คณะกรรมการและอนุกรรมการ (2532)
Children categories
ครั้งที่ 51 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2552 (ครั้งที่ 51)
เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท
2. แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553-2555
3. แนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
4. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
5. ขอปรับปรุงแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท๊กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท๊กซี่ NGV
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 ได้พิจารณาเรื่องแนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากการนำเข้า และได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอ กบง. พิจารณาใหม่อีกครั้ง
2. ในช่วงเดือนเมษายน 2551 - ตุลาคม 2552 ปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG มีทั้งสิ้น 969,633 ตัน และจากการที่ราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศ ต่ำกว่าราคาตลาดโลกทำให้ต้องชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า คิดเป็นเงินประมาณ 11,796 ล้านบาท LPG โดยในเดือนสิงหาคม, กันยายนและตุลาคม 2552 ชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ประมาณ 670, 845 และ 1,131 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าวงเงินที่ กบง. กำหนด อยู่ประมาณ 170 ล้านบาท 345 และ 631 ล้านบาท ตามลำดับ
3. ในเดือนพฤศจิกายน 2552 - มีนาคม 2553 ประมาณการใช้ก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 423 - 491 พันตัน ปริมาณการผลิตในประเทศอยู่ที่ระดับ 310 - 382 พันตัน และปริมาณการนำเข้าอยู่ที่ระดับ 109 - 141 พันตัน จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในเดือนธันวาคม 2552 คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 668 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 650 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งจากประมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นและราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2552 เป็นต้นไป เกินวงเงินที่มติ กบง. กำหนดไว้ที่ระดับ 500 ล้านบาท/เดือน
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,001 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 20,512 ล้านบาท
5. เพื่อให้ สบพน. สามารถจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในส่วนที่เกินวงเงินที่มติ กบง. กำหนดไว้ได้ จึงขอความเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ตามภาระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในส่วนที่เกินวงเงินที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีมติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ตามภาระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน
เรื่องที่ 2 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553-2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. รวมเป็นจำนวนเงิน 173,679,300 บาท พร้อมเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2552 ให้ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 23,214,700 บาท, 12,595,200 บาท, 2,606,800 บาท, 911,900 บาท และ 1,486,800 บาท ตามลำดับ และรวมค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร 804,000 บาท เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 41,619,400 บาท ภายใต้กรอบงบประมาณปี 2552 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติ
2. สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้รายงานแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารตามที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2552 จำนวน 41,619,400 บาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 มีแผนการใช้จ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 24,224,771 บาท เงินคงเหลือ 17,394,629 บาท โดยพบว่า สป.พน. และ สนพ. มีแผนการใช้จ่ายต่ำกว่างบประมาณที่ตั้งขอไว้มากเพียงร้อยละ 59.42 และ 37.03 ตามลำดับ เนื่องจากทั้งสองหน่วยงานได้ขอเงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางไปราชการต่างประเทศค่อนข้างสูง คือประมาณ 9.2 และ 6.6 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดพยายามหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นการเดินทางไปดูงานและสัมมนาในต่างประเทศ ประกอบกับ สนพ. ยังไม่มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับการจ้างที่ปรึกษา 2 อัตรา จำนวน 1.2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักงบส่วนนี้ของทั้งสองหน่วยงานออก ทำให้งบประมาณของทั้งสองหน่วยงานจะเหลือเป็น 13.99 ล้านบาท และ 5.99 ล้านบาท ตามลำดับ ทำให้แผนการใช้จ่ายเงินของทั้งสองหน่วยงานคิดเป็นร้อยละ 98.54 และ 97.25 ตามลำดับ
3. ในปีงบประมาณ 2552 สป.พน. สนพ. ธพ. และกรมสรรพสามิต ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอเงินสนับสนุนจากงบค่าใช้จ่ายอื่น กองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 - 24 กันยายน 2552 ซึ่ง กบง. ได้อนุมัติเงินทั้งสิ้น 205.98 ล้านบาท โดยให้เงินสนับสนุน สป.พน. สนพ. ธพ. และกรมสรรพสามิต เป็นเงิน 47.4 ล้านบาท, 93 ล้านบาท, 65.18 ล้านบาท และ 0.40 ล้านบาท ตามลำดับ และผลการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ในปี 2552 ดังนี้
3.1 สป.พน. ได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการจำนวน 2 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ
3.2 สนพ. ได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการ 5 โครงการ อยู่ระหว่างการดำเนินงาน 4 โครงการ โครงการที่ไม่ได้ดำเนินการคือ แผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (30 ล้านบาท) เนื่องจาก คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน
3.3 ธพ. ได้รับเงินสนับสนุน 10 โครงการ มีการดำเนินงาน 9 โครงการ และ 1 โครงการ ที่ไม่ได้ดำเนินการคือ แผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV (88.8 ล้านบาท) เนื่องจาก กพช. ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคา NGV ออกไปก่อน ดังนั้น ปี 2552 ธพ. ได้ดำเนินการเสร็จสิ้น 2 โครงการ และมี 1 โครงการที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ คือ โครงการส่งเสริมสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีระยะเวลาดำเนินการอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม 2552 - เมษายน 2553
3.4 กรมสรรพสามิต ได้รับเงินสนับสนุนในโครงการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำระบบฐานข้อมูลและคาดว่าผลการดำเนินงานจะเป็นไปตามเป้าหมาย
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 31,001 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 20,512 ล้านบาท
5. ปีงบประมาณ 2553 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขอปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 45,544,600 บาท และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) - 2555 และได้มีมติดังนี้
6.1 รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารและงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ของหน่วยงานต่างๆ
6.2 เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 - 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานหน่วยงานดังกล่าว เพื่อปรับจำนวนเงินรวมในปีงบประมาณ 2553 - 2555 ให้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 121.2661 ล้านบาท เท่ากับจำนวนเงินรวมของงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2553 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 และเห็นชอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปี 2553 - 2555
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | ปีงบประมาณ | รวม 2553 - 2555 |
||
พ.ศ. 2553 | พ.ศ. 2554 | พ.ศ. 2555 | ||
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 23.2147 | 23.2147 | 23.2147 | 69.6441 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 9.9539 | 9.9570 | 9.9570 | 29.8679 |
3. กรมสรรพสามิต | 3.7701 | 3.7122 | 3.7122 | 11.1945 |
4. กรมศุลกากร | 0.9079 | 0.8579 | 0.8579 | 2.6237 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 3.7949 | 1.6351 | 1.7019 | 7.1319 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | 0.8040 | - | - | 0.8040 |
รวมค่าใช้จ่ายงบบริหาร | 42.4455 | 39.3769 | 39.4437 | 121.2661 |
7. งบค่าใช้จ่ายอื่น | 300.0000 | 300.0000 | 300.0000 | 900.0000 |
รวมทั้งสิ้น (1 - 7) | 342.4455 | 339.3769 | 339.4437 | 1,021.2661 |
6.3 เห็นชอบงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงินรวม 42.4455 ล้านบาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ตามตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | หมวดค่าครุภัณฑ์ | หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ | รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 1.8309 | 12.1678 | - | 9.2160 | 23.2147 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.3399 | 0.9140 | - | 8.7000 | 9.9539 |
3. กรมสรรพสามิต | 2.1781 | 1.3150 | 0.2650 | 0.0120 | 3.7701 |
4. กรมศุลกากร | 0.5218 | 0.3361 | 0.0500 | - | 0.9079 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 1.0494 | 2.7455 | - | - | 3.7949 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | - | - | - | 0.8040 | 0.8040 |
รวม | 5.9201 | 17.4784 | 0.3150 | 18.7320 | 42.4455 |
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารและงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ของหน่วยงานต่างๆ
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 - 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 121.2661 ล้านบาท (หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดล้านสองแสนหกหมื่นหกพันหนึ่งร้อยบาทถ้วน) และเห็นชอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามรายละเอียดตารางที่ 1
3. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 42.4455 ล้านบาท (สี่สิบสองล้านสี่แสนสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ตามรายละเอียดตารางที่ 2
4. ให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รับข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในการตั้งงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 แนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ได้กำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเวลา 6 เดือน (25 กรกฎาคม 2551 - 31 มกราคม 2552) ซึ่งส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ สิ้นวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการพยายามลดผลขาดทุนด้วยการลดปริมาณน้ำมันคงเหลือในสถานีบริการให้น้อยที่สุด จนเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 กบง. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต เพื่อพิจารณาและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2551 และปัญหาการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552
3. ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2551 มีสถานีบริการที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันมาตรา 11 จำนวน 18,131 ราย ในการปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 เมื่อมีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน พนักงานเจ้าหน้าที่จะไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ โดยผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการต้องลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจ จากนั้นพนักงานเจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่ตรวจวัดได้จัดส่งให้ ธพ. เพื่อสรุปจำนวนเงินที่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการแต่ละรายมีสิทธิได้รับเงินชดเชย แล้วจัดส่งหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเพื่อให้ยื่นเอกสารขอรับเงินชดเชยจาก สบพน. ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ ธพ. ลงในหนังสือ โดยสรุปมีจำนวนสถานีบริการที่พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจวัด 16,550 ราย มีสถานีบริการที่มีสิทธิรับเงินชดเชย 13,632 ราย และมีสถานีบริการที่ยื่นขอรับเงินชดเชย 10,545 ราย
4. สบพน. จ่ายเงินชดเชยโดยโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารเข้าบัญชีผู้มีสิทธิรับเงินชดเชย และได้ปฏิบัติตามวิธีการจ่ายเงินของส่วนราชการในการจ่ายเงินผ่านธนาคารให้ผู้มีสิทธิรับเงิน โดยห้ามโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงิน ซึ่ง ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2552 สบพน. จ่ายเงินชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมัน 10,135 ราย เป็นเงิน 2,903.07 ล้านบาท ประกอบด้วย ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จำนวน 15 ราย ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 10 จำนวน 15 ราย และผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 (สถานีบริการ) จำนวน 10,105 ราย ซึ่งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยฯ ได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ สบพน. ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยฯ ไปแล้ว 170 ราย คิดเป็นเงิน 2.47 ล้านบาท และนับตั้งแต่เริ่มประชุมคณะอนุกรรมการฯ คือตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2552 ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2552 มีความคืบหน้าในการจ่ายเงินชดเชยแล้ว 220 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 2.68 ล้านบาท
5. ประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไข มีดังนี้
5.1 กระทรวงการคลังกำหนดวิธีการและขั้นตอนการจ่ายเงินของส่วนราชการในการจ่ายเงินผ่านธนาคารให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงิน โดยห้ามโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงิน ทำให้ สบพน. ไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้ประกอบการในปัจจุบันได้เนื่องจากไม่เป็นผู้มีสิทธิรับเงินตามที่ ธพ. แจ้งไว้ต่อ สบพน.
5.2 จากคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 1/2552 ลงวันที่ 28 มกราคม 2552 ข้อ 3 วรรคสอง "ถ้าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายใดที่ได้รับเงินชดเชยตามข้อ 2 ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ หรือปิดคลังน้ำมัน หรือสถานีบริการ หรือกระทำการใดๆ ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหรือคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งได้ ให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนในจำนวนเงินที่คำนวณจากปริมาณน้ำมันคงเหลือสุทธิที่ตรวจวัดได้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 คูณด้วยส่วนต่างราคาตามประกาศราคาขายปลีกตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายนั้นยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากส่วนต่างราคาในการลดภาษีสรรพสามิตเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2551" ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ วินิจฉัยแล้วว่า การไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามที่กล่าวข้างต้น หมายถึงเฉพาะกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือเพื่อคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนและยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิตเท่านั้น ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่ไม่ได้รับเงินชดเชยด้วยเหตุอื่นจะถือเป็นเหตุอ้างที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนมิได้
5.3 ที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชย ดังนี้
ปัญหา | แนวทางแก้ไขปัญหา |
(1) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการเสียชีวิต |
ให้ทายาทดำเนินการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อขอรับเงินชดเชย |
(2) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการยื่นขอรับเงินชดเชยเกินระยะเวลาที่กำหนด |
ควรพิจารณาจากข้อเท็จจริง หากปัญหาที่เกิดขึ้นมิใช่ความบกพร่องของผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ เห็นสมควรจ่ายเงินชดเชยให้ได้ โดยต้องมีหลักฐานยืนยัน แต่หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการปล่อยปละละเลยโดยไม่มีเหตุอันสมควร ก็ไม่จำต้องจ่ายเงินชดเชย |
(3) กรณีผู้ประกอบการค้าน้ำมันในปัจจุบันเช่าสถานีบริการเพื่อดำเนินกิจการต่อจากผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ |
ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่มีรายชื่อในทะเบียน สามารถตั้งผู้แทนมาขอรับเงินได้ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงิน ส่งคลัง พ.ศ.2551 ข้อ 36 |
(4) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการจดทะเบียนเลิกกิจการ |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่เป็นนิติบุคคลและจดทะเบียนเลิกกิจการแล้ว โดยจ่ายเงินเข้าบัญชีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ หากรายใดไม่มีบัญชีเงินฝากในนามนิติบุคคลนั้นๆ ควรพิจารณาจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล |
(5) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ขอรับเงินชดเชย 1 ราย และขอรับเงินชดเชยแต่ไม่สะดวกรับเงินผ่านบัญชีธนาคาร 5 ราย ดังนั้นหาก สบพน.จ่ายเงินชดเชยผ่านบัญชีธนาคาร จะขอไม่รับเงินชดเชย |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการโดยสั่งจ่ายธนาณัติในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่สะดวกรับเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคาร สำหรับกรณีที่แจ้งความประสงค์มาตั้งแต่ต้นว่าขอไม่รับเงินชดเชย จึงเป็นการสละสิทธิ์ สบพน. จึงไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย |
(6) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ได้รับหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชยจาก ธพ. |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการหากปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ได้รับหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชย เนื่องจากความผิดพลาดในการจัดส่งไปรษณีย์ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของผู้จัดส่ง (ธพ.) หรือบุรุษไปรษณีย์ก็ตามซึ่งอาจดูได้จากซองจดหมายที่ตีกลับหรือ ธพ. ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีจดหมายตีกลับ และผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการได้อุทธรณ์มาด้วย |
(7) กรณีผู้ประกอบการไม่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 |
กรณีที่ผู้ประกอบการไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 ก่อนปรับลดภาษีสรรพสามิต ถือว่าไม่ได้เป็นผู้ค้าน้ำมันตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 จึงไม่สมควรได้รับเงินชดเชย |
(8) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ส่งเอกสารมาขอรับเงินชดเชย และอุทธรณ์มายังกรมธุรกิจพลังงาน |
เหตุที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ส่งเอกสารมาขอรับเงินชดเชยเป็นความละเลยของผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ จึงไม่สมควรจ่ายเงินชดเชยให้ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ ยังคงมีหน้าที่ต้องส่งเงินให้กองทุนเมื่อมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต |
5.4 คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาปัญหาการจ่ายเงินชดเชยในแต่ละรายแล้ว เห็นควรจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ 126 ราย และไม่เห็นควรจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ จำนวน 44 ราย
5.5 คณะอนุกรรมการฯ ตั้งข้อสังเกตว่า การจ่ายเงินชดเชยไม่สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุมีการเปลี่ยนแปลงผู้ประกอบการ แต่มิได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทางทะเบียนให้ถูกต้อง ส่งผลให้ชื่อผู้ประกอบการที่ปรากฏในทะเบียนไม่ตรงกับชื่อผู้ประกอบการในปัจจุบัน ทำให้เกิดปัญหาในการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งเป็นการละเลยการปฏิบัติ จึงสมควรให้ความรู้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการในการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง และกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจตราให้มีการปฎิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
6. คณะอนุกรรมการฯ ขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต ตามข้อ 5.3 และ 5.4 ต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับภาษีสรรพสามิต ตามที่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิตเสนอ
เรื่องที่ 4 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ได้มีข้อเสนอโครงการเร่งด่วนเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
2. ด้วยในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะ "พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" จะมีพระชนมายุครบ 82 พรรษา กระทรวงพลังงานซึ่งมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบด้านพลังงานของประเทศ จึงได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อร่วมถวายพระพรและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอัจฉริยะภาพด้านพลังงาน ซึ่งทรงเป็นแบบอย่างที่ประชาชนคนไทยควรต้องตระหนักและปฏิบัติตามแนวทางเรื่องพลังงานที่พระองค์ได้ทรงวางไว้
3. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย เป็นโครงการจัดซื้อสื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทหนังสือพิมพ์ เพื่อลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ถวายพระพรชัยมงคลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย ในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุครบ 82 พรรษาในปี 2552 และพระราชกรณียกิจด้านพลังงานในขนาด Cover jacket หรือขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้สมพระเกียรติในประเภทหนังสือพิมพ์ที่หน่วยงานเห็นว่าเหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายคือประชาชน ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ/ภาคเอกชน สื่อมวลชนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในสังกัดกระทรวงพลังงาน ใช้งบประมาณในวงเงิน. 4 ล้านบาท โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2553 ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา โดยจะต้องลงสื่อประชาสัมพันธ์ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งมีสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
มติของที่ประชุม
เนื่องจากรัฐบาลได้ให้นโยบายด้านพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งมีนโยบายส่งเสริมการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน สนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะ "พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" จะมีพระชนมายุครบ 82 พรรษา ในปี 2552 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานจึงมีมติดังนี้
1. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย ในวงเงิน 4 ล้านบาท (สี่ล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
2. ให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ในเรื่องของมาตรการการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ในปัจจุบัน โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณคันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 ได้มีมติเห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยสรุปหลักการที่สำคัญได้ดังนี้
2.1 การดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
2.2 ให้ สป.พน. เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สป.พน. ธพ. ปตท. และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ เตรียมความพร้อมด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ (1) อู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก (2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้ได้ตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบกและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการรถแท็กซี่ (3) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง (4) ตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด (5) ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก และ (6) กำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้ สป.พน. และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) ให้ สป.พน. ธพ. และ สบพน. ร่วมกันตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
2.3 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
2.4 เพื่อให้การดำเนินการตามแผนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
2.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้ กบง. ทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
2.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น การประกวดราคา 2 เดือน การติดตั้ง 4 เดือน การตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
2.7 อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 2.2 เป็นจำนวนเงินรวม 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น 1) ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท และ 2) ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์และถัง LPG ประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
