 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้รับการชดเชยสะสมไปแล้ว 4.65 และ 3.55 บาทต่อลิตร ตามลำดับ กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2554 ไปแล้วประมาณ 9,026 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 2 มีนาคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 35,207 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 14,282 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,012 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 270 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกองทุนเบื้องต้น 20,925 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงปรับตัวอยู่ในระดับสูง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 109.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 0.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 121.56 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.66 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 129.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.87 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกขึ้น มีผลเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2554 โดยน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 42.04 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 37.34 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ผู้ค้าน้ำมันคงราคาอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา อยู่ที่ 0.7281 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 0.9794 บาทต่อลิตร จากค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก ส่งผลให้ราคาขายปลีกเกิน 30.00 บาทต่อลิตร
4. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร จากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จะทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันลดลง 1.2281 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วัน อยู่ที่ 1.1274 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 247 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 302 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 4.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 5.00 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ไปจัดทำประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในรูปแบบจำลองภายใต้สถานการณ์ (Scenario) ต่างๆ พร้อมทั้งแนวทางจัดหาเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (Financial Instruments) และให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปพิจารณาหาแนวทางการปรับราคาขายปลีกของก๊าซ NGV โดยไม่ให้กระทบราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง พร้อมทั้งจัดทำแผนการลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรม แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
ครั้งที่ 66 - วันจันทร์ ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2554 (ครั้งที่ 66)
เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 215 - 216 อาคารรัฐสภา 2
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. ในการพิจารณาต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 โดยมอบหมาย กบง. รับไปดำเนินการ
2. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2554 ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว รวม 8 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้รับการชดเชยสะสมแล้ว 4.15 และ 3.55 บาทต่อลิตร ตามลำดับ กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ไปแล้วประมาณ 8,070 ล้านบาท และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 มีเงินสดในบัญชี 36,029 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 14,345 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,075 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 270 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ จึงมีฐานะสุทธิ 21,684 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงปรับตัวอยู่ในระดับสูง จากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศลิเบีย โดยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 น้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 111.59 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันที่ผ่านมา 6.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 123.42 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 8.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 127.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 7.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 น้ำมันดิบดูไบ เบนซิน 95 และ ดีเซล ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับ 107.50, 118.81 และ 124.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ลดลง 4.09, 4.16 และ 3.68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง ครั้งละ 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 25 และ 27 กุมภาพันธ์ 2554 โดยน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 41.24 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 36.84 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 สนพ. ได้ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันคงราคาอยู่ที่ระดับ 29.99 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และ บี5 อยู่ที่ 0.4922 บาทต่อลิตร และ 0.3092 บาทต่อลิตร ตามลำดับ จากค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกเกิน 30.00 บาทต่อลิตร
4. เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร จากต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 4.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.50 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องจากติดลบ 220 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 247 ล้านบาทต่อวัน โดยในวันที่ 1 มีนาคม 2554 จะมีการลดส่วนผสมของไบโอดีเซลลงจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 2 ซึ่งจะทำให้ต้นทุนราคาของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ลดลงประมาณ 0.2650 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 4.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.50 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบในหลักการให้การปรับค่าการตลาดแต่ละครั้ง เมื่อปรับแล้วค่าการตลาดต้องไม่เกิน 1.30 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยย้อนหลัง 5 วันทำการ ประมาณ 1.10 บาทต่อลิตร เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณากำหนดอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติให้ขยายการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG และ NGV ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชย NGV ในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัมต่อไป ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจะออกประกาศตามที่ กพช. ได้มีมติต่อไป
2. ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้แจ้งที่ประชุมว่า ตามกรอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปี 2551 จำนวน 350 ล้านบาท และปี 2552 - 2553 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มียอดเงินคงเหลือที่สามารถใช้จ่ายได้ประมาณ 160 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