2.8 อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200,000,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อติดตั้งครบ 30,000 คันแล้ว และมีเงินคงเหลือ หากมีรถแท๊กซี่ต้องการเปลี่ยนเป็น NGV เพิ่มเติม ก็ให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
3. เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2552 สป.พน. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ซึ่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2552 คณะทำงานฯ ได้มีการประชุมพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวฯ โดยมีมติสรุปได้ดังนี้ 1) เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบพัสดุ โดยใช้วิธี e-Auction และควรให้มีการกระจายให้เกิดผู้รับจ้าง 10 สัญญา เพื่อป้องกันการผูกขาด 2) เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดในการติดตั้งจึงกำหนดระยะเวลาในการติดตั้งจาก 4 เดือน เป็น 6 เดือน 3) การเบิกจ่ายของผู้รับจ้างสามารถเบิกจ่ายได้เดือนละครั้ง และ 4) เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการร่าง TOR คณะกรรมการประกวดราคา และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ โดยให้มีตัวแทนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจากตัวแทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ และให้เป็นไปตามระเบียบราชการ
4. กระทรวงพลังงานได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (Term of Reference: TOR) และร่างเอกสารการประกวดราคาของโครงการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ ได้ประชุมหารือถึงแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เกิดการกระจายผู้รับจ้างเป็น 10 สัญญา และเห็นว่าแนวทางการกระจายผู้รับจ้างโดยแบ่งเป็นหลายสัญญา อาจทำให้เกิดปัญหาที่ผู้รับจ้างไม่สามารถจะดำเนินการติดตั้งเพื่อปรับเปลี่ยนจาก LPG มาเป็น NGV ได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา เนื่องจากเจ้าของรถแท็กซี่สามารถตัดสินใจที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ จึงยากที่จะควบคุมปริมาณรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรับผิด อันเนื่องมาจากไม่สามารถติดตั้งได้ตามสัญญาและไม่เป็นที่จูงใจให้อู่ติดตั้งสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการ
5. คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ จึงได้ขอปรับปรุงแนวทางการดำเนินการฯ ดังกล่าว ดังนี้ 1) ให้จัดสรรเงินสนับสนุนเป็น 2 ส่วน คือส่วนของการจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบและส่วนของการสนับสนุนการติดตั้ง NGV 2) ในส่วนการประกวดราคา ให้เป็นการประกวดราคาเพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และ 3) ในส่วนการสนับสนุนการติดตั้งเพื่อปรับเปลี่ยนจากรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG มาเป็นรถแท็กซี่ NGV ให้เป็นการสนับสนุนค่าบริการติดตั้งตามที่จ่ายจริงสำหรับรถแท็กซี่ที่ได้มีการเปลี่ยนจากรถแท็กซี่ LPG มาเป็นรถแท็กซี่ NGV
6. ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นควรให้มีการปรับปรุงแนวทางการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV เพื่อให้กระบวนการการดำเนินการมีความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์สูงสุดตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ โดยฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาต่อ กบง. ดังนี้
6.1 ขอความเห็นชอบในหลักการ การจัดสรรค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1) เงินสนับสนุนสำหรับใช้ในการประกวดราคา (e-Auction) เพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 30,000 ชุด ชุดละ 35,000 บาท โดยแบ่งการประกวดราคาเป็น 3 งวด คือ 15,000 ชุด, 10,000 ชุด และ 5,000 ชุด ซึ่งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบจำนวน 18 รายการประกอบด้วย (1) ถังบรรจุก๊าซ ขนาด 100 ลิตรน้ำ พร้อมวาล์วหัวถัง (2) อุปกรณ์ปรับความดันก๊าซ (3) อุปกรณ์แสดงค่าความดันก๊าซ (4) ท่อก๊าซแรงดัน (5) อุปกรณ์รับเติมก๊าซ (6) วาล์วโซลินอยล์ความดันสูง (7) ท่อแรงดันต่ำ (8) สวิตซ์เลือกเชื้อเพลิง แบบ Automatic (9) กล่องฟิวส์และฟิวส์ (10) อุปกรณ์ควบคุมการผสมก๊าซกับอากาศ (11) ไส้กรองก๊าซ (12) ท่อระบายก๊าซ (13) ข้อต่อ (14) อุปกรณ์ปรับการไหลของก๊าซ (15) วาล์วป้องกันความเสียหายจากการเกิดระเบิดย้อนกลับ (16) อุปกรณ์หลอกหัวฉีด (17) รีเลย์ตัดปั๊ม และ (18) อุปกรณ์ปรับเวลาการจุดระเบิด
2) เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ รวมทั้งการประกันหลังการขายในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ของอู่ติดตั้ง NGV ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
6.2 มอบหมายให้ สป.พน. แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย
6.3 ขอความเห็นชอบปรับระยะเวลาการดำเนินการสำหรับการประกวดราคา การติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 9 เดือน เป็นประมาณ 10 เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการการจัดสรรค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.1 เงินสนับสนุนสำหรับใช้ในการประกวดราคา (e-Auction) เพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 30,000 ชุด ชุดละ 35,000 บาท โดยแบ่งการประกวดราคาเป็น 3 งวด งวดแรก 15,000 ชุด งวดที่สอง 10,000 ชุด และงวดที่สาม 5,000 ชุด
1.2 เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ รวมทั้งการประกันหลังการขายในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ของอู่ติดตั้ง NGV ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
2. มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย
3. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการดำเนินการสำหรับการประกวดราคา การติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 9 เดือน เป็นประมาณ 10 เดือน
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส ในเดือนกันยายน 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 67.64 และ 69.41 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 3.70 และ 1.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่วนในเดือนตุลาคม 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.15 และ 75.73 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 พฤศจิกายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.78 และ 78.70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.62 และ 2.98 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จาก Dow Jones Newires คาดการณ์โรงกลั่นขนาดใหญ่ของจีน 17 แห่ง จะเพิ่มอัตราการกลั่นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 88.5 ประกอบกับรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ประธานโอเปกกล่าวว่ามีแนวโน้มที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมในเดือนธันวาคม 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบทั่วโลกอยู่ในระดับสูงที่ 62 Days Of Forward Cover (โอเปกต้องการให้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53 Days Of Forward Cover) นอกจากนี้กลุ่มผู้ก่อการประท้วงวัยรุ่นในไนจีเรียเข้าบุกยึดและปิดล้อมแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Conoil (25,000 บาร์เรล/วัน) ของรัฐฯ Ondo ส่งผลให้ต้องหยุดดำเนินการ
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนกันยายน 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 75.63, 73.84 และ 74.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 6.47, 6.29 และ 4.37 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่วนในเดือนตุลาคม 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.71, 76.05 และ 79.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 พฤศจิกายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 81.94, 79.86 และ 84.29 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.23, 3.81 และ 4.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและรอยเตอร์รายงานยอดขายน้ำมันเบนซินของ Sinopec และ Petrochina เดือนตุลาคม 2552 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 มาอยู่ที่ระดับ 49.3 ล้านบาร์เรล ประกอบกับ Saudi Aramco ของซาอุดีอาระเบียนำเข้าน้ำมันเบนซิน 600,000 บาร์เรล ส่งมอบพฤศจิกายน 2552 รวมทั้งรัสเซียประกาศเพิ่มภาษีส่งออกน้ำมันดีเซลในเดือนธันวาคม 2552 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 26.8 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านตัน
3. ในเดือนกันยายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 1.04 บาท/ลิตร ,แก๊สโซฮอล 95 E85 ลดลง 0.80 บาท/ลิตร , ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.86 และ 1.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ ในเดือนตุลาคม 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10 , E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 0.58 บาท/ลิตร,แก๊สโซฮอล 95 E85 ลดลง 3.20 บาท/ลิตร , ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.13 และ 0.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 19 พฤศจิกายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.22 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.49 บาท/ลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 อยู่ที่ระดับ 40.94, 35.34, 31.74, 29.44, 18.72, 30.94, 28.19 และ 26.79 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนพฤศจิกายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 77 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 660 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบและอุปทานในภูมิภาคลดลงส่งผลให้ปริมาณส่งออกในตลาดจรน้อยลง ในขณะที่ผู้นำเข้าจากจีนเสนอซื้อปริมาณ 22,000 ตัน ส่งมอบเดือน พฤศจิกายน 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองในโรงกลั่นหลายแห่งลดลงและจีนเข้าสู่ฤดูหนาว ส่วนราคา LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ รัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ระดับ 11.1637 บาท/กิโลกรัม และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ 18.13 บาท/กิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เมษายน 2551 - 13 พฤศจิกายน 2552 ได้มีการนำเข้ารวม 1,009,989 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 12,334 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนตุลาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 17 ราย แต่ผลิตเป็นเชื้อเพลิง 12 ราย มีกำลังการผลิตรวม 2.73 ล้านลิตร/วัน มีปริมาณการผลิตจริง 1.04 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนพฤศจิกายน ปี 2552 อยู่ที่ 24.97 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2552 มีปริมาณการจำหน่าย 11.6 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 4,235 แห่ง ซึ่ง ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 3.60 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 4.40 บาท/ลิตร และในเดือนตุลาคม 2552 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณการจำหน่าย 0.26 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 237 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนตุลาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 4.45 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 1.56 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2552 อยู่ที่ 25.45 บาท/ลิตร มีปริมาณการจำหน่าย 20.70 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,571 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.40 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,001 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 20,512 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการนำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน และการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนด้วย และกรมบัญชีกลางได้เห็นชอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. ในปี 2551 บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) ร่วมกับกรมบัญชีกลางได้ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ เฉพาะที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการในส่วนรายรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) เป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552 กรมบัญชีกลาง ได้รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกระทรวงการคลัง ซึ่งเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551โดยผลการดำเนินงานตามเกณฑ์ด้านต่างๆ มีดังนี้ 1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ได้ 4.9351 คะแนน 2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ได้ 1 คะแนน 3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้ 5 คะแนน และ 4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ได้ 5 คะแนน ซึ่งผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.5379 คะแนน (อยู่ในระดับดี คือสูงกว่าค่าปกติ/สูงกว่า 3 คะแนน) และได้ส่งรายงานดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานเพื่อใช้ประกอบการติดตามผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 50 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 13/2552 (ครั้งที่ 50)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กันยานยน 2550 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของการกำหนดราคา NGV ตามต้นทุน โดยให้ใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ณ ราคาก๊าซเฉลี่ย POOL 2 บวกด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งรวมค่าการตลาดแล้ว และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอในส่วนของค่าใช้จ่ายดำเนินการอีกครั้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 กพช. ได้มีมติมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาและให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์ใหม่ของหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นชอบในหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 สามารถสรุปโครงสร้างราคาขายปลีก NGV ได้ดังนี้
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 กพช. ได้เห็นชอบให้มีการปรับสูตรการคำนวณและแนวทางการกำกับดูแลราคาขายปลีก NGV โดยให้ กพช. กำกับดูแลต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติและให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณาหลักเกณฑ์การคำนวณราคาขายปลีก NGV และได้เห็นชอบให้มีการปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเพิ่มเติมนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)" เพื่อให้ราคาขายปลีก NGV ถูกกำกับดูแลภายใต้กรอบอันเดียวกับน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับภาคขนส่งชนิดอื่นๆ โดยให้ กบง. เป็นผู้พิจารณา ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีการจัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 โดยได้แก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" และเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์" เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนามต่อไป ดังนี้
3.1 แก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" จากเดิม "น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน และให้ความหมายรวมถึงก๊าซและยางมะตอยด้วย" เป็น "น้ำมันเชื้อเพลิง หมายความว่า น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน และให้ความหมายรวมถึงก๊าซ ยางมะตอยและก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ด้วย"
3.2 เพิ่มเติมบทนิยาม "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งประกอบด้วยมีเทนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ"
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยแก้ไขบทนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" และเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์" และให้ผนวกรวมร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 เข้าด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาความถูกต้องของร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามต่อไป
เรื่องที่ 2 แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยได้เห็นชอบหลักการการจัดสรรปริมาณก๊าซ LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ หลักการกำหนดส่วนต่างราคาระหว่างก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยกำหนดราคาขายปลีกเป็น 2 ราคาด้วยการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็น 2 อัตรา และแนวทางการทยอยปรับขึ้นราคาหลายครั้งเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน และยังได้เห็นชอบแนวทางในการแก้ไขและป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะในส่วนมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวน 20,000 คัน ในระยะเวลา 4 เดือน
2. เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าฯ ได้หารือกับผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการรถแท็กซี่ถึงแนวทางการช่วยเหลือให้รถแท็กซี่เปลี่ยนมาใช้ NGV จำนวน 20,000 คัน ซึ่งสมาคมฯ ยินดีเข้าร่วมโครงการ แต่ขอมีส่วนร่วมในการพิจารณาในส่วนของมาตรฐานของอุปกรณ์ NGV ที่จะนำมาติดตั้งและในการติดตามความก้าวหน้าของการขยายสถานีบริการ NGV และจำนวนรถที่ใช้ขนส่งก๊าซ
3. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้เห็นชอบแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ตามที่คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าฯ เสนอ และอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ในวงเงิน 88.8 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 ที่ให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน ส่งผลให้มาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวน 20,000 คัน ตามที่ กบง. ได้มีมติไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ไม่มีการดำเนินการ และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ในเรื่องมาตรการการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่จำนวน 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ คันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ให้มาใช้ NGV จะสามารถช่วยลดการใช้ก๊าซ LPG ได้ประมาณ 30,000 ตัน/เดือน และช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน ซึ่งจำนวนรถแท็กซี่ที่ติดตั้ง NGV สะสมถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2552 มีจำนวน 45,404 คัน จากที่มีใช้งานอยู่บนท้องถนนประมาณ 75,000 คัน (รถแท็กซี่จดทะเบียนสะสมกับกรมการขนส่งทางบก ณ สิ้นปี 2551 มีจำนวน 84,785 คัน)
4. ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ
4.1 กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
4.2 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สป.พน. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ปตท. และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ ในการเตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ (1) ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก (2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้เป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก (3) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง (4) ตรวจสอบความถูกต้องการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ (5) ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก และ (6) ติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้ สป.พน. และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) สป.พน. ธพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันในส่วนของการตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
4.3 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4.4 เพื่อให้การดำเนินการตามแผนดังกล่าวมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
4.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้ กบง. ทราบ เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
4.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น ระยะเวลาการประกวดราคา 2 เดือนระยะเวลาการติดตั้ง 4 เดือน และ ระยะเวลาตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
4.7 ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 4.2 เป็นจำนวนเงินรวม 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น 1) ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท และ 2) ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG จำนวน 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
4.8 แผนงานนี้ สำหรับใช้ในการสนับสนุนรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1,200,000,000 บาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้คือ
1.1 กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
1.2 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ ในการเตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ
- ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก
- ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้เป็นไปตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบกและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการรถแท็กซี่
- กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบกซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง
- ตรวจสอบความถูกต้องการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้
- ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก
- ติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และกรมธุรกิจพลังงาน ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันในส่วนของการตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
1.3 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
1.4 เพื่อให้กระบวนการดำเนินการตามแผนดังกล่าวมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
1.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
1.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น
- ระยะเวลาการประกวดราคา 2 เดือน
- ระยะเวลาการติดตั้ง 4 เดือน
- ระยะเวลาตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 1.2 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น
2.1 ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา จำนวน 3,400,000 บาท
2.2 ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์ และถัง LPG จำนวนประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
3. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200,000,000 บาท (หนึ่งพันสองร้อยล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ เมื่อติดตั้งครบ 30,000 คันแล้ว และมีเงินคงเหลือ หากมีรถแท๊กซี่ต้องการเปลี่ยนเป็น NGV เพิ่มเติม ก็ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้ ธพ. ในการดำเนินโครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย ในวงเงิน 2,600,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะ 1,160 คัน ที่จดทะเบียนในต่างจังหวัดนอกเขตกรุงเทพฯ เพื่อป้องกันอุบัติภัยอันอาจเกิดจากถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะในส่วนภูมิภาค ซึ่งมีจำนวนผู้ตรวจและทดสอบไม่เพียงพอ โดยจัดจ้างผู้ตรวจและทดสอบรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) เพื่อตรวจและทดสอบรถยนต์โดยสารสาธารณะ ในนาม ธพ.
2. ธพ. ได้จัดจ้างคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อดำเนินโครงการฯ โดยมีระยะเวลา 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา ซึ่งได้ครบหนดระยะเวลาดำเนินการในวันที่ 7 มีนาคม 2552 ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ มีปัญหาอุปสรรคทำให้เกิดความล่าช้า เนื่องจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำเป็นต้องมีการนัดหมายล่วงหน้ากับผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะเป็นเวลานาน และมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามความจำเป็นของผู้ประกอบการฯ ทำให้การตรวจสอบรถโดยสารสาธารณะต้องล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ส่งมอบงานจ้างตามโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการ ตามการอนุมัติของกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้ว เป็นผลให้ ธพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายให้กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ฯ ได้
3. เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอขยายเวลาการดำเนินการ "โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย" ออกไปอีก 6 เดือน เป็นสิ้นสุดโครงการในวันที่ 7 กันยายน 2552
4. เนื่องจากฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเลื่อนวาระนี้มาจากการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 ทำให้ล่วงเลยเวลาที่ขอขยายเดิมแล้ว จึงเห็นควรให้ขยายเวลาสิ้นสุดโครงการเป็นวันที่ 30 กันยายน 2552
มติของที่ประชุม
อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ในการดำเนินโครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย ของกรมธุรกิจพลังงาน ออกไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 ภายในกรอบวงเงินเดิม จำนวนเงิน 2,600,000 บาท (สองล้านหกแสนบาทถ้วน) ที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551
เรื่องที่ 4 แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณ 1.20 บาท/ลิตร และ (2) เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 30
2. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 22 กันยายน 2552 (ราคาเอทานอลตามประกาศ กบง.)
หมายเหตุ : ราคาเอทานอล 20.21 บาท/ลิตร
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 22 กันยายน 2552 (ราคาเอทานอลตามราคาซื้อ-ขายจริง)
หมายเหตุ : ราคาเอทานอล 25.00 บาท/ลิตร
จากโครงสร้างราคาน้ำมันที่ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 (22.72 บาท/ลิตร) ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (31.04 บาท/ลิตร) ร้อยละ 27 และที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยอยู่ 7.13 บาท/ลิตร ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ที่ 3.07 บาท/ลิตร แต่เนื่องจากโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลปัจจุบันคำนวณที่ราคาเอทานอล 20.21 บาท/ลิตร ซึ่งราคาเอทานอลซื้อ-ขายจริงอยู่ที่ 25 บาท/ลิตร ทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้ค่าการตลาดต่ำกว่าโครงสร้างที่ สนพ. เผยแพร่ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 จากประมาณร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ค้าน้ำมันให้ขยายโครงข่ายให้กว้างขวางมากขึ้น
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับกองทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล E85
ยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ณ เดือนสิงหาคม 2552 มีปริมาณประมาณ 18,000 ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยในระดับ 7.13 บาท/ลิตร เทียบเท่า 128,340 บาท/เดือน หากปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร จะทำให้ภาระชดเชยเพิ่มขึ้นอีก 57,060 บาท/เดือน เป็นยอดชดเชยทั้งสิ้น 185,400 บาท/เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 40
2. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในอัตราลิตรละ 3.17 บาท จากเดิมชดเชย 7.13 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 10.30 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยให้รัฐบาลจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งทดแทนน้ำมันที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง) ในราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาท/ลิตร โดยจำหน่ายในพื้นที่ทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ยกเว้นรอบเกาะไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ทะเล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 โดยเพิ่มเติมในข้อ 2.1.1 ดังนี้ " กรณีพื้นที่ที่มีปัญหาในการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสะพานปลา ในการที่จะนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งเข้ามาจำหน่ายบริเวณใกล้ฝั่ง หรือสถานีที่องค์การสะพานปลากำกับดูแลบนฝั่ง" โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ไม่เกิน 15 ล้านลิตร/เดือน และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งออกไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 ) และเมื่อสิ้นสุดการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกตว่า ในการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือชาวประมง ต้องเกิดจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ปัจจุบันราคาน้ำมันไม่ได้เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชาวประมงให้เดือดร้อน แต่เป็นปัญหาจากราคาสัตว์น้ำที่ลดลง จึงควรจะใช้เงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ซึ่งเป็นเงินที่ใช้อุดหนุนเกษตรกร/ชาวประมงโดยตรง
3. กรมประมง ได้รายงานผลการดำเนินงานโครงการฯ ดังนี้ 1) การรับสมัครสมาชิกในโครงการฯได้ดำเนินการระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 โดยสมาชิกของโครงการฯ ที่แจ้งความจำนงไว้แล้วและผู้ที่จะเข้าร่วมใหม่สามารถสมัครได้ตามขั้นตอนและขบวนการเดิม และกรมประมงได้แจ้งให้หน่วยงานในภูมิภาคทราบและเริ่มดำเนินการโครงการฯ ต่อไปแล้ว และ 2) ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 มีสถานีจำหน่ายน้ำมันที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ 21 สถานี ใน 10 จังหวัด (จันทบุรี ตราด สงขลา ปัตตานี ชุมพร ชลบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สตูล และระนอง) จากเดิมที่เข้าร่วมโครงการฯ สั่งน้ำมันลงจำหน่าย 32 สถานี ใน 13 จังหวัด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พังงา ระยอง ระนอง สตูล สมุทรสงคราม สุราษฎร์ธานี และสมุทรสาคร) และในช่วงระยะเวลาโครงการฯ 6 เดือน (15 พฤษภาคม - 14 พฤศจิกายน 2552) ขณะนี้ยังไม่มีสถานีจำหน่ายน้ำมันสั่งซื้อน้ำมันในโครงการฯ เพื่อจำหน่าย
4. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการโครงการ สรุปได้ดังนี้ 1) น้ำมันเขียวและน้ำมันในโครงการฯ มีราคาแตกต่างกันมาก เนื่องจากรัฐบาลปรับภาษีสรรพสามิตจึงทำให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นและสูงกว่าน้ำมันเขียวถึงลิตรละ 10 บาท ทำให้ชาวประมงบางส่วนไปเติมน้ำมันเขียวแทน 2) น้ำมันดีเซล B5 มีราคาต่ำกว่าน้ำมันในโครงการฯ ประมาณ 1 บาท/ลิตร ทำให้ชาวประมงบางส่วนเลือกใช้น้ำมันที่ถูกกว่า และสถานีบริการเลือกจำหน่ายน้ำมันดีเซล B5 มากกว่าเนื่องจากได้ค่าการตลาดมากกว่าน้ำมันดีเซลในโครงการฯ 3) ค่าการตลาดของน้ำมันในโครงการฯ ต่ำ ซึ่งเดิม สนพ. กำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันลิตรละ 1.50 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทำให้สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันได้รับค่าการตลาดที่เหมาะสม แต่โครงการฯ ในปัจจุบันไม่ได้กำหนดโครงสร้างชัดเจน แต่ให้ใช้โครงสร้างราคาน้ำมันดีเซล B2 แล้วลดลงอีก 2 บาท/ลิตร ทำให้ค่าการตลาดไม่คงที่ 4) น้ำมันในโครงการฯ จำหน่ายได้เฉพาะเรือประมง และควบคุมปริมาณการจำหน่าย และ 5) โครงการฯมีระยะเวลาสั้นเกินไป (6 เดือน) ทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุน
5. เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2552 คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการด้านการประมง ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เรื่อง โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยขอให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เข้ามาใช้ในโครงการฯ และให้ลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงอีก 2 บาท/ลิตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมง
6. ในช่วงที่ผ่านมา การใช้น้ำมันในโครงการฯ (น้ำมันม่วง) อยู่ประมาณ 1,000,000 ลิตร/เดือน โดยเมื่อเทียบกับโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 การใช้น้ำมันม่วงทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการชดเชยเป็น 1.92 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยประมาณ 1,920,000 บาท/เดือน ส่วนการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการชดเชยเป็น 3.54 บาท/ลิตร คิดเป็นประมาณ 3,540,000 บาท/เดือน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าโครงการฯ จะสิ้นสุดในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งเหลือระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งเป็นระยะสั้น ดังนั้น เพื่อให้โครงการฯ ดำเนินการต่อไปได้ ควรให้ใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการฯ และให้ลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงอีก 2 บาท/ลิตร จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ จากนั้นเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้ว ต่อไปให้พิจารณาความเหมาะสมของปัญหาว่าต้องเกิดจากปัญหาราคาน้ำมันแพงเท่านั้น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้นำน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) โดยมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ปกติ 2 บาท/ลิตร จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2552 - 14 พฤศจิกายน 2552) โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2552 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการนำเรื่องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ต่อไป
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส ในเดือนสิงหาคม 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 71.34 และ 71.05 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.52 และ 6.95 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 68.38 และ 70.22 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 2.97 และ 0.83 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับข่าว U.S. Commodities Exchange (CME) กำหนดปริมาณซื้อขายในสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ประกอบกับ Petrobras ของบราซิลผลิตน้ำมันดิบในเดือนกันยายน 2552 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1.98 ล้านบาร์เรล/วัน
ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนสิงหาคม 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 82.11, 80.13 และ 79.02 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.28, 9.29 และ 7.94 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.27, 75.53 และ 75.60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 4.84, 4.60 และ 3.42 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและอินโดนีเซียมีแผนลดปริมาณนำเข้าน้ำมันเบนซินในเดือนตุลาคม 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองในประเทศยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินบริเวณ Amsterdam Rotterdam Antwerps สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 กันยายน 2552 ปรับสูงขึ้น อยู่ที่ 6.97 ล้านบาร์เรล
2. จากมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ได้มีมติให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 2.00 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 ลง 0.40 บาท/ลิตร ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2552 จากมาตรการดังกล่าวและสถานการณ์ราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E85 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.20 บาท/ ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร และในช่วงวันที่ 1-21 กันยายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 , แก๊สโซฮอล 95 E10, E20 , แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 1.10 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลงลด 0.90 และ 1.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการปรับราคา ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 อยู่ที่ระดับ 40.24, 34.64, 31.04, 28.74, 22.72, 30.24, 26.79 และ 25.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนกันยายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 75 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 577.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ปรับตัวสูงสุดในรอบ 11 เดือน ตามราคาน้ำมันดิบและราคาแนฟทาที่ปรับตัวสูงขึ้น และจากความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเชียมีจำนวนมากโดยเฉพาะจากจีนและอินโดนีเซีย ที่ระดับราคา LPG ณ โรงกลั่น 332.75 เหรียญสหรัฐ/ตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนสิงหาคม 2552 ที่ 34.1566 บาท/เหรียญสหรัฐ ทำให้ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 11.3658 บาท/กิโลกรัม แต่รัฐได้กำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตก๊าซ LPG ในประเทศ 0.0665 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้ ได้มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เมษายน 2551 - 20 กันยายน 2552 รวมทั้งสิ้น 831,117 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 10,451 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 13 ราย มีปริมาณการผลิตจริง 1.02 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนกันยายน ปี 2552 อยู่ที่ 20.21 บาท/ลิตร ในเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1 - 12 กันยายน 2552 มีปริมาณการจำหน่าย 11.50 และ 11.70 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการ 4,210 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.25 และ 0.24 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 233 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาท/ลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 4.45 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2552 อยู่ที่ 1.6 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนสิงหาคมและในช่วงวันที่ 1 - 27 กันยายน 2552 อยู่ที่ 27.31 และ 28.04 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนสิงหาคม และในช่วงวันที่ 1-12 กันยายน 2552 ปริมาณจำหน่าย 22.29 และ 21.73 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,466 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.40 บาท/ลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 กันยายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,647 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 12,762 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 12,425 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 336 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 18,886 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการมอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้มีอำนาจสั่งการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ ภายใต้ กบง. แทนคณะกรรมการฯ ทั้งนี้ให้รายงานผลให้คณะกรรมการฯ ทราบ ในการประชุมภายหลัง
2. ในช่วงปี 2551 - ปัจจุบัน ประธาน กบง. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. จำนวน 7 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า 2) คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน 3) คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 4) คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต 5) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 6) คณะอนุกรรมการพิจารณาการชดเชยราคา NGV และ 7) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย
3. นอกจากนี้ในปี 2552 กบง. ได้มีมติแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อรองรับการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องต่างๆ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ 1) คณะทำงานพิจารณาชดเชยเงินให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน และ 2) คณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 48 - วันอังคาร ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2552 (ครั้งที่ 48)
เมื่อวันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2552 นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้กระทรวงพลังงาน รับไปดำเนินการจัดทำมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชน กระทรวงพลังงานจึงได้จัดทำมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลขึ้น ซึ่งครอบคลุมภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคการผลิต และภาคครัวเรือน โดยมุ่งเน้นการลดค่าครองชีพของประชาชนเป็นหลัก รวมทั้งการลดต้นทุนการผลิตเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย
2. ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบจากแหล่งเวสต์เท็กซัส เบรนท์ และดูไบ ในช่วงของต้นปี 2552 ได้ปรับตัวอยู่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง 75 - 90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จนถึงสิ้นปี 2552 โดยมีเหตุผลมาจากกองทุนการเก็งกำไรที่คาดการณ์ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว และระดับราคาของน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 90 - 95 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จนถึงสิ้นปี 2552 หรือเทียบเท่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันดีเซลในประเทศในระดับที่สูงขึ้นจากปัจจุบัน 31 และ 29 บาท/ลิตร ตามลำดับ เป็นประมาณ 32 - 34 บาท/ลิตร
3. ปัจจุบันโครงสร้างราคาน้ำมันมีการจัดเก็บภาษี และเก็บเงินส่งเข้ากองทุนประเภทต่างๆ ดังนี้ 1) ภาษีประเภทต่างๆ ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 2) กองทุนประเภทต่างๆ ได้แก่ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่จัดเก็บเป็น 2 ส่วน คือ เก็บเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยจัดเก็บน้ำมันเบนซิน และดีเซลทุกชนิดอัตรา 0.25 บาท/ลิตร และ เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง โดยเก็บเฉพาะน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล อัตรา 0.50 บาท/ลิตร
4. กระทรวงพลังงานอาศัยกลไกของกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารและจัดการตามนโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทนและนโยบายการส่งเสริมการผลิตพลังงานให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันประเภทต่างๆ ในระดับที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นการส่งเสริมและจูงใจ เช่น การส่งเสริมการใช้เอทานอลและไบโอดีเซล จะกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนของน้ำมันที่มีเอทานอลหรือไบโอดีเซลมากในระดับที่ต่ำกว่าน้ำมันที่มีเอทานอลหรือไบโอดีเซลน้อย
5. ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2552 กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกองทุนสุทธิ 16,863 ล้านบาท (ไม่รวมเงินที่กระทรวงการคลังจะต้องจ่ายคืนให้แก่กองทุนน้ำมันฯ จากการดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ของรัฐบาลประมาณ 2,166 ล้านบาท) และมีเงินสดหมุนเวียนสุทธิ 3,104 ล้านบาท/เดือน ส่วนกองทุนอนุรักษ์ฯ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2552 มีเงินสดเหลือ 14,856 ล้านบาท (แยกเป็น เงินสำหรับการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 7,260 ล้านบาท และเงินสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 7,596 ล้านบาท) มีเงินสดหมุนเวียนสุทธิ 1,026 ล้านบาท/เดือน (แยกเป็น เงินสดหมุนเวียนสุทธิสำหรับการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 537 ล้านบาท/เดือน และสำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบขนส่ง 489 ล้านบาท/เดือน)
6. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ดังนี้
6.1 ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 2.00 บาท/ลิตร โดยอาศัยกลไกของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานควบคู่ไปกับกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ด้วยการบริหารและจัดการ ดังนี้
(1) ยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง ของทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันเก็บอยู่อัตรา0.50 บาท/ลิตร และให้โอนเงินที่ได้จัดเก็บไว้แล้วในส่วนนี้ประมาณ 7,596 ล้านบาท มาสมทบกับเงินสำหรับส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และลดอัตราจัดเก็บเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลสำหรับส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานจากที่เก็บอยู่ 0.25 บาท/ลิตร เหลือ 0.05 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2553 หลังจากนั้นให้กลับมาจัดเก็บในอัตราเดิม คือ 0.25 บาท/ลิตร รวมลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซล 0.70 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงได้ประมาณ 0.75 บาท/ลิตร
(2) ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 1.17 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 1.70 บาท/ลิตร เป็น 0.53 บาท/ลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงประมาณ 1.25 บาท/ลิตร โดยที่การยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ เพื่อทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงได้ประมาณ 0.75 บาท/ลิตร ตามข้อ (1) ควบคู่ไปกับการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อทำให้ราคาขายปลีกลดลงประมาณ 1.25 บาท/ลิตร ตามข้อ (2) รวมกันแล้วจะทำให้สามารถลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงได้ 2.00 บาท/ลิตร ทั้งนี้การดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 1.17 บาท/ลิตร จะส่งผลทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง ประมาณ 856 ล้านบาท/เดือน
(3) เพื่อจูงใจและส่งเสริมผู้ผลิต โดยให้มีค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 สูงกว่าน้ำมันดีเซล รวมทั้งจูงใจผู้ใช้น้ำมัน โดยทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล จึงจำเป็นต้องปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 อีก 0.58 บาท/ลิตร จากปัจจุบันซึ่งชดเชยอยู่ 0.23 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.81 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล 1.20 บาท/ลิตร ทั้งนี้การดำเนินการปรับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณ 421 ล้านบาท/เดือน
(4) เพื่อไม่ให้การดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ จึงต้องปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และน้ำมันเบนซิน 91 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 5.70 บาท/ลิตร เป็น 6.20 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับสูงขึ้นประมาณ 123 ล้านบาท/เดือน โดยที่การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันทั้ง 2 ประเภท จะไม่ส่งผลทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการปรับเพิ่มจะทำพร้อมไปกันกับการยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งของน้ำมันเบนซิน ในอัตรา 0.50 บาท/ลิตร เช่นเดียวกัน ทั้งนี้การดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 และปรับเพิ่มเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ดังกล่าว ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับรวมลดลงประมาณ 1,154 ล้านบาท/เดือน
6.2 ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG เป็นระยะเวลา 1 ปี (สิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553 ) กระทรวงพลังงานได้อาศัยกลไกการกำหนดราคาขายส่งให้คงที่ในระดับ 330 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือเทียบเท่า 10.99 บาท/กก. เพื่อทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG คงที่ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศต่ำกว่าต้นทุนการนำเข้าที่ปัจจุบันอยู่ในระดับประมาณ 550 เหรียญสหรัฐ/ตัน หรือเทียบเท่า 18.59 บาท/กก. ทำให้ผู้ผลิตและผู้ค้าก๊าซ LPG ขาดแรงจูงใจในการจัดหาและจำหน่ายก๊าซ LPG ในประเทศ และทำให้ปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ที่ระดับ 350,000 ตัน/เดือน จะไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ ในระดับประมาณ 74,000 ตัน/เดือน โดยเป็นภาระของกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเฉลี่ยประมาณ 10.00 บาท/กก. ทั้งนี้การดำเนินการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ต่อไปอีก 1 ปี คาดว่าจะเป็นภาระของกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 740 ล้านบาท/เดือน
6.3 มาตรการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ กระทรวงพลังงานได้จัดทำมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นทางเลือก โดยเฉพาะในกลุ่มของรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ในปัจจุบัน จำนวนรถแท็กซี่ที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป็น NGV ประมาณ 30,000 คัน โดยรถแท็กซี่ที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนส่วนใหญ่เป็นรถแท็กซี่ LPG กระทรวงพลังงานจึงเห็นควรกำหนดให้มีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่จำนวนประมาณ 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณคันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้การดำเนินการปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ให้มาใช้ NGV จะสามารถช่วยประเทศในการลดการใช้ก๊าซ LPG ได้ประมาณ 30,000 ตัน/เดือน คิดเป็นเงินที่สามารถช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน
6.4 ตรึงราคา NGV เป็นระยะเวลา 1 ปี (สิงหาคม 2552 - สิงหาคม 2553 ) กระทรวงพลังงานพิจารณาแล้วเห็นว่า NGV เป็นต้นทุนที่สำคัญต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งผลต่อค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนที่สำคัญต่อภาคขนส่ง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับ ปัจจุบันราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จึงได้มอบหมายให้ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดและจัดทำแผนการขยายเครือข่ายรวมทั้งส่งเสริมการใช้ NGV อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ NGV เป็นทางเลือกของประชาชนอย่างยั่งยืน ซึ่งได้พิจารณาแล้วเห็นควรที่จะตรึงราคาขายปลีก NGV ไว้ที่ระดับ 8.50 บาท/กก. ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี (ส.ค. 52 - ส.ค. 53)
เพื่อไม่ให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว กระทบต่อแผนการขยายเครือข่ายและส่งเสริมการใช้ NGV ประกอบกับมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550 ได้ให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา NGV โดยขอความร่วมมือจาก ปตท. ให้มีการกำหนดราคา NGV ในปี 2550 - 2551 ในระดับ 8.50 บาท/กก. แล้วจึงปรับราคา NGV ขึ้นแบบขั้นบันไดให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยในปี 2552 ปรับได้ไม่เกิน 12 บาท/กก. ปี 2553 ปรับได้ไม่เกิน 13 บาท/กก. และ ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไปจึงปรับตามต้นทุนที่แท้จริง กระทรวงพลังงานพิจารณาแล้วเห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานรับไปดำเนินการชดเชยราคาขายปลีก NGV จากการที่ ปตท. ต้องขาย NGV ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ในลักษณะเดียวกันกับแนวทางการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า นอกจากนั้นในการดำเนินการชดเชยดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550 ด้วย และมอบหมายให้ ปตท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการขยายเครือข่ายรวมทั้งส่งเสริมการใช้ NGV เพื่อให้ NGV เป็นทางเลือกของประชาชนโดยเร็ว ทั้งนี้การดำเนินการตรึงราคา NGV คาดว่าจะเป็นภาระต่อกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาขายปลีก NGV ที่ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน
6.5 มาตรการตรึงค่า Ft จนถึงเดือนสิงหาคม 2553 ปัจจุบันค่า Ft ที่ประชาชนต้องจ่ายจะอยู่ในระดับ 92.55 สตางค์/หน่วย ซึ่งประกอบด้วย ค่า Ft คงที่ 46.83 สตางค์/หน่วย และค่า Ft ที่เปลี่ยนแปลงไป (เดลต้า Ft) 45.72 สตางค์/หน่วย โดยปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับภาระค่า Ft แทนประชาชนประมาณ 20,000 ล้านบาท กระทรวงพลังงานจึงเสนอให้มีมาตรการตรึงค่า Ft เพื่อเป็นการลดภาระของประชาชน และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมตามที่ภาคอุตสาหกรรมได้ร้องขอ โดยกระทรวงพลังงานจะประสานการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รับไปดำเนินการในรายละเอียดกับ กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งในทางปฏิบัติก็สามารถดำเนินการได้โดยการขยายเวลาการจ่ายคืนภาระค่า Ft ให้กับ กฟผ. การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวจะทำให้สามารถคงค่า Ft ในระดับ 92.55 สตางค์/หน่วย ได้จนถึงเดือนสิงหาคม 2553 ทั้งนี้การตรึงค่า Ft จนถึงเดือนสิงหาคม 2553 โดยการขยายเวลาการจ่ายคืนภาระค่า Ft ให้กับ กฟผ. คิดเป็นวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท
6.6 การตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ การดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะในประเด็นการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ เพื่อทำให้ราคาน้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง 2 บาท/ลิตร และ 0.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ จำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมัน และสถานีบริการ เนื่องจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง ผู้ผลิตจะส่งเงินเข้ากองทุนฯ พร้อมกับชำระภาษีสรรพสามิต ก่อนที่จะมีการขนส่งไปจำหน่ายในคลังน้ำมันและสถานีบริการทั่วประเทศ ดังนั้น น้ำมันที่จำหน่ายและคงเหลืออยู่ในคลังน้ำมันและสถานีบริการ จึงเป็นน้ำมันที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ แล้วทั้งสิ้น เมื่อมีการลดอัตราเงินกองทุนฯ จะไม่มีผลย้อนหลังไปยังน้ำมันที่จำหน่ายและคงเหลืออยู่ในคลังน้ำมัน และสถานีบริการ ซึ่งส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไปแล้วในอัตราเดิม ทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเกิดผลการขาดทุนจากน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาสูง มาลดราคาจำหน่ายตามอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ที่ลดลง ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการจะลดปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาเก่าให้เหลือน้อยที่สุด หรือหยุดจำหน่ายชั่วคราว อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันได้
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จะต้องมีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่มีผลบังคับใช้ และมีการชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ โดยใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ซึ่งกรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ../2552 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับไปดำเนินการต่อไป
7. สรุปประมาณการวงเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะใช้วงเงินเพื่อการสนับสนุน ดังนี้ 1) กองทุนน้ำมันฯ จำนวนทั้งสิ้น 27,530 ล้านบาท แบ่งเป็น ลดราคาน้ำมันดีเซล 1,154 ล้านบาท/เดือน ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG 740 ล้านบาท/เดือน ตรึงราคา NGV 300 ล้านบาท/เดือน และโครงการเปลี่ยนแท็กซี่ เป็น NGV 30,000 คัน ภายใน 4 เดือน 300 ล้านบาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีเงินหมุนเวียนสุทธิ 3,104 ล้านบาท/เดือน ในกรณีที่ต้องสนับสนุนมาตรการดังกล่าวข้างต้น ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง 2,494 ล้านบาท/เดือน เหลือเงินหมุนเวียนสุทธิ 610 ล้านบาท/เดือน และ 2) กฟผ. รับภาระการยืดเวลาการจ่ายคืนค่า Ft ของประชาชนประมาณ 10,000 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 2.00 บาท/ลิตร โดยอาศัยกลไกของกองทุนอนุรักษ์ฯ ควบคู่กับกลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารและจัดการ ดังนี้
1.1 ยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งของทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ที่ปัจจุบันเก็บอยู่ในอัตรา 0.50 บาท/ลิตร และลดอัตราจัดเก็บเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลสำหรับส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน เหลือ 0.05 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2553 หลังจากนั้นให้กลับมาจัดเก็บในอัตราเดิม คือ 0.25 บาท/ลิตร
1.2 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ลง 1.17 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 1.70 บาท/ลิตร เป็น 0.53 บาท/ลิตร
1.3 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 อีก 0.58 บาท/ลิตร จากปัจจุบันซึ่งชดเชยอยู่ 0.23 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.81 บาท/ลิตร
1.4 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และน้ำมันเบนซิน 91 จำนวน 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบัน 5.70 บาท/ลิตร เป็น 6.20 บาท/ลิตร
1.5 มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับไปดำเนินการ ตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่มีผลบังคับใช้ และมีการชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
2. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล อยู่ที่ 7 บาท/ลิตร ขณะที่มาตรการตามข้อ 1 กำหนดให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 เป็น 7.50 บาท/ลิตร จึงไม่สามารถดำเนินการได้ ดังนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงาน ตามนโยบายของรัฐบาลได้ จึงเห็นควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และเบนซิน 91 เพิ่มขึ้นชนิดละ 0.50 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร ดังนั้น จากข้อ 1 และ ข้อ 2 อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะเป็นดังนี้
อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
หน่วย : บาท/ลิตร
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง +/- |
เบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 | +0.50 |
เบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 | +0.50 |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.27 | 2.27 | - |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.67 | 1.67 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E20 | -0.46 | -0.46 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E85 | -7.13 | -7.13 | - |
ดีเซลหมุนเร็ว B2 | 1.70 | 0.53 | -1.17 |
ดีเซลหมุนเร็ว B5 | -0.23 | -0.81 | -0.58 |
3. จากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลดลง ส่งผลทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเกิดผลการขาดทุนจากน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาก่อนปรับลดราคาขายปลีกมาจำหน่ายตามอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ที่ลดลง ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการจะลดปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ซื้อมาในราคาเก่าให้เหลือน้อยที่สุด หรือหยุดจำหน่ายชั่วคราว อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมัน จึงเห็นควรให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ออกประกาศ กำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงทั่วประเทศ และอัตราเงินชดเชย ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็น 27.69, 2.00 และ 2.00 บาท/ลิตร ตามลำดับ และสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 เป็น 26.49, 0.40 และ 0.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. จากการชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลดให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ ตามข้อ 3 คาดว่าจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระในการชดเชยประมาณ 1,406 ล้านบาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอดังนี้
5.1 เห็นควรปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากเดิม 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อ 2
5.2 เห็นควรให้ชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนปรับลดให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ จากมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ตามข้อ 3 ให้มีผลบังคับใช้ในวันเดียวกันกับวันที่ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเห็นชอบให้ปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากเดิม 7.00 บาท/ลิตร เป็น 7.50 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป
2. เห็นชอบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
หน่วย : บาท/ลิตร
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง +/- |
เบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 | +0.50 |
เบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 | +0.50 |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.27 | 2.27 | - |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.67 | 1.67 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E20 | -0.46 | -0.46 | - |
แก๊สโซฮอล 95 E85 | -7.13 | -7.13 | - |
ดีเซลหมุนเร็ว B2 | 1.70 | 0.53 | -1.17 |
ดีเซลหมุนเร็ว B5 | -0.23 | -0.81 | -0.58 |
3. เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้มาในราคาก่อนการปรับลดราคาขายปลีก ให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ จากมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล
ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ในวันเดียวกันกับวันที่ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหนึ่งในมาตรการดังกล่าว คือ การลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลง โดยการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนอนุรักษ์ฯ และให้ชดเชยผลการขาดทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ โดยจะต้องมีการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกใหม่ มีผลบังคับใช้ โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปดำเนินการ
2. กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ในน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่มีผลบังคับใช้ตามอัตราชดเชยที่ประกาศโดย สนพ. และเพื่อให้แน่ใจว่าปริมาณน้ำมันคงเหลือที่ได้รับเงินชดเชยเป็นปริมาณที่ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันก่อนวันที่ราคาขายปลีกใหม่ตามประกาศ สนพ. มีผลใช้บังคับ ถึงเวลา 06.00 น. ของวันถัดมา ดังนี้
2.1 คลังน้ำมันทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน
2.2 สถานีบริการน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจ
2.3 สถานีบริการน้ำมันในเขตต่างจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจัดตั้งคณะทำงานของแต่ละจังหวัด ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจ
ทั้งนี้ ในคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เป็นผู้แจ้งให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบถึงจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิแต่ละชนิดคูณด้วยอัตราเงินชดเชยที่ประกาศโดย สนพ.
3. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินการดังกล่าว จำนวนเงินรวม 6,153,420 บาทแบ่งเป็น (1) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี และระยอง (เจ้าหน้าที่ ธพ. ดำเนินการเอง) จำนวน 63,020 บาท (2) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ และคลังน้ำมันในจังหวัดอื่นๆ นอกเหนือจากข้อ (1) จำนวน 5,522,400 บาท และ (3) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ จัดทำเอกสาร และส่งหนังสือทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ จำนวน 568,000 บาท
4. จากการดำเนินการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือดังกล่าว ธพ. ได้มีข้อเสนอดังนี้
4.1 ขอความเห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ให้ ธพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันในวงเงิน 6,153,420 บาท (หกล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบบาท)
4.2 ขอความเห็นชอบให้ ธพ. เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ โดยให้สามารถเบิกถัวจ่ายระหว่างรายการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการให้เบิกจ่ายเป็นการเหมาได้ ตามอัตราในระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ พ.ศ.2550 ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2552 งบค่าใช้จ่ายอื่น ให้กรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน ในวงเงิน 6,153,420 บาท (หกล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2. เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้สามารถเบิกถัวจ่ายระหว่างรายการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการให้เบิกจ่ายเป็นการเหมาได้ ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ
ครั้งที่ 49 - วันพฤหัสบดี ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2552 (ครั้งที่ 49)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
3. การจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
4. แผนงานการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์
5. แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
6. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552
7. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. จากความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ส่งผลให้มีการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ โดยการนำเข้าที่คลังก๊าซ LPG เขาบ่อยา ของ ปตท. และส่งต่อให้กับลูกค้าในประเทศต่อไป แต่เนื่องจากคลังก๊าซเขาบ่อยาสามารถรับก๊าซที่นำเข้าได้สูงสุดไม่เกิน 60,000 ตัน/เดือน ถ้ามีความต้องการนำเข้าก๊าซ LPG เกิน 60,000 ตัน/เดือน ในส่วนที่เกินจะไม่สามารถนำเข้าได้ เพราะไม่มีคลังก๊าซรองรับ ซึ่งจะทำให้ก๊าซ LPG ในประเทศขาดแคลน
2. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้าก๊าซ LPG ในรูป Refrigerated Propane (C3) และ Butane (C4) โดยการใช้คลังลอยน้ำ (Floating Storage Unit: FSU) ชั่วคราวครั้งละประมาณ 15 - 30 วัน โดย ปตท. จะขนถ่ายก๊าซ LPG จากเรือ Refrigerated ที่นำเข้าลงเรือลำเลียงทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนที่จะนำก๊าซส่วนที่เหลือสูบขึ้นถัง ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา จากนั้นเรือ Refrigerated จะเดินทางกลับออกไปต่างประเทศเมื่อทำการสูบถ่ายก๊าซหมด ซึ่งปัญหาในการใช้คลังลอยน้ำ มีดังนี้ (1) กฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่มีในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการทำ Ship to Ship Operation (STS) กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ยังไม่มีระเบียบปฏิบัติ (2) ค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU
3. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับก๊าซ LPG ของคลังนำเข้าและขยายขีดความสามารถของการขนส่งและการกระจายก๊าซ LPG ของคลังภูมิภาค โดยมอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการเรื่องการใช้คลังลอยน้ำ (Floating Storage) และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปประสานกับกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สามารถผสมและถ่ายลำกลางทะเลในเขตน่านน้ำไทยได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2552 สนพ. ได้ประชุมร่วมกับ กรมธุรกิจพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมเห็นว่า การเช่าเรือ Refrigerated มาเพื่อใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU ชั่วคราว ครั้งละประมาณ 15 - 30 วัน เป็นวิธีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการได้มากกว่าการเช่าเรือ Refrigerated มาจอดทิ้งสมอเป็นเวลานาน อีกทั้งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมีเวลาดำเนินการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อรองรับการทำงาน ซึ่งคาดว่าจะเสร็จได้ทันในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2552
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้า ดังนี้
4.1 ให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมให้การสนับสนุน ดังนี้ (1) กรมศุลกากร เกี่ยวกับการกำหนดระเบียบปฏิบัติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการทำ STS เพื่อขนถ่าย LPG จาก FSU และอนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี รวมทั้งกำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS
(2) กรมสรรพสามิต เกี่ยวกับการอนุญาตให้ผลิต (ผสม) C3/C4 เป็น LPG ในเรือลำเลียง (อนุญาตให้ FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นโรงอุตสาหกรรมตามกฎหมายสรรพสามิต) หรือใช้วิธีดำเนินการอื่นที่สามารถดำเนินการได้และกำหนดระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการผลิต LPG ขณะที่เรือจอดกลางทะเล และอนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี รวมทั้งกำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS และ (3) กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม เกี่ยวกับการอนุญาตให้ ปตท. นำ FSU ไปจอดในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการทำ STS กรณีที่เรือลำเลียง LPG ที่ใช้ในประเทศไม่สามารถทำ STS ได้ อนุญาตให้นำเรือต่างชาติมาใช้เป็นเรือชายฝั่ง
4.2 เห็นชอบค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU โดยมอบหมายให้ สนพ. พิจารณาปรับเพิ่มหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่ายและการลงทุนในการดำเนินการนำเข้าโดยการใช้ FSU และการขนถ่ายระหว่างเรือ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมให้การสนับสนุน ดังนี้
- กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง
- กำหนดระเบียบปฏิบัติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการทำ STS เพื่อขนถ่าย LPG จาก FSU
- อนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี
- กำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS
- กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง
- อนุญาตให้ผลิต (ผสม) C3/C4 เป็น LPG ในเรือลำเลียง (อนุญาตให้ FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นโรงอุตสาหกรรมตามกฎหมายสรรพสามิต) หรือใช้วิธีดำเนินการอื่นที่สามารถดำเนินการได้และกำหนดระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการผลิต LPG ขณะที่เรือจอดกลางทะเล
- อนุญาตให้ใช้ปริมาณก๊าซที่ตรวจวัดได้จาก FSU และเรือลำเลียง LPG เป็นปริมาณที่ใช้ในการคำนวณภาษี
- กำหนดระเบียบปฏิบัติอื่นๆ (ถ้ามี) ในการดำเนินการ STS
- กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม
อนุญาตให้ ปตท. นำ FSU ไปจอดในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการทำ STS
กรณีที่เรือลำเลียง LPG ที่ใช้ในประเทศไม่สามารถทำ STS ได้ อนุญาตให้นำเรือต่างชาติมาใช้เป็นเรือชายฝั่ง
2. เห็นชอบค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU และค่าใช้จ่ายอื่นในการดำเนินการ โดยมอบหมายให้ สนพ. พิจารณาปรับเพิ่มหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเพิ่มเติมให้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่ายและการลงทุนในการดำเนินการนำเข้าโดยการใช้ FSU และการขนถ่ายระหว่างเรือ ตามที่เกิดขึ้นจริง
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. ได้มีมติเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินการตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 โดยให้คงราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับ ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 ของเดือนมีนาคม 2551 ไว้ จนถึงเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากนั้น ให้พิจารณาปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ (2) เห็นชอบให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ ณ ระดับราคาตามราคาอิงตลาดโลกในข้อ (1) แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระหนี้เงินชดเชยการนำเข้าก๊าช LPG จากต่างประเทศ และลดความต้องการใช้ก๊าช LPG โดยให้ ธพ. รับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติต่อไป (3) เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณสัดส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป (4) มอบหมายให้ ธพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ รวมทั้งการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการใช้ก๊าซ LPG ที่มิใช่การใช้ในภาคครัวเรือน โดยให้ ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้ สบพน. เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย (5) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราเงินชดเชยและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิต จำหน่ายและนำเข้ามาใช้ในประเทศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป และ (6) มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ตามข้อ (1) ข้อ (2) และข้อ (3) ได้ตามความเหมาะสม
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำและเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว ซึ่งจะเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ หากสถานการณ์ราคาน้ำมันได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ สนพ. นำมาพิจารณาในที่ประชุมใหม่อีกครั้ง และมอบหมายให้ สนพ. ไปพิจารณาแนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 กบง.ได้มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กบง. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ในประเด็น "การปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG" (2) เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้ ธพ. กรมสรรพสามิต และ สบพน. ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้ สนพ. นำเสนอ กบง.พิจารณาใหม่อีกครั้ง และ (3) มอบหมายให้ สบพน. พิจารณาจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG จากการนำเข้าในปี 2551 เป็นจำนวนเงินประมาณ 7,948 ล้านบาท ระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยภายใน 2 ปี โดยให้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชย หลังจากสิ้นสุดมาตรการการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ บรรเทาผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
3. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่องการปรับราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยที่ผ่านมาผู้ผลิตในประเทศทั้งจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงกลั่นน้ำมันต้องแบกภาระทั้งจากการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ และจากการกำหนดราคา ณ โรงกลั่นในประเทศต่ำกว่าราคาตลาดโลกเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ต้องจัดหาวัตถุดิบในราคาสอดคล้องกับราคาตลาดโลก ปตท. จึงขอให้มีการใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัวโดยใช้ค่าเฉลี่ยในแต่ละเดือนของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น (10.9960 บาท/กก.) เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงไป และจะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามอัตราแลกเปลี่ยนด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะไม่ให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG เปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้ามาบริหารจัดการ ดังนี้
3.1 กรณี 1 หากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยอยู่ระดับ 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ จะไม่ส่งผลกระทบต่อกองทุนน้ำมันฯ และรายได้ของผู้ผลิตก๊าซ LPG จะอยู่ที่ระดับเดิม
3.2 กรณี 2 หากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยอยู่ระดับต่ำกว่า 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้จากการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น แต่ผู้ผลิตก๊าซ LPG จะมีรายได้จากการผลิตก๊าซ LPG ลดลงจากเดิม
3.3 กรณี 3 หากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยอยู่ระดับสูงกว่า 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ส่งผลให้รายได้ของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง แต่ผู้ผลิตก๊าซ LPG จะมีรายได้จากการผลิตก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นจากเดิม
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอ ดังนี้ (1) เห็นควรให้คงอัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 33.0453 บาท/เหรียญสหรัฐ สำหรับใช้คำนวณราคา ก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเหมือนเดิม หรือ (2) เห็นควรให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยย้อนหลัง 1 เดือน สำหรับใช้คำนวณราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ กบง. มีมติเห็นชอบเป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อยู่ที่ระดับ 332.7549 เหรียญสหรัฐ/ตัน
2. เห็นชอบให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว สำหรับคำนวณราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในแต่ละเดือน โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยย้อนหลังในเดือนที่ผ่านมา 1 เดือน ของอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
3. เห็นชอบให้รักษาระดับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นสำหรับก๊าซ LPG และราคาขายก๊าซ LPG ณ คลังก๊าซเท่ากันทั่วประเทศ โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกลไกในการบริหารจัดการ
4. มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ต่อไป
ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2552 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 การจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. ได้มติให้จ่ายชดเชยราคานำเข้าก๊าซ LPG ตามปริมาณส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งในเดือนมีนาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถนำเข้าก๊าซ LPG ในปริมาณส่วนที่ขาดได้ จึงต้องนำก๊าซ LPG ที่โรงกลั่นน้ำมันใช้เอง (own use) ออกจำหน่าย และให้โรงกลั่นน้ำมันเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนก๊าซ LPGเช่น ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมันเตา โดย ธพ. ได้เจรจากับโรงกลั่นซึ่งยินดีให้ความร่วมมือ โดยขอให้ภาครัฐจ่ายเงินชดเชยราคาต้นทุนที่สูงขึ้นจากการใช้เชื้อเพลิงที่นำมาทดแทนก๊าซ LPG ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการจ่ายชดเชยราคาของเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้ ธพ. และ สนพ. รับไปพิจารณากำหนดแนวทางการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการชดเชยราคาก๊าซ LPG ให้ กบง. ทราบทุกครั้งในการประชุมด้วย
2. เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด (ARC) (ปัจจุบันแยกเป็น 2 บริษัท คือ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด) ได้มีหนังสือ ถึง ธพ. เรื่องการขอรับเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนก๊าซ LPG เพื่อนำก๊าซ LPG ออกมาจำหน่ายในประเทศ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลน LPG ในประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 และเพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 ธพ. สนพ. และ ARC ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG จากการนำก๊าซ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่น (own use) ออกจำหน่าย ซึ่งสามารถสรุปหลักเกณฑ์การคำนวณได้ดังนี้
จำนวนเงินชดเชย = Qlpg * (Pdiff + DC + T)
โดย Qlpg = ปริมาณก๊าซ LPG ที่จะขอชดเชยจากการนำ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่นออกมาจำหน่าย คำนวณจาก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศจริง หัก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศตามแผน
Pdiff = ผลต่างระหว่างราคาก๊าซธรรมชาติและราคา LPG
DC = ค่าสำรองความต้องการใช้ก๊าซ (Demand Charge)
T = ค่าขนส่ง LPG ทางเรือจากโรงกลั่นไปยังแหลมฉบัง ซึ่งทางโรงกลั่นต้องรับภาระในการขนส่งไปยังคลังก๊าซ LPG เท่ากับ 485 บาทต่อตัน
3. หลักเกณฑ์การคำนวณตามข้อ 2 สามารถนำมาคำนวณสรุปเงินชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 - สิงหาคม 2551 เป็นจำนวนเงินชดเชยทั้งสิ้น 200,988,012 บาท (เดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2551 ไม่มีการนำก๊าซ LPG ออกมาจำหน่ายในประเทศ เนื่องจากบริษัทฯ ประสบปัญหา LPG offspec จึงต้องนำไปเผาในกระบวนการกลั่น) และเมื่อเปรียบเทียบจำนวนเงินพบว่าภาระจากการชดเชยจากนำก๊าซธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ในโรงกลั่นน้ำมัน น้อยกว่า ภาระที่จะต้องชดเชยกรณีมีการนำเข้า LPG ได้ถึง 341,011,262 บาท ตามตารางดังนี้
ปริมาณ ที่ขอชดเชย (ตัน) |
ราคานำเข้า LPG รวมค่าขนส่ง (บาท/ตัน) |
ราคา LPG ในประเทศ (บาท/ตัน) |
ผลต่างราคา LPG (บาท/ตัน) |
มูลค่าชดเชย กรณีมีการนำเข้า (บาท) |
มูลค่าชดเชย จากการใช้ NG แทน LPG ในโรงกลั่น (บาท) |
|
มี.ค. 51 | 6,520 | 27,390.92 | 10,995.92 | 16,395.00 | 106,895,369 | 26,405,087 |
เม.ย. 51 | 522 | 27,095.44 | 10,995.92 | 16,099.52 | 8,403,948 | 2,244,548 |
ก.ค. 51 | 11,820 | 32,547.24 | 10,995.92 | 21,551.32 | 254,736,593 | 91,492,474 |
ส.ค. 51 | 8,511 | 31,200.76 | 10,995.92 | 20,204.84 | 171,963,364 | 80,845,904 |
รวม | 541,999,274 | 200,988,012 | ||||
ลดภาระการนำเข้า LPG ได้ (บาท) | 341,011,262 |
หมายเหตุ : ใช้ข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนกลาง (บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนมีนาคม เมษายน กรกฎาคม และสิงหาคม 2551 ของธนาคารแห่งประเทศไทย
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอคือ เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณปริมาณก๊าซ LPG ที่จะนำมาคำนวณเงินชดเชยและหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ตามข้อ 2 และ 3 และเห็นควรอนุมัติค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามข้อ 3 จำนวน 200,988,012 บาท โดยแบ่งเป็นบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 100,494,006 บาท และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด จำนวน 100,494,006 บาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณปริมาณก๊าซ LPG ที่จะนำมาคำนวณเงินชดเชยและหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยจากการนำก๊าซธรรมชาติเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทน LPG ซึ่งสามารถสรุปหลักเกณฑ์การคำนวณได้ดังนี้
จำนวนเงินชดเชย = Qlpg * (Pdiff + DC + T)
โดย Qlpg = ปริมาณก๊าซ LPG ที่จะขอชดเชยจากการนำ LPG ที่ใช้ภายในโรงกลั่นออกมาจำหน่าย คำนวณจาก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศจริง หัก ปริมาณการจำหน่าย LPG ในประเทศตามแผน
Pdiff = ผลต่างระหว่างราคาก๊าซธรรมชาติและราคา LPG
DC = ค่าสำรองความต้องการใช้ก๊าซ (Demand Charge)
T = ค่าขนส่ง LPG ทางเรือจากโรงกลั่นไปยังแหลมฉบัง ซึ่งทางโรงกลั่นต้องรับภาระในการขนส่งไปยังคลังก๊าซ LPG เท่ากับ 485 บาทต่อตัน
2. อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จำนวน 200,988,012 บาท (สองร้อยล้านเก้าแสนแปดหมื่นแปดพันสิบสองบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็นบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 100,494,006 บาท (หนึ่งร้อยล้านสี่แสนเก้าหมื่นสี่พันหกบาทถ้วน) และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด จำนวน 100,494,006 บาท (หนึ่งร้อยล้านสี่แสนเก้าหมื่นสี่พันหกบาทถ้วน)
เรื่องที่ 4 แผนงานการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้พลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ และกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ สนพ. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้เอทานอล โดย สนพ. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลตั้งแต่ปี 2550 เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในรถยนต์ ยังผลให้เดือนมกราคม 2552 ปริมาณการใช้เอทานอลเพิ่มเป็น 1.27 ล้านลิตร/วัน ต่อมาเดือนมิถุนายน 2552 สนพ. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะที่ใช้น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 เปลี่ยนทัศนคติมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91
2. เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2552 สนพ. ได้ว่าจ้าง บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ ในวงเงิน 19 ล้านบาท โดยมีแนวทางประชาสัมพันธ์ ดังนี้ 1) ภาคประชาชน : เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ หันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 โดยประชาสัมพันธ์ให้รับทราบข้อดีของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 2) ภาคผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง : เพื่อสร้างความมั่นใจต่อกลุ่มเป้าหมาย และ 3) ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ : เพื่อร่วมสร้างความมั่นใจ และตอกย้ำ ให้กลุ่มเป้าหมายเชื่อมั่นว่าการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ไม่มีผลกระทบกับเครื่องยนต์
3. ปัจจุบัน บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างดำเนินงานในโครงการ โดยแบ่งเป็น 1) แผนงานประชาสัมพันธ์และกิจกรรมที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ การผลิต และเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ ชุด "2 ล้อหน้าใส หัวใจโซฮอล" การผลิต Standee 500 ชิ้น และอยู่ระหว่างกระจายไปยังร้านจักรยานยนต์ทั่วประเทศ การผลิตและติดตั้งป้ายคัทเอ้าท์หน้า สนพ. จำนวน 2 ป้าย การผลิตของที่ระลึกโครงการ 30,700 ชิ้น และการจัดกิจกรรมแถลงข่าวเปิดตัวโครงการฯ (Press Preview) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน รวมทั้งการจัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ และคอนเสิร์ตศิลปินที่ จ.นครราชสีมา 2) แผนงานประชาสัมพันธ์และกิจกรรมที่อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการ ได้แก่ สัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านสื่อโทรทัศน์ 1 ครั้ง ผ่านสื่อวิทยุ 4 ครั้ง และสัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ 4 ครั้ง
4. สนพ. ได้จัดทำ "แผนงานการประชาสัมพันธ์น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยนต์ 4 จังหวะ (ต่อเนื่อง) โดยขอรับเงินสนับสนุนจากเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 21,000,000 บาท มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งสร้างการจดจำ และตอกย้ำความมั่นใจในการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ตลอดจนนำแนวคิด Music Marketing สานต่อกิจกรรมรณรงค์ในรูปแบบคอนเสิร์ตไปยังกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ให้เกิดการสร้างกระแสการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลกับกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนให้ความรู้ ความเข้าใจในน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ มีระยะเวลาดำเนินการ 6เดือน จะดำเนินการดังนี้ (1) ซื้อเวลารายการโทรทัศน์ ช่อง 3 5 7 9 และ NBT เพื่อนำภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์เผยแพร่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง (งบประมาณ 10.5 ล้านบาท) (2) จัดกิจกรรมรณรงค์ในรูปแบบคอนเสิร์ต 4 จังหวัดที่มีปริมาณรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ จำนวนมาก (งบประมาณ 10 ล้านบาท) และ (3) ดำเนินงานด้านสื่อมวลชนสัมพันธ์ อาทิ จัดสัมภาษณ์ผู้บริหารผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์อย่างเหมาะสม (งบประมาณ 0.5 ล้านบาท)
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 21,000,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
เรื่องที่ 5 แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. แนวคิดหลักในการจัดการขยะโดยทั่วไป ได้แก่ ทำการฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะอินทรีย์เป็นปุ๋ยหมัก (Organic Fertilizer) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะเป็นเชื้อเพลิง (Turn Waste into Energy) การคัดแยกเพื่อนำวัสดุไปแปรรูปในกระบวนการรีไซเคิล (Recycle) และการใช้เตาเผา (Incineration) ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมด้านต่างๆ อาทิ ประเภทของขยะ สถานที่ที่ใช้ในการจัดการขยะ ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และความพร้อมด้านการลงทุน แต่ปรากฏว่ามีขยะประเภทพลาสติกตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ
2. กระทรวงพลังงานได้สนับสนุนการแปรรูปขยะเป็นพลังงาน ในรูปแบบการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงแล้ว อัตรา 2.50 บาท/หน่วย โดยที่ยังมีปัญหาทางด้านขยะ ด้านการจัดหาพลังงานทดแทนน้ำมัน และต้นทุนที่แท้จริง รวมถึงความคุ้มค่าการลงทุนทั้งทางเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม สนพ. จึงเห็นควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด ยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" ที่เป็นการเผาในภาวะไร้อากาศจนได้น้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยมีการใช้ขยะพลาสติกเป็นวัตถุดิบ โดยมีแนวทางการส่งเสริม ดังนี้ (1) การกำหนดส่วนเพิ่ม (Adder) ราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ เป็นมาตรการจูงใจด้านราคาแก่ผู้สนใจลงทุนแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง และ (2) การสนับสนุนงานศึกษาวิจัยพัฒนาและสาธิต "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง" เพื่อเป็นโครงการนำร่อง
3. สำหรับเทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่ 1) กระบวนการแปรรูปขยะพลาสติกให้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการสลายโครงสร้างโมเลกุลพลาสติกที่อุณหภูมิสูง (Depolymerization) มีเทคโนโลยีที่ใช้ในต่างประเทศ 5 เทคโนโลยี คือ Pyrolysis Depolymerization, Thermal Depolymerization, Catalytic Depolymerization, Patented Fractional Depolymerization และ Thermo fuel System ซึ่งเทคโนโลยีที่มีโอกาสจะพัฒนาได้มากที่สุด คือ Pyrolysis Depolymerization เนื่องจากมีขั้นตอนที่ซับซ้อนน้อย และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำ รวมทั้งลงทุนน้อยที่สุด ด้วยระบบการทำงานที่อุณหภูมิและความดันต่ำ 2) ระบบการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมัน ประกอบด้วย ระบบ Front End สำหรับจัดการขยะ คัดแยก และทำการผลิตเป็น RDF (การผลิตเชื้อเพลิงขยะจากขยะพลาสติก : Refuse Derived Fuel) และระบบเตาปฏิกรณ์แปรรูปพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง (Pyrolysis Depolymerization)
4. เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2551 คณะอนุกรรมการกองทุนอนุรักษ์ฯ ได้มีมติเรื่อง "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" โดยเห็นชอบการกำหนดส่วนเพิ่ม (Adder) ราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากแปรรูปจากขยะ โดย 1) เห็นควรเพิ่มแรงจูงใจให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ โดยนำเงินกองทุนน้ำมันฯมาอุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ 2) จากการประเมินเงินลงทุนการแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน พบว่ามีค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท หากจำหน่ายน้ำมันที่ผลิตได้ในราคา 22 บาท/ลิตร จะมีระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 5 ปี (ราคาน้ำมันดิบในวันที่ 14 มกราคม 2551 อยู่ที่ 86.92 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือ 18.18 บาท/ลิตร อัตราแลกเปลี่ยน 33.2618 บาท/เหรียญสหรัฐฯ) 3) หลักเกณฑ์การคำนวณเงินอุดหนุนราคาน้ำมันที่ได้จากแปรรูปขยะ ใช้ราคาน้ำมันดิบดูไบเป็นเกณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีราคา 18.18 บาท/ลิตร เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันที่ได้จากการแปรรูปขยะ อัตราเงินอุดหนุนหรือเงินส่วนเพิ่มควรเริ่มตั้งแต่ 4 บาท/ลิตร ขึ้นไป แต่เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในช่วงแรกและช่วยบรรเทาภาวะความเสี่ยงในการลงทุนด้านเทคโนโลยีและคุณภาพน้ำมันที่จะได้รับ เห็นควรกำหนดราคาส่วนเพิ่มที่อัตรา 7 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาคืนทุนลดลงเหลือ 4 ปี และ 4) มอบหมายให้ สนพ. เสนอ กบง. ขอความเห็นชอบการกำหนดอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดิบให้โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในอัตรา 7 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยน้ำมันดิบที่โรงกลั่นรับซื้อและขอเงินอุดหนุนต้องมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าคุณภาพน้ำมันดิบดูไบ และให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. กำหนดอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ
5. เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 กบง. ได้เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน และให้มีการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ในอัตราไม่เกิน 7 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี แต่เนื่องจากนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ตามข้อ 2 ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ได้หมายความรวมถึงน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ดังนั้น เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ กบง. จึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนรัฐบาล จึงยังมิได้ดำเนินการแก้ไขนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ในคำสั่งนายกรัฐมนตรี จึงทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะได้
6. จากหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะในอัตราไม่เกิน 7 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันดิบต้องไม่ต่ำกว่า 85 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะจึงจะสามารถแข่งขันได้ แต่ราคาน้ำมันได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และอยู่ในระดับต่ำ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 สนพ. ได้พิจารณาเรื่อง นโยบายการกำหนดส่วนเพิ่ม (adder) ราคารับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยพิจารณาทบทวนต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะ และหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากขยะ ซึ่งสรุปค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการดำเนินการ ประกอบด้วย 1) เงินลงทุนรวม 8.00 ล้านบาท/ตันขยะพลาสติก ได้แก่ เงินลงทุนระบบแปรรูป 5.60 ล้านบาท/ตัน และเงินลงทุนระบบคัดแยก 2.40 ล้านบาท/ตัน และ 2) ค่าใช้จ่ายดำเนินการ 1.45 ล้านบาท/ตัน/ปี ซึ่งได้แก่ ค่าคัดแยกขยะ ค่า Catalyst ค่าพลังงาน และค่าแรงงาน เป็นต้น และจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการดำเนินการดังกล่าว ในอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 6.5 ระยะเวลาโครงการ 15 ปี และความสามารถผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกได้ 0.225 ล้านลิตร/ตัน/ปี (ประสิทธิภาพร้อยละ 60 และความหนาแน่น 0.8) สามารถคำนวณต้นทุนในการผลิตน้ำมันจากขยะตามกรณีต่างๆ ได้ดังนี้
หน่วย : บาท/ลิตร
กรณีระยะเวลา | ต้นทุน การผลิต |
ต้นทุนการผลิตรวมค่าขยะ (บาท/ตัน) | ||||
1,000 | 2,000 | 5,000 | 6,000 | 10,000 | ||
คืนทุน 15 ปี | 10.230 | 11.564 | 12.897 | 16.897 | 18.231 | 23.564 |
คืนทุน 6 ปี | 13.711 | 15.044 | 16.378 | 20.378 | 21.711 | 27.044 |
คืนทุน 5 ปี | 14.909 | 16.242 | 17.575 | 21.575 | 22.909 | 28.242 |
คืนทุน 4 ปี | 16.711 | 18.044 | 19.378 | 23.378 | 24.711 | 30.044 |
จากตารางข้างต้นพบว่า ระดับราคาขยะพลาสติกมีผลต่อการคำนวณต้นทุนน้ำมันจากขยะพลาสติกค่อนข้างมาก จากการสำรวจราคาขยะพลาสติกที่ซื้อขายสำหรับรีไซเคิลอยู่ที่ 5,000-6,000 บาท/ตัน (5-6 บาท/กิโลกรัม) อย่างไรก็ตาม ราคาขยะพลาสติกที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 2,000 บาท/ตัน เนื่องจากเป็นระดับราคาของการจัดการขยะพลาสติกจากหลุมฝังกลบและไม่กระทบต่อกระบวนการรีไซเคิล ทั้งนี้หากกำหนดระยะเวลาการสนับสนุน 5 ปี โดยคิดราคาขยะที่ระดับ 2,000 บาท/ตันขยะพลาสติก พบว่าต้นทุนน้ำมันจากขยะพลาสติกที่ควรนำมาใช้กำหนดโครงสร้างไม่ควรเกิน 18 บาท/ลิตร
7. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอว่า 1) เห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยให้ อัตราเงินชดเชย เท่ากับ 18 ลบด้วย ราคาน้ำมันดิบ (บาท/ลิตร) โดยที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 18 บาท/ลิตร จะไม่มีการชดเชย โดยมีระยะเวลาการชดเชย 5 ปี 2) ให้จำหน่ายให้เฉพาะโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยมอบหมายให้ สนพ. ธพ. ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะ และโรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ รับไปศึกษารายละเอียดคุณภาพน้ำมันจากขยะเพื่อใช้ในการซื้อขาย และการกำกับดูแลเพื่อมิให้จำหน่ายผิดประเภท และ 3 ) ขอความเห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ ดังนี้
อัตราเงินชดเชย = 18 - ราคาน้ำมันดิบ
โดยที่ อัตราเงินชดเชย = อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ (บาท/ลิตร)
น้ำมันดิบ = ราคา FOB ของน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้า (บาท/ลิตร)
อัตราแลกเปลี่ยน = อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (บาท/เหรียญสหรัฐ)
ทั้งนี้หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 18 บาท/ลิตร จะไม่มีการชดเชย โดยมีระยะเวลาการชดเชย 5 ปี
2. ให้จำหน่ายให้เฉพาะโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน ผู้ผลิตน้ำมันจากขยะ และโรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ รับไปศึกษารายละเอียดคุณภาพน้ำมันจากขยะเพื่อใช้ในการซื้อขาย และการกำกับดูแลเพื่อมิให้จำหน่ายผิดประเภท
3. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยให้รอผลการพิจารณา เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้าง NGV เพื่อจะได้แก้ไขนิยามคำว่า "น้ำมันเชื้อเพลิง" ไปในคราวเดียวกัน และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
เรื่องที่ 6 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการนำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนด้วย ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้พิจารณาเห็นชอบให้ทุนหมุนเวียนที่อยู่ในกำกับของกระทรวงพลังงาน คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. ในปี 2551 บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) ร่วมกับกรมบัญชีกลางได้ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยได้ติดตามและประเมินผลเฉพาะที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการในส่วนของรายรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่มี สบพน. เป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น ต่อมาคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนได้พิจารณาผลการประเมินการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ในปีงบประมาณ 2551 แล้วได้มีความเห็นว่า ควรประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านนโยบายบริหารกองทุนน้ำมันฯ ที่มี กบง. เป็นผู้กำกับดูแลด้วย
3. เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2552 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่ากองทุนน้ำมันฯ ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง ประจำปีบัญชี 2552 พร้อมทั้งได้จัดส่งบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ มาให้ และขอให้นำเสนอผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
4. เกณฑ์วัดผลการดำเนินงานประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ 1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัดย่อย ได้แก่ ร้อยละของการจัดหาเงินได้ตามความต้องการของกองทุนฯ ร้อยละของหนี้ค้างชำระเงินชดเชยลดลง และอัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ 2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ตัวชี้วัด คือ ระยะเวลาในการจ่ายเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุนฯ 3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตัวชี้วัด คือ ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ 4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย 4 ตัวชี้วัดย่อย ได้แก่ ระดับรายละเอียดของข้อมูลเงินส่งเข้ากองทุนฯ ร้อยละของบุคลากรที่เข้าร่วมพัฒนาบุคลากรตามแผนได้อย่างน้อย 6 หลักสูตร ร้อยละของบุคลากรที่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลการพัฒนาบุคลากรตามที่กำหนดไว้ และบทบาทของผู้บริหารกองทุนฯ
5. การประเมินบทบาทและการทำหน้าที่ของผู้บริหารกองทุนน้ำมันฯ ประกอบด้วย คณะกรรมการฯ 2 คณะ คือ กบง. และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ซึ่งพิจารณาจาก 2 ตัวชี้วัดย่อย ดังนี้ 1) บทบาทของคณะกรรมการฯ จากการดำเนินการ 2 กิจกรรม ภายในปีบัญชี 2552 ประกอบด้วย ร้อยละของจำนวนการประชุมคณะกรรมการฯ และมีมติที่เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการ และบทบาทของคณะกรรมการฯ ในการกำกับดูแลให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการฯ ภายในปีบัญชี 2552 ให้มีการรายงานเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม และ 2) บทบาทของคณะกรรมการฯ 2 คณะ ในด้านการกำกับดูแล โดยพิจารณาจากร้อยละของการดำเนินงานตามมติของที่ประชุม ที่มอบหมายให้ดำเนินการในปีบัญชี 2552
6. เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 อบน. ได้มีมติเห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 และเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 เสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานกับกรมบัญชีกลาง เพื่อปรับแก้เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2552 ตามข้อคิดเห็นของ อบน. ในส่วนตัวชี้วัดที่ 4.2 และ 4.3 เรื่อง ร้อยละของบุคลากรที่เข้าร่วมพัฒนาบุคลากรและผ่านเกณฑ์การประเมินผลการพัฒนาตามที่กำหนด โดยในปีบัญชี 2552 ให้ดำเนินการเฉพาะในส่วนบุคลากรของ สบพน. และ อบน. ได้มีข้อคิดเห็นว่าในปีต่อไป ควรมีการพิจารณาเกณฑ์การประเมินผลของกองทุนน้ำมันฯ โดยการหารือร่วมกันทุกฝ่ายก่อน หรือจัดตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สนพ. สบพน. และกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาเกณฑ์ประเมินผลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์กองทุนน้ำมันฯ ต่อไป
7. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอดังนี้ เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ เสนอประธาน กบง. ลงนามต่อไป และ เห็นชอบร่างคำสั่งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2552 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานลงนามต่อไป
2. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 7 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-24 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 71.46 และ 70.87 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.64 และ 6.77 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอยู่ที่ 1.416 เหรียญสหรัฐ/ยูโร และรัฐมนตรีน้ำมันเยเมน รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในปี 2552 จะเฉลี่ยที่ระดับ 287,000 บาร์เรล/วัน ลดลง ร้อยละ 4.3 จากปี 2551 ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-24 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 82.39, 80.40 และ 79.15 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.56, 9.55 และ 8.07 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่านนำเข้าน้ำมันเบนซินปริมาณ 4.43 ล้านบาร์เรล (147,000 บาร์เรล/วัน) ส่งมอบเดือนกันยายน 2552 ประกอบกับโรงกลั่น 16 แห่งในประเทศจีนมีแผนลดอัตราการกลั่นในเดือนสิงหาคม 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 88.6 จากระดับร้อยละ 90.4 ในเดือนกรกฎาคม 2552 ก่อนปิดซ่อมบำรุง รวมทั้งโรงกลั่น Balongan (125,000 บาร์เรล/วัน) ของ Pertamina ของอินโดนีเซีย ขยายเวลาซ่อมแซมถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2552
2. จากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ได้มีมติให้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ลง 2.00 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 ลง 0.40 บาท/ลิตร ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2552 จากมาตรการดังกล่าวและสถานการณ์ราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E85 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.20 บาท/ ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็ว ลงลด 0.40 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 41.34, 35.74, 32.14, 29.84, 22.72, 31.34, 27.69 และ 26.49 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนสิงหาคม 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 14 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 502.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบและ Arbitrage ส่งออก LPG จากตะวันออกกลางไปยุโรปปิด จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนกันยายน 2552 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 545 - 555 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากผู้ผลิตปิโตรเคมีในเอเชียเหนือ เช่น จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น มีความต้องการก๊าซ LPG เพื่อใช้ในการผลิตมากขึ้นเนื่องจากความแตกต่างของราคาแนฟทากับ LPG สูงขึ้น ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาท/กิโลกรัม และราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 14.6443 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - 25 สิงหาคม 2552 รวมทั้งสิ้น 764,269 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 9,820 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนมิถุนายน 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตจริง 11 ราย และมีปริมาณผลิตจริง 2.57 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ เดือนสิงหาคม ปี 2552 อยู่ที่ 21.29 บาท/ลิตร ในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม 2552 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 11.70 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการรวม 4,216 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.23 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 228 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาท/ลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 5.60 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม 2552 อยู่ที่ 1.57 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 27.27 บาท/ลิตร ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในช่วงวันที่ 1-15 สิงหาคม 2552 ปริมาณจำหน่าย 22.27 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,455 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.20 บาท/ลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2552 มีเงินสดในบัญชี 29,801 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 11,235 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,899 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 336 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 18,566 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 47 - วันพุุธ ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 10/2552 (ครั้งที่ 47)
เมื่อวันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมงบประมาณ ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 3
1. แนวทางการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันขึ้นในช่วงเวลานี้ กระทรวงพลังงานเห็นว่าควรใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงได้เชิญกรรมการมาประชุมเร่งด่วนในวันนี้
เรื่องที่ 1 แนวทางการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบจากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
ประธานฯ ได้ชี้แจงว่าขอให้การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมลับ เนื่องจากคาดการณ์ว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ รัฐบาลอาจมีความจำเป็นต้องออกพระราชกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยปัจจุบันเพดานภาษีสรรพสามิตน้ำมันอยู่ในระดับเต็มพิกัดตามที่กฎหมายเดิมกำหนดไว้ ซึ่งภาครัฐต้องการขยายเพดานภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพื่อเรียกเก็บเพิ่มขึ้นสำหรับเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ โดยยังไม่ได้กำหนดอัตราที่จะ เรียกเก็บเพิ่มขึ้นที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม หากปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่มขึ้น แล้วปล่อยให้เป็นไปตาม กลไกตลาด ราคาขายปลีกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นและจะต้องมีการตรวจสต็อกน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมทั้งอาจมีการกักตุนและเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมันขึ้นได้
กระทรวงพลังงานจึงขอหารือเพื่อหาแนวทางในการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่จะปรับเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยการปรับลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ เท่ากับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้น แล้วจึงทยอยปรับเพิ่มอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ภายหลัง จนครบจำนวนที่ปรับลดลง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เพื่อมิให้ราคาขายปลีกน้ำมันเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานสั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศต่อไป
2. หากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในช่วงขาลง มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ไม่เกินครั้งละ 0.80 บาทต่อลิตร ถ้าหากกรณีมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมัน ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาอีกครั้ง
ครั้งที่ 46 - วันศุกร์ ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2552 (ครั้งที่ 46)
เมื่อวันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เวลา 10.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การขอขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
2. การขออนุมัติให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลเป็นการชั่วคราว
5. โครงการส่งเสริมรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV)
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การขอขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยให้รัฐบาลจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งทดแทนน้ำมันที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง) ในราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาทต่อลิตร โดยจำหน่ายในพื้นที่ทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ยกเว้นรอบเกาะไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ทะเล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 โดยเพิ่มเติมในข้อ 2.1.1 ดังนี้ "กรณีพื้นที่ที่มีปัญหาในการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสะพานปลา ในการที่จะนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งเข้ามาจำหน่ายบริเวณใกล้ฝั่ง หรือสถานีที่องค์การสะพานปลากำกับดูแลบนฝั่ง" โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ไม่เกิน 15 ล้านลิตรต่อเดือน และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบในการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นโดยมีราคาต่ำกว่าน้ำมันดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร มาจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่ง 15 ล้านลิตรต่อเดือน (แทนการจัดหาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในราคาต่ำกว่าดีเซลปกติ 2 บาทต่อลิตร โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการ) และให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง 7 ล้านลิตรต่อเดือน รวมเป็น 22 ล้านลิตรต่อเดือน โดยกำหนดเวลาในการช่วยเหลือถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 และให้มีมาตรการตรวจสอบและควบคุมเป็นไปตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด
3. ผลการดำเนินงานโครงการฯ โดยจำหน่ายน้ำมันรวมทั้งสิ้น 7,917,000 ลิตร สรุปได้ ดังนี้
3.1 โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (ลด 2 บาทต่อลิตร) (ตั้งแต่มิถุนายน 2551- 14 สิงหาคม 2551) รวม 2,094,000 ลิตร ดังนี้ (1) เริ่มจำหน่ายน้ำมันบนฝั่ง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2551 (2) สถานีบริการน้ำมันเข้าร่วมโครงการฯ 56 สถานี (3) น้ำมันที่สั่งมาเพื่อจำหน่าย 2,094,000 ลิตร ในพื้นที่ 11 จังหวัด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด นครศรีธรรมราช ปัตตานี ระนอง ระยอง สตูล สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสุราษฎร์ธานี)
3.2 โครงการจำหน่ายน้ำมันที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่น (โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง) (ลด 3 บาทต่อลิตร) (ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2551- 30 พฤศจิกายน 2551) รวม 5,823,000 ลิตร ดังนี้
(1) โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง รวม 5,242,242 ลิตร มีเรือเข้าร่วมโครงการ 3,339 ลำ สถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการฯ 60 สถานี
(2) โครงการจำหน่ายน้ำมันให้แก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง รวม 580,758 ลิตร เริ่มจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2551 มีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งเข้าร่วมโครงการ 1,130 ราย สถานีบริการน้ำมัน เข้าร่วมโครงการฯ 10 สถานี
4. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีหนังสือขอขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น และราคาสัตว์น้ำไม่เป็นไปตามสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ชาวประมงประสบปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่องและต้องหยุดกิจการ จึงขอให้พิจารณาขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง ออกไปอีก 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 ถึง วันที่ 26 พฤศจิกายน 2552)
5. เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2552 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้หารือร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมประมง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมพิจารณาเห็นว่าจำเป็นที่ชาวประมงชายฝั่ง ต้องขอขยายระยะเวลาโครงการฯ ออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากต้นทุนของประมงน้ำลึกจะต่ำกว่าประมงชายฝั่ง (ราคาน้ำมันเขียวต่ำกว่าน้ำมันม่วงประมาณ 3 บาทต่อลิตร) และประมงน้ำลึกเป็นเรือขนาดใหญ่ ประสิทธิภาพการจับปลาสูงกว่าประมงชายฝั่ง ทำให้สัตว์น้ำที่จับได้มีขนาดใหญ่กว่าและมีราคาสูงกว่าประมงชายฝั่งที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งในราคาต่ำกว่าปกติ 2 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 1 ปี และมอบหมายให้กรมประมงจัดส่งข้อมูลราคาสัตว์น้ำของชาวประมงชายฝั่ง และราคาสัตว์น้ำเปรียบเทียบระหว่างประมงน้ำลึก (น้ำมันเขียว) และประมงน้ำตื้น (น้ำมันม่วง) ให้ สนพ. เพื่อนำเสนอ กบง. โดยราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนของประมงทะเล แยกตามประเภทและขนาดของเรือ เป็น 3 ประเภท คือราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนรวมเฉลี่ย 16.99 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนขนาดเรือน้อยกว่า 14 เมตร 16.39 บาทต่อลิตร และราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนขนาดเรือมากกว่า 14 เมตร 17.18 บาทต่อลิตร (ณ ราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 19.59 บาท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งออกไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ถึง 14 พฤศจิกายน 2552) และเมื่อสิ้นสุดการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการฯ ต่อไป
เรื่องที่ 2 การขออนุมัติให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลเป็นการชั่วคราว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล ดังนี้
ราคาเอทานอล = ราคาเอทานอลตลาดบราซิล + Freight + Insurance + Loss + Survey
จากหลักเกณฑ์ดังกล่าว ให้นำไปใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยมอบหมายให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
2. การกำหนดราคาเอทานอลของประเทศไทยให้สะท้อนกับราคาตลาดโลก จะอ้างอิงราคาเอทานอลของบราซิล โดยบราซิลได้กำหนดคุณสมบัติเอทานอลเพื่อใช้ในการค้าระหว่างประเทศคือ US Dollar-Denominated Ethanol Futures Contract Specifications โดยใช้รหัส ETN แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันและเอทานอลเพื่อใช้ในรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาลดลง จนไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าเอทานอลจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากบราซิล ทำให้ไม่มีรายงานการซื้อขายเอทานอล ในตลาดบราซิล ตามรหัส ETN ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2552 เป็นต้นมา ส่งผลให้ สนพ. ไม่สามารถออกประกาศราคาเอทานอลที่ใช้อ้างอิงสำหรับการซื้อขายเอทานอลระหว่างผู้ผลิตเอทานอลและผู้ค้ามาตรา 7 ในไตรมาส 2 ปี 2552 ได้
3. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2551 สมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่องสถานการณ์เอทานอล ราคาอ้างอิง และความอยู่รอด เพื่อให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมเอทานอลของประเทศ โดยเฉพาะราคาเอทานอลอ้างอิงที่ประกาศใช้ไม่สะท้อนต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้
4. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้มีมติเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล เพื่อใช้อ้างอิงในการซื้อ-ขายในประเทศImport Parity) มาเป็นระบบการคำนวณต้นทุนการผลิต (Cost Plus) เนื่องจากการใช้ราคาอ้างอิงจากบราซิลไม่สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง โดยราคาต้นทุนการผลิตของบราซิลต่ำกว่าต้นทุนการผลิตของไทย ทั้งจากปัจจัยทางด้านขนาดการผลิตของบราซิลใหญ่กว่าของไทย และรัฐบาลบราซิลอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเกษตรกร รวมทั้งการกำหนดคุณภาพเอทานอลของบราซิล (95%) อยู่ในระดับต่ำกว่าคุณภาพเอทานอลของไทย (99.5%) ต่อมาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2552 คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล และมันสำปะหลัง โดยมีหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล ดังนี้
โดยที่ PEth คือ ราคาเอทานอลอ้างอิง (บาท/ลิตร) ประกาศราคาเป็นรายเดือนทุกเดือน
PMol คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร)
PCas คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร)
QMol คือ ปริมาณการผลิตจากกากน้ำตาล (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือนเช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QCas คือ ปริมาณการผลิตจากมันสำปะหลัง (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QTotal คือ ปริมาณการผลิตทั้งหมด (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
โดยที่ คือ ต้นทุนกากน้ำตาลที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
คือ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร) เท่ากับ 6.125 บาท/ลิตร
หมายเหตุ : 1) ราคากากน้ำตาล เป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรโดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
2) กากน้ำตาล 4.17 กก. ที่ค่าความหวาน 50% เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
โดยที่ คือ ต้นทุนมันสำปะหลังที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
คือ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร) เท่ากับ 7.107 บาท/ลิตร
หมายเหตุ : 1) ใช้ราคามันสด เชื้อแป้ง 25 % ตามประกาศเผยแพร่โดยกรมการค้าภายใน เฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคามันสดเฉลี่ยวันที่ 16 เดือน 3 ถึง วันที่ 15 เดือน 4 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
2) มันเส้น 2.63 กิโลกรัม เปอร์เซ็นต์แป้งไม่น้อยกว่า 65 เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
3) หัวมันสด 2.38 กิโลกรัม ที่เชื้อแป้ง 25 % แปรสภาพเป็นมันเส้น 1 กิโลกรัม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
4) ค่าใช้จ่ายในการแปลงสภาพจากหัวมันสดเป็นมันเส้น 300 บาท/ตันมันเส้น ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
5. ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล และมันสำปะหลังเป็น ดังนี้
ต้นทุน (หน่วย: บาท/ลิตร) | กากน้ำตาล (CMol) | มันสำปะหลัง(CCas) |
Total Initial Investment Cost (ค่าลงทุนเบื้องต้น : ค่าเครื่องจักร ค่าที่ดิน ค่าระบบบำบัด ค่าใช้จ่ายและเงินทุนแรกเริ่ม และค่าอาคาร) 1) | 2.029 | 1.975 |
Chemicals and Process Water (ค่าสารเคมีและน้ำดิบ) 1) | 0.219 | 1.041 |
Utilities (ค่าพลังงาน/สาธารณูปโภค) 2) | 1.546 | 1.779 |
Maintenances (ค่าซ่อมบำรุง) 1) | 0.381 | 0.380 |
Insurances (ค่าประกันภัย) 1) | 0.173 | 0.174 |
Labor (ค่าแรงทางตรง) 3) | 0.434 | 0.434 |
Sales, General & Administrative Expenses (ค่าบริหารจัดการ) 1) | 0.496 | 0.499 |
Ethanol Production Cost (ต้นทุนการผลิต) | 5.278 | 6.282 |
Marketing Margin (ค่าการตลาด) | 0.847 4) | 0.825 4) |
Total Cost (ต้นทุนการผลิตรวม) | 6.125 | 7.107 |
หมายเหตุ
1) อ้างอิงข้อมูลจาก BOI ของโรงผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบแต่ละชนิด
2) ข้อมูลเฉลี่ยจาก พพ. , BOI และประมาณการตามสัดส่วนที่เสนอโดยสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอล
3) ประมาณการจากงบดุลปี 2550 ที่เสนอต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำหรับกำลังการผลิต 150,000 ลิตร/วัน คิดแรงงาน 100 คน ที่รายได้เฉลี่ย 15,000 บาทต่อเดือนและเงินเพิ่ม 1 เดือน โดยมีการปรับรายได้ร้อยละ 5 ต่อปี
4) IRR = 12.50 %
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอเพื่อขอความเห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอล ตามข้อ 4 เป็นการชั่วคราว และหากมีการประกาศราคาซื้อขายเอทานอลของประเทศบราซิลแล้วให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอ กบง. พิจารณาหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลอีกครั้ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลตามข้อ 4 เป็นการชั่วคราว 6 เดือน และหากมีการประกาศราคาซื้อขายเอทานอลของประเทศบราซิลหรือมีข้อมูลใหม่ ให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาก่อน 6 เดือนก็ได้
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันภาครัฐได้มีการกำกับดูแลต้นทุนของก๊าซ LPG โดยในส่วนของโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ กำกับดูแลโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ส่วนราคาก๊าซ ณ ปากหลุม กำกับดูแลโดยคณะกรรมการปิโตรเลียม และส่วนอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ กำกับดูแลโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน อย่างไรก็ตาม ในส่วนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนที่นำมาใช้ในการคำนวณราคาก๊าซ LPG โดยตรง ยังไม่มีการกำกับดูแลโดยหน่วยงานภาครัฐ
2. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้มีมติให้ สนพ. รับไปศึกษาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่เหมาะสม
3. เพื่อให้การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซ LPG มีความเหมาะสม และทราบถึงต้นทุนของโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่แท้จริง สนพ. ได้จัดทำแผนงานการศึกษาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติสำหรับการกำหนดราคาก๊าซ LPG ตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และเพื่อกำหนดราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศอย่างเป็นธรรมและเหมาะสม โดยมีขอบเขตการศึกษาวิจัยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) การศึกษาวิจัยต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยศึกษาและรวบรวมข้อมูลแหล่งวัตถุดิบก๊าซ LPG ในระดับประเทศและต่างประเทศ ศึกษาวิจัยเทคโนโลยีและขบวนการผลิตก๊าซ LPG ในโรงแยกก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งศึกษาวิจัยค่าใช้จ่ายและต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำมาวิเคราะห์ต้นทุนเชิงเปรียบเทียบ ศึกษาทบทวนระเบียบ กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง และเสนอแนะรูปแบบและโครงสร้างต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่เหมาะสม วิเคราะห์ความต้องการ ความคาดหวัง และอิทธิพลของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมทั้งเสนอแนะกลยุทธ์การบริหารจัดการผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อลดอุปสรรค และเพิ่มแรงเสริมเพื่อพัฒนานโยบายการกำหนดราคาก๊าซ LPG และ 2) จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการและดูงาน ทั้งนี้มีลักษณะการดำเนินการเป็นการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาวิจัยต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน 6 เดือน (180 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญา และใช้งบประมาณในวงเงิน 35,000,000 บาท โดยมี สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัย เรื่องการศึกษาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติสำหรับการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ในวงเงิน 35,000,000 บาท (สามสิบห้าล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินงาน 6 เดือน (180 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง.ได้มีมติอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนเงินรวม 162.8855 ล้านบาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2552 - 2555 ปีละ 300 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตได้รับอนุมัติเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในปีงบประมาณ 2552 เป็นจำนวนเงิน 2.6068 ล้านบาท
2. ปัจจุบัน กรมสรรพสามิตได้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงาน โดยแยกหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลงานเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันฯ ออกเป็นหน่วยงานใหม่ เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบและรวบรวมระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเงิน การขอรับเงินคืน และการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อรองรับในการตรวจสอบ กำกับ และติดตาม ทั้งในหน่วยงานของกรมสรรพสามิต และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับอัตรากำลังของผู้ปฏิบัติงานในปัจจุบันมีไม่เพียงพอกับปริมาณงาน
3. เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2552 กรมสรรพสามิตได้มีหนังสือเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2552 ในการดำเนินโครงการการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ในวงเงิน 450,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน (เมษายน 2552 - ธันวาคม 2552) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางระบบข้อมูลและจัดสร้างฐานข้อมูลในการตรวจสอบการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ การขอรับเงินคืน และการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของผู้ค้าน้ำมันทั่วประเทศ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 4 ส่วน คือ
3.1 สร้างฐานข้อมูลการรับเงินจากผู้ผลิตน้ำมันทั่วประเทศ ในกรณีที่ กบง. ประกาศกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
3.2 สร้างฐานข้อมูลการจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ที่จ่ายให้กับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ในกรณีที่ กบง. กำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
3.3 นำระบบฐานข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ข้อมูลการส่งเงิน การขอรับเงินคืน และการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ กรณีตรวจพบความผิดปกติ เพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ
3.4 นำระบบฐานข้อมูลไปใช้ในการตรวจปฏิบัติการและการติดตามตรวจสอบผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศที่ส่งเงินและ/หรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้กรมสรรพสามิต เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ในวงเงินรวม 400,000 บาท (สี่แสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 - ธันวาคม 2552
เรื่องที่ 5 โครงการส่งเสริมรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งได้มีมติดังนี้
1.1 เห็นชอบให้มีการส่งเสริมการใช้น้ำมัน E85 เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติในระยะเวลาที่กำหนดตามแผนปฏิบัติการการส่งเสริมการใช้ E85 ครบวงจร โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินงานและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
1.2 เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ลดอากรนำเข้าจากร้อยละ 80 เหลือเป็นร้อยละ 60 สำหรับรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV) ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ที่จะนำเข้าประเทศไทย ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552
1.3 เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ที่ผลิต และต้องจำหน่ายภายในราชอาณาจักร ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และหลังจากวันที่ 31 ธันวาคม2553 เป็นต้นไป มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ FFV ให้สอดคล้องกับโครงสร้างภาษีรถยนต์ประเภทอื่นทั้งระบบต่อไป
2. ปัจจุบันโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ใช้อัตราเดียวกันกับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง E20 โดย
กรณีนำเข้า คิดอัตราร้อยละ 25 หรือ 30 แล้วคำนวณตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต สำหรับรถยนต์ขนาดความจุของกระบอกสูบ ไม่เกิน 2,000 ซีซี หรือไม่เกิน 2,500 ซีซี ตามลำดับ และกรณีผลิตในประเทศ คิดอัตราร้อยละ 25 30 หรือ 35 แล้วคำนวณตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต สำหรับรถยนต์ขนาดความจุของกระบอกสูบ ไม่เกิน 2,000 ซีซี ไม่เกิน 2,500 ซีซี หรือไม่เกิน 3,000 ซีซี ตามลำดับ
3. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จะดำเนินโครงการส่งเสริมรถยนต์ FFV โดยจะออกประกาศเชิญชวนให้ผู้นำเข้าและผู้ผลิตรถยนต์เข้าร่วมโครงการฯ โดยแบ่งเป็น2 ช่วง คือช่วงที่ 1 เริ่มตั้งแต่ประกาศเชิญชวนของ พพ. มีผลบังคับใช้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 โดยส่งเสริมการนำเข้ารถยนต์ FFV โดยจำกัดขนาดความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี จำนวนรวมไม่เกิน 2,000 คัน และส่งเสริมการผลิตรถยนต์ FFV ภายในประเทศโดยไม่จำกัด ซีซี และจำนวนคัน และช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 - 31 ธันวาคม 2553 เป็นการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ FFV ภายในประเทศโดยไม่จำกัด ซีซี และจำนวนคัน
4. จากข้อมติคณะรัฐมนตรีฯ ในข้อ 1.3 เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ในอัตราร้อยละ 3 และจากโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ในเบื้องต้น ประมาณการงบประมาณในการชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 รวมเป็นเงิน 352,528,850 บาท และ ค่าบริหารจัดการโครงการฯ เพื่อดำเนินการและเผยแพร่ข้อมูลโครงการฯ คิดเป็นเงินรวม 4,500,000 บาท ดังนั้น ค่าใช้จ่ายรวมของโครงการ คิดเป็นเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 357 ล้านบาท
5. การชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ร้อยละ 3
5.1 กรณีนำเข้า
(1) ผู้นำเข้ารถยนต์ FFV ยื่นเอกสารภายใน 30 กันยายน 2552 เพื่อขอเป็นผู้เข้าร่วมโครงการต่อ พพ. หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง พพ. จะมีหนังสือเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการ
(2) การนำเข้าแต่ละครั้ง ผู้นำเข้าต้องยื่นเอกสารต่อ พพ. เพื่อขอรับสิทธิในโครงการภายใน 10 วันทำการนับแต่วันที่ส่งออกจากประเทศต้นทาง หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง พพ. จะมีหนังสือเห็นชอบ ให้ผู้นำเข้ารับสิทธิในโครงการฯ และระบุลำดับที่รถยนต์ FFV ที่ได้รับสิทธิ โดยผู้ที่ยื่นเอกสารถูกต้องและครบถ้วนก่อนย่อมได้รับสิทธิก่อน และ พพ.จะใช้เวลาพิจารณาเอกสารไม่เกิน 10 วันทำการ ทั้งนี้หากเกิดค่าใช้จ่ายใดๆ ขึ้น ผู้นำเข้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียว
(3) ผู้นำเข้ายื่นหนังสือที่ พพ. เห็นชอบตามข้อ 5.1(1) และ 5.1(2) และชำระอากรนำเข้า ภาระภาษีต่างๆ ต่อกรมศุลกากร กรมศุลกากรคำนวณส่วนต่างภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 และอนุญาตการตรวจปล่อย ทั้งนี้หากผู้นำเข้าไม่นำหนังสือที่ พพ. เห็นชอบไปยื่นต่อกรมศุลกากรภายใน 30 วัน นับจากวันที่รถยนต์ FFV เข้ามาในราชอาณาจักร หนังสือฉบับนั้นเป็นอันยกเลิกต้องเริ่มต้นขอรับสิทธิใหม่เพื่อป้องกันการกันสิทธิผู้อื่น และหนังสือเห็นชอบ 1 ฉบับ ให้ใช้ได้กับการนำเข้าเพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากมีรถยนต์มาไม่พร้อมกัน ให้ใช้กับรถยนต์ชุดแรกก่อน ที่เหลือต้องเริ่มใหม่
(4) ผู้นำเข้าต้องนำเข้ารถยนต์ FFV ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และยื่นเอกสารการชำระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ที่ออกโดยกรมศุลกากร เอกสารระบุ ยี่ห้อ รุ่น สี ขนาดความจุกระบอกสูบ หมายเลขเครื่องยนต์ หมายเลขตัวถัง ประเทศผู้ผลิต โดยต้องเป็นยี่ห้อ รุ่น ที่บริษัทผู้ผลิตและออกแบบรถยนต์รับรองตามข้อ 5.1(1) เอกสารเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการ เอกสารเห็นชอบขอรับสิทธิในโครงการ และเอกสารแสดงการจำหน่ายให้ พพ. ตรวจสอบภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 เพื่อจ่ายเงินชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 ตามที่กรมศุลกากรแจ้ง และ พพ. จะเผยแพร่สถานภาพโครงการ ราคารถยนต์ FFV ทั้งกรณีที่มิได้เข้าร่วมและเข้าร่วมโครงการ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการและประชาชนทราบ
5.2 กรณีผลิตภายในประเทศ
(1) ผู้ผลิตรถยนต์ FFV ยื่นเอกสารภายในวันที่ 30 กันยายน 2553 เพื่อขอเป็นผู้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิในโครงการต่อ พพ. หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง พพ. จะมีหนังสือเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิในโครงการ โดยจะใช้เวลาพิจารณาเอกสารไม่เกิน 10 วันทำการ
(2) ผู้ผลิตยื่นหนังสือที่ พพ.เห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิตาม ข้อ 5.2(1) และชำระภาษีสรรพสามิต ภาระภาษีต่างๆ ต่อกรมสรรพสามิต กรมสรรพสามิตคำนวณส่วนต่างภาษีสรรพสามิต ร้อยละ 3 และอนุญาตการตรวจปล่อย
(3) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ผู้ผลิตรถยนต์ FFV ต้องยื่นเอกสารการชำระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ที่ออกโดยกรมสรรพสามิต เอกสารระบุ ยี่ห้อ รุ่น สี ขนาดความจุกระบอกสูบ หมายเลขเครื่องยนต์ หมายเลขตัวถัง โดยต้องเป็นยี่ห้อ รุ่น ที่บริษัทผู้ผลิตและออกแบบรถยนต์รับรองตามข้อ 5.2(1) เอกสารเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิในโครงการ และเอกสารแสดงการจำหน่ายให้ พพ. ตรวจสอบ เพื่อจ่ายเงินชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 ตามที่กรมสรรพสามิตแจ้ง และ พพ. จะเผยแพร่สถานภาพโครงการ ราคารถยนต์ FFV ทั้งกรณีที่มิได้เข้าร่วมและเข้าร่วมโครงการ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการและประชาชนทราบ
6. การติดตามความก้าวหน้า จัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามความก้าวหน้าการส่งเสริมรถยนต์ FFV เพื่อประเมินผลและรายงานให้ กบง. ทราบทุกไตรมาสจนเสร็จสิ้นโครงการฯ
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับโครงการส่งเสริมรถยนต์ FFV ในวงเงิน 357 ล้านบาท (สามร้อยห้าสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็นเงินชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 จำนวน 352.5 ล้านบาท และเป็นเงินเพื่อบริหารจัดการโครงการฯ จำนวน 4.5 ล้านบาท ให้กับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานดำเนินการด้วยการว่าจ้าง และหรือ ดำเนินการเอง ซึ่งแต่ละวิธีสามารถแยกดำเนินการเป็นหลายรายการได้
2. มอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานดำเนินโครงการส่งเสริมรถยนต์ FFV และเป็นผู้จ่ายเงินชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 ทั้งนี้ให้สามารถปรับรายละเอียดและแนวทางการบริหารจัดการของโครงการได้ เพื่อให้ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบของกระทรวงการคลัง
3. เนื่องจากรถยนต์ FFV มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่น และหลายซีซี (ยกเว้นรถนำเข้าต้องไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี เท่านั้น) ราคารถยนต์ FFV จึงมีความแตกต่างกัน ทำให้จำนวนเงินชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 ต่อคัน แตกต่างกันด้วย ดังนั้นการเบิกจ่ายเงินชดเชยฯ ให้เบิกจ่ายตามจริงตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต และเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2554
4. การชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ประกาศกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เรื่อง "การขอรับเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 พ.ศ. 2552" มีผลบังคับใช้
5. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาข้อกำหนดลักษณะของรถยนต์ FFV ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบมลพิษที่จะต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภทที่บริษัทผู้ผลิตให้การรับรอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในเรื่องการ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษและการประหยัดพลังงาน
เรื่องที่ 3.6 การแต่งตั้งและยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. ขอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต
1.1 จากมาตรการลดภาษีสรรพสามิต เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ก่อนวันดังกล่าว และทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้กำไรส่วนเกินจากปริมาณน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ก่อนวันที่ราคาปรับเพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่ง ที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อจ่ายเงินชดเชยให้เจ้าของสถานีบริการในกรณีปรับลดภาษีสรรพสามิต ซึ่งกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการยื่นหนังสือขอรับเงินชดเชยจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ลงในหนังสือของ ธพ. ซึ่งแจ้งจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุนน้ำมันฯ
1.2 หลังสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิตในวันที่ 31 มกราคม 2552 ซึ่งภาษีสรรพสามิตและราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องปรับเพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งที่ 1/2552 ลงวันที่ 28 มกราคม 2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันทยอยปรับเพิ่มขึ้นหลายครั้งตามความเหมาะสม แทนการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 เพียงครั้งเดียว
1.3 จากการดำเนินการ ได้พบปัญหาเกี่ยวกับการขอรับเงินชดเชยที่ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้กับผู้ค้าน้ำมันได้ ได้แก่ ปัญหาเรื่องความไม่ครบถ้วนของเอกสารประมาณ 2,000 ราย และปัญหาทางข้อกฎหมายของผู้ประกอบการ ธพ. จึงเห็นควรแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, กรมบัญชีกลาง, สบพน., สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน, สนพ. และ ธพ. เพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว แล้วจึงนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 ข้อ 11 ที่กำหนดว่า ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาวินิจฉัยและให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
2. ขอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งเห็นควรให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอนโยบายมาตรการสนับสนุนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งติดตามการดำเนินงานตามนโยบายเพื่อเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบ สนพ. จึงได้ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ดังนี้
2.1 องค์ประกอบ มีปลัดกระทรวงพลังงาน หรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทน ผู้อำนวยการ สนพ. หรือผู้แทน อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานหรือผู้แทน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือผู้แทน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือผู้แทน ผู้ว่าการการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งหรือผู้แทน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
2.2 อำนาจหน้าที่ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ เสนอแนะนโยบายและมาตรการสนับสนุนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบ และติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาจากการดำเนินงานตามนโยบาย ทั้งนี้ การปฏิบัติงานของคณะอนุกรรมการฯ ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อ กบง. ทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม
3. การยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
3.1 เพื่อช่วยปฏิบัติงานการเสนอนโยบายและการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า กบง. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 7 คณะ ดังนี้ (1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ (2) คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า (3) คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า (4) คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (5) คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า (6) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก และ (7) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
3.2 ต่อมาได้มีการปรับโครงสร้างบริหารกิจการพลังงาน โดยแยกงานนโยบาย งานกำกับดูแล และการประกอบกิจการพลังงานออกจากกันให้ชัดเจนตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลอัตราค่าบริการ มาตรฐานการให้บริการ และมาตรฐานทางวิศวกรรมและความปลอดภัย และกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน ให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. ไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินการกำกับกิจการไฟฟ้าของ กกพ. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอยกเลิกคณะอนุกรรมการ 4 คณะ จาก 7 คณะ ดังนี้ (1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและบริการ (2) คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า (3) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก และ (4) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต
2. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
3. เห็นชอบให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน จำนวน 4 คณะ ดังนี้
3.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและบริการ
3.2 คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า
3.3 คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
3.4 คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 45.59 และ 48.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 2.50 และ 8.84 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 27 เมษายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50.26 และ 49.68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 54.20 และ 53.14 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 3.77 และ 2.28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และในช่วงวันที่ 1 - 27 เมษายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95และ 92 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 61.20, 59.01 และ 58.39 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและคาดว่าโรงกลั่นในเอเชียจะลดอัตราการกลั่นในเดือนพฤษภาคมเนื่องจากค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลง
2. เดือนมีนาคม 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร, เบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 2.10 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 2.60 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล 95 E20, E85 และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.60 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3.10 บาทต่อลิตร ต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 28 เมษายน 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 28 เมษายน 2552 อยู่ที่ระดับ 37.14, 30.04, 26.24, 23.94, 21.29, 25.44, 22.79 และ 19.79 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 63 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 399.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม และราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 14.6443 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - เมษายน 2552 รวมทั้งสิ้น 497,719.56 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 8,180 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนมีนาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตจริง 10 ราย และมีปริมาณผลิตจริง 1.27 ล้านลิตรต่อวัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ ไตรมาส 2 ปี 2552 อยู่ที่ 17.18 บาทต่อลิตร ในเดือนมีนาคมและช่วงวันที่ 1-18 เมษายน 2552 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 12.10 และ 12.50 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากสถานีบริการรวม 4,178 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.17 ล้านลิตรต่อวัน จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 188 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาทต่อลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนมีนาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 5.60 ล้านลิตรต่อวัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในเดือนมีนาคมและในช่วงวันที่ 1-18 เมษายน 2552 อยู่ที่ 1.71 และ 1.62 ล้านลิตรต่อวัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 26.96 และ 24.96 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ปริมาณ 21.89 และ 21.68 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ สถานีบริการรวม 2,866 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.20 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 3.00 บาทต่อลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 เมษายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 25,252 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 10,669 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,259 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 410 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 14,583 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณ 1.20 บาทต่อลิตร และ (2) เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 30
2. จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 (18.02 บาทต่อลิตร) ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (25.74 บาทต่อลิตร) ร้อยละ 30 และอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยอยู่ 5.70 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 และ E85 อยู่ที่ 2.59 และ 0.85 บาทต่อลิตร ตามลำดับ เนื่องจากราคาเอทานอลปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น เพื่อให้โครงสร้างน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นไปตามมติ กบง. ตามข้อ 1 จึงเห็นควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 8 บาทต่อลิตร ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2552 ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ที่ 3.15 บาทต่อลิตร สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ค้าน้ำมันให้ขยายโครงข่ายให้กว้างขวางมากขึ้น
3. ยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ณ เดือนมีนาคม 2552 มีปริมาณประมาณ 12,000 ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยในระดับ 5.70 บาทต่อลิตร เทียบเท่า 68,400 บาทต่อเดือน หากปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 8.00 บาทต่อลิตร จะทำให้ภาระชดเชยเพิ่มขึ้นอีก 27,600 บาทต่อเดือน เป็นยอดชดเชยทั้งสิ้น 96,000 บาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 โดยเพิ่มการชดเชย 2.30 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชย 5.70 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 8.00 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2552 เป็นต้นไป
ครั้งที่ 45 - วันศุกร์ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2552 (ครั้งที่ 45)
เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราหนึ่ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และหลังจากนั้นให้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1.00 -1.50 บาท/ลิตร เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม โดยอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน 2) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ภายหลังจากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม และ 3) เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ เห็นชอบในหลักการที่มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางใน ข้อ 1) แล้วรายงานให้ กบง. ทราบภายหลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการต่อไป
2. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน แต่เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องรับภาระมากเกินไป จึงได้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปรับภาระบางส่วน เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 1.55 บาท/ลิตร ต่อมา กบง. ได้มีมติให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามลำดับดังนี้คือ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 ,ดีเซลหมุนเร็ว B2 และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.26 บาท/ลิตร โดยไม่ทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.60 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว 0.20 บาท/ลิตร โดยไม่ทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น และในวันที่ 6 มีนาคม 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.70 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว 0.40 บาท/ลิตร โดยไม่ทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น แต่ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. เนื่องจากในช่วงวันที่ 10-11 มีนาคม 2552 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ของน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงประมาณ 5 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลทรงตัว ส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับที่สามารถปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับสู่อัตราเดิม (ณ วันที่ 31 มกราคม 2552) โดยสามารถปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 1.00 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, แก๊สโซฮอล 91 0.78 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 0.23 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.18 บาท/ลิตร ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน และจะทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ค่าการตลาด และราคาขายปลีก เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ
เปรียบเทียบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด และราคาขายปลีก
สรุปอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. ในช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ - วันที่ 13 มีนาคม 2552 กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้ามาพยุงการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จำนวน 5 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่ม 1.55 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 1,500 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 1 -12 กุมภาพันธ์ 2552) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 623 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 13-19 กุมภาพันธ์ 2552) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 อีก 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 อีก 0.26 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 350 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 20 - 26 กุมภาพันธ์ 2552) ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.60 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.20 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 252 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 5มีนาคม 2552) และครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.70 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.40 บาท/ลิตร คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 120 ล้านบาท (ช่วงวันที่ 6 -13 มีนาคม 2552)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอขอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งที่ 6 ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 0.78 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เพิ่มขึ้น 0.23 บาท/ลิตรและดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.18 บาท/ลิตร เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยในการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในครั้งนี้จะทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็วกลับไปสู่อัตราเดิม และขอเสนอให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 1.00 บาท/ลิตร เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงและเพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 โดยไม่กระทบต่อราคาขายปลีก
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 0.78 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เพิ่มขึ้น 0.23 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.18 บาท/ลิตร ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยในการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้จะทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกลับไปสู่อัตราเดิม (ณ วันที่ 31 มกราคม 2552) ทั้งนี้ จะไม่ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเปลี่ยนแปลง
2. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 1.00 บาท/ลิตร ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงและเพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 โดยไม่กระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน
ครั้งที่ 44 - วันพฤหัสบดี ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2552 (ครั้งที่ 44)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราหนึ่ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และหลังจากนั้นให้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1.00 -1.50 บาท/ลิตร เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม โดยอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน 2) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ภายหลังจากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม และ 3) เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ เห็นชอบในหลักการที่มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางใน ข้อ 1) แล้วรายงานให้ กบง. ทราบภายหลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการต่อไป
2. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน แต่เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องรับภาระมากเกินไป จึงได้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปรับภาระบางส่วน เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 1.55 บาท/ลิตร ต่อมา กบง. ได้มีมติให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามลำดับดังนี้คือ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 ,ดีเซลหมุนเร็ว B2 และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.26 บาท/ลิตร โดยไม่ทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.60 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว 0.20 บาท/ลิตร โดยไม่ทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น แต่ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. เนื่องจากในช่วงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2552 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ของน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงประมาณ 4 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลลดลงประมาณ 3.5 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับสูง จึงสามารถปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.70 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.40 บาท/ลิตร ในวันที่ 6 มีนาคม 2552 เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตจากกองทุนน้ำมันฯ โดย ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน ซึ่งจะทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ค่าการตลาด และราคาขายปลีก เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ
เปรียบเทียบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด และราคาขายปลีก
ภาระที่เหลือของกองทุนน้ำมันฯ
4. ในช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ - วันที่ 5 มีนาคม 2552 กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้ามาพยุงการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จำนวน 4 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่ม 1.55 บาท/ลิตร และกองทุนน้ำมันฯ รับภาระวันละ 125 ล้านบาท คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 1,498 ล้านบาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ รับภาระเหลือวันละ 89 ล้านบาท ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมัน แก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 อีก 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 อีก 0.26 บาท/ลิตร ส่งผลให้ กองทุนน้ำมันฯ ลดการรับภาระเหลือวันละ 50 ล้านบาท และครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.60 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.20 บาท/ลิตร โดยทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ลดการรับภาระเหลือวันละ 36 ล้านบาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอขอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งที่ 5 ในวันที่ 6 มีนาคม 2552 โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 0.70 บาท/ลิตร (ยกเว้นแก๊สโซฮอล E85) และดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีก ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ลดการรับภาระเหลือวันละ 15 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เพิ่มขึ้น 0.70 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร ในวันที่ 6 มีนาคม 2552 เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทั้งนี้ จะไม่ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเปลี่ยนแปลง
2. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 0.70 บาท/ลิตร ในวันที่ 6 มีนาคม 2552 เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงและเพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 โดยไม่กระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน
ครั้งที่ 43 - วันอังคาร ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2552 (ครั้งที่ 43)
เมื่อวันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากการนำเข้า
2. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
3. การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากการนำเข้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)และได้มีมติให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชำระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าช LPG จากต่างประเทศ และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ โดยให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย โดยได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อทราบเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551
2. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 กพช. ได้พิจารณาเรื่องข้อเสนอการปรับปรุงแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG และได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมัน อยู่ในระดับต่ำและสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว ซึ่งจะเป็นการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ หากสถานการณ์ราคาน้ำมันได้เปลี่ยนแปลงไป ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำมาพิจารณาในที่ประชุมใหม่อีกครั้ง และมอบหมายให้ สนพ. ไปพิจารณาแนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า
3. จากราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปมาก ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นมา จึงต้องมีการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ โดยในเดือนเมษายน 2551 - มีนาคม 2552 มีการนำเข้าทั้งสิ้น 485,414 ตัน และจากการที่ราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศ ต่ำกว่าราคาตลาดโลก ทำให้ต้องชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า คิดเป็นเงินประมาณ 8,188 ล้านบาท
3. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 มีเงินสดสุทธิ 19,840 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 3,223 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 3,011 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 212 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 16,618 ล้านบาท
4. เพื่อให้เป็นไปตามมติ กพช. วันที่ 16 มกราคม 2552 สนพ. จึงเสนอขอความเห็นชอบดังนี้ 1) ขอให้ยกเลิกมติ กบง. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ในประเด็น "การปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชำระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG" 2) ขอใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้ สนพ. นำมาพิจารณาในที่ประชุมใหม่อีกครั้ง 3) มอบหมายให้ สบพน. พิจารณาจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG จากการนำเข้าในปี 2551 เป็นจำนวนเงิน ประมาณ 7,948 ล้านบาท โดยคำนึงถึงฐานะของกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ในประเด็น "การปรับเพิ่มราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชำระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG"
2. เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ
ทั้งนี้ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาใหม่อีกครั้ง
3. มอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พิจารณาจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG จากการนำเข้าในปี 2551 เป็นจำนวนเงิน ประมาณ 7,948 ล้านบาท ระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยภายใน 2 ปี โดยให้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชย หลังจากสิ้นสุดมาตรการการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
เรื่องที่ 2 การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซล ซึ่งขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันปาล์มดิบเป็นหลัก คิดเป็นร้อยละ 76 ของต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
B100 = 0.97 CPO + 0.15 MtOH + 3.32 .
B100 คือ ราคาขายไบโอดีเซล (B100) ในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/ลิตร
CPO คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
MtOH คือ ราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
โดยที่ 1) CPO หรือราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตร น้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 1 บาท/กิโลกรัม โดยราคาขายน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้วจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า เช่น ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 1 จะนำมาแทนค่าเพื่อกำหนดราคาไบโอดีเซลในสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้น ยกเว้นกรณีราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลกมาก จะนำมาพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
2) MtOH หรือราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร ใช้ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยจากผู้ค้าเมทานอลในประเทศจำนวน 3 ราย เช่น Thai M.C., I.C.P. Chemicals และ Itochu (Thailand) โดยราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้วจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า เช่น ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 1 จะนำมาแทนค่าเพื่อกำหนดราคาไบโอดีเซลในสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้น
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ไบโอดีเซล (B100) โดยให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซียบวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2551 เป็นต้นไป
3. ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) อิงราคาน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศชั่วคราวในช่วงการดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2552 ถึง 31 มกราคม 2552
4. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 โดยรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคากิโลกรัมละ 22.50 บาท เป้าหมาย 100,000 ตัน และเก็บสต๊อกไว้จำหน่ายในช่วงเวลาที่เหมาะสม และให้โรงงานสกัดรับซื้อผลปาล์มทะลายจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท (น้ำมันร้อยละ 17) ช่วงรับซื้อผลปาล์มเดือนพฤศจิกายน 2551 ถึงเดือนมกราคม 2552 และต่อมาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 (เพิ่มเติม) โดยขยายเวลาจากเดิมสิ้นเดือนมกราคม 2552 ออกไปถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2552 ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศตามประกาศของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ สูงกว่าระดับเพดานที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย+3 บาท/กิโลกรัม ทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลไม่สามารถนำน้ำมันปาล์มดิบมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลได้เพราะมีต้นทุนสูงกว่าราคาอ้างอิงมาก อาจจะทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมันไบโอดีเซลได้
5. กบง. เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2551 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ในส่วนราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) จากเดิมที่กำหนดให้มีเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ปรับปรุงเป็นใช้ราคาปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึง 31 พฤษภาคม 2552 หลังจากนั้นให้กลับมาใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
6. เพื่อให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลสามารถที่จะผลิตไบโอดีเซล (B100) จำหน่ายให้กับผู้ค้ามาตรา 7 โดยสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซล และสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) จากเดิมกำหนดให้มีเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ปรับปรุงเป็นกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) โดยใช้ราคาปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2552 หลังจากนั้นให้กลับมาใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2552 ถึง 31 พฤษภาคม 2552
มติของที่ประชุม
เห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ใช้ราคาปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมัน ร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราว หลังจากนั้นให้กลับมาใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2552 ถึง 31 พฤษภาคม 2552 ทั้งนี้ ให้กำหนดราคาเพดานให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ในโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 (เพิ่มเติม) คือให้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคากิโลกรัมละ 22.50 บาท และให้โรงงานสกัดรับซื้อผลปาล์มทะลายจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท (น้ำมันร้อยละ 17)
เรื่องที่ 3 การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2550 ได้เห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายสำหรับปีปฏิทิน 2550 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ทั้งนี้ สนพ. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
2. สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการฯ แล้วเสร็จ และ สนพ. ได้จัดให้มีการสัมมนาเพื่อนำเสนอผลการศึกษาให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 โดยเสนอแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการฯ ดังนี้
2.1 ระยะสั้น (ปี 2552-2553) เสนอให้มีการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟผ. และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย รายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ 3.3.2 ของระเบียบวาระการประชุม
2.2 ระยะยาว (ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไป) : เสนอให้มีการกำหนดเกณฑ์การประเมินดัชนีวัดผลการดำเนินงานจากผลการดำเนินงานย้อนหลังในปีที่ผ่านมาและการวิเคราะห์ผลงานในอดีต เช่น ค่าเฉลี่ยหรือผลงานที่ดีที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในอนาคตควรมีการศึกษาแนวทางการกำหนดโครงสร้างราคาไฟฟ้าให้มีความสัมพันธ์กับคุณภาพและการรับประกัน กล่าวคือ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ต้องการคุณภาพที่ดีและการรับประกัน จะมีราคาไฟฟ้าแตกต่างจากผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับบริการทั่วไปตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าราคาเดียวกันทั่วประเทศ
ทั้งนี้ โดยมีดัชนีวัดผลการดำเนินงาน ดังนี้
ดัชนีวัดผลการดำเนินงานของ กฟผ. | ดัชนีวัดผลการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย |
1. ค่าเฉลี่ยของจำนวนครั้งที่ไฟฟ้าดับ (SAIFI) 2. ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่ไฟฟ้าดับ (SAIDI) 3. ความมั่นคงในการจ่ายกระแสไฟฟ้า (System Minutes) 4. ปริมาณไฟฟ้าที่ไม่สามารถจ่ายให้ลูกค้าได้ (Estimated Unsupplied Energy) 5. ปัจจัยความพร้อมจ่ายไฟฟ้า (GWEAF) 6. การเบี่ยงเบนความถี่จากช่วยการยอมรับ (Frequency Deviation) 7. การเบี่ยงเบนแรงดันไฟฟ้าจากช่วงการยอมรับ (Voltage Deviation) 8. ร้อยละระดับการให้บริการที่ดีมากจากการสำรวจ (Percent Customers Ranking Service Excellent on Survey) |
1. ค่าเฉลี่ยของจำนวนครั้งที่ไฟฟ้าดับที่ยอมให้เกิดขึ้นได้ต่อลูกค้าหนึ่งรายในหนึ่งปี (SAIFI) 2. ค่าเฉลี่ยของระยะเวลาที่ไฟฟ้าดับที่ยอมให้เกิดขึ้นได้ต่อลูกค้าหนึ่งรายในหนึ่งปี (SAIDI) 3. การออกใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้า 4. การอ่านค่าหน่วยไฟฟ้าที่ใช้จริง 5. การจ่ายกระแสไฟฟ้าคืนหลังเกิดเหตุขัดข้อง 6. การตรวจสอบและแก้ไขคำร้องเรียนเกี่ยวกับแรงดันและไฟกระพริบ 7. การตอบข้อร้องเรียน 8. การแจ้งดับไฟฟ้าล่วงหน้าและระยะเวลาที่ดับไฟจะต้องไม่เกินกว่าระยะเวลาที่แจ้งไว้ 9. การประเมินราคาและระยะเวลาในการติดตั้ง สำหรับการติดตั้งใหม่และลูกค้ารายใหม่ 10. ระยะเวลาในการต่อกลับใช้ไฟฟ้าใหม่ของลูกค้าเดิม 11. การจ่ายเงินค่าปรับที่จ่ายโดยเช็คหรือเงินสดตามที่รับประกันในระยะเวลาที่กำหนด (ดัชนีใหม่) 12. ความพึงพอใจโดยรวมของลูกค้าที่มีต่อการไฟฟ้า (ดัชนีใหม่) |
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้มีการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการฯ ในปี 2552-2553 ตามผลการศึกษาโครงการศึกษาแนวทางการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการฯ นอกจากนี้ เนื่องจากปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ขึ้นตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ สกพ. ดำเนินการกำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟผ. และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าจำหน่าย ในปี 2552-2553 ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบ 3.3.2 และเอกสารประกอบวาระที่ 3.3 ของระเบียบวาระการประชุม โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เป็นผู้ดำเนินการกำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตามนโยบายมาตรฐานคุณภาพบริการในข้อ 1 ดังนี้
2.1 ประเมินมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตลอดจน สำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้ไฟฟ้าต่อการให้บริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป และรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม
2.2 เสนอแนะการปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตลอดจนการกำหนดบทปรับให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมครั้งที่ 12/2551 (ครั้งที่ 37) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ได้มีมติอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนเงินรวม 162.8855 ล้านบาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 - 2555 ปีละ 300 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
2. ในวันที่ 15 ธันวาคม 2551 และวันที่ 15 มกราคม 2552 กบง. ได้อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2552 ในกรอบวงเงิน 300 ล้านบาท ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และกรมธุรกิจพลังงาน ในวงเงินรวม 136,148,950 บาท
3. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพิ่มเติมดังนี้
3.1 อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ระยะที่ 2 จำนวนเงิน 35,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยมีสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สป.พน. เป็นเจ้าของโครงการ วัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจในนโยบายพลังงานของกระทรวงพลังงาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยแบ่งเป็น 3 โครงการย่อย คือ 1) โครงการสื่อสารนโยบายในแนวสารคดี ใช้งบประมาณ 20 ล้านบาท 2) โครงการสื่อสารนโยบายผ่านกิจกรรมทางสังคม ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท และ 3) โครงการสื่อสารนโยบายภายในองค์กร ใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท
3.2 อนุมัติให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดทำโครงการจำนวน 2 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 37,000,000 บาท ดังนี้
3.2.1 โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ มีกองนโยบายและแผนพลังงาน สนพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 30 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญาวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารพลังงานที่ถูกต้องแก่ประชาชนตามสถานการณ์ต่างๆ โดยแบ่งเป็น 2 กิจกรรมหลัก คือ การให้ความรู้ความเข้าใจผ่าน Control Media (งบประมาณ 13.20 ล้านบาท) และการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน องค์กร หรือหน่วยงานอื่น (งบประมาณ 16.8 ล้านบาท)
3.2.2 โครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการบริหารงานและวิเคราะห์งานด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี มีสำนักนโยบายปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สนพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 7,000,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือนนับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นที่ปรึกษาและสนับสนุนการบริหารงานและวิเคราะห์งานโครงการปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยแบ่งการทำงานเป็น 5 ส่วน ได้แก่ งานนโยบาย งานส่งเสริมสนับสนุน งานติดตามผล งานบริการ และงานอื่นๆ อาทิ ติดตามเทคโนโลยีด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น
3.3 อนุมัติให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จัดทำโครงการจำนวน 3 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 14,565,200 บาท ดังนี้
3.3.1 โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการพนักงานส่งก๊าซหุงต้ม มีสำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 3,172,200 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน (1 เมษายน 2552 - 31 ธันวาคม 2552) วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านจำหน่ายก๊าซและพนักงานส่งก๊าซหุงต้มทั่วประเทศมีความรู้ความเข้าใจในข้อกฎหมาย วิธีการปฏิบัติ การป้องกัน อันตรายจากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ประกอบการร้านจำหน่ายก๊าซหุงต้ม และพนักงานส่งก๊าซหุงต้ม ทั่วประเทศ 2,000 คน จากร้านจำหน่ายก๊าซฯ 2,000 แห่ง
3.3.2 โครงการสำรวจการถ่ายโอนสถานีบริการน้ำมัน มีสำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมัน ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 9,393,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 15 เดือน (มิถุนายน 2552 - สิงหาคม 2553) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์ ประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในด้านการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ผู้ประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ (ยกเว้นประเภท ฉ) ประมาณ 8,000 แห่ง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศประมาณ 7,714 แห่ง
3.3.3 โครงการส่งเสริมสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีสำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมัน ธพ. เป็นเจ้าของโครงการ งบประมาณ 2,000,000 บาท ระยะเวลาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2552 ถึงเดือนเมษายน 2553 วัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์สถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลโครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ให้เป็นที่รู้จักและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการเข้าใช้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ขับขี่ยานพาหนะ และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ประเภท ก และ ประเภท ข ทั่วประเทศ
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ระยะที่ 2 ในวงเงิน 35,000,000 บาท (สามสิบห้าล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่โครงการได้รับอนุมัติ และให้ดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2552
2. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการ จำนวน 2 โครงการ ในวงเงินรวม 37,000,000 บาท (สามสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ดังนี้
2.1 โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30,000,000 บาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
2.2 โครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการบริหารงานและวิเคราะห์งานด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ในวงเงิน 7,000,000 บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับจากวันที่ลงนาม ในหนังสือสัญญา
โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่โครงการได้รับอนุมัติ และให้ดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2552
3. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 3 โครงการ ในวงเงินรวม 14,565,200 บาท (สิบสี่ล้านห้าแสนหกหมื่นห้าพันสองร้อยบาทถ้วน) ดังนี้
3.1 โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการพนักงานส่งก๊าซหุงต้ม ในวงเงิน 3,172,200 บาท (สามล้านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นสองพันสองร้อยบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 - 31 ธันวาคม 2552)
3.2 โครงการสำรวจการถ่ายโอนสถานีบริการน้ำมัน ในวงเงิน 9,393,000 บาท (เก้าล้านสามแสนเก้าหมื่นสามพันบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 15 เดือน (ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2552 - สิงหาคม 2553)
3.3 โครงการส่งเสริมสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2552 ถึงเดือนเมษายน 2553
โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่โครงการได้รับอนุมัติ และให้ดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2552
เรื่องที่ 5 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนมกราคม 2552 อยู่ที่ระดับ 44.12 และ 41.75 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.59 และ 0.30 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวโอเปค-11 (ยกเว้นอิรัก) ส่งออกน้ำมันดิบในรอบ 4 สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ลดลง 160,000 บาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ 23.55 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับตัวลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 43.09 และ 39.16 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวการส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนมกราคม 2552 ลดลงร้อยละ 46 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งข่าวปริมาณสำรองน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มสูงขึ้น 0.7 ล้านบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมกราคม 2552 อยู่ที่ระดับ 52.23, 48.97 และ 58.36 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 11.17, 10.09 และ 0.35 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากอุปสงค์ของอินโดนีเซียเนื่องจากโรงกลั่น Balongan ปิดซ่อมบำรุงและอิหร่านต้องนำเข้าน้ำมันเบนซินจากตลาดจรในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัท Reliance ของอินเดียปรับลดปริมาณส่งมอบน้ำมันแบบเทอมลง และต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95และ 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 57.97 และ 55.42 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวอิหร่านเก็บสำรองน้ำมันเบนซินและข่าวจีนลดปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซิน ในเดือนมีนาคมลงเนื่องจากอุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 49.10 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากการที่จีนยังคงส่งออกน้ำมันดีเซลอย่างต่อเนื่องเนื่องจากอุปสงค์ ในประเทศต่ำ
3. เดือนมกราคม 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 3.60 บาท/ลิตร, เบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 2.80 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 2.60 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ไม่มีการปรับราคาขายปลีก ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 เพิ่มขึ้น 3.15 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 3.55 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.25 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ระดับ 35.34, 26.74, 22.44, 21.14, 21.64, 19.59 และ 18.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนมีนาคม 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 43 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 462.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากความต้องการใช้ในภูมิภาคลดลง โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งหันกลับไปใช้แนฟทาแทน LPG เนื่องจากราคาลดต่ำลง ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศ ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศอยู่ในระดับ 0.3033 บาท/กิโลกรัม คิดเป็น 48.95 ล้านบาท ทั้งนี้มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - กุมภาพันธ์ 2552 รวม 463,414.46 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 8,020.82 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนกุมภาพันธ์ 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 12 ราย แต่ผลิตจริง 10 ราย กำลังการผลิตรวม 1.73 ล้านลิตร/วัน มีปริมาณผลิตจริง 1.33 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ ไตรมาส 1 ปี 2552 อยู่ที่ 17.18 บาท/ลิตร ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 12.6 และ 12.2 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการรวม 4,178 แห่ง ราคาขายปลีกน้ำมัน ณ วันที่ 2 มีนาคม 2552 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 4.30 และ 5.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 มีปริมาณจำหน่าย 0.14 ล้านลิตร/วัน มีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 188 แห่ง ราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 1.30 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนกุมภาพันธ์ 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 12 ราย กำลังการผลิตรวม 4.40 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ 1.66 และ 1.58 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 อยู่ที่ 24.82 และ 24.89 บาท/ลิตร ตามลำดับ การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2552 มีปริมาณ 18.58 และ 18.39 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ มีสถานีบริการรวม 2,866 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.20 บาท/ลิตร มีราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.50 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 มีเงินสดในบัญชี 19,840 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 3,223 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 3,011 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 212 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 16,618 ล้านบาท โดยมีหนี้นำเข้า LPG จาก ปตท. ถึงสิ้นเดือนมกราคม 2552 อยู่ประมาณ 8,021 ล้านบาท ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 8,597 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 42 - วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2552 (ครั้งที่ 42)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบ เรื่องนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาน้ำมันขายปลีกทยอยเพิ่มขึ้นในระดับและในช่วงเวลาที่เหมาะสม และมิให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค และ 2) มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปพิจารณาดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นไปตามหลักการในข้อ 1)
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง นโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน : มาตรการด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ดังนี้ 1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นจากการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราหนึ่ง ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และหลังจากนั้นให้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 1.00 -1.50 บาท/ลิตร เพื่อให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม โดยอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน 2) เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ภายหลังจากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กลับไปอยู่ในอัตราเดิม และ 3) เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ เห็นชอบในหลักการที่มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับแนวทางในข้อ 1) แล้วรายงานให้ กบง. ทราบภายหลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการต่อไป
3. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และได้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปรับภาระบางส่วน เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 1.55 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกเบนซิน 95 และ 91 0.80 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร และปรับลดดีเซลหมุนเร็ว B2 และ B5 0.50 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 กบง. ได้มีมติให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20, น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 ,ดีเซลหมุนเร็ว B2 และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.60 บาท/ลิตร ต่อมาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาดีเซล 0.40 บาท/ลิตร และวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มราคาเบนซิน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 0.80 บาท/ลิตร และในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้นอีก 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้นอีก 0.26 บาท/ลิตร โดยทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม
4. เนื่องจากในช่วงวันที่ 20-25 กุมภาพันธ์ 2552 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ของน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงประมาณ 2 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลทรงตัว ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอลของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับสูง จึงสามารถปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลได้ 0.60 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B2 0.20 บาท/ลิตร เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตจากกองทุนน้ำมันฯ โดยการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน และจะทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ค่าการตลาดและราคาขายปลีกเป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ
เปรียบเทียบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ค่าการตลาด และราคาขายปลีก
ภาระที่เหลือของกองทุนน้ำมันฯ
5. ในช่วงวันที่ 1-26 กุมภาพันธ์ 2552 กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้ามาพยุงการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 3 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่ม 1.55 บาท/ลิตร และกองทุนน้ำมันฯ รับภาระวันละ 125 ล้านบาท คิดเป็นภาระกองทุนน้ำมันฯ 1,498 ล้านบาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ รับภาระเหลือวันละ 89 ล้านบาท และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลและดีเซลหมุนเร็ว B2 อีก 0.80 บาท/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว B5 อีก 0.26 บาท/ลิตร โดยทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ลดการรับภาระเหลือวันละ 50 ล้านบาท
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอขอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งที่ 4 ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร (ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85) และดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.20 บาท/ลิตร โดยทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ลดการรับภาระเหลือวันละ 36 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มขึ้น 0.20 บาท/ลิตร ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อลดภาระการชดเชยจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทั้งนี้ จะไม่ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลง
2. เห็นชอบในหลักการให้การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งต่อไป ให้พิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปสู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการใช้น้ำมันอย่างประหยัด ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลกระทบต่อเงินเฟ้อและอัตราค่าบริการในภาคขนส่งด้วย